หน้าเว็บ
▼
หน้าเว็บ
▼
HOME
▼
31 มี.ค. 2562
โค้งน้ำผีดุ
ทุกๆวันพระมักจะเห็นผู้หญิงห่มสไบ เป็นเรื่องเล่าของคุณสุจินต์ มีญาติอาชีพขายผักในตลาด ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขามีเรื่องเล่าว่ามักจะเจอกับ เธอผู้นั้น..... ลองไปฟังเรื่องราวของเขาได้เลยครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อห้าปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่คุณสุจินต์กำลังหางานทำ จึงได้ไปขอพักอยู่กับญาติ ที่พระนครศรีอยุธยา ญาติมีอาชีพขายผักในตลาด โดยขนผักขึ้นเรือ แล้วพายเรืแไปขายในตลาด
ช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำท่วม คุณสุจินต์พักอาศัยอยู่ที่บ้านญาติได้สองวัน จึงออกหางานทำ มีอยู่วันนึง หลานของคุณย่า ที่ปกติจะพายเรือไปขายพักกับคุณย่าที่ตลาด เกิดไม่สบาย คุณสุจินต์จึงได้อาสาไปช่วยแทน
วันนั้นตรงกับวันพระใหญ่ คุณสุจินต์ก็ได้ออกไปขายผักกับคุณย่ากันแต่เช้า จนเวลาหกโมงเย็น ก็ได้ขายผักจนหมด จึงได้พายเรือกลับ แต่ขากลับจะต้องพายเรือทวนน้ำขึ้นมา และช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำท่วม
จนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม คุณสุจินต์ก็พายเรือจนใกล้จะถึงหลังวัด ซึ่งจะมีโค้งน้ำอยู่ที่หลังวัดพอดี ตรงนั้นจะมีต้นยางสองต้น สูงมาก และริมฝั่ง ชาวบ้านจะสุมไฟให้วัว โค้งน้ำแถวนั้นจึงเต็มไปด้วยหมอกควัน พอคุณสุจินต์พายไปถึงที่โค้งน้ำ ก็รู้สึกว่าตรงนี้น้ำนิ่งมาก ปกติช่วงที่น้ำขึ้นแบบนี้น้ําจะเชี่ยว จุดอื่นๆตั้งแต่ที่ออกมาจากตลาด น้ำก็ไหลเป็นปกติ
คุณสุจินต์พายเรือไปได้สักพัก หางตาก็เห็นเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่แถวๆต้นยาง จึงได้หันไปดู ปรากฏว่าเห็นขาคนห้อยยาวลงมาจนถึงพื้น คุณสุจินต์จึงมองขึ้นไปบนต้นยาง เห็นผู้หญิงห่มสไบสีเขียว หน้าขาวๆ กำลังร้องเพลงกล่อมเด็กอยู่บนต้นไม้ ใช้ผมมัดกับต้นไม้ทำเป็นเปลนอน แล้วให้เด็กนอนบนผม แล้วแกว่งไปมา
คุณสุจินต์ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก คุณย่าเลยเอาไม้พายมาสะกิตหลัง แล้วบอกให้เฉยๆไว้ แล้วให้พายเรือต่อ จนกลับมาถึงบ้าน คืนนั้นคุณสุจินต์นอนไม่หลับทั้งคืน เสียงผู้หญิงกล่อมเด็กยังดังวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
จนเช้าของอีกวัน คุณย่าจึงพาคุณสุจินต์ไปรดน้ำมนต์ที่วัด ซึ่งเป็นวัดที่คุณสุจินต์ได้พายเรือผ่านมาเมื่อวาน คุณสุจินต์จึงได้เข้าไปถามหลวงพ่อ ถึงเหตุการณ์ที่ตนเองได้เจอมา
หลวงพ่อท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ใหม่ๆ ท่านก็เคยเจอ ช่วงเวลาตีห้าตอนที่ออกไปบิณฑบาต ก็เห็นผู้หญิงห่มสไบคนนี้ยืนอุ้มลูกอยู่ตรงหน้าเมรุ หลวงพ่อจึงได้ถามออกไปว่ายังเช้าอยู่เลย โยมมาทำอะไร แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ตอบ หันหลังแล้วก็วิ่งขึ้นไปบนปล่องเมรุที่สูงเกือบสิบเมตร แล้วหายเข้าไปในปล่อง หลวงพ่อท่านก็บอกว่า เค้าจะออกมาให้เห็นในช่วงวันพระ
ตะเคียนใต้ดิน
คุณประสิทธิ์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งขับรถทัวร์ และเกิดเรื่องราวประหลาดรถเกิดสตาร์ทไม่ติด สืบเนื่องมาจากสิ่งเร้นลับที่เขาเจอมา เขาพบว่ามีบางอย่างต้องการให้เขาทำอะไรสักอย่าง และนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ แนะนำให้ติดตามเรื่องนี้กันเลยครับ
เป็นเหตุการณ์ที่เกินขึ้นเมื่อสิบห้าปีที่ผ่านมา ที่จังหวัดอุบลราชธานี คุณประสิทธิ์ทำงานเป็นคนขับรถทัวร์ และช่วงที่คุณประสิทธิ์ขับรถอยู่ที่สมุทรปราการ บริษัทก็ได้แจ้งกับคุณประสิทธิ์ว่าวันเสาร์ทีจะถึงนี้ ให้คุณประสิทธิ์ไปส่งคนที่จะเหมารถไปจังหวัดอุบลราชธานี ให้ไปรับคนขึ้นตามจุดต่างๆ ตามที่ระบุไว้ให้ คุณประสิทธิ์จึงได้ไปรับผู้โดยสาร แล้ววิ่งรถไปที่อุบลราชธานี
ไปถึงประมาณสี่โมงเย็น คุณประสิทธิ์ก็ได้เอารถเข้าไปจอดในวัด หลังจากคนลงหมดแล้ว คุณประสิทธิ์ก็ได้พักทานข้าวเสร็จ แล้วกะว่าจะนอนพัก แต่ในวัดมีงาน คุณประสิทธิ์จึงคิดว่าคงจะนอนไม่หลับแน่ ก็เลยขับรถเข้าไปจอดที่หลังวัด มีต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้น
จนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม คุณประสิทธิ์ก็ได้เข้านอน และได้ตื่นขึ้นมาประมาณเที่ยงคืนเพราะปวดปัสสาวะ จึงได้ออกไปข้างนอกรถแล้วปัสสาวะ แล้วคุณประสิทธิ์ก็สังเกตเห็นผู้หญิงผมยาวนั่งร้องไห้อยู่บนต้นไม้ คุณประสิทธิ์จึงได้เดินเข้าไปถามว่าเป็นอะไรหรือป่าว ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ยอมพูด คุณประสิทธิ์ก็เลยไม่กล้าเข้าไปถามอะไรมาก เพราะตนไม่ใช่คนในพื้นที่ จึงได้กลับเข้ามาในรถ แล้วก็มองไปที่ที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่
คุณประสิทธิ์ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกวักมือเรียก จึงตัดสินใจถือไฟฉายแล้วลงไปหาอีกครั้ง พอคุณประสิทธิ์เดินไปถึงก็ได้ถามว่ามีอะไรหรือ แล้วก็ได้ส่องไฟเข้าไปดู ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีแววตา เห็นแค่ลูกตาดำๆ คุณประสิทธิ์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กำพระบนคอแน่น แล้วผู้หญิงคนที่นั่งอยู่บนต้นไม้ก็บอกว่า "ช่วยพี่หน่อย ช่วยพี่หน่อยนะ พี่อยู่ข้างล่างนี่" คุณประสิทธิ์พูดอะไรไม่ออก ทิ้งไฟฉายแล้วก็หันหลังวิ่งเข้าไปในกุฏิพระ
ในกุฏิมีพระชราอยู่รูปหนึ่ง คุณประสิทธิ์ก็ได้บอกว่า "หลวงตา ผมเจอผีอยู่บนต้นไม้" หลวงตาก็ถามว่า "แล้วโยมไปจอดรถตรงไหน" คุณประสิทธิ์ก็ตอบว่า "หลังเมรุไปประมาณห้าสิบเมตร ตรงที่เป็นป่า ผมทิ้งไฟฉายไว้ตรงนั้นด้วย หลวงตาไปเป็นเพื่อนผมหน่อย" คุณประสิทธิ์กับหลวงตาจึงเดินไปที่หลังเมรุ แต่ก็ไม่พบผู้หญิงคนนั้นแล้ว
คุณประสิทธิ์จึงได้เดินกลับไปที่รถ แล้วกะว่าจะเอารถไปจอดที่อื่นดีกว่า แต่รถกลับสตาร์ทไม่ติด คุณประสิทธิ์ลองอยู่นานก็ยังสตาร์ทไม่ติด จึงนึกในใจว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ขอให้แม่ย่านางช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วย พอคุณประสิทธิ์หันกลับไปดูที่นอกกระจก ก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ที่เดิม คุณประสิทธิ์ก็ไม่กล้าลงจากรถอีก จึงได้แต่ข่มตานอนจนถึงเช้า
พอตอนเช้าก็ได้เดินไปบอกเจ้าภาพงานวัดว่าเมื่อคืนได้เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า ทางเจ้าภาพจึงได้ไปคุยเรื่องนี้กับพระ คุณประสิทธิ์ก็กลับไปที่รถ แต่รถก็ยังสตาร์ทไม่ติด ทั้งๆ ที่เช็คอุปกรณ์ทุกอย่างเป็นปกติดีแล้ว จึงได้ขอให้ผู้โดยสารทุกคนช่วยกันเข็นรถออกไปนอกวัดแล้วรองสตาร์ทดูอีกครั้งนึง แต่ก็ยังไม่ติด เรียกช่างมาแก้ก็ยังสตาร์ทไม่ติด
คุณประสิทธิ์จึงนึกถึงคำพูดของผู้หญิงคนนั้น เหมือนเค้าจะบอกว่าให้ช่วยเค้าด้วย เค้าอยู่ข้างล่างนี้ คุณประสิทธิ์จึงได้ไปบอกเจ้าภาพ เจ้าภาพก็เลยให้ทุกคนมาช่วยกันขุดดู ประมาณชั่วโมงครึ่ง ขุดกันลงไปประมาณเกือบๆหนึ่งร้อยเมตร ก็ได้เจอกับต้นตะเคียนใหญ่มาก คุณประสิทธิ์จึงได้ไปจุดธูปแล้วบอกว่า "เจ้าแม่ ถ้าอยากขึ้นไปข้างบนนะ ขอให้ช่วยทำให้รถผมสตาร์ทติด แล้วเงินที่ผมเหมามาสี่หมื่น ผมจะเอาไปจ้างรถแม็คโครมาขุดเอาเจ้าแม่ขึ้นมา"
จากนั้นคุณประสิทธิ์จึงได้กลับไปที่รถ สตาร์ทแค่ทีเดียวรถก็ติดเลย คุณประสิทธิ์งงมาก จึงได้ไปจ้างรถแม็คโครมาสองคันเพื่อที่จะได้ขุดเอาต้นตะเคียนขึ้นมา แต่ขุดยังไงก็ไม่ขึ้น ทั้งๆที่ช่วยกันสองคัน จนสุดท้ายคณะทัวร์ที่มาด้วยต้องการจะอยู่ต่อ และจะขอเหมาต่ออีกวันนึง คุณประสิทธิ์จึงได้โทรไปคุยกับเจ้านาย จนเวลากลางคืน คุณประสิทธิ์ก็เข้าไปนอนในรถ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้มาเข้าฝันแล้วบอกว่า "ถ้าอยากจะเอาแม่ขึ้น ให้ทำบายศรี แล้วก็เชิญแม่ขึ้น แล้วจะได้ให้โชคให้ลาภ"
เช้าขึ้นมาคุณประสิทธิ์ก็ได้ถามว่ามีใครทำบายศรีเป็นบ้าง เพราะเจ้าแม่ได้มาเข้าฝันว่าให้ทำบายศรีก่อน ทางวัดจึงได้ทำบายศรีแล้วให้รถแม็คโครลงไปขุดอีกที แต่ครั้งนี้ยกขึ้นได้แบบง่ายๆเลย พอเอาต้นตะเคียนขึ้นมาได้แล้ว คุณประสิทธิ์ก็ได้พูดว่า "ผมเอาเจ้าแม่ขึ้นมาแล้วนะ เจ้าแม่ก็อยู่ที่วัดนี้แล้วกัน" ซึ่งวัดนี้อยู่ในอำเภอน้ำยืน ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ร้านที่เซ้งมา
คุณกวางได้เซ้งร้านร้านเสริมสวยแห่งนึงแถวอนุสาวรีย์ชัย ในราคาที่แสนถูกโดยเธอนั้นไม่รู้มาก่อนว่า ร้านที่เธอเซ้งมานั้นมีประวัติอะไรมา ซึ่งเธอมารู้ภายหลังจากการดูดวงว่า ได้มีวิญญาณผู้หญิงลักษณะแบบนี้อยู่ในร้าน เรื่องราวหลอนๆเกิดขึ้นหลังจากเธอดำเนินกิจการไปควบคู่กับความหลอกหลอนของวิญญาณ ลองมาดูกันคับว่าเธอหาทางออกสถานการณ์นี้กันอย่างไร
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ร้านเสริมสวยแห่งนึงแถวอนุสาวรีย์ชัย คุณไก่ เพื่อนของคุณกวางได้เซ้งร้านมาอีกที ซึ่งเจ้าของเดิมได้เปิดร้านเสริมสวยอยู่ไม่กี่วัน แล้วก็ได้รีบเซ้งร้านให้คุณไก่ด้วยราคาที่ถูกจนน่าตกใจ หลังจากนั้นคุณไก่ก็ได้ไปดูดวงกับหมอดู ซึ่งหมอดูก็คือคุณแม่ของคุณกวาง แล้วก็ถูกทักว่า มีผู้หญิงลักษณะแบบนี้อยู่ในร้าน ผูกคอตายที่ขื่อตรงกลางร้าน ซึ่งคุณไก่ก็เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ
แล้วมีอยู่วันหนึ่ง คุณไก่ได้นอนในร้าน แล้วเห็นผู้หญิงใส่ชุดคลุมท้องสีขาว มายืนชะโงกหน้ามองอยู่แถวๆ บันไดขึ้นชั้นสอง คุณไก่ก็ตกใจ วันต่อมาจึงได้กลับไปหาหมอดู หมอดูก็บอกว่าคนนั้นแหละที่ผูกคอตายในร้าน หมอดูก็แนะนำว่าลองทำบุญไปให้เค้าดู คุณไก่จึงได้ไปทำบุญที่วัดโดยมีคุณกวางไปด้วย หลังจากนั้นคุณไก่ก็ไม่เคยเห็นอะไรอีกเลย
แต่เหตุการณ์กลับมาเกินขึ้นกับคุณกวางแทน ช่วงเวลาประมาณสองทุ่ม พี่สาวของคุณกวางได้เห็นเด็กวิ่งอยู่ในบ้าน ทั้งๆ ที่บ้านของคุณกวางไม่ได้มีเด็ก คุณกวางก็แปลกใจว่าเค้าจะเข้ามาได้ยังไง ที่บ้านก็มีศาลพระภูมิ แล้วแม่ของคุณกวางก็บอกว่าเค้าตามคุณไก่เข้ามา เพราะตอนที่ไปทำบุญกัน คุณไก่ได้เข้ามาในบ้านของคุณกวาง
หลังจากนั้นไม่นาน แฟนของพี่สาวคุณกวางมาบอกว่า มีความรู้สึกเหมือนใครไม่รู้มาตบหัว ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร คุณกวางไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยพูดออกมาว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำบุญให้อีก แล้วคืนนั้น ช่วงเวลาประมาณตีสี่ คุณกวางตื่นขึ้นมา เห็นผู้หญิงแต่งชุดสีขาว ยืนอยู่หน้าบ้าน ซึ่งลักษณะของผู้หญิงคนนี้จะตรงกับที่คุณไก่เคยเล่าให้ฟัง
คุณกวางก็เลยเดินลงไปหาที่หน้าบ้าน ก็ได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก แต่งตัวดี แล้วคุณกวางก็พูดว่า "ได้ทำบุญไปให้แล้วนะ" จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินเข้าบ้าน ผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวก่อน" คุณกวางจึงหันกลับไปมอง จากผู้หญิงที่หน้าตาสวยมาก แต่งชุดสวยๆ ตอนนี้กลายเป็นผู้หญิงหน้าตาซีดเซียว และมีเลือดไหลออกจากท้องไม่หยุด คุณกวางตกใจมาก วิ่งหนีเข้าบ้าน
แล้วเค้าก็พูดว่า "จะฆ่าแก จะเอาแกไปอยู่ด้วย" แล้วก็วิ่งเข้ามาหาคุณกวาง คุณกวางทำอะไรไม่ถูกจึงยืนสวดมนต์นึ่ง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า "ท่องไปเถอะ ไม่กลัวหรอก" แล้วคุณกวางก็นึกถึงคำพูดของคุณแม่ว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ให้ลองนึกถึงพระพุทธเจ้า คุณกวางจึงทำตาม อยู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็กรีดร้องออกมาดังมากแล้วก็หายไป แล้วคุณกวางก็สะดุ้งตื่น ก็เลยได้ไปทำบุญให้เค้าที่วัดอีกครั้งหนึ่ง แล้วตอนนอนก็ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นมาบอกว่าไม่รับ แต่จะเอาคุณกวางไปอยู่ด้วย จนสุดท้าย คุณกวางตัดสินใจไปบวชชีพราหมณ์เจ็ดวัน
หลังจากคุณกวางบวชเสร็จแล้วกลับมาบ้าน ก็ได้ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นมาบอกว่าขอบคุณนะ นี่แหละที่เค้าต้องการ หลังจากนั้นก็ไม่เจออีกเลย คุณกวางจึงไปถามเจ้าของร้านคนเก่าว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เจ้าของร้านบอกว่าผู้หญิงคนนี้อายุสามสิบกว่าๆ ไปผูกคอตายตรงขื่อกลางร้าน เพราะแฟนทิ้ง และไม่มีเงินทำคลอด และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ทาง"หัวแตก"
เส้นทางที่มีอาถรรพ์ เป็นเส้นทางแห่งหนึ่งย่านรังสิต โดยเรื่องนี้มาจากคุณเบิร์ด เชื่อกันว่าถนนเส้นนั้นมักมีเหตุการณ์ประหลาดยากที่จะอธิบาย และมักเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง และเป็นที่น่าสังเกตุว่าทุกครั้งที่เกิอุบัติเหตุเหตมักจะมีแผลที่หัว ลองไปหาคำตอบเรื่องนี้กันเลยดีกว่าครับ ว่าจะหลอนขนาดไหน
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ของหัวหน้าคุณเบิร์ด ได้มาเล่าให้คุณเบิร์ดฟัง เกิดขึ้นในบ้านของหัวหน้า แถวๆ รังสิต เมื่อประมาณหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา หัวหน้าได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ ทางเข้าจะเป็นซอยเก่าๆ บ้านจะอยู่ประมาณเกือบๆท้ายซอย ลักษณะเป็นบ้านปูนสองชั้น และมีอยู่วันนึง หัวหน้านั่งทำงานอยู่ที่ชั้นสอง
จนถึงเวลาตีสอง ปกติหัวหน้าจะเป็นคนนอนดึกทุกคืนอยู่แล้ว หัวหน้าได้ยินเสียงเหมือนม้าวิ่งอยู่ตรงลานข้างบ้าน ก็เลยเปิดกระจกบานเกล็ดออกไปดู ปรากฏว่าเจอเงาดำๆ ลักษณะเหมือนคนขี่ม้าตัวใหญ่ๆ กำลังวิ่งวนไปวนมาอยู่รอบลานข้างบ้าน หลังจากนั้นก็มีควันขาวๆ ซึ่งลองมาตามถนน แต่พอถึงหน้าบ้านของหัวหน้าแล้วควันนั้นก็ลอยเข้ามาภายในบริเวณของบ้าน แล้วก็กระจายหายไปต่อหน้าต่อตาของหัวหน้า รวมทั้งเงาคนที่ขี่ม้าด้วย หัวหน้าก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะเดี๋ยวจะกลัวซะเปล่าๆ
หลังจากนั้นอีกประมาณสองวัน ได้มีรถมอเตอร์ไซค์มาคว่ำที่หน้าบ้าน หัวหน้าจึงรีบวิ่งไปดูและช่วยคนเจ็บ แต่หัวหน้าเห็นเป็นแค่แผลเล็กๆ ที่หัว แต่เลือดไหลออกมาเยอะมาก หัวหน้าจึงรีบช่วยทำแผลให้ หลังจากนั้นอีกอาทิตย์ถัดมา ก็ได้มีรถมอเตอร์ไซค์มาค่ำตรงจุดๆ เดิมซ้ำอีก แล้วก็เป็นแผลที่หัวเหมือนกัน หัวหน้าเริ่มสังเกตว่ามันแปลกๆ และเริ่มคิดว่าในซอยนี้น่าจะมีอะไร
แล้วมีอยู่วันนึง หลังจากที่หัวหน้าทำงานเสร็จ เวลาประมาณตีสองเกือบตีสาม หัวหน้ากำลังเคลิ้มหลับอยู่บนเตียง ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเอามือมาปัดถุงก๊อปแก๊ปอยู่ตรงปลายเตียง แต่หัวหน้าเป็นคนสายตาสั้น หัวหน้าจึงลุกขึ้นมานั่งแล้วพยายามมองว่ามันคือเสียงอะไร ในห้องพอจะมีแสงไฟจากข้างนอกสาดเข้ามาอยู่บ้าง เห็นเป็นเด็กผู้หญิงผมยาว ยืนหันหลังให้และเอามืดปัดถุงอยู่ตรงปลายเตียง พอหัวหน้าลุกขึ้นมาเพ่งมองดีๆ ปรากฏว่ามีคนแก่ยืนอยู่ข้างๆเด็กผู้หญิงด้วย
หัวหน้าก็พยายามเอื่อมมือเข้าไปลองคว้าดู เพราะคิดว่าตัวเองตาฝาดอยู่หรือเปล่า แต่คนแก่ได้เอื้อมมือมาจับแขนหัวหน้าไว้ หัวหน้าก็เลยจับที่แขนคนแก่ด้วย ลักษณะหนังจะย่นๆ เย็นๆ หัวหน้าก็เริ่มจะสติไม่อยู่กับตัว และจังหวะที่กำลังจะล้มตัวลงนอน เด็กผู้หญิงก็ได้หันหน้ามามอง แต่หันแค่หัว ตัวอยู่กับที่ แล้วก็ยิ้มให้ จนหัวหน้าพยายามจะสวดมนต์ แต่ก็สวดไม่ออก แล้วหัวหน้าก็นึกถึงแม่แทน ซักพักได้ยินเสียงคนเขย่าลูกบิดประตูแรงมาก ทั้งเด็กและคนแก่ก็ค่อยๆ จางหายไป แล้วเสียงลูกบิดประตูก็เงียบลง
ตอนเช้าหัวหน้าจึงไปเล่าให้คนข้างๆบ้านฟัง เค้าก็ได้บอกว่าถนนตั้งแต่หน้าซอยจนมาถึงท้ายซอย จะเป็นเหมือนทางส่งวิญญาณ ทุกๆ วันพระจะชอบมีเสียงหรือเหตุการณ์ในลักษณะนี้อยู่บ่อยๆ และก็มีคนเห็นอยู่เป็นประจำ บางคนได้ยินเสียงคนวิ่งที่ถนนหลายๆคน เหมือนเป็นทองทัพ แต่พอมองออกไปก็ไม่พบอะไรเลย และทุกครั้งที่เป็นวันพระ เสียงหมาจะเริ่มหอนกันตั้งแต่หัวค่ำ
และมีอยู่ครั้งหนึ่ง วัยรุ่นได้มาตีกันอยู่ที่ถนนแถวๆ หน้าบ้านจนหัวแตกแล้วล้มลง เค้าเห็นเป็นลักษณะคนแก่ตัวเล็กๆผอมๆ ไม่ใส่เสื้อ อยู่ๆ ก็โผล่ออกมานั่งยองๆ แล้วเอาปากดูดเข้าไปตรงแผลที่มีเลือดไหล จนเลือดไหลออกมานองพื้น โดยที่เจ้าตัวเหมือนจะไม่เห็นคนที่กำลังดูดแผลบนหัวของตนเองอยู่ หัวหน้าจึงเดินออกไปดูที่ท้ายซอย ก็พบศาลไม้เล็กๆตั้งอยู่กับพื้น และก็มีพวกของเส้นไหว้อยู่เต็มหน้าศาล แต่ที่แปลกคือ มีแต่ของดิบ เช่น เนื้อหมูดิบๆ เนื้อไก่ดิบๆ ถุงเลือดดิบๆ ทุกวันนี้หัวหน้าของคุณเบิร์ดก็ยังไม่ได้ย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้น เพราะเจอจนชินไปแล้ว และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
โค้งร้อยศพ
โค้งอาถรรพ์อันโด่งดังที่เคยเป็นข่าวมามากมาย เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของคุณหนุ่ม โดยเล่าถึงโค้งอาถรรพ์ที่อยู่ย่านรัชดา มักจะเกิดอุบัตติเหตุบ่อยครั้ง ลือกันว่าโค้งอาถรรพ์นั้นมีความเฮี้ยนซ่อนอยู่ หรือเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดทางถนนกันแน่ ลองไปติดตามรับชมเรื่องนี้ได้เลยครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ถนนหน้าศาลอาญารัชดา เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน คืนนั้นคุณหนุ่มกลับมาจากงานไหว้พระพิฆเนศ โดยมีพี่สาวและแฟนนั่งกลับมาด้วย คุณหนุ่มขับรถมาจนใกล้จะถึงถนนหน้าศาลอาญา คุณหนุ่มมีความรู้สึกว่า เหมือนทางข้างหน้ามันแปลกๆ ดูไม่คุ้นตาทั้งๆที่ขับผ่านมาทางนี้หลายครั้งแล้ว และเห็นคนใส่ชุดสีดำอยู่ข้างถนนเยอะมาก
และมีอยู่คนหนึ่งยืนอยู่เกาะกลางถนนกำลังโบกรถให้คุณหนุ่มผ่านไป คุณหนุ่มก็คิดว่าสงสัยจะมีอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง แล้วสักพักคุณหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับว่าสติได้หลุดไปช่วงหนึ่ง และได้ยินเสียงกรี้ดมาจากรอบด้าน แล้วแฟนของคุณหนุ่มก็จับพวงมาลัยรถหัก คุณหนุ่มได้ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่ารถกำลังจะปีนขึ้นเกาะกลางถนน คุณหนุ่มจึงรีบหักพวงมาลัยให้รถกลับเข้ามาในเลนเหมือนเดิม ทุกคนในรถถามด้วยความตกใจว่าเป็นอะไร หลังจากที่คุณหนุ่มกลับมามีสติก็มองเห็นต้นโพธิ์ที่อยู่เกาะกลางถนน
คุณหนุ่มก็คิดว่า ถ้าเกิดหักรถกลับมาเข้าเลนไม่ทันคงได้เอารถไปเจิมกับต้นโพธิ์ต้นนี้แน่ คุณหนุ่มจอดรถทันทีแล้วเปลี่ยนให้แฟนมาขับต่อ และนั่งคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นคุณหนุ่มจึงได้ไปค้นประวัติของต้นโพธิ์ในสถานที่ตรงนั้นมาก็ได้ความว่า ทางโค้งตรงนั้นเหมือนจะไม่อันตราย เพราะมันไม่ใช่โค้งหักศอก แต่มักจะเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตอยู่บ่อยๆ และรถมาหลุดโค้งตรงนี้กันบ่อยมาก
มีผู้คนและดาราที่มีชื่อเสียงไปเกิดอุบัติเหตุ ณ จุดนี้อยู่หลายคน โค้งตรงนี้จึงได้ชื่อว่าโค้งร้อยศพ ผู้คนมักจะเห็นเป็นผู้หญิงยืนอยู่ที่เกาะกลางถนน จังหวะที่รถใกล้จะขับผ่านไป ผู้หญิงคนนั้นก็ได้วิ่งไปกลางถนน ทำให้คนขับรถตกใจและหักหลบจนเกิดอุบัติเหตุ
บางคนที่ขับรถผ่านก็เห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆกำลังปีนเล่นห้อยโหนอยู่บนต้นโพธิ์ในเวลากลางดึก และตรงนั้นจะมีสะพานลอย ถ้ามีคนขึ้นไปเดินอยู่ข้างบน เงาจะสะท้อนลงมาที่ถนน จนเห็นเป็นเงาคนตัวสูงๆ เวลาที่รถวิ่งผ่านมาก็อาจจะทำให้ตกใจและคุมสติกันไม่อยู่ แต่บางคนก็เล่าว่าช่วงนั้นก็ไม่ได้มีคนเดินอยู่บนสะพานลอย แต่ก็ยังเห็นเงาดำใหญ่ๆพาดอยู่กลางถนน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
30 มี.ค. 2562
อยู่ในป่าอย่าร้องทัก
เรื่องราวที่ไม่อาจลืม เป็นประสบการณ์จริงของคุณแม็คเมื่อ5ปีก่อนที่จังหวัดบึงกาฬ เรื่องของการเข้าป่าลึกที่มีข้อห้ามต่างๆเช่นห้ามทัก ไม่อย่างงั้นจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดถึงชีวิตได้เลยในป่าที่มีอาถรรพ์ ลองไปติดตามการเอาตัวรอดของพวกเขาได้ว่าจะรอดกันออกมาจากป่านี้ได้หรือไม่
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่จังหวัดบึงกาฬ เมื่อห้าปีที่ผ่านมา คุณพ่อของคุณแม็คเป็นคนที่ชอบเข้าป่าหาของป่า แล้วที่หมู่บ้านจะมีพรานที่คุณพ่อรู้จักอยู่คนนึง จึงชวนกันเข้าป่าหาของป่า และชวนคนอื่นๆไปด้วยทั้งหมดเจ็ดคน รวมทั้งคุณแม็คก็ได้เข้าไปด้วย แล้วก่อนจะออกเดินทาง ได้มีคนมาเพิ่มอีกคนนึง ชื่อบอล เป็นทหารปลดประจำการ รวมทั้งหมดเป็นแปดคน แล้วพรานก็ได้บอกข้อห้ามก็ของการป่าว่า เมื่อเจออะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่ปกติ ห้ามทัก เช่น ต้นไม้ใหญ่ หินก้อนใหญ่ ให้เก็บความสงสัยไว้จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า ตอนลงมาจากเขาแล้ว
ทุกคนจึงเดินทางออกจากบ้านประมาณห้าโมงเย็น พอถึงตีนเขา พรานก็ได้ทำพิธีเปิดป่า ซึ่งมีพวกอาหารใส่ในกระทง แล้วก็เหล้าขาว แล้วก็เอาธูปปัก แล้วพรานก็ได้นำกล่าวว่า เรามาเดินป่าในครั้งนี้ เพื่อมาหาสัตว์ป่าที่หมดอายุไขแล้ว เราไม่ได้มาเบียดเบียนสัตว์ เราจะให้เจ้าป่าเอาสัตว์ที่หมดอายุแล้วมาหาเรา ทุกคนจุดธูปแล้วนั่งไหว้กันหมด ยกเว้นคุณบอล ที่ไปจุดบุหรี่สูบอยู่ข้างหลัง พรานจึงเรียกมาให้ทำพิธีก่อน คุณบอลก็ตอบว่า "เออไม่เป็นไรหรอก ใครทำก็เหมือนกันนั่นแหละ ขึ้นด้วยกัน" ซึ่งพรานก็ดูจะไม่พอใจมาก
พอเสร็จพิธีก็เตรียมเดินขึ้นเขากัน ทุกคนจะมีปืนคนละกระบอก และไฟฉายพร้อมแบตเตอรี่ และมีสุนักไปด้วยสามตัว เพื่อใช้ในการดมกลิ่น คุณแม็คเองเคยขึ้นเข้าป่ามาแล้วครั้งนึง ในป่าจะมีเสียงนกเสียงช้างและเสียงสัตว์ป่าต่างๆ เพราะเป็นป่าใหญ่ แต่ ณ วันนี้กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย สัตว์เล็กๆอย่างจิ้งหรีดก็ไม่ได้ยิน หรือแม้แต่เสียงไม้ที่ถูกลมพัดให้สูสีกันก็ยังไม่ได้ยิน ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง ซึ่งคุณแม็คก็คิดว่าแบบนี้มันไม่น่าจะปกติ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเราก็ได้ทำพิธีแล้วจึงรู้สึกเบาใจลงมานิดนึง
พอเดินขึ้นเขากันจนเวลาประมาณสองทุ่ม เจอต้นไม้ที่มีลักษณะใหญ่มา คุณบอลก็ทักขึ้นมาทันทีว่า "นี่มันต้นไม้อะไร ทำไมมันใหญ่แบบนี้" แล้วเอามีดไปแกะสลักชื่อของตนเองลงไปที่ผิวของต้นไม้ ซึ่งพรานก็ได้คุยกันว่าไม่น่าพามันมาด้วยเลย และก็ได้เดินกันต่อไปจนถึงเที่ยงคืน ทุกอย่างก็เงียบ ก็เลยหยุดพักกันก่อน หุงหาอาหารกัน จนถึงเวลาประมาณตีสอง ป่าก็ยังเงียบ จากนั้นก็ไปหาที่นั่งสุ่มยิงสัตว์กันต่อจนถึงตีห้า ก็ได้ยินเสียงสุนักเห่าดังมาก ทุกคนจึงได้วิ่งกันไปทางต้นเสียง ไปเจอค่างอยู่บนต้นไม้ ลักษณะตัวใหญ่ สีดำ พรานจึงสั่งให้ยิง ทุกคนจึงยิงจนค่างตกลงมา แล้วหมาก็วิ่งเข้าไปกัดซ้ำ แต่ค่างมันยังไม่ตาย แล้วมันก็ลุกขึ้นมาสู้กับหมา แล้วกัดคอหมาตายไปหนึ่งตัว พรานเห็นท่าไม่ดีจึงเดินไปถือไม้มาฟาดเข้าไปที่ตัวค่างจนมันตาย จากนั้นพรานก็ทำพิธีขอค่างตัวนี้จากเจ้าป่า
แล้วทุกคนก็หาไม้แล้วเอาเชือกมามัดทำเป็นแคร่เล็กๆเอาไว้หามค่าง ระหว่างที่ทุกคนกำลังเก็บของเตรียมจะกลับ คุณบอลก็ได้เดินไปแหย่ค่างตัวนี้เล่น จนพรานด่าว่าห้ามทำแบบนั้น เดี๋ยวพอกลับถึงที่บ้านแล้วเดี๋ยวจะเจอดี คุณบอลก็ไม่สนใจ แล้วก็เดินลงไปที่รถก่อน ทุกคนเลยช่วยกันหามค่างลงไปที่รถ แล้วกลับเข้าหมู่บ้าน พอถึงหมู่บ้านทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน พอตกเวลาบ่ายโมงของอีกวัน ทุกคนก็มารวมตัวกันเพื่อที่จะแบ่งเนื้อค่างกัน แต่ขาดคุณบอลคนเดียว จึงให้เด็กวิ่งไปตาม
สักพักเด็กวิ่งกลับมาแบบหน้าตาตื่นแล้วบอกว่า "พี่บอลทำท่าทางแปลกๆ เหมือนลิง แล้วก็เดินรอบบ้าน แล้วผมร่วงหมดหัวเลย" ทุกคนจึงรีบไปดู ไปเจอคุณบอลในสภาพที่นอนอยู่บนเตียง บนหมอนมีแต่เส้นผม แล้วนอนขดเกร็งและสั่นเหมือนคนหนาว ทุกคนก็ถาม แต่คุณบอลก็ไม่ยอมพูดอะไร จึงได้พาคุณบอลไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าเป็นไข้ป่า หรืออาจจะโดนพิษของแมลง เลยไข้ขึ้น
ทุกคนเลยโทรตามคุณพ่อและคุณแม่ของคุณบอลมาเฝ้า ผ่านไปสามวันอาการของคุณบอลไม่ดีขึ้นเลย เพ้อถึงป่ากับลิงอยู่ตลอดเวลา จนเตียงข้างๆต้องย้ายไปที่อื่นเพราะกลัว พอคุณแม็คและคนอื่นๆเห็นท่าไม่ดี จึงได้ไปปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงบอกว่าให้ไปขอขมาซะ ให้ทำพิธีขอขมาที่ตีนเข้าตรงทางขึ้นเขา ก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้ เพราะเวลามันเกินมานานแล้ว ทุกคนจึงได้ไปขอขมาตรงที่เดิม ก็ได้เตรียมเหล้ากับไก่หลายตัวมาทำพิธีขอขมา โดยคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณบอลก็มาด้วย และมีชาวบ้านตามมาด้วยอีกหลายคน
พอขับรถมาถึงตีนเข้า คุณบอลก็เกิดอาการชัก แล้วทำท่าเหมือนลิง แล้ววิ่งรอบรถ เหมือนคนบ้า ดวงตาเป็นสีแดงเหมือนโดนคนชกลูกตาจนเกิดเลือดคลั่งทั้งสองข้าง ร้องโวยวายอยู่ตลอดเวลาแล้วไปล้มลงหน้าที่ทำพิธีแล้วขาดใจตาย ทุกคนตกใจมาก ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงแบบนี้ และสงสัยกันว่าตายด้วยสาเหตุอะไร จึงนำศพกลับไปให้โรงพยาบาลตรวจสอบดู แพทย์บอกว่าเป็นอาการของลมบ้าหมู แล้วกัดลิ้นตัวเอง
ทุกคนรวมถึงคุณแม็คเองไม่เชื่อว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ เพราะอาการนี้เหมือนกันกับตอนที่ค่างถูกยิงแล้วตกลงมาจากต้นไม้ แล้วสู้กับหมา อากัปกิริยาของคุณบอลเหมือนกับค่างตัวนั้น ณ ตอนนั้นเลย จานวันนั้นมา คุณแม็คก็ไม่กล้าขึ้นไปที่เขาลูกนั้นอีกเลย ถึงแม้ใครจะชวนไปอีกก็ตาม และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ป่าอาถรรพ์
เรื่องราวสุดหลอนในป่าลึกของคุณน้อย เรื่องราวประสบการณ์ที่เขาได้เข้าป่าแห่งหนึ่งเมื่อปี2542 ครั้งยังทำงานงานป่าไม้ หน้าที่ของคุณน้อยคือ สำรวจเกี่ยวกับแหล่งอาหารสัตว์ เขาได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดยากจะอธิบาย ลองไปฟังเรื่องราวของเขาได้เลยครับ
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ป่าแห่งหนึ่ง ประมาณปีสี่สิบสอง คุณน้อยได้ปลดจากทหารเกณฑ์มา และได้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานป่าไม้ในป่าแห่งนี้ ช่วงแรกก็ทำงานปกติจนผ่านไปประมาณสามเดือน คุณน้อยได้เข้าป่าไปสำรวจเกี่ยวกับแหล่งอาหารสัตว์กับพรานอีกคนนึง เป็นคนในพื้นที่ ซึ้งมีบ้านอยู่ในป่าแห่งนี้ ลักษณะของป่ารอบนอกจะเป็นป่าเบญจพรรณ แต่พอเข้าไปลึกๆแล้วจะเป็นป่าดิบที่มีต้นไม้ใหญ่ชนิดที่ว่าสิบคนโอบก็ไม่ถึง
คุณน้อยก็เดินทางไปกับพรานกันสองคน พกอาวุธประจำตัวกันทั้งคู่ และต้องเดินทางไปตามจุดต่างๆ ที่เป็นแหล่งอาหารสัตว์ ซึ่งข้อมูลแหล่งอาหารสัตว์จะอยู่ในสมุดพกของคุณน้อย ช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง คุณน้อยถ่ายภาพตามจุดต่างๆ สักพักคุณน้อยกดชัตเตอร์ไม่ติด จะกรอฟิล์มกลับก็ทำไม่ได้ คุณน้อยสังเกตบริเวณที่คุณน้อยอยู่ จะมีพุ่มไม้ขึ้นเป็นร่มๆ แล้วมีตาน้ำผุดขึ้นมาเป็นจุดๆ คุณน้อยจึงถามพรานว่าที่ต้องนี้คืออะไร พรานตอบว่า ที่ต้องนี้เป็นที่เก่าแก่ เคยมีชาวบ้านจะมาถางที่ทำไร่แถวนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ทุกคนจะมีอันเป็นไปทุกราย
คุณน้อยสังเกตดูตรงพื้นที่ที่ยืนอยู่ดีๆแล้ว ทำให้นึกถึงโป่งดินที่มักจะมีสัตว์ลงมากินกัน ประกอบกับสภาพอากาศมืดๆ มองไปทางไหนรู้สึกอึดอัด และทุกสถานที่ที่ไปสำรวจ คุณน้อยจะต้องยกมือไหว้บอกเจ้าที่เจ้าทางตลอด งานจึงลุล่วงไปด้วยดีทุกครั้ง แต่ดูเหมือนสถานที่นี้จะไม่ค่อยเป็นผล คุณน้อยเลยชวนพรานกลับออกไปกันดีกว่า
หลังจากนั้นอีกประมาณสามเดือน มีนักศึกษาจากต่างชาติเข้ามาศึกษาป่าเพื่อที่จะเอาไปทำรายงาน ซึ่งต้องไปติดตั้งกล้องอินฟาเรดตามแหล่งอาหารสัตว์ต่างๆ จุดนึงก็ติดกล้องประมาณสี่ถึงห้าตัว จากนั้นอีกสองอาทิตย์ คุณน้อยก็ได้เดินสำรวจตามจุดที่ติดตั้งกล้องต่างๆ เพราะกลัวว่าจะมีคนมาขโมย พอถึงวันที่ต้องเข้าไปเก็บกล้องกัน คุณน้อยเห็นลอยเท้าสัตว์อยู่เต็มพื้นที่ที่ติดตั้งกล้องแต่ละจุดๆ แต่พอเอากล้องกลับมาตรวจสอบ กลับถ่ายไม่ติดสัตว์เลยแม้แต่ตัวเดียว
ซึ่งตอนที่ไปติดตั้งกล้องก็ได้ลองเช็คกันดูแล้วว่ากล้องปกติดีทุกอย่าง ก็เลยได้ย้ายไปตั้งกล้องอีกจุดนึง ซึ่งอยู่ข้างๆล่องน้ำขนาดเล็กๆ มักจะมีสัตว์ลงมากินน้ำอยู่บริเวณนี้เสมอ พอติดตั้งกล้องเสร็จ เทสกล้องว่าใช้ได้ทุกตัว ก็กลับกันออกมา แต่จุดนี้จะไม่มีการเดินไปสำรวจ เพราะว่าอยู่ไกลมาก ต้องใช้เวลาเดินประมาณครึ่งวัน พอถึงวันครบกำหนด คุณน้อยจึงเดินทางไปยังจุดที่ติดตั้งกล้อง พบลอยเท้าสัตว์อยู่ทั่วบริเวณ จึงได้นำกล้องกลับมาตรวจ ปรากฏว่าก็ยังถ่ายไม่ติดเหมือนเดิม
คุณน้อยงงกับเหตุการณ์ที่เกินขึ้นมาก หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์ก็ได้ไปตั้งกล้องที่ปากถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นถ้ำที่เก่าและน่ากลัวมาก ถ้ำจะลึกลงไปประมาณแปดเมตร อยู่ข้างลำห้วย เคยมีเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในหน่วยศึกษาพืชพันธุ์ป้าไม้มาหายตัวใน ณ ที่ตรงนี้ พอลองนำกล้องที่ติดตั้งไว้มาตรวจสอบดู ก็ยังถ่ายไม่ติดสัตว์อีกเหมือนเดิม จึงได้เข้าไปพักที่สำนักงานเก่าที่อยู่ในป่า อยู่ข้างลำห้วย เพราะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว
คุณน้อยและพวกก็ได้กลางมุ้ง เตรียมหุงหาอาหารกัน คุณน้อยมีความรู้สึกว่า ป่าวันนี้เงียบมาก ไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกบเลยทั้งๆที่อยู่ข้างลำห้วย เป็นป่าที่เงียบมาก ตกดึกจึงได้เข้านอน มาสะดุ้งตื่นตอนกลางดึก คุณน้อยมองลงไปที่ปลายเท้า เห็นเป็นคนแก่กำลังนั่งทับอยู่ที่ปลายเท้า ใส่ชุดม่อฮ่อมเก่าๆ พันผ้าโพกหัว คุณน้อยตกใจมาก รีบเอาผ้าห่มคลุมโปงจนหลับ ตอนเช้าคุณน้อยก็ยังไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และกลับสำนักงานกัน ซึ่งก็ได้แต่คิดในใจว่าท่านเจ้าป่าอาจจะมาลองใคร และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
เกิดเหตุหลังเที่ยวบ้านผี
เรื่องราวสุดสยองสั่นประสาทล่าวิญญาณสุดโหดของคุณเจ๋ง ที่เขาประสบกับตัวเองโดยที่ไม่มีวันเป็นตราบาปติดตัวไปจนวันตาย เมื่อความคะนองอยากลองของไปเที่ยวบ้านผีสุดเฮี้ยน ที่เขาต้องพบเจอกับเรื่องร้ายๆ และการศูนย์เสีย เอาเป็นว่าอยากให้ไปลองติดตามชมเรื่องนี้ เพราะว่ามันสุดจะบรรยาย
เรื่องราวทั้งหมดเกินขึ้นบนถนนสายหนึ่ง ที่จะเข้าจังหวัดราชบุรี เมื่อประมาณสิบปีที่ผ่านมา สมัยที่คุณเจ๋งกำลังเรียนจบมัธยมปลาย แล้วก็ได้มีการเลี้ยงส่งกัน มีรุ่นพี่ที่จบไปแล้วมาร่วมงานอยู่หลายคน จนเวลาประมาณเที่ยงคืน รุ่นพี่คนนึงที่ชื่อพี่โหน่ง ก็พูดขึ้นมาว่า "ไหนๆก็จบกันแล้ว มาทำอะไรสนุกๆกันดีกว่า" ก็ตกลงกันว่าจะไปลองของที่บ้านร้าง แล้วมีบ้านร้างแห่งนึง ย่านทางกลับราชบุรี ซึ่งบ้านหลังนี้ก็ดังอยู่พอสมควร ก็เลยตกลงกันว่าเอาบ้านหลังนี้กัน ก็นั่งรถกระบะกันไปทั้งหมดห้าคน พอถึงบ้านหลังนี้
ลักษณะเหมือนบ้านสวน เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง มืดมาก คุณเจ๋งกับรุ่นพี่ลองเดินสำรวจใต้ถุนบ้าน แต่ก็ไม่พบอะไร ก็เลยคิดว่าขึ้นไปบนบ้านกันดีกว่า เพราะบ้านไม่ได้ล็อกไว้ คุณเจ๋งก็ขึ้นไปสำรวจบนบ้านกับรุ่นพี่อีกสองคน ส่วนเพื่อนของตนเองอีกสองคนไม่กล้าขึ้นไป จึงรออยู่ข้างล่าง ขณะที่เดินสำรวจกันอยู่บนบ้าน รุ่นพี่ของคุณเจ๋งที่ชื่อกอล์ฟก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่รู้จะมากันทำไม กินเหล้าดีกว่า" พอสำรวจต่ออีกประมาณสิบนาทีก็ไม่มีอะไร จึงได้ลงมาข้างล่างกัน
แล้วเพื่อนของคุณเจ๋งก็ได้ถามว่า "เจออะไรกันบ้างหละ" คุณเจ๋งก็ได้ตอบว่า "จะมีอะไร ก็บ้านร้างธรรมดา ไม่น่ากลัวอย่าที่เค้าพูดกันเลย" ก็เลยตกลงกันว่าจะกลับไปนั่งดื่มกันต่อที่บ้านของคุณเจ๋ง ก็ได้ขับรถออกจากบ้านหลังนี้ จนไปถึงปากซอย กำลังจะข้ามฝั่ง ทางด้านซ้ายมือจะมีศาลา ก็เห็นผู้หญิงวัยรุ่นสองคนยืนอยู่ในศาลา กับมอเตอร์ไซค์อีกคันนึง
ด้วยความที่คุณเจ๋งและเพื่อนๆก็เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน ก็เลยขับรถไปเทียบข้างศาลาแล้วถามว่า น้องจะไปไหนกัน นี่มันดึกแล้ว มายืนทำอะไรกันสองคนตรงนี้ เค้าก็ตอบกลับมาว่า รถน้ำมันหมด ช่วยไปซื้อน้ำมันมาให้หน่อยได้มั้ย คุณเจ๋งตอบว่าได้ ซักพักนึงผู้หญิงสองคนนั้นก็ได้เปลี่ยนใจ แล้วบอกว่าขอไปด้วยดีกว่า เพราะกลัวว่าถ้าให้ตังไปแล้วจะไม่กลัวมาหาอีก เดี๋ยวจะรอเก้อ
ทุกคนก็เลยตกลง แล้วช่วยกันยกรถขึ้นท้ายกระบะ แล้วอาสาขับรถไปส่งน้องที่ปั้มน้ำมัน เพื่อนของคุณเจ๋งสองคนจึงย้ายไปนั่งที่หลังกระบะ ส่วนคุณเจ๋งกับคุณกอล์ฟนั่งในรถกับน้องผู้หญิง คุณโหน่งเป็นคนขับ ระหว่างขับไปหาปั้ม ก็นั่งแซวน้องผู้หญิงทั้งสองคน เพราะน้องน่าตาดีมาก สักพักน้องก็ขอยืมโทรศัพท์ไปโทรหาแม่ คุณกอล์ฟก็เลยเอาให้น้องยืมแล้วน้องก็ได้โทรหาแม่บอกว่า รถน้ำมันหมดกำลังจะไปหาที่เติมน้ำมันกับพวกพี่ๆ
พอไปถึงปั้มน้ำมัน ช่วงเวลาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ แต่ปั้มน้ำมันปิดแล้ว ก็เลยถามน้องว่าบ้านอยู่ที่ไหนกัน เดี๋ยวไปส่งให้ที่บ้านดีกว่า น้องก็บอกว่าต้องย้อนกลับไปตรงปากซอยที่มีศาลาอยู่ ก็เลยขับกลับไปทางเดิม พอขับออกมาจากปั้มได้ประมาณยี่สิบนาที น้องผู้หญิงก็ถามขึ้นว่า
น้องผู้หญิง : พวกพี่ไปไหนกันมาเหรอ
คุณเจ๋ง : ไปดูบ้านหลังนั้นมา แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรอย่างที่เค้าคุยกันเลย
อยู่ๆ เพื่อนของคุณเจ๋งที่ชื่อกอล์ฟก็พูดขึ้นมาว่า
คุณกอล์ฟ : ไม่มีอะไรได้ยังไง นี่ไง อย่างน้อยก็ได้อะไรติดมือกลับมา
ในมือของคุณกอล์ฟมีกล่องใบเล็กๆที่มีรูกุญแจล็อกอยู่ แล้วพูดว่า
คุณกอล์ฟ : ไปคลำเจอมา ก็เอามาด้วยละกัน จะได้ไม่เสียเที่ยว
น้องผู้หญิง : ไปเอาของเค้ามา ไม่กลัวเค้าจะมาทวงคืนเหรอ
คุณกอล์ฟ : ก็ตอบว่า "ก็แค่บ้านธรรมดา ไม่มีอะไรหรอก มันไม่มีคนอยู่ ก็เลยเอามาตีความกันเอง
น้องผู้หญิง : ระวังเถอะ เดี๋ยวเค้าจะมาทวงคืน
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง คุณโหน่งก็ขับรถไปตามถนนเรื่อยๆ ถนนมืดมาก เพราะไฟจะตั้งทิ้งช่วงห่างกันค่อยข้างเยอะ คุณเจ๋งก็ถามน้องว่า "บ้านน้องใกล้จะถึงหรือยัง" น้องก็หันไปมองตามถนนข้างหน้าแล้วบอก "อีกหน่อยพี่ เลยสี่แยกไป" พอเลยสี่แยกไปแล้ว น้องก็บอกว่าให้ชิดขวา แล้วก็ข้ามฝั่ง แล้วก็จอดตรงนี้ แม่มายืนรอแล้ว คุณโหน่งก็กลับรถ แต่พอกลับรถได้ประมาณครึ่งคัน รถก็ดับอยู่กลางถนน
แล้วคุณเจ๋งก็ได้ยินเพื่อนสองคนที่นั่งท้ายกระบะทุบกระจกเสียงดันลั่น แล้วคุณเจ๋งก็ได้ยินเสียง โครมมม มารู้สึกตัวเหมือนมีอะไรมาทับร่าง หนักๆ รู้สึกว่าตัวเปียก และขยับตัวไม่ได้ ขยับได้แต่แขนกับขา แล้วมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่อยู่โรงพยาบาล และคุณเจ๋งก็ได้ทราบว่าตนเองถูกรถสิบล้อที่ตามมาด้านหลังชน คุณโหน่งกับคุณนัทเสียชีวิตทันที คุณพีไม่เป็นอะไร แต่กลับไม่พบตัวคุณกอล์ฟและน้องผู้หญิงอีกสองคน แม่ของคุณกอล์ฟก็เลยพยายามติดต่อคุณกอล์ฟผ่านทางมือถือ แต่ก็ไม่รับสาย
จนเข้าวันที่สามถึงมีคนรับสาย คุณแม่ของกอล์ฟก็เลยถามว่าอยู่ที่ไหน เค้าก็บอกว่าอยู่ตรงนี้ ถนนสายนี้ แต่เสียงที่พูดนี่ไม่ใช่เสียงของคุณกอล์ฟ หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล คุณแม่ก็เลยให้คุณเจ๋งพาไปตามที่เสียงปลายสายได้บอกสถานที่เอาไว้ และมีคุณพีไปด้วย พอไปถึง ปรากฏว่าเป็นบ้านร้างที่คุณเจ๋งและเพื่อนๆเคยเข้าไปลองของกัน คุณเจ๋งและคุณพีตกใจมาก พอเดินเข้าไปในตัวบ้าน คุณเจ๋งเห็นพวงมาลัยล้อมตัวบ้าน ทั้งๆที่ตอนมาเมื่อคืนก็ไม่เห็นมี
สักพักก็มีลุงท่านนึงเดินลงมาจากบ้าน แล้วถามว่ามาทำอะไรกัน แม่ของคุณกอล์ฟก็ได้บอกว่าเป็นคนที่โทรมาหาตอนเมื่อวาน ลุงก็เลยเรียกให้ขึ้นไปบนบ้าน พอไปถึงบนบ้าน คุณเจ๋งเห็นภาพของน้องผู้หญิงทั้งสองคนแขวนอยู่บนฝาบ้าน คุณเจ๋งเข่าอ่อนทันที แล้วก็สังเกตเห็นกล่องใบเล็กๆที่คุณกอล์ฟหยิบติดมือไปด้วยวางอยู่บนโต๊ะ ข้างๆกล่องมีมือถือของคุณกอล์ฟวางอยู่ด้วย คุณเจ๋งก็เลยถามลุงว่าลุงเป็นใคร แล้วผู้หญิงในรูปเป็นใคร
ลุงก็บอกว่าลุงเป็นผู้ดูแลบ้านหลังนี้ จะมาอยู่แค่ช่วงตอนกลางวัน เด็กในรูปสองคนนี้เมื่อก่อนถูกข่มขืนแล้วฆ่า ผู้เป็นแม่เสียใจเลยกินยาตายในบ้านหลังนี้ จากนั้นคุณเจ๋งและแม่ของคุณกอล์ฟก็ได้ไปตามหาคุณกอล์ฟต่อที่โรงพัก แต่ก็ไม่พบจนผ่านไปห้าวัน คุณแม่คิดว่ายังไงลูกชายของตนก็คงจะเสียชีวิตไปแล้ว จึงได้จุดธูปบอกว่าใครที่บังตาอยู่ ขอให้ปล่อยลูกชายออกมาเสีย หลังจากนั้นตอนหัวค่ำก็ได้ช่วยกันเดินหาตามคูน้ำข้างจุดเกิดเหตุ แล้วคุณเจ๋งก็ได้เรียกเพื่อนของตนที่เป็นกู้ภัยให้มาช่วยกันหา สรุปเจอศพของคุณกอล์ฟหมกอยู่ที่กอหญ้าห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณสองร้อยเมตร และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ปืนมีประวัติ
เรื่องราวของปืนที่บ้านของคุณตั้ม ที่เขาจะเห็นปืนกระบอกนั้นตั้งแต่เด็กๆ โดยคุณพ่อมักจะนำมาทำความสะอาดบ้าง เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อคุณตั้มเริ่มโตขึ้น เขาเริ่มเจอเรื่องแปลกๆที่เกี่ยวข้องกับปืนกระบอกนั้น ลองไปติดตามเรื่องของเขาได้เลยครับว่าจะลงเอยกันยังไง
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้าน ในจังหวัดอุดรธานี เมื่อประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมา สมัยที่คุณตั้มยังอายุสิบเอ็ดขวบ มีปืนกระบอกนึงในบ้าน คุณตั้มเห็นปืนกระบอกนี้มานานแล้ว พ่อของคุณตั้มก็เอามาเช็ดทำความสะอาดบ้าง แต่ทุกครั้งที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว คุณพ่อจะเอาวางไว้บนหิ้งพระ อยู่ตรงเสากลางบ้านชั้นสอง แล้วบนหิ้งพระจะไม่มีพระอยู่เลย ส่วนห้องพระก็จะแยกอยู่ต่างหาก
แล้วทุกครั้งที่คุณพ่อเอาปืนขึ้นไปไว้บนหิ้งพระ วันนั้นจะตรงกับวันพระ วันโกน และคืนนั้นจะได้ยินเสียง "ก๊อกๆ แก๊กๆ" มาจากบนหิ้งพระ ตอนเด็กๆคุณตั้มก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็เคยถามคุณพ่ออยู่บ้าง แต่คุณพ่อก็ไม่เล่าให้ฟัง จนมาวันนึง ทุกครั้งที่คุณตั้มปวดปัสสาวะตอนกลางคืน คุณตั้มจะชวนคุณพ่อหรือชวนคุณแม่ไปด้วย แต่พออายุเริ่มเข้าสิบเอ็ดขวบ ก็เริ่มไม่อยากชวน
คืนนั้นคุณตั้มเลยไปคนเดียว เป็นคืนวันพระ เพราะวันนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ซื้อดอกไม้ดอกบัวมาไว้พระ ก็ต้องเดินผ่านกลางบ้าน เพราะว่าห้องน้ำอยู่ชั้นล่าง จังหวะที่คุณตั้มเดินผ่านเสากลางบ้านที่มีหิ้งพระ คุณตั้มเหลือบขึ้นไปมอง ปรากฏว่าเห็นเงาคนดำๆนั่งยองๆอยู่บนหิ้งพระ แล้วแกว่งแขนไปด้วยทั้งสองข้าง แล้วหิ้งพระจะอยู่ค่อนข้างสูง เงาที่นั่งอยู่บนหิ้งพระก็จะเอียงคอ เพราะหัวติดกับเพดาน คุณตั้มตกใจมาก ปัสสาวะราดอยู่ตรงนั้นเลย ร้องไห้แล้ววิ่งไปหาคุณพ่อ
ตอนเช้าคุณพ่อก็เลยไปนิมนต์หลวงลุงซึ่งเป็นเจ้าของปืนกระบอกนี้ ให้มานำกลับไปที่วัด จากนั้นเหตุการณ์ในบ้านก็ปกติ จนคุณตั้มโตขึ้น คุณพ่อก็ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนตอนที่หลวงลุงยังไม่ได้บวช หลวงลุงเป็นทหาร ไปรบในลาว แล้วได้ปืนกระบอกนี้มาจากคนอเมริกัน เป็นปืนพก แล้วมีเพื่อนคนนึง เป็นเขมรที่พอรู้วิชาอาคมบ้าง หลวงลุงก็ได้ให้เพื่อนท่านนี้ลงอักขระให้ที่ปืน ประมาณว่าจะให้มีผีสิงในปืน แล้วผีตนนั้นที่คุณตั้มเห็นตอนเป็นเด็ก ก็คือเหยื่อรายแรกที่โดนปืนกระบอกนี้ยิง แล้วจะเอาฟันของศพมาใส่ไว้ที่ประกับด้ามปืน แล้วก็ลงอักขระปิด
พอปัจจุบันที่อยู่ในสภาวะปกติ ไม่มีสงครามแล้ว ในวันพระวันโกน ก็จะมีเสียง "ก็อกๆ แก็กๆ" คุณพ่อก็ได้เล่าให้ฟังต่อว่า คุณพ่อก็เคยเจออยู่เกือบทุกวัน บางวันคุณแม่จะเอาพวงมาลัยมาคล้องหิ้งพระนี้ไว้ คุณพ่อก็จะเห็นเป็นลักษณะเงาคนออกมาลูบพวงมาลัย แต่ส่วนใหญ่เงาตนนี้จะอยู่แต่บนหิ้งพระ เกาะห้อยไปห้อยมาอยู่แต่ข้างบน ปัจจุบันปืนกระบอกนี้ถูกเอาไปโบกปูนติดไว้ข้างในอกพระพุทธรูปที่วัดแห่งที่ ในจังหวัดอุดรธานี
เรื่องหลอนตอนบวช
เหตุการณ์เกิดขึ้นจริงของคุณเบนเมื่อ1ปีก่อนที่เขาได้บวชที่วัดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าวไม่ขอเอ่ยชื่อ เป็นเรื่องราวหลอนๆที่เขาได้เจอกับประสบการณ์หลอนๆ ในกุฏิที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายในระหว่างที่เขาเดินทางธรรม ไปติดตามชมเรื่องของเขากันเลยครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ลาดพร้าว เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว คุณเบนและน้องชายได้ไปบวชยังวัดแห่งนึงแถวลาดพร้าว หลวงพี่ที่วัดก็ได้พาคุณเบนและน้องขึ้นกุฏิที่ทางวัดได้จัดไว้ให้คุณเบนและน้องอยู่ ซึ่งอยู่ชั้นสองของกุฏิ พอคุณเบนก้าวเข้าไปในห้อง คุณเบนก็รู้สึกแปลกๆ ห้องของพระทุกห้องจะมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ในห้องด้วย แต่ห้องของคุณเบนกลับเป็นบาตรพระที่ลงอักขระแทน
แล้วหลวงพี่ก็ได้กำชับว่าห้ามแตะบาตรนี้เด็ดขาด ก็ทำให้คุณเบนและน้องชายเกิดความสงสัยขึ้นว่าเพราะอะไร คุณเบนและน้องชายก็ได้จัดของและวางที่นอนให้เข้าที่เข้าทาง พรุ่งนี้ตอนเช้าจะมีบิณฑบาต คุณเบนและน้องชายก็จะต้องท่องคาถาที่ไว้สำหรับบิณฑบาตให้คล่องเสียก่อน จึงฝึกนั่งท่องกันในห้อง คุณเบนได้ลองเดินสำรวจห้อง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็สังเกตุว่าห้องพักนี้มันตรงกับทางสามแพร่งพอดี
คุณเบนก็กลับไปฝึกนั่งท่องบทสวดต่อ จนสักพักก็รู้สึกว่าท่องไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยแยกกันท่อง โดยให้น้องชายออกไปฝึกท่องอยู่ที่หน้าห้อง ส่วนคุณเบนก็ฝึกท่องในห้อง น้องชายของคุณเบนก็ได้ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวนึงที่อยู่หน้าห้องแล้วฝึกท่อง แล้วหลวงพี่ก็เดินขึ้นกุฏิมาเห็นก็ตกใจ แล้วบอกว่า "พระแบล็ค ห้ามนั่งบนเก้าอี้ตัวนี้เด็ดขาด หลวงพี่ลืมบอก" คุณเบนได้ยินเสียงก็เลยเดินออกมาดู ก็สงสัยว่าทำไมห้ามแตะของเยอะจัง
คุณเบนก็ชวนน้องชายลงไปฝึกท่องข้างล่างแทน พอลงไปข้างล่างแล้ว หลวงพี่ที่อยู่ตรงข้ามกุฏิก็ได้ถามว่า "ท่านสองรูปนอนที่ไหน" คุณเบนก็ได้ตอบไปว่า "นอนห้องนี้ครับ" แล้วหลวงพี่ก็ยิ้ม แล้วหัวเราะ แล้วพูดว่า "ห้องนี้หรอ ตรงข้ามกับห้องของอาตมาเลยนะ" คุณเบนก็ได้ถามว่า "ทำไมต้องหัวเราะแบบนั้นด้วยครับหลวงพี่" หลวงพี่ก็ตอบว่า "เปล่าๆ ไม่มีอะไร ห้องนั้นลมพัดเย็นดี" คุณเบนรู้สึกผิดปกติ แล้วเริ่มกลัว ก็เลยเค้นกับหลวงพี่อีกที "หลวงพี่ ห้องนั้นมันมีอะไรกันแน่ บอกผมมาเถอะ เพราะว่า ถ้าเกิดผมกับน้องชายผมเจอ ช็อคทั้งคู่เลยนะ"
หลวงพี่ก็บอกว่า "ถ้าเล่าแล้วอย่ากลัวนะ ทำใจให้ได้นะ" แล้วหลวงพี่ก็เล่าว่า ห้องนั้น เจ้ากุฏิเก่าเอาไว้ทำพิธี แล้วก็เอาศพตายโหงไว้ในนั้น ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ แล้วโต๊ะที่น้องชายของคุณเบนไปนั่ง เป็นโต๊ะที่เอาไว้ตั้งศพตายโหง คุณเบนและน้องชายก็เริ่มกลัว และคิดว่าไม่สามารถนอนได้แล้ว
พอตอนกลางคืนก็ได้เอาหมอนกับผ้าห่มลงมาขอหลวงพี่ว่าจะนอนข้างล่าง ห้องข้างล่างมีหลวงพี่นอนอยู่แล้วสองรูป ปกติแล้วห้องข้างบนนั้นจะมีหลวงพี่นอนอยู่รูปนึง แต่ก็หนีลงมานอนห้องข้างล่างเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเพราะอะไร พอคุณเบนและน้องชายสวดมนต์ก่อนนอนจบก็เข้านอนเลย พอตกดึกหลวงพี่ที่นอนอยู่ห้องนี้ก่อนแล้วก็ได้หลับไปแล้ว เหลือแต่คุณเบนและน้องชายนอนมองหน้ากัน เพราะแปลกที่จึงนอนไม่หลับ
จนซักพักนึง คุณเบนก็เห็นว่าน้องชายได้หลับไปแล้ว แต่คุณเบนก็ยังนอนไม่หลับ ข่มตานอนยังไงก็นอนไม่หลับ จนได้ยินเสียงเดินอยู่ข้างบนห้องที่คุณเบนและน้อยชายอยู่เมื่อตอนกลางวัน ซึ่งไม่น่าจะมีใครอยู่ในนั้น สักพักพอเสียงเดินหยุด คุณเบนก็คิดว่าจะปลุกน้อง แต่ก็กลัวว่าน้องจะกลัวจนนอนไม่หลับ จะปลุกหลวงพี่แต่ก็เกรงใจ ก็เลยลองไปสะกิดน้องชายดูว่าหลับหรือยัง
น้องชายก็ลืมตาแล้วมองหน้าคุณเบน ปรากฏว่าน้องชายรีบดีดตัวไปข้างหลังทันที เหมือนคนกลัวสุดขีด จนหลวงพี่ที่นอนอยู่ด้วยตื่นแล้วไปเปิดไฟ คุณเบนก็สงสัยว่าน้องโดนพี่เข้าหรือป่าว หลวงพี่ก็คิดว่าพี่เข้ากัน คุณเบนก็เลยเข้าไปถามว่าเป็นอะไร น้องชายก็มองหน้าคุณเบนแล้วตอบว่าไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไร แล้วก็นอนต่อ หลวงพี่ก็เลยปิดไฟแล้วนอน
น้องชายก็ได้พูดกับคุณเบนว่า "พี่เบน แบล็คเจอแล้วหวะ" คุณเบนก็ถามว่าเจออะไร น้องชายบอกว่าตอนที่ลืมตาขึ้นมามองหน้าคุณเบน แต่หน้านั้นไม่ใช่หน้าของคุณเบน เป็นหน้าใครก็ไม่รู้ แล้วยิ้มให้ คุณเบนคิดในใจว่าน้องเจอแล้ว แล้วต่อไปเราจะเจออะไรอีก หลวงพี่ข้างๆก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอก คิดกันไปเอง แล้วหลวงพี่ก็บอกให้คุณเบนและน้องนอน แล้วท่านจะนั่งเฝ้าให้เอง
พอยิ่งดึกคุณเบนและน้องชายก็ยังนอนไม่หลับ คุณเบนก็เลยหันไปมองหลวงพี่ที่นั่งเฝ้าอยู่ เห็นหลวงพี่นั่งท่องคาถาอยู่ตลอดเวลา คุณเบนก็เลยอุ่นใจแล้วก็เผลอหลับไป ตื่นมาก็ทำวัดเช้าแล้วออกไปบิณฑบาต
พอตอนกลางคืน คุณเบนและน้องชายก็เริ่มสวดมนต์ทุกอย่างให้เรียบร้อยและเข้านอน สักพักคุณเบนก็เริ่มได้ยินเสียงเดินไปเดินมาอยู่ห้องข้างบน จากนั้นก็เดินลงบันได พอยิ่งดึกก็รู้สึกว่ามาเดินผ่านขา และรอบตัว เหมือนจะมีมากกว่าสามคน จนคุณเบนรู้สึกไม่ไหวแล้ว ก็เลยสะกิดหลวงพี่แล้วถามว่า "หลวงพี่ ทำไมมันมีเสียงเดินอยู่รอบตัวเลย" หลวงพี่ก็ตอบกลับมาว่า "มันเป็นเรื่องปกติ"
คุณเบนก็คิดว่ามันไม่ไหวแน่ถ้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ทุกคืน จนต้องหายานอนหลับกินทุกคืน แล้วประมาณวันที่เก้าของการบวช ยานอนหลับก็หมดพอดี ก็เลยคิดว่าอาจจะไม่ต้องใช้แล้วก็ได้ เพราะบวชมาหลายวันแล้ว จิตอาจจะเริ่มแข็งขึ้นมาบ้าง แล้วก็ได้มีหลวงพี่เข้ามาใหม่อีกรูปนึง แล้วได้ขึ้นไปนอนห้องข้างบน
พอตกดึกคุณเบนและน้องชายก็ได้นั่งสวดมนต์อยู่ห้องข้างล่าง สักพักก็ได้ยินเสียงเดินลงมาจากห้องข้างบน แล้วก็เดินกลับขึ้นไปอีก เป็นแบบนี้อยู่สี่รอบ แล้วก็มีเสียงเคาะประตู ปรากฏว่าเป็นหลวงพี่ที่เข้ามาใหม่ หลวงพี่ถามว่า "มีใครมาแกล้งเคาะประตูห้องอาตมาหรือป่าว" คุณเบนก็ตอบว่าไม่มีใคร แล้วถามกลับว่า "หลวงพี่เดินลงมากี่รอบ" หลวงพี่ก็ตอบว่า "รอบเดียว" คุณเบนบอกว่า "ได้ยินเสียงเดินขึ้นเดินลงสี่รอบ" หลวงพี่ก็บอกว่า "ได้ยินเสียงใครมาเคาะประตูอยู่เหมือนกัน"
หลวงพี่ก็เลยขนของลงมาน้องห้องข้างล่างด้วยกัน จนคุณเบนและน้อยชายสึกออกมา จากนั้นไม่นานวัดนี้ก็ได้เปลี่ยนเจ้าอาวาสใหม่ แล้วคุณเบนก็ได้ทราบมาว่า ห้องชั้นสอง เมื้อก่อนเป็นห้องที่เจ้ากุฏิเอาไว้ศึกษาเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำกับศพ และปัจจุบันร่างของเจ้ากุฏิก็ยังถูกเก็บเอาไว้ในกุฏิหลังนั้น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
29 มี.ค. 2562
ผีดูหนัง
ประสบการณ์สุดหลอนของคุณโอ๋ เป็นเรื่องจริงที่คุณโอ๋ได้เจอมากับตัวเอง เมื่อคุณโอ๋ไปดูหนังที่โรงหนังแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ และเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก เมื่อก่อนที่นี้เคยมีคนมาดูหนังเป็นจำนวนมาก แต่พักหลังนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในหนังรอบหนึ่ง ซึ่งแทบนับจำนวนคนมาดูได้เลยในรอบหนึ่ง
จนตอนกลางวันแทบนับคนได้เลย แต่ด้วยความที่คุณโอ๋เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังอยู่แล้ว พอดีคุณโอ๋ไปบ้านเพื่อน แล้วอยากดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี เพราะเพื่อนเล่าให้ฟัง คุณโอ๋จึงได้เข้าไปซื้อตั๋ว และตั้งใจว่าจะดูก่อนรอบสุดท้าย แต่มันเลยเวลามาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว เลยได้ซื้อตั๋วดูรอบสุดท้ายแทน ประมาณสี่ทุ่ม
คนน้อยมาก คุณโอ๋เลือกนั่งแถวหลังสุด ที่นั่งห้าเอ ก่อนหนังฉายคุณโอ๋ได้เดินเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำเก่าและน่ากลัวมาก ใหญ่พอสมควรแต่ไม่มีคนเลย คุณโอ๋เลือกเข้าห้องตรงกลาง พอคุณโอ๋เสร็จกิจและเปิดประตูออกมา พอจะหวังที่กำลังเปิดประตู คุณโอ๋ได้ยินเสียงกดชักโครกของห้องข้างๆ ซึ่งตอนที่คุณโอ๋เดินเข้ามา ทุกห้องจะเปิดประตูหมดและไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย
คุณโอ๋พยายามไม่ใส่ใจ และเดินออกไปซื้อขนม และกลับเข้ามานั่งที่นั่ง มีคนดูน้อยมาก แถวที่คุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนนั่งเลย พอหนังเริ่มฉายไปได้สักพัก ประมาณครึ่งเรื่อง ขนมเริ่มหมด และหางตาของคุณโอ๋เห็นเหมือนมีคนนั่งอยู่แถวเดียวกัน ประมาณสองถึงสามคน ถัดจากที่นั่งของคุณโอ๋ไปสองที่นั่ง คุณโอ๋ก็งงว่ามาตอนไหน แต่คุณโอ๋ไม่ได้หันไปมองตรงๆเพราะกลัวจะเป็นการเสียมารยาท
หลังจากนั้นอีกประมาณสิบห้านาที ขนมของคุณโอ๋หมด คุณโอ๋ก็เลยจะเอากล่องใส่ขนมวางไว้ข้างล่าง พอจังหวะที่คุณโอ๋ก้มตัววางกล่องขนมไว้ข้างล่าง คุณโอ๋สังเกตเห็นหัวคนโผล่ออกมาจากเบาะที่นั่งถัดจากคุณโอ๋ไปหนึ่งที่ คุณโอ๋เลยรีบเงยหน้าขึ้นมา แต่คนที่นั่งอยู่แถวเดียวกับคุณโอ๋สองถึงสามคนที่คุณโอ๋เห็นเมื่อก่อนหน้านี้ บัดนี้ไม่มีใครเลย คุณโอ๋ตกใจมาก เลยรีบย้ายที่นั่งไปนั่งในแถวที่มีคนกำลังนั่งอยู่
และนั่งคิดทบทวนว่าสิ่งที่เจอมันคืออะไร แต่คุณโอ๋มั่นใจว่ามันคือหัวคนแน่ๆ จนกระทั่งหนังจบ คุณโอ๋รีบลุกขึ้นเตรียมที่จะออกจากโรงหนัง จังหวะที่กำลังเดินออกจากที่นั่ง คุณโอ๋สังเกตุเห็นเงาคนสองถึงสามคนตรงที่นั่งในแถวที่คุณโอ๋นั่งดูก่อนที่จะย้ายมานั่งที่ใหม่
เป็นลักษณะเงาดำๆแล้วก็ค่อยๆหายเข้าไปในเบาะที่นั่ง คุณโอ๋เห็นแบบนั้นจึงรีบเดินออกจากโรงหนังทันที และก่อนจะออก คุณโอ๋ได้ลองถามน้องพนักงานว่า "โรงเนี่ยมันมีชัวๆใช่มั้ย แล้วมีโรงไหนอีกที่มันมี" พนักงานก็บอกกับคุณโอ๋ได้แค่ว่า "ผมจะอยู่แค่ข้างล่าง จะไม่ขึ้นไปเหยียบชั้นที่นั่งบนๆเด็ดขาด และไม่สามารถบอกได้ว่าโรงไหนมีบ้าง แต่ผมจะอยู่แค่ตรงประตู"
พอคุณโอ๋ได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง ซึ่งก่อนหน้านี้ เพื่อนของคุณโอ๋ก็ได้เล่าให้ฟังว่า ตัวเค้าเองก็ได้มาดูหนังในโรงหนังแห่งนี้ และนั่งที่นั่งแถวบนเหมือนกัน และก็เจอคล้ายๆกับที่คุณโอ๋เจอ คือตอนแรกแถวที่เพื่อนของคุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนเลย พอหนังฉายไปได้ครึ่งเรื่อง ก็มีคนโผล่ออกมานั่งเต็มทุกแถวที่นั่งที่อยู่ชั้นบนๆ แล้วทุกคนก็หันมามองหน้าเพื่อนคุณโอ๋กันเป็นสายตาเดียว และพอหนังจบตอนที่ออกจากโรงหนัง กลับไม่มีคนเลย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
อาถรรพ์ทาวน์เฮ้าห์แฝด
เป็นเรื่องราวของคุณรุสเมื่อ20ปีก่อน ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ช่วงนั้นคุณรุสกำลังเรียน ปวส ช่างไฟฟ้า ที่ต่างจังหวัด และมีรุ่นพี่แนะนำให้ฝึกงานที่กรุงเทพ คุณรุสและเพื่อนๆราวๆ13คน ไปทำงาน บริษัทรับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า พวกเขาทำงานหนักและทำโอทีด้วยในตอนนั้น เพราะพี่ๆเค้าอยากให้อยู่ช่วยงานกัน จึงเลิกงานประมาณสี่ถึงห้าทุ่มตลอด มีอยู่วันนึง คุณรุสและเพื่อนๆก็ทำงานถึงสี่ทุ่มเช่นเดียวกัน และเดินทางกลับมาที่พัก ที่พักจะอยู่แถวสุขุมวิท พี่ที่คุมงานชื่อพี่ตี๋ พี่ตี๋ก็ได้ถามคุณรุสว่า
พี่ตี๋ : รุส วันนี้เหนื่อยมั้ย
คุณรุส : ไม่เหนื่อยอะ สบายๆ
พี่ตี๋ : ถ้าพี่ชวนไปทำงานต่ออีกนิดนึงได้มั้ย
คุณรุส : ได้พี่ ไปที่ไหน เป็นบ้านหรืออะไร
พี่ตี๋ : เป็นทาวน์เฮ้าห์มือสอง เจ้านายซื้อเอาไว้ พอดีเค้ากำลังปรับปรุงกันอยู่ ยังไม่เสร็จ
คุณรุส : ได้พี่
พี่ตี๋ : งั้น รุสไปชวนเพื่อนมาคนนึง เดี๋ยวพี่เอาคนงานของพี่ไปคนนึง ชื่อน้อย
แล้วคุณรุสก็ไปชวนเพื่อนมาคนนึง ชื่อบอย เป็นเด็กฝึกงานด้วยกัน ก็ขึ้นรถกระบะไปด้วยกันทั้งหมดสี่คน พี่ตี๋ขับรถคนเดียว อีกสามคนนั่งเล่นอยู่ข้างหลังแครี่บอย พอมาถึงบ้านทาวน์เฮ้าห์หลังนี้ ซึ่งทางหน้าบ้านจะเป็นลักษณะตัวที คือทางสามแพร่ง
ตัวบ้านห่างจากป้อมยามที่อยู่หน้าบ้านประมาณยี่สิบเมตร หลังจากจอดรถ ขนเครื่องมือลงจากรถแล้วก็เดินเข้าไปในบ้านกัน ภายในบ้านเปิดไฟสลัวๆ แต่ว่าระบบไฟยังใช้ได้ไม่เต็มที่ พอเข้าไปในบ้านกันแล้ว พี่ตี๋ก็พูดว่า เดี๋ยวจะแบ่งงานให้ รุสขึ้นมากับพี่ชั้นสาม
พอขึ้นไปชั้นสาม พี่ตี๋ก็บอกให้คุณรุสเข้าไปจั้มไฟ และต่อวงจรไฟที่อ่างล้างมือ และพี่ตี๋บอกว่าไม่มีการดับไฟนะ ให้จั้มสดเลย คุณรุสก็ตกลง ระหว่างทำ คุณรุสต้องมุดลงไปทำใต้ซิ้งอ่างล่างมือ
ในขณะที่ทำอยู่คุณรุสรู้สึกว่ามีลมเย็นๆพัดผ่านที่ต้นขา และหางตาก็เห็นเหมือนมีอะไรเดินผ่านไป คุณรุสคิดในใจว่าทีมต้องขึ้นมาหาแน่ ก็เลยชะโงกหน้าออกมาจากใต้อ่างแล้วเรียกชื่อ พี่ตี๋ น้อยหรอ บอย แต่ก็เงียบ คุณรุสฉุดคิดขึ้นมาอยู่เรื่องนึงก็คือ วันนี้ชุดที่ทั้งสี่คนใส่มาคือชุดกาว แต่สิ่งที่เดินผ่านคุณรุสไปมันเป็นเหมือนชุดผ้าคลุมนอนสีขาว คุณรุสรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที และมีความรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ละ จึงรีบทำงานให้จบ
พอเทสไฟเสร็จแล้วไฟติดปกติ ก็รีบวิ่งลง แต่ตอนวิ่งลงคุณรุสลงในลักษณะถอยหลังเพราะกลัวมาก จนไปชนเข้ากับพี่ตี๋ที่นั่งคุมงานอยู่ด่านล่าง พี่ตี๋ก็ถามคุณรุสว่า
พี่ตี๋ : รุสเป็นไรอะ
คุณรุส : อ๋อไม่มีไรพี่ พี่ตี๋ ถามนิดนึงเมื่อกี้ใครอยู่ข้างบนมั้ย
พี่ตี๋ : ไม่มี ไอ้บอยมันก็ทำอยู่ในห้องครัว ไอ้น้อยทำโคมไฟอยู่หน้าบ้าน แล้วเป็นไรเนี่ย
คุณรุส : อ๋อไม่มีไรพี่ ผมนึกว่ามีคนอยู่ข้างบน
พี่ตี๋ : ไม่มีหรอก บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ งั้นไม่เป็นไร รุสไปช่วยบอยมันในห้องครัวละกัน เห็นมันทำไฟยังไม่เสร็จสักที
คุณรุสจึงเดินไปในห้องครัว เจอคุณบอยก็เลยช่วยกันทำไฟต่อ แต่คุณบอยสังเกตุสีหน้าคุณรุสออกเลยถามคุณรุสว่า เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ คุณรุสตอบไปว่าไม่มีอะไร เพราะคุณบอยเป็นคนขี้กลัวผี กลัวมากที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมด
ระหว่างนั่งทำไฟอยู่ ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ กระจกบานใหญ่ล่วงลงมาใส่หลังคาชั้นหนึ่งที่พวกคุณรุสนั่งทำงานกันอยู่ ชั้นนึงมันจะมีพื้นที่มากกว่าชั้นสองและชั้นสาม หลังคาชั้นหนึ่งจึงยื่นออกพ้นระเบียงชั้นสองออกไปพอสมควร เสียงดังไปทั่วบริเวณ เสียงเศษกระจกแตกละเอียด กระจัดกระจายกันออกไป
ทุกคนตกใจมาก คิดว่าน่าจะร่วงลงมาจากที่ไหนสักที่จากชั้นสาม กลัวว่าข้างบ้านจะด่าเอา เพราะเสียงมันดังมาก คุณตี้ถามขึ้นมาทันทีว่า กระจกร่วงหรอ ใครทำร่วงอะ คุณรุสตอบไปว่า ไม่รู้เหมือนกันพี่ ก็อยู่นี่กันทุกคน คุณรุสเริ่มรู้สึกไม่ดี เลยพูดกับพี่ตี๋ว่า
คุณรุส : พี่ตี๋ ผมรู้สึกแปลกๆแล้วนะ
พี่ตี๋ : รุสใจเย็น ไม่มีอะไร เอางี้ รุสไปเคลียร์กระจกออกมาก่อน
คุณรุส : อ่าวไมต้องเป็นผมอ่ะ
พี่ตี๋ : ก็เอ็งตัวสูงที่สุด
คุณรุสเลยต้องค่อยๆขึ้นไปบนหลังคาชั้นหนึ่ง แล้วเอามือคลำๆ แล้วก็ควานดู คุณรุสตกใจทันที แล้วรีบลุกขึ้น แล้วลงไปบอกกับพี่ตี๋ว่า ไม่มีกระจกพี่ พี่ตี๋บอกว่า รุสอย่าล้อเล่น แล้วพี่ตี๋ก็เอาไฟฉายขึ้นไปส่องทั่วหลังคา แต่กลับไม่เจอเศษกระจกเลย
ทุกคนหน้าซีดหมดเลย พี่ตี๋ก็เลยบอกกลับทุกคนว่าไม่มีอะไรๆ รีบทำงานดีกว่า จะได้รีบกลับกัน จากนั้นคุณบอยก็เริ่มทักคุณรุสหนักเลยว่ามีอะไรหรือป่าว แล้วชวนว่าให้รีบกลับเหอะ คุณรุสบอกว่างั้นรีบทำ จะได้จบๆ
ทุกคนจึงรีบกลับไปทำงาน แต่ทำงานด้วยความหวาดระแวง คุณรุสรีบหมุนหลอดไฟแบบเกลียวเข้ากับโคมไฟบนเพดาน พอไฟติดและเทสทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสียงกระจกร่วงลงมาอีกครั้ง และครั้งนี้ดังกว่าเดิมมาก ทุกคนอุดหูหมด แล้วหลอดไฟที่พึ่งหมุนเข้าไปเมื่อครู่กลับหลุดออกมากจากโคม ล่วงลงแตกบนพื้น
คุณบอยสติแตกทันที บอกกลับคุณรุสว่า ข้าไม่อยู่แล้ว ไม่ทำแล้ว โอทีวันนี้ไม่เอาตังก็ได้ ขอกลับบ้านได้มั้ย คุณรุสบอกว่าให้ใจเย็นๆก่อน พี่ตี๋เห็นบอยสติแตกมากก็เลยบอกว่าไม่มีไรๆบอย บอยตอบไปทันทีว่ามันจะไม่มีได้ยังไง พี่ตี๋ก็เลยตะโกนออกมาว่า โลกเนี่ยมันไม่มีผีหรอกโว้ย แล้วพี่ตี๋แกก็เดินออกไปข้างนอก แล้วมองขึ้นไปชั้นสาม คุณรุสเดินตามพี่ตี๋ออกมา แล้วพี่ตี๋ก็ชี้ขึ้นไปที่ชั้นสามแล้วพูดว่า แน่จริง เอ็งลงมาอีกสิว๊ะ
คราวนี้เห็นจะๆเลย แผ่นกระจกบานใหญ่ มันปลิวลงมาจากชั้นสาม ซึ่งตรงมาทางที่คุณรุสและพี่ตี้ยืนอยู่พอดี คุณรุสรีบพลักพี่ตี๋ออกจากตรงนั้นพร้อมกับกระโดดออกมาด้วย แต่ว่ากระจกมันกลับไปตกลงที่หลังคาตรงจุดเดิมอีก เสียงดันสนั่นไปทั่วบริเวน พี่ตี๋รีบบอกกับคุณรุสว่า เก็บเครื่องมือกลับบ้านเถอะ
จากนั้นทุกคนรีบช่วยกันเก็บของขึ้นรถทันที แต่คุณรุสสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคนข้างบ้านหรือแม้แต่ยามไม่ชะโงกหน้าออกมาดู จึงได้คุยกับพี่ตี๋ว่า ลองขึ้นไปดูมั้ยว่ามันคืออะไร พี่ตี้เลยบอกว่าถ้าไป ก็ไปด้วยกันหมด แต่คุณบอยพูดขึ้นมาเลยว่า ข้าไม่ไป พอคุณบอยไม่ไปพี่ตี๋ก็ไม่ไป คุณรุสเลยลองชวนคุณน้อยดู คุณน้อยบอกว่า ถ้าไปเนี่ย กลัวเจออะไรเข้าแล้วมันจะแย่นะ เพราะไปกันแค่สองคน
สรุปกันว่าไม่ยอมขึ้น คุณรุสไปคนเดียวก็ไม่ไหวแน่ ก็เลยตัดสินใจกันว่ากลับบ้านดีกว่า แต่ตอนขากลับ พี่ตี๋ คุณบอย คุณน้อย หนีไปนั่งข้างหน้าหมด คุณรุสเลยต้องนั่งข้างหลังแครี่บอยคนเดียว ตอนกำลังจะเอารถออกมาจากบ้าน คุณรุสสงสัยว่าเค้าเป็นใครกันแน่ เลยคิดในใจว่า แน่จริงออกมาให้เห็นหน่อย
พอพี่ตี๋ขับรถกำลังจะผ่านป้อมยาม อยู่ๆก็เบรครถกระทันหัน แล้วพี่ตี๋ก็ถามกับยามว่า บ้านหลังเนี่ย มีใครอยู่มั้ย ยามบอกว่า ไม่มี บ้างกำลังปรับปรุงอยู่ แล้วพี่ตี๋ก็ถามต่อไปว่า เมื่อกี้ ได้ยินเสียงกระจกหล่นมั้ย ยามตอบว่า ไม่มีนะ เงียบกริบเลย พีตี๋ก็เลยขับรถผ่านไป คุณรุสก็ยังคิดในใจอยู่ว่าออกมาให้เห็นหน่อย
ซักพักคุณรุสรู้สึกว่ามันเริ่มอึดอัด เหมือนในรถไม่มีอากาศเลย แล้วกลิ่นน้ำปลาเต็มรถเลย เหม็นมาก คุณรุสพยายามหาต้นเหตุ แต่ก็ไม่เจอ จนคุณรุสรู้สึกว่าเค้ามาด้วย และเห็นเป็นเงาคนลางๆ นั่งอยู่ท้ายรถ ตรงข้ามคุณรุส จนคุณรุสรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เลยเคาะกระจกให้จอด แต่คนในรถกลับไม่รู้เรื่องเลย
คุณรุสเลยคิดว่ามีอยู่ทางเดียว ต้องกระโดดลงจากท้ายกระบะ แต่พี่ตี๋ขับรถเร็วมากจึงกระโดดลงไปไม่ได้ สุดท้ายคุณรุสเลยต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดถึงพระวิษณุ และขอให้ช่วย สักพักกลิ่นน้ำปลาก็ค่อยๆจางหายไป แต่กลายเป็นกลิ่นกาแฟแทน เงาที่อยู่ท้ายรถก็ยังอยู่
คุณรุสคิดถึงบทสวดแผ่เมตตา แล้วก็เริ่มสวด พอสวดจบ ลมจากที่ไหนไม่ทราบได้พัดเข้ามาในรถจากทุกทาง และเงานั้นก็หายไป และลมก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ สักพักนึงพี่ตี๋ก็จอดรถ เพราะถึงที่พักพอดี คุณรุสรีบกระโดดลงจากรถแล้วถามพี่ตี๋ว่า เคาะอยู่ตั้งนาน ทำไมเมื่อกี้ไม่จอดรถ เค้าตามเรามาด้วย แต่ทุกคนบอกว่าไม่ได้ยินอะไรและไม่รู้สึกอะไรเลย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ไพ่ยิปซีดวงตก
เรื่องราวของคุณเอ สืบเนื่องมาจากคุณเอเป็นคนที่ชื่นชอบการดูดวงด้วยไพ่ยิปซีมาก เรียกได้ว่าทุกครังเมื่อมีโอกาส และเธอยังศึกษาวิธีการดูไพ่ยิปซี และครั้งนี้เธอพบกับคำทำนายที่.....ไม่ดีมากนัก ลองมาฟังเรื่องราวหลอนๆของเธอและวิธีการดูไพ่ยิปซี ลองไปเรื่องราวนี้กันเลยครับ
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่งในย่านสุขาภิบาลห้า เมื่อสี่ปีที่ผ่านมา โดยปกติคุณเอเป็นคนชอบดูดวง คุณเอจึงเริ่มเรียนดูไพ่ยิปซี จนดูเป็นพอสมควร และคุณเอก็ได้ไปรู้จักพี่อีกคนนึง จากร้านเกมด้วยกัน ซึ่งก็ดูดวงเป็นเช่นเดียวกัน แต่นับถือศาสนาคริสต์
แล้วคุณเอก็มักจะชอบนั่งดูดวงด้วยกันกับพี่คนที่รู้จัก จนครั้งนึง คุณเอเกิดความนึกอุตริ จึงได้พูดขึ้นมาว่า ถ้าอยากดูแม่นสงสัยต้องไปดูในที่เงียบๆ ในที่ๆไม่มีคน เผื่อมันจะแม่น และในบริเวณนี้จะมีตึกอยู่ตึกนึง ที่ชั้นห้าจะเป็นชั้นที่ไม่มีคนอยู่เลย แล้วคนในย่านนั้นก็มักจะพูดกันว่า ตรงชั้นนั้นผีดุ
คุณเอกับพี่เลยตกลงกันว่าจะเข้าไปในชั้นที่ว่านั่นตอนตีสอง จึงเตรียมเทียนกับเสื่อไปด้วย กะไปนั่งดูกันเต็มที่ ซึ่งเข้าไปกันประมาณหกคน สี่คนนั่งล้อมวงกันเพื่อที่จะดูไพ่ยิปซี แต่อีกสองคนยืนดูอยู่บริเวณชานของตึก
น่าแปลกตรงที่ว่าพอจะเริ่มดูไพ่กัน ก็สับไพ่กันตามปกติ พอเปิดไพ่ออกมา สิ่งที่คุณเอเอะใจครั้งแรกก็คือ อดีต (ไพ่ยิปซีมันจะต้องมีไพ่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต) แต่คุณเอกลับเห็นแค่ อดีต ปัจจุบัน แต่ไม่เห็นอนาคต ซึ่งเป็นไพ่ที่บอกอนาคตไม่ได้ และที่สำคัญ ไพ่ใบที่ออก ไม่ใช่ไพ่ของผู้ชาย ซึ่งคนที่ดูกับคุณเอเป็นผู้ชาย
คุณเอจึงบอกว่ามั่วแล้วหรือป่าวแบบนี้ จึงให้พี่ลองสับไพ่ใหม่อีกที ก็ยังออกมาเป็นไพ่ผู้หญิงเหมือนเดิม คุณเอขนลุกทันที เลยบอกว่าจะขอลองสับไพ่เอง พอคุณเอสับไพ่เสร็จ ไพ่ที่ออกก็แทบไม่ต่างไปจากเดิมเลย แต่ความหมายยังคงเดิม พี่ที่ดูด้วยกันเลยพูดขึ้นมาว่า สงสัยจะไม่ใช่ของเราแล้วหละ
คุณเอเลยพูดว่า ถ้างั้นก็คงจะเป็นของคนแถวๆนี้แหละ และคุณเอก็คิดว่า ถ้าเค้าอยากดูนัก ก็ดูให้เค้าไปเลย ก็เริ่มดูต่อ และคุณเอก็ทายว่า คนเนี่ยเป็นผู้หญิง แต่สาเหตุที่เค้าเสียชีวิตคือ เค้าฆ่าตัวตายเพราะความรัก แต่ไม่ได้ตาย ณ ที่นี้ ด้วยความเป็นสัมภเวสี เค้าก็จะล่องลอยไปตามที่ต่างๆจนเจอที่ๆเงียบสงบ ก็จะอยู่ตรงนั้น ถึงได้มีประโยคที่ว่า ถึงบางที่จะไม่มีคนตาย แต่ถ้าไม่มีคนอยู่ ก็จะมีสิ่งเหล่านี้เข้ามาอยู่
และสิ่งที่คุณเอเห็นคือ เค้าทุกข์ทรมานมาก เนื่องจากเค้าไม่สามารถไปไหนได้ เพราะชีวิตเค้ายังจะต้องวนเวียนอยู่ หลังจากดูจบ คุณเอจึงพูดขึ้นมาว่า ดูให้แล้วนะ ถ้าอยากหลุดพ้น ให้ปลงและทำใจ เพื่อที่จะได้ไปสู้ภพภูมิที่ดีขึ้น
ซักครู่ที่คุณเอพูดว่า นี่มันไม่ใช่ไพ่ของคน เพื่อนของคุณเอสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงเข้ามาอยู่ข้างๆแล้วขอดูด้วย คุณเอจึงสับไพ่อีกรอบนึง คราวนี้มันไม่ใช่คนเดียวกัน ไพ่เปลี่ยนไปเป็นของผู้ชายแทน ซึ่งคุยเอคิดว่าไม่ได้มีแค่ตนเดียวแน่ๆ น่าจะมีมากกว่าสิบตน
พี่คนที่นั่งอยู่ด้วยก็พูดขึ้นมาว่า ถ้าอยากดูกันนักก็เรียงแถวกันเข้ามาดูเลย ซักครู่เสียงนกแสกก็ร้องอยู่แถวๆบริเวนนั้น จากนั้นคุณเอก็ดูให้คนที่สองต่อ คนที่สองก็ตายเพราะความรักอีกเช่นกัน เป็นผู้ชาย แต่ว่าฆ่าตัวตายอีกเหมือนกัน และคุณเอก็ได้แต่บอกว่าให้ทำใจ เพราะว่าเค้าไม่สามารถหลุดออกจากบ่วงของเค้าเองได้
จากนั้นจึงดูให้คนที่สามต่อ เป็นผู้หญิง ตายทั้งกลม สาเหตุก็มาจากความรักเช่นกัน พอครบสามคน คุณเอเริ่มไม่ไหวแล้ว และรู้สึกอึดอัด เหมือนได้ดูให้จริงๆ จึงได้เดินกลับลงมากัน ตอนเดินลงมา ก็ได้คุยกันและพึ่งมาสังเกตุกันว่า ตรงที่นั่งดูไพ่ยิปซีกัน ทางตรงนั้นมันเป็นทางสามแพร่ง และเพื่อนก็เห็นเหมือนเงาวูบๆอยู่บริเวนปลายทางเดินเยอะมาก แล้วมีเพื่อนอยู่คนนึงหลุดพูดออกมาว่า ขอบคุณครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าขอบคุณใครและเรื่องอะไร
หลังจากลงมาถึงหน้าตึก พี่คนที่ดูไพ่ก็หันไปหาตึกแล้วโบกมือพร้อมกับพูดว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดูให้ใหม่นะ วันต่อมาคุณเอเลยจำเป็นต้องมาดูด้วยกันอีกครั้ง ในเวลาเดิมคือตีสอง รอบนี้ไปนั่งดูกันในห้อง แต่คราวนี้เอาคนมาเพิ่มอีกคนนึง และน้องคนนี้เหมือนจะมีซิกเซ้นส์ด้วย
พอเริ่มเปิดไพ่กัน ไพ่มันก็ดูเหมือนจะมั่วๆ ไม่สามารถจับต้นชนปลายถูกเลย เหมือนจะเป็นผู้หญิง แต่สัญญาณเค้าอ่อนมาก ไม่เหมือนเมื่อวาน คุณเอก็เลยถามน้องว่า มีความรู้สึกอะไรบ้างมั้ย น้องก็ตอบว่า รู้สึกว่าเค้าอยู่หน้าประตู เข้ามาไม่ได้ คุณเอก็เลยงง คิดว่าใครใส่พระอะไรหรือเปล่า ปรากฎว่าไม่มีใครใส่ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เค้าเข้ามาไม่ได้
คุณเอจึงพยายามดูต่อ แต่ก็ดูไม่ได้ จึงย้ายกลับไปนั่งกันที่เดิม เมื่อย้ายไปที่เดิม เค้าก็ยังเข้ามาไม่ได้อีก จนลองกันสองถึงสามครั้ง คุณเอเลยลองดูอีกทีนึงตรงบันไดเลย ปรากฎว่าไพ่ออกชัดเจน แต่เป็นไพ่ในลักษณะของเจ้าที่ แล้วไพ่สิบดาบขึ้นที่บริเวณของปัจจุบัน ประมาณว่าให้หยุดการกระทำนี้
แล้วพี่คนที่เป็นคริสบอกว่า เค้าได้ยินเสียงเหมือนเป็นทูตสวรรค์ของเค้าลอยเข้ามาในหู บอกเค้าว่าให้หยุดการกระทำนี้ซะ เพราะว่าการที่เราไปบอกเค้าแบบนี้ มันเป็นเหมือนการไปทำให้เค้าปลดจากกรรมที่เค้าก่อขึ้นมา เหมือนไปเตือนให้เค้ารู้แจ้งในสิ่งที่เค้าได้ทำผิดพลาดลงไป ซึ่งจะทำให้กฎแห่งกรรมของเค้าเสีย แล้วเค้าก็จะได้หลุดพ้นจากตรงนี้และไปสู่ภพภูมิที่ดี แต่มันไม่ดีสำหรับเรา เพราะมันเป็นกรรมที่เค้าต้องชดใช้ ถ้าเค้าไปดี กรรมของเค้าก็จะต้องมาตกที่เรา
เหมือนที่คุณริวเคยพูดไว้ว่า ดูอะไรก็แล้วแต่ อย่าไปทักคน เพราะว่าถ้าทักแล้ว กรรมของคนนั้นจะตกมาที่เรา และกรรมที่ว่านั่นก็มาตกที่คุณเอ หลังจากนั้นคุณเอดูดวงไม่แม่นอีกเลย และมักจะโชคไม่ดีอยู่บ่อยๆ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
อาถรรพ์รถ
เรื่องราวสุดหลอนสยองขวัญของคุณออย คุณออยมีอาชีพขับรถโดยสาร เรื่องของคุณออยเกี่ยวกับรถและประวัติการทำงานและประวัติของรถที่คุณออยใช้ เรื่องราวของอาถรรพ์รองรถที่มีวิญญาณสิงอยู่ ลองมาฟังเรื่องราวของรถคันนี้ได้เลย ว่ามีประวัติที่น่าสยองขวัญอย่างไร
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณสามถึงสี่ปีที่แล้ว น้องสาวของคุณออยได้โทรมาจากที่บ้านว่า พ่อเสียแล้ว คุณออยจึงต้องกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งคุณออยทำงานขับรถกะกลางคืนอยู่ ก็จะต้องมีคนขึ้นมาขับแทน แล้วคนที่ขึ้นมาขับแทนคุณออย ได้ขับรถไปชนผู้หญิงเสียชีวิตที่แยกลําสาลี และก่อนหน้านี้คุณออยก็เคยพาผู้โดยสารไปเสียชีวิตก่อนในรถแล้วคนนึง
ซึ่งผู้โดยสารท่านนี้มาพร้อมกับญาติ ญาติเค้าบอกว่าเป็นคนสุรินทร์ ทางพ่อแม่ให้กลับไปแต่งงาน แต่เค้าไม่แต่ง เพราะมีแฟนอยู่กรุงเทพอยู่แล้ว แล้วลักษณะคือ นิ้วมือดำเป็นจุดๆ หน้าดำ ตัวดำ และร้องในรถตลอดเวลาว่าเหมือนมีคนมาบีบไส้ ร้องแบบทุรนทุรายมาก จะให้พาไปหาหมอ คุณออยคิดในใจว่าอย่ามาตายในรถเรานะ คุณออยรับผู้โดยสารมาจากวัดลาดพร้าว แต่มาขาดใจในรถตรงช่วงแยกสุทธิสาร
พอไปถึงโรงพยาบาลราชวิถี บุรุษพยาบาลบอกว่าเค้าเสียชีวิตแล้ว คุณออยได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีแรงที่จะขับรถ จึงต้องนั่งพักให้มีสติ ก่อนจะกลับเข้ามาในรถ ยกมือไหว้แล้วบอกว่า พี่สาว ถ้าจะอยู่ก็อยู่นะ อย่าออกมาให้เห็น และอย่าให้ผู้โดยสารเห็น
หลังจากนั้นคุณออยก็รู้สึกว่ารถคันนี้จะมีผู้โดยสารเข้ามาตลอดจนแทบไม่ได้พักทานข้าว วิ่งดีจนผิดปกติ จนถึงวันที่คุณออยต้องกลับบ้านเพราะคุณพ่อเสีย แล้วมีคนขึ้นมาขับแทนคุณออย แล้วได้ไปชนผู้หญิงเสียชีวิต ซึ่งเป็นศพที่สอง และคนๆนี้ก็ได้อยู่ในช่วงกำลังดำเนินคดีกับศาล คนใหม่ก็ได้ขึ้นมาขับแทน เพราะคุณออยยังอยู่ที่ต่างจังหวัด
พอคนใหม่ขึ้นมาขับต่อ ก็ได้เอาไปชนคนเสียชีวิตที่แยกลาดพร้าวร้อยหนึ่ง ส่วนคนขับก็ได้หนีไปเลย จึงต้องเอารถไปทำสีใหม่ที่อู่ประชาชื่น พอคนที่สามขึ้นมาขับต่อ ก็ไปชนที่วิภาวดี พอถึงช่วงที่คุณออยกลับมาที่กรุงเทพ ก็ไม่ได้มีใครบอกคุณออยว่ารถไปชนใครมาบ้าง ซึ่งเจ้าของอู่สั่งไว้ว่าไม่ให้บอก แต่มีเพื่อนที่สนิทกับคุณออยพูดให้ฟัง แต่คุณออยก็ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็นอะไร แค่ตอนนอนในรถจะมาเข้าฝันว่าชวนคุณออยไปเที่ยว ชวนไปอยู่ด้วย บางทีก็มาขออยู่ด้วย แล้วจะให้โชคลาภ
แล้วคุณออยรู้สึกว่ารถคันนี้หาเงินได้ดีมาก แต่บางครั้งเวลาคุณออยจอดงีบในรถ ก็จะมาจับขาบ้าง มาแตะตัวบ้าง เป็นแบบนี้มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี จนกระทั้งไม่มีใครกล้าขับรถคันนี้ แล้วมีอยู่ช่วงนึงที่มีคนใหม่มาสมัคร แล้วคุณออยหยุดพอดี เจ้าของอู่จึงให้ขึ้นรถคันนี้เลย
และคนใหม่ได้เอารถไปจอดทิ้งไว้ที่บางนา แล้วโทรกลับมาเล่าให้เจ้าของอู่ฟังว่า เห็นผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่หลังรถ แล้วรถก็จอดติดเครื่องอยู่แบบนั้นยันเช้า ช่างที่อู่ก็ไม่กล้าไปเอารถ เพราะว่าช่างจะรู้ประวัติของรถคันนี้ดี ตอนที่เอารถคันนี้ไปทำสีที่อู่ที่เคยทำ เค้าก็ไม่รับและบอกว่าเค้าเห็นผู้หญิงนั่งร้องไห้ ใส่เสื้อสีเหลือง เลือดเต็มตัว
จนช่างที่อู่ประชาชื่นไม่กล้าทำสีรถคันนี้ จนกระทั้งวันนึง สาวประเภทสองได้โดยสารรถคุณออยไปลงที่รามคำแหง ขึ้นมาคนเดียว แต่อยู่ดีๆเค้าก็พูดขึ้นมาว่า ทำไมรถคันนี้รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรอยู่ด้วย
หลังจากนั้น คุณออยได้ไปทำบุญที่วันแห่งนึง หลวงพ่อท่านได้ทักคุณออยว่า ให้ออกมาจากรถคันนั้นเสีย เพราะตัวเลขทะเบียนรถมันตรงกับอายุของคุณบอยพอดี ถ้าเกิดอยู่ด้วยกันไปนานๆแล้ว เค้าอยากจะอยู่กับโยมมากๆ โยมจะเดือดร้อนนะ แล้วรถคันนี้ทุกวันนี้ถูกขายทอดตลาดไปแล้ว และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
หมอดูชี้มีเคราะห์
เหตุการณ์ลี้ลับสุดสยองของคุณแดง เรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นกับคุณแดงและแฟน เหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรจนเมื่อ ทั้งคู่ไปดูหมอทำนายทายทักว่า จะมีเคราะห์ ช่วงนี้ให้ระวัง ทำบุญเยอะๆ แน่นนอนทั้งคูไม่นิ่งนอนใจ และเรื่องราวร้ายๆต้องเกิดกับพวกเขา ลองไปติดตามรับชมรับฟังกันเลยครับว่าทั้งคู่รอดจากสถานการณ์นั้นได้อย่างไร
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแฟนของคุณแดง แฟนของคุณแดงได้ไปดูหมอดู แล้วหมอดูทักขึ้นมาว่า จะมีเคราะห์ ช่วงนี้ให้ระวัง ทำบุญเยอะๆ แต่ไม่ได้บอกว่าเคราะห์จากอะไร ถ้าจะให้ดีเลย แนะนำไปบวชชี ซึ่งแฟนของคุณแดงก็ได้ลางานไปบวชชี ประมาณห้าวัน พอบวชเสร็จยังพอมีวันหยุดต่ออีกห้าวัน
คุณแดงและแฟนจึงคุยกันว่า เดี๋ยวไปเที่ยวต่างจังหวัดกันดีกว่า แล้วคุณแดงกับแฟนก็ไปเที่ยวที่ๆนึงในจังหวัดเลย กะจะเดินทางออกจากกรุงเทพประมาณหนึ่งทุ่ม พอถึงเวลาเดินทางก็เกิดปัญหาขึ้น อยู่ๆแฟนของคุณแดงก็เกิดตัวร้อนไข้ขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็ยังปกติดี เลยคิดว่าคงจะไม่ได้ไปแล้ว แฟนคุณแดงจึงนอนพักไปจนถึงเวลาสี่ทุ่ม อยู่ๆแฟนคุณแดงก็ลุกขึ้นมาบอกว่า
แฟน : ปะ ไปได้แล้ว
คุณแดง : ไปไหวหรอ
แฟน : ไหว ได้เวลาไปแล้ว
คุณแดง : ไปก็ไป
จึงได้ขับรถกันออกไป ประมาณตีสามถึงสระบุรีกำลังจะถึงแยกไปชัยภูมิ คุณแดงเกิดง่วงนอน จึงได้บอกกับแฟนว่า เดี๋ยวถ้าเจอปั้มขอแวะพักนอนซักหน่อย พอถึงปั้มคุณแดงก็ได้แวะนอน หลังจากนอนไปแล้วประมาณห้านาที แฟนของคุณแดงปลุกคุณแดงแล้วบอกว่า
แฟน : ปะ ไปเถอะ อย่านอนเลย
คุณแดง : ทำไมหละ
แฟน : กลัว ไม่ชอบที่นี่เลย
คุณแดง : ทำไมหละ
แฟน : เออหนะ ออกไปก่อนๆ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
คุณแดงจึงขับรถออกมา ขับมาเรื่อยๆ แล้วถามแฟนว่าเมื่อกี้เป็นอะไร แฟนบอกว่ามีเด็กผู้หญิง มานั่งที่คันเกียร์ แล้วหันหน้าไปหาแฟนของคุณแดง แล้วเด็กคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า พี่สาว ไปอยู่ด้วยกันมั้ย แฟนคุณแดงบอกกับคุณแดงว่าก็ยังไม่ได้หลับนะ แค่เอนตัวเฉยๆ ไม่ใช่ฝันแน่ๆ คุณแดงบอกว่า พูดเล่นหรือเปล่า จะเข้ามาได้ยังไง ในรถก็มีพระ แต่แฟนก็ยืนยันว่าเห็นจริงๆ
คุณแดงจึงขับรถต่อ ขับไปซักพัก จนถึงจังหวัดชัยภูมิ เวลาประมาณตีห้ากว่าๆ คุณแดงคิดว่าถ้าขับต่อไป ก็จะถึงที่หมายในเวลาเช้าเกินไป เลยขอจอดนอนอีกสักพักนึง จะได้ขับยาวๆทีเดียวเลย จึงเอารถไปจอดข้างทาง และเอนตัวลงนอน
หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที แฟนก็สะกิดแล้วบอกว่า ปะ ไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน ไปเถอะๆ แต่น้ำเสียงของแฟนกลับเปลี่ยน พูดช้าลง ออกจะดุๆ คุณแดงคิดในใจว่าสงสัยอยากรีบไปให้ถึง จึงขับรถออกไป ไปถึงวงเวียนที่มีอนุสรณ์แห่งนึงในตัวเมืองชัยภูมิ แฟนคุณแดงก็ได้ทักขึ้นมาว่า ทำไมเจ้าพ่อยืนคนเดียว ไม่เหงาหรอ คุณแดงรีบหันไปบอกว่า อ่าว ทำไมพูดแบบนี้ วันนี้เป็นอะไรเนี่ย ตั้งแต่ตอนเย็นละ ทำไมทักอะไรแปลกๆ แต่แฟนกลับตอบมาว่า อ่าว เค้าพูดอะไรไปหรอ
คุณแดงตกใจมาก รีบวนรถกลับไปที่อนุสรณ์ และไปไหวขอขมาแล้วบอกว่า ที่เมื่อกี้พูดไปเนี่ย ไม่ได้ตั้งใจนะ ขอขมาลาโทษ จากนั้นก็ขับรถออกมาเรื่อยๆ ทีนี้คุณแดงก็ไม่กล้าขับรถเร็วแล้ว เพราะต่างจังหวัดหมอกลงจัดมา จนจะถึงอำเภอภูเขียว เป็นทางตรงยาว
มีรถกระบะคันนึงสวนทางมา พอมาถึงจังหวะสวนคันกัน คุณแดงเห็นเด็กผู้หญิงกับผู้ชายเดินตัดถนนจากอีกฝั่งโผล่เข้ามาหาหลังจากที่รถกระบะสวนคันกันไปแล้ว ด้วยความตกใจ คุณแดงหักรถหลบตกลงไปในไหล่ทาง และไปชนกับต้นไม้
พอเหตุการณ์ทุกอย่างสงบ คุณแดงคลำดูตัวเองก่อน และมองไปทางแฟน แต่ปรากฎว่าแฟนไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย แต่โชคดีที่ว่าก่อนหน้านี้ แฟนของคุณแดงได้ปรับเบาะให้อยุ่ในลักษณะนอน และนอนเอาหมอนปิดหน้า จึงไม่ได้เป็นอะไรมาก
หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นไม่ถึงห้านาที ชาวบ้านก็เริ่มออกมามุงดู และพาคุณแดงกับแฟนไปโรงพยาบาล พอเสร็จธุระจากที่โรงพยาบาล คุณแดงก็ได้พาแฟนออกมา และกลับไปดูรถ แต่รถได้ถูกยกออกไปจากที่เกิดเหตุแล้ว
คุณแดงมองดูร่องรอยการเบรคจากถนนไปจนถึงไหล่ทางแล้วคิดในใจว่า ไม่น่ารอดเลย แล้วได้ถามชาวบ้านแถวนั้นว่าเค้าเอารถไปไว้ที่ไหน ก็ได้คำตอบว่าอยู่ที่ร้านๆนึง เค้ายกไปแล้ว คุณแดงจึงไปยังร้านที่ว่านี้ เจ้าของร้านพูดกับคุณแดงว่า รอดได้ยังไงพี่ เมื่อวานรถน้ำแข็งก็ไปเทกระจาดที่เดียวกับพี่เลย เสียหนึ่ง เจ็บหนึ่ง
จากนั้นคุณแดงและแฟนก็ต้องไปเคลียร์กับประกันที่โรงพัก เพราะว่ารถได้ไปชนกับหลักกิโลด้วย ร้อยเวรก็ได้เรียกแฟนของคุณแดงเข้าไปคุยก่อน ถามว่าแต่งงานกันหรือยัง ทำประกันชีวิตหรือป่าว เพราะตำรวจสงสัยว่าอาจจะเป็นการฆาตกรรม
หลังจากนั้นร้อนเวรก็ได้เรียกคุณแดงเข้าไปและบอกให้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง คุณแดงก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง แล้วร้อยเวรก็บอกว่า ถ้าเอาตามกฎหมาย จะต้องเสียเงินประมาณสองพัน เพราะทำของราชการเสียหาย ให้ไปคุยกับประกันว่าจะเอาใบแจ้งความมั้ย ถ้าไม่เอาใบ ก็จะไม่เอาความอะไร เพราะว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา น้องชายของเค้าก็พึ่งเสียชีวิตลงตรงที่เกิดเหตุที่นี่เหมือนกัน ต้นไม้ต้นเดียวกัน ศพยังอยู่ที่วัดอยู่เลย
พอเสร็จธุระแล้วหลังจากนั้น คุยแดงกลับไปที่เกิดเหตุ ก่อนถึงจุดเกิดเหตุประมาณสิบเมตร มีศาลไม้ใหญ่มากอยู่ในไหล่ทาง ตุ๊กตานางรำเต็มศาล หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดไม่นาน คุณแดงก็ได้ทราบว่า ความจริงแล้วแฟนของคุณแดงได้แอบมีแฟนอีกคน แต่อยู่คนละจังหวัดกัน และก่อนที่คุณแดงจะพาแฟนไปหาหมอดู แฟนได้บอกกับคุณแดงว่าจะกลับบ้าน แต่ได้แอบไปหาแฟนอีกคน แล้วโดนทำของใส่ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
27 มี.ค. 2562
เหตุเกิดที่ไร่อ้อย

เรื่องราวสุดสยองขวัญสั่นประสาทของคุณเสกเมื่อสองปีที่ผ่ามา เรื่องของประสบการณ์หลอนในไร่อ้อย ที่จังหวัดอุดรธานี ในวันนั้นคุณเสกมีธุระต้องไปที่เวียงจันทร์ และพอทำธุระเสร็จก็เย็นได้ข้ามกลับมาที่ฝั่งไทย และช่วงเดือนธันวาคมเป็นช่วงที่กำลังตัดอ้อยกัน คุณเสกเจอเรื่องหลอนๆนี้เมื่อ
ทางบริษัทสั่งให้ไปขึ้นน้ำตาลที่อำเภอนึง ในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ คุณเสกไปกับภรรยาสองคน และไปถึงที่หมายก่อนเวลากำหนด จึงได้ไปนอนรอขึ้นน้ำตาล กว่าจะเสร็จก็ประมาณตีหนึ่ง ภรรยาถามว่าจะนอนต่อมั้ย จะวิ่งตอนเช้าหรือว่าจะวิ่งตอนนี้เลย คุณเสกตอบไปว่ายังไงก็ได้นอนแล้ว เดี๋ยววิ่งออกไปเลย
คุณเสกจึงขับรถออกมา พอหลุดออกมาจากหมู่บ้านนั้น จะเข้ามาในเขตจังหวัดอุดรธานี เป็นช่วงต่อระหว่างหมู่บ้านนึงไปยังอีกหมู่บ้านนึง ระยะทางประมาณหกถึงเจ็ดกิโลเมตร ตามข้างทางจะมีป่าอ้อยและดงมัน พอเข้าดงป่าอ้อย
คุณเสกรู้สึกง่วงขึ้นมาทันที ง่วงชนิดที่ว่าจะหลับให้ได้ สักพักนึงคุณเสกสังเกตเห็นทางแยกข้างหน้า เหมือนเป็นทางแยกลงไปที่ไหนสักแห่ง แล้วมีเวิ้งช่องว่างพอที่จะให้รถจอดได้ คุณเสกจึงเลี้ยวรถเข้าไปแล้วจอดรถชิดขอบทาง โดยพยายามเอารถหลบออกห่างจากถนน
ภรรยาได้ถามคุณเสกว่า จะนอนตรงนี้เลยหรอ คุณเสกตอบว่า ไม่ไหวแล้ว ขอสักงีบก่อน ปกติเวลานอนคุณเสกจะยกผ้าม่านมาปิดหน้ารถและหน้าต่างข้างรถหมด แต่วันนั้นคุณเสกง่วงมาก จอดรถได้ ดับเครื่องยนต์ ปิดไฟ เอนเบาะนอนเลย แล้วก็หลับ
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนภรรยาปลุก ภรรยาตะโดนลั่นเลย แล้วบอกว่าตอนที่คุณเสกหลับ ประมาณสามสิบนาทีได้ แต่ภรรยาไม่หลับ ได้ยินเสียงหญ้าข้างทางแหวกออกเหมือนมีคนเดิน ภรรยาจึงชะโงกมอง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะข้างนอกมืดมาก และก็มีเสียงเดินรอบรถ เดินไปเดินมา
ซักพักนึงภรรยาของคุณเสกก็เริ่มจะมองเห็นลาง เห็นเป็นผู้ชายสองคน จึงเริ่มตกใจและรีบปลุกคุณเสก และบอกว่ามีคนมาปีนรถเราอยู่ คุณเสกสดุ้งตื่นขึ้นมา มองไปข้างหน้าต่าง เห็นขาคนปีนบันไดข้างรถขึ้นไปด้านบนหัวรถ (รถสิบล้อจะมีบันไดติดอยู่ข้างรถใกล้ๆประตูด้านคนขับ)
คุณเสกเห็นอย่างนั้นก็ตกใจคิดว่าเป็นโจร จึงรีบสตาร์ทเครื่องทันที แล้วคลำดูที่ประตูรถก็ยังล็อกอยู่ เปิดไฟหน้ารถแล้วขับออกมาเลย เพราะ ณ ตอนนั้นอยู่กลางป่า ไม่สามารถเปิดประตูออกไปดูได้ ภรรยาก็บอกว่ามันยังอยู่บนหลังคารถสองคนเลย คุณเสกรีบขับรถออกมาจากตรงนั้น
จนไปถึงตัวอำเภอวังสามหมอ พอพบป้อมตำรวจ คุณเสกเลยจอดรถทันที แต่ไม่กล้าเปิดประตู เลยแง้มกระจกแล้วส่องขึ้นไปดู แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย สักพักนึงคุณเสกเห็นตำรวจอยู่ในป้อม จึงเปิดประตูแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง แล้วหันกลับมามอง ก็ไม่เจอใครอยู่ข้างบนหลังคารถ คุณเสกลองเดินสำรวจรอบรถแต่ก็ไม่เจออะไร สักพักคุณเสกก็กลับเข้ามาในรถ แล้วขับออกไปนอนที่ปั้มน้ำมัน
คิดว่าตอนเช้าค่อยเดินทางต่อ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ คุณเสกเอาของไปลงในตัวเมืองจังหวัดของแก่น ครั้งนี้เดินทางคนเดียว พอลงเสร็จ บริษัทโทรมาบอกว่า ให้ไปขึ้นไม้ยูคาที่อำเภอนึง เป็นเขตติดต่อระหว่างอำเภอสีชมพูกับศรีบุญเรือง ก็คือจังหวัดขอนแก่นกับหนองบัวลําภู
คุณเสกบอกกับทางบริษัทว่า นี่มันก็บ่ายแล้วนะ น่าจะไปถึงประมาณสี่โมงเย็น เค้าจะขึ้นให้มั้ย ทางบริษัทบอกว่าขึ้นให้ คุณเสกก็เลยขับออกไป ลักษณะจะเป็นไร่ป่าไม้ยูคาทั้งสองข้างทาง ตัวไร่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณสองกิโลเมตร
คุณเสกนำรถวิ่งเข้าไปในไร่ ทางเข้าไร่จะเป็นทางเกวียน ถึงที่หมายประมาณสี่โมงเย็น เค้าก็นำไม้ขึ้นรถให้ จนถึงเวลาประมาณหกโมงเย็น แสงแดดโพ้เพ้ แต่ก็ยังขึ้นไม่เสร็จ ไม้ไม่พอต้องรอขึ้นพรุ่งนี้อีก คุณเสกเลยบอกว่า แล้วจะนอนที่ไหนหละ เค้าบอกว่า เดี๋ยวเข้าไปนอนในหมู่บ้านกับพวกเค้าก็ได้ คุณเสกก็บอกว่า แล้วรถของผมหละ เค้าบอกว่า รถอะจอดไว้นี่ก็ได้ ไม่มีอะไรหรอกพี่ แต่คุณเสกเป็นห่วงรถ เลยถามออกไปว่า พี่มานอนเป็นเพื่อนผมไม่ได้หรอ แต่ก็ไม่มีใครอาสามานอนด้วย
สุดท้ายคุณเสกตัดสินใจนอนในรถคนเดียว ประมาณทุ่มนึง มืดมาก คุณเสกลงไปปัสสาวะแล้วรีบขึ้นมานอน ปิดผ้าม่านรอบรถ เปิดพัดลม แล้วก็หลับ วันนั้นร้อนมาก คุณเสกสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที เหมือนมีคนมาขย่มรถ ลักษณะเหมือนมีคนเดินขึ้นเดินลงรถ และเสียงดัง ตุ๊บ เหมือนมีคนกระโดดลงจากรถ ทั้งซ้ายทั้งขวา คุณเสกตาสว่างขึ้นมาทันที เลยเอาผ้าห่มคลุมโปง แล้วปิดพัดลมเพื่อไม่ให้มีเสียง เงียบมากจนได้ยินแม้แต่เสียงแมลงที่อยู่ในป่า
ซักพักคุณเสกเปิดโทรศัพท์ดูนาฬิกา เวลาประมาณตีสามกว่าๆ เหมือนมีคนเดินในลักษณะเดิม เสียงเดินรอบรถ สักพักมาหยุดเดินอยู่ที่หน้ารถ แล้วก็มีเสียงผู้ชายคุยกัน แต่จับใจความไม่ได้ คุณเสกเริ่มนึกไปถึงเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ไปประสพมาที่ไร่อ้อย ณ ตอนนั้นคุณเสกทำอะไรไม่ได้เลยเพราะอยู่ในป่าคนเดียว ได้แต่ฝืนนอนแต่ก็นอนไม่หลับ เสียงคุยกันก็ยังดังต่อเนื่องแต่ก็จับใจความไม่ได้ จนกระทั่งคุณเสกได้ยินเสียงนกกระพือปีกดัง พรึ่บ คุณเสกก็เริ่มจับใจความเสียงที่คุยกันอยู่นอกรถได้ความว่า กินมั้ย ไม่ได้กินนานแล้ว พอได้ยินแบบนั้น คุณเสกคิดในใจว่า ยังไงก็ไม่ใช่คนแน่ๆ ได้แต่นอนตัวสั่นคลุมโปงน้ำตาไหลอยู่ในรถ แต่ก็นอนไม่หลับ เพราะเสียงคนเดินอยู่รอบรถ เสียงลมพัดต้นไม้ แต่ในรถร้อนมาก จนคุณเสกหลับไปตอนไหนไม่ทราบได้
ตื่นมาอีกทีตอนเจ็ดโมง คนขึ้นไม้มาเรียก คุณเสกกะจะเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่เล่าให้ฟัง แต่มันอดใจเก็บไว้ไม่ได้ เลยต้องเล่าให้คนขึ้นไม้ฟัง คนขึ้นไม้บอกว่า ที่แรกพวกเค้าก็มาตั้งแคมป์ตรงนี้เหมือนกัน แต่เค้าไม่ใช่คนพื้นที่ มารับจ้างตัดไม้เฉยๆ ก็เจอแบบที่คุณเสกเจอเหมือนกัน เค้าบอกว่า เค้ามากันสิบคน มาตั้งแคมป์ทำงานตัดไม้ กลางดึกปวดปัสสาวะ ก็เดินออกมาปลดทุกข์ เค้าก็เจอในลักษณะเงาคนเดินไปเดินมาในป่า เวลาคืนเดือนหงายมันยังพอจะมีแสงให้มองเห็นได้บ้าง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ค่ำคืนหลอนสวมกอดสยอง
เรื่องราวสุดสยองเป็นประสบการณ์หลอนสุดสยองขวัญของคุณผึ้ง ที่เธอพบเจอมากับตัวเองเมื่อเธอต้องย้ายหอพักใหม่แต่เป็นหอพักเก่าย่าน แถวบางพลี สมุทรปราการ เรื่องราวของเธอเกิดขึ้นทันทีหลังจากย้ายเข้า ลองไปฟังสุดยอดสถานการณ์สยองขวัญของเธอกันเลยครับ
คุณผึ้งมีเหตุให้ต้องย้ายห้องด่วน แล้วไปเจออพาร์ทเม้นแห่งหนึ่งมีห้องว่าง แถวบางพลี สมุทรปราการ คุณผึ้งจึงได้เข้าไปดูห้อง เบอร์ห้องคือสามสองศูนย์ อยู่ห้องริมสุด สภาพห้องเก่ามาก
แล้วชั้นที่คุณผึ้งอยู่ มีคนอาศัยอยู่ประมาณสิบห้อง จากยี่สิบห้อง และห้องข้างๆห้องของคุณผึ้งจะไม่มีคนเช่าอยู่ คุณผึ้งได้ย้ายของเข้าอาศัยและจัดห้องเสร็จเรียบร้อย จนประมาณห้าทุ่ม คุณผึ้งนึกขึ้นได้ว่าลืมไหว้เจ้าที่ จึงได้จุดธูปไหว้เก้าดอก สักพักไฟดับ คุณผึ้งคิดในใจว่าไฟคงจะตก แล้วไฟมันก็ติด
คุณผึ้งผิดสังเกตุที่ธูปที่พึ่งจุดไหว้ไปเมื่อสักครู่ ตอนจุด จุดไปเก้าดอก ห้าดอกไหม้ปกติ แต่อีกสี่ดอกกลับไหม้จากตรงกลางขึ้นข้างบน ทั้งๆที่จุดจากข้างบนทั้งเก้าดอก แล้วลมพัดเข้ามาในห้องอ่อยๆ คุณผึ้งจึงคิดในใจว่า ลูกมาดีนะ ลูกมาขออาศัย
จากนั้นคุณผึ้งจึงอาบน้ำแล้วเข้านอน ตอนนอนคุณผึ้งได้เปิดประตูระเบียงและหน้าต่างบานเกล็ดเอาไว้เพราะอากาศร้อน ระหว่างที่นอนก็ได้ยินเสียงคนสวดอะไรสักอย่าง แต่ว่าดังมาก จนนอนไม่ได้
คุณผึ้งจึงได้พูดออกมาว่า ใครมาสวดบ้าอะไรตอนนี้ว๊ะ คนกำลังจะหลับจะนอน นอนไม่ได้เลยหวะ แล้วก็นอนต่อ ประมาณเที่ยงคืน คุณผึ้งรู้สึกว่ามันเย็นๆเท้า จึงหันไปดูที่ปลายเท้า ปรากฎว่า มีผู้ชาย ร่างใหญ่ เห็นเป็นเงา นั่งยองๆมองหน้าคุณผึ้ง แล้วเค้าก็เอามือทั้งสองข้างจับที่ขาของคุณผึ้ง คุณผึ้งตกใจมากและขยับตัวไม่ได้เลย คิดในใจว่ามาขออาศัยนะ ถ้าทำอะไรผิดพลาดไปก็ขอโทษขออภัยไว้ ณ ที่นี้
แต่ก็ยังขยับตัวไม่ได้ คุณผึ้งได้แต่นอนมองหน้าชายคนนั้นเฉยๆ เค้าก็จ้องมาที่หน้าคุณผึ้ง พักนึงเค้าค่อยๆคลานเข้ามาใกล้คุณผึ้ง เหมือนจะเข้ามานอนกับคุณผึ้ง คุณผึ้งไม่รู้จะทำยังไง แล้วที่คอของคุณผึ้งคล้องพระอยู่ คุณผึ้งจึงขอให้ช่วย แต่เงานั้นก็ยังค่อยๆคลานเข้ามา พักนึงเสียงประตูหลังห้องมันตีกลับมาปิดเองดัง ปั้ง คุณผึ้งก็เริ่มขยับตัวได้ แล้วเค้าก็หายไป แต่มันแปลกตรงที่ว่า ลมไม่ได้พัด แล้วด้านหลังประตูมันจะมีตัวล็อกประตูไม่ให้ประตูมันตีกลับ แล้วประตูมันปิดเองได้ยังไง
หลังจากที่คุณผึ้งขยับตัวได้ จึงรีบลุกขึ้นมาจับพระ แล้วหันไปมองที่ประตูหลัง เงานั้นยืนอยู่หน้าประตูแล้วมองมาทางคุณผึ้ง คุณผึ้งรีบจับพระแล้วคิดในใจว่า หนูขอโทษ ถ้าหนูทำอะไรผิดไปหรือพูดอะไรที่มันไม่ดี สักพักนึงเงานั้นก็หายไป เสียงลมพัดที่หลังห้องดัง หวีดหวิว น่าขนลุก คุณผึ้งคิดในใจว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำบุญไปให้ แล้วก็ไม่ได้นอนต่อทั้งคืน
เหตุการณ์นี้คือคืนแรกที่เข้าพัก วันต่อมา คุณผึ้งจึงปิดประตูและหน้าต่างทุกบาน และซื้อพวงมาลัยมาไหว้ แล้วตอนกลางคืน คุณผึ้งก็เข้านอนปกติ ได้ยินเสียง ปึ้งปั้งๆ มาจากด้านบน อีกสักพักต่อมา เสียงเหมือนของหล่น จนคุณผึ้งสะดุ้งตื่น และรู้สึกว่าทำไมมันเหมือนมีคนมานอนข้างๆ แล้วเค้าก็เข้ามากอดคุณผึ้ง คุณผึ้งคิดในใจว่าแบบนี้มันอยู่ไม่ได้แล้ว
เช้ามาคุณผึ้งรีบย้ายออกไปห้องใหม่ทันที แต่ก็ยังเจออยู่เหมือนเดิม เลยลองถามป้าคนที่ดูแลตึกอยู่ว่า ห้องนั้นมีอะไรหรือป่าว ป้าตอบกลับมาว่ามันก็มีทุกห้องแหละ จะเอาอะไรมากมาย อพาร์ทเม้นเก่าๆ คุณผึ้งได้ยินแบบนั้นจึงรีบย้ายออกทันที และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ทางผ่านวิญญาณ
ทางสามแพร่งเรื่องราวที่ทุกคนรู้จักกันดีว่าเป็นทางวิญญาณผ่าน โดยเรื่องต่อไปนี้จะนำเสนอเรื่องของคุณกีกี้ ที่เธอเจอมากับตัวเรื่องของบ้านหลังนึง แถวย่าน ม.หอการค้า เมื่อประมาณห้าปีที่ผ่านมา เป็นบ้านตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณย่า สมัยก่อนบ้านหลังนี้แบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหน้าคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณกีกี้จะอาศัยอยู่ แล้วคุณปู่คุณย่าก็จะอาศัยอยู่ฝั่งหลัง
ซึ่งถนนหน้าบ้านจะเป็นลักษณะของทางสามแพรง มักจะเกิดอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ที่หนักๆก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล แต่ไม่ได้เสียชีวิตที่ทางสามแพรง ปัจจุบันนี้คุณปู่คุณย่าเสียชีวิตแล้ว จึงทุบบ้านรวมกันแล้วสร้างเป็นหลังเดียว
คุณกีกี้อาศัยอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งช่วงประมาณเจ็ดปีที่ผ่านมา คุณแม่ได้สร้างบ้านใหม่ และได้ทำพิธีลงเสาเอก แต่ตัวคุณกีกี้เองไม่ได้อยู่ด้วยในขณะที่ทำพิธี จึงไม่รู้ว่าตรงไหนที่เค้าเรียกว่าเสาเอก พอสร้างบ้านเสร็จแล้วเข้าอยู่ กลางคืนก็จะมีเสียงคนมาเคาะกระจกบ้าง มาเคาะประตูบ้าง และเสียงคนเดินอยู่หน้าห้อง ซึ่งมักจะเป็นช่วงเวลาประมาณห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน ทุกคืน
จนมีอยู่คืนนึง น้องของคุณกีกี้มานอนด้วย น้องได้ยินเสียงคนเคาะประตู ก๊อกๆๆ แล้วน้องก็พูดกับคุณกีกี้ว่า ยายเรียกหรือเปล่า ไปเปิดประตูสิ แต่คุณกีกี้เองรู้แล้ว ว่ามันเป็นเสียงแบบนี้ทุกคืนอยู่แล้ว คุณกีกี้เลยบอกกับน้องว่า ออกไปดูสิ น้องจึงเปิดประตูออกไปดู แต่ก็ไม่พบใคร น้องก็เลยไปเคาะเรียกคุณยายที่ห้อง แล้วถามว่า ยายเรียกเหรอ มีอะไรหรือเปล่า คุณยายก็ตอบกลับมาว่า ไม่ได้เรียก นอนแล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่น้องคุณกีกี้เป็นคนไม่ค่อยกลัว
แล้วมีอยู่คืนนึง คุณกีกี้นอนคนเดียว แล้วคืนนั้นคุณกีกี้คุยโทรศัพท์กับแฟน ประมาณตีหนึ่ง แล้วได้มีปากเสียงกัน พูดจาไม่เพราะ และวางสายแล้วนอน คุณกีกี้รู้สึกว่าคืนนี้อากาศร้อนมาก อยากจะเปิดแอร์นอน จึงลุกขึ้นจะไปเปิดแอร์ แต่กลับคิดในใจว่า ไม่เอาดีกว่า ขี้เกียด ช่างมันเถอะ แล้วก็นอนต่อ
แต่สักพักคุณกี้รู้สึกเย็น เย็นเหมือนเปิดแอร์ จึงลืมตาขึ้นจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่ม จังหวะที่ลืมตาขึ้นมา เห็นคนนั่งอยู่ด้านบนหัวของคุณกีกี้ ไม่เห็นเท้าหรือลำตัวใดๆ เห็นแต่ผมยาวปิดตัวทั้งตัว ยาวจนมาถึงที่นอน คุณกีกี้คิดในใจว่า ใครว๊ะ แล้วสังเกตุดูดีๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่าคงไม่ใช่คนแล้ว และก็เริ่มมีเสียงคนหัวเราะ สิ่งแรกที่คุณกีกี้นึกขึ้นได้คือ นะโมตัสสะ แล้วก็เริ่มท่อง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ เค้าท่องตามแล้วหัวเราะไปด้วย คุณกีกี้คิดในใจว่าไม่ไหวแล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว และคิดว่าถ้าเกิดเดินไปเปิดประตูเนี่ย แล้วประตูมันเปิดไม่ออกหละ แล้วจะทำยังไงดี แต่เสียงหัวเราะก็ยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง คุณกีกี้ทนไม่ไหว จึงรีบวิ่งไปเปิดประตูแล้วเข้าไปนอนในห้องพระ แล้วนอนอยู่ในห้องพระอยู่แบบนั้นจนเช้า
คุณแม่ตื่นมาเห็นเข้าก็ถามว่ามานอนทำไมในนี้ คุณกีกี้จึงเล่าเหตุการณ์ของเมื่อคืนให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ได้แต่บอกว่าคิดมากไปหรือป่าว ได้ไปทำอะไรไม่ดีมาหรือป่าว คุณกีกี้บอกว่าสงสัยจะพูดไม่เพราะมั้ง คุณแม่จึงบอกว่า ห้องที่คุณกีกี้นอน ทางด้านหัวนอนจะมีเสาอยู่ เสานั้นคือเสาเอกของบ้าน
หลังจากนั้น คุณป้าที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามของบ้าน เค้าเป็นเหมือนคนทรง พอรู้เรื่องราวจึงมาบอกว่า บ้านหลังนี้เจ้าที่แรงมาก ตั้งแต่สมัยตอนสร้างบ้านแล้ว แถมยังอยู่ทางสามแพรงด้วย แล้วเดิมที สมัยคุณปู่คุณย่าอาศัยอยู่ เวลามีงานศพจะจัดงานศพกันที่บ้านมาตั้งแต่สมัยก่อน
แล้วช่วงกลางวัน ห้องนอนของคุณกีกี้จะไม่สามารถปิดประตูได้ ประตูจะต้องเปิดออกเองตลอดเวลา เหมือนเป็นทางเดินเข้าเดินออกของเค้า ทุกวันนี้คุณกีกี้ก็ยังเจออยู่บ้าง เช่นกลับมาบ้าน ประตูบ้านมันจะเปิดออกมาเอง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
กลับจากงานเลี่ยงรุ่น
เรื่องราวสุดหลอนที่คุณบอยและเพื่อนๆร่วม5คน หญิงสองชายสาม เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อประมาณหกปีก่อนในค่ำคืนหลังจากพวกเขาและเพื่อนๆกลับจากงานเลี้ยงรุ่น และพวกเขาได้กลับจากงานเลี้ยงรุ่นและไปต่อกันที่ของคุณต้องแถวๆย่านบางปู พวกเขาถึงที่ทันประมาณเที่ยงคืน และเรื่องราวได้เกิดขึ้นหลังจากนี้
ลักษณะบ้านจะเป็นบ้านไม้สองชั้น ห้องน้ำจะอยู่นอกบ้าน คุณบอยและเพื่อนๆก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนห้องที่มีห้องน้ำอยู่ข้างล่าง ระหว่างที่ทานกันอยู่นั้น ย่าของคุณต้องเจ้าของบ้านก็เดินมาบอกว่า ถ้าจะกินต่อ ก็เสียงเบาๆหน่อย และตอนก่อนนอน ก็ให้ขอพี่เค้าก่อน
คือคุณบอยและเพื่อนๆก็เห็นว่ามีแค่ย่ากับคุณต้องแค่สองคนที่อยู่บ้านหลังนี้ จึงไม่เข้าใจคำว่าขอพี่เค้าก่อน หลังจากนั้นพอเลิกทานและเก็บของกัน ประมาณตีสองสี่สิบ ทุกคนนอนหมดแล้ว ผู้ชายก็จะนอนอีกฝั่งนึง คือหันปลายเท้าไปหาผู้หญิงอีกฝั่งนึง ตรงกลางจะเว้นช่องไว้ เป็นช่องทางไว้เดินได้ คุณบอยจะนอนริมหน้าต่างด้านขวา คุณต้องจะนอนอยู่ริมประตูด้านซ้าย
ระหว่างที่คุณบอยเคลิ้มๆหลับ มีมือมาสัมผัสที่ปลายเท้า ลักษณะมือคือเปียกน้ำ สัมผัสที่ปลายเท้าอยู่สองครั้ง คุณบอยจึงหรี่ตาดู ในห้องจะเปิดไฟสีแดงๆ สลัวๆ ก็เห็นเพื่อนๆนอนหลับ เลยไม่ได้สนใจ นึกในใจว่าคงไม่มีใครมาแกล้งมั้ง ก็นอนธรรมดาๆ อีกครั้งนึงก็คือ มาจับที่หัวเข่า เป็นมือเดียวกัน ลักษณะเปียกน้ำ คิดว่าน่าจะเป็นมือซ้าย คุณบอยก็ไม่เอะใจ
จนกระทั่งครั้งที่สาม คุณบอยลืมตาขึ้นมาดู แต่ก็ไม่เห็นใครเหมือนเดิม จึงฝืนตาให้หลับต่อ แล้วอีกซักพัก มือนั้นก็จับเข่าของคุณบอยไปกระแทกกับข้างฝา ลักษณะการนอนของคุณบอยคือ ขาซ้ายจะเหยียด ขาขวาจะตั้งชันเข่าขึ้นมา เค้าจับขาซ้ายไปกระแทกกับข้างฝาสามครั้ง ตุ้งๆๆ ทุกคนตกใจตื่นหมด
คุณบอยและเพื่อนๆจึงลุกขึ้นมานั่ง และมองหน้ากัน ก็เฉยๆ แล้วถามว่ามีอะไร คุณบอยบอกว่าเข่าไปกระแทกกับขอบหน้าต่างสามครั้งแล้ว ระหว่างที่นั่งคุยกันอยู่ ไฟก็ดับ ทุกคนตกใจแต่ก็อยู่กันเงียบๆ สักพักนึง เพื่อนก็ลุกขึ้นไปเปิดไฟ ระหว่างที่ลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้ว กำลังจะเดินกลับมานั่ง ไฟก็ดับอีก
คือทุกคนก็กำลังมองคนที่เดินไปเปิดไฟแล้วเห็นว่า ได้เดินห่างออกมาจากสวิตซ์ไฟพอสมควรแล้ว ไม่ได้เอื้อมมือไปปิดแน่นอน เพื่อนจึงเดินไปเปิดไฟอีกรอบ พอไฟเปิด เห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่ตรงกลางช่องทางเดินที่คุณบอยและเพื่อนๆเว้นไว้เป็นช่องทางเดิน เป็นผู้หญิงใส่ชุดสีฟ้าคลุมท้อง และหันหน้ามายิ้มให้คุณบอยและเพื่อนๆ ทุกคนหันไปหาคุณต้องเจ้าของบ้าน แต่ตอนนี้คุณต้องถอยหนีไปติดมุมแล้ว และไม่พูดอะไร
จนกระทั้งไฟดับอีกครั้งนึง ผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ทุกคนจึงรีบวิ่งกันออกนอกห้อง ลงไปเรียกย่าของคุณต้อง ย่าของคุณต้องก็เลยให้มานอนกันที่กลางบ้าน และยาของคุณต้องก็นอนด้วย ย่าบอกว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก นอนก่อน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ที่นี้พอตอนเช้า ย่าก็ถามว่า ก่อนนอนก็บอกแล้วใช่มั้ยว่า ถ้าจะกินต่อก็ให้เสียงเบาๆหน่อย แล้วถ้าเกิดจะนอนก็ให้ขอพี่เค้าก่อน คุณต้องก็ไม่ได้พูดอะไรเลยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
แล้วย่าก็ถามว่า ใครไปทำอะไรไว้หรือป่าว พี่เค้าถึงได้มา คุณต้องก็เล่าไปว่า เพื่อนที่ชื่อออฟเนี่ย ยืนปัสสาวะจากหน้าต่างชั้นบนลงไปด้านล่าง สุดท้ายเอะใจกัน อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร ก็เลยถามย่า ย่าก็เอารูปมาให้ดู
เค้าคือพี่ติ๋ม พี่สาวของคุณต้อง เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ ทั้งๆที่กำลังท้องอยู่ ลื่นล้มในห้องน้ำ กว่าจะมาพบศพก็ตอนเย็น แล้วที่บ้านหลังนี้มีเรื่องแปลกอีกเรื่องนึงก็คือ ถ้าเกิดเข้าไปภายในบริเวณรั้วบ้านแล้วหันหน้าเข้าหาประตูบ้าน ด้านซ้ายของรั้วบ้านที่ทำจากไม้ มีต้นไทรอยู่ในบริเวณรั้วบ้าน สูงมาก
หลังจากวันนั้น คุณต้องก็อยู่บ้านไม่ได้ เลยหนีมานอนหอกับคุณบอย และคุณต้องได้เล่าให้ฟังว่า พี่สาวมากวนทุกวันเลย เพราะคุณต้องชอบจิ๊กตังย่าเอาไปดื่ม และปัจจุบันบ้านหลังนั้นก็ร้างแล้ว เพราะว่าย่าของคุณต้องเสีย ของที่อยู่ในบ้านยังอยู่ครบหมด คุณต้องเคยชวนคุณบอยกลับไปที่บ้าน และได้เข้าไปหาผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า ถ้ามาให้มาช่วงเช้า ช่วงเย็นอย่ามา แถวนี้เค้าอยู่กันไม่ได้แล้ว และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด