หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

HOME

30 เม.ย. 2562

เพื่อนบ้านสยอง


   เรื่องราวสุดหลอนของเพื่อนบ้านคุณหนุ่ม รับรองได้ว่าจะย้ายหนีหรือจะขอlineเขาดี เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวคู้บอน เมื่อประมาณสิบปีที่ผ่านมา

     คุณหนุ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับขายของสำหรับสัตว์เลี้ยงต่างๆ เป็นอาคารพาณิชย์สองชั้นครึ่ง ปลูกติดกันทั้งหมดเจ็ดหลัง คุณหนุ่มจะอยู่หลังท้ายสุด ถัดออกไปอีกจะเป็นบ้านเดี่ยวยกสูง

    คุณหนุ่มเปิดธุรกิจนี้ให้แฟนกับน้าสาวของแฟนดูแล เพราะคุณหนุ่มต้องทำงานกับคุณพ่อ จึงไม่ค่อยได้มีเวลาดูแล แต่ก็ยังคงอาศัยหลับนอนอยู่ที่อาคารพาณิชย์แห่งนี้ จนอยู่ได้ประมาณสองถึงสามปี ก็เริ่มรู้จักเพื่อนบ้านคนอื่นๆ

    ส่วนบ้านเดี่ยวด้านข้าง มีอาชีพเป็นโปรกอล์ฟ ทั้งสามีและภรรยา มีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน นานๆทีภรรยาถึงจะพาลูกมาเที่ยวหาที่บ้าน ช่วงเย็นของทุกวัน พี่ผู้ชายผู้เป็นสามี จะเดินออกมาทานข้าวที่หน้าบ้านเป็นประจำ

    มีอยู่วันนึง คุณหนุ่มนั่งทำงานอยู่ในห้องบนชั้นสอง เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ แฟนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง แล้วบอกว่า "เฮียๆ ใครไม่รู้มาเคาะประตูบนดาดฟ้า" ซึ่งดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์แห่งนี้ จะเชื่อมหากันทุกหลัง

    คุณหนุ่มบอกกลับไปว่า "เสียงลมหรือเปล่า ลมมันแรง" แฟนก็แย้งว่า "ไม่ใช่เสียงลม มันเป็นเสียงเคาะประตู" คุณหนุ่มจึงลุกเดินขึ้นไปดู ไปยืนฟังอยู่ที่หน้าประตูทางขึ้นดาดฟ้า ก็ได้ยินว่ามันมีเสียงเคาะจริงๆ "ก๊อกๆๆ"

    คุณหนุ่มรู้สึกแปลกใจมาก จึงได้เดินไปหยิบอาวุธออกมาเพื่อป้องกันตัว คุณหนุ่มบิดลูกบิดประตู แล้วผลักมันออกไป แต่ก็ไม่ปรากฏใครอยู่หลังประตู มีเพียงความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งดาดฟ้า

    คุณหนุ่มเดินขึ้นไป แล้วใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆบริเวณ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงเดินกลับลงมา แล้วล็อคประตูตามเดิม แต่แฟนค่อนข้างวิตก เพราะกลัวว่าจะเป็นขโมย

    แต่ยังไม่ทันที่คุณหนุ่มจะเดินกลับลงไป เสียงเคาะมันก็ดังขึ้นอีก "ก๊อกๆๆ" คุณหนุ่มหยุดชะงักทันที ส่วนแฟนก็วิ่งหนีลงไปข้างล่าง คุณหนุ่มคิดในใจว่าถ้าเคาะอีกทีจะเปิดออกไปดูว่าเป็นใครกันแน่

    สักพักเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีกครั้ง คุณหนุ่มไม่รอให้สิ้นเสียง รีบเปิดพรวดออกไปทันที แล้วกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณ ก็มีเพียงแค่ความมืด คุณหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าคงจะไม่ใช่คน อาจจะเป็นเจ้าที่มาเตือน

    เพราะอาคารพาณิชย์แห่งนี้เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ ยังไม่มีศาลพระภูมิ และภายในบ้านก็ยังไม่มีพระ แต่คุณหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด จึงปิดประตู แล้วเดินลงมาข้างล่าง เสียงเคาะยังคงดังอยู่ในขณะที่คุณหนุ่มกำลังเดินลง

    คุณหนุ่มบอกกับแฟนว่า "ไม่ต้องคิดมาก ถ้าเกิดได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ" แฟนก็ถามปากสั่นๆว่า "เมื่อก่อนไม่เห็นได้ยินอะไรเลย แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงเป็นแบบนี้" คุณหนุ่มก็บอกกับแฟนว่า "คิดแบบนี้ละกัน ที่นี่เป็นอาคารสร้างใหม่ เราพึ่งมาอยู่ใหม่ ศาลพระภูมิก็ไม่มี พระก็ไม่มี เค้าเลยอาจจะมาเตือน"

    จนเวลาผ่านมาประมาณหนึ่งอาทิตย์ เสียงเคาะยังคงดังทุกวัน ในช่วงเวลาเที่ยงคืนถึงตีสอง จนแฟนนอนไม่หลับ ต้องรอให้คุณหนุ่มกลับเข้าบ้านก่อน

    มีอยู่วันหนึ่ง แฟนตึ่นมากลางดึก เพราะปวดปัสสาวะ จึงเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าแฟนร้องกรี้ดจนลั่นบ้าน วิ่งเตลิดเข้ามาหาคุณหนุ่ม พูดปากสั่นๆว่า "ผีหลอกๆๆ"

    คุณหนุ่มพยายามปลอบแฟนแล้วถามว่า "ตาฝาดหรือเปล่า" แต่แฟนเอาแต่ร้องไห้เหมือนคนสติแตก คุณหนุ่มจึงถามว่า "เป็นอะไร" สักพักแฟนก็บอกว่า เห็นผู้ชายไม่มีหัว ยืนอยู่หน้าบันไดทางขึ้นดาดฟ้า ซึ่งบันไดจะอยู่ถัดจากห้องน้ำไปประมาณสี่เมตร

    คุณหนุ่มเดินออกไปเปิดไฟดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ จนแฟนทำธุระเสร็จ แล้วกลับมานอน แฟนบอกกับคุณหนุ่มว่า ต่อไปนี้ ถ้าเกิดว่าจะเข้าห้องน้ำ ให้ไปเป็นเพื่อนหน่อย เพราะว่ากลัวมาก รุ่งเช้า คุณหนุ่มจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็บอกว่า เดี๋ยวจะหาพระมาให้

    เย็นวันหนึ่ง ช่วงเวลาประมาณห้าโมงกว่า คุณหนุ่มกลับมาจากที่ทำงาน ก็เห็นพี่ผู้ชายที่อยู่บ้านข้างๆ นั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านข้าวหน้าบ้าน ซึ่งพักหลังๆ มักจะเห็นพี่ผู้ชายทำหน้าเศร้าหมองตลอดเวลา ดูดบุหรี่จัด เหมือนคนมีความทุกข์หนัก

    คุณหนุ่มจึงเข้าไปนั่งคุยด้วย "พี่เป็นไร ทำไมดูเครียดจัง ดูหน้าหมองๆ" พี่ผู้ชายตอบกลับมาสั้นๆว่า "ไม่มีอะไร" จากนั้นก็เดินกลับเข้าบ้านไป คุณหนุ่มจึงเข้าไปนั่งทำงานในบ้านปกติ

    จนเวลาประมาณหกโมงกว่าๆ ก็ได้ยินเสียงคนกดออดหน้าบ้านหลังข้างๆ คุณหนุ่มจึงลุกขึ้นไปดู เห็นว่ามีผู้ชายสี่คนยืนอยู่หน้าบ้าน หนึ่งในนั้นถามคุณหนุ่มว่า "น้อง เจ้าของบ้านเนี่ยอยู่มั้ย วันนี้วันเกิดมัน เลยจะมาเยี่ยม"

    คุณหนุ่มจึงตอบว่า "อยู่ดิ เมื่อกี้พึ่งกินข้าว แล้วเดินเข้าบ้านไป" เพื่อนของพี่ผู้ชายก็พูดต่อว่า "เนี่ย กดออดเรียกตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีใครมาเปิดให้เลย ในบ้านก็เห็นเปิดไฟไว้อยู่"

    คุณหนุ่มถามว่า "แล้วได้โทรนัดเค้าหรือเปล่า" ก็ได้รับคำตอบว่า "เพิ่งวางหูไปเมื่อกี้เนี่ย โทรคุยกันอยู่เนี่ย" จนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตู เพื่อนทั้งสี่คนก็เริ่มแปลกใจ

    จึงได้โทรไปหาภรรยาของพี่ผู้ชาย สักพักภรรยาก็ขับรถมาเปิดประตูให้ เพราะว่าบ้านของภรรยาอยู่ไม่ไกลมากนัก ทุกคนจึงเดินเข้าไปในบ้าน แต่ภายในบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นของอะไรบางอย่างที่เหม็นมาก ปรากฏว่าไปเห็นพี่ผู้ชายผูกคอตายอยู่ในบ้าน

    ลักษณะเอาเชือกผูกกับที่จับประตูตู้เสื้อผ้า แล้วนั่งยองๆตาย หลังจากที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ก็พบว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามวัน และพบศพอีกศพหนึ่ง นอนอยู่ข้างๆ ถูกยัดไว้ในถุงขยะสีดำ พันด้วยสก็อตเทป ไม่มีศีรษะ เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบวัน

    ตำรวจจึงช่วยกันหาศีรษะที่หายไป ค้นจนทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบ คุณหนุ่มเริ่มเอะใจ นึกย้อนไปถึงคืนนั้น ที่แฟนบอกว่าเห็นผู้ชายศีรษะขาด หรือว่าแฟนจะเห็นเข้ากับผู้ชายคนนี้ พอคิดได้เช่นนั้น จึงรีบวิ่งขึ้นไปดูบนดาดฟ้า ช่วงเวลากำลังโพ้เพ้ คุณหนุ่มคิดในใจว่าคงไม่ใช่แน่ ศีรษะจะมาอยู่บนดาดฟ้านี้ได้ยังไง

    พยายามใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆดาดฟ้า จนไปเจอเข้ากับถุงดำน่าสงสัยใบหนึ่ง คุณหนุ่มรู้สึกใจหายวูบ ค่อยๆหยิบถุงใบนั้นขึ้นมาเปิดดูช้าๆ กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงพุ่งทะลักออกมาจากถุง ทำให้นึกภาพออกทันทีว่าภายในถุงใบนี้มีอะไรอยู่ โดยที่ไม่ต้องเปิดดู

    คุณหนุ่มวางถุงลงกับพื้น ด้วยใจที่เต้นรัว แล้วเดินกลับลงไปข้างล่าง เพื่อที่จะตามให้ตำรวจขึ้นมาดู ในขณะนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เหมือนมีไอเย็นทาบลงที่แผ่นหลัง จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว ภายในใจของคุณหนุ่มมีแต่ความสับสนงุนงง พยายามคิดหาคำตอบ ว่าพี่ผู้ชายจะโยนศีรษะของคนๆนี้ ขึ้นมาบนดาดฟ้าหลังนี้ทำไม

    หลังจากที่ตำรวจเรียกสอบปากคำทุกฝ่ายเสร็จแล้ว ก็ได้ความว่า พี่ผู้ชายบ้านข้างๆเล่นพนันบอล จนเสียเงินไปหกล้านบาท ส่วนศพที่นอนอยู่ข้างๆ คือคนที่มาทวงหนี้ ตำรวจเข้าไปพบมีดยาวเปื้อนเลือดอยู่ในห้องน้ำหนึ่งเล่ม จึงสันนิษฐานว่าพี่ผู้ชายใช้ดาบเล่มนี้ฟันคนทวงหนี้จนศีรษะขาด

    หลังจากที่ตำรวจเคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ปิดบ้านหลังนี้ไว้ห้ามใครเข้า แต่ในคืนเดียวกันนั้นเอง ทุกคนที่อยู่บ้านระแวกนั้น รวมทั้งคุณหนุ่ม เห็นว่าไฟในบ้านหลังนั้นถูกเปิดขึ้น และเห็นพี่ผู้ชายเดินไปเดินมาภายในบ้าน

    เป็นแบบนี้อยู่สามวัน จนภรรยาต้องให้การไฟฟ้าเอาสวิทช์ไฟของบ้านหลังนี้ออก และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

แต่งหน้าศพ


     เป็รอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างยิ่งเป็นเรื่องของคุณกิ๊บ ที่เธอเรียนมาทางด้านเสริมสวยและเธอต้องมาทำหน้าที่แต่งหน้าศพ

     เหตุการณ์เกิดขึ้นในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แถวรังสิต เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ปกติแล้วคุณกิ๊บเรียนมาทางด้านเสริมสวย อยากมีร้านเสริมสวยเป็นของตัวเอง แต่คุณพ่อทำงานเกี่ยวกับผ่าพิสูจน์ศพ จึงทำให้มีเส้นสายทางนี้บ้าง

    คุณพ่อบอกว่าถ้าทำทางนี้จะได้เงินเยอะกว่า คุณกิ๊บจึงตกลงที่จะลองทำดู เพราะว่าคุณกิ๊บก็เคยคลุกคลีเกี่ยวกับศพมาตั้งแต่เด็ก คุณกิ๊บเริ่มทำงานแต่งหน้าศพมาแล้วพักนึง โดยรับทำเฉพาะแค่ในโรงพยาบาลเท่านั้น

    มีอยู่เคสหนึ่ง เป็นผู้หญิงนักศึกษาผูกคอตาย เพราะมีปัญหากับแฟน คุณกิ๊บก็ได้รับเคสนี้มา ตอนนั้นเวลาประมาณสี่โมงเย็น โดยปกติแล้วเวลาแต่งหน้าศพ จะต้องแต่งคนเดียว จะไม่มีใครคอยอยู่เป็นเพื่อน

    ลักษณะตอนที่แต่งหน้าให้ศพ ศพจะนอนอยู่บนเตียง และคุณกิ๊บจะขึ้นไปนั่งอยู่ข้างๆศพ ปกติจะมีโต๊ะให้นั่งข้างๆ แต่คุณกิ๊บไม่ถนัด คุณกิ๊บจ้องมองดูหน้าของศพในขณะที่ศพกำลังนอนหลับตาอยู่ พอจะมองออกว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก

    พลางนึกในใจว่าควรจะแต่งยังไงถึงจะออกมาดูดี และให้เข้ากับรูปหน้าของศพ เพราะการแต่งหน้าให้ศพ ไม่ใช่ว่าจะสุ่มสี่สุ่มห้าแต่งได้ จำเป็นต้องแต่งให้ตรงกับบุคลิกของศพด้วย โทนหน้าของผู้หญิงคนนี้จะออกไปทางเซ็กซี่ คุณกิ๊บเลยเน้นสีจัดๆ

    ในขณะที่กำลังแต่งอยู่ คุณกิ๊บก็หยิบลิปสติกสีแดง ซึ่งคุณกิ๊บคิดว่าน่าจะเหมาะกับเค้ามากที่สุด หลังจากคุณกิ๊บแต่งหน้าให้จนเสร็จ เก็บของลงกล่อง แต่เหมือนจะได้ยินเสียงผู้หญิงมากระซิบที่ข้างหูเบาๆว่า "แดงกว่านี้ได้มั้ย"

    ทำให้คุณกิ๊บตกใจจนขนลุกซู่ รีบหันไปมองรอบๆตัว แต่ก็ไม่พบใคร ภายในห้องมีแต่คุณกิ๊บกับศพเท่านั้น คุณกิ๊บทำงานด้านนี้ก็พอจะรู้ว่ามันคืออะไร จึงได้พูดไปลอยๆว่า "ได้ค่ะ เดี๋ยวจะทำให้ใหม่" และเคสนี้ก็จบไป

    คุณกิ๊บเองจะทำงานไม่เป็นเวลา ถึงแม้ว่าจะมีเคสเข้ามาในเวลาตีหนึ่งหรือตีสองก็ทำได้ เคสต่อมาเป็นผู้หญิงโดนรถชนจนเสียชีวิตคาที่ ช่วงล่างจะเละจนมองไม่ออก ส่วนช่วงบนยังไม่เสียหายอะไรมาก

    เวลาประมาณสองทุ่ม คนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องเก็บศพก็มักจะไม่ค่อยอยู่ ชอบแวบไปแวบมา จังหวะที่คุณกิ๊บกำลังจะเดินไปที่ห้องเก็บศพ ก็เห็นผู้หญิงใส่เสื้อสีดำ กางเกงยีนส์ขายาว เดินเลี้ยวเข้าไปในห้องเก็บศพ

    ด้วยความหวังดี คุณกิ๊บจึงตะโกนบอกว่า "น้องคะ เข้าไม่ได้นะ นั่นเป็นห้องเก็บศพ" แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ฟัง ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เดินลิ่วหายเข้าไปในห้องเก็บศพมืดๆ คุณกิ๊บเดินตามเข้าไปเปิดไฟ ปรากฏว่าภายในห้องเก็บศพไม่มีคนอยู่เลย

    คุณกิ๊บเริ่มใจไม่ดี แต่ก็ยังคงสงบจิตสงบใจเอาไว้ได้ จึงเดินไปเล่าให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อก็พาคุณกิ๊บเข้ามาในห้องเก็บศพ แล้วดึงลิ้นชักออกมาตู้หนึ่ง เผยให้เห็นศพของผู้หญิงใส่เสื้อสีดำ ส่วนเอวลงไปถึงขาแหลกจนไม่มีชิ้นดี แต่ยังพอมองออกว่าใส่กางเกงยันส์อยู่

    ทำให้คุณกิ๊บสะอึกขึ้นมาเบาๆ ทั้งๆที่คิดว่าเตรียมใจมาดีแล้ว แต่ก็ยังคงกดความกลัวเอาไว้ไม่มิดอยู่ดี คุณพ่อถามว่า "คนนี้ใช่มั้ย" คุณกิ๊บตอบแบบเสียงสั่นๆว่า "ใช่" คุณพ่อจึงบอกว่า "คนนี้แหละ ที่จะให้แต่งหน้าคืนนี้" ถึงแม้ว่าคุณกิ๊บเริ่มจะรู้สึกพะอืดพะอม แต่ก็คงต้องทำ เพราะว่ามันคืองาน และนี่ก็คือเคสที่สอง

    ปกติของคนทำอาชีพนี้ ไม่ว่าหน้าตาของศพจะเป็นยังไง ก็ไม่สามารถเกี่ยงงานได้ มีอยู่เคสหนึ่ง เป็นผู้หญิง ใบหน้ายุบลงไปข้างหนึ่ง สาเหตุเพราะทะเลาะกับแฟนหนุ่ม แฟนหนุ่มใช้ถังดับเพลิงกระแทกเข้าไปที่ใบหน้าเต็มแรง

    ซึ่งการแต่งหน้าศพ ถึงแม้ว่าศพจะมีใบหน้าปกติ ก็จะแต่งยากอยู่แล้ว คุณกิ๊บยืนจ้องพินิจอยู่นาน นึกในใจว่าควรจะแต่งยังไงดี ตายุบลงไปข้างหนึ่ง จะเขียนอายไลเนอร์ให้ก็เขียนไม่ได้ จึงเว้นในส่วนนี้ไว้

    แล้วไปแต่งในส่วนอื่นตามปกติ ในขณะที่คุณกิ๊บกำลังแต่งหน้าให้ศพอยู่ จะรู้สึกได้เลยว่ามีคนมายืนอยู่ข้างๆตลอดเวลา ทำให้คุณกิ๊บเผลอมองทางหางตาอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องแต่งหน้าศพให้เสร็จก่อน จึงเพ่งสมาธิไปที่งานตรงหน้า

    แต่ในขณะนั้น ความรู้สึกมันกลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติห้องดับจิตจะมีอุณหภูมิที่เย็นอยู่แล้ว แต่คราวนี้มันต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ เหมือนมีไอเย็นของอะไรบางอย่าง พวยพุ่งอยู่ข้างๆ ทำให้รู้สึกขนลุกตั้งไปทั้งตัว ความกลัวที่พยายามกดไว้จนมิด เริ่มผุดขึ้นมาเรื่อยๆ

    ในจังหวะที่คุณกิ๊บนั่งแต่งหน้าอยู่บนเตียงเดียวกับศพ แต่อยู่ๆเตียงมันก็สั่นขึ้นเอง "กึกๆ" เหมือนมีคนจับมันเขย่า คุณกิ๊บรีบดีดตัวถอยออกห่างจากเตียง หัวใจเต้นแรงจนเหมือนกลองที่ถูกตีรัวๆ หายใจหอบถี่จนรู้สึกเหนื่อย

    คุณกิ๊บพนมมือแล้วพูดขึ้นว่า "ถ้ามีอะไรก็มาบอกกันดีๆ บอกแบบนี้กิ๊บไม่รู้" คุณกิ๊บรวบรวมสติกลับมานั่งที่เดิม แล้วลงมือแต่งหน้าให้ศพต่อ แต่อยู่ๆอายไลเนอร์ที่ถูกเก็บอยู่ในกล่องเครื่องมือมันไหลตกลงพื้นเอง "แกร่กๆๆ"

    คุณกิ๊บที่มีอาการตื่นกลัวอยู่แล้วก็ใจหายวูบรีบเด้งตัวลุกขึ้นมาดู ก็เห็นอายไลเนอร์กลิ่งอยู่บนพื้นใกล้ๆปลายเท้า คุณกิ๊บพูดขึ้นมาว่า "อ๋อ อยากเขียนอายไลเนอร์เหรอ เขียนให้ได้นะ แต่จะออกมาสวยหรือไม่นั้น เราไม่รู้ เพราะเราก็เห็นๆอยู่ว่าตอนนี้ร่างของคุณเป็นยังไง ถ้าจะให้เราเขียน เราก็เขียนให้ได้"

    คุณกิ๊บก้มลงหยิบอายไลเนอร์ขึ้นมาเขียนให้ศพ หลังจากเสร็จสิ้งทุกอย่าง คุณกิ๊บก็เดินออกไปหาญาติของศพที่ยืนรออยู่หน้าห้อง แล้วบอกว่า "แต่งเสร็จแล้ว" หลังจากนั้นก็กลับบ้าน

    คุณกิ๊บทำธุระส่วนตัวทุกอย่างเสร็จแล้วก็เข้านอน จนกำลังเคลิ้มหลับ แต่อยู่ๆก็รู้สึกชาไปทั้งตัว และขยับตัวไม่ได้ คุณกิ๊บลืมตาและพยายามกวาดสายตาไปรอบๆห้อง เห็นเพียงแค่ความมืด ความรู้สึกหวั่นๆต่ออะไรบางอย่าง เริ่มเกาะกุมขึ้นที่หัวใจ

    สักพัก มีเสียงของผู้หญิงมากระซิบที่ข้างหูว่า "ที่สั่นเตียง ไม่ใช่ว่าเพราะว่าอะไร แต่ทำไมถึงไม่จุดธูปบอกก่อน และชั้นเป็นคนที่ชอบเขียนอายไลเนอร์มาก ทำไมถึงสะเพร่าแบบนี้"

    ปกติแล้วเวลาที่คุณกิ๊บจะแต่งหน้าให้ศพ จะไม่เคยขอขมา ไม่จุดธูป ไม่บอกกล่าวใดๆทั้งสิ้น เพราะคุณกิ๊บถือว่ามาช่วย ไม่จำเป็นต้องบอก แต่เหตุการณ์นี้ทำให้คุณกิ๊บต้องจุดธูปบอกก่อนทุกครั้ง แล้วต้องบอกทั้งก่อนที่จะเริ่มแต่ง และหลังจากที่แต่งเสร็จแล้ว และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

เอ็งกลัวผีเหรอ


   เรื่องราวสุดหลอกหลอนแบบว่าทำกันได้ เป็นเรื่องของคุณทิว คุณทิวอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดน่าน เป็นหมู่บ้านที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขา บรรยากาศร่มรื่นมาก อาชีพหลักของคนในหมู่บ้านคือปลูกข้าวโพด ทำไร่ หาของป่า

    คุณทิวมักจะออกไปตรวจดูไร่กับคุณพ่อเป็นประจำ เพื่อดูว่ามีสัตว์ป่าหรืออะไรเข้ามาในไร่หรือเปล่า วันนึง ก่อนที่จะออกไปไร่ ก็ได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันว่า ลุงจันหายตัวไป อยากให้ช่วยกันออกตามหา

    ทุกคนจึงแยกย้ายกันตามหา คุณทิวก็ได้ออกไปตามหากับคุณพ่อ โดยเอาสุนัขที่เลี้ยงไว้สำหรับเฝ้าไร่ติดมาด้วย ออกตามหากันตั้งแต่แปดโมง จนเวลาล่วงมาถึงห้าโมงเย็น แต่ก็ยังหาไม่เจอ

    คุณพ่อจึงบอกกับคุณทิวว่า วันนี้ไปนอนที่ไร่กันก่อน เผื่อเจออะไรจะได้ตามไปสมทบกับคนอื่นๆ เพราะจุดที่ค้นหากันก็อยู่ไม่ไกลจากไร่มากนัก ทั้งสองคนพ่อลูกจึงได้นอนกันที่ไร่ ซึ่งจะมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง คืนนั้นฝนตกหนักทั้งคืน พึ่งมาหยุดเอาตอนเช้ามืด

    จนรุ่งเช้า ก็ได้ตามไปสมทบกับชาวบ้านออกตามหาลุงจันต่อ จนช่วงบ่ายๆ คุณทิวรู้สึกไม่สบาย คุณพ่อจึงให้คุณทิวกลับไปนอนพักที่ไร่ก่อน จนเวลาประมาณหกโมงเย็น คุณพ่อก็กลับมาที่ไร่ แต่เหมือนว่าคุณทิวยังไม่หายดี แต่ก็ไม่ได้มีอาการร้านแรงนัก คุณพ่อจึงบอกว่า

คุณพ่อ : งั้นคืนนี้เอ็งนอนพักที่ไร่เนี่ยแหละ จะได้เฝ้าไร่ไว้ด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะให้แม่เอ็งเอายามาให้ งั้นข้ากลับก่อนนะ
คุณทิว : อ่าวแล้วพ่อไม่ห่วงผมบ้างเลยเหรอ
คุณพ่อ : เอ็งกลัวผีเหรอ
คุณทิว : กลัวซะที่ไหนล่ะ นอนที่นี่มาตั้งกี่ปีแล้ว
คุณพ่อ : เอ็งไม่กลัวผีลุงจันเหรอ
คุณทิว : จะบ้าเหรอพ่อ ลุงจันยังไม่ตาย เรายังหาไม่เจอเลย พ่อคิดว่าลุงจันตายแล้วเหรอ
คุณพ่อ : ก็ไม่รู้เหมือนกัน สองวันแล้วที่อยู่ในป่า จะรอดเหรอวะ
คุณทิว : ถ้าเป็นผีลุงจันจริงนะ นี่ ปืนแก๊ปอยู่ข้างตัว ถ้ามานะจะยิงให้หมดเลย
คุณพ่อ : งั้นเอ็งก็อยู่ไปละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าข้าจะมาหา

    คุณพ่อจึงเดินกลับบ้านไป ทิ้งให้คุณทิวนอนอยู่ในกระท่อมคนเดียว คุณทิวจึงเอาผ้าห่มมาคลุมหัวนอนฟังวิทยุ จนเวลาล่วงไปประมาณสองสามทุ่ม ก็รู้สึกเคลิ้มๆ ฝนก็เทลงมาอีกครั้ง

    มาสะดุ้งตื่น ตอนที่ฟ้าผ่าลงมาเสียงดังลั่น จนทำให้พื้นสั่นสะเทือนเบาๆ วิทยุที่เคยมีเสียงเพลง กลับกลายเป็นแค่เสียงซ่าๆ คุณทิวจึงปิดวิทยุแล้วคลุมโปงนอนต่อ ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงสุนัขที่นอนเฝ้ากระท่องเห่าไม่หยุด

    คุณทิวจึงลุกขึ้นมาดู ก็เห็นสุนัขหันหน้ามาทางใต้ถุนกระท่อมแล้วเห่าจนหางชี้ตั้ง คุณทิวคิดว่าอาจจะมีอะไรสักอย่างอยู่ใต้กระท่อง จึงถือปืนกับไฟฉายเดินลงไปส่องดูใต้กระท่อง แต่ก็ไม่พบกับอะไร สุนัขก็ยังคงเห่าเหมือนกับว่ามันเห็นอะไรบางอย่าง

    คุณทิวจึงเอ็ดสุนัขแล้วขึ้นไปนอนต่อ จนเคลิ้มหลับ สุนัขก็เห่าขึ้นอีก แต่คราวนี้สุนัขวิ่งเห่าไปรอบๆกระท่อม เหมือนกับว่ามันกำลังวิ่งตามอะไรสักอย่าง แล้วมาหยุดที่หน้ากระท่อม แล้วก็เริ่มหอน ซึ่งทำให้คุณทิวแปลกใจมาก เพราะปกติไม่เคยได้ยินสุนัขที่ตนเองเลี้ยงมาหอนสักที คิดว่ามันเห็นอะไรกันแน่

    แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร จึงได้นอนต่อเพราะว่ารู้สึกง่วงมาก สักพักได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดกระท่อมดัง "แอ๊ดๆๆๆ" คุณทิวแปลกใจคิดว่าใครมาหาในเวลาแบบนี้ จึงชะเง้อหน้าขึ้นมามอง

    แต่ก็ไม่เห็นใคร เห็นเพียงความมืดจนยากที่จะมองออกว่ามีใครอยู่แถวๆนั้นหรือเปล่า จังหวะนั้นเองก็เกิดฟ้าแลบ จนสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ ทำให้เห็นเงาของใครบางคน ยืนอยู่ที่หัวบันไดของกระท่อม

    คุณทิวตะโกนถามออกไปทันที "ใครอะ นั่นใคร" มีเพียงเสียงหนึ่งที่ตอบกลับมา "จุ๊ๆๆๆๆ" คุณทิวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพยายามแข็งใจ คิดว่าคงจะเป็นชาวบ้านที่ตามหาลุงจัน แล้วเข้ามาขอหลบฝน

    สักพักเงานั่นก็เริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้คุณทิวเรื่อยๆ ใกล้พอจนมองออกว่าเป็นผู้ชาย ลักษณะผมสั้น ไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงขาสั้นตัวเดียว คุณทิวจึงถามออกไปว่า "ไม่หนาวเหรอพี่ ดึกๆดื่นๆป่านนี้ไปเดินตากฝนมาทำไม"

    เงานั้นก็ไม่พูดอะไร แต่ล้มตัวลงนอนข้างๆ แล้วก็พูดเสียงเบาๆจนเหมือนกับเสียงกระซิบว่า "นอนด้วนนะ" คุณทิวจึงบอกว่า "นอนเลยพี่ ไม่มีผ้านะ ผมมีผืนเดียว พี่ทนหนาวได้ก็ทนไปแล้วกัน"

    คุณทิวนอนได้สักพัก ก็รู้สึกว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆหายใจแรงมาก "ฟรืดดดด..ฟรืดดดด" ซึ่งแรงจนผิดปกติ ทำให้คุณทิวขนลุกตั้งไปทั้งตัว รับรู้ได้ถึงไอเย็นจากลมหายใจที่เป่ามาจากทางด้านข้าง

    จนทนไม่ไหว คุณทิวจึงพูดออกไปว่า "พี่ เป็นไรปะเนี่ย ไม่สบายหรือเปล่า" แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา สักพักผู้ชายที่นอนอยู่ข้างๆ ก็ค่อยๆหันหน้ามาหาคุณทิว จนคุณทิวสามารถมองได้อย่างถนัดตาว่า ผู้ชายที่นอนอยู่ข้างๆตอนนี้คือลุงจัน

    คุณทิวสะดุ้ง ลุกพรวดขึ้นมานั่ง แล้วถามว่า "เฮ้ย ลุงจัน ลุงจันมานี้ได้ไงอ่ะ เค้าตามหากันทั้งบ้านเลย" อยู่ๆลุงจันก็ลุกพรวดขึ้นมานั่ง แล้วพูดด้วยเสียงเย็นๆเนิบๆว่า "ตามหาข้าเหรอ ข้าอยู่นี่ไง เห็นเอ็งพูดกับพ่อว่าเอ็งอยากเจอข้าไม่ใช่เหรอ ไม่กลัวข้าไม่ใช่เหรอ"

    คุณทิวถามด้วยความงงๆว่า "อะไรลุง ตลกกับผมปะเนี่ย ทำไมลุงตายเป็นผีแล้วหรอ" สักพัก ลุงจันก็ตอบว่า "ใช่ ข้าตายเป็นผีแล้ว ทำไมพวกเอ็งยังหาข้าไม่เจออีก" สิ้นเสียงทีลุงจันพูด

    คุณทิวช็อคจนตัวแข็ง นั่งจ้องหน้าลุงจันที่เริ่มมีลักษณะใบหน้าดำมืดลงทุกที แต่กลับเห็นดวงตากลมโตอันไร้แวว จ้องตอบกลับมา ฟ้าผ่าลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนทำให้คุณทิวรู้สึกตัวตื่นจากอาการช็อค

    รีบคว้าปืนแก็ปกระโดดลงจากกระท่อม แล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง จนกลิ้งถลาลงไปในคูน้ำ คุณทิวพยายามกระยิ้มกระสนคลานขึ้นมา แล้วไปคว้าโดนร่างๆหนึ่ง ที่นอนคว่ำหน้าจมน้ำอยู่ในคูน้ำ

    คุณทิวชะงักตัว หยุดพิจารณาดูว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร สุดท้ายจึงได้จับร่างนั้นแล้วพลิกให้หงายหน้าขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นศพของลุงจัน นอนตาเหลือกอ้าปากค้าง คุณทิวช็อควิ่งกระเจิงจนไม่รู้ทิศทาง

    ไปหยุดอยู่ที่ห้างร้างกลางป่า แล้วรออยู่ที่นั่นจนถึงเช้า จนมีคนไปพบเข้า หลังจากนั้นมีการสันนิษฐานว่าลุงจันคงจะไปเดินหาของป่า แต่ด้วยความที่มีอายุเยอะ จึงเกิดเป็นลม แล้วล้มหน้าคว่ำลงไปในคูน้ำ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ยายเอ็งเฮี้ยน


   ประสบการณ์เจอผีแบบเฮี้ยนๆเรื่องของคุณลพ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา คุณแผนกับคุณโพธิ์เป็นพี่น้องกัน ไปไหนก็มักจะไปด้วยกัน ไม่ว่าจะไปปักเบ็ด ดักหนูที่ทุ่งนา บ้านของทั้งสองคนจะอยู่ติดเขา

    คุณพ่อคุณแม่ของคุณแผนกับคุณโพธิ์จะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เพราะต้องไปเฝ้าไร่ที่อยู่ติดกับชายเขา คอยไล่พวกสัตว์ป่าที่ลงมากินพืชผล ปล่อยให้คุณแผนกับคุณโพธิ์อยู่กับคุณยาย

    ปกติคุณลพเป็นคนชอบปักเบ็ดหาปลา จึงมักจะไปกับคุณแผนกับคุณโพธิ์อยู่บ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณแผนได้ไปเหยียบหอย จนเลือดไหลนองเต็มเท้า จึงช่วยกันพยุงกลับมาบ้าน

    คุณโพธิ์อาสาจะไปซื้อยามาล้างแผล แล้วให้คุณลพอยู่เป็นเพื่อนคุณแผน พอคุณโพธิ์ออกไปได้สักพัก คุณแผนก็นอนหลับไป ส่วนคุณลพก็จัดการเอาผ้าพันแผลห้ามเลือดไว้ก่อน

    แต่อยู่ๆ คุณยายที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ข้างๆ ก็กระโดดลุกขึ้นนั่งยองๆ แล้วพูดว่า "เป็นอะไร ไปไหนกันมา" ทำให้คุณลพตกใจมาก เพราะปกติ คุณยายจะเป็นอํามพฤกอัมพาต นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ พูดจาไม่ได้ ตัวผอม ผมขาวไปทั้งศีรษะ

    คุณลพก็ตอบกลับไปว่า "แผนโดนหอยบาดครับ ผมห้ามเลือดให้อยู่" แล้วคุณยายก็กวักมือเรียกพร้อมกับพูดว่า "ไอ้หนูมานี่ซิ" คุณลพจึงลุกขึ้นเดินไปหาคุณยายด้วยอาการงงๆ

    แล้วคุณยายก็บอกให้คุณลพขึ้นมานั่งใกล้ๆ คุณลพก็ไปนั่งข้างๆอยู่ยาย แต่อยู่ๆคุณยายก็ผลักตัวคุณลพจนล้มลง แล้วก็ไล่คุณลพเสียงดังว่า "ไป!! เอ็งอะไป ร้อน อยู่แล้วร้อน ไป!!"

    ทำให้คุณลพรู้สึกงงเข้าไปใหญ่ จึงตอบกลับไปว่า "เดี๋ยวรอให้โพธิ์มันกลับมาก่อนได้มั้ยครับ จะได้อยู่ห้ามเลือดให้ไอ้แผนมันก่อน" คุณยายไม่ฟัง เอาแต่ตะโกนไล่คุณลพอย่างเดียว "ไปเลย เอ็งอะไป ออกจากบ้านข้าไปเลย"

    คุณลพได้แต่คิดว่าตนเองทำอะไรผิด หรือเพราะว่าพาคุณแผนไปเที่ยวกันจนได้รับบาดเจ็บ สักพักคุณโพธิ์ก็วิ่งกลับมา แต่อยู่ๆคุณยายก็ล้มตัวลงนอนทันที เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณลพจึงบอกกับคุณโพธิ์ว่า

คุณลพ : เฮ้ยโพธิ์ ข้ากลับก่อนนะ
คุณโพธิ์ : เฮ้ยเอ็งจะรีบไปไหน อยู่ด้วยกันก่อนดิ ช่วยกันทำแผลก่อน
คุณลพ : ยายเอ็งไล่ข้า
คุณโพธิ์ : จะบ้าเรอะ ยายข้าพูดไม่ได้จะเป็นปีสองปีแล้ว
คุณลพ : ยายเอ็งลุกขึ้นมานั่งแล้วไล่ข้า จริงๆ
คุณโพธิ์ : โกหกเหรอวะ จะเป็นไปได้ยังไง ทุกวันนี้กุยังต้องป้อนข้าวเช็ดตัวให้อยู่เลย
คุณลพ : จริงๆ ยายเอ็งลุกขึ้นมานั่งยองๆ แล้วผลักข้า
คุณโพธิ์ : เออๆ ถ้าจะไปก็ไป

    คุณลพก็เลยเดินกลับบ้าน หลังจากวันนั้นคุณแผนก็มาโรงเรียนไม่ได้ ส่วนคุณโพธิ์ก็ต้องอยู่ดูแลคุณแผน จนผ่านมาสองวัน คุณโพธิ์มาบอกกับคุณลพว่า "ลพ ไปนอนเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย"

    คุณลพก็ตอบแบบเคืองๆว่า "แล้วยายเอ็งจะไม่ด่าข้าเหรอวะ" คุณโพธิ์ตอบกลับมาว่า "จะด่าได้ยังไง ยายข้าพูดไม่ได้" คุณลพเถียงกลับไปว่า "พูดได้จริงๆ" แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง คุณโพธิ์ก็ไม่เชื่อ แต่สุดท้ายคุณลพก็ยอมตามคุณโพธิ์กลับไป

    ลักษณะจะเป็นบ้านไม้สองระดับ คุณยายจะนอนอยู่ชั้นล่าง ส่วนคุณลพและคนอื่นๆจะนอนตรงพื้นยกระดับสูงขึ้นมาหน่อย ช่วงหัวค่ำ คุณลพก็นั่งมองคุณโพธิ์ที่กำลังป้อนข้าวเช็ดตัวให้คุณยาย ซึ่งดูแล้วมันขัดใจคุณลพมาก เพราะหลายวันก่อน คุณยายยังกระโดดลุกขึ้นนั่ง ไล่คุณลพอยู่เลย

    จนตกดึกก็ได้เข้านอน คุณแผนจะนอนริมสุด คุณโพธิ์จะนอนตรงกลาง ส่วนคุณลพนอนอีกริมหนึ่ง คุณลพรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียง "คลืดด..พรืดด" เสียงมันมาจากทางมุ้งของคุณยาย

    คุณลพจึงผงกหัวขึ้นมาดู ภายในบ้านค่อนข้างมืด เห็นเพียงมุ้งสีขาวๆลางๆ ปลิวเป็นคลื่นเบาๆเพราะแรงลม แต่พอคุณลพลองเพ่งมองดูดีๆ ปรากฏว่าเห็นคุณยายกำลังคลานออกมาจากมุ้ง

    ลักษณะคลานสี่ขา จนไปถึงหัวบันไดหน้าบ้าน แล้วอยู่ๆคุณยายก็กระโดดพรวดลงไปข้างล่าง คุณลพที่เห็นแบบนี้ก็รู้สึกตกใจปนสยอง รีบหันไปเขย่าคุณโพธิ์ที่นอนอยู่ข้างๆ ปากก็พยายามพูดให้เสียงลอดออกมาเบาๆ แต่ให้ชัดเจนที่สุด เพราะกลัวว่าคุณยายจะได้ยิน "ไอ้โพธิ์ ตื่นก่อนเร็ว ยายเอ็งกระโดดลงจากบ้านว่ะ"

    แต่ไม่ว่าจะเขย่าแรงแค่ไหน คุณโพธิ์ก็เหมือนว่าจะไม่รู้สึกตัว จนคุณลพไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยล้มตัวลงนอน พยายามเพ่งมองไปที่ประตูหน้าบ้าน ระวังตัวแจ เผื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ จะได้รีบมือได้ทันท่วงที

    จนผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ คุณลพทนความสงสัยที่เล้าหลืออยู่ในใจไม่ไหว จึงได้คลานออกจากมุ้งไปดูที่หน้าประตู มองลงไปที่ล่างบันได ก็เห็นแต่ความว่างเปล่า บริเวณด้านล่างและรอบๆของบ้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืด จนยากที่จะสังเกตอะไรได้

    คุณลพจึงหันกลับแล้วเดินเข้ามุ้ง จังหวะนั้นหางตาก็เหลือบไปที่มุ้งของคุณยาย ปรากฏว่าเห็นคุณยายนอนขดเอาผ้าคลุมหัวอยู่ในมุ้ง เหมือนกับว่ายังไม่ได้ลุกออกไปไหน คุณลพยืนงงอยู่กับที่ ในหัวตีกันจนมั่วซั่ว แล้วสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้มันคืออะไร

    ในระหว่างนั้น คุณลพสังเกตเห็นว่าคุณยายค่อยๆดึงเอาผ้าที่คลุมหัวอยู่ ลงทีละนิดๆ จนทำให้คุณลพเห็นใบหน้าที่กำลังส่งยิ้มมาให้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ในความมืด แล้วคุณยายก็ดึงผ้าขึ้นคลุมใบหน้าตามเดิม

    คุณลพยืนตัวชา งงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คุณยายทำไมถึงทำอะไรแปลกๆแบบนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อ คุณยายก็ดึงผ้าที่คลุมใบหน้าลงมา เหมือนพยายามจะแอบดูคุณลพ สายตาที่จ้องมองมา ทำให้รู้สึกเย็นวูบวาบ จนมือไม้กระตุกเป็นช่วงๆ

    คุณลพคิดว่ายืนอยู่แบบนี้คงไม่ดีแน่ จึงพยายามลากขาทั้งสองข้างกลับเข้ามุ้งตามเดิม พยายามข่มตาให้หลับ ระหว่างนั้นก็มีเสียง 'ก๊อกๆแก๊กๆ" อยู่แถวๆนอกมุ้ง แต่คุณลพคิดในใจว่ายังไงก็จะไม่ลืมตาขึ้นมาดูเด็ดขาด จนเผลอหลับไป

    รุ่งเช้า คุณลพรีบเล่าเหตุการณ์ให้คุณโพธิ์ฟังทันที แต่คุณโพธิ์ก็ยังเถียงขาดใจ จนคืนที่สอง หลังจากที่นกกลางคืนเริ่มส่งเสียงร้อง คุณลพก็เห็นคุณยายค่อยๆคลานออกมาจากมุ้ง แต่คราวนี้กลับคลานเข้ามาในมุ้งของคุณลพ

    คุณลพเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกว่าผวาจนตัวเกร็ง อยากจะลุกออกวิ่งไปจากที่นี่ แต่ก็ขยับตัวไปไหนไม่ได้ เพราะความกลัวมันบังคับให้นอนอยู่นิ่งๆ คุณยายค่อยๆคลานไปทางคุณแผน แล้วก้มหัวลงเลียแผลที่เท้าของคุณแผน

    คุณลพทนมองภาพที่น่าขนลุกแบบนี้ไม่ไหว พยายามสะกิดคุณโพธิ์ แต่ก็ไม่เป็นผลอีกเหมือนเดิม ทั้งๆที่อากาศหนาวเย็นจนตัวแทบสั่น แต่เหงื่อกาฬกับผุดออกมาเป็นเม็ดๆจนทั่วตัวของคุณลพ

    คุณลพไม่มีทางเลือก ได้แต่นอนตัวสั่นฟังเสีบงดูดเลียดัง "แจ๊บๆๆ" อยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วคุณยายก็คลานกลับเข้าไปนอนในมุ้งตามเดิม มีเสียงเบาๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากในมุ้งว่า "อึ้ม อร่อยดีนะ" คุณลพได้ยินเช่นนั้นก็แทบอยากจะร้องไห้ จนรุ่งเช้ามา คุณโพธิ์บ่นว่า

คุณโพธิ์ : ทำไมข้ารู้เจ็บแขนจังวะ
คุณลพ : ข้าหยิกแขนเอ็งเมื่อคืนเนี้ย ไม่รู้เรื่องเลยหรอ
คุณโพธิ์ : ไม่รู้อ่ะ แล้วเอ็งหยิกข้าทำไม
คุณลพ : ข้าเห็นยายเอ็งมาเลียแผลไอ้แผน

    คุณโพธิ์ก็รู้สึกโมโห เพราะคิดว่าคุณลพพูดจาใส่ร้ายคุณยาย แต่ปรากฏว่าแผลของคุณแผนบวมเป่ง เขียวช้ำไปทั้งขา เอาแต่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด คุณลพก็คิดว่าคงไม่นอนที่นี่ต่อแล้ว เพราะไม่อยากเจอภาพที่น่าขนลุกเหมือนคืนก่อนๆ ประกอบกับที่คุณแผนเอาแต่นอนร้องครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา

    คุณลพจึงบอกให้คุณโพธิ์ไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่สวน แต่คุณโพธิ์บอกว่าไปไม่ได้ เพราะต้องดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำคุณยาย จนเข้าคืนที่สาม คุณแผนเอาแต่นอนร้องด้วยความเจ็บปวด

    คุณลพจึงตัดสินใจบอกให้คุณโพธิ์ไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่ไร่ แล้วเดี๋ยวคุณลพจะอยู่เฝ้าให้เอง ส่วยคุณยายเดี๋ยวจะป้อนข้าวป้อนน้ำให้ คุณโพธิ์จึงรีบออกไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่ไร่

    พอคุณโพธิ์ออกไปได้สักพัก คุณลพก็วิ่งกลับบ้านทันที เพื่อที่จะไปตามคุณพ่อมาอยู่เป็นเพื่อนก่อน แต่เวลานั้นคุณพ่อไม่อยู่บ้านพอดี จึงวิ่งกลับมาดูคุณแผน ตอนนั้นคุณโพธิ์ก็ยังไม่กลับมาสักที

    คุณลพจึงเข้าไปนอนคลุมโปงอยู่ในมุ้ง จนเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง คุณโพธิ์ก็ยังไม่กลับมา แต่จังหวะนั้นคุณลพได้ยินเสียงคุณแผนร้อง "แค๊กๆ อ๊อคๆ" เหมือนถูกอะไรบางอย่างบีบคอจนหายใจไม่ออก

    คุณลพจึงแง้มผ้าห่มดู ปรากฏว่าเห็นคุณยายนั่งยองๆอยู่บนหน้าอกของคุณแผน แต่ที่ทำให้คุณลพตกใจกลัวจนแทบหยุดหายใจก็คือ คุณยายใช้มือช้อนศีรษะของคุณแผนให้โน้มขึ้นมา แล้วใช้ลิ้นที่ยาวจนผิดปกติ แยงเข้าไปในปากของคุณแผน

    คุณลพไม่กล้าที่จะมองภาพอันน่าสยดสยองนี้ต่อ และกลัวเกินกว่าที่จะขยับตัววิ่งหนี จึงได้แต่นอนตัวสั่นอยู่ใต้ผ้าห้ม เสียงของคุณแผนร้องเหมือนคนกำลังสำลักน้ำอยู่สักพักก็เงียบไป แต่ก็ยังได้ยินเสียง "สวบสาบ" อยู่ข้างๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังขยับเขยื่อนอยู่ ไม่กี่อึดใจต่อมา คุณลพได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นบันไดมา

    จึงได้เปิดผ้าห้มออก เห็นคุณยายรีบคลานกลับเข้าไปนอนในมุ้งตามเดิม แล้วคุณโพธิ์พร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ก็มาถึง คุณลพรีบเล่าเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง แต่กลับไม่มีใครเชื่อ หาว่าคุณลพเพ้อเจ้อ

    คุณพ่อจึงได้เข้าไปเขย่าตัวคุณแผน แต่ตอนนั้นคุณแผนได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการเอาศพไปชันสูตรดู ผลออกมาว่าขาดอากาศหายใจ ทุกคนต่างเค้นถามคุณลพถึงการตายของคุณแผน แต่คุณลพก็เล่าไปตามที่ตนเองเห็นมา แต่กลับไม่มีใครเชื่อ

    ผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่คุณลพเล่า แต่ทุกคนต่างก็เริ่มจับพิรุธ ทุกๆคืน คุณพ่อของคุณโพธิ์แทบจะไม่ได้นอน เพราะต้องอยู่ดูพฤติกรรมของคุณยาย

    ปรากฏว่าเห็นอย่างที่คุณลพเล่ามาจริงๆ กลางดึกของคืนหนึ่ง คุณพ่อเห็นคุณยายคลานออกจากมุ้ง แล้วกระโดดออกจากบ้าน เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน จึงได้ไปปรึกษาพระที่วัด ท่านก็บอกว่าคุณยายน่าจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่มีอย่างอื่นแฝงอยู่

    พอรู้แบบนั้น จึงได้พาหมอที่แก้คุณไสยมาดูคุณยายที่บ้าน หมอใช้ว่านชนิดหนึ่ง แตะลงที่ตัวของคุณยาย ปรากฏว่าคุณยายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด หมอก็พูดขึ้นมาว่า "ต้องตัดกรรมนะ ถ้าไม่ตัดกรรมก็ไม่ตายสักที แล้วนี่ไปกินลูกหลานของคนอื่นมันบาปกรรมมากนะ"

    หมอจึงได้ทำพิธีตัดกรรม พอจบพิธี คุณยายก็เสียชีวิตลงทันที ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งเหมือนกับศพที่ตายมาแล้วเป็นเวลาหลายวัน คุณโพธิ์เคยถามคุณลพในเรื่องที่คุณลพเคยโดนคุณยายผลักจนล้ม คุณลพจึงเล่าว่า ตอนนั้นคุณยายคงคิดจะกินคุณลพ ถึงได้เรียกให้ไปนั่งใกล้ๆ แต่ว่าในตัวคุณลพมีตะกรุดหลวงพ่อเงินอยู่ คุณยายจึงรู้สึกร้อน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ซ่อนอยู่ใต้เตียง


   รับรองว่าเรื่องนี้สุดสยองมากๆเรื่องของคุณหนึ่ง ความหลอกหลอนของวิญญาณเฮี้ยนสุดๆถึงขนาดที่คุณคาดไม่ถึงเรามาลองชมกันเลยครับ

    เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกรุงเทพ เมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณหนึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่มหาลัยแห่งหนึ่ง และได้เช่าหออยู่แถวๆมหาลัย ห้องของคุณหนึ่งจะอยู่ที่ชั้นห้า คุณหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวจนขึ้นปีสอง

    ก็ได้รู้จักกับเพื่อนคนนึง ชื่อคุณบอย เป็นนักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ อยู่ห้องเดียวกัน หลังจากที่คุณหนึ่งเริ่มสนิทกับคุณบอย จนเรียกได้ว่าซี้กันมาก จึงได้ชวนคุณบอยย้ายมาอยู่หอพักด้วย เพราะจะได้ช่วยกันหารค่าห้อง

    หลังจากที่คุณบอยย้ายเข้ามาอยู่ได้สักพัก คุณบอยก็มีแฟน และได้พาแฟนเข้ามาอยู่ด้วย ด้วยความที่คุณหนึ่งคิดว่าคุณบอยคงอยากจะอยู่กับแฟนแบบส่วนตัว คุณหนึ่งจึงได้ย้ายหอไปอยู่อีกซอยนึง

    หลังจากนั้นประมาณสี่เดือน คุณบอยกับแฟนก็เริ่มทะเลาะกัน โดยที่ฝ่ายหญิงคิดว่าคุณบอยแอบไปมีคนอื่น จนทะเลาะกันหนักขึ้นทุกวัน ปรากฏว่าแฟนของคุณบอยคิดสั้นกระโดดตึกเสียชีวิต ในเวลาประมาณเที่ยงคืน ตอนที่คุนบอยกำลังหลับอยู่

    จนเช้าวันต่อมา คุณหนึ่งก็ไปเรียนที่มหาลัยปกติ โดยที่ยังไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นคุณบอยเดินมาเรียนคนเดียว คุณหนึ่งก็ถามด้วยความสงสัยว่า ทำไมแฟนไม่มาด้วย คุณบอยอ้ำๆอึ้งๆอยู่พักหนึ่ง

    ก็ยอมบอกว่าแฟนกระโดดตึกตายเมื่อคืน คุณหนึ่งและเพื่อนคนอื่นๆก็นึกว่าคุณบอยล้อเล่น คุณบอยจึงให้ไปถามคนที่อยู่แถวนั้นดู เพราะรู้กันเกือบทั้งซอย แต่คุณบอยก็ยังไม่ได้ย้ายออก เพราะติดที่ค่ามัดจำ

    เย็นวันนั้น หลังจากเลิกเรียน คุณบอยก็กลับมาที่ห้องปกติ จนวันที่สอง เวลาประมาณห้าทุ่ม คุณบอยนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง รู้สึกเห็นอะไรบางอย่างขยับเขยื้อนอยู่แถวๆหางตา จึงได้หันไปมอง

    ปรากฏว่าเห็นแฟนนอนตะแคง เอามือเท้าหัว จ้องคุณบอยตาไม่กระพริบอยู่บนตู้เสื้อผ้า ใบหน้าเฉยเมย จนเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผิวซีดขาวออกคล้ำๆ สายตาของคนตายที่จ้องมาทางคุณบอย ทำให้รู้สึกเย็นไปทั้งร่าง ทั้งที่ปกติแล้วคุณบอยเป็นคนไม่กลัวผี แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้ามันก็ชวนให้ขนหัวลุกตั้ง

    เศษเสี้ยวของความกลัวเล็กๆ ผุดขึ้นเกาะกุมอยู่ในใจ จนวันต่อมา เวลาประมาณตีสอง คุณบอยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ภายในห้องจะมืดมาก มีแสงไฟจากด้านนอกสาดเข้ามาเล็กน้อย ทำให้เห็นสภาพห้องสลัวๆ

    ปรากฏว่าคุณบอยเห็นเงาร่างหนึ่ง ยืนอยู่บนเตียง แล้วโค้งลำตัวลงมาหา เหมือนกำลังจ้องมองหน้าคุณบอย คุณบอยพยายามเพ่งมองเงาที่โค้งลำตัวลงมา จนพอมองออกว่านั้นคือแฟนของตัวเองที่เสียชีวิตไปแล้ว

    มีเสียงเย็นๆแหบๆ พูดขึ้นมาอย่างช้าๆว่า "บอย ไปอยู่ด้วยกันมั้ย" คุณบอยรู้สึกชาไปทั้งตัว ทั้งๆที่รู้ว่านั่นคือแฟน แต่ความกลัวมันเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ แทนความกล้าที่มันเริ่มพังทลายลงทีละนิด คุณบอยแข็งใจตอบกลับไปว่า "ไม่ไป ยังเรียนไม่จบ" แต่เงาดำนั่นก็ยังคงยืนจ้องคุณบอยอยู่แบบนี้ทั้งคืน

    หลังจากวันนั้น คุณบอยจะถูกแฟนมากวนอยู่ทุกๆคืน จนเริ่มอยู่ไม่ได้ จึงได้มาปรึกษาคุณหนึ่งกับเพื่อนๆที่มหาลัย คุณหนึ่งก็บอกว่าแถวนี้มีวัดอยู่ที่หนึ่ง หลวงพ่อท่านเก่งมาก จึงได้ชวนกันไปปรึกษาดู แต่พอไปถึง หลวงพ่อท่านไม่อยู่วัดพอดี

    จึงได้เข้าไปปรึกษาหมอธรรมที่อยู่ในวัดแห่งนั้น หมอธรรมแนะนำว่าให้คุณบอยลงไปนอนที่ใต้เตียงเป็นเวลาเจ็ดวัน ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออกมาจากใต้เตียงเด็ดขาด จากนั้นคุณบอยก็ได้ทำตามคำแนะนำของหมอธรรม

    จนย่างเข้าวันที่สี่ เป็นวันสอบปลายภาค คุณหนึ่งก็งงว่าทำไมวันนี้คุณบอยถึงไม่มาสอบ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติของนักศึกษามาก หลังจากสอบเสร็จเวลาประมาณหกโมงเย็น คุณหนึ่งจึงไปหาคุณบอยที่ห้อง

    แต่ก็เข้าห้องไม่ได้ เพราะว่าลูกบิดถูกล็อกไว้จากด้านใน ซึ่งคุณหนึ่งเคยบอกกับคุณบอยไว้ว่าในช่วงที่กำลังทำพิธีนี้อยู่ ห้ามล็อคห้อง เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณหนึ่งจะได้สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทันที

    คุณหนึ่งจึงไปตามแม่บ้านให้มาช่วยเปิดห้อง หลังจากที่เปิดประตูห้องเข้าไป มีกลิ่นบางอย่างที่เหม็นมาก ทะลักออกมาจากในห้อง จนคุณหนึ่งและแม่บ้านต้องเอามือปิดจมูก คุณหนึ่งพยายามนึกว่ามันคือกลิ่นของอะไรกันแน่ แต่ก็นึกไม่ออก

    ภายในห้องค่องข้างมืดทึบ ผ้าม่านถูกดึงปิดไว้จนมิด ประกอบกับเป็นช่วงเวลาประมาณหกโมงครึ่ง แม่บ้านจึงเดินฝ่าความมืดเข้าไปในห้อง เพื่อที่จะไปเปิดประตูหลังห้องให้ระบายกลิ่นออกไปบาง แต่ไปสะดุดเข้าอะไรบางอย่างจนเกือบหน้าคว่ำ คุณหนึ่งและแม่บ้านจึงช่วยกันมอง ปรากฏว่ามันคือแขนของคุณบอย โผล่ออกมาจากใต้เตียง

    คุณหนึ่งและแม่บ้านจึงรีบช่วยกันดันเตียงออก ก็พบว่าคุณบอยนอนหงายลิ้นจุกปาก ลักษณะเหมือนถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ ที่ลำคอมีลอยแดงๆช้ำๆ เหมือนถูกบีบอย่างแรง เมื่อคุณหนึ่งเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกฉุนหมอธรรม คนที่แนะนำให้คุณบอยทำพิธีนี้มาก

    จึงได้นั่งแท็กซี่ไปหาคืนนั้นเลย หมอธรรมก็ถามว่า "ตอนที่ผู้หญิงกระโดดตึก เค้ากระโดดลงสภาพไหน" ซึ่งคุณหนึ่งก็ไม่ทราบ จึงได้โทรถามแม่บ้าน เพราะแม่บ้านเห็นสภาพศพ แม่บ้านบอกว่าเอาหัวลง

    หมอธรรมจึงบอกว่า "เวลาที่ผู้หญิงเค้ามา เค้าไม่ได้เอาเท้าเดิน แต่เค้าเอาหัวเดิน ใช้หัวไถมากับพื้น จากระเบียงหลังห้องแล้วไถไปรอบๆเตียง จึงสามารถมองเห็นคนที่นอนอยู่ใต้เตียง" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

29 เม.ย. 2562

หลอน3วัน


   เรามาดูกันว่าเรื่องของคุณนิคจะสยองหลอนแค่ไหน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง ในจังหวัดแพร่ เมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่คุณนิคกำลังศึกษาอยู่ มีโปรเจ็คที่ต้องทำร่วมกับเพื่อนในตัวเมือง ส่วนบ้านของคุณนิคจะอยู่แถวๆชานเมือง จึงต้องกลับดึกอยู่เป็นประจำ

    วันนั้นช่วงเวลาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ คุณนิคขี่มอเตอร์ไซต์กลับออกมาจากบ้านเพื่อน ทางค่อนข้างเปลี่ยวและมืดพอสมควร ส่องข้างทางจะเป็นทุ่งนาและป่า คุณนิคขี่มอเตอร์ไซค์ไปจนถึงทางโค้ง แสงไฟหน้ารถสาดเข้าไปในหัวมุมโค้ง

    เห็นเป็นคนชรานอนอยู่ข้างทาง ด้านข้างมีมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่หนึ่งคัน คุณนิคจึงขี่ชลอลง คิดว่าอาจจะเป็นคนเมา จนผ่านทางโค้งไป แล้วมองที่กระจกหลัง ปรากฏว่าเห็นผู้ชายที่นอนอยู่ข้างทาง ค่อยๆคลานขึ้นมาบนถนน

    แต่ที่ทำให้คุณนิคตกใจจนผวาคือผู้ชายคนนั้นไม่มีหัว พอผู้ชายคนนั้นคลานกลับขึ้นมาบนถนนได้แล้ว ก็เลี้ยวตัวคลานตามหลังคุณนิคมาอย่างช้าๆ ลักษณะท่าคลานเหมือนสัตว์อะไรบางอย่าง

    คุณนิครีบบิดมอเตอร์ไซต์จนมิดคันเร่ง เสียวสันหลังจนต้องเกร็งตัวตลอดเวลา คิดในใจว่าโชคดีที่เจ้าตัวนั้นมันเคลื่อนที่ได้ช้า จนคุณนิคกลับถึงบ้าน แล้วได้โทรไปเล่าเรื่องนี้ให้คุณอาฟัง คุณอาก็บอกว่าไม่ต้องคิดมาก มันไม่มีอะไรหรอก

    เช้าวันต่อมา คุณนิคขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านตรงจุดเกิดเหตุเมื่อวาน อยู่ๆก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะภาพเหตุการณ์เมื่อคืนมันยังติดอยู่ในหัว คุณนิคพยายามสังเกตเข้าไปตรงโพลงหญ้าที่ผู้ชายคนนั้นนอนอยู่

    แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยของการเกิดอุบัติเหตุเลย คุณนิคจึงขี่รถไปเรียนแบบงงๆ ตกเย็นคุณนิคกลับมาถึงบ้าน จึงได้เล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่บอกว่า จุดนั้นมันเป็นโค้งอันตราย แถวนั้นจะมีทางแยกเล็กๆ เป็นทางขึ้นเขา จึงมีคนเข้าไปหาของป่ากันที่นั่นเสมอ เมื่ออาทิตย์ก่อน มีผู้ชายคนนึง ขี่มอเตอร์ไซค์เสียหลัก พุ่งชนหลักกิโลจนคอหัก

    วันต่อมา หลังจากเลิกเรียนกลับมา คุณนิคได้มาออกกำลังกายกับพวกพี่ๆหน้าบ้าน จนเวลาประมาณสี่ทุ่ม ทุกคนสักเกตเห็นดวงไฟกลมๆ สว่างวูบวาบอยู่แถวๆชายป่าหลังบ้าน แล้วแสงนั่นก็ค่อยๆลอยขึ้นเหนือต้นไม้ แล้วก็หายไป

    ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกกลัว จึงได้แยกย้ายกันเข้าบ้าน คุณอาเดินมาถามคุณนิคว่า "เห็นเหมือนกันใช่มั้ย" คุณนิคตอบว่า "ใช่" คุณอาจึงถามว่า "ตามไปดูมั้ย" คุณนิคลังเลอยู่ครู่นึง ก็ตัดสินใจตามไปด้วย

    ทั้งสองคนจึงเดินถือไฟฉายเข้าไปแถวๆจุดที่พบแสงก่อนหน้านี้ ช่วงนั้นเวลาประมาณห้าทุ่มครึ่ง ต้องใช้ไฟฉายส่องนำทาง เพราะมืดมากจนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆรอบตัว พอเดินเข้าไปได้สักพัก ก็เห็นดวงไฟกลมๆ ลูกเท่าหัวคน ลอยผุดขึ้นผุดลงอยู่แถวๆใต้ต้นไม้ใหญ่

    คุณอากับคุณนิคเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเดินกลับออกมาก่อน พอกลับมาถึงบ้านก็มานั่งคุยกันว่ามันคืออะไรกันแน่ จนวันต่อมา คุณนิคและเพื่อนๆ ก็ย้ายกันไปซ่อมเต้นที่ศาลาในวัด

    จนเวลาประมาณห้าทุ่ม จึงได้แยกย้ายกันกลับบ้าน คุณนิคเดินกลับออกมาจากวัดกับเพื่อนอีกสองคน พอเดินพ้นซุ้มประตูวัดจนมาถึงถนน อยู่ๆเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า "อะไรไม่รู้ อยู่ตรงซุ้มประตูวัด"

    คุณนิคจึงหันหลังกลับไปมอง ปรากฏว่าเห็นคนตัวสูงประมาณสี่เมตร ลักษณะผอมแห้ง ผมยาวๆ ลูกกะตากลมโต ไม่มีปาก และไม่ใส่เสื้อผ้า ยืนแอบมองอยู่หลังซุ้มประตูวัด

    คุณนิคตกใจจนตาเบิกโพลง ขนตั้งชันไปทั้งตัว ร้องตะโกนโวยวาย วิ่งหนีไม่คิดชีวิตจนกลับถึงบ้าน รุ่นเช้าคุณแม่จึงได้พาคุณนิคไปรดน้ำมนต์ที่วัด พระอาจารย์ท่านก็บอกว่า ช่วงนี้คุณนิคดวงตก จึงทำให้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย ให้ระวังเรื่องอุบัติเหตุไว้ด้วย ถึงสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถเอาชีวิตเราได้โดยตรง แต่พวกมันก็สามารถฆ่าเราได้ทางอ้อมเหมือนกัน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ค่ำคืนรวมผี


   ครั้งหนึ่งที่คุณโต้งเจอเรื่องราวในคืนหลอนนับไม่ถ่วน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเชียงราย เมื่อประมาณสองเดือนทีผ่านมา น้องชายของคุณโต้งกลับมาจากต่างประเทศ จึงมีแพลนที่จะทำร้านอาหารกัน แต่ตอนนั้น คุณโต้งอายุสามสิบ ยังไม่เคยบวชให้คุณพ่อคุณแม่ ก็คิดว่าจะขอบวชก่อน

    จึงได้ไปดูฤกษ์บวชมา เป็นวันที่สี่เดือนเมษายน บ้านของคุณโต้งจะอยู่ในตัวเมืองเชียงราย ตั้งใจไว้ว่าจะบวชที่วัดใกล้บ้านก่อนสองวัน แล้วอีกเจ็ดวันจะย้ายไปบวชที่วัดป่า

    ตอนที่คุณโต้งบวชอยู่ที่วัดในเมือง คุณโต้งได้อยู่กุฏิคนเดียว ถึงจะเป็นวัดในเมือง แต่ตกหลางคืนแล้วก็ค่อนข้างเงียบมาก แทบจะไม่มีเสียงรถหรือเสียงอย่างอื่นมารบกวน กิจวัตรประจําวันก็เหมือนกับวัดอื่นๆ ทำวัดเช้าตอนตีห้า ทำวัดเย็นตอนห้าโมง

    จนถึงวันที่คุณโต้งย้ายไปที่วัดป่า ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณหกสิบกิโลเมตร ล้อมรอบด้วยป่าและภูเขา ไม่มีสัญญาณมือถือ ภายในวัดจะมีศาลาการเปรียญหลังไม่ใหญ่มาก ด้านหลังศาลาจะเป็นเมรุเผาศพ ส่วนกุฏิรวมจะอยู่หลังวัด ห่างจากศาลาประมาณสี่ร้อยเมตร

    ทางเดินไปกุฏิจะเป็นทางตัดผ่านเข้าไปในป่า เป็นแค่ช่องทางเดินเล็กๆ สองข้างทางจะเป็นต้นไม้สูง ขึ้นเบียดเสียดกันจนแน่นขนัด กุฏิรวมจะมีสองชั้น คุณโต้งมาถึงที่วัดแห่งนี้ประมาณบ่ายสามโมง ทางวัดจัดให้คุณโต้งพักที่กุฏิรวม

    แต่คุณโต้งขอพักที่กุฏิเดี่ยว ซึ่งจะอยู่ไม่ห่างจากกุฏิรวมมากนัก มีห้องน้ำในตัว แต่ไม่มีพระอาศัยอยู่ คุณโต้งก็เดินสำรวจกุฏิ ก็พบว่าประตูห้องน้ำชำรุด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนเวลาประมาณหกโมง ก็ถึงเวลาทำวัดเย็น

    หลังจากทำวัดเย็นเสร็จ คุณโต้งก็เริ่มเจอพระที่มาบวชเหมือนกัน ได้เข้ามาทักทายคุณโต้งว่า "อ่าวหลวงพี่ นอนที่ไหนอ่ะ" คุณโต้งจึงบอกว่า "นอนที่กุฏิเดี่ยวครับหลวงพี่" หลวงพี่ท่านนั้นก็ถามกลับว่า "จะนอนที่กุฏินั้นจริงๆเหรอ" คุณโต้งจึงบอกว่า "ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่คนเดียวได้"

    วันนั้นช่วงค่ำๆ เจ้าอาวาสก็ได้ออกมาเทศนา สอนทั้งโยมที่มาปฏิบัติธรรมและทั้งพระที่เข้ามาบวชใหม่ จนถึงช่วงหลังๆท่านก็เล่าว่า เคยประปลัดมาบวชที่นี่ แล้วเสียสติ ไม่ใส่เสื้อผ้า ออกมารำอยู่หน้ากุฏิในเวลากลางดึก

    ด้วยความที่เพลีย คุณโต้งก็ฟังบ้างงีบหลับบ้าง หลังจากที่เจ้าอาวาสเทศนาจบแล้ว ก็ได้แยกย้ายกันเข้ากุฏิ ระหว่างทางเดินกลับกุฏิจะมืดมาก ต้องใช้ไฟฉายช่วยส่องทาง เดินมาด้วยกันประมาณหกรูป

    หลวงพี่ท่านเดิมก็พูดกับคุณโต้งว่า "หลวงพี่ ไปนอนด้วยกันก็ได้นะ" คุณโต้งก็คิดในใจว่าทำไมเซ้าซี้จัง จึงตอบไปว่า "ไม่เป็นไรครับ ผมนอนคนเดียวได้จริงๆ ผมชอบความเป็นส่วนตัว"

    ระหว่างที่คุณโต้งกำลังเดินขึ้นกุฏิ ก็มีพระรุ่นน้อง ที่บวชอยู่ก่อนแล้ว เดินมาบอกว่า "หลวงพี่ งั้นไปไหว้เจ้าที่ก่อนมั้ย" คุณโต้งจึงไปเตรียมธูปแล้วเดินลงมาจากกุฏิ พระรุ่นน้องก็ถามอีกว่า "จะนอนที่กุฏินี้จริงๆเหรอ"

    คุณโต้งรู้สึกคาใจมาก ก็เลยพูดว่า "เล่ามาเลยดีกว่า กุฏินี้มีอะไรกันแน่" พระรุ่นน้องจึงบอกว่า "หลวงพี่จำที่ท่านเจ้าอาวาสพูดได้มั้ยว่ามีปลัดเคยมาบวชอยู่ ปลัดคนนั้นก็จำอยู่ในกุฏิที่หลวงพี่กำลังจะพักเนี่ยแหละ"

    คุณโต้งจึงถามต่อไปว่า "แล้วทำไมประตูห้องน้ำมันพังอ่ะครับ" พระรุ่งน้องบอกว่า "เค้าอาบน้ำอยู่ แล้วอยู่ดีๆเหมือนอะไรมาเข้าเค้าก็ไม่รู้ เค้าเลยพังกระตูห้องน้ำออกมารำอยู่หน้ากุฏิกลางดึก"

    คุณโต้งได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุก หนาวๆร้อนๆขึ้นมาทันที จึงได้บอกว่า "งั้นช่วยผมเก็บของหน่อยได้มั้ย จะได้ย้ายไปนอนที่กุฏิรวม" คุณโต้งจึงไปนอนรวมกับพระรูปอื่นๆอีกห้ารูปที่กุฏิรวมชั้นสอง

    ดึกของคืนนั้น คุณโต้งได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อว่า "เอ..เอ..เอ" ซึ่งพระที่ชื่อเอ ก็นอนอยู่ในห้องนั้นด้วย และจะสึกออกจากวัดในอีกสามวัน คุณโต้งรู้สึกเย็นไปทั่วร่าง ค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง จนเผลอหลับ

    ตอนเช้ามีพระมาถามคุณโต้งว่า "เมื่อคืนได้ยินเสียงผู้หญิงมั้ยท่าน" คุณโต้งก็ตอบว่า "ได้ยิน" พระรูปนั้นก็บอกว่า "เมื่อคืนอะ ได้ยินกันทั้งห้อง ยกเว้นพระเอ เพราะหลับไปแล้ว แต่พอผีผู้หญิงเรียกชื่อหลายๆรอบเข้า พระเอก็ดันละเมอขานรับ อืม เบาๆ"

    ตกอีกวัน หลังจากทำวัดเย็นเสร็จ พระทุกรูปก็ได้เข้ากุฏิพักผ่อนกันปกติ ช่วงเวลาประมาณห้าทุ่ม คุณโต้งได้ยินเสียงเหมือนแมลงร้องดันมาก "วี๊ดดดดด" คุณโต้งนอนฟังไปฟังมา ก็รู้สึกเหมือนจะไม่ใช่เสียงของแมลง

    เพราะมีเสียงเท้าหนักๆเดินอยู่รอบกุฏิ และเสียงวี้ดก็เหมือนจะออกมาจากสิ่งนั้น คุณโต้งจึงพยายามเพ่งออกไปนอกกุฏิผ่านหน้าต่างบาดเกร็ด ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาดำ ตัวลีบๆสูงๆ เดินวนรอบๆกุฏิ จึงรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือผีเปรต

    ตัวสูงเท้าต้นไม้ ผอมกว่าคนปกติ ร้องเหมือนแมลง เคลื่อนไหวเชื่องช้า คุณโต้งนอนหลับตาปี๋ ภาวนาว่าขออย่าให้สิ่งนั้นมองเข้ามาในกุฏิ ไม่เช่นนั้นแล้วมันคงรู้แน่ว่ายังมีพระที่ยังไม่หลับ

    รุ่งเช้าขึ้นมา พระที่บวชอยู่ก่อนหน้านั้น สึกออกไปสี่รูป จึงเหลือพระแค่สองรูปรวมคุณโต้งที่นอนอยู่ที่กุฏิชั้นสอง พระที่เหลืออีกรูปนึง ซื่งแก่พรรษากว่า บอกกับคุณโต้งว่า "เดี๋ยววันนี้ หลวงพี่จะย้ายไปนอนอีกห้องนึงนะ เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว"

    จึงเหลือคุณโต้งที่นอนในห้องรูปเดียว คืนนั้นหลังจากกรรมฐานเสร็จประมาณสามทุ่ม คุณโต้งก็กลับเข้ากุฏิ ใจสั่นตลอดเวลา เพราะไม่เคยนอนในกุฏิแห่งนี้คนเดียวมาก่อน ก่อนนอนคุณโต้งอธิษฐานว่า "คืนนี้ผมนอนคนเดียวนะ อย่ากวนผมเลยนะ"

    แล้วก็ล้มตัวลงนอน แต่คุณโต้งสังเกตเห็นเงาของอะไรบางอย่าง เคลื่อนตัวไปมาภายในห้อง มองไม่ออกว่ามันคือเงาของอะไร และเคลื่อนที่ได้เร็วพอสมควร คุณโต้งพยายามข่มตาหลับ ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกกลัวจนแทบอยากจะกระโดดหนีลงจากกุฏิ

    รุ่นเช้า พระรุ่งน้องที่นอนอยู่ชั้นล่างของกุฏิ มาเล่าให้คุณโต้งฟังว่า กลางดึกได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อ จึงลืมตาขึ้นมาดู ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงนั่งอยู่ข้างเตียง ลักษณะเป็นผู้หญิงผมยาว หัวยุ่งๆ นุ่งผ้าถุง ตัวซีดขาวจนออกสีเขียวเป็นจ้ำๆ

    จึงได้แผ่เมตตาให้ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หายไป วันนั้นคุณโต้งใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวัน กลัวว่าจะเจอเหมือนกับที่พระรุ่งน้องเจอ อยากจะกลับไปจำวัดในเมืองเหมือนเดิม

    จนเวลาสามทุ่ม คุณโต้งก็มีความรู้สึกว่า ถ้าฝืนในการปฏิบัติ นอกจากจะไม่ได้บุญแล้ว มันยังทำให้รู้สึกแย่ จึงได้ติดต่อหาโยมแม่ แต่พยายามเดินหาสัญญาณเท่าไหร่ก็ไม่มี จนหมดหนทาง คุณโต้งจึงยกมือขึ้นไหว้ แล้วพูดว่า "โยม ถ้าโยมทำแบบนี้ มันจะเป็นบาปเป็นกรรมนะ"

    ปรากฏว่าคุณโต้งสามารถโทรติดต่อโยมแม่ได้ จึงได้เล่าเหตุการณ์ให้โยมแม่ฟัง โยมแม่ก็บอกว่าให้อดทดเอา คุณโต้งจึงต้องทนอยู่ต่อไปจนถึงคืนสุดท้ายก่อนจะสึก คืนนั้นคุณโต้งก็ทำเช่นเดียวกับคืนก่อนๆ คือไหว้แล้วพูดในใจว่า "อย่าออกมากวนอาตมาเลย เดี๋ยวอาตมาจะทำบุญไปให้" แล้วก็นอน

    ปรากฏว่าล้มตัวลงนอนไม่ถึงห้านาที ก็ได้ยินเสียงคนเดินลากเท้าไปมารอบห้อง "ฟืด..ฟืด..ฟืด" คุณโต้งรู้สึกขนลุกตั้งไปทั้งตัว รีบดึงผ้าห้มคลุมโปง หลับตาปี๋ แต่เสียงก็ยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ "ฟืด..ฟืด..ฟืด"

    จนคุณโต้งทนไปไหว จึงแง้มผ้าขึ้นดู เห็นเป็นเท้าคนใหญ่ๆ เปื้อนโคลน ยืนอยู่ที่มุมห้องมืดๆ ความกลัววิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย แขนขาทั้งสองข้างสั่นจนควบคุมอาการไว้ไม่อยู่ รีบปิดผ้าห่มลงมา คิดในใจตลอกว่า ทำไงดีๆๆๆ

    สักพักก็แง้มผ้าห่มออกดูอีกครั้ง ปรากฏว่าเท้านั้นเปลี่ยนมายืนอยู่ที่กลางห้อง ใกล้ตัวคุณโต้งเข้ามาอีก จนคุณโต้งทนไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นจากเตียงวิ่งออกนอกห้อง ไปเคาะเรียกหลวงพี่ห้องข้างๆ และขอนอนด้วย

    วันต่อมาคุณโต้งก็สึกออกจากวัด คุณแม่กับน้องชายก็ได้มารับ พอน้องชายขับรถออกจากวัดมาได้สักพัก ก็พูดขึ้นมาว่า "เมื่อกี้เห็นผู้หญิงนุ่งผ้าถุง หัวยุ่งๆ เดินตามหลังรถ แล้วกวักมือเรียก" คุณโต้งรู้ขึ้นมาทันทีว่า น่าจะเป็นคนเดียวกับที่พระรุ่นน้องเจอ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

เสียงคนเดินจากชั้นบน


       ประสบการณ์หลอนเมื่อครั้งต้องไปต่างจังหวัดเพื่องทำงานของคุณตั้มที่เขาเช่าบ้านหลอนราคาประหยัด เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านพักแห่งหนึ่ง ในจังหวัดน่าน เมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา คุณตั้มทำงานเป็นพนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้า อยู่ฝ่ายโปรโมชั่น วิ่งงานทั่วประเทศ

    หัวหน้าคุณตั้มบอกกับคุณตั้ม "ตั้ม เดี๋ยวช่วงเดือนพฤศจิกาเนี่ย พี่มีงานที่จังหวัดน่าน ไปให้พี่หน่อยได้มั้ย เดือนนึง" คุณตั้มก็อ้ำๆอึ้ง แต่ก็ตอบไปว่า "โอเคพี่ ผมว่างพอดีเลย เดี๋ยวผมไปให้ก็ได้"

    หัวหน้าก็ถามว่า "ตั้มมีที่พักอยู่แถวนั้นหรือเปล่า" คุณตั้มตอบว่า "ผมไม่มีครับ ว่าจะไปหาเช่าที่นั่นแหละ" หัวหน้าจึงบอกมาว่า "ตั้มไปพักบ้านแม่พี่มั้ย อยู่ห่างจากตัวห้างไม่ไกลมาก" คุณตั้มก็เลยตกลง เพราะจะได้ประหยัดไปด้วยในตัว

    พอถึงวันกำหนด คุณตั้มก็ขี่บิ๊กไบค์จากกรุงเทพขึ้นไปจนถึงน่าน ช่วงนั้นกำลังเห่อบิ๊กไบค์อยู่ด้วย ก็ได้โทรถามทางเป็นระยะๆ จนไปถึงบ้านคุณแม่ของหัวหน้า ซึ่งหัวหน้าได้โทรบอกคุณแม่ไว้ก่อนเลย

    เป็นบ้านหลังใหญ่มาก ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ มีคนอยู่ประมาณสามสิบหลังคาเรือน คุณแม่จะอาศัยอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว ลักษณะเป็นบ้านสองชั้น ยกใต้ถุนสูง ชั้นแรกเป็นปูน ชั้นบนจะเป็นไม้สัก พื้นที่บ้านเกือบๆหนึ่งร้อยตารางเมตร ชั้นล่างจะมีประมาณสิบกว่าห้อง ชั้นบนจะมีห้าห้อง คุณแม่จะนอนอยู่ชั้นบน

    เวลาที่คุณตั้มจะไปทำงาน จะต้องขี่รถข้ามไปอีกอำเภอนึง ระยะทางประมาณเกือบๆห้าสิบกิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง คุณแม่ของหัวหน้าเป็นคนใจดีมาก ต้อนรับคุณตั้มอย่างดี มีอาหารให้ทานทุกวัน

    คุณแม่ก็ถามคุณตั้มว่า "ตั้มจะนอนที่ไหน" คุณตั้มตอบว่า "งั้นผมขอนอนชั้นล่างละกัน" คุณตั้มจึงเอาข้าวของเข้าไปเก็บในห้อง ก็รู้สึกว่าบ้านหลังนี้ใหญ่มากก็จริง แต่ก็มืดมาก ดูอึบทึบ มืดมน ไม่โปร่ง เพราะไม่ได้เปิดหน้าต่างเลย

    ตกกลางคืนจะหนาวมาก เกือบๆสิบองศา คุณตั้มก็นอนพักผ่อนปกติ เวลาประมาณห้าทุ่ม แต่หูได้ยินเสียงคนเดินอยู่ชั้นบน ลักษณะเหมือนคนเดินทิ้งน้ำหนักลงบนแผ่นไม้ จนไม้ลั่นดัง "เอี๊ยดดดด" คุณตั้มคิดว่าคุณแม่อาจจะยังไม่นอน

    เช้าวันต่อมา คุณแม่ก็ลงมาทำกับข้าวให้ทาน คุณตั้มจึงถามว่า "แม่ครับ ปกติแม่เป็นคนนอนดึกเหรอครับ" คุณแม่ก็ตอบว่า "สองทุ่มครึ่งแม่ก็นอนแล้ว" คุณตั้มจึงถามไปอีกว่า "แต่ห้าทุ่มผมยังได้ยินเสียงคนเดินอยู่เลยนะครับแม่" คุณแม่ก็ตอบว่า "อ๋อ สงสัยเป็นเสียงไม้ลั่นน่ะ"

    คุณตั้มคิดในใจว่าเสียงที่ได้ยิน มันเป็นเสียงของคนลงฝีเท้า แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แล้วออกไปทำงาน คุณตั้มจะอยู่ที่ห้างเวลาสิบโมงจนถึงหนึ่งทุ่ม กว่าจะขี่รถกลับมาถึงบ้านก็ประมาณสองทุ่ม

    คุณแม่จะขึ้นบ้านนอนประมาณทุ่มครึ่ง แต่คุณแม่ก็ได้บอกไว้ว่าถ้าเกิดมาถึงบ้านแล้ว ให้เรียกคุณแม่ก็ได้ ส่วนบ้านจะไม่ได้ล็อกประตู คุณตั้มก็งงว่าบ้านนี้ทำไมถึงไม่ล็อกประตูเลยสักบาน

    แต่คุณตั้มเกรงใจก็เลยไม่กล้าเรียก จังหวะที่กำลังเปิดประตูเข้าไป ก็สังเกตเห็นไฟบนชั้นสอง เปิดไว้อยู่ห้องนึง แล้วมีคนชะโงกหน้าออกมาดู แล้วก็หายไป คุณตั้มคิดว่าเดี๋ยวคุณแม่ก็คงจะลงมา จึงเข้าไปเก็บมอเตอร์ไซค์

    แล้วไปนั่งทานข้าวที่คุณแม่เตรียมไว้ให้ในห้องครัว ทานไปสักพักก็คิดว่า ทำไมคุณแม่ยังไม่ลงมาสักที หรือว่าแค่ชะโงกออกมาดูเฉยๆ สักพักก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นๆลงๆอยู่ตรงบันได ซึ่งโต๊ะที่คุณตั้มนั่งทานข้าวอยู่ สามารถมองเห็นบันได แต่ก็ไม่เห็นมีใครลงมาสักที "แอ๊ดดด..แอ๊ดดด..กร็อบ..กร็อบ"

    จนคุณตั้มเริ่มรู้สึกผิดสังเกต จึงเปิดไฟฉาย แล้วหาอะไรใกล้ตัวที่พอจะใช้ทุบตีได้ คิดในใจว่าต้องมีโจรหรืออะไรสักอย่างแน่ แล้วค่อยๆเดินย่องเข้าไปใกล้ๆบันได แต่อยู่ดีๆก็เหมือนมีคนวิ่งหนีขึ้นบันได "ตึ้งๆๆๆๆ"

    คุณตั้มคิดว่าต้องเป็นขโมยแน่ๆ จึงรีบวิ่งตามขึ้นไปชั้นบน แล้วมาหยุดอยู่ที่กลางบ้าน พยายามมองฝ่าความมืดรอบๆตัวหาเจ้าของเสียง แต่ก็ไม่เจอใคร สักพักคุณแม่ก็เปิดประตูออกมา แล้วถามคุณตั้มว่า "ตั้ม มีอะไร เห็นวิ่งขึ้นบันไดมาเสียงดัง"

    คุณตั้มจึงบอกว่า "แม่ ผมเห็นมีคนวิ่งขึ้นมาข้างบนนี้ แม่เห็นมั้ย" คุณแม่ก็ตอบว่า "ไม่เห็นนะ ไม่มี" คุณตั้มจึงสังเกตไปรอบตัว ก็พบว่านอกจากห้องนอนของคุณแม่แล้ว ห้องที่เหลือถูกคล้องกุญแจไว้หมดทุกห้อง

    คุณตั้มจึงเดินลงไปนอนด้วยอาการงงๆ ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที คุณตั้มก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ชั้นบนในห้องที่อยู่ตรงกับห้องของคุณตั้มพอดี ลักษณะเหมือนมีหลายคน "แอ๊ดๆ กร๊อกๆ แอ๊ดๆ"

    เสียงนั้นค่อยๆเดินลงมาจากบันได แล้วมาเดินวนไปมาอยู่หน้าห้องคุณตั้ม "กร๊อกๆๆ" สักพักก็เดินขึ้นบันไดกลับไปชั้นบน และไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูด้วย คุณตั้มแปลกใจมาก แต่ก็ไม่อยากคิดอะไร

    วันต่อมา คุณตั้มกลับเข้าบ้านประมาณสี่ทุ่ม นั่งเคลียร์งานอยู่ในห้อง อยู่ๆก็ได้ยินเสียง "ตึ้ง!!" ลักษณะคล้ายๆเสียงคนล้ม คุณตั้มคิดว่าเป็นคุณแม่ จึงรีบวิ่งขึ้นบันได ไปหยุดอยู่ตรงพื้นที่โล่งๆกลางชั้นสอง

    แล้วเสียงก็ดังขึ้นอีก "ตึ้ง!!" ครั้งนี้มันดังออกมาจากห้องหนึ่ง ที่คราวแล้วมันล็อกอยู่ แต่คราวนี้ประตูมันเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย จึงรีบวิ่งพรวดเข้าไปในห้อง คุณตั้มรู้สึกเข่าอ่อนทันที เนื้อตัวเย็นเฉียด

    ภายในห้องมืดทึบ เหมือนอับ มีโกศตั้งเรียงรายอยู่ในตู้ข้างห้องเกือบๆยี่สิบอัน มีทั้งโกศไม้และโกศที่เก่ามากจนแตก รวมถึงผ้าห่อกระดูกสีขาว ฝั่งตรงข้ามมีรูปภาพขาวดำ เกือบเท่าจำนวนเดียวกับโกศตั้งอยู่ในตู้ มีชุดไทยโบราณหลายชุด แขวนอยู่ที่ผนังของฝั่งที่เป็นหน้าต่าง

    คุณตั้มนั่งตัวสั่นอยู่หน้าประตู ไม่มีแรงเหลือที่จะลุกเดินออกมาจากตรงนั้น แล้วรู้สึกมีคนมาจับที่หัวไหล่ คุณตั้มสะดุ้งสุดตัว เหลียวกลับไปมอง เห็นคุณแม่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วถามว่า "ตั้ม เป็นอะไร แล้วตั้มเปิดห้องนี้ได้ยังไง"

    คุณตั้มตอบด้วยเสียงสั่นๆว่า "ผมเปล่าเปิด ผมได้ยินเสียงดังออกมาจากในห้องนี้ ผมคิดว่าแม่ล้ม ก็เลยขึ้นมาดู" คุณแม่จึงพูดว่า "อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก สงสัยบรรพบุรุษของแม่เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็เลยออกมาทักทาย"

    หลังจากนั้น คุณตั้มต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกหนึ่งเดือน และทุกคืนจะได้ยินเสียงคนเดินจากชั้นบน ลงบันไดมาอยู่ที่หน้าห้องคุณตั้ม แล้วเดินกลับขึ้นไปชั้นบนเหมือนเดิม และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

หอนี้ดีมีประวัติ


    คุณแบงค์เจอดีที่หอพักแห่งหนึ่งจนต้องขอลาบวชโดย  เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่คุณแบงค์กำลังเข้ามาศึกษาที่นี่ใหม่ๆ แต่จองหอในไม่ทัน จึงตัดสินใจไปจองหอนอกแทน

    ก็ได้ไปปรึกษารุ่นพี่เรื่องหาหอพัก รุ่นพี่แนะนำหอแห่งหนึ่งมา ลักษณะเป็นตึกหกชั้น ราคาเดือนละสองพันบาท แต่รุ่นพี่บอกว่า "น้อง หอเนี่ยราคาถูกจริง แต่มันเคยมีประวัตินะ ชั้นหกห้องหกศูนย์สองเคยมีนักศึกษาหญิงผูกคอตาย เพราะผลการเรียน"

    คุณแบงค์ก็ตกใจ รุ่นพี่ก็พูดต่อว่า "แต่ไม่ต้องห่วง เพราะเค้าปิดชั้นหกไปแล้ว" โดยส่วนตัวคุณแบงค์ไม่ใช่คนกลัวผี ก็ตกลงที่จะเช่าอยู่หอแห่งนี้ จึงได้เข้าไปติดต่อจองห้องพัก และได้ห้องห้าศูนย์สอง ซึ่งอยู่ใต้ห้องที่เกิดเหตุพอดี

    แต่คุณแบงค์ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะยังไงก็คิดว่าไม่กลัว คืนแรกเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณแบงค์นอนเล่นอยู่บนเตียง หูก็ได้ยินเสียงคล้ายๆคนลากเก้าอี้ไปมาอยู่ในห้องด้านบน "คลืดดดด"

    คุณแบงค์ตกใจมองขึ้นไปบนเพดานห้อง สักพักเสียงเหมือนเก้าอี้ล้ม "โคลมมม!!" แล้วก็เงียบ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เกิดเสียงขึ้นอีก "คลืดดดดดด โคลมม!!" เป็นแบบนี้อยู่ประมาณสองถึงสามครั้ง คุณแบงค์ได้แต่นอนนิ่ง พยายามข่มความกลัวเอาไว้

    และคืนต่อๆมาก็ยังได้ยินอยู่เช่นเดิม พอคุณแบงค์เริ่มชิน ก็ไม่ค่อยรู้สึกกลัว จนมีอยู่คืนนึง คุณแบงค์มีปัญหากับทางมหาลัย รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงกลับมานอนที่ห้อง

    คุณแบงค์ล้มตัวลงนอนไม่ถึงห้านาที ก็ได้ยินเสียงคนลากเก้าอี้ที่ห้องข้างบนอีกเช่นเคย ตอนนั้นคุณแบงค์กำลังอยู่ในช่วงที่อารมณ์ยังไม่ปกติ จึงเผลอปากพล่อยพูดออกมาว่า "อะไรนักหนาว่ะ ข้าจะนอน เอ็งจะเสียงดังหาบิดาเอ็งเหรอ"

    พอคุณแบงค์พูดจบ เสียงด้านบนก็หยุดลงทันที สักพักก็ได้ยินเสียงเก้าอี้กระแทกกับพื้นดังลั่น "โคลมม!!" เหมือนมีคนจับมันเหวี่ยงลงกับพื้นสุดแรง จนคุณแบงค์สะดุ้งเฮือก แล้วเสียงทุกอย่างก็หยุดเงียบไป จนไม่ได้ยินอะไรอีกเลย

    วันต่อมา คุณแบงค์เลิกเรียนประมาณบ่ายสามโมง กำลังจะกลับขึ้นไปนอนบนห้อง คุณแบงค์เดินเข้าไปในลิฟท์ กดชั้นห้า ระหว่างนั้นก็เล่นโทรศัพท์ไปด้วย จนประตูลิฟท์เปิด จึงเดินออกไปนอกลิฟท์ ทั้งๆที่ตายังจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์

    จนเหลือบไปเห็นฝุ่นหนาเตอะที่กองอยู่บนพื้นทางเดินหน้าลิฟท์ จมูกก็รับรู้ถึงกลิ่นเหมือนอับ เหมือนห้องที่ถูกปิดตายมาเป็นระยะเวลาหลายปี คุณแบงค์จึงเงยหน้าขึ้นมาดู ก็เห็นสภาพของทางเดินหน้าห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ มืดทึบ กลิ่นอับลอยคละคลุ้งไปทั่ว

    สายตาก็เหลือบไปเห็นเลขหก ที่ติดอยู่บนกำแพงหน้าลิฟท์ จึงรู้ขึ้นมาทันทีว่า ตอนนี้ตนเองกำลังยืนอยู่บนชั้นหกที่ถูกปิดตายมาหลายปีแล้ว จึงรีบหันไปกดเรียกลิฟท์ทันที ความกลัวค่อยๆลุกไล่ขึ้นมาตามขา จนรู้สึกเหมือนกับว่าจะจับต้องมันได้

    สายตาจดจ่ออยู่กับเลขไฟบอกชั้นที่อยู่ด้านบนของลิฟท์ ก็พบว่ามันไม่มีไฟขึ้น เหมือนกับว่าไม่ได้มีไฟเลี้ยงในส่วนนี้แล้ว ความกลัวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จึงพยายามเดินลงทางบันไดหนีไฟ

    แต่ละก้าวรู้สึกหนักอึ้ง อาจจะเป็นเพราะความกลัวที่มีอยู่ท่วมท้นหรืออาจจะมีอะไรบางอย่างคอยฉุดรั้งคุณแบงค์อยู่ พอเดินลงมาถึงที่พักบันได คุณแบงค์รู้สึกบิดมวนที่ช่วงท้องทันที เพราะเห็นว่าทางลงไปสู้ชั้นห้า ถูกกั้นไว้ด้วยประตูเหล็ก เดิมทีประตูนี้จะมีไว้สำหรับกันคนขึ้นไปบนชั้นหก

    คุณแบงค์กดโทรศัพท์หาผู้ดูแลหอพักด้วยมือที่สั่นเทา "ป้า ขึ้นมารับผมที่ชั้นหกหน่อย" ผู้ดูแลก็ถามว่า "อ่าวแล้วขึ้นไปได้ยังไง" คุณแบงค์ตอบว่า "ลิฟท์มันส่งผมขึ้นมา"

    ระหว่างรอ คุณแบงค์ก็คิดว่าไหนๆก็ไหนแล้ว ขอเดินขึ้นไปดูห้องหกศูนย์สองสักหน่อย คุณแบงค์ค่อยๆเดินจนใกล้จะถึง ก็เห็นว่าประตูห้องหกศูนย์สองมันถูกเปิดแง้มไว้อยู่ ทั้งๆที่ตอนแรกคุณแบงค์เห็นว่าชั้นนี้จะถูกปิดประตูไว้หมดทุกห้อง

    คุณแบงค์รวบรวมความกล้าอยู่หน้าห้อง กำลังจากผลักประตูเข้าไป หูก็ได้ยินเสียง "คลืด" ดังออกมาจากในห้อง เป็นเสียงที่คุ้นหูมาก เพราะได้ยินอยู่ทุกคืน คุณแบงค์กำลังจะใช้มือผลักประตูเข้าไป

    ปรากฏว่ามีผู้หญิงเดินก้มหน้าออกมาจากในห้อง ผมปิดหน้า แต่ที่สำคัญ บนคอของผู้หญิงคนนั้นยังมีเชือกมัดคาไว้อยู่ แล้วลากเก้าอี้ออกมาด้วย "คลืดดดดดดดดด"

    โดยที่ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ ขาของคุณแบงค์กระโดดออกมาจากหน้าประตูทันที วิ่งเตลิดลงบันไดหนีไฟ ไปยืนทุบประตูเหล็ก ร้องตะโกนลั่น "ป้าๆๆๆ เปิดๆๆๆ"

    หูก็ยังได้ยินเสียง "คลืดดดดดดด" ตามมาจากด้านหลัง จนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คุณแบงค์นึกในใจว่าคงไม่รอดแน่ แต่พระเจ้าก็ยังเอ็นดู เพราะป้าเปิดประตูให้ทันเวลาพอดี คุณแบงค์รีบมุดออกมาจากประตูเหล็ก โดยที่ไม่รอให้มันเปิดออกจนสุดก่อน

    สิ่งแรกที่คุณแบงค์ทำคือโทรหาคุณแม่ทันที และบอกว่าจะย้ายออกจากที่นี่ แต่ยังไม่ได้บอกเรื่องที่ไปเจอมาให้คุณแม่ฟัง คุณแม่จึงบอกว่าให้อยู่ๆไปก่อน คุณแบงค์ไม่มีทางเลือก จึงได้ไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนสักพัก

    จนผ่านมาประมาณครึ่งเดือน ความกลัวเริ่มคลายลงพอสมควร จึงกลับมาพักที่หอเดิม แต่เวลาขึ้นหอพักจะใช้วิธีเดินขึ้นทางบันไดแทน จนผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ วันนั้นเป็นวันเกิดเพื่อน จึงทำให้คุณแบงค์กับเพื่อนอีกหนึ่งคนกลับเข้าหอพักในเวลาประมาณห้าทุ่ม เกือบเที่ยงคืน

    คุณแบงค์กำลังจะเดินขึ้นบันได แต่เพื่อนกลับบอกว่าให้ใช้ลิฟท์ดีกว่า เพราะต่างคนต่างเมากันอยู่ด้วย จึงได้เปลี่ยนไปขึ้นลิฟท์แทน พอถึงหน้าห้อง คุณแบงค์กำลังจะหยิบกุญแจขึ้นมาไข แต่อยู่ๆประตูมันก็ดีดเปิดออกเอง ตอนนั้นคุณแบงค์คิดว่าลืมล็อคห้อง จึงรีบมองเข้าไปภายในห้อง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ

    พอเข้าไปในห้อง คุณแบงค์ล้มตัวลงนอนทันที จนเคลิ้มหลับ อยู่ๆก็รู้สึกจุกที่หน้าอก พร้อมกับขยับตัวไม่ได้ ได้แต่กรอกสายตาไปมา แล้วก็มีผู้หญิงเดินลากเก้าอี้เข้ามาในสายตาของคุณแบงค์ ในมือถือเชือดติดมาด้วย จากอาการที่กำลังเมา ก็รู้สึกตาสว่างขึ้นมาทันที

    ผู้หญิงคนนั้นเดินลากเก้าอี้มาหยุดอยู่ที่กลางห้อง ใช้เชือกมัดกับพัดลมเพดาน เอาเชือกคล้องคอตนเอง แล้วกระโดดลงมาจากเก้าอี้ต่อหน้าคุณแบงค์ ร่างนั้นดิ้นอย่าทรมานอยู่ในอากาศสักพักแล้วก็หยุดนิ่ง แล้วก็ค่อยๆจางหายไป คุณแบงค์รู้สึกเหมือนกับจะตายซะให้ได้ อวัยวะทุกอย่างในร่างกายตื่นตัว พยายามดิ้นจนสุดแรง

    สักพักก็เหมือนจะหลุดขึ้นมาได้ คุณแบงค์นั่งหายใจหอบอยู่บนเตียงสักพัก ก็รีบโทรหาเพื่อนที่อยู่ห้องชั้นล่าง ให้รีบขึ้นมาหา ระหว่างรอเพื่อน คุณแบงค์ก็เผลอหลับ แล้วฝันว่าตนเองเกรดตก จนถูกรีไทร์ คุณแบงค์เดินกลับมาที่ห้อง เอาเชือกผูกเข้ากับพัดลมเพดาน แล้วคล้องคอของตนเอง อึดใจต่อมาก็เตะเก้าอี้ที่ใช้ยืนอยู่จนล้ม เหมือนกับที่ผู้หญิงคนนั้นทำทุกอย่าง จนมาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ คุณแบงค์จึงรีบรับสายแล้วถามเพื่อนว่า

คุณแบงค์ : เอ็งอยู่ไหน
เพื่อน : เอ็งอะแหละ อยู่ไหน ข้ามารอแล้ว
คุณแบงค์ : ก็อยู่ในห้อง เข้ามาเลย
เพื่อน : เนี่ย ข้ามาห้องเอ็งแล้ว ห้าศูนย์สอง ตอนแรกข้าเคาะเรียกแล้ว แต่ไม่มีใครเปิด ก็เลยลงไปตามป้าคุมหอให้มาช่วยเปิดให้ และตอนนี้ข้าก็อยู่ในห้องเอ็งเนี่ย ตกลงเอ็งอยู่ไหนกันแน่

    คุณแบงค์รู้สึกชาไปทั้งตัว หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก จึงวางสายทันที แล้วเปิดไฟฉายในมือถือ ส่องดูรอบๆห้อง ปรากฏว่ามันไม่ใช่สภาพแรกที่คุณแบงค์เข้ามา เป็นห้องสกปรกๆ ฝุ่นจับหนาเตอะ ข้าวของระเกะระกะ กลิ่นสาบลอยคละคลุ้งไปทั่ว

    คุณแบงค์พุ่งออกมาจากห้องนั้นทันที สายตาเหลือบไปเห็นเลขหน้าห้อง "หกศูนย์สอง" จึงรีบวิ่งลงบันไดแบบไม่คิดชีวิต ระหว่างนั้นหูก็แว่วได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะชอบใจดังมาจากข้างหลัง พอวิ่งลงมาจนถึงบันไดทางลงชั้นห้า ประตูเหล็กเจ้ากรรมก็ดันปิดลงเหมือนเดิม

    แต่ตอนนั้นคุณแบงค์สติหลุดเกินกว่าจะหยุดอยู่นิ่งๆได้ จึงกระโดดถีบประตูเต็มแรง จนประตูหลุดออกจากรางเลื่อน คุณแบงค์รีบมุดออกมา แล้ววิ่งไปที่ห้อง จนไปเจอเพื่อนกับผู้ดูแลยืนอยู่หน้าห้อง

    หลังจากนั้น คุณแบงค์จึงโทรไปเล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณแม่ฟัง พอคุณแม่ได้ยินเช่นนั้นก็บอกให้ย้ายออกทันที คุณแบงค์อาศัยอยู่ที่หอพักแห่งนี้เป็นระยะเวลาเกือบๆสามเดือน จากนั้นคุณแบงค์จึงทิ้งการเรียนไประยะหนึ่ง เพื่อที่จะไปบวช และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ความผูกพัน4เดือนผีกับคน


   ครั้งหนึ่งคุณโจ้เคยมีความผูกพันผีเป็นเวลากว่าสี่เดือนเรื่องของเขาเริ่มต้นขึ้นที่ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวย่านลาดพร้าว เมื่อประมาณแปดปีที่ผ่านมา คุณโจ้ทำงานเกี่ยวกับออแกไนเซอร์ จึงมีเพื่อนฝูงมากมายที่ชอบมานอนค้างที่บ้านของคุณโจ้ ลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์สองชั้น

    ช่วงหลังๆ มีเพื่อนมาบอกว่าเห็นผู้หญิงเดินอยู่ในบ้าน บางคนก็บอกว่า ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ จนเพื่อนๆเริ่มไม่กล้ามาเที่ยวที่บ้าน คุณโจ้จึงมาคิดว่ามันคืออะไรกันแน่ ก็ได้ไปปรึกษารุ่นพี่ รุ่นพี่จึงพาไปหาผู้หญิงคนนึง ชื่อคุณเปิ้ล เป็นคนที่มีซิกเซ้น คุณโจ้จึงถามคุณเปิ้ลว่า

คุณโจ้ : มีใครตามผมมามั้ยครับ
คุณเปิ้ล : เดี๋ยวเรื่องนี้ค่อยตอบ เอาเรื่องอื่นก่อน มีอะไรอยากจะถามอีกมั้ย
คุณโจ้ : ผมกำลังจะเริ่มทุกธุรกิจ ลงทุนกับรุ่นพี่สี่คน คิดว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง
คุณเปิ้ล : ถ้าเปิดธุรกิจเลยหกเดือนไปแล้ว มันจะรุ่ง แต่ถ้าไม่ถึงหกเดือน จะมีคนนึงที่แยกออกไปทำธุรกิจส่วนตัว
คุณโจ้ : พี่ชายผมจะสอบติดมหาลัยมั้ย
คุณเปิ้ล : ไม่เกินสองปีสอบติดแน่นอน แล้วให้ไปเอานาฬิกาที่บ้านออก เพราะมันหันออกไปทางหน้าบ้าน นาฬิกาเรือนนี้มันไม่ดี ไปเอาออกซะ

    คุณโจ้ติดใจเรื่องนาฬิกามาก เพราะจำไม่เห็นได้ว่าที่บ้านมีนาฬิกา หลังจากคุยเรื่องนี้มันจบ คุณเปิ้ลก็พูดขึ้นมาว่า

คุณเปิ้ล : มีคนตามมาด้วยนะ เป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะโจ้ไปรับเค้ามาจากอยุธยาเมื่อสองเดือนก่อน ตรงทางสามแพร่ง

    คุณโจ้นึกย้อนไปถึงวันที่ขับรถกลับบ้านเกิดที่จังหวัดนครสวรรค์ ปกติคุณโจ้จะขับรถจากกรุงเทพไปนครสวรรค์โดยที่ไม่แวะปั้มหรือที่อื่นๆเลย แต่มีอยู่ครั้งนึงที่คุณโจ้แวะซื้อของข้างทาง และตรงนั้นเป็นทางสามแพร่งพอดี คุณโจ้จึงถามคุณเปิ้ลว่า

คุณโจ้ : อ่าว แล้วแบบนี้เค้าตามเรามาได้ไงครับ
คุณเปิ้ล : เค้าไม่รู้จะไปไหน มันเป็นจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะ เค้าถึงได้เกาะติดเรากลับมาได้เลย
คุณโจ้ : แล้วผมควรจะทำยังไงดีครับ
คุณเปิ้ล : มีเวลาว่างก็พาเค้าไปส่งซะ แล้วบอกเค้าว่าต่างคนต่างอยู่

    หลังจากวันที่คุณโจ้ได้ไปคุยกับคุณเปิ้ล ก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนอยู่ด้วยตลอด ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือขับรถออกไปไหน จะรู้สึกว่ามีคนคอยเดินตาม หรือนั่งอยู่ข้างๆ ทุกที่และตลอดเวลา

    วันนึง หลังจากที่คุณโจ้อาบน้ำเสร็จ แล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ รู้สึกว่ามีคนสะกิดหลัง จนคุณโจ้ขนลุก เย็นวาบไปทั้งตัว เป็นครั้งแรกที่เริ่มแตะต้องตัว แต่คุณโจ้ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก เพราะว่าอยู่แบบนี้มาหลายเดือนแล้ว

    ผ่านมาประมาณสองวัน ตอนนั้นคุณโจ้นั่งอยู่ในร้านกาแฟของตัวเอง แล้วมีธุระต้องไปประชุมที่บริษัท คุณโจ้จึงพูดออกมาลอยๆว่า "อยู่ที่ร้านเนี่ยแหละ แล้วช่วยเรียกลูกค้าให้เราหน่อย อีกสองชั่วโมงเราจะกลับมา" แล้วคุณโจ้ก็ออกไปประชุม

    หลังจากประชุมเสร็จก็กลับมาที่ร้านกาแฟ ปรากฏว่าคุณโจ้เห็นภาพที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน มีลูกค้ายืนรอคิวที่จะนั่งดื่มกาแฟจนล้นออกมานอกร้าน เรื่องนี้ทำให้คุณโจ้คิดว่า ไม่อยากจะไปส่งเธอให้กลับไปอยู่ที่ทางสามแพร่ง แต่อยากให้อยู่ด้วย อยากรู้เรื่องราวของเธอ อยากบอกคุณพ่อคุณแม่ของเธอว่าเธออยู่ด้วยที่นี่

    คุณโจ้จึงต่อสายไปปรึกษาคุณเปิ้ล คุณเปิ้ลบอกให้คุณโจ้ถ่ายรูปหน้าของตัวเอง แล้วส่งข้อความไปหาคุณเปิ้ล แล้วเดี๋ยวจะโทรกลับ คุณโจ้ก็ปฏิบัติ สักพักคุณเปิ้ลโทรกลับมาบอกว่า "โจ้ เค้าไม่ได้อยากให้โจ้รู้จัก เค้าไม่ได้อยากให้โจ้ช่วยอะไร และเค้าก็ไม่ได้อยากรู้จักโจ้ด้วย" คุณโจ้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเฟล

    คุณโจ้ใช้ชีวิตปกติเรื่อยมา แต่ก็มีเพื่อนหลายคน บอกว่าเห็นผู้หญิงเดินตามหลังคุณโจ้ตลอดเวลา บางครั้งก็เห็นยืนจ้องหน้า ลักษณะเหมือนจะเอาเรื่องคุณโจ้ และเวลาขับรถไปไหนมาไหน ก็จะมีคนเห็นผู้หญิงนั่งจ้องหน้าคุณโจ้อยู่ที่เบาะข้างคนขับ

    และเช้าของวันนึง คุณโจ้นอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่ได้ยินเสียงผู้หญิงมากระซิบข้างหูว่า "ถ้ายังไม่ไปส่งชั้น แล้วชั้นจะไปเกิดไปยังไง" ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณโจ้คิดขึ้นเอง หรือว่าเธอคนนั้นมากระซิบบอกจริงๆ แต่มันก็ทำให้คุณโจ้ตกใจจนตื่นเต็มตา รีบกระโดดลงจากเตียง หยิบกุญแจรถแล้ววิ่งลงจากบ้านไปเปิดรถ พร้อมกับพูดว่า "มาเลยเธอ เดี๋ยววันนี้เราจะไปส่ง"

    คุณโจ้ขับรถไปที่อยุธยา ผ่านไปถึงอ่างทอง ค่อยๆมองดูข้างทางว่าร้านที่เคยแวะเมื่อตอนนั้นอยู่ตรงไหน แต่ขับวนอยู่สามรอบก็หาไม่เจอ จนรอบที่สามก็คิดว่าต้องหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงทางสามแพร่ง

    จนไปเจอทางสามแพร่ง คุณโจ้ก็เปิดประตูรถแล้วพูดว่า "มาส่งแล้วนะ ต่างคนต่างอยู่นะ ไปละ" แล้วคุณโจ้ก็ขับรถกลับกรุงเทพ ในขณะที่กำลังขับรถกลับ คุณโจ้น้ำตาไหล มีความรู้สึกเหมือนอกหัก อาจจะเป็นเพราะความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมาหลายเดือน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

28 เม.ย. 2562

หนีผีป่ะผี


    ดวงจะเจอยังไงก็ต้องเจอเรื่องสยองของคุณนัท  เหตุการณ์เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ช่วงนั้นเป็นช่วงของเทศกาลลอยกระทง คุณนัทและแฟนคุยกันว่า อยากจะลองไปเที่ยวเชียงใหม่ดูสักครั้ง จึงได้จองโรงแรมผ่านทางอินเตอร์เน็ต จองไว้สามวัน

    ทริปที่คุณนัทวางไว้คือ วันแรกจะเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ คืนที่สองจะขึ้นไปนอนกันบนดอยอินทนนท์ และคืนที่สามจะเที่ยวในเชียงใหม่อีกคืนนึง แล้วเช้าของอีกวันก็จะบินกลับกรุงเทพ

    คุณนัทและแฟนเดินทางไปถึงที่เชียงใหม่ประมาณบ่ายโมง คืนแรกด้วยความเหนื่อย หลังจากทานข้าวเสร็จก็ขึ้นไปนอนที่โรงแรม คืนนั้น คุณนัทฝันว่ากำลังอาบน้ำอยู่ในห้องของโรงแรม หลังจากอาบเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

    ปรากฏว่าเห็นศพของฝรั่ง นอนอืดอยู่บนเตียง ทั้งเลือดทั้งน้ำเหลืองไหลเต็มที่นอน คุณนัทตกใจมาก รีบวิ่งไปเปิดประตูห้อง แต่กลับเปิดไม่ออก ได้แต่ร้องตะโกนทุบประตู จนตกใจตื่น

    พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง มีแฟนนอนอยู่ข้างๆ คุณนัทรู้สึกใจสั่น หายใจถี่ เพราะความตกใจ มองนาฬิกาตอนนั้นเวลาตีห้าครึ่ง จึงหันไปกราบหมอน แล้วล้มตัวลงนอนต่อ สักพักก็เคลิ้มหลับ

    และก็ได้ฝันเหมือนเดิม กำลังอาบน้ำอยู่ เดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบศพของฝรั่ง จนตื่นมาตอนเช้า คุณนัทยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแฟน เพราะแฟนเป็นคนกลัวผีมาก จึงเงียบไว้ก่อน คิดในใจว่าคงจะนอนผิดที่

    เย็นวันที่สอง คุณนัทกับแฟนตั้งใจว่าจะขึ้นไปกางเต้นท์นอนกันบนดอยอินทนนท์ แต่วันนั้นหารถขึ้นไปไม่ได้ แฟนจึงรู้สึกนอยด์ แล้วเกิดมีปากเสียงกันเล็กน้อย จนไม่ได้ทานข้าว และแฟนก็หนีขึ้นไปนอนก่อน

    ส่วนคุณนัทก็เดินเที่ยวในเมืองไปเรื่อยๆ จนสักพักก็กลับขึ้นห้อง เห็นแฟนกำลังนอนอยู่ จึงได้เข้าไปอาบน้ำ และเข้านอน คุณนัทเคลิ้มหลับได้แค่พักเดียว ก็รู้สึกตัวตื่น เพราะว่าแฟนนอนเบียดเข้ามาเรื่อยๆ คุณนัทคิดว่าแฟนกำลังอ้อน จึงวางฟอร์ม ทำเป็นไม่สนใจ

    แต่อยู่ดีๆ ประตูห้องก็เปิดออกเอง คุณนัทตกใจรีบลุกขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นแฟนของตนเอง เปิดประตูห้องแล้วเดินเข้ามา คุณนัทรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว แหงะมองไปข้างๆ ที่ก่อนหน้านี้คิดว่าแฟนกำลังนอนอยู่ ก็พบว่ามีแค่ตนเองที่นอนอยู่บนเตียง

    คุณนัทถามแฟนด้วยเสียงสั่นๆว่า "ไปไหนมา" แฟนตอบกลับมาว่า "ไปกินข้าว" คุณนัทพยายามคิดทบทวนว่าก่อนหน้านี้ ตนเองนอนอยู่ในห้องกับใคร จนคืนนั้นไม่กล้านอน เล่นมือถือทั้งคืน

    จนเช้า คุณนัทกับแฟนก็ลงมานั่งในห้องล็อบบี้ของโรงแรม จึงได้เล่าเหตุการณ์ให้แฟนฟัง แฟนตกใจกลัวมาก และบอกให้ย้ายโรงแรมทันที คุณนัทจึงไปคุยกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า ถ้าจะไม่พักอีกคืน จะขอเงินคืนได้มั้ย

    ทางโรงแรมตอบกลับมาว่า ไม่ได้ คุณนัทจึงไม่สนใจ และออกไปหาที่พักใหม่ แต่หาจนทั่วก็ยังไม่ได้ที่พัก ไปได้โรงแรมม่านรูดจิ้งหรีดเล็กๆ จึงถามแฟนว่านอนไหวมั้ย เพราะพรุ่งนี้เช้าก็จะกลับกรุงเทพแล้ว

    แฟนก็ไม่ขัดข้อง จึงได้เข้าพักกันที่นี่ ลักษณะของห้องเป็นกระจกรอบด้าน เวลาประมาณห้าทุ่ม ตอนนั้นแฟนก็ได้หลับไปแล้ว แต่คุณนัทยังนอนเล่นมือถืออยู่บนที่นอน ตาก็เหลือบมองขึ้นไปที่กระจกบนเพดาน สะท้อนภาพของเตียงที่กำลังนอนอยู่

    ก็เห็นผ้าสีแดงโผล่ออกมาจากใต้เตียงประมาณหนึ่งคืบ แล้วเหมือนมีอะไรสักอย่าง ดึงผ้าผืนนั้นกลับเข้าไปใต้เตียง คุณนัทนอนตัวแข็ง รู้สึกชาไปทั้งตัว คิดในใจว่า นี่หนีผีมาเจอผีหรือยังไง

    นอนทำใจอยู่สักพัก พยายามข่มความกลัวที่มีมากจนท่วมท้น ลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟ ให้ห้องมันสว่างเข้าไว้ พยายามไม่เหลือบตาไปมองเงามืดใต้เตียง แล้วกลับมานอนเล่นมือถือต่อ

    สักพักก็เห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างเตียงผ่านกระจกบนเพดาน ด้วยสัญชาตญาณจึงมองเข้าไปในกระจก ก็เห็นผ้าสีแดงค่อยๆโผล่ออกมาจากใต้เตียงช้าๆ แล้วก็ถูกดึงกลับเข้าไปอีก

    คุณนัทคิดในใจว่าแบบนี้คงไม่ดีแล้ว จึงลุกขึ้นกราบลงที่หมอน แล้วเอาเหรียญยัดลงที่ใต้ฟูก พยายามข่มตานอน แต่สักพักก็รู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ แล้วได้ยินเสียงของผู้หญิง มากระซิบข้างๆหู แต่ฟังไม่ได้ศัพท์

    คุณนัทตกใจกลัวจนตาเหลือก กรอกตาไปมามองหาต้นตอของเสียง ในใจพยายามจะท่องบทสวดมนต์ แต่ความกลัวมีมากเกินไปจนนึกบทสวดไม่ออก อึดใจต่อมา เหลือบไปเห็นผู้หญิงนั่งยองๆ อยู่ปลายเตียง ลักษษะตัวขาวซีด ใส่ชุดนอนสีฟ้า แล้วใช้มือเกาขาโต๊ะวางทีวี "คลืดๆๆ"

    ความกลัววิ่งเข้าจับขั้วหัวใจ คุณนัทพยายามเหลือกตามองไปรอบๆตัว ก็ต้องตกใจซ้ำอีกครั้ง เพราะพึ่งรู้ว่าตอนนี้ตนเองนอนอยู่ในห้องแค่คนเดียว ในใจสับสนจนรู้สึกอยากอาเจียน ท้อแท้ ถึงขั้นคิดว่าถ้าจะตายก็ขอให้ตายมันตรงนี้

    จังหวะนั้นก็นึกถึงคุณพ่อกับคุณแม่ แล้วรู้สึกว่าทุกอย่างในหัวมันโล่งไปหมด จนขยับตัวลุกขึ้นมาได้ คุณนัทนั่งสูดหายใจอยู่บนเตียงสักพัก แล้วพยายามมองหาแฟน

    ก็เห็นว่าประตูห้องมันถูกเปิดทิ้งไว้ จึงได้รีบวิ่งออกจากห้อง ไปเห็นแฟนนั่งอยู่ที่บันไดทางลงม่านรูด คุณนัทพยายามเก็บอาการทุกอย่างให้ได้มากที่สุด แล้วเดินเข้าไปถามแฟนว่า "เป็นอะไร ทำไมถึงไม่นอน"

    แฟนบอกว่า "เค้าตื่นขึ้นมาเห็นตัวเองนอนตัวแข็ง ตาเหลือก ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ก็เลยวิ่งออกไปบอกให้พนักงานขึ้นไปช่วย พนักงานมันก็ไม่กล้าเข้าไปในห้อง เค้าก็ไม่รู้จะทำยังไง"

    คุณนัทจึงเดินลงไปถามพนักงานว่า "น้อง พี่ถามจริง ที่ตรงนี้มันมีอะไรเนี่ย" แต่พนักงานก็ไม่ยอมบอกอะไร คุณนัทก็เลยยื่นแบงค์ห้าร้อยให้ พนักงานก็ยังไม่ยอมปริปาก คุณนัทจึงบอกว่า จะให้ห้าร้อย แต่ช่วยไปหยิบกระเป๋าลงมาให้หน่อย พนักงานก็ยังไม่ยอมขึ้นไป

    คุณนัทกับแฟนจึงทำใจดีสู้เสือ เดินขึ้นไปเก็บของบนห้อง ตอนนั้นเวลาประมาณตีสามกว่าๆ จึงได้ไปนั่งกันที่หน้าเซเว่นจนถึงเช้า ตอนเช้าก็มีแม่ค้าลูกชิ้นมาขายที่หน้าเซเว่น คุณนัทจึงเดินเข้าไปซื้อ และเล่าเหตุการณ์ให้แม่ค้าฟัง

    แม่ค้าบอกว่า มันเป็นโรงแรมม่านรูด นานมาแล้ว มีผู้หญิงที่ขายบริการเข้ามาพักกับลูกค้า แล้วแฟนของผู้หญิงก็ตามมาฆ่าตายในห้อง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ฝ่าคำเตือน

 
     เรื่องราวที่มีคนเตือนแล้วไม่ฟังจนเจอดีของคุณนัท เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นตอนไปเที่ยวที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา คุณนัทและเพื่อนๆอีกประมาณสิบกว่าคน ได้ไปเที่ยวที่สถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเพชรบุรี

    ไปถึงประมาณสิบโมง วันนั้นเป็นวันธรรมดา ที่พักในสถานที่ท่องเที่ยวจึงไม่เปิดให้คนเข้าพัก คุณนัทและเพื่อนๆจึงต้องขับรถวนหาที่พักกันเอง บางที่บางแห่งก็ไม่รับ ให้เหตุผลว่าคนเยอะเกินไป บางที่ก็รับแค่วันเสาร์อาทิตย์

    จึงได้ขับรถวนหาลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนไปเจอบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้สักทั้งหลัง มีสองชั้น ด้านหลังจะเป็นอ่างเก็บน้ำ ทุกคนเห็นเข้าก็ถูกใจกันมาก จึงได้เข้าไปต่อรองราคากัน ทางเจ้าของบ้านคิดคืนละแปดพัน คุณนัทต่อจนเหลือหกพัน

    แต่เจ้าของบ้านมีข้อแม้ว่า "เวลาพวกน้องทำอะไรอ่ะ ขอเค้าด้วยนะ อย่าทำอะไรพิเรนๆกันหละ เพราะที่แถวนี้ยังอยู่ในเขตป่า แล้วเดี๋ยวพี่จะทิ้งเบอร์ไว้ให้ มีอะไรก็โทรมา เพราะพี่ไม่ได้พักอยู่แถวนี้"

    แล้วเจ้าของบ้านก็ให้แผนที่มาแผ่งหนึ่ง และบอกว่า "เผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา ให้ออกไปทางที่พี่เขียนไว้ให้ในนี้นะ อย่าไปออกทางที่เข้ามานะ เดี๋ยวจะหลง"

    พอเจ้าของบ้านกลับออกไป คุณนัทและเพื่อนๆจึงเดินสำรวจทั่วบ้าน เป็นบ้านที่สวยมาก เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างยังใหม่เอี่ยม เพื่อนๆได้ชวนกันไปตกปลาที่อ่างด้านหลัง

    คุณนัทจึงเดินดูรอบๆบริเวณของบ้าน ก็พบว่าที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยป่า เป็นบ้านหลังสุดท้าย ที่อยู่ลึกที่สุด ตกเย็น ทุกคนจึงก่อกองไฟ เอาปลาที่ตกได้มาทำกินกัน

    กลางคืนจะเงียบสงัด ไม่มีไฟทาง จึงทำให้ที่นี่มืดจนรอบทิศทาง มีแค่แสงสว่างจากกองไฟ และแสงจากดวงไฟในบ้าน ที่ลอดออกมาทางหน้าต่าง

    จนเวลาประมาณสองทุ่ม เพื่อนคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า "เราขอเจ้าที่กันยัง" รุ่นพี่ที่อยู่ในกลุ่มก็ตอบว่า "ขอทำไม ป่านนี้เจ้าที่ไม่มาแล้ว นี่ก็ไม่เหลืออะไรแล้วด้วย กินกันหมดแล้ว ให้เหล้าก็เสียดาย"

    ทุกคนก็ไม่ได้สนใจ นั่งดื่มกันไปเรื่อยๆ จนเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ทุกคนจึงมาคุยกันว่า พรุ่งนี้จะไปหาเช่าที่พักหลังใหม่ เพราะที่นี่มันแพงเกินไป หลังจากตกลงกันเสร็จ เพื่อนบางคนก็ขึ้นไปนอนบนบ้าน

    จนเวลาเกือบๆตีหนึ่ง คุณนัทรู้สึกง่วงนอน จึงคิดว่าจะขึ้นไปนอนบนบ้าน พอคุณนัทก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน อยู่ๆความรู้สึกอึดอัด หนักอึ้งก็ผุดขึ้นมา ทั้งๆที่ตอนกลางวันยังรู้สึกว่าเป็นบ้านที่น่าอยู่มาก

    จึงพยายามมองไปรอบๆตัวบ้าน หรืออาจจะเป็นเพราะไฟในบ้านเป็นสีส้ม จึงให้ความรู้สึกอึดอัดทึบๆ คุณนัทยืนพิจารณาทุกอย่างรอบๆตัวอยู่กลางบ้าน เพื่อนๆทุกคนก็เดินเข้ามา เพราะว่าด้านนอกเหมือนฝนจะตก

    คุณนัทก็งง เพราะตอนที่นั่งอยู่ด้านนอกไม่รู้สึกถึงการตั้งเค้าของฝนเลย จึงเดินไปเปิดหน้าต่างดู ก็พบว่าลมด้านนอกค่อนข้างแรง แล้วอยู่ๆไฟก็ดับพรึบลงทันที จึงทำให้ทุกอย่างรอบตัวมืดดำและเงียบสนิท ความรู้สึกอึดอัดก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินแต่เสียงหน้าต่างสั่น "กึกๆๆๆๆ" เพราะแรงลม

    รุ่นพี่ในกลุ่มจึงโทรไปหาเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านตอบกลับมาว่า "มันเป็นปกติของแถวนั้นน้อง เดี๋ยวมันก็มี" แต่ยังไม่ทันจะวางสาย มีเสียงดัง "ตุ๊บ" บนหลังคา ทุกคนตกใจ ยืนนิ่งเงียบ และพยายามหาคำตอบว่ามันคือเสียงของอะไร

    ไม่ถึงสองนาที ก็เกิดเสียงขึ้นอีก "ตุ๊บๆ" ลักษณะเสียงคล้ายๆอะไรสักอย่างที่ตัวใหญ่ๆ กระโดดอยู่บนหลังคา เพื่อนคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวเดินไปหยิบไปฉายในรถมาให้" แล้วก็เดินเปิดประตูออกจากบ้านไป

    ไม่ถึงหนึ่งนาที ก็ได้ยินเสียงเพื่อนคนที่เดินออกไปนอกบ้าน วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในบ้าน แล้วบอกว่า "ไปเอากันเองเหอ ข้าไม่ไปแล้ว" คุณนัทถามไปว่า "ทำไม" เพื่อนก็ตอบว่า "อยู่บนรถอะ สามคน ตาแดงก่ําเลย"

    คุณนัทจึงเดินไปเปิดผ้าม่าน แล้วพยายามเพ่งมองไปที่รถ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ก็คิดว่าเพื่อนคงจะเมา จึงได้เปิดประตูบ้านออกไป จังหวะนั้น ลูกกะตาก็เหลือบมองไปที่รถ เห็นเป็นผู้ชายตัวดำๆ นั่งยองๆอยู่บนหลังคารถสามคน แล้วจ้องมาทางคุณนัท

    คุณนัทยืนตกตะลึงอยู่สักครู่ จึงรีบปิดประตู แล้วพูดว่า "เออ จริงว่ะ" เพื่อนในกลุ่มคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า "เอาแล้วไง พวกเอ็งไปทำอะไรมากันแน่" ตอนนั้น คนที่อยู่ชั้นล่างมีทั้งหมดห้าคน นอกนั้นขึ้นไปนอนที่ชั้นบนกันหมดแล้ว

    จึงตกลงกันว่า ให้โทรไปปรึกษาเจ้าของบ้านก่อน แต่พยายามโทรเท่าไหร่ ก็โทรไม่ติด ทุกคนจึงได้แต่ยืนเงียบกันอยู่ในความมืด มีแต่เสียงลมพัดต้นไม้ด้านนอก ดังหวีดหวิว และเสียงหน้าต่างสั่นไหวดัง "กึกๆๆๆๆ" อยู่ตลอดเวลา

    เพื่อนคนนึงพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเก็บพระไว้ในกระเป๋า จึงได้ไปค้นจนเจอ แล้วหยิบออกมา ปรากฏว่าอยู่ๆไฟก็ติดขึ้นมาทันที ทุกคนรู้สึกใจชื้นกันขึ้นมา จึงได้เอาพระไปแขวนไว้ที่ประตู แล้วทุกคนก็รีบขึ้นไปนอน

    คุณนัทรู้สึกเคลิ้ม ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเป็นเวลากี่โมง ลักษณะเสียงเหมือนคนเอาอะไรสักอย่างมาขูดรอบๆบ้าน "แกร่กๆๆๆๆๆๆ" สลับกับเสียงทุบหน้าต่าง "ตึ้งๆๆ" คุณนัทพยายามนอนนิ่งๆ ไม่แน่ใจว่าเพื่อนๆจะได้ยินด้วยหรือเปล่า

    สักพักก็ได้ยินเสียง "ปึ้ง" มาจากชั้นล่าง คุณนัทคิดว่ามันต้องเป็นเสียงของประตูหน้าบ้านดีดเปิดออกมาเองแน่ๆ ความกลัวแผ่ซ่านไปยังทุกส่วนของร่างกาย นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม พยายามข่มตานอนหลับ แต่หูก็แว่วได้ยินเหมือนเสียงคนเดินลากเท้าอยู่ชั้นล่าง

    คุณนัทพยายามเหลือบตามองไปทางบันได เพราะกลัวว่าสิ่งที่อยู่ชั้นล่าง จะเดินขึ้นมาลากเท้าเล่นอยู่ชั้นบนแทน แต่สิ่งนั้นก็ยังเดินวนไปวนมาอยู่แต่ชั้นล่าง เหมือนว่าจะขึ้นมาชั้นบนไม่ได้ ความรู้สึกอึดอัดยังคงท่วมท้นอยู่ภายในตัวของคุณนัท ได้แต่นอนขดตัวสั่น คลุมโปงจนเผลอกลับ

    เช้าของวันต่อมา ก็พบว่าประตูหน้าบ้านเปิดออกเองจริงๆ สักพักเจ้าของบ้านก็ขับรถเข้ามา คุณนัทจึงเล่าเหตุการ์ให้เจ้าของบ้านฟัง เจ้าของบ้านก็ได้ถามว่า "ได้จุดธูปไหว้หรือเปล่า" คุณนัทบอกว่า "ไม่ได้ไหว้"

    เจ้าของบ้านบอกว่า เมื่อก่อน ที่ตรงนี้เคยเป็นโรงพยาบาลสนามของคอมมิวนิสต์ ที่ถูกทิ้งระเบิด ทั้งคนเจ็บและหมอตายกันเยอะมาก จึงให้พวกคุณนัทขับรถไปตามทางขึ้นเข้าอีกประมาณสองกิโลเมตร จะมีศาลเล็กๆ ให้ทุกคนไปไหว้ขอขมาที่นั่น

    และคุณนัทมารู้ทีหลังว่า มีเพื่อนบางคนปัสสาวะลงข้างๆอ่างเก็บน้ำ และทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ทุกคนจึงขับรถกันไปยังศาล ลักษณะเป็นศาลไม้เล็กๆ ก็ได้เข้าไปไหว้ขอขมา เสร็จแล้วก็กลับมาช่วยเจ้าของบ้านเก็บกวาดขยะ

    เจ้าของบ้านแนะนำมาว่า "ถ้าพวกน้องกลับถึงกรุ่งเทพแล้ว ให้ไปทำบุญซะ วัดแถวนี้คงไม่รับทำ เพราะเค้ารู้ว่าพวกน้องไปกวนเจ้าที่ คนแถวนี้เค้ารู้ดีว่าเจ้าที่ตรงนี้แรง ไม่ต้องห่วงหรอก เค้าตามพวกน้องอยู่" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ซากนกที่เน่าเหม็น


     ลางสังหรณ์เกิดขึ้นมาจากหลานสิ่งเช่นเรื่องของคุณทิว เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในจังหวัดมุกดาหาร เมื่อสามสิบแปดปีที่ผ่านมา คุณทิวกำลังเรียนจบใหม่ๆ จึงได้ไปสมัครเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าอุปโภคบริโภค สมัยนั้นห้างตามต่างจังหวัดยังเป็นแค่ห้างเล็กๆ

    คุณทิวก็จะไปจัดบูทตามร้านที่ใหญ่ๆหน่อย จนถึงเย็นก็กลับโรงแรม ช่วงนั้นทางบริษัทให้คุณทิวเลือกคนขับรถไปคนนึง คุณทิวจึงเลือกเอาคนที่สนิดที่สุด เป็นคนตัวใหญ่ สักเต็มตัว ก็ได้มาขับรถให้คุณทิวอยู่หลายปี

    สมัยนั้นมุกดาหารจะมีโรงแรมไม้อยู่แห่งหนึ่ง ผู้แทนทุกคนจะต้องเข้าพักโรงแรมนี้ วันนึงที่คุณทิวและคนขับรถได้ขับผ่านอําเภอนาแก ไปเจอเข้ากับนกเหยี่ยวที่ขายอยู่ร้านข้างทาง คุณทิวใฝ่ฝันว่าอยากจะเลี้ยงมานาน

    ทางร้านขายแบบเป็นคู่ คุณทิวจึงหันไปถามคนขับรถว่าซื้อไปคนละตัวดีมั้ย คนขับรถก็ตกลงซื้อด้วย จึงได้เอาเชือกผูกขา แล้วใส่ไว้ในกล่อง พอขับรถผ่านตลาดสดนาแก ก็ได้แวะซื้อเนื้อแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อที่จะเอาไว้เลี้ยงนก

    ถึงโรงแรมเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม คุณทิวและคนขับรถจึงเอานกใส่ไว้ในลัง ลังละตัว แล้วก็นั่งทำงานต่อ ส่วนคนขับรถก็นั่งดื่มอยู่ข้างๆ จนเวลาประมาณเกือบสองทุ่ม อยู่ๆไฟก็ดับ แล้วคนขับรถก็วิ่งสวนออกไปนอกห้องทันที โดยที่ไม่พูดอะไรกับคุณทิวเลย

    คุณทิวจึงไปเอาเทียนไขมาจุด แล้ววางไว้บนโต๊ะทำงาน โต๊ะทำงานจะหันหน้าไปทางโต๊ะกระจกแต่งตัว ด้านหลังจะเป็นเตียงนอน คุณทิวนั่งทำงานไปสักพัก ก็รู้สึกเมื่อยตัว จึงเงยหน้าขึ้นมา สายตาก็เหลือบไปมองกระจกที่โต๊ะแต่งตัว เห็นเป็นลักษณะเงาของผู้หญิงดำๆ นั่งอยู่บนเตียงด้านหลัง

    คุณทิวเห็นเช่นนั้นก็รีบก้มหน้าลง พยายามข่มความกลัวที่เริ่มทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็พยายามคิดว่ามันเป็นเงาของตัวเองหรือเปล่า จึงค่อยๆเหลือบตาขึ้นไปมองในกระจก ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาของผู้หญิงชัดเจน จนแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เงาของตัวเองแน่ๆ

    ตอนนั้นเริ่มเสียวสันหลังจนยืดตัวตรง รู้สึกเหมือนมีไอเย็นพุ่งเข้ามาปะทะที่ท้ายทอยเป็นระลอกๆ เหมือนสิ่งนั้นกำลังหายใจจ่ออยู่ที่ต้นคอ เปลวเทียนสั่นไหววูบวาบ เหมือนกำลังจะดับแหล่มิดับแหล่

    คุณทิวหยุดคิดทุกอย่าง ทำให้ภายในหัวโล่งที่สุด แล้วพยายามคิดถึงคำสอนของคุณพ่อที่เคยสอนไว้ว่า ถ้าเจอเข้ากับสิ่งพวกนี้ ให้ใจเย็นๆ ค่อยๆกลั้นลมหายใจ คุณทิวจึงทำเช่นนั้นได้สักพัก จนรู้สึกสงบขึ้นมาก แล้วคว้าเหรียญหลวงพ่อวัดบ้านแหลมมาคล้องคอ

    แล้วนึกขึ้นในใจว่า "หลวงพ่อ ช่วยลูกด้วย" จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆ เงานั้นก็หายไป แล้วได้ยินเสียง "พรึ่บพั่บๆๆๆ" คุณทิวจึงหันไปมองตามเสียง เห็นนกเหยี่ยวที่อยู่ในลังทั้งสองตัว บินไปมา เหมือนกำลังดิ้นรนเอาตัวรอด

    จนเชือกที่ผูกขาของมันขาด แล้วมันก็บินมาเกาะอยู่กับเก้าอี้ที่คุณทิวนั่งอยู่ คุณทิวก็คิดในใจว่า ตามสัญชาตญาณของสัตว์ มันจะหนีสิ้งที่มันคิดว่าอันตราย แล้วจะอยู่กับสิ่งที่มันคิดว่าเป็นมิตร งั้นมันหนีอะไรมากันแน่

    คุณทิวลุกขึ้นยืนมองเจ้านกตัวน้อย ใช้มือลูบหัว แล้วอุ้มมันเอากลับเข้าไปไว้ในลัง จากนั้นก็กลับมานั่งทำงานต่อ นกมันก็ดิ้นอยู่ในลังจนเสียงดัง "กึกกักๆๆๆ" คุณทิวจึงถือเทียนเดินเข้าไปดู

    เห็นนกของตนเองนอนตะแคง กระพือปีกเบาๆ จึงได้หยิบขึ้นมาดู ก็เห็นมีรูเท่าหัวแม่โป้งอยู่ที่บริเวณคอ มีน้ำเหลืองไหลออกมา ส่งกลิ่นเน่าอบอวล เหมือนกับนกที่ตายมานานจนเน่าแล้ว ส่วนอีกตัวของลูกน้องที่วางอยู่ติดกันก็นอนตะแคงตาย

    คุณทิวงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงพยายามเอานกมาพิจารณาดู สักพักไฟก็ติด จึงได้เอาไฟฉายมาส่องดูที่บริเวณของแผล ลักษณะแผลเป็นวงกลม ไม่น่าจะเกิดจากโดนสัตว์ทำร้าย ขอบแผลออกสีช้ำๆ เหมือนเนื้อที่เน่าแล้ว

    สักพักคนขับรถก็ขึ้นมา คุณทิวจึงถามไปว่า "เมื่อกี้เอ็งวิ่งพรวดพราดลงไปทำไมว๊ะ" คนขับรถตอบว่า "พี่ ผมไม่กล้าบอกพี่ ผมนั่งกินเหล้าอยู่ พอไฟดับ ผมเห็นเงาดำอยู่ที่หน้าประตู วิ่งเข้ามาในห้อง แล้วผมรู้สึกร้อนจนอยู่ไม่ได้"

    คุณทิวจึงบอกไปว่านกได้ตายไปทั้งสองตัวแล้ว คนขับรถจึงเข้ามาดูนกของตนเอง ก็เห็นว่าที่คอเป็นรูใหญ่ๆ แล้วมีน้ำเหลืองไหลออกมาเช่นกัน คุณทิวจึงได้เอานกทั้งสองตัวใส่ลงในกล่อง แล้วเอาไปวางไว้ที่หน้าห้อง

    ประมาณแปดโมงเช้า แม่บ้านมาทำความสะอาดทางเดินหน้าห้อง คุณทิวจึงวานให้แม่บ้านเอากล่องไปทิ้ง แล้วก็แต่งตัวออกไปทำงาน หลังจากเลิกงานกลับมาที่โรงแรม

    คุณทิวจึงได้ไปถามบ๋อยว่า "น้อง ถามจริง ห้องที่พี่นอน มันมีอะไรเปล่า" บ๋อยทำตาเลิ่กลั่ก แต่ก็ไม่พูดอะไร คุณทิวจึงบอกว่า "งั้นเอางี้ ถ้าเอ็งพูดมา รับรองเรื่องนี้ พี่ไม่แพร่งพรายให้เจ้าของโรงแรมรู้" แล้วยัดเงินใส่มือให้

    บ๋อยก็เล่าว่า "ก่อนที่พี่จะเข้ามาอาทิตย์นึง หนุ่มสาวคู่นึงทะเลาะกันในห้อง แล้วผู้ชายก็ยิงผู้หญิงสองนัด พี่ลองไปเปิดเสื่อน้ำมันดูสิ คราบเลือดยังล้างออกไม่หมดเลย" คุณทิวจึงขึ้นไปสำรวจฝาผนังในห้อง หารอยกระสุนปืน ปรากฏว่าเจออยู่จริงๆ สองจุด ถูกทาสีทับไปแล้ว แต่จะมีรอยบุ๋มลงไปนิดนึง

    จนทุกวันนี้ คุณทิวก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมนกถึงมีรูอยู่ที่คอ แล้วเหมือนกับว่าตายมาหลายวันจนมันเน่า และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

เจอดีผีพราย


   คุณอุดมมีประสบการณ์เจอผีพรายจะมาเล่าให้ฟัง เหตุการณ์เกิดขึ้นแถวบางปะกง เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา คุณพ่อคุณแม่ของคุณอุดมเป็นไต้ก๋ง วันนั้น เรือของคุณพ่อได้ไปจอดลงแป้งที่บางประกง ลงแป้งเสร็จประมาณห้าโมงเย็น

    คุณพ่อจึงสั่งลูกเรือว่า "ล้างเรือแล้วเก็บผ้าใบให้เรียบร้อยนะ จะได้กินข้าวแล้วนอนกัน" หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เวลาประมาณสามทุ่มได้ ทุกคนจึงเตรียมตัวเข้านอน คุณอุดมกับลูกน้องของคุณพ่อจะนอนบนหลังคาเรือ ส่วนคุณพ่อคุณแม่และน้องชายนอนอยู่ข้างล่าง

    จนเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณพ่อได้ยินเสียงคล้ายลูกสุนัขร้อง "อิ๋งๆๆๆๆ" คุณแม่จึงตะโกนขึ้นมาว่า "เฮ้ย พวกเอ็งดูหน่อยสิ หมาตกน้ำหรือเปล่า ไอ่กิ๊กกับไอ่ม่อนอยู่ไหน" บนเรือจะเลี้ยงสุนัขไว้สองตัว ชื่อกิ๊กกับม่อน

    พอคุณแม่พูดจบ สุนัขทั้งสองตัวก็กระโดดออกมาจากท้องเรือ คุณพ่อเหมือนจะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เพราะคุณพ่ออยู่บนเรือมาตั้งแต่เด็ก จึงพูดขึ้นมาว่า "ลูกเอ้ย ไม่ดีแล้วนะ คืนเนี้ย" คุณอุดมจึงถามกลับไปมา "อะไรไม่ดีพ่อ" คุณพ่อตอบว่า "ผีพราย มันมาเล่นแล้ว" ตอนนั้นคุณอุดมยังเด็ก จึงไม่รู้ว่าผีพรายมันเป็นยังไง

    คืนนั้นมีเสียง "อิ๋งๆๆๆ" อยู่รอบลำเรือทั้งคืน จนคุณพ่อทนไม่ไหว จึงพูดออกมาว่า "เฮ้ย ถ้าร้องแบบนี้มากๆนะ ฉี่ใส่หัวมันไปเลย ไม่ต้องให้มันไปผุดไปเกิด" พอคุณพ่อพูดจบ ลูกน้องของคุณพ่อ ลุกขึ้นมายืนปัสสาวะลงเรือกันทุกคน

    ปรากฏว่าเห็นเงาดำๆอยู่ในน้ำ ว่ายหนีเข้าไปในป่าจาก ทุกคนจึงโล่งอกแล้วขึ้นไปนอนกันต่อ ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง เสียงก็กลับมาอีก "อิ๋งๆๆๆๆ" และคราวนี้เหมือนจะมีเยอะกว่าเดิม และด้วยความอยากรู้อยากเห็นของคุณอุดม จึงได้ชะโงกมองลงไปในน้ำ

    จึงเห็นเข้ากับสิ่งที่คุณพ่อเรียกมันว่าผีพราย ลักษณะลำตัวครึ่งบนเป็นคน ครึ่งล่างจะเหมือนลิง ผิวดำเป็นเมือก ผมสีเทายาว ผอมแห้ง ตาสีขาว ฟันเรียงซี่เหมือนฟันปลา กำลังเกาะอยู่ข้างเรือประมาณสี่ถึงห้าตัว แต่ดูเหมือนว่าจะขึ้นมาบนเรือไม่ได้ อาจจะเพราะบนเรือมีแม่ย่านางอยู่ คุณอุดมนอนดูด้วยใจสะพรึงกลัว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอะไรแบบนี้

    ถึงตอนนั้นกำลังปวดท้องเบาอยู่ แต่ก็ไม่กล้าลุกไปไหน เพราะตัวแข็ง จนต้องนอนสั่นอยู่แบบนั้น คุณพ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง จึงได้หันไปถามคุณแม่ว่า "เอ่อ แม่ มีเม็ดขนุนที่ยังไม่ได้ต้มใช่มั้ย" คุณแม่ก็ตอบว่า "ใช่ๆ" แล้วคุณแม่ก็เดินไปเอาเม็ดขนุนมาให้คุณพ่อ

    คืนนั้นเวลาประมาณตีสี่ คุณพ่อเอาเม็ดขนุนประมาณห้าเม็ดใส่ลงไปในขันที่มีน้ำ แล้วทำปากขมุบขมิบ เหมือนกำลังท่องอะไรอยู่สักอย่าง จากนั้นก็สาดลงไปข้างๆเรือ ปรากฏว่าผีพรายมันเข้ามาเกาะเรือไม่ได้ เหมือนว่าด้านข้างของเรือจะลื่นจนไม่สามารถเกาะได้

    จนเวลาประมาณตีห้า พวกผีพรายก็ว่ายหนีเข้าไปในป่าจากกันจนหมด คุณพ่อได้มาเล่าให้ฟังทีหลังว่า ท่านเคยเจอผีพรายอีกประเภทหนึ่ง มีหางปลา ผมดำยาว ลำตัวมีพังผืด นั่งอยู่ตามหัวเสาท่าเรือ ถ้าใครโดนมันจับไป เลือดจะหมดตัว เพราะมันชอบดูดเลือด เหมือนกับพวกปอบ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ผีห้อยหัว


    เรื่องราวสุดระทึกเข้มข้นสยองซับซ้อนของคุณโอเล่ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในย่านสุขุมวิท เมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณโอเล่มีคิวจะต้องไปฉีดยาฆ่าแมลงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง นัดทางร้านไว้ตีสอง วันนั้นคุณโอเล่ไปกันทั้งหมดสามคน โดยมีรุ่นน้องหนึ่งคน และเด็กใหม่อีกหนึ่งคน

    ไปถึงร้านเวลาตีสองพอดี เป็นร้านอาหารไทยโบราณหลังใหญ่ มีสองชั้น เปิดไฟสีส้มๆไว้แค่บางจุด ดูลักษณะดําทะมึนน่าหลัว มี รปภ เฝ้าแค่คนเดียว ภายในร้านมีทั้งของเก่าแก่ ของโบราณตั้งโชว์อยู่ทั่วร้าน คุณโอเล่ก็ชี้จุดที่ต้องฉีดยาให้รุ่นน้องดู รุ่นน้องก็ไล่ฉีดไปตามจุดต่างๆ จนขึ้นไปบนชั้นสอง สักพักนึงรุ่นน้องก็หยุดนิ่ง คุณโอเล่จึงถามว่า "เป็นไรว๊ะ" รุ่นน้องบอกว่า "เออพี่ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง"

    รุ่นน้องจึงเดินมาเล่าที่มุมร้าน "พี่เห็นตรงนั้นมั้ยที่เป็นหน้าต่างอ่ะ มันไม่มีระเบียงใช่มั้ย เมื่อกี้ผมเห็นหน้าต่างมันเปิดเอง แล้วมีหัวคนลอยอยู่แถวๆนั้น" คุณโอเล่หันไปมองที่หน้าต่างทันที รู้สึกขนลุกวาบไปทั้งตัว

    จึงเดินไปชะเง้อดู ปรากฏว่ามันไม่มีระเบียงจริงๆ ด้วยความสงสัย คุณโอเล่จึงเดินไปถาม รปภ "ที่นี่มันมีอะไรมั้ย" รปภ ตอบว่า "มี เค้าเจอกันบ่อย บางทีจะเจอผู้หญิงใส่ชุดไทยมานั่งอยู่กลางร้านบ้าง คนตัวดำๆ เดินไปมาในร้านบ้าง"

    คุณโอเล่และรุ่นน้องอีกสองคน จึงรีบทำรีบกลับ เพราะกลัวว่าจะเจออะไรมากไปกว่านี้อีก พอเสร็จแล้วก็มีคิวที่จะต้องไปฉีดให้อีกร้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันพอดี ซึ่งร้านนี้คุณโอเล่บอกว่าจะเข้าไปจัดการเองคนเดียว

    เป็นร้านอาหารชั้นเดียว ไม่ใหญ่มาก เปิดไฟสว่างทั้งร้าน เจ้าของร้านจะนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์

    คุณโอเล่จึงเดินเข้าฉีดตามจุดต่างๆภายในร้าน ก็เห็นผู้หญิงแก่คนนึง ผมยาว ใส่ชุดสีขาว ยืนมองหน้าคุณโอเล่อยู่ตรงมุมร้าน ตอนแรกคุณโอเล่คิดว่าเป็นแม่ของเจ้าของร้าน แต่เหลือบไปเห็นว่า ผู้หญิงแก่คนนั้นไม่มีเท้า คุณโอเล่ตกใจ แต่พยายามคุมสติไว้ก่อน แล้วเดินไปถามเจ้าของร้านที่นั่งอยู่แถวๆนั้นว่า

คุณโอเล่ : ที่นี่มีอะไรหรือเปล่า
เจ้าของร้าน : ทำไมเหรอน้อง
คุณโอเล่ : ผมเห็นผู้หญิงแก่ๆ ใส่ชุดสีขาว ยืนมองหน้า
เจ้าของร้าน : โอ้ย เค้าเจอกันบ่อยแล้ว ขนานคนมานั่งกินข้าวยังเจอกันเลย เค้าตายในร้านนี่แหละ

    คุณโอเล่รีบทำงานให้เสร็จ แล้วเดินออกจากร้าน แต่ก่อนออกมา ได้เหลียวกลับไปมอง ก็ยังเห็นผู้หญิงแก่ๆ ยืนมองหน้าอยู่ที่เดิม จึงรีบกลับขึ้นรถแล้วขับออกจากร้านทันที

    หลังจากขับรถออกมาสักพัก รุ่นน้องบอกว่า ตอนที่เข้าไปร้านแรก จะมีตู้ไม้โบราณอยู่ตู้หนึ่ง บนชั้นสอง ตอนที่ไปฉีดอยู่แถวข้างๆตู้ไม้ ปรากฏว่าตู้มันแง้มเปิดออกมาเอง แล้วมีหน้าคนชะเง้อมองออกมาจากในตู้ แล้วก็หายกลับเข้าไป คุณโอเล่นึกภาพตามแล้วก็ขนลุก คิดในใจว่าดีแล้วที่ไม่ได้เจอเอง

    หลังจากนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ คุณโอเล่และทีมเดิม มีงานต้องไปฉีดยาฆ่าแมลงให้โรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นโรงแรมใหญ่ พอไปถึงที่โรงแรม พนักงานบอกว่า "ฉีดที่ล็อบบี้ก่อนได้มั้ยพี่" คุณโอเล่จึงบอกว่า "มันจะดีเหรอ ควันมันเยอะนะ"

    คุณโอเล่เลยให้รุ่นน้องฉีดในล็อบบี้หนึ่งคน แล้วคุณโอเล่กับรุ่นน้องอีกคนจะไปฉีดที่หลังโรงแรม ด้านหลังโรงแรมจะมีสระว่ายน้ำใหญ่ๆอยู่ จึงแยกกันฉีดคนละฝั่งของสระว่ายน้ำ ทางเดินรอบสระค่อนข้างมืด เพราะบริเวณนี้มีไฟแค่ไม่กี่ดวง

    คุณโอเล่เริ่มฉีดตั้งแต่หัวสระ มาจนถึงประมาณกลางสระ ก็สังเกตเห็นคนยืนมองอยู่ที่ใต้ต้นไม้ แถวๆตรงปลายสระว่ายน้ำ คุณโอเล่คิดว่าเป็น รปภ จึงไม่ได้สนใจ พอฉีดจนใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ก็หันไปมองอีกที กลายเป็นผู้ชายผูกคอตายอยู่ใต้ต้นไม้

    คุณโอเล่ตกใจจนหงายหลัง ศพนั้นห้อยหันหลังให้คุณโอเล่ แขนขาเกร็งงอ โยกไปมาเล็กน้อยตามแรงลม แล้วค่อยๆหันตัวมาทางคุณโอเล่ เป็นผู้ชายผมสั้น ลิ้นจุกปาก ใบหน้าบวมเป่ง สีเขียวออกม่วงๆ จ้องตาเหลือกมาทางคุณโอเล่ ตอนนั้นคุณโอเล่มองตาค้าง เนื้อตัวสั่น ไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นวิ่ง

    รุ่นน้องที่อยู่อีกฝั่งก็รีบวิ่งเข้ามาดู แล้วร่างของคนที่ผู้คอตายก็หายไป คุณโอเล่นั่งมองตาค้างอยู่สักพัก พอที่จะสงบสติลงได้บ้าง จึงลุกขึ้นยืน แต่ยังรับรู้ได้ถึงอาการสั่นที่ยังไม่หายไป เพราะความกลัวยังเกาะกุมอยู่ทั่วร่างหาย คุณโอเล่ยังไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับรุ่งน้อง จึงบอกแค่ว่าให้รีบทำงานให้เสร็จ

    พอเสร็จจากตรงสระว่ายน้ำ ต้องไปฉีดที่ห้องครัวกับในออฟฟิศต่อ คุณโอเล่ให้เพื่อนไปฉีดในห้องครัว ส่วนตนเองจะไปฉีดในออฟฟิศ อาการกระตุกที่แขนและขายังไม่หายไปไหน เพราะยังกลัวต่อเหตุการณ์ที่พึ่งเจอมา

    คุณโอเล่พยายามเดินอย่างระแวดระวังจนไปถึงหน้าออฟฟิศ ทางเดินค่อยข้างมืด มีแค่แสงจากโคมไฟเล็กๆ ไม่กี่ดวงข้างทางเดิน พอไปถึงออฟฟิศ ก็เห็นว่าประตูมันล็อกแม่กุญแจจากด้านนอกไว้อยู่ คิดว่าคนน่าจะกลับกันไปหมด เพราะเวลานี้มันก็ดึกมากแล้ว จึงเดินไปส่องดูตรงกระจกข้างๆประตู พยายามเพ่งมองฝ่าความมืดเข้าไป ปรากฏว่าเห็นผู้หญิง ใส่ชุดทำงาน นั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศมืดๆ

    ด้วยความสงสัยปนตกตะลึง จึงหันกลับไปมองที่หน้าประตู ก็ยังเห็นแม่กุญแจล็อกไว้อยู่ คุณโอเล่รู้สึกใจหายวูบขึ้นมาทันที ยืนตัวแข็งอยู่ตรงหน้าต่าง ไม่กล้าเหลียวกลับเข้าไปมองในออฟฟิศ คิดในใจว่าที่นี่มันยังไงกันแน่

    สักพักมี รปภ เดินมาข้างหลัง คุณโอเล่ดีดตัวออกมาจากหน้าต่างทันที รู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเหมือน รปภ จะรู้ว่าคุณโอเล่เป็นอะไร จึงได้บอกว่า ให้กลับไปก่อนก็ได้ ส่วนในออฟฟิศยังไม่ต้องฉีด คุณโอเล่ขอบคุณ รปภ เป็นการใหญ่ แล้วรีบเดินไปหารุ่นน้องในห้องครัว

    พอเจอรุ่นน้อง คุณโอเล่จึงชวนลงไปหารุ่นน้องอีกคนที่กำลังฉีดอยู่ในล็อบบี้ แต่พอไปถึงล็อบบี้ก็หารุ่นน้องที่ตอนแรก คุณโอเล่ให้ฉีดอยู่แถวนี้ไม่เจอ จึงไปถามพนักงาน ก็ได้ความว่า คนญี่ปุ่นให้ไปฉีดในห้องก่อน สักพักรุ่นน้องก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมาแล้วบอกว่า

รุ่นน้อง : ไม่เอาแล้ว กลับๆๆๆๆ
คุณโอเล่ : เฮ้ย เดี๋ยว ใจเย็นๆ เป็นอะไรอ่ะ
รุ่นน้อง : ใครไม่รู้ ห้อยหัวลงมาจากบนฝ้าเพดาน
คุณโอเล่ : ห้อยอะไรยังไง
รุ่นน้อง : ในห้องนั้นฝ้ามันจะเปิดอยู่แผ่นนึง ตรงมุมห้อง ผมก้มวางกับดักหนูแล้วเงยหน้าขึ้นมา เห็นผู้หญิงห้อยหัวลงมาจากช่องนั้นครึ่งตัว มองหน้าตาเขียวปัดเลย

    คุณโอเล่จึงหันไปถามพนักงานทันทีว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ พนักงานตอบแบบหน้าซีดๆว่า ผู้หญิงคนที่ห้อยหัวลงมาในห้องนั้น คือแม่บ้าน เป็นภรรยาของ รปภ ที่ผูกคอตายข้างสระว่ายน้ำ แม่บ้านหึงหวงที่ รปภ ไปจีบเด็กฝึกงานในออฟฟิศ จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันจน รปภ พลั้งมือฆ่าแม่บ้านจนเสียชีวิต

    จากนั้นก็เอาศพไปยัดไว้บนฝ้าในห้อง แล้ว รปภ ก็ไปสารภาพรักกับเด็กฝึกงาน แต่โดนปฏิเสธ จึงฆ่าเด็กฝึกงานตายในออฟฟิศ แล้วตนเองก็ไปผูกคอตายที่ข้างสระว่ายน้ำ

    คุณโอเล่ถามถึงวิธีการที่ รปภ ลากศพของแม่บ้านไปไว้บนฝ้า เพราะไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ทางพนักงานก็ไม่ยอมบอกอะไรอีกเลย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด