หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

HOME

31 พ.ค. 2562

ตำนานสยองมหาลัยภาคใต้


      แนะนำตำนานสยองของมหาลัยดังภาคใต้ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงและเล่าส่งกันต่อมา ถึงความสยอง ความเฮี้ยนที่ไม่สามารถอธิบายได้ ลองไปติตามกันเลยครับ

       นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยแล้ว ยังเป็นโรงพยาบาลประจําจังหวัดอีกด้วยนะครับ (เช่นกันครับ ที่นี่คือโรงพยาบาลที่ ใหญ่ที่สุดของภาคใต้) เพราะงั้นเรื่องคนเจ็บคนตายนี้หายห่วง มีมาให้เห็นกันทุกวัน

- ด้ายแดง
     เริ่มกันที่ ตึก MNL ครับ เป็นตึกสําหรับวิชากายวิภาคศาสตร์ ก็แปลว่าเป็นตึกที่ใช้เก็บรักษาร่างของอาจารย์ใหญ่นั่นเอง (อาจารย์ ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทําการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาคครับ ใช้ทําการผ่า ทําการศึกษาผ่านร่างกายจริง นักศึกษาจึงเรียกร่างเหล่านี้ว่าอาจารย์ใหญ่ ในฐานที่อุทิศร่างกายให้พวกเค้าได้เรียนรู้ ว่ากันว่าใครที่บริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ ใหญ่นี่จะได้บุญน่าดู) สําหรับตํานานของตึกนี้เค้าก็เล่ากันมาว่า...

     เคยมีนักศึกษาปี 1 ครับ ก็มาเรียนที่ตึกเป็นวันแรก ไปถามยามว่าลิฟต์อยู่ทางไหน ยามก็บอกทางไปตามปกติ ก่อนจากนักศึกษาคน นั้นสังเกตเห็นว่า ที่ข้อมือของยามคนนี้ มีด้ายสีแดงผูกอยู่เป้าหมายของนักศึกษาคนนี้อยู่ที่ชั้น 5 ครับ ก็กดลิฟต์เปิดเข้าไป กดชั้น 5 แต่ลิฟต์กลับไปเปิดที่ชั้น 2 (ชั้น 2 จะเป็นชั้นที่ใช้เก็บร่างอาจารย์ใหญ่ครับ ซึ่งตอนนั้นไอ้น้องคนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะไม่รู้เรื่อง มา เสียวแทบช็อกเอาตอนรู้ทีหลัง ว่าทําไมลิฟต์ถึงได้จอดชั้นนั้น) เรียนเสร็จลงมาก็ไม่เจอยามคนนั้นแล้วครับ และก็ไม่เคยได้เจอ แกอีกเลยไม่ว่าจะกลับไปเรียนที่ตึกอีกกี่ครั้ง จนในที่สุด ก็ได้มารู้ความจริงจากปากรุ่นพี่ว่า ที่ตึก MNL ไม่เคยมียามประจํา การอยู่ (!?) ก็งงสิครับ แล้วยามคนที่เค้าเห็นคืออะไร ก็เลยเล่าให้รุ่นพี่ฟัง จนมาได้รู้ความจริงว่า การผูกด้ายสีแดงที่ข้อมือน่ะ คน เป็นจะไม่ผูกกัน ด้ายแดงจะใช้สําหรับผูกข้อมืออาจารย์ใหญ่ (ผมได้ไปสถานที่จริงมาด้วยนะครับ กลางคืนเข้าไม่ได้ เลยต้องกลับไป อีกทีตอนกลางวัน ไปเดินชั้น 2 มา รอบๆสองข้างทางก็แบ่งเป็นห้อง ๆ ล่ะครับ แอบเห็นห้องปฏิบัติการแวบนึงด้วย (ห้องผ่า) บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบแบบพิลึก ๆ ชวนวังเวงโดยไม่มีเหตุผล)

- ตึกฟักทอง
     มากันที่ภาคเคมีของคณะวิทยาศาสตร์ครับ ที่นี่จะมีตึกที่เปรียบเป็นดั่งสัญลักษณ์ ของมหาลัย คือตึกฟักทอง (ตามชื่อเลยครับ ตึกจะ มีรูปร่างเป็นฟักทอง) ตึกฟักทองนี้มีตํานานด้วยนะครับ เห็นว่าถ้าเด็ก ม.6 เตรียมเอนท์มาเดินนับกลีบเค้าว่าจะเอนท์ไม่ติด ขณะ เดียวกันถ้าเป็นนักศึกษาของมหาลัย มาเดินนับกลีบก็จะเรียนไม่จบ ห้องหับใต้ตึกฟักทองจะเรียกเป็น L1-L5 ทั้ง 5 ห้องนี้จะมีม่าน เป็นสีน้ําเงินหมดครับ แต่จะมีเพียงห้องเดียวที่มีม่านเป็นสีดํา ว่ากันว่าเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเสียชีวิตลงที่ห้องนั้น ทางคณะก็เลย ไว้อาลัยให้ ด้วยเปลี่ยนม่านเป็นสีดํา (ใครเรียนอยู่ที่นั่น ว่าง ๆ ลองไปเดินสํารวจดูนะครับ ผมไปมาละ มีห้องหนึ่งม่านสีต่างจากห้อง อื่นจริง ๆ) ใต้ตึกฟักทองนี่ก็ตํานานเยอะพอตัวเลยครับ ทั้งว่าหากไปอ่านหนังสือวิชาเคมีตอนดึก ๆ แล้วจะมีวิญญาณอาจารย์วิชาเคมี ที่เสียไป มาสอนพร้อมสมุดปกสีแดง (ตอนไปนี่เจอคนนึงครับ เล่าให้ฟังว่าเคยนั่งอ่านหนังสือดึก ๆ แล้วเห็นควันลอยออกมาจากเสา ไม้)

- ควนมดแดง
     คําว่าควน สําหรับคนใต้ก็หมายถึงเนินเตี้ย ๆ ครับ ที่ตึกวิศวะจะมีถนนเส้นเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง มุ่งไปยังเป็นที่เรียกว่า “ควนมดแดง” ระหว่างถนนสองข้างทางก็ป่ารกทึบล่ะครับ มาตอนกลางคืนมองไปไม่เห็นอะไรเลย ตํานานที่ควนมดแดงนี่น่ากลัวนะครับ ฟังแล้วไม่ กล้ไปลองคนเดียวเหมือนกันจ๊ะ นักศึกษาที่ มอ. เล่าให้ฟังครับ ว่าเคยมีรุ่นพี่กลับจากเตะบอลตอนดึก ๆ ก็เดินขึ้นควนมดแดงมา ระหว่างทางก็เป็นป่ามืด ๆ ครับ จะมีแสงไฟก็เพียงจากเสาไฟฟ้า ที่ต้นหนึ่งทิ้งห่างกันพอสมควร และก็ที่เสาไฟต้นที่ 3 นี่ละครับ ที่พี่ เค้าเห็นนักศึกษาผู้หญิงคนนึงกวักมือเรียกให้ไปหา พอเดินเข้าไปผู้หญิงคนนี้ก็เงยหน้าที่มีเลือดโชก แล้วก็หายไป

     คนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นนักศึกษาที่ถูกคนงานฆ่าข่มขืนสมัยที่สร้างตึกวิศวะฯ ขึ้นมานั่นเอง พวกผมได้ ไปลองเดินที่ควนมดแดงที่ว่านี้ด้วยนะครับ ซึ่งสถานที่จริงเปลี่ยวโคตร น้องสาวผมคนนึงก็ได้ไปลองยืนที่เสาไฟต้นที่ 3 มาครับ ไป ยืนแล้วก็โบกมือเลียนแบบตามตํานาน ก็ไม่พบอะไรครับ แต่ระหว่างโบกได้ยินเสียงวดแหลมสูงเป็นระยะ ทั้ง ๆ ที่ก่อนไปยืนที่เสา ไม่มีเสียงอะไรเลยก็แปลก ๆ นะครับ

     ก่อนจะไปถึงเรื่องสุดท้ายผมขอทิ้งไว้ เรื่องครับ ด้วยความที่ มอ. หาดใหญ่มีโรงพยาบาลอยู่ในตัว ก็เลยจะมีเรื่องผีพยาบาล ผีคุณ หมอ ผีคนไขอะไรมากมายครับ ซึ่งหลายๆ เรื่องก็สมจริงบ้าง เหนือจริงบ้าง และวิธีที่เค้าว่าถ้าอยากเห็นผีเหล่านี้ ก็ให้ไปตามตึกต่าง ๆ และมองลอดหว่างขาไปที่ดาดฟ้า ถ้าดวงดีจริง ๆ เค้าว่าผีสาวพยาบาลชุดขาวทั้งหลาย จะมีน้ําใจโผล่มาให้เห็นครับ มาถึงเรื่อง สุดท้ายแล้วนะครับ ผมว่าตํานานเรื่องนี้ ทุกคนน่าจะเคยมีโอกาสได้ยินกันมาบ้างสักครั้งในชีวิต มาหาดใหญ่ครั้งนี้ผมประทับใจ หลายอย่างครับ ทั้งโรตีทิชชู ทั้งไก่ทอดหาดใหญ่ต้นตํารับ ทั้งร้านน้ําชาที่อลังการมาก แต่ที่ประทับใจที่สุด ก็คือการที่ได้มาลอง ของกับโคตรผีในตํานานของไทย คุณยายสปีดครับ

     ยายสปีดนี่ไปจังหวัดไหน จังหวัดนั้นต้องอ้างว่าจังหวัดตัวเองมียายสปีดครับ แต่ของแท้และดั้งเดิมต้องที่นี่ครับ หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่นี่มีซอย ๆ หนึ่ง ชื่อซอยว่า ซอยคุณยายสปีดครับ ไปไล่สัมภาษณ์มาหลายคน ทุกคนตอบเหมือนกันว่าตั้งแต่จําความได้ ก็รู้จักคุณยายสปีดแล้ว เรื่องเล่าเกี่ยวกับวีรกรรมของยายคนนี้แกเยอะมากครับ ทั้งยายเค้าไม่ชอบเสียงท่อเสียงดัง ๆ ยายไม่ชอบ เด็กแว้น เข้าซอยยายห้ามขี้เกิน 40 เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเคยบอกไว้ว่า ก็มีเด็กแว้นมาเทสต์รถกัน ก็หมอบมาเลย 120 หันหลังไป มองเห็นคุณยายไล่ตามมาติด ๆ ล้อเลย แต่ยายไม่ได้วิ่งมาครับยายคลานมาเพราะยายแกมีแต่ตัว ไม่มีช่วงล่าง (เห็นว่า ยายตายเพราะโดนรถมอเตอร์ไซค์ชนจนตัวขาดครั้ง) ด้วยเหตุที่เล่ามานี้ล่ะครับ แกจึงถูกเรียกว่า คุณยายสปีด

     ซอยยายสปีดนี้ จะเป็นซอยเล็ก ๆ ครับ และในซอยนี่ถนนเรียบมาก เป็นทางยาวตรง เหมาะแก่การนํารถมาแข่งกันอย่างยิ่ง ในซอยนี่ ก็บอกเลยว่าสยองมาก จากต้นซอยเราจะพบกับวัดถาวรครับ ซึ่งส่วนของป่าช้จะติดกับริมถนนพอดี ทั้งโกศ ทั้งกูโบร์นี่เพียบ เลยมา หน่อยจะเป็นวัดจีน ถัดจากวัดจีนก็จะเป็นจุดที่เค้านําศาลมาทิ้งกัน (ตรงนี้กลางคืนนี้โคตรหลอนครับ ทั้งศาลไทย ศาลจีน ตุ๊กตา กุมาร ของไหว้ โอยยย) ตํานานยายสปีดนี้แม้จะมีมาแต่ดึกดําบรรพ์ แต่ก็ไม่มีใครรู้ที่มาที่ชัดเจนครับว่ายายแกเป็นใคร เห็นรู้แต่ว่าแก ตายขณะจะเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม (ตอนนี้เป็นโลตัสแล้ว) แล้วยายโดนมอเตอร์ไซค์ที่แข่งกันมาชนเอา

ตำนานเฮี้ยนสถาบันด้านการบิน


     เรื่องราวสุดเฮี้ยนที่เกิดขึ้นจริงที่สถาบันสอนการบินแห่งหนึ่ง กับตำนานเรื่องลี้ลับ เรื่องสยอง เรื่องเฮี้ยนต่างลองมาติดตามกันเลยครับ

      การเรียนการสอนที่นี่ หลัก ๆ ก็เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบิน ภายในตัวสถาบันก็ไม่ใหญ่โตมากมายอะไร ครับ มีเครื่องบินตั้งโชว์ให้เห็นเป็นระยะ ๆ (ความรู้สึกคล้าย ๆ เดินงานวันเด็กอยู่เหมือนกัน) ที่นี่เค้าจะไม่เรียกเด็กของเค้าว่านักศึกษา นะครับ แต่จะเรียกว่า ศูนย์ฝึกฯ คืนที่ผมไป มีโอกาสได้ทันไปเห็นเค้ารับน้องกันพอดีครับ ที่นี่รับน้องกันน่ารักมาก น้องปี 1 จะเดิน กลับบ้านกันเป็นแถว สองข้างทางก็จะมีรุ่นพี่คอยตะโกนให้กลับบ้านดีๆ นะน้อง กลับบ้านปลอดภัยนะน้อง เรียกได้ว่าประทับใจ ตั้งแต่แรกเห็น สถาบันน่ารัก แต่ผีที่นี่จัดว่าโหดครับ

- ห้องเรียนกระจก
      ใครอยากมาลองของที่นี่เค้าจัดไว้ให้อย่างเป็นระเบียบครับ ผีทุกตัวรวมกันอยู่ที่ตึก CM ไม่ต้องกลัวจะเหนื่อย เดินเปลี่ยนไปตึกนั้น มาตึกนี้ ชั้น 2 ตึก CM จะมีห้องเรียนอยู่ห้องหนึ่งครับ จะเป็นห้องที่กระจกเยอะที่สุด พี่บอลรุ่นพี่ศูนย์ฝึกฯ ของที่นี่เล่าให้ฟังว่า เมื่อวัน งานกีฬา ทางพวกผู้ชายแข่งเสร็จก็สบายครับ เปลี่ยนเสื้อผ้าตรงไหนก็ได้ แต่ผู้หญิงเค้าก็ต้องหาที่มิดชิดนิดนึง ก็เลยขึ้นมาชั้นสอง กะจะมาเปลี่ยนที่ห้องนี้ พี่บอลเล่าว่าจังหวะที่น้องเค้าเปลี่ยนเสื้อเสร็จ ออกจากห้องมากําลังจะปิดประตู ประตูเป็นแบบเปิดเข้าข้าง ใน) ประตูก็ถูกดึงกลับครับ เหมือนกับว่ามีคนดึงสวนไปอีกทาง น้องผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจครับ เพราะในห้องไม่มีใครนี่นา แต่พอชะโงก หน้าไปดูกลับตกใจยิ่งกว่าครับ เพราะเธอเจอผู้ชายร่างท้วมยืนจังก้ามองเธออยู่ (จําผีผู้ชายร่างท้วมคนนี้ไว้ดี ๆ นะครับ)

- ล็อกเกอร์
     ความเก๋ของตึก CM คือจะมีตู้ล็อกเกอร์ไว้ให้ศูนย์ฝึกฯ แต่ละคนใช้เก็บของครับ อารมณ์นี้ใครเคยเรียนโรงเรียนประจําน่าจะพอนึก ภาพออก แต่ขณะเดียวกันเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุด ทุกคนเคารพที่สุด ก็คือเรื่องของล็อกเกอร์ที่ผมกําลังจะเล่านี้ล่ะครับ

     ตู้ล็อกเกอร์อันปัจจุบันนี้จะเป็นต์ใหม่ครับ เป็นสีเหลือง เหตุผลที่นํามาใช้แทนตู้เก่าไม่มีใครทราบแน่ชัด และตู้เก่าก็ไม่ได้ย้ายไป ไหนไกลเลยครับ อยู่ข้างหลังตู้ใหม่นี้เอง ตู้ล็อกเกอร์อันใหม่นี้ เป็นตู้ที่ศูนย์ฝึกฯ ทุกคนใช้กันเป็นเรื่องปกตินะครับ ใครมัน จะมีจุด ที่ไม่ปกติก็คือ บนตู้มีน้ําแดงสําหรับไหว้เพียบเลยครับ!มีเยอะขนาดเต็มตั้งแต่หัวไปยันท้ายๆ แถมด้วยสายสิญจน์พัน กันระโยงระยางเลยครับ เห็นครั้งแรกผมสงสัยมากว่าเค้าไหว้อะไรกัน เจ้าที่ที่ไหนมาประจําการอยู่ตู้ล็อกเกอร์ ? จนมารู้ต่านานว่า เคยมีรุ่นพี่ศูนย์ฝึกฯ คนหนึ่ง มอเตอร์ไซค์คว่าเสียชีวิตระหว่างกําลังมาเรียน แต่จากนั้นเช้า ๆ ก็ยังมีคนเห็นพี่คนนี้เอาเสื้อผ้า เอาของ มาเก็บที่ล็อกเกอร์ ยิ่งช่วงตายใหม่ ๆ แม่บ้านเห็นกันจนไม่เป็นอันทํางาน ก็สันนิษฐานว่าน้ําแดงเหล่านี้อาจจะมีไว้เพื่อรุ่นพี่คนนี้นี่เอง (คาดว่านะครับ ที่มาแท้จริงของการไหว้น้ําแดงอาจจะเดือดกว่าเรื่องนี้ก็ได้)

     กลับมาที่เรื่องเล่าของพี่บอลครับ พี่บอลบอกว่าเคยมีเพื่อนเค้าคนนึง ก็เมา ๆ มาล่ะครับ ขึ้นมาก็ท้าทายตามประสาคนเมาเต็มที่ เดิน ไปหยิบเอาน้ําแดงบนตู้มาดื่ม เพื่อนก็ถามรสชาติเป็นไง ไอ้คนดื่มก็บอก "จิดว่ะ" พอสิ้นเสียงจืดวะเท่านั้นแหละ พี่บอลบอกมันลงไป นอนดิ้นเลย

     เรื่องของตู้ล็อกเกอร์ยังไม่จบครับ แต่อันนี้เป็นเรื่องของตู้เก่าที่อยู่ด้านหลัง ตู้เก่านี่สภาพน่ากลัวมากครับ ตู้สีเทาดั้งเดิม สนิมเกรอะ กรัง คือเอาไปเข้าฉากในหนังผีได้เลยอะ พี่บอลเล่าว่าเคยมีผู้หญิงคนนึง ก็ขึ้นมาเก็บของที่ล็อกเกอร์ของเขา ก็เปิดล็อกเกอร์ (นึก ภาพตามนะครับ เปิดฝาตู้ล็อกเกอร์ บานฝาตู้ก็เปิดออกทางขวา ทีนี้เราจะไม่เห็นอะไรทางขวาของเราละ เพราะฝาล็อกเกอร์มันบัง) ก็เก็บของไปตามเรื่องครับ ไอ้จังหวะปิดล็อกเกอร์นี่แหละ ที่ปิดบหันขวาไปเจอผู้หญิงยืนอยู่ ยืนเฉย ๆ ก้มหน้า ไว้เล็บยาวสีแดง... (จําผู้หญิงเล็บแดงคนนี้ไว้นะครับ)

     เรื่องต่อมานี้เกิดต่อเนื่องมาจากวีรกรรมของพวกเราครับ เราไปลองของที่ตู้ล็อกเกอร์นี้มา (ขอไม่เล่านะครับว่าทําอะไรไปบ้าง เดี๋ยว จะโดนเด็กศูนย์ฝึกฯ ที่นี่ไม่พอใจเอา) ลองเสร็จก็ลงจากตึกครับ พอลงมาก็มีรุ่นน้องของพี่บอลทัก ว่ามีผู้หญิงตามพวกเราจากบนตึก ลงมา ผมก็ถามว่าผู้หญิงคนไหน ขึ้นไปกันแต่ผู้ชาย น้องมันบอกเค้าเป็นผู้หญิงคนที่พี่พูดถึงบนตึก ซึ่งบนตึก ผู้หญิงที่พวกผมพูด ถึงมีแค่คนเดียวเลยครับ คือผู้หญิงเล็บแดงในเรื่องเล่า !!! ผมก็ถามต่อเลยครับ ว่าตอนนี้ผู้หญิงที่ว่าเค้ายังอยู่รึเปล่า น้องก็ บอก เค้าขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้ว มาถึงขนาดนี้จากที่กําลังจะกลับพวกผมก็เลยจะขึ้นตึก CM ไปอีกรอบครับ ขึ้นไปดาดฟ้า ขาขึ้นรอบ สองนี่กลัวเหมือนกันนะครับ เพราะจําได้ว่าเวลาดูหนังจะโดนผีหลอกส่วนใหญ่ก็รอบสองแบบที่กําลังทํานี่แหละ

     ก่อนอื่นขอเล่าเกี่ยวกับดาดฟ้านิดนึงครับ ก็เป็นเรื่องผีโดดตึกทั่วไปครับ แต่ที่ต่างไปจากมหาวิทยาลัยอื่นคือผีที่นี่มันโดดทุกจุดครับ จะระเบียง จะหน้าต่าง ดาดฟ้าเคยมีคนเห็นมาหมดแล้ว แต่จุดที่เห็นบ่อยสุดจะเป็นดาดฟ้าที่เรากําลังขึ้นไป และรูปร่างของผีโดดตึก ตัวที่ว่านี้ เค้าว่าเป็นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าก่อนโดดครับ

     ตอนที่ขึ้นไปถึงชั้น 2 กลุ่มน้อง ๆ พี่บอลก็ขออ้อมไปอีกทางครับ ไม่กล้าเดินผ่านตู้ล็อกเกอร์ ก็อ้อมไปเจอพวกผมอีกฝั่ง พอขึ้นมา เจอกันปับ ผมก็ถามเดินอ้อมทําไม กลัวขนาดนั้นเลยหรอ น้องมันบอกไม่กล้าเดินผ่านตู้เค้ายืนจ้องอยู่ ผมก็ตกใจครับ อะไรจะเสี้ยน ขนาดนั้น ก็ถามเค้ายืนตรงไหนนะ? น้องบอกตรงที่ผมเดินผ่านตู้มาเมื่อกี้ แถมผมยังเดินทะลุตัวเค้ามาด้วย ก็ถามว่ารูปร่างเป็นยังไง ชายหรือหญิง น้องมันบอกเป็นผู้ชายร่างท้วม (ยังจ่าผู้ชายร่างท้วมตอนต้นเรื่องได้ไหมครับ) พอถึงตรงนี้ผมก็เลยเล่าครับว่าไปทํา อะไรตรงล็อกเกอร์ไว้บ้าง ทีนี้พวกน้องกลุ่มนี้ยิ่งกลัวหนัก น้องคนนึงที่ดูท่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็บิวท์ใหญ่เลยทีนี้ ทั้งเตือน ทั้งห้าม ว่าอย่าขึ้นไปดาดฟ้าเลย บิวท์จนพวกผมเองหลายคนก็ชักเริ่มกลัว


     นี่คือคําพูดของน้องคนนี้ที่เตือนพวกผมครับ (ถ้าถามว่าทําไมจําได้เป๊ะขนาดนี้ คือพวกผมถ่ายวิดีโอกันไว้ด้วยนะครับ) “ที่ตรงนี้ ไม่มี ใครกล้าท้า ไม่มีใครกล้ายุ่ง คนที่ตายเค้ามีตัวตนจริง ๆ คนที่เล่าก็เป็นอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือ พวกคุณไปดื่มน้ําของเค้า ผมไม่รู้ หรอกนะว่าคิดอะไรอยู่ พวกผมอยู่ที่นี่กันทุกวัน มีโอกาสทํามากกว่าพวกคุณอีก ผมยังไม่กล้าทําเลย คือมันเกินลิมิตอ่ะ มันไม่ใช่เรื่อง ที่สมควรจะเล่นกันแล้ว" แต่สุดท้าย พวกผมก็ตัดสินใจขึ้นไปดาดฟ้าต่อครับ โดยเหลือกันแค่พวกตัวเอง 4 คนเท่านั้น น้องที่เหลือ ถอยลงตึกไปหมดแล้ว

     จากตรงนี้ผมไม่สามารถเล่าต่อได้แล้วครับ ขอโทษจากใจจริง ๆ เลย เพราะด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คําสัญญาหลาย ๆ อัน ที่ให้ไว้ กับเด็กศูนย์ฝึกฯ ของสถาบันนี้ คําสัญญาว่าจะไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด ว่าข้างบนดาดฟ้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาเป็นว่าจากเรื่อง เล่าทั้งหมด ก็สรุปได้ว่าเรื่องผีของที่นี่น่าจะเกิดมาจากผีแค่ 2 ตัวเท่านั้นครับ คือผีร่างท้วมกับผีสาวเล็บแดง ที่คงสามารถแยกตัวไป จุดนั้นจุดนี้ได้ จนเรื่องผีมันเพิ่มขึ้นมานั่นเอง


29 พ.ค. 2562

เขาใหญ่กับเสือกินคน ภาค 2


เรื่องจริงสุดสยองดำเนินมายังช่วงชุดท้าย เราไปติดตามตอนจบของเรื่องนี้กันเลยครับ

       "ครืด..ครืด..ครืด" เสียงเหมือนคนตัวใหญ่มาทำพิเรนทร์ เอาสีข้างถูกับสังกะสี สลับกับเสียงย่ำไปมารอบๆบ้านดังอยู่ในความมืด ตรงด้านหลังห้องแถวหลังที่สอง ที่เจ้าของห้องเพิ่งถูกงับหามเข้าโรงพยาบาลไป

    สมกิตตกใจตื่นขึ้นมา เพราะเสียงย่ำพื้นดังขึ้นทุกที โดยเฉพาะตอนที่มันย่ำลงไปบนแผ่นสังกะสี และกองข้าวของที่วางทิ้งละเกะละกะที่พื้น สงสัยเป็นเม่น สมกิตบอกตัวเอง แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่า เม่นอะไรมันจะย่ำหนักขนาดนั้น

    ปกติเม่นแถวนี้จะมากินเศษอาหารใต้ถุนเรือนทุกคืน แต่ก็ไม่มาดึกอย่างนี้ เสียงก็ไม่ดังเหมือนคนตัวใหญ่ๆตั้งใจเดินย่ำดังๆ มืดก็มืด แต่ด้วยความสงสัยจึงฉายไฟฉายสี่ท่อน แง้มบานหน้าต่างเผยอแบบที่ใช้ไม้ค้ำ ชะโงกหน้าส่องไฟลงไปดูเจ้าตัวที่อยู่บนพื้น

    ทำเอาเด็กหนุ่มว่าที่เจ้าบ่าวตัวเย็นเชียบ เจ้าของร่างสีเหลืองลายพร้อย ตาวาวโลด จ้องเขม็งสวนขึ้นมา เฉพาะหัวของมันใหญ่เท่าไหใบย่อมๆ มันอยู่ข้างล่าง ห่างออกไปไม่ถึงสี่เมตรนี่เอง ถ้ามันกระโจนขึ้นมาก็ถึงตัวพอดี

    พอตั้งสติได้ก็รีบปิดหน้าต่างแล้วแหกปากร้องเรียกพ่อ "ไม่ใช่เม่นโว้ย!! เสือมา ช่วยด้วย พ่อ ช่วยด้วย!!" เสียงโครมครามดังลั่นอยู่ในความมืดมิด ในทันทีที่ลุงเชิดกับเมียจะทะลึ่งพรวดตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของเจ้าสมกิต

    ไอ้ลายมันก็แสยะเขี้ยว เบนหัวจากบ้านหลังที่สอง กระโดดขึ้นชนฝาบ้านสมกิต ใช้อุ้งตีนตะกุยจนบ้านไหวเยือก เท่านั้นยังไม่พอ มันกระโดดตามขึ้นมาจนถึงชานบ้านที่ส่วนหนึ่งตีด้วยไม้ระแนง อุ้งตีนใหญ่กว่าชามตราไก่ หวดทีเดียวไม้ระแนงบางๆก็หักสะบั้น ถังน้ำอลูมิเนียมที่ตั้งอยู่บนชานบ้าน เสือร้ายก็ขม้ำซะจนยับเยิน

    ประตูสังกะสีใส่กลอนถูกเขย่าโครมคราม เพราะไอ้ลายใช้อุ้งตีนตะกุยเสียงดังก้องไปทั้งป่า ลุงเชิดตื่นแล้วก่อนที่เสือดุจะพังประตูบุกเข้าไปเล่นงานลูกชาย แกคว้าไฟฉายค่อยๆแง้มประตูเพื่อสังเกตการณ์

    แสงไฟฉายและเสียงกุกกักที่รอดออกมาจากประตูบ้านอีกหลัง ทำให้เสือใหญ่หันหลังกลับ พุ่งเข้าใส่ประตูบ้านลุงเชิดแทน มันพุ่งชนใช้อุ้งตีนตะกุยอย่างโกรธเกรี้ยว ในความมืดมิด ลุงเชิดกับเมียสองคนช่วยกันดันประตูยื้อกับเสือใหญ่ ไม่ให้มันผลักเข้ามาสำเร็จ

    ขณะเดียวกันก็ต้องระวังด้านล่าง ตรงช่องประตูที่สูงเหนือพื้นขึ้นมาสักคืบเศษ ไอ้ลายวาดกรงเล็บเข้ามา สองผัวเมียดันประตูใส่กลอนสำเร็จก่อนเจ้าเสือร้ายจะพังเข้ามา สังกะสีผุร่วงกราวตอนที่มันกระแทกประตู

    เอามันไม่อยู่หรอก กลัวจนไม่รู้จะกลัวยังไง คิดว่าไม่รอดเสียแล้ว ลุงเชิดสารภาพในตอนหลัง เพื่อนบ้านอีกร่วมสิบคนช่วยอะไรไม่ได้ มันมืดมิดไปหมด ไม่มีใครกล้าออกมา เพราะรู้ว่าเจ้าเสือใหญ่ยังอยู่ คลำๆไปเจอลูกซองห้านัด

    เอาละวะ กระชากลูกเลื่อน พอลั่นไกกลับลั่นไม่ออก ตายแน่กู พอดีเจอเอชเค.พิงฝาอยู่อีกกระบอก ฉวยเอชเค.ขึ้นมาขยับเตรียมยิง มือไม้สั่น บอกเมียให้มาซุกอยู่ข้างหลังกูนี่ ยิงมันไม่ตายข้าก็ต้องตายก่อน

    เจ้าเสือหิวหายใจฟืดฟาดอยู่นอกประตูบ้าน มันพังเข้ามาไม่ได้ แต่เพราะความตกใจ ไม่มีใครฉุดคิดว่า เสือร้ายตัวนี้ไม่ได้ขู่คำรามเลยขณะที่บุกเข้ามาถึงถิ่นมนุษ์ ลุงเชิดกระชากลูกเลื่อนไรเฟิลอัตโนมัติ อารมณ์ตกใจกระชากไม่ไป ทีแรกทีสองมันก็ไม่ไป

    เอาไงดีล่ะกู เอาวะทีที่สามกระชากสุดชีวิต มันดัง "แคร็ก!!" แกเล่าพรางทำมือไม้ประกอบ สีหน้าไม่หายตื่นเต้น ปากลำกล้องกดต่ำ อาศัยแสงไฟฉายลอดใต้ประตู ตะแคงปืนเตรียมยิง ปากก็ยังห่วงลูกชายที่เงียบไป

    "กิตโว้ย! อยู่ไหน ปีนขึ้นที่สูงไปก่อน กูจะยิงแล้ว!!" แกตะโกนเตือน "อยู่บนหลังคาแล้วพ่อ เอาเลยๆ!!" สมกิตวัยทายาท ปีนไปตามขื่อขึ้นไปอยู่บนหลังคา ถ้าพ่อไม่มีปืนล่อเสือ มีหวังต้องแกร่วอยู่บนนั้นตลอดทั้งคืนแน่ๆ

    เสียงดังสนั่นของกระสุนที่ระเบิดจากลำกล้องปืน ที่ตั้งไว้ในระบบฟูลออโต้ดังกังวาลในความเงียบ "ปั้งๆๆๆๆ!!" กระสุนทะลุประตูสังกะสีออกไปยังความมืดมิดเบื้องนอก แกไม่รู้ว่าชุดใหญ่ที่ยิงออกไปกี่นัด

    หลังยิงแล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบ ความเงียบที่น่าสะพรึงกลัว ไม่มีเสียงโฮก ไม่มีเสียงร้องแสดงความเจ็บปวด ไม่มีเสียงร่างยักษ์กระโดดลงเรือน แกค่อยๆปีนขึ้นไปเหนือช่องประตูใช้ไฟฉายส่องดู ก็เห็นไอ้ลายนอนแน่นิ่งขวางประตูบ้านเลือดนองพื้น จึงตะโกนเรียกลูกชายให้ลงมา

    "เอาไฟส่องดูเห็นรอยกระสุนเข้าเต็มหัว นัดนึงเข้าที่เบ้าตาพอดี" น้ำเสียงราบเรียบ ไม่บ่งบอกถึงความสะใจหรือเวทนา กระสุนหัวแหล่มขนาดเล็กดับความคลั่งแค้นของไอ้ลายด้วยอำนาจทะลุทะลวง จากการยิงในระยะกระชั้นชิด ในจังหวะที่มันกำลังตะกุยประตูบ้านพอดี นับปลอกกระสุนได้แปดนัด เข้าหมดทุกนัด แทบไม่มีใครได้หลับได้นอนกันหลังจากนั้น

    กระทั่งรุ่งสาง จึงได้ช่วยกันหามร่างไร้วิญญาณของเพชรฆาตแห่งเขาใหญ่ ไปชำแหละกันตรงใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ลุงเชิดเล่าให้ฟังทีหลังว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมเสือตัวนี้ถึงไม่หนี มันกัดไม้ระแนง กัดขันน้ำบู้บี้ด้วยความคลั้งแค้น ผิดวิสัยเสือที่แกรู้จัก

    ชายผู้มีประสบการณ์เสือมากกว่าใครในเขาใหญ่ เคยขี่มอเตอร์ไซค์เข้าเวรที่หอดูสัตว์หนองผักชีตอนโพล้เพล้ ขับมาได้กลางทางถูกเสือโคร่งกระโจนใส่ งัดล้อรถจนล้มกลิ้ง จากนั้นทั้งเสือทั้งคนก็เผ่นไปคนละทาง แต่ไม่มีครั้งไหนอกสั่นขวัญแขวนเท่ากับครั้งนี้

    "ผมนึกดูแล้ว ถ้าไม่ยิง มันตบประตูทีเดียวไม่เหลือแน่ บอกตรงๆเลยว่ากลัวมาก กลัวตาย ห่วงลูกชายด้วย ก็ต้องยิง ไม่ยิงมันก็กัด ถึงตอนนั้นนายจะลงโทษหรือยังไงก็ไม่รู้แล้ว ผิดถูกว่ากันทีหลัง"

    ตอนสายหลังคืนเปื้อนเลือด ล้วนจันทร์นวล พิทักษ์ป่าอาวุโสแห่งเขาใหญ่ เป็นผู้ลงมือชำแหละซากเสือ พบว่ามันเป็นเสือตัวเมียยังไม่แก่ เขี้ยวยังคมไม่กร่อน ขนยังแดงไม่ซีดจาง แต่สิ่งที่พิทักษ์ป่าอายุงานนานที่สุดบนเขาใหญ่พบก็คือ

    กระสุนปืนแก๊ปฝังอยู่ที่ขาหน้าขวาสองเม็ด เป็นเหตุทำให้มันหงุดหงิดและคลั่งแค้นคน แต่ที่แย่ไปกว่านั้น เมื่อผ่าดูข้างใน พบว่าตับเป็นเหมือนตับคนที่เป็นตับแข็ง เหมือนฝีเน่า ข้อสงสัยที่ว่าทำไมเสือใหญ่จึงบุกเข้ามาทำร้ายคนจึงหมดไป

    เจ้าหน้าที่เขาใหญ่มีเป็นร้อย แต่นางเสือใหญ่ตัวนี้กลับเลือกที่จะมาตายด้วยน้ำมือของเชิดเหล็กสัก มือเพชรฆาตผู้เคยสังหารเสือกินคนแห่งเขาใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อน หลายคนพากันประหลาดใจ มันเป็นเรื่องของเวรกรรมตั้งแต่ชาติก่อน ดวงมันสมพงษ์กัน เลยต้องตามจองล้างจองผลาญกันมาถึงชาตินี้

    คิดดูคนตั้งมากมาย แต่แค่คืนเดียวบุกมาเล่นงานบ้านนายเชิด และก็ตายด้วยน้ำมือของเค้า บางทีเป็นเพราะเพชรฆาตเท่านั้น ที่จะมีศักดิ์ศรีเพียงพอที่จะปลิดชีวิตเพชรฆาตด้วยกัน

    ปัจจุบันลุงเชิดเหล็กสักเกษียณแล้วจากงานพิทักษ์ป่า แต่ก็ยังอาศัยอยู่ที่เขาใหญ่ รับจ้างพานักท่องเที่ยวเดินป่า บางครั้งก็พาไปดูเสือ แกมาเกร่อยู่บริเวณย่านร้านอาหารปรับปรุงใหม่ใกล้ลำตะคอง จุดที่เคยมีเสือใหญ่ที่ถูกแกฆ่าตายไปสองตัวและหลังจากเหตการณ์คราวนั้น แกไม่ได้ถูกสอบสวน

    ปัจจุบันเรือนแถวโรงงิ้วถูกปรับปรุงเป็นร้านอาหาร และที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างหรูหรา ซึ่งเชื่อแน่นอนว่า จะไม่มีเสือดุร้ายที่ไหน กล้าเฉียดกรายลงมาระแวกนี้อย่างสิ้นเชิง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

เขาใหญ่กับเสือกินคน ภาค 1


     เรื่องราวสุดสยองเกียวกับเสือที่เขาใหญ่ ซึ่งอ้างอิงมาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องราวที่ เป็นข่าวที่ลงในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีพุทธศักราช 2541 เดือนมกราคม เราลองไปติตามชมกันเลยครับ

    "ไอ้มวลกับไอ้ชัยถูกไอ้ลายบุกเข้ามาตะปบถึงชานบ้าน หามส่งโรงพยาบาลไปเมื่อบ่ายนี้น่ะลุง" ผู้พิทักษ์ป่าในระแวกเรือนแถวดงติ้วติดลำตะคองไม่ยอมหลับยอมนอน รอบอกข่าวตระหนกนี้ให้กับลุงเชิด ชายร่างสันทัด ผมสีดอกเลา ดวงตาเย็นชา เมื่อฟังเรื่องเล่าอันหน้าตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เมื่อตอนสี่โมงครึ่ง ตรงเรือนแถวที่ถัดห้องของแกออกไปแค่สองห้อง

    คำมวนทองแต้ม ลูกจ้างสายตรวจป่าไม้เพิ่งออกเวร เห็นแดดพอมีเลยมานั่งซักผ้าอยู่ตรงชานหลังเรือนแถว ที่ยกพื้นสูงประมาณเมตรเศษๆ ในช่วงที่กำลังเพลินๆอยู่นั่นเอง เสียงสวบสาบดังมาจากราวป่า เงยหน้าขึ้นมามองอีกที เสือลายพาดกลอน หัวใหญ่เท่ากระแป๋งใส่น้ำซักผ้า ยืนแยกเขี้ยวอยู่ที่พื้น ห่างออกไปไม่ถึงห้าเมตร

    ยังไม่ทันจะขยับตัวมันก็กระโจนเข้าใส่ พรวดเดียวถึงตัว เขี้ยวเหลืองหมายงับที่ก้านคอ แค่ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด คำมวนใช้มือขวาปิดป้อง แขนขวาตั้งแต่ศอกขึ้นไปอยู่ในปากเสือ กระดูกแตก เลือดทะลัก ปากร้องขอความช่วยเหลือ ในขณะเดียวกันก็สู้ยิบตา

    เสียงโครมครามจนเรือนแถวทั้งแถบไหวเยือก ไอ้ลายสะบัดหัวพลางถูลู่ถูกัง หมายจะลากเหยื่อออกไป พิทักษ์ป่าเคราะห์ร้ายก็ขัดขืน เค้าสู้กับเสือทั้งๆที่แขนข้างนึงอยู่ในปากมัน ล้มกลิ้งเข้าไปในบ้านข้าวของกระจาย มารู้ตัวอีกครั้ง ทั้งคนทั้งเสือทะลุตัวบ้านกระเด็นมาตกอยู่ที่ลานด้านหน้าเรือนแถวเสียแล้ว

    อภิชัยเบียดกลาง สายตรวจป่าไม้อีกคนอยู่ในเรือนแถวติดๆกัน ได้ยินเสียงแหกปากร้องขอความช่วยเหลือ โผล่ออกมาดูเห็นไอ้ลายงับแขนเพื่อนกลิ้งอยู่หน้าบ้าน ยังไม่ทันจะตั้งสติ ไอ้ลายก็เปลี่ยนใจหันมาเล่นงานเค้า

    มันตะปบเข้าที่สะโพกจนล้มกลิ้งเลือดทะลัก ตัวเองกลิ้งตกลงไปในลำตะคอง ก่อนที่ทั้งคู่จะตกเป็นเหยื่อของไอ้ลาย ใครคนนึงก็คว้าปืนยิงเร็วมาได้ จะยิงใส่เสือก็ไม่กล้า เพราะเห็นชุลมุนกันอยู่เลยยิงขึ้นฟ้า "เปรี้ยง!!" ไอ้ลายตื่นทั้งคนตื่นทั้งเสียงปืน เลยเผ่นแผวลงลำตะคองเตลิดเข้าป่าไปแถววังจำปี

    ใครเลยจะคาดคิดว่าเขาใหญ่เมื่อวันวาน ห่างจากร้านอาหารและศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแค่ข้ามถนนธนรัตน์เพียงสองร้อยเมตร เสือใหญ่ตัวนี้บุกถึงบ้านเล่นงานคน แต่ถ้าใครรู้ความจริง อาจไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องแปลก

    เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ย่านนี้คือถิ่นอาศัยที่ดีที่สุดของเสือโคร่งบนเขาใหญ่ เหตุการณ์เสือกินคนแห่งเขาใหญ่ ที่ซากของมันถูกเก็บรักษาไว้ในห้องนิทรรศการ เจ้าเสือแก่ตัวนั้นก็ขย้ำเด็กและพิทักษ์ป่าไปสองราย บริเวณใกล้เคียงกับเจ้าตัวใหม่บุกบ้านเจ้าหน้าที่ป่าไม้นั่นเอง

    เหตุการณ์เสือตัวแรกกินคนที่เขาใหญ่ ที่ถูกสต๊าฟไว้ในห้องนิทรรศการนั้น ก่อนเกิดหน้าเหตุการณ์นี้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ปีพุทธศักราช 2520 เวลายี่สิบนาฬิกา เสือโคร่งลายพาดกลอนขนาดใหญ่ตัวนี้ หลบอยู่ใต้ถุนบ้านพักของเจ้าหน้าที่เขาใหญ่

    เด็กหญิงศรีนวลซึ่งเป็นลูกของเจ้าหน้าที่ ขณะที่เด็กหญิงศรีนวลลงมาจากบันไดบ้าน เพื่อไปเก็บดิสอที่ตกไปใต้ถุนบ้าน เนื่องจากเวลานั้นเป็นเวลากลางคืน เสือแก่ตัวนี้ไม่สามารถจับสัตว์ป่ากินเป็นอาหารได้ จึงได้เปลี่ยนมาทำร้ายคนแทน

    เจ้าเสือแก่พุ่งเข้ากัดเด็กหญิงศรีนวลจนบาดเจ็บ แต่ไม่ทันได้คาบไป สุดท้ายเด็กน้อยไม่สามารถทนพิษบาดแผลไหว จึงเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้นที่โรงพยาบาลจังหวัดสระบุรี ตามธรรมชาติของเสือ เมื่อได้ฆ่าคนแล้ว มันจะต้องกลับมากินเหยื่อเดิมอีก จึงได้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อจัดการกับเสือตัวนี้

    และในคืนวันเดียวกันนั้น เวลาประมาณตีสอง นายสมพงษ์อุทัยสม สายตรวจอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กำลังปฏิบัติหน้าที่เพื่อจัดการกับเสือตัวดังกล่าว ในขณะที่นั่งกอดปืนอยู่ริมหน้าต่าง ซึ่งสูงจากพื้นประมาณสองเมตร ได้ยินเสียงสัญญาณผิวปาก จากนายอุทัยพูนเพ็ง ยื้นศีรษะออกดู จึงถูกเสือตะปบเป็นแผลเหวอะหวะ เจ้าหน้าที่ช่วยกันนำนายสมพงษ์ไปส่งที่โรงพยาบาลปากช่อง แต่เสียชีวิตระหว่างทาง

    ลุงเชิดเหล็กสัก ได้ปลิดชีพเจ้าเสือกินคนตัวแรกที่ออกอาละวาดในอีกสองคืนถัดมา เพื่อไม่ให้ทำร้ายใครได้อีก หลังจากที่ได้ยินข่าวร้ายของเสือตัวที่สองที่อาละวาด ห่างจากเหตุการณ์เสือตัวแรกถึงยี่สิบปี

    จากอารมณ์แจ่มใสที่ใกล้จะมีลูกสะใภ้ กลายมาเป็นอาการตึงเครียด เช่นเดียวกับเพื่อนพิทักษ์ป่ารายอื่นๆในย่านนั้น ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า เสือใหญ่จะหวนกลับมาอีกเมื่อไหร่ และใครจะตกเป็นเหยื่อของมัน เช่นเดียวกับปัญหาที่หลายคนไม่รู้คำตอบว่า อะไรเป็นเหตุให้ไอ้ลายตัวนี้กล้าหาญชาญชัย ถึงขนาดบุกล่าคนบนชานบ้าน

    ห้องแถวสองห้องติดๆกันนี้ก็ถูกปิดตาย เพราะเจ้าของถูกหามเข้าโรงพยาบาลด้วยฤทธิเขี้ยวเสือ ลุงเชิดมองไปที่ลูกซองห้านัดกระบอกเก่าคู่มือ ขณะที่สายตรวจหนุ่มอีกรายครอบครองปืนไรเฟิลอัตโนมัติ เอชเค. พร้อมแม็กกาซีนสิบห้านัด มาเรียบๆเคียงๆ เสนอจะมอบปืนให้ เพื่อให้ลุงเชิดไปสู้กับเสือ โดยบอกว่ามีปืนไว้ก็ไม่กล้ายิง "ไม่กล้ายิงก็เอามาไว้ที่กูนี่" เสียงแกพูดเรียบๆ จนไม่คิดว่าอีกสองชั่วโมงแกจะได้ใช้มัน

    ในประเทศที่กำลังก้มหน้าก้มตาแสวงหากำไร มอมเมาผู้คนไปท่องเที่ยว ผูกโยงไปเรื่องการอนุรักษ์ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญสักคนที่เข้ามาดำเนินการ วิธีจัดการปัญหาที่ใช้ก็คือมาตรการ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เสือมายิงเสือ เสือมาทำร้ายคนฆ่าเสือ

    เรือนแถวของเจ้าหน้าที่อุทยานเขาใหญ่ปลูกติดๆกันริมลำตะคอง เป็นไม้โย้เย้ประตูสังกะสี ยกพื้นสูงหนึ่งเมตร ด้านหน้ากั้นเป็นนอกชาน มีไม้ระแนงตีกั้นไว้โปร่งๆเป็นส่วนครัวและซักล้าง ด้านในเป็นที่ว่างๆ กางมุ้งกันเขรง ประตูบ้านเป็นสังกะสีผุๆ เอาตีนถีบทีเดียวก็มีสิทธิ์พังลงทั้งแถบ

    แต่เขาเหล่านี้ก็อยู่กันมาเป็นสิบๆปียังไม่มีปัญหา เพราะไม่ต้องกลัวพวกขโมยขโจรที่ไหน พวกกันทั้งนั้น แถบเรือนแถวห้องที่สี่เป็นลูกของลุงเชิด อยู่เกือบตรงกลาง เพราะเป็นที่ปลูกติดๆกัน มีแปดห้อง ด้านหลังแกต่อเติมออกมาเป็นอีกหลังไว้ให้เจ้าสมกิต ลูกชายที่เป็นลูกจ้างป่าไม้ให้นอนอยู่คนเดียว น้ำค้างแรงจัด ทุกคนดับไฟนอนกันหมดแล้ว ลุงเชิดพิงปืนไว้กับฝา ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องร้าย เข้ามุ้งหลับไปพร้อมกับเมีย

28 พ.ค. 2562

บ้านตีเหล็ก ภาค 2


ต่อกันเลยครับเรื่องราวกำลังเข้มข้น

    ตอนนั้นทุกคนต่างจิตใจไม่สงบกัน ความสนุกที่มีมาทั้งวันลดหายไปหมด คิดแค่ว่าอยากกลับบ้านกันอย่างเดียว ทุกคนจึงจำเป็นต้องข่มตานอน วันรุ่งขึ้นรถก็มารับกลับโรงแรม เมื่อมาถึงโรงแรม คุณนุชนอนจับไข้ทันที

    คุณจิราจึงให้คุณกิ๊บอยู่เป็นเพื่อน แล้วเดี๋ยวตนเองกับคุณวิรุณจะออกไปเก็บข้อมูลในส่วนที่เหลือเอง เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น กะไว้ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่หมู่บ้านอื่นๆต่อ แต่มันเหมือนอะไรต่างๆก็ไม่เป็นใจไปเสียหมด ลงท้ายเลยต้องกลับมาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านอีกเช่นเคย

    แต่กลับมาคราวนี้คุณจิรารู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างมืดมน ห้องสนิมเขลอะห้องนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งน่ากลัว มีความรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรที่มันไม่ดีกำลังจะหลุดออกมา

    ในตอนนั้น คุณจิราพยายามมองหาไอ้มนคนบ้าแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน จึงฝืนทำงานไปด้วยใจคอที่มันหดหู่ ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกันงานเท่าใดนัก คิดแค่ว่าทำให้มันเสร็จๆแล้วจะได้กลับเสียที

    แต่นับว่ายังดีที่มีคุณวิรุณมาเป็นเพื่อน เพราะคุณวิรุณเป็นคนที่ใจคอเข้มแข็ง และชอบให้กำลังใจเพื่อน จนเวลาเข้าช่วงเย็น คุณจิราคิดว่าข้อมูลที่ได้มามันก็มากพอควรแล้ว จึงมานั่งรอรถที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน

    แต่เหตุการณ์ก็ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง เมื่อโทรไปที่โรงแรม ปรากฏว่ารถเกิดเสียจนไม่สามารถเข้ามารับได้ คราวนี้คุณจิราเกิดมีน้ำโห บอกกับทางโรงแรมว่าจะไม่รอตอนเช้าอีกแล้ว เสร็จเมื่อไหร่ก็ให้รีบมารับทันที จะเป็นรถอะไรก็ช่าง

    เมื่อวางสาย คุณจิรากับคุณวิรุณก็มานั่งดูข้อมูลไปพลางๆในขณะที่รอรถ ซึ่งนั่งกันอยู่หน้าชานระเบียงหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน แต่ในขณะที่กำลังนั่งดูข้อมูลกันอยู่ หูก็แว่วได้ยินเสียงที่คุ้นเคยลอยมาตามลม "ตุ๊บ..ตุ๊บ"

    แต่คราวนี้มันเป็นเสียงทุบที่หนักแน่นและแรงกว่าที่เคยได้ยิน แถมมีเสียงเหมือนทุบเหล็กจนมันดังสนั่น คุณจิระกับคุณวิรุณตกใจรีบหันไปดู ปรากฏว่าเห็นไอ้มนเอาขวานสับไม้อันใหญ่ ทุบผนังห้องสนิมจนมันเหวอะเปิดออกเป็นรูกว้าง

    แล้วกระหน่ำฟันแท่นปูนที่อยู่กลางห้องสนิมอย่างคนบ้าคลั่ง พวกชาวบ้านต่างก็กรูกันเข้ามาอีกครั้ง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ได้แต่ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ จนแท่นปูนมันแตกเป็นเสี่ยงๆ

    คุณจิราและคุณวิรุณซึ่งไม่รู้ว่าจับพัดจับพูท่าไหน ได้มายืนอยู่วงในใกล้ที่เกิดเหตุที่สุด เห็นของบางอย่างมันกระเทาะออกจากแท่นปูน มันดูเหมือนกระดาษเก่าๆ ปลิวมาอยู่แถวๆเท้าของคุณจิรา และมีขมวดเส้นผมกลุ่มใหญ่ที่เป็นสีแดง

    ในวินาทีนั้น ไอ้มนเอามือโกยเส้นผมเหล่านั้นแล้วกอดมันไว้แนบอก พร้อมๆกับร้องไห้เหมือนคนที่กำลังจะขาดใจตาย คุณจิราจึงหยิบกระดาษเก่าๆแผ่นนั้นขึ้นมาคลี้ดู มันเล็กพอๆกับกระดาษโพสอิท ในนั้นมีกลอนเล็กๆเขียนไว้ ซึ่งคุณจิราจำได้ขึ้นใจว่า

    โนรีน้อย ลอยลม ชมแมกไม้    อิงเสียงคล้าย กังวาล ขับขานใส
    เพลงมนต์พี่ ดั่งสรรัก ปักฤทัย    ขอฝากฝัง กายใจ ให้เมืองมน

    ในตอนนั้น คุณจิรารู้สึกเหมือนใจหล่บวูบลงจากที่สูง หนักหน่วงในใจจนอยากร้องไห้ และไม่รู้ว่าอะไรดลใจ คุณจิราค่อยๆย่อตัวลงข้างๆไอ้มน แล้วยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆนี้ให้

    สายตาของไอ้มนที่มองมาหาคุณจิรา มันเป็นสายตาของคนที่เศร้าศร้อยอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง แทบหาความเป็นคนไม่ได้เลยในแววตาที่มืดสนิทนั้น ไอ้มนค่อยๆยื่นมือมารับกระดาษที่คุณจิราให้ด้วยอาการที่สงบ แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน จากนั้นก็วิ่งหนีไปทางถนนใหญ่ หายเข้าไปในป่าข้างทาง

    ท่ามกลางสายตาของทุกคนในหมู่บ้าน ที่กำลังมองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก แล้วจับจ้องไปทางคนทำเสื่อที่เป็นแม่ของนางโนรี คุณจิราสังเกตได้ว่า ยายคนนั้นทำตาเหลือกโพลงจนดูน่ากลัว

    เมื่อสถานการณ์สงบ ทุกคนจึงได้แยกย้าย คุณจิราและคุณวิรุณก็กลับมานั่งรอที่ห้อง แต่ในคืนนั้นไม่ได้มีการจัดงานกินเลี้ยง เวลาแค่เพียงทุ่มกว่าๆ ทุกคนต่างรีบปิดบ้านเงียบกันทุกหลัง

    ไม่มีใครพูดอะไรกันเลยสักคำ ทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ มันสมควรจะต้องมีการพูดคุยโต้เถียงกันมากกว่าแยกย้ายกันปิดบ้านเงียบเช่นนี้ คิดได้เพียงแค่ว่า ทุกคนรู้เรื่องราวทั้งหมดดีอยู่แล้ว

    คุณจิรารีบเก็บสัมภาระทุกอย่างมากองรวมๆกันไว้ กะว่าเมื่อรถมาถึงแล้วก็จะโยนขึ้นรถ แล้วรีบเปิดแนบออกจากที่นี่เลย ความกลัวความหวาดระแวงต่างๆวิ่งเข้าเล่นงานคุณจิราอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่เพราะกลัวผีที่เจอมาเมื่อวาน

    และด้วยความเพลียและความล้า ทั้งสองจึงเผลอหลับไป มารู้สึกตัวก็เวลาประมาณตีหนึ่ง เหมือนมีมือนุ่มๆเย็นๆมาจับเข้าทีปลายเท้าของคุณจิรา จากแสงจันทร์เดือนหงายที่มันแทรกความมืดลงมาผ่านหน้าต่าง

    คุณจิราเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งคุเข่าอยู่ตรงหน้า มีผ้าคลุมศีรษะ ใบหน้าเห็นไม่ชัด เธอพูดกับคุณจิราเบาๆว่า "รถมาแล้วจ๊ะ รีบไปเถอะ" ในวินาทีนั้น คุณจิราไม่มีความคิดใดอื่นเลย นอกจากว่าจะต้องทำตามที่ผู้หญิงคนนี้พูด

    จึงหันไปสะกิดคุณวิรุณให้ตื่น แล้วช่วยกับหยิบของขึ้นสะพายหลัง เดินตามผู้หญิงคนนั้นออกจากห้องด้วยฝีเท้าที่เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ ไม่รู้เพราะอะไร แต่สัญชาตญาณมันร้องเตือนให้ทำแบบนี้

    จนเดินมาถึงถนนใหญ่ แล้วข้ามฝั่งเข้าไปในวัด ผู้หญิงคนนั้นเธอตัวค่อนข้างสูง ใส่เสื่อผ้าสีหม่นๆ เดินนำหน้าโดยที่ไม่หันกลับมามอง เมื่อเดินลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงหลังวัด คุณจิราเห็นรถกระบะจอดแอบอยู่ในความมืด ใต้ต้นมะขามใหญ่ โดยลุงคนขับรถยืนชะเง้อมองมาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเป็นลุงคนเดียวกันกับที่มาส่ง

    หญิงสาวที่เดินนำหน้าอยู่เธอหันกลับมาหาแล้วพูดว่า "ขึ้นรถไปได้แล้วจ๊ะ รีบไปเลยนะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว" คุณวิรุณกับคุณจิราจึงรีบกระโดดขึ้นรถทันที แล้วลุงก็รีบสตาร์ทรถแล้วขับออกมา

    จังหวะที่รถเคลื่อนตัวออกจากจุดเดิม คุณจิราหันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง เลือดในกายของคุณจิราเย็นเฉียบ เมื่อผู้หญิงคนนั้นค่อยๆดึงผ้าคลุมหัวออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยคม แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย ภายใต้เส้นผมยาวหยักศกสีแดง

    ในขณะที่กำลังขับรถออกจากวัด ลุงคนขับถามคำถามแรกกับพวกคุณจิราว่า "แท่นปูนน่ะ แตกแล้วเหรอ" คุณจิราได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอึ้ง ถามกลับว่า "ลุงรู้ได้ไง" ลุงแกพูดขึ้นว่า "ลุงน่ะรู้มากกว่าที่พวกคุณรู้อีกเยอะ

    คุณรู้มั้ย ที่ไอ้ข่าวคราวที่คนพวกนั้นมันบอกว่าแม่โนรีไปอยู่กับเสี่ย นั่นมันโกหกทั้งเพ แม่โนรีไม่ได้ไปไหน แม่โนรีอยู่ในกำแพงเหล็กนั่นแหละ" คุณจิรารู้สึกสะท้านขึ้นในอก ใจหายวูบวาบอยู่ตลอดเวลา ถามเสียงสั่นๆว่า "ทำไมเหรอลุง"

    ลุงแกเริ่มเล่าว่า "ตอนนั้นลุงยังหนุ่มๆ อยู่ที่บ้านตีเหล็กเป็นลูกมือเค้า แม่โนรีน่ะ เค้ารักกับเมืองมน ลูกหมอขวัญ เค้ารักกันมาก ไอ้เมืองมนมันก็เทียวไล้เทียวขื่อมาหา มาสอนแต่งกลอน จีบกันไปจีบกันมา

    รักกันมากขนาดที่แม่โนรีไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ไอ้เมืองมนมาสอนจนแม่โนรีแต่งกลอนได้เก่งมาก รักกันตั้งแต่เด็ก จนมาเกิดเรื่องเพราะไอ้เสี่ยสิบนั่นแหละ มันมาซื้อขายที่ดินกับผู้ใหญ่ แล้วมันเกิดติดใจในหน้าสวยๆของแม่โนรี

    ก็เลยอยากได้เอาไปเป็นเมีย แต่แม่โนรีมันก็ไม่ยอม ก็มันมีรักของมันอยู่แล้วนิ ก็เลยยื้อยุดฉุดกระชากกันเป็นการใหญ่ ด่าทอกันเสียงดัง ไอ้เสี่ยมันก็เลยควักปืนยิงเปรี้ยงเข้าที่ท้องของแม่โนรีตายคาที่

    พวกชาวบ้านมันก็กลัวไอ้เสี่ย ประกอบกับที่มันยัดเงินปิดปาก ทุกคนเลยช่วยกันทำลายศพ จับแม่โนรีถอดเสื้อผ้าชำแหละเนื้อหนัง แล้วเอาไปหลอมเข้ากับเหล็ก จนได้เหล็กแผ่นใหญ่มาหนึ่งแผ่น

    แล้วเอาเสื้อผ้ากับกระดูกเผาไฟ จากนั้นก็เอาเส้นผมโบกปูนไว้ แล้วเอาแผ่นเหล็กที่หลอมได้มาทำเป็นผนังครอบแท่นปูน พร้อมกับขนอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะไปสุมไว้ในห้องนั้น แล้วเอาอาวุธปลุกเสกต่างๆวางไขว้เป็นตัวกากบาทบนแท่นปูน เพื่อปิดกั้นวิญญาณ"

    แผ่นกระดาษที่คุณจิราเห็น คงจะเป็นกลอนที่ไอ้เมืองมนแต่งให้กับนางโนรี นางโนรีจึงม้วนไว้กับเส้นผมของตัวเอง เพราะคนสมัยก่อนมักจะชอบเก็บของสำคัญไว้ในใต้เส้นผม คุณจิราเข้าใจในทันทีว่าทำไมเมื่อไอ้มนเห็นต้มพะโล้แล้วต้องปัดทิ้งทันที คงเพราะไอ้มนเห็นขั้นตอนการทำลายศพทุกอย่าง

    คุณวิรุณร้องถามเสียงแหลมว่า "เฮ้ย แล้วแม่เค้าไม่ทำอะไรเลยเหรอ แม่เค้าก็ยังอยู่นี่" ลุงแกพูดกระแทกเสียงว่า "แม่มันนั่นแหละ เป็นคนสับแขนสับขา เลาะหนังหัวมันด้วยมือตัวเอง มันไม่ได้รักลูกของมันเลย

    ตอนอยู่ก็เอาแต่ด่า รังเกียจ หาว่าเป็นเสนียดติดท้องมัน มันเลยชำแหละลูกมันเอง แล้วได้เงินก้อนใหญ่จากเสี่ยมาปลูกบ้านใหม่ ตัวลุงเองก็อยู่ที่นั่นไม่ได้ ลุงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก ก็เลยหนีเตลิดออกมา ยอมเป็นเด็กอู่ในเมืองจนกลายมาเป็นคนขับรถทุกวันนี้"

    เมื่อขับมาจนถึงทางยูเทิร์นเพื่อจะกลับเข้าเมือง พ้นยูเทิร์นแล้วจะต้องผ่านหน้าหมู่บ้านแห่งนั้น ในตอนนั้นคุณจิรารู้สึกใจหล่นวูบลงตาตุ่ม เพราะคุณจิราเห็นแสงคบใต้จากในหมู่บ้านหลายสิบดวง เหมือนคนในหมู่บ้านกำลังหาอะไรสักอย่างจนขวักไขว่ ณ ตอนนั้น คุณจิรามีความรู้สึกกลัวคนในหมู่บ้านมากกว่ากลัวผีเสียด้วยซ้ำ

    จนกระทั่งกลับมาถึงโรงแรมในตัวเมือง ก็เจอคุณพ่อของคุณนุชนั่งรออยู่ในห้อง คุณพ่อของคุณนุชเล่าว่า รีบบึ่งมาจากกรุงเทพเลยเพราะฝันว่า เจอผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง มาบอกให้รีบกลับมารับลูก กำลังจะเกิดเรื่องไม่ดี

    รุ่นขึ้นมาทุกคนรีบกลับกรุงเทพทันที ซึ่งต้องล้มเลิกแผนข้างต้นที่ว่าจะต้องไปสำรวจอีกหมู่บ้านหนึ่งแถวชายแดนทันที เหตุกาณร์ที่คุณจิราได้ประสพพบเจอมา มันทำให้ได้แง่คิดที่ว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่าผีก็คือ การได้เห็นคนด้วยกันเอง ฆ่ากันตายอย่างโหดร้ายทารุน โดยที่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น ถูกบิดเบือนความจริง ไม่มีสิทธิ์ทวงความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง กฏหมายทำอะไรไม่ได้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

บ้านตีเหล็ก ภาค 1


   เรื่องราวสุดหลอนของคุณแป้ง ที่เพื่อนของเธอ เมื่อปี 2529 ในสมัยที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี 3 ศึกษาเกี่ยวกับการวิจัยภาษาท้องถิ่น เธอได้ไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ในจังหวัดสระแก้ว  เธอเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวสุดหลอน มีทั้งหมด สองตอนเราไปติดตามกันเลยครับ

    และมีวิชาหนึ่ง ที่ต้องลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล จึงตัดสินใจกันว่าจะไปที่จังหวัดสระแก้ว สมาชิกในกลุ่มมีทั้งหมดสี่คน คุณจิรา คุณกิ๊บ คุณนุช และคุณวิรุณ โดยพ่อของคุณนุชอาสาจะไปส่งทั้งสี่คนเอง

    ทุกคนออกเดินทางในเวลาตีห้า ถึงที่หมายในเวลาสายๆ ช่วงนั้นตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี ก็เข้าไปเช็คอินโรงแรม และพักผ่อนกันอยู่ที่นี่หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็ได้ว่าจ้างรถกระบะของโรงแรมหนึ่งคัน

    และมีการวางแผนกันว่า จะไปเก็บข้อมูลพื้นที่กันในสองเขตใหญ่ๆ นั่นก็คืออำเภอที่ติดกับชายแดน ที่มีตลาดที่ทุกคนรู้จักกันดี อีกที่คืออำเภอใกล้ๆกัน โดยตกลงกันว่าจะเข้าไปในอำเภอที่อยู่ใกล้ๆก่อน เมื่อเสร็จแล้วค่อยไปอำเภอที่อยู่ติดกับชายแดน จะได้แวะเที่ยวซื้อของแล้วกลับ

    จุดแรกที่ลงสำรวจคือวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ในอำเภอ ช่วงนั้นมีงานบุญพอดี ทุกคนจึงได้เข้าไปไหว้พระและเก็บข้อมูลกันอยู่ประมาณสองชั่วโมง จากนั้นก็จะย้ายไปเก็บข้อมูลกับชาวบ้านในระแวกนั้นต่อ

    คนในกลุ่มจึงบอกกับคนขับรถว่า "ลุง เดี๋ยวพวกเราจะไปเก็บข้อมูลตรงหมู่บ้านข้างหน้าเนี่ยสักสองสาวชั่วโมง ลุงกลับไปก่อนก็ได้ แล้วบ่ายสี่โมงค่อยมารับพวกเราในหมู่บ้านนี้นะ" แล้วก็ชี้มือไปยังจุดนัดพบ

    ในสมัยนั้น มือถือพกพาเครื่องละเป็นแสน การสื่นสารทางไกลยังไม่สดวกสบายเท่าทุกวันนี้ จึงต้องนัดแนะกันให้ดีเสียก่อน เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เมื่อนัดกับเรียบร้อยแล้วก็ได้แยกย้ายกันไปทำงานต่อ

    กลุ่มคุณจิราเดินข้ามถนนจากฝั่งวัดเข้าไปในหมู่บ้าน เรียกได้ว่าเป็นชุมชนในพื้นที่ขนาดใหญ่ เดินตรงเข้าไปตามถนนจะเจอบ้านของผู้ใหญ่บ้าน และเป็นที่ทำการของหมู่บ้านไปในตัว ซึ่งหลังใหญ่พอสมควร

    ถัดเข้าไปอีกสามถึงสี่หลังจะเป็นบ้านที่ผลิตพวกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับงานหัตถกรรมทั้งหมด หลังถัดไปจะเป็นบ้านตีเหล็ก ทำเกี่ยวกับพวกเครื่องมือเหล็ก ถัดเข้าไปอีกจะเป็นบ้านช่างไม้

    เมื่อคุณจิราเห็นก็ลูบปากหวานหมู คิดในใจว่าได้แหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ไม่ต้องไปที่ไหนไกล และที่สำคัญคนในหมู่บ้านค่อนข้างอัธยาศัยดี เพียงแค่เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็พากันออกมาต้อนรับ โดยมีผู้ใหญ่บ้านเดินออกมาทักทายด้วย

    ทางกลุ่มสำรวจจึงขออนุญาตเก็บข้อมูลกันแบบจัดเต็ม จนเวลาล่วงเข้าถึงช่วงเที่ยงวัน ผู้ใหญ่บ้านจึงเรียกกลุ่มของคุณจิราเข้าไปทานข้าว โดยได้ต้มพะโล้หมูเป็นหม้อใหญ่ๆไว้ให้ จึงได้ตั้งวงกันตรงชานบ้าน

    ผู้ใหญ่บ้านก็ได้เรียกชาวบ้านที่อยู่ในระแวกนั้นมาตักไปแบ่งกันทาน คุณจิราเห็นแล้วก็รู้สึกว่าที่นี่ดูน่ารักกันดี และในขณะที่กำลังนั่งทานกันอยู่เพลินๆ มีผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะตัวสูง ผมกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง คาดการอายุไม่ได้ เดินดุ่มๆเข้ามาในหมู่บ้าน

    แล้วมานั่งลงตรงบันไดบ้านหลังหนึ่ง ใกล้ๆกับบ้านของผู้ใหญ่บ้าน คุณจิราสังเกตเห็นว่า ในมือของผู้ชายคนนั้นถือซากกบที่โดนรถทับตายเอาไว้อยู่ ผู้ใหญ่บ้านเหมือนจะจับอาการของกลุ่มคุณจิราได้ว่ากำลังสนใจผู้ชายคนนั้นอยู่

    แกจึงพูดปนขำๆว่า "อ๋ออ ไอ้นี่มันชื่อไอ้เมืองมน ไอ้เมืองมนคนผีบ้า มันเคยเป็นลูกชายของหมอขวัญแถววัดใกล้ๆเนี่ย แต่ก่อนเนี๊ยะนะมันก็ดีๆอยู่นั่นแหละ หน้าตาหล่อเหลา มันเป็นนักเลงกลอน

    มันเคยชอบพออยู่กับอีนางโนรี นางโนรีมันเป็นลูกสาวของป้าคล้าย คนทำเสื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะแหละ มันเป็นวัยรุ่นอะเนอะ ก็เลยมาติดตาต้องใจกับอีนางโนรี สุดท้ายก็อกหักรักคุด

    เพราะมีนายหน้าค้าที่ดิน ชื่อเสี่ยสิบ เค้ามาทำธุระซื้อขายอยู่แถวๆเนี่ย บังเอิญมาติดตาต้องใจอีนางโนรี สุดท้ายก็ลงเอยด้วยกัน พาอีนางโนรีหอบข้าวหอบของไปอยู่ด้วยกัน มันคงกลายเป็นคุณนายสบายไปและ ไอ้เมืองมนมันคงเฮิด เสียอกเสียใจหนัก เลยเพี้ยนเป็นบ้าเป็นบอไป"

    คุณจิราที่ช่วงนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นอยู่ เมื่อได้ฟังเรื่องรักๆใคร่ๆของชาวบ้านเค้า ก็เลยเอามาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก คุณนุชพูดขึ้นว่า "แหมม ถึงขั้นทำผู้ชายอกหักจนเสียผู้เสียคนอย่างเงี๊ย สงสัยจะสวยน่าดูนะแม่โนรีคนเนี๊ยะ"

    เมียของผู้ใหญ่บ้านแกก็พูดแทรกขึ้นมาว่า "โอ๊ย มันน่ะหน้าตาพิลึก แปลกกว่าชาวบ้าน" ด้วยความสงสัย คุณนุชจึงถามว่า "อ่าวแปลกยังไงอ่ะคะ" เมียผู้ใหญ่พูดต่อว่า "ตัวมันสูง แขนขายาว ผมมันแดงเลยนะ ตาเหลืองๆ ผิวซีดๆ มีกระลายๆออกเต็มหน้า"

    คุณจิราได้ฟังก็พูดขึ้นว่า "เฮ้ย นี่มันหน้าตาของพวกฝรั่งนะ เค้าเป็นลูกฝรั่งของคะ" เมียผู้ใหญ่ก็ตอบว่า "ยายคล้ายแม่มันอ่ะ ย้ายมาจากสัตหีบนานแล้ว ตอนมาที่นี่ก็อุ้มท้องยายโนรีอยู่ ตอนแรกบ้านยายคล้ายมีตาพุ่มอยู่ด้วย จนนางโนรีมันเกิดได้ปีนึง ตาพุ่มก็ตาย ย้ายคล้ายเลยอยู่เลี้ยงลูกกันสองคน หาของป่าขายตามสภาพ จนนางโนรีมันได้ผัวเป็นเสี่ยน่ะแหละ เลยมีเงินปลูกบ้านใหม่"

    เมื่อฟังๆกันอยู่ คุณจิราก็เห็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่บ้านตีเหล็ก ตักเอาต้มขาหมูใส่ถ้วย แล้วเดินเอาไปให้ผู้ชายที่เสียสติ เมื่อไอ้มนคนผีบ้าเห็นชามขาหมู อยู่ดีๆก็ร้องเหมือนคนบ้าคลั่ง ปัดจานหกเลอะเทอะ ร้องห่มร้องไห้ แล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในห้องๆหนึ่ง

    ซึ่งดูแล้วคล้ายกับว่าเป็นห้องที่เอาไว้เก็บเครื่องไม้เครื่องมือ พวกผู้ชายต่างก็วิ่งจะไปจับ เพราะกลัวว่าจะคลั่งจนทำร้ายคนเอา คุณวิรุณ เป็นหนุ่มคนเดียวในกลุ่มเลยออกจะห้าวๆหน่อย วิ่งจะไปช่วยเค้าจับด้วยอีกคน

    จึงได้เห็นว่าไอ้มนไปนั่งขดตัวร้องไห้อยู่ในห้องๆนั้น ลักษณะห้องคล้ายกับตู้คอนเทนเนอร์สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่สนิมจับเขลอะเป็นตะปุ่มตะป่ํา สีแดงเข้มออกน้ำตาลแลดูคล้ายกับว่ามันฉาบไปด้วยเลือด มองจากด้านนอกคล้ายกับเอาแผ่นเหล็กขนาดใหญ่มาก่อครอบพื้นดินทำเป็นห้อง โดยที่ไม่ได้ปูพื้น

    ด้านในมีแต่พวกเครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้างที่ทำขึ้นจากเหล็กกองสุมๆกันไว้ ตรงกลางห้องมีการก่อปูนขึ้นมาเล็กๆ ขนาดประมาณหนึ่งคูณหนึ่งเมตร สูงระดับตาตุ่ม มีอาวุธจำพวกมีด กริด ดาบ วางไขว้ทับอยู่บนแผ่นปูนเป็นตัวกากบาท

    ด้วยความที่คุณวิรุณเป็นหนุ่มยุคใหม่ สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องแปลก แกก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด คิดแค่ว่าเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ธรรมดา เมื่อเหตุการณ์สงบลงจึงได้เดินออกมา ปล่อยให้ไอ้มนนั่งร้องไห้อยู่ภายในห้องนั้นคนเดียว

    เมื่อเก็บข้อมูลเสร็จแล้วเวลาก็จวนเจียนจะสี่โมง ทุกคนจึงได้มานั่งรอรถที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน แต่เมื่อนั่งรอจนเวลาย่างเข้าหกโมงเย็นก็ยังไม่มีใครมารับ ผู้ใหญ่บ้านจึงให้ยืมใช้โทรศัพท์

    คุณวิรุนจึงขึ้นบ้านไปหมุนเบอร์โทรศัพท์ไปหาทางโรงแรม ปรากฏว่ารถที่จะมารับเกิดเสีย ต้องใช้เวลาซ่อมนานพอสมควร เดี๋ยวจะให้รถอีกคันออกไปรับก่อน แต่ยังไม่ทันที่จะตกลงกับทางปลายสาย ผู้ใหญ่บ้านจึงชวนให้ค้างที่นี่กันสักคืนก่อน

    เพราะที่นี่อยู่ห่างจากโรงแรมที่พักประมาณสามสิบกิโลเมตร และคืนนี้ที่หมู่บ้านมีงานกินเลี้ยงกันด้วย เมื่อทุกคนได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้นอยากรู้อยากลองชิมบรรยากาศที่นี่ดู จึงบอกกับทางโรงแรมว่าให้มารับพรุ่งนี้เช้าแทน

    เมื่อเข้าช่วงกลางคืน ก็มีชาวบ้านหลายคนเดินมาปิ้งย่างกันที่หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน เป็นงานกินเลี้ยงขนาดย่อมๆ จนเวลาล่วงเข้าสามทุ่มจึงได้แยกย้ายกันเข้าบ้าน โดยเมียของผู้ใหญ่บ้านได้จัดห้องให้นอนรวมกันที่บ้านหลังหนึ่ง ใกล้ๆกับบ้านของผู้ใหญ่บ้าน

    จนถึงช่วงดึก หมู่บ้านตกอยู่ในความเงียบสงบจนน่าขนลุก แต่ในความเงียบนั้น หูของคุณจิราได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดัง "ตุ๊บ..ตุ๊บ" คล้ายคนเอาค้อนทุบกับปูนจากที่ไกลๆ เสียงที่ว่านี้ดังอยู่นานมาก จนคุณจิราผลอยหลับไป

    มาตื่นปวดเบาเอาตอนกลางดึก คุณจิรารู้สึกลำบากใจมาก เพราะห้องน้ำมันตั้งอยู่นอกตัวบ้าน และด้านนอกมันทั้งมืดและก็เย็นมาก จึงสะกิดคุณนุชที่นอนอยู่ข้างๆกันให้ไปเป็นเพื่อน เมื่อทั้งสองเดินออกมานอกบ้าน เสียงทุบอะไรสักอย่างมันยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง "ตุ๊บ..ตุ๊บ"

    คุณจิรากับคุณนุชเดินถือตะเกียงฝ่าความมืดไปยังห้องน้ำ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบสิบเมตรได้ ลมเย็นโชยมาปะทะร่างกายจนหนาวสั่น ไม่เพียงแค่นั้น ลมมันยังหอบเอาเสียงปริศนาลอยตามมาด้วย "ตุ๊บ..ตุ๊บ"

    สองสาวได้ยินอย่างถนัดชัดเจน แต่ไม่มีใครกล้าปริปากถามอะไรกัน เพราะที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของตนเอง กลัวว่าความอยากรู้อยากเห็นจนเกินพอดีจะนำความหายนะมาสู่ตน ทางไปห้องน้ำจะต้องผ่านห้องสนิมเขลอะห้องนั้นด้วย

    มันดูน่ากลัวกว่าตอนกลางวันมาก ตู้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่มีแต่สนิมสีเลือดจับเขลอะ คุณจิราได้แต่คิดในใจว่าทำไมไม่หาอะไรมาคลุมเอาไว้ หรือรื้อๆมันทิ้งแล้วทำใหม่ให้มันดีกว่านี้หน่อย

    เมื่อไปถึงห้องน้ำและเสร็จธุระ ทั้งสองก็เดินกลับมาทางเดิม แต่เมื่อเดินมาถึงห้องสนิม คุณจิระกับคุณนุชสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแถวๆผนังห้อง เมื่อลองสังเกตดูดีๆ ปรากฏว่าเห็นเป็นใบหน้าคนขนาดใหญ่กว่าปกติสองถึงสามเท่า เบียดผนังห้องสนิมจนผนังมันยื่นออกมาเป็นรูปหน้าคน

    ซึ่งใบหน้ามันเป็นเนื้อเดียวกับแผ่นสนิมสีเลือดที่เป็นตะปุ่มตะป่ำ อ้าปากกว้างและส่ายหน้าไปมาเหมือนกำลังทรมาน จังหวะนั้นคุณจิรากับคุณนุชช็อคจนตัวแข็งยืนขาตายสนิท แต่ก็ต้องตกใจจนผวา

    เพราะไอ้มนคนบ้ามันวิ่งพรวดออกมาจากห้องสนิม พร้อมๆกับหัวเราะร่าไปด้วยแล้วหายไปในความมืดบนถนน คุณจิราพยายามกรีดเสียงร้องออกมา แต่เสียงมันกลับอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น ส่วนคุณนุชตอนนี้เป็นลมล้มกองอยู่กับพื้น

    จนคุณจิรารวบรวมแรงเฮียกสุดท้าย กรีดเสียงร้องออกมาดังลั่น จนชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านวิ่งเข้ามาดูกันพัลวัน แล้วรีบอุ้มคุณนุชขึ้นบ้านเพื่อไปปฐมพยาบาล ตอนนั้นคุณจิรายังคงควบคุมตัวเองไม่ได้ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวสุดขีด เพื่อนๆจึงเข้ามาช่วยกันปลอบ

    เวลาผ่านไปสักพัก คุณนุชก็ฟื้นขึ้นมา แต่ทุกคนก็คะยั้นคะยอให้คุณนุชหลับต่อ เพราะห่วงเรื่องสุขภาพอยากให้พักผ่อนเสียมากกว่า คุณจิราจึงเล่าในสิ่งที่เห็นให้ทุกคนฟัง

    และทันทีที่เล่าจบ ผู้ใหญ่บ้านและพวกชาวบ้านที่ล้อมวงกันอยู่ต่างหน้าถอดสีไปตามๆกัน เอาแต่มองหน้ากันเลิกลั่ก สักพักหนึ่ง ลุงที่อยู่บ้านตีเหล็กก็พูดขึ้นว่า "โอ้ย ก็ไอ้เมืองมนมันเลี้ยงผี มันอกหักจากอีโนรีไง เลยไปฝักไฝ่ในวิชาเดรัจฉาน มันคงหวังลมๆแล้งๆละมั้ง ว่าอีโนรีจะกลับมาหามันน่ะ ของก็เลยเข้าตัวมัน มันก็เลยเป็นบ้า!!"

    คุณจิราฟังจากน้ำเสียงของช่างตีเหล็กที่พูดเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ เพราะตนที่พบเจอเรื่องนี้มากับตัว รู้ซึ้งว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด

    ลุงช่างตีเหล็กก็พูดต่อไปอีกว่า "ทุกวันนี้นะ มันชอบเอาซากกบซากหนูตายเข้าไปกินในห้องสนิมนั่นน่ะ ของดีๆของอร่อยๆให้ไปเท่าไหร่ก็ไม่กิน" สักพักผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าลุงชักจะพูดอะไรมากเกินไป กลัวว่าจะสนุกปากจนหลุดอะไรไม่สมควรออกมา จึงได้เหลือบตาไปมองเป็นเชิงว่าให้เงียบสักที

    แล้วแกก็พูดเสียงขรึมๆว่า "จะห้ามมันก็ไม่ได้อ่ะหนู มันไปๆมาๆ หนีไวเหมือนลิงเหมือนค่าง แล้วมันก็ชอบมาทำพิธีอะไรของมันทุกคืน ปกติคนที่นี่ไม่เคยเจออะไรเลยนะ แต่พวกหนูคงจิตอ่อนและเป็นคนแปลกที่ก็เลยเจอ งั้นพักเถอะ คืนนี้จุดไฟนอนกันหมดนี่แหละ พรุ่งนี้จะว่าไงค่อยว่ากัน"

27 พ.ค. 2562

เรื่องเล่าออฟฟิศ


     คุณบอยทำงาน ในออฟฟิศแห่งหนึ่ง ที่นี้มักมีเรื่องเล่าและคนเจอดีอยู่บ่อยครั้ง มีเรื่องเล่ามากมาย บางคนก็เล่าว่าเห็นเงาคนตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งแต่ละคนก็จะเห็นแตกต่างกันไป คุณบอยทำงานอยู่ที่นี่มาเกือบห้าปี มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่คุณบอยรู้สึกว่าทุกคนจะเล่าตรงกันมากที่สุด จากบรรดาเพื่อนๆที่อยู่ในออฟฟิศ

    ออฟฟิศแห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้น ด้านบนจะเป็นดาดฟ้า เรื่องมันเกิดขึ้นในโกดังที่อยู่ชั้นหนึ่ง เป็นห้องที่เอาไว้เก็บหนังสือต่างๆนาๆ

    ซึ่งออฟฟิศแห่งนี้ทำเกี่ยวกับนิตยสาร เมื่อเริ่มการจัดจำหน่ายออกไป ก็จะมีส่วนหนึ่งที่ถูกตีกลับเข้ามา ต้องนำไปเก็บสต๊อกไว้ในโกดัง เพื่อรอนำไปขายในงานกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับงานหนังสือ

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณบั้มซึ่งเป็นเด็กใหม่ เพิ่งเข้ามาทำงานในออฟฟิศนี้ได้ไม่นานนัก แล้วถูกบรรจุให้ไปอยู่ในส่วนของการสต๊อกของ โดยปกติแล้วออฟฟิศจะปิดหกโมง แต่บางครั้งก็จะต้องมีการทำงานล่วงเวลา จนกินเวลาไปจนถึงดึกดื่น

    วันหนึ่ง คุณบั้มเดินเข้าไปในตัวโกดังคนเดียว เพื่อทำการคัดแย่งนิตยสารที่จะเอาไปขายในงานกิจกรรม และมีพวกพี่ๆอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่หน้าโกดัง แต่ไม่ได้เข้ามาด้วย โกดังมีความยาวเกือบสองร้อยเมตร กว้างประมาณยี่สิบเมตร สูงสี่ชั้น

    ทุกครั้งที่ก้าวขาเข้ามาในโกดังแห่งนี้ บรรยากาศมันมักจะไม่เหมือนเดิม บางครั้งก็รู้สึกร้อนวูบวาบ บางครั้งรู้สึกเหมือนมีไอเย็นลอยฝุ้งไปทั่ว กลิ่นอับที่ไม่เคยจางหายไปไหน เป็นเอกลักษณ์ของโกดังแห่งนี้

    ภายในโกดังจะมีชั้นเก็บนิตยสารตั้งเรียงๆกันเหมือนห้องสมุดทั่วไป ยาวไปจนถึงท้ายโกดัง ต้องพกไฟฉายเข้าไปด้วย เนื่องจากหลอดนีออนที่ติดอยู่ด้านบนถึงมันจะมีอยู่หลาดหลอดด้วยกัน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ที่นี่ดูสว่างมากนัก เพราะมันอยู่สูงเกินไป และไหนจะมีอยู่แค่ไม่กี่หลอด ทำให้ที่นี่ดูสลัวๆน่าอึดอัด

    คุณบั้มนั่งแยกนิตยสารอยู่ด้านในสุด ซึ่งมันจะเป็นกำแพงตัน โดยนั่งพิงกำแพงเก่าๆแล้วหันหน้าไปที่ทางออก บรรยากาศภายในเงียบมากคล้ายหูอื้อ มีเสียงจิ้งจกคอยร้องทักอยู่เป็นเพื่อน แต่ในช่วงเวลานั้นเอง คุณบั้มรู้สึกมีอะไรบางอย่างที่ผิดสังเกต แถวๆหางตาทางด้านซ้าย จึงค่อยๆหันไปมอง

    ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งอยู่มุมสุดของโกดัง ด้านบนของประตูจะมีหลอดไฟเล็กๆเพียงแค่หลอดเดียว ปรากฏว่าเห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ลักษณะผมยาวปกหน้าจนถึงจมูก คลุมผ้าสีขาวยาวไปจนถึงเท้า ยืนส่งยิ้มหวานให้

    คุณบั้มรีบหันกลับแล้วก้มหน้าลงทันที หัวใจเต้นตูมตามเหมือนคนที่กำลังรัวกลอง มันไม่น่าจะมีใครยืนอยู่ตรงนั้นได้ พยายามปลอบใจตัวเองว่าตาฝาดแน่ๆ และอึดใจนั้น คุณบั้มตัดสินใจที่จะหันกลับไปดูอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ความจริง

    ปรากฏว่าเธอคนนั้นยังยืนอยู่จุดเดิม แต่เปลี่ยนอิริยาบถจากเดิมที่ยืนตัวตรง คราวนี้เธอโค้งลำตัวลงมาสี่สิบห้าองศาเหมือนคนแก่หลังค่อม แล้วเชิดหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้

    คุณบั้มรู้สึกจุดที่ท้องน้อย หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนว่าเธอคนนั้นเริ่มยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนมุมปากยาวไปจนจะถึงใบหู คุณบั้มรีบหันกลับมาก้มหน้าเหมือนเดิม เพราะทนมองภาพที่มันน่าสยดสยองแบบนั้นต่อไปไม่ไหว

    รู้สึกว่าขนหัวมันตั้งชันขึ้นเรื่อยๆ เย็นวูบวาบขึ้นที่สันหลัง ความกลัวความหวาดผวาถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง กลอกสายตาไปมาในขณะที่ก้มหน้าอยู่เพราะความหวาดระแวงจัด อยากลุงวิ่งหนีแต่ตัวมันกลับแข็งทื่อเอาเสียอย่างนั้น

    ใจหนึ่งก็สงสัยว่าเราเจอผีเข้าแล้วจริงๆเหรอ หรือว่าเราง่วงจนเห็นภาพหลอนไปเอง ก็อาจเป็นได้เพราะวันนี้เราทำงานมาก็เกือบจะสิบห้าชั่วโมงเข้าไปแล้ว คงเป็นเพราะเราเหนื่อยเกินไปแน่ๆ

    เมื่อคิดได้อย่างนั้น คุณบั้มจึงค่อยๆหันกลับไปมองที่หน้าห้องน้ำอีกครั้ง แต่รอบนี้ภาพที่เห็นทำให้คุณบั้มเผลอสะอึกเฮือกใหญ่ กลั้นหายใจเองโดยอัตโนมัติ เพราะเธอคนนั้นนอนราบไปกับพื้น แล้วยกลำตัวท่อนบนขึ้นมาตั้งตรง คล้ายตัวแอลกลับด้าน

    ซึ่งปกติสรีระร่างกายของคนไม่สามารถทำอะไรเช่นนี้ได้ แถมเธอยังแยกเขี้ยวยีฟันให้คุณดั้มจนมองเห็นฟันขาวเรียงซี้เงาวับ ภาพที่เห็นมันทำให้ความอดทนของคุณบั้มมาถึงขีดสุด โยนนิตยสารในมือทิ้งแล้ววิ่งร้องไห้กระเจิดกระเจิงออกนอกโกดัง

    พวกพี่ๆที่นั่งกันอยู่หน้าโกดังเห็นแบบนั้นก็ตกใจ ต่างวิ่งตามไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณบั้มพูดตัวสั่นปากสั่นว่า "ผมเจอผีๆๆๆ" พวกพี่ๆก็เลยเดินเข้าไปดูในโกดัง แต่เจอไม่เจออะไรที่ผิดปกติ

    เรื่องราวในลักษณะนี้จะเป็นเรื่องที่คุณบอยได้ยินมามากที่สุด เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในโกดัง เพราะทุกคนที่อยู่เวรทำโอที มักจะเจอเข้ากับเธอในลักษณะท่าทางที่แปลกประหลาดผิดมนุษย์มนา

    และล่าสุดในเวลาประมาณสี่ทุ่มเศษๆ คุณบั้มต้องเข้าไปค้นเอกสารในโกดัง ซึ่งอยู่ล๊อคแถวท้ายๆ ลักษณะตู้เก็บจะเป็นชั้นเหมือนตู้หนังสือที่มีสองฝั่ง เมื่อหยิบหนังสือออกมาก็จะสามารถมองลอดไปอีกฝั่งได้

    ในขณะที่คุณบั้มหยิบเอกสารออกมาจากชั้น ปรากฏว่าเห็นเธอคนนั้นยืนอยู่อีกฝั่งของชั้นวางหนังสือ แต่คราวนี้เธอไม่มีผมปิดบังใบหน้า ทำให้คุณบั้มเห็นได้อย่างชัดเจน ลูกกะตาปูดโปน ใบหน้าเขียวคล้ำ ทำหน้าบึ้งตึง

    ทุกคนที่ทำงานที่นี่จะเจอในลักษณะนี้กันแทบทุกคน แต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป คาดว่าเธอคนนี้อาจจะอยู่ที่นี่มาก่อนที่จะสร้างโกดังเสียอีก และทุกคนยืนยันว่า เธอยังอยู่ในโกดังจนถึงปัจจุบันนี้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ลุงทองพรานป่า


      ประสบการณ์หสยองของคุณแมน สุพล ดวงพุทธา ที่เขาเล่าถึงเรื่องของพรานป่ามือแม่นอย่างลุงทองจักร กับประสบการ์พรานป่าที่เขาเล่าให้ฟังเมื่อยี่สิบปีก่อน

    เมื่อลองย้อนเวลากลับไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้น ผมเองยังไม่ได้เกิด สมัยนั้นตามธรรมดา หมู่บ้านของผมยังมีบ้านเรือนประชาชนไม่เยอะเท่าใดนัก นับได้ไม่ถึงสี่สิบหลังคาเรือน ไฟฟ้ายังไม่มีให้ใช้

    ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะประกอบอาชีพทำนา ตามประสาบ้านๆ ส่วนถ้าบางเรือนไม่มีที่นา ก็จะหันไปทำไร่ข้าวไร่สาลี ลุงทองนั้น แกเป็นคนไม่มีที่นา ตัวแกเองจึงต้องทำไร่ข้าวไร่สาลี

    ถ้าพูดเช่นนี้ หลายคนคงจะไม่เข้าใจว่าไร่นาไร่ข้าวคืออะไร ทางบ้านผมความหมายจะต่างกัน ไร่ข้าวคือการใช้เมล็ดข้าวปักลงดิน โดยไม่ต้องมีน้ำ ข้าวก็จะไม่ตาย ส่วนคำว่าไร่นา ทางบ้านผมจะเรียกว่านา คือพื้นที่ที่ต้องมีน้ำ และต้องใช้คนดำเอา นั่นก็คือการดำข้าว

    ชาวบ้านที่จะทำไร่ข้าวนั้นมักจะออกไปทำในพื้นที่ที่ห่างไกล ทำในลักษณะที่ว่าไม่ต้องมีการล้อมรั้วให้ยาก หาพื้นที่ไกลๆ ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงมารบกวน สัตว์เลี้ยงที่ว่านี้ก็คือวัวกับควาย เมื่ออยู่ไกลออกไป จนไม่มีวัวกับควายมารบกวนพืชผลแล้ว

    จะมีอีกอย่างหนึ่งที่จะคอยมารบกวน นั่นก็คือสัตว์ป่า และสัตว์ป่าที่นับว่ามีเยอะแถวบ้านผมก็คือหมูป่า ไอ้เจ้าหมูป่านี่แหละ ลุงแกว่ามันคือตัวปัญหาเลย มันมักจะเข้ามากัดกินแล้วทำลายพืชผลของชาวบ้าน รวมทั้งของลุงทองด้วย

    ตัวของลุงทองแกก็เป็นพรานอยู่แล้ว ฉะนั้น แกจึงชอบเข้าป่าเป็นกิจวัตรประจํา ลุงทองแกเล่าว่า ในช่วงที่ใกล้จะถึงฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลนั้น มีวันหนึ่ง เจ้าหมูป่ามันพากันเข้ามาทำลายไร่ของแก

    ทำให้ลุงทองต้องออกไปนอนเฝ้าไร่คนเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่ลุงทองเท่านั้นที่เดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ ชาวบ้านอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ต่างคนก็ต่างไปนอนเฝ้าไร่ของตนเอง เพื่อป้องกันมิให้เจ้าพวกหมูป่าเข้ามาทำลายอีก

    ส่วนทางที่จะไปไร่นั้น ต้องเดินทางด้วยเท้า ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร จากนั้นก็มาลงที่น้ำโขง ลุงบอกว่า หนทางที่จะไปได้นั้น มีอยู่สองทาง แบบทางน้ำก็คือนั่งเรือไป ปล่อยให้กระแสน้ำพัดไหลโค้งไปโค้งมาตามธรรมชาติของมัน ไม่นานก็ถึงจุดหมาย เพียงแต่จะมีพื้นที่ของผาด้างกันเอาไว้

    ส่วนทางบกจะต้องเดินทางลัดป่าที่เดินผ่านผาด้าง แล้วก็ลัดภูไป แต่ชาวบ้านในสมัยนั้น มักนิยมเดินทางด้วยการพายเรือ ลุงแกบอกว่า ไปทางเรือจะสบายกว่ามาก เพราะถ้าหากเดิน ก็ต้องได้เดินขึ้นภูขึ้นผาอีก แล้วอีกอย่าง ป่านั้นก็น่ากลัว

    โดยปกติแล้ว ลุงทองจะไปนอนเฝ้าไร่ประมาณสี่ห้าวันก็จะกลับ มาพักที่บ้านสองสามวันแล้วก็ไปใหม่ วันนี้ก็อย่างเคยเป็นกิจวัตร แกลุกแต่เช้าเก็บขาวเก็บของที่จำเป็น พร้อมกับปืนแก๊ปคู่ใจของแก

    ลุงทองออกเดินเท้ามาจนถึงท่าน้ำ แล้วพายเรือไปตามสายแม่น้ำโขงจนไปถึงที่พัก จากนั้นเพื่อที่จะไปให้ถึงไร่ จำเป็นที่จะต้องเดินขึ้นภู ต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดกันหนาแน่นทั้งสองฟากทาง

    ไม้ยิ้มลำใหญ่มาก พ้นดงป่าไม้ยิ้มก็จะเป็นบ้านลุงเหลือ ต่อไปก็เป็นไร่ของแก กว่าจะถึงกระต๊อบเล็กๆได้ เล่นกินเวลาไปสะครึ่งวัน หลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จ แกก็ออกเดินตรวจตามไร่ของแก

    ที่ไร่ข้าวนั้นก็จะมีรอยนกรอยหนูกิน แต่ก็ไม่เสียหายอะไรมาก พอเดินไปถึงไร่สาลี แกก็ต้องตกใจมาก ที่เห็นผลปรากฏว่า พืชผลที่แกได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจนั้น บัดนี้ ถูกเจ้าหมูป่ามันเข้ามากัดกิน

    แกโมโหจนสบถออกมาว่า เดี๋ยวได้เห็นดีกัน จากนั้นแกก็ทำแร้วดักหมูป่าไว้สามหลัง พอรุ่งเช้าก็ไปตรวจดู พบว่ามีหมูติดอยู่หนึ่งตัว แต่ตัวไม่ใหญ่มาก แกก็ทำการชำแหละ เอาเนื้อมาย่างไฟที่กระต๊อบของแก

    ลุงแกบอกว่า ใช้วิธีนี้ดักอยู่เหมือนเดิม มันก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เหมือนว่าหมูป่ามันจะรู้ตามสัญชาตญาณของสัตว์ ระยะเวลาช่วงนั้น เมื่อลองไปตรวจดู ก็ไม่มีหมูมาติดสองวันแล้ว แต่สาลีก็มีร่องรอยถูกหมูกินอย่างเคย

    ลุงแกว่าได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้ก่อนละกัน และก็เดินทางกลับมาบ้านพร้อมกับเนื้อหมูป่าย่าง เมื่อพักได้สักสองสามวัน แกก็ทำอย่างเคย ออกไปเฝ้าดักหมูที่ไร่ต่อ แต่เมื่อแกเดินทางไปถึงไร่ แกก็ต้องตกใจอีกครั้ง

    เพราะเจ้าพวกหมูป่า มันมาทำลายไร่สาลีของแกไปถึงครึ่งไร่ แกโมโหมาก เดินออกตรวจในไร่ตามเคย เมื่อแกเดินไปถึงท้ายไร่ หูก็ได้ยินเสียงหมูร้อง แกก็ค่อยๆย่องตามเสียงหมูป่าไป

    สักพักก็เห็นพวกมันลงเล่นน้ำอยู่ในปลักตม ซึ่งก็คือหนองน้ำเล็กๆ มันเล่นน้ำกันอยู่ประมาณสิบตัว ลุงแกรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมกลางป่าอย่างนี้ มันถึงได้มีหนองน้ำเล็กๆแบบนี้ได้ แต่แกก็ไม่ได้สนใจอะไร

    เมื่ออยู่ไร่ได้ประมาณสี่ถึงห้าวัน แกก็เดินกลับบ้านอย่างเคย พักได้สองสามวัน แกก็จะกลับมาที่ไร่อีก คราวนี้แกตั้งใจจะเข้าไปนั่งห้าง ลุงแกบอกว่าการนั่งห้างของแกนั้น จะใช้เปลผูกกับต้นไม้ สบายกว่าการต้องขัดห้างใหม่

    เพราะไม่ต้องตัดต้นไม้ให้เสียเวลา อีกอย่างถ้าขัดห้าง หมูป่ามันจะเห็นพิรุธได้ ผมสงสัยเลยถามออกไปว่า แล้วลุงใช้อะไรส่องสัตว์ล่ะ แกบอกว่า ใช้แสงเดือนนี่แหละ แค่นี้ก็มองเห็นแล้ว

    ใกล้สิบห้าค่ำ เดือนจะแจ้งเต็มดวงดี นั่นก็คือเดือนวันเพ็ญ เลื่อนไปสิบสอง สิบสาม สิบสี่ ไปช่วงวันไหนก็ได้ ผมก็เลยถามแกต่อไปอีกว่า แล้วผลมันเป็นยังไงบ้างลุง

    ลุงแกบอกว่า คืนแรก เดินเข้าป่าไปตั้งแต่ดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า พอไปถึงที่เลือกที่ผูกเปล ต้องเลือกที่ทางให้มันพอเหมาะเจาะ จากนั้นก็ลงมือผูก ข้อสำคัญ ถ้าอยู่ข้างบนแล้ว ห้ามลงมาเป็นเด็ดขาด

    ผมสงสัยอีก ก็เลยถามแกไปว่าทำไม แกก็ตอบว่า คนโบราณพูดไว้อย่างนั้น ผมเลยถามแกว่า ถ้าปวดเบาขึ้นมาจะทำยังไง ลุงแกก็บอกว่า ก่อนขึ้นก็ไปหากระบอกไม้ไผ่มาแล้วเอาขึ้นไปด้วย

    ทีนี่ผมก็เข้าใจแล้ว แต่ก็ถามแกต่อไปว่า แล้วได้มั้ยล่ะ หมูป่าน่ะ แกบอกว่า คืนนั้นได้มาตัวนึง และเช้าวันต่อมา แกมีความรู้สึกว่าอยากจะยิงสัตว์เหลือเกิน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็อย่างว่าล่ะครับ เป็นพราน ถ้าไม่ให้ล่าสัตว์ แล้วจะให้ทำอะไร

    ลุงแกคิดในใจว่าจะไปนั่งแบบเล่นๆดู เพราะแกรักการเข้าป่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมก็ถามแกอีกว่า ลุงจะไปนั่งที่ไหน ลุงแกก็บอกว่า ที่เดิมนั่นแหละ ผมเลยถามแกไปว่า อ้าว แล้วสัตว์มันจะมาอีกเหรอ เสียงปืนดังคับป่าแบบนั้น

    ลุงแกบอกว่า เออน่า ใจมันอยากไป แค่อยากไปนั่งเล่นๆ แล้วแกก็ทำทุกอย่างเหมือนอย่างเคย แต่คืนนี้แปลก แปลกเพราะมันเงียบมาก ไม่มีเสียงสัตว์อะไรเลยสักนิดเดียว ไม่มีให้ได้ยินแม้แต่เสียงร้องของแมลงกลางคืนสักตัว

    ใจแกคิดว่า เมื่อคืนคงจะยิงปืนเสียงดัง สัตว์ที่ได้ยินมันคงจะกลัว คิดอยู่คนเดียวในบรรยากาศที่เงียบเชียบ สักพักแกก็เผลอหลับไป มาสะดุ้งตัวตื่นอีกทีก็เมื่อแกได้ยินเสียงๆหนึ่ง มันเป็นเสียงของฝีเท้าสัตว์ที่กระทบกับพื้น

    รู้สึกได้ว่ามันมีอยู่หลายตัว คิดได้อย่างนั้น ลุงแกก็จับปืนแป๊บคู่ใจ ตั้งท่าจัดทางเตรียมพร้อมที่จะลั่นไกยิง สอดส่ายสายตาออกไปมองเสียงนั้น คืนนี้เป็นคืนที่เดือนสว่าง ทำให้สายตาพอมองเห็นด้านล่างได้ไม่ยาก

    และเมื่อเพ่งมองลงไปยังจุดที่เสียงนั้นดัง ภาพที่ปรากฏต่อสายตาก็คือ พรานสี่ห้าคนอยู่ข้างล่าง รู้สึกได้ว่าไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ลุงก็เลยจะยิงปืนขึ้นสักนัดนึง "แชะ!!" ไม่มีเสียงระเบิดของดินปืน

    พยายามลองอีกครั้งนึง แต่ก็ไม่เป็นผล สายตาของแกยังคงจับจ้องอยู่ที่กลุ่มพรานข้างล่างนั่น แล้วสิ่งที่ทำให้แกต้องตกใจก็เกิดขึ้น เพราะพรานที่แกเห็นนั้น อยู่ๆก็กลับกลายเป็นลิงค่าง

    บรรยากาศรอบตัวดูอึดอัดไปหมด ทั้งหนาวเย็นตามไขสันหลังกับเหงื่อที่ออกตามมือ แกต้องเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ เพราะดูไปดูมา ไอ้ที่ว่าเป็นลิง มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ ลักษณะเหมือนมีขนยาวๆทั้งตัว และเมื่อแสงจันทร์ไปกระทบที่ดวงตา มันมีประกายวาวสีแดง

    ตอนนี้ลุงได้ยินแม้กระทั้งลมหายใจของตนเอง และเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ สมองสับสน คิดอยู่อย่างเดียวว่าอะไรอยู่ข้างล่าง และระหว่างที่กำลังสับสนอยู่นั้น เจ้าตัวที่คล้ายลิงที่สูงที่สุดตัวนึง อยู่ๆมันก็หันหน้าขึ้นมามอง

    ประกายตาสีแดงของมันน่ากลัว เหมือนจะสะกดให้หยุดหายใจ แต่ยังไงก็ต้องตั้งสติให้มั่น เมื่อตั้งสติได้ก็คิดได้ว่า นั่นไม่ใช่ลิงธรรมดาแน่ ก็อย่างว่า เมื่อเป็นพราน จะยิงปืนเก่งอย่างเดียวไม่ได้ มันจะต้องมีของดีที่ติดตัวมากันบ้าง

    แกกล่าวพระคาถาตามที่ปู่เคยสอนมา เมื่อท่องจบแกเหนี่ยวไกปืนทันที "ปั้ง!!" คราวนี้เสียงปืนดังสนั่น เมื่อสื้นเสียงปืนนัดนั้น ก็เห็นเจ้าตัวนึงล้มลงกับพื้น ที่เหลือก็วิ่งหายไป ลุงรู้สึกใจโล่งขึ้น

    แต่เพียงแค่พักเดียวเท่านั้น ลุงก็ได้ยินเสียงอีกเสียงนึงเกิดขึ้น มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลุงจึงใช้สายตาเพ่งไปตามเสียง สิ่งที่ปรากฏก็คือ หญิงสาวหน้าตาดีมากๆแม้ในแสงสลัว กำลังเดินเข้ามา

    เมื่อหล่อนเดินมาถึงข้างล่าง หล่อนก็กวักมือเรียกลุงให้ลงไป ลุงรู้ทันทีโดยที่ไม่ต้องคิดว่าอะไรเป็นอะไร แกรีบวาดปลายกระบอกปืนเข้าหา แล้วเหนี่ยวไกทันที "ปั้ง!!" สิ้นเสียงปืนก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดตามมา แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปในบัดดล

    ตอนนี้แกไม่มีความรู้สึกว่าอยากนอนเลย สายตาหันมองไปรอบกายด้วยความระแวดระวังภัย มันอะไรกัน นี่เรากำลังเจอเข้ากับอะไร รอบๆกายก็มีแต่ป่า ซึ่งมันเงียบและวังเวงมาก

    ยังไม่ทันที่ใจจะสงบลงได้ดี หูก็ได้ยินเสียงคนเดิน กำลังเดินเข้ามาเรื่อยๆ เอาวะ มันจะเป็นอะไรอีกคราวนี้ คิดได้อย่างนั้น แกก็เพ่งสายตาดูตามเสียงที่กำลังเดินเข้ามา แล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏขึ้น

    นั่นก็คือเหลือ หรือลุงเหลือนั่นเอง เจ้าของไร่ที่ติดกับไร่ของแก เมื่อเดินเข้ามาถึงก็เงยหน้าขึ้นมองแล้วถามว่า ทอง ทอง แกยิงอะไรวะตั้งสองที ลุงทองก็ชี้มือให้ลุงเหลือดูข้างล่าง ซึ่งตอนนี้มันไม่มีอะไรอยู่เลย

    แล้วลุงเหลือก็พูดขึ้นว่า เฮ้ยลงมาเถอะ ไม่รู้ว่าใครไปค้นข้าวของในกระต๊อบของ ลุงทองจึงตอบไปว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าแกรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะเวลาที่ลุงเหลือพูด จะไม่สบตากับแกเลย ลักษณะไม่เหมือนไอ้เหลือที่แกรู้จัก

    อีกอย่างด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ ไอ้เหลือน่ะหรือ จะอุส่าฝ่าดงป่าเข้ามาบอก แล้วยังอุส่าชวนไปนอนที่กระต๊อบของมันอีก มีหน้ามาบอกว่ากลัว ไม่อยากนอนคนเดียว แต่แกไม่หลงกลง่ายๆหรอก แกจึงบอกว่า

    ลุงทอง : ไม่ไป กูไม่ลงหรอก พรุ่งนี้กูถึงจะลง แล้วกูก็จะไปดูเอง
    ลุงเหลือ : งั้นกูจะขึ้นไปเอง
    ลุงทอง : อย่าขึ้นมา!
    ลุงเหลือ : ก็กูกลัว
    ลุงทอง : ตั้งนานไม่กลัว ทำไมวันนี้เพิ่งมากลัววะ แล้วทำไมไม่ไปชวนไอ้คนที่อยู่ไร่ข้างๆมานอน ทำไมเข้าป่ามาหากู

    คราวนี้ตาลุงที่ชื่อเหลือเงียบ แต่ระหว่างนั้น ลุงทองก็ขี้สงสารขึ้นมาว่า แล้วถ้าเป็นไอ้เหลือจริงๆ ก็กลัวว่าจะมีสัตว์ที่หน้าตาเหมือนลิงเมื่อครู่มาทำร้าย ถ้าหากว่ายังคงอยู่ข้างล่าง ก็เลยตะโกนบอกไปว่า เฮ้ย รีบกลับไปเถอะ เมื่อตะกี้ กูยิงสัตว์อะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร

    คนที่ชื่อเหลือก็พูดขึ้นว่า กูไม่เห็นมีสัตว์อะไรเลย ไหนวะ มันอยู่ตรงไหน ลุงทองรู้สึกอึดอัดมากกับการสนทนากันไปมาอย่างนี้ แกก็เลยบอกว่า ถ้าอยากอยู่ ก็อยู่ข้างล่างนั่นแหละ

    สักพักหนึ่ง ลุงเหลือก็เดินกลับไปทางเดิม ลุงทองเห็นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที แล้วอีกสักพักหนึ่ง หูก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง คราวนี้เป็นเสียงของเมียแกเอง กำลังเดินเข้ามาหา โดยมีลุงเหลือเดินตามมาข้างหลัง

    ลงมาเถอะพี่ ไม่รู้ว่าใครมาทำลายกระต๊อบของเราพังหมดแล้วเนี่ย เสียงเมียแกตะโกนขึ้นมา แกเห็นอย่างนั้นก็รู้เลยว่าไม่ใช่เมียแกแน่ เพราะอยู่กันมาจนมีลูกถึงสามคน ยังไงซะ เมียแกก็ไม่กล้าเดินมาตามในป่าหรอก อย่าให้ถึงป่าเลย แค่พายเรือมาก็ไม่กล้าแล้ว

    ลุงแกเลยตะโกนกลับไปว่า ยังไงกูก็ไม่ลง ถ้าพวกยังไม่ไปกัน กูจะยิงนะ! คราวนี้ร่างทั้งสองที่อยู่ข้างล่างสะดุ้ง และเมื่อลุงเหลือเหลือบมาสบตากับลุงทอง ลุงทองจึงมั่นใจและลั่นไกปืนขึ้นทันที "ปั้ง!!"

    คราวนี้ลุงเหลือนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ส่วนเมียของลุงทองนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นลิงแก่ ขนยาวทั้งตัว ตาแดงก่ำ เส้นขนออกสีแดงเวลามีแสงเดือนเข้ามากระทบ ด้วยความเคยชิน แกรีบอัดกระสุนปืนเข้าไปใหม่อย่างรวดเร็ว

26 พ.ค. 2562

เจอดีหลอนที่สน.


  เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา พี่เขยของคุณวาฬรับราชการตำรวจ ต้องไปเข้าเวรในช่วงเย็นของทุกๆวัน  เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นใน สน.แห่งหนึ่งทางภาพเหนือ

    แต่วันนั้นพี่เขยเกิดมีธุระด่วน จึงได้โทรหาพี่สาวให้ช่วยไปรับที่สน. แต่พี่สาวเองช่วงนั้นกำลังเลี้ยงลูกฝาแฝดอยู่ การที่จะหอบลูกแฝดไปด้วยขับรถไปด้วยก็ดูจะเป็นเรื่องที่ลำบาก จึงได้ขอให้คุณวาฬมาช่วยขับรถให้

    คุณวาฬและพี่สาวพร้อมลูกแฝดเข้ามาถึงสน.ในเวลาประมาณหกโมงเย็น แต่ลานจอดรถหน้าโรงพักเต็มหมดทุกช่อง อาจเป็นเพราะช่วงเย็น ตำรวจที่ออกไปทำหน้าที่ต่างๆกลับเข้ามาในสน.กันหมดแล้ว

    คุณวาฬจึงขับรถวนไปดูที่หลังสน. ซึ่งจะเป็นลานจอดรถสำหรับรถที่ประสบอุบัติเหตุ ลานกว้างขวางมากจนสามารถบรรจุรถยนร์ได้เกือบห้าสิบคัน แต่เมื่อลองวนหาดูก็พบว่ามันเต็มหมดทุกช่องเช่นกัน

    คุณวาฬจึงไปจอดซ้อนคันที่ท้ายรถคันหนึ่ง เมื่อดับเครื่องยนต์แล้ว คุณวาฬเหลือบตามองดูรถที่ตัวเองจอดซ้อนคันอยู่ ก็คิดขึ้นในใจว่า โอ้โห่ สภาพอย่างงี้คนขับคงไม่รอด เพราะห้องเครื่องมันยุบเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกันกับที่นั่งคนขับ

    ส่วนคันอื่นๆก็เช่นกัน ล้วนแล้วแต่ไม่สมประกอบทั้งสิ้น บางคันฝั่งที่นั่งข้างคนขับหายไปทั้งซีก ยังนึกเสียวขึ้นในใจไม่อยากจะคิดเลยว่า วันที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับรถคันนี้ ใครกันที่เป็นผู้โชคร้ายนั่งข้างคนขับ แต่ถ้าไม่มีคนนั่งก็คงจะดี

    รถบางคันบิดเบี้ยวจนดูน่ากลัว คล้ายถูกชนเข้ากลางลำอย่างรุนแรงจนมันผิดรูปผิดร่างไปจากเดิม อุบัติเหตุและเหตุการณ์สลดเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าผู้ขับขี่ทุกคนมีสติและช่วยรักษากฏจราจรกันสักนิด

    พี่สาวได้กดมือถือหาพี่เขยว่าได้มาถึงที่สน.กันแล้ว และได้บอกไปว่าให้มันเจอกัน ณ ที่ตรงนี้ สักพักต่อมา พี่เขยก็เดินเข้ามาหา แต่เมื่อมาถึงที่รถ พี่เขยนึกขึ้นได้ว่าลืมเอกสารไว้บนห้อง จึงขอขึ้นไปเอาลงมาก่อน

    แต่ลูกชายฝาแฝดคนน้องเป็นคนที่ติดพ่อมาก เอาแต่ร้องไห้จะตามพี่เขยไปด้วย ก็เลยต้องอุ้มขึ้นไปด้วย แต่พี่สาวกลัวว่าลูกจะไปงอแงบนตึก จึงได้เดินตามขึ้นไปอีกคน ทิ้งลูกสาวฝาแฝดคนพี่ให้อยู่ในรถกับคุณวาฬสองคน

    สักพักแฝดคนพี่เห็นน้องชายและพ่อแม่ขึ้นไปนานก็ร้องไห้ตามไปอีกคน คุณวาฬจึงต้องอุ้มมานั่งบนตัก แล้วคอยหลอกล่อชี้ให้ดูนั่นดูนี่เพื่อให้เด็กเงียบ แต่เมื่อคุณวาฬชี้ไปที่รถกระบะคันหนึ่งที่จอดอยู่เยื้องๆกัน

    ปรากฏว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่งตัวเหมือนช่าง ใส่เสื้อสีกรม ตัวผอมๆหน้าแหลมๆ ผิวออกสีคล้ำ ก้มๆเงยๆเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ในรถ คุณวาฬเห็นก็รู้สึกแปลกใจ ว่าเค้าไปนั่งอยู่ในนั้นทำไม กำลังหาอะไรอยู่ แล้วมาตอนไหน เพราะคุณวาฬแน่ใจว่าทีแรกไม่ได้เจอใครเลยในบริเวณนี้

    ผู้ชายคนนั้นเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาหาของ ก้มลื้อของตรงนั้นทีตรงนี้ที คุณวาฬจ้องมองดูด้วยความสงสัย อึดใจต่อมา ผู้ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมาทางคุณวาฬ ทำลูกกะตาโตเหมือนคนที่กำลังเพ่งมองอะไรสักอย่าง

    คุณวาฬรู้สึกตกใจ กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทที่ไปมองเค้าแบบนั้น แต่ผู้ชายคนนั้นค่อยๆยื้นหน้าขึ้นมา แล้วเอาใบหน้าแนบกับกระจกหน้ารถ คล้ายว่าจะพยายามมุดผ่านกระจกออกมาหา เมื่อคุณวาฬเห็นแบบนั้นก็เริ่มใจคอไม่ดี รู้สึกตกใจกลัวเอามากๆ คิดในใจว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงต้องทำอะไรแปลกๆแบบนั้นด้วย

    จนคุณวาฬเริ่มสังเกตเห็นว่า ดวงตาที่ใหญ่โตของผู้ชายคนนั้นมันมีสีออกเหลืองๆขุ่นๆ เหมือนคนที่เป็นโรคอะไรสักอย่าง ใบหน้าแห้งตอบ แก้มโหลลึก มองดูดีๆมันเหมือนศพที่ถูกแดดเผาจนแห้งมากกว่าจะเป็นคนปกติ

    ความกลัวความสับสนงุงงงต่างๆเริ่มพรั่งพรูเข้ามา คิดอยู่ตลอดว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงมีลักษณะที่ผิดปกติแบบนั้น เพราะดูยังไงมันก็เหมือนศพมากกว่าจะเป็นคน แล้วไหนจะอากัปกิริยาที่แปลกๆนั่นอีก คุณวาฬนั่งตัวสั่นกอดแฝดหญิงไว้แน่น แล้วก้มมองลงต่ำ

    เพราะสายตาที่เค้าจ้องมองมามันทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ถ้าไม่ติดว่าอุ้มเจ้าตัวเล็กอยู่ด้วย คงจะวิ่งหนีขึ้นสน.ไปแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ สักพักพี่สาวและพี่เขยก็กลับมา ทำให้คุณวาฬหายใจได้ทั่วท้อง และรีบชี้ไปที่รถกระบะคันนั้นแล้วพูดปากสั่นๆว่า "เห็นมั้ยๆๆๆ นั่นน่ะ"

    พี่สาวหันไปมองตามที่คุณวาฬชี้ แล้วพูดหน้างงๆว่า "เห็นอะไร?" คุณวาฬรีบพูดขึ้นว่า "คนอ่ะ คนที่นั่งอยู่ในรถนั่นอ่ะ" พี่เขยก็พูดขึ้นว่า "ใครมันจะไปนั่งอยู่ในซากรถแบบนั้น"

    แต่คุณวาฬยังไม่วางใจ จึงเร่งให้ทุกคนขึ้นรถแล้วรีบเหยียบออกจากที่ตรงนั้นทันที ในระหว่างที่กำลังขับรถอยู่ คุณวาฬยังไม่คลายจากอาการหวาดกลัว จึงถามพี่เขยว่า

คุณวาฬ : พี่ เป็นไปได้มั้ยที่จะมีคนไปนั่งอยู่ในรถ
พี่เขย : รถคันไหน?
คุณวาฬ : รถกระบะสีขาวที่จอดเลยไปหน่อยอ่ะ
พี่เขย : มันจะมีได้ยังไง ใครเค้าจะไปกล้านั่ง รถที่จอดกันอยู่เนี่ย มีคนตายในรถทั้งนั้น แล้วกุญแจรถทุกคันจะอยู่ที่สน.

    คุณวาฬได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกจุดที่อก รู้สึกได้เลยว่าขนมันเริ่มชี้ตั้งขึ้นอีกครั้ง ภาพของผู้ชายคนนั้นมันยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในหัว พี่เขยก็ขำแล้วพูดขึ้นว่า

พี่เขย : เออ มันไม่แปลกหรอกที่จะเจออ่ะ สำหรับที่นี่มันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เจอกันแทบทุกวัน จนไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ที่นั่นหรอก ก็ยังคิดอยู่ว่าเข้าไปจอดทำไมในนั้น
คุณวาฬ : เจอกันยังไงอ่ะพี่

    พี่เขยเล่าว่า พี่ที่รู้จักคนนึง เวลาที่เข้าเวรตอนช่วงดึก จะได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูห้องทำงานตลอด "ก๊อกๆๆๆๆ" แล้วหมุนลูกบิดดัง "แกร็กๆๆ" แต่ทั้งๆที่ประตูมันก็ไม่ได้ล็อก จึงตะโกนออกไปว่า "เดี๋ยวถ้าเป็นคนไหนมาแกล้งนะ โดนแน่"

    แกจึงไปยืนรออยู่ที่ประตู เมื่อเสียงเคาะดังขึ้น แกก็กระชากประตูทันที แค่ที่หน้าห้องก็ไม่ปรากฏใครยืนอยู่เลยสักคน แกยืนมองซ้ายมองขวาอยู่นานจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตนเองเข้าเวรอยู่คนเดียว เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นแทบทุกวัน และจะหนักหน่อยถ้าเป็นวันโกน

    บางคืนตำรวจที่เดินเอาขยะไปทิ้งแถวหลังสน. เล่าว่าเห็นเหมือนคนแขนขาดตัวไหม้เกรียมนั่งอยู่บนหลังคาซากรถ ลูกกะตาสีขาวจ้องมองมาด้วยหน้านิ่งๆ ถ้าใครจิตแข็งหน่อยก็จะทำเป็นไม่สนใจ แต่ถ้าใครขวัญอ่อนเจอแบบนั้นก็วิ่งกระเจิงเหมือนกัน

    มีเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่ประจำอยู่ในตึกเก่า ซึ่งตึกเก่าแห่งนี้จะมีห้องขังอยู่ด้วย แต่ในส่วนของห้องขังได้ถูกปิดใช้งานไปนานพอสมควรแล้ว บางคืนที่เข้าเวรมักจะได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากในโซนของห้องขัง แต่เมื่อเดินไปไล่ดูแต่ละห้องก็ไม่พบใคร

    เมื่อก่อนโซนห้องขังนี้มักจะมีนักโทษผูกคอตายอยู่หลายคน จนถูกปิดใช้งานในเวลาต่อมา แม้แต่แม่บ้านก็ยังไม่กล้าเข้าไปทำความสะอาด เพราะเคยมีแม่บ้านพบเจอศพผูกคอตายอยู่กับลูกกรงห้องขัง จนกรี้ดสลบไปหลายคน แต่เมื่อทุกคนวิ่งเข้ามาดู ก็พบแต่แม่บ้านนอนสลบอยู่กับพื้น ไม่พบศพตามที่แม่บ้านเห็น

    ที่โซนนี้จึงถูกปล่อยทิ้งร้างไม่มีใครกล้าเข้ามา จนถูกฝุ่นจับหน้ามีหยากไย่เกาะระโยงระยาง ข้างฝามีคราบราดำๆขึ้นจนดูน่ากลัวน่าขนลุก และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

เรื่องสยองโอ่งดอง


     โอ่งดองสยองเรื่องราวที่ลูกพี่ลูกน้องเล่าให้คุณอู๋ฟังอีกที เมื่อประมาณเจ็ดปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวภาคตะวันออก  คุณเอทำอาชีพขายผลไม้ดอง โดยการดองผลไม้เอง แล้วขายส่งตลาดใหญ่ อาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่และลูกจ้าง คุณพ่อคุณแม่จะไปเฝ้าที่ตลาดใหญ่ทั้งวัน แล้วช่วงกลางคืนก็จะกลับมานอนที่บ้าน

    ลูกจ้างมีทั้งหมดสี่คน คือป้าสีกับลุงชัย มีหน้าที่ปอกผลไม้กับเฝ้าแผงที่ตลาด และอีกสองคนอยู่ที่บ้าน ชื่อพี่เป้กับกอแก้ว ทำหน้าที่ล้างและดองผลไม้ อยู่มาสักพัก ป้าสีได้พาหลานชายมาฝากทำงานด้วยคนหนึ่ง ชื่อพี่ชาย เพิ่งจะพ้นโทษออกมาจากคดียาเสพติด

    บ้านที่คุณเออยู่จะเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น มีรั้วล้อมรอบ ชั้นหนึ่งจะมีสามห้องนอน คนงานทั้งห้าคนจะพักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง หลังบ้านจะเป็นที่วางโอ่งดองผลไม้ ซึ่งมีอยู่หลายสิบโอ่ง

    พี่เป้ซึ่งเป็นสามีของแก้ว ตกเย็นมามักจะชอบนั่งดื่มเหล้าทุกวัน ไม่ค่อยสนใจภรรยา และเมื่อมีพี่ชายเข้ามาทำงานด้วย พี่เป้จึงเริ่มมีปากเสียงกับแก้วหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะเกิดอาการหึงหวง

    เหตุการณ์เป็นแบบนี้อยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ และเช้าวันหนึ่ง คุณเอเดินลงมาที่ชั้นล่าง และบอกให้พี่เป้ตักผลไม้ดองไปส่งที่ตลาดเหมือนเช่นทุกวัน แต่เมื่อลงมาถึงก็เจอพี่เป้นั่งอยู่คนเดียว

    คุณเอจึงถามออกไปว่า "อ้าว แล้วชายกับแก้วมันไปไหน ทำไมถึงไม่มาช่วยกัน" แต่อยู่ๆพี่เป้แกก็น้ำตาไหลสะอึกสะอื้น แล้วตอบคุณเอว่า "ชายกับอีแก้วมันหนีตามกันไปแล้ว"

    พี่เป้แกปล่อยโฮอยู่พักใหญ่ คุณเอก็ยืนนิ่งไม่รู้จะปลอบยังไง เพราะยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง พี่เป้พูดทั้งน้ำตาว่า "เดี๋ยววันเนี๊ยะ ผมขอลางานนะ จะไปตามหาอีแก้วมันสักสองสามวัน เรื่องงานพี่ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวให้ลุงชัยเข้ามาช่วยงานในบ้านไปก่อนนะพี่"

    คุณเอเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารจึงให้ไป แต่ก่อนที่พี่เป้จะไป คุณเอพูดขึ้นว่า "เอ็งก็อย่าคิดสั้นนะ อย่าทำร้ายร่างกายกัน มีอะไรก็คุยกันดีๆ"

    ตกดึกในคืนนั้นเอง คุณเอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเวลาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ เห็นเหมือนเงาอะไรบางอย่างอยู่แถวๆปลายเท้า แกจึงเพ่งมองผ่านความมืดดู ปรากฏว่าเห็นเป็นร่างดำๆของผู้ชาย นั่งกอดเข่าคุดคู้โยกตัวไปมาอยู่แถวๆปลายเท้า มีเสียงร้องไห้ทุ้มๆต่ำๆลอยออกมาจากเงานั้น "ฮือออ..ฮือออออออออ"

    คุณเอใจหาบวูบหูตาสว่าง รีบหดขากลับเข้ามาในผ้าห่ม คิดในใจว่าอยู่บ้านนี้มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในบ้านเลยสักครั้ง เงาปริศนายังคงนั่งโยกตัวไปมาและร้องไห้ไม่ยอมหยุดเหมือนคนเสียสติ

    น้ำเสียงมันช่างเศร้าหมองและเย็นยะเยือกจนเสียดแทงลงไปในขั้วหัวใจ จนคุณเอเริ่มที่จะทนนอนอยู่นิ่งๆไม่ไหว คว้าไฟฉายบนหัวนอนมาส่องดูให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

    แต่เมื่อคุณเอเปิดไฟฉาย เงาดำนั่นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนว่าไม่ได้มีใครนั่งอยู่ตรงนั้น คุณเอยังคงส่องไฟฉายไปตามมุมต่างๆภายในห้อง กลัวว่าสิ่งนั้นมันยังซุกซ่อนอยู่ในซอกไหนซักแห่งในห้องนี้

    แต่หาเท่าไหร่ก็ไร้วี่แวว จึงล้มตัวลงนอนทั้งๆที่เหงื่อยังท่วมตัวเพราะความหวาดกลัว หอบหายใจถี่สักพักพรางคิดว่ามันคืออะไรกันแน่ เช้าวันต่อมา คุณเอยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อกับคุณแม่ฟัง เพราะตื่นมาท่านก็ไปตลาดเสียแล้ว กว่าจะกลับมาก็ถึงเวลานอนของคุณเอพอดี

    และในคืนนั้น คุณเอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของใครสักคน "ฮือออ..ฮือออออออออ" เมื่อคุณเอมองไปทางต้นเสียง ปรากฏว่าเงาของผู้ชายในคืนก่อน มานั่งกอดเข่าโยกตัวอยู่ข้างๆหมอน

    จนได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงแทบจะอาเจียน คุณเอทนต่อไปไม่ไหว รีบกระโดดลุกขึ้นไปเปิดไฟทันที เมื่อห้องสว่างโร่แล้ว เงาของผู้ชายคนนั้นกลับหายไปอีกเช่นเคย

    คุณเอเริ่มเอะใจขึ้นมาว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงต้องมารังควานกันแบบนี้ ตนเองไม่เคยไปเบียดเบียนใครมาก่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่ เกี่ยวข้องยังไงกับตนเอง

    รุ่งขึ้น มีออเดอร์ชุดใหญ่เข้ามา ต้องนำผลไม้จำพวกหนึ่งไปส่งให้ที่ตลาดใหญ่ คุณเอจึงเดินไปตักผลไม้ที่ดองอยู่ในโอ่งหลังบ้านใส่ถัง จนมาถึงโอ่งที่สี่ คุณเอเปิดฝาโอ่งแล้วหยิบขันลงไปตักผลไม้ แต่มันเหมื่อนติดอะไรบางอย่าง จึงลองชะเง้อลงไปดู

    ปรากฏว่าเห็นหัวคนโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำดองในโอ่งประมาณครึ่งหน้าผาก คุณเอตกใจจนผงะหงายหลัง ร้องโวยวายลั่นบ้านจนลุงชัยวิ่งเข้ามาดู เมื่อมูลนิธิเอาศพขึ้นมาจากโอ่ง ปรากฏว่าเป็นศพพี่ชาย ลักษณะศพซีดบวมจนแทบจำไม่ได้ ถูกมัดแขนและขา แล้วมัดรวบให้เข่าชนกับหน้าอกอีกที ในลักษณะนั่งยองๆ

    ดูๆก็คล้ายกับเงาของผู้ชายที่โผล่ออกมานั่งโยกตัวให้คุณเอเห็น ป้าสีรู้ข่าวว่าหลานชายเสียชีวิตก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ โทษตัวเองว่าพาหลานชายมาตาย

    เมื่อสอบสวนไปมาก็ได้ความว่า สงสัยจะเป็นฝีมือของพี่เป้ อาจจะฆ่าพี่ชายแล้วพาแก้วหนีกลับบ้านต่างจังหวัด ตำรวจจึงทำการบุกไปตามพี่เป้ที่บ้านต่างจังหวัด และก็จับตัวได้ในเวลาไม่นานเท่าใดนัก แต่ปรากฏว่าจับได้แต่เพียงพี่เป้ ส่วนกอแก้วไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย จึงนำตัวพี่เป้ไปสอบสวน แต่พี่เป้ก็ไม่ยอมรับสารภาพว่าภรรยาอยู่ที่ไหน

    ในระหว่างนั้น คุณแม่เกิดเอะใจขึ้นมา จึงได้เปิดฝาโอ่งทั้งหมดดู ปรากฏว่าเจอศพของแก้วซุกอยู่ในโอ่งท้ายๆ ในลักษณะท่าทางเหมือนกัน ทางบ้านคุณเอจึงทำบุญบ้านยกใหญ่ ทิ้งผลไม้ดองทั้งหมด แล้วนำโอ่งที่ซุกศพทั้งสองใบไปทิ้ง

    ตำรวจนำศพทั้งสองไปชันสูตร ผลออกมาว่า พี่ชายมีแผลเหมือนโดนของแข็งทุบบริเวณท้ายทอย ส่วนแก้วเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ

    ในเวลาต่อมาพี่เป้จึงยอมรับสารภาพว่า ได้เอาหมอนกดที่หน้าของแก้วจนเสียชีวิต แล้วจับมัดมือมัดเท้า จากนั้นก็แอบดักรอพี่ชาย พอสบโอกาศก็ใช้ไม้ทุบเข้าที่ท้ายทอยจนสลบ จากนั้นก็จับมัดมือมัดเท้าแล้วหย่อนทั้งสองลงในโอ่งดอง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

25 พ.ค. 2562

เจ้าที่ยังเท


    เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งที่ภาคอีสาน ช่วงที่คุณดิวยังเป็นทหารเกณฑ์อยู่ ประมาณสี่ปีที่ผ่านมาหลังจากฝึกเสร็จก็ได้มีการขึ้นกองร้อย จนผ่านมาประมาณสองเดือน คุณดิวกับเพื่อนอีกคนมีชื่ออยู่ในทหารรับใช้ของนายทหารท่านหนึ่ง

    วันที่ไปรายงานตัว ได้มีคำสั่งลงมาว่า ให้ไปดูแลทำความสะอาดบ้านหลังหนึ่ง ที่อยู่ห่างออกไปจากค่าย ซึ่งจ่าจะเป็นคนขับรถไปส่งถึงหน้าบ้าน แต่เมื่อขับมาถึงปากซอย จ่าหักรถเข้าชิดข้างทางแล้วจอด จากนั้นก็หยิบกระดาษขึ้นมาเขียนอะไรสักอย่างลงไป

    คุณดิวกับเพื่อนอยู่ในอาการงงๆ แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไป ครู่ต่อมา จ่าก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นมาให้แล้วพูดว่า "อ่ะนี่ แผนที่" เมื่อคุณดิวรับมาดู ก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ "โอ้โห่"

    จากแผนที่ในกระดาษ บ้านหลังนั้นอยู่ห่างจากจุดที่คุณดิวอยู่ตอนนี้ประมาณสองกิโล ซึ่งลึกเข้าไปในซอย คุณดิวกับเพื่อนเดินเข้าไปในซอยกับสองคน สองข้างทางจะเป็นสวนสลับกับป่า แทบจะไม่มีบ้านเรือนอยู่เลย

    จนมาถึงหน้าบ้านของนายทหาร วินาทีที่คุณดิวเห็นตัวบ้าน รู้สึกใจมันล่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม เย็นสันหลังวาบจนขนตั้งชัน ลักษณะบ้านจะเป็นบ้านไม้ยกสูงทรงโบราณ หลังใหญ่และสภาพเก่าพอสมควร

    บริเวณรอบๆบ้านจะเป็นสนามหญ้าโล่งๆ มีต้นไม้ต้นใหญ่เพียงไม่กี่ต้น ถัดออกไปนอกเขตบริเวณบ้านจะเป็นป่ารกๆ เมื่อมองจากหน้าบ้าน ห้องน้ำจะอยู่ใต้ถุนบ้าน ฝั่งซ้ายมือจะเป็นโรงเก็บของ อยู่ติดๆกับตัวบ้าน

    คุณดิวกับเพื่อนเดินขึ้นบันไดที่อยู่หน้าบ้านไปชั้นบน เสียงขั้นบันไดไม้ลั่นดัง "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด.." คงเป็นเพราะมันมีอายุมากโขแล้ว จนมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน มียันต์แดงแปะอยู่เหนือประตูหนึ่งผืน เก่าจนหยากไย่จับระโยงระยางไปมา ดูๆแล้วก็ให้ความรู้สึกเข้มขลังดี

    ที่ประตูมีโซ่เส้นใหญ่คล้องไว้กับวงกบประตู คุณดิวไขกุญแจแล้วผลักประตูไม้บานเก่าๆเข้าไป "แอ๊ดดดดดด ดดด ด แก๊กๆๆๆ"

    มีกลิ่นอับจางๆลอยฝุ่งไปทั่ว อาจจะเป็นกลิ่นของเนื้อไม้ที่เก่ามากแล้ว ในตัวบ้านจะเป็นลานกว้างๆ มีเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นอยู่ครบถ้วน ด้านซ้ายขวาและหน้า จะเป็นห้องที่ถูกโซ่คล้องไว้

    คุณดิวกับเพื่อนช่วยกันทำความสะอาดบนเรือนจนเสร็จ ก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอก กลับเข้าบ้านอีกทีก็เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ เมื่อเดินมาถึงตัวบ้านในเวลากลางคืนเช่นนี้ บรรยากาศมันช่างแตกต่างจากตอนกลางวันอย่างลิบลับ บ้านไม้หลังใหญ่ดูมืดทึบอึมครึมน่าขนลุก รอบๆบ้านก็ดูเงียบเชียบและวังเวง

    คุณดิวนึกโกรธตัวเองที่กลับเข้าบ้านในเวลามืดค่ำแบบนี้ น่าจะเปิดไฟทิ้งไว้สักดวงสองดวงก่อนออกไปข้างนอก ตอนนี้ได้แต่ข่มใจแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ช่วยกันลากฝูกมานอนกันตรงลานโล่งหน้าทีวี

    คุณดิวรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเวลากี่โมง ยังแปลกใจกับตัวเองว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาทำไม จึงข่มตานอนต่อ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเพื่อนกรนเบาๆ จนใกล้จะเคลิ้มหลับ แต่มีเสียงบางอย่างดึงสติของคุณดิวให้กลับมา

    ลักษณะเสียงมันเหมือนมีคนเดินอยู่ในบ้าน เพราะพื้นไม้มันลั่นเบาๆ "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด.." คุณดิวผงกหัวขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ แต่ก็แทบจะมองอะไรไม่ออก เพราะมันมืดเสียจนมองมือตัวเองไม่เห็น คิดในใจว่าหูคงจะฝาดไปเอง เพราะจำได้ว่าตนเองเป็นคนล็อกประตูหน้าบ้านเองกับมือ

    เสียงนั่นเงียบหายไปนาน จนคุณดิวแน่ใจว่าตนเองคงจะหูฝาด จึงล้มตัวลงนอนต่อ ในคือต่อมา คุณดิวกับเพื่อนปิดไฟนอนเวลาประมาณห้าทุ่ม แต่คุณดิวกลับนอนไม่หลับ จนเวลาล่วงมาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ

    หูได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเบาๆ คุณดิวพยายามตั้งใจฟัง มันคล้ายเสียงคนเคาะประตูเบาๆ "ก๊อกๆๆๆๆ" คุณดิวคิดในใจว่าใครมาเคาะประตูบ้านในเวลาแบบนี้ แต่เสียงเคาะนั้นมันกลับค่อยๆเคาะเลื่อนไปตามข้างฝาบ้าน "ก๊อกๆ..ก๊อกๆ..ก๊อกๆ" จนครบรอบบ้านแล้วกลับมาเคาะอยู่หน้าประตูเหมือนเดิม

    คุณดิวขนลุกตั้งไปทั้งตัว คิดในใจว่ารอบๆบ้านมันไม่ได้มีระเบียงให้ยืน แล้วมันเคาะได้ยังไง ถ้าจะมีคนเคาะแบบนั้นได้ก็ต้องเป็นคนที่มีมือยาวกว่าสามเมตร หรือขายาวมากๆ แต่ถ้ามีจริงมันก็คงจะไม่ใช่คน คุณดิวยิ่งคิดยิ่งทำให้จิตตกเรื่อยๆ

    พยายามใช้เท้าเขี่ยเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆยังไงมันก็ไม่ยอมตื่น เอาแต่นอนกรนตั้งแต่ปิดไฟ หรืออาจจะเป็นเจ้าที่ก็ได้ ท่านอาจจะแค่มาเตือน เพราะตั้งแต่ที่คุณดิวเข้ามาที่นี่ยังไม่ได้ไหว้เจ้าที่เลย

    แต่ยังไงซะ นอนมืดๆแบบนี้มันหลอนเกินไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงลุกขึ้น เพื่อจะเดินไปกดสวิทช์ไฟที่อยู่ตรงเสากลางบ้าน แต่พอเดินจนใกล้จะถึง ห่างจากเสาประมาณสองก้าว คุณดิวสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง อยู่แถวๆเสากลางบ้าน

    จึงได้ลองเพ่งสายตาดูดีๆ ก็พอจะมองออกว่ามันคือผู้ชายกำลังนั่งพิงเสาโดยหันข้างให้ ใส่เสื้อสีเขียว ภาพที่เห็นมันทำให้คุณดิวรู้สึกเย็นวูบวาบเหมือนคนจะเป็นไข้ ตัวแข็งก้าวขาไม่ออกเพราะความกลัว ลมหายใจขาดเป็นช่วงๆ คล้ายคนใกล้จะเป็นลม ได้แต่ยืนจ้องสิ่งนั้นอยู่นานพอสมควร

    แต่ก็ยังพยายามปลอบใจตัวเองว่าอาจจะมองผิดไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมันมืดมาก ยากที่จะมองอะไรออก แต่กลับมีเสียงเหมือนคนหายใจหอบเบาๆ หลุดออกมาจากผู้ชายคนนั้น "ฟืดด..ฟืดด..ฟืดด.."  สักพักร่างนั่นมันค่อยๆเลือนหายไปทีละนิด

    คุณดิวรีบดึงสติให้กลับมา เอื้อมมือไปกดสวิทช์ไฟ หลอดนีออนเก่าๆกระพริบอยู่ประมาณสองถึงสามที พร้อมเปล่งเสียงแปลกๆเหมือนมีอะไรสักอย่างช็อตอยู่ข้างใน ก่อนที่มันจะส่องสว่างให้แก่ลานกว้างนี้ คุณดิวยืนมองซ้ายมองขวาด้วยอาการตัวสั่น หาผู้ชายคนนั้นอยู่ครู่ใหญ่

    คิดในใจว่าเค้าเป็นใครกันแน่ เจ้าที่หรือผีตายโหง ก็อาจเป็นไปได้ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าบ้านที่ไม่มีคนอยู่นานๆ ผีหรือวิญญาณเร่รอนจะเข้ามาสิงสถิต คืนนั้นคุณดิวต้องเปิดไฟนอนทั้งคืน เริ่มไม่ไว้ใจในอะไรต่างๆที่อยู่รอบตัว

    วันรุ่งขึ้น คุณดิวยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง กลัวเพื่อนจะว่าคุณดิวขี้ขลาดกลัวผีจนจิตหลอนไปเอง ตกกลางคืน คุณดิวจึงกินยาแก้แพ้อากาศไปสามเม็ด กะให้หัวถึงหมอนแล้วหลับสนิทเลย

    และก็ได้หลับจริงๆ แต่คนที่ซวยในคืนนั้นกลับเป็นเพื่อนเสียเอง รุ่งเช้าเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ปิดไฟ เพื่อนเสียบหูฟังแล้วนอนดูหนังในมือถือ จนเวลาประมาณเที่ยงคืน เกิดรู้สึกคอแห้งหิวน้ำ จึงเดินไปกินน้ำในกระติกที่วางอยู่ข้างทีวี

    จังหวะที่หันตัวกลับ ปรากฏว่าเจอเข้ากับผู้หญิงใส่ชุดคลุมท้อง ยืนอยู่กลางบ้าน เพื่อนหยุดชะงักทันที ยืนอึ้งกับภาพที่อยู่ตรงนั้น เป็นผู้หญิงผมยาว แต่ใบหน้าและลำตัวดำมาก เหมือนกับว่าเอาขี้เขม่ามาทายังไงยังงั้น

    เห็นเพียงแค่ลูกตาโตสีขาวขุ่น ที่จ้องมองเพื่อนปานจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้ เธอคนนั้นยกมือขึ้นแล้วชี้หน้า พร้อมกับพูดเสียงเย็นๆแต่ดุดันว่า "ที่นี่ของกู! ออกไป!!"

    เพื่อนคิดในใจว่าเกิดเป็นชายชาติทหารอกสามศอก จะกลัวอะไรกับผู้หญิง ถึงจะเป็นผีก็เถอะ เคยสาบทสาบานไว้แล้วว่าจะไม่กลัวผู้หญิงคนไหน นอกจากแม่กับเมีย เพื่อนยืนนิ่งคุมเชิงไว้ก่อน แต่ก็ระวังตัวในเวลาเดียวกัน สักพักใหญ่ๆ เธอคนนั้นก็หายไป เหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

    หลังจากที่คุณดิวได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อน จึงได้กดมือถือโทรหาจ่าทันที

    คุณดิว : จ่า พวกผมอยู่ไม่ได้แล้วนะ นี่ขนาดแค่สามคืนเอง รู้เปล่าว่าพวกผมเจอกับอะไรบ้าง
    จ่า : พวกเอ็งคิดไปเองเปล่าวะ
    คุณดิว : อ่าวงั้นจ่ามานอนกับพวกผมมั้ย
    จ่า : เอ่อๆๆ งั้นเอางี้ เดี๋ยวกูจะนิมนต์พระไปตั้งศาลพระภูมิให้ก็แล้วกัน

    จากวันนั้น คุณดิวกับเพื่อนก็ได้กลับไปนอนที่กองร้อยก่อน และในระหว่างนั้น จ่าก็ได้นิมนต์พระมาตั้งศาลพระภูมิให้แก่บ้านหลังนั้น เมื่อเสร็จแล้วจ่าก็ให้คุณดิวกับเพื่อนเข้ามาดูแลบ้านหลังนี้อีกครั้ง

    ตอนที่กลับมายังบ้านหลังนี้ คุณดิวรู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะที่เห็นศาลพระภูมิตั้งอยู่กลางลานหญ้าหน้าบ้าน เวลาประมาณสามทุ่มในวันเดียวกัน คุณดิวเดินลงมาเข้าห้องน้ำที่ใต้ถุนบ้าน ในจังหวะที่กำลังนั่งปลดทุกข์อยู่ คุณดิวได้ยินเสียง "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด.." เบาๆ

    คล้ายกับว่ามีคนเดินไปมาอยู่บนบ้าน แต่ในขณะเดียวกัน คุณดิวก็ได้ยินเสียงเพื่อนคุยโทรศัพท์อยู่แถวๆหน้าบ้าน ทำให้รู้สึกเอะใจขึ้นมาว่า งั้นใครกันที่เดินอยู่บนบ้าน จึงลองมองขึ้นไปข้างบน

    แผ่นไม้กระดานมันไม่ได้ชิดติดกันมากนัก จึงพอที่จะมองผ่านซี่ของไม้ขึ้นไปดูได้ ปรากฏว่าคุณดิวเห็นเหมือนมีเงาของใครสักคน เดินวนไปมาอยู่ด้านบน คุณดิวพยายามคิดไปด้วยว่า ห้องที่ตรงกับห้องน้ำนี้ น่าจะเป็นห้องนอนที่อยู่ทางฝั่งหลังของบ้าน หรือก็คือหลังทีวี

    ซึ่งห้องนั้นมันมีโซ่คล้องไว้อยู่ก่อนแล้ว ไม่น่าจะมีใครเข้าไปข้างในได้ ไม่เช่นนั้น คนที่เดินไปมาอยู่ด้านบนนี้ ก็ต้องอยู่ในห้องนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว

    คุณดิวรีบก้มหน้าลงทันที ความกลัวความหวาดระแวงเริ่มโหมเข้าใส่อีกครั้ง พยายามรีบเร่งทำธุระให้เสร็จ ระหว่างนั้น เสียงเดินด้านบนก็เงียบหายไป ทำให้คุณดิวหยุดชะงักไปด้วย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

    คิดในใจว่า ทำไมสิ่งที่อยู่ด้านบนถึงหยุดเดิน หรือมันรู้แล้วว่าเราอยู่ในห้องน้ำข้างล่างนี่ งั้นตอนนี้มันคงกำลังมองลอดซี่ไม้ลงมาดูเราอยู่แน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งแทบบ้า คุณดิวรีบทำธุระให้เสร็จ แล้ววิ่งพรวดพราดออกจากห้องน้ำทันที

    แต่คืนนั้นคุณดิวกับเพื่อนก็ไม่ได้พบเจออะไรแปลกๆ วันต่อมา หลังจากกินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้ว คุณดิวก็มานอนเล่นมือถือบนฝูกหน้าทีวีปกติ จนเวลาล่วงมาถึงห้าทุ่ม หูของคุณดิวได้ยินเสียง "โพละ!! ตุบ!!"

    ลักษณะเหมือนของอะไรบางอย่างแตก คุณดิวหยุดฟัง แต่เสียงมันก็ไม่ได้ดังขึ้นอีก ด้วยความสงสัย คุณดิวกับเพื่อนจึงลุกขึ้นหาที่มาของเสียง เหมือนว่ามันจะดังมาจากแถวๆหน้าบ้าน

    จึงลองเดินออกไปดู แต่ก็ต้องใจหายวูบ ความมึนงงต่างๆถาโถมเข้าใส่เรื่อยๆ เพราะศาลพระภูมิที่เพิ่งจะตั้งไปไม่กี่วันมานี้ล้มกองอยู่กับพื้น เหมือนกับว่าโดนอะไรสักอย่างชน หรือคนมาดันให้ล้ม คุณดิวหันไปบอกกับเพื่อนทันทีว่า "เฮ้ย!! ท่าไม่ดีละ คืนนี้เปิดไฟนอนอีกคืนละกัน"

    และในคืนนั้นเอง คุณดิวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาเคาะอยู่รอบบ้าน แต่คราวนี้มีเสียงผู้ชายหัวเราะไปด้วย "หึๆ..หึๆ" จับจุดไม่ได้ว่าเสียงมาจากทางไหน

    คุณดิวนอนตัวแข็งทื่อ คิดจะเอาเท้าเขี่ยเพื่อนแต่กลับขยับตัวไม่ได้ อาจเป็นเพราะความกลัว ได้แต่นอนตัวสั่นตาแข็งอยู่แบบนั้น

    สักพักต่อมา คุณดิวมีความรู้สึกว่าฟูกที่นอนแถวๆข้างลำตัวมันยวบลง คล้ายมีคนเหยียบอยู่ แต่คุณดิวก็เห็นเพียงแค่ความว่างเปล่า สักพักมันก็ยวบลงอีกข้าง พร้อมกับได้กลิ่นเหม็นเน่าของอะไรบางอย่างจางๆ

    คุณดิวเกร็งตัวจนแทบจะหายใจไม่ออก เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวสุดขีด อยากจะวิ่งหนีออกจากบ้านหลังนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด

    แต่อยู่ๆ คุณดิวก็ได้ยินเสียงเพื่อนพูดขึ้นว่า "เฮ้ย!! สวดมนต์" เสียงของเพื่อนเหมือนเสียงจากสวรรค์ มันทำให้หลุดจากอาการตัวเกร็ง คุณดิวหอบหายใจถี่ๆประมาณอึดใจ แล้วยกมือขึ้นพนมท่องอิติปิโส

    แต่เมื่อท่องได้แค่ว่า "อิติปีโส..." ปรากฏว่ามีเสียงชายคนหนึ่ง พูดแทรกขึ้นมาว่า "ตอนนั้น..กูก็ท่องแบบนี้แหละ..แล้วก็ไม่รอด" น้ำเสียงมันเย็นยะเยือกไปจนถึงขั้วหัวใจ

    ความอดทนอดกลั้นมาถึงขีดสุด คุณดิวกับเพื่อนวิ่งเตลิดออกจากบ้านทันที ร้องโวยวายเหมือนคนสติแตก ไปนั่งหอบกันอยู่หน้าร้านมินิมาร์ทหน้าปากซอย

    เช้าวันต่อมา คุณดิวรีบโทรหาจ่าทันที และเล่าให้จ่าฟังเรื่องศาลพระภูมิ แต่จ่าก็ยังไม่เชื่อ จนจ่าได้เข้ามาดูด้วยตาของตัวเอง แต่ยังไม่วายถามกลับพวกคุณดิวว่า มีใครพิเรนทร์มาถีบศาลหรือเปล่า

    คุณดิวจึงถามจ่าถึงประวัติของบ้านหลังนี้ แต่จ่าก็ไม่ยอมบอกอะไร คุณดิวเลยพูดว่า "งั้นเอางี้ ถ้าจ่าคิดว่ามันไม่มีอะไร คือนี้จ่านอนที่นี่เลย ถ้าจ่าอยู่ได้ถึงพรุ่งนี้ เงินเดือนของผมทั้งเดือน ผมให้จ่าหมดเลย" แต่จ่าก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว

    ส่วนพวกคุณดิวก็ยืนยันว่ายังไงก็จะไม่อยู่ และบอกกับจ่าว่า จะย้ายไปที่ไหนก็ได้ แต่ที่นี่ยังไงก็จะไม่อยู่ จ่าพูดขึ้นมาเบาๆเหมือนบ่นว่า "กูว่าแล้ว"

หนีไม่พ้น


     เมื่อคุณกอล์ฟมีอาชีพเป็นนักจัดรายการวิทยุ ยุ และรับเป็นพิธีกรในงานอีเว้นท์ต่างๆ เมื่อประมาณห้าปีที่ผ่านมาที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกําแพงเพชร ช่วงนั้นช่องของคุณกอล์ฟได้สิทธิ์ในการถ่ายฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลการหนึ่ง

    หน้าที่ของคุณกอล์ฟคือต้องไปเป็นพิธีกรให้อีเว้นท์นี้ โดยปกติแล้ว ทางฝ่ายจัดจะเป็นคนจัดการหารถและที่พักไว้ให้ทีม แต่บังเอิญวันนั้น คุณกอล์ฟรู้อยู่ก่อนแล้วว่าโรงแรมที่ทางฝ่ายจัดได้จัดหาไว้ให้นั้น มีประวัติค่อนข้างเยอะ ทำให้คุณกอล์ฟไม่อยากที่จะเข้าพักในโรงแรมแห่งนั้น

    เมื่อถึงวันงาน คุณกอล์ฟสแตนบายในงานจนบอลจบประมาณสี่ทุ่ม และต้องอยู่เคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จก่อน กินเวลาไปจนถึงห้าทุ่ม รุ่นพี่ที่เคยรู้จักกันคนหนึ่ง รู้ว่าคุณกอล์ฟได้มาทำอีเว้นท์ที่นี่ จึงได้ชวนคุณกอล์ฟออกไปดื่มต่อ

    คุณกอล์ฟก็คิดในใจว่าเข้าทางพอดี คืนนี้จะได้ไม่ต้องนอนที่โรงแรม จึงตกลงออกไปด้วยกัน และมีช่างเทคนิคในทีมตามไปด้วยหนึ่งคน จนเวลาล่วงไปถึงตีหนึ่ง แต่พอดีว่าช่างเทคนิคได้ไปคุยถูกคอกับสาวเสริฟ และได้ออกไปต่อกันที่อื่นสองคน โดยขอเอารถที่นั่งมาด้วยกันไปด้วย

    เท่ากับว่าเหลือคุณกอล์ฟกับรุ่นพี่สองคน รุ่นพี่จึงอาสาไปส่ง แต่ตัวคุณกอล์ฟเองไม่ได้อยากนอนโรงแรมที่ทางฝ่ายจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว จึงขอวานให้รุ่นพี่ไปส่งอีกโรงแรมหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก

    เมื่อไปถึงโรงแรมอีกแห่ง คุณกอล์ฟรีบตรงเข้าไปขอเปิดห้องทันที รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปราะนึง ที่หลุดมาจากโรงแรมผีเฮี้ยนตรงนั้นได้ แต่เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ โรงแรมแห่งนี้ก็น่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว

    ที่ตั้งของโรงแรมจะอยู่สุดซอย บริเวณโดยรอบแทบจะไม่มีบ้านเรือนเลยสักหลัง ปลูกต้นไม่ต้นใหญ่ไว้หลายต้นจบแทบจะไม่เหลือที่โล่ง ถ้าตอนกลางวันมันคงจะเป็นพื้นที่ที่ร่มรื่นและสวยงามอยู่ไม่น้อย แต่ในยามกลางคืนแบบนี้บรรยากาศมันเป็นคนละเรื่องกันเลย

    ลักษณะของโรงแรมจะเป็นปูนที่ตกแต่งด้วยไม้ สภาพยังไม่เก่ามากแต่ก็ไม่ใหม่ มีสี่ชั้น เปิดไฟสีส้มๆไว้เพียงไม่กี่ดวง ห้องโถงใหญ่ถูกตกแต่งด้วยไม้ทั้งหมด ดูๆแล้วก็น่าขนลุกพิลึก

    เมื่อได้ห้องแล้ว คุณกอล์ฟเดินถือกุญแจขึ้นไปบนชั้นสี่ บรรยากาศด้านในจะดูสลัวๆ แม้ว่าจะมีไฟดวงเล็กๆที่ติดอยู่ข้างฝาผนังช่วยส่องสว่างให้ แต่มันก็ยังคงดูมืดทึบเกินไปอยู่ดี และตั้งแต่ที่เข้ามาในโรงแรม คุณกอล์ฟได้ยินเพียงแค่เสียงฝีเท้าของตัวเอง ย่ำลงบนพื้นไม้ดัง "ตุ๊บ..ตุ๊บ..ตุ๊บ" ที่นี่มันช่างดูไร้ชีวิตชีวา เหมือนว่าตนเองได้เข้าพักในโรงแรมแห่งนี้เพียงคนเดียว

    คุณกอล์ฟมายืนอยู่หน้าห้องสุดทางเดิน ประตูทำด้วยไม้อย่างดีมีลวดลายสวยงาม พยายามมองเลขห้องจากกุญแจ ว่าตนเองมาถูกห้องหรือเปล่า พรางคิดในใจว่าทำไมที่นี่ต้องใช้ไฟสีส้มด้วย มันดูสวยกว่าไฟสีขาวก็จริง แต่มันทำให้ดูมืดทึบกว่า และไหนจะมีโคมไฟที่ติดอยู่ข้างฝาผนังแค่ไม่กี่ดวง ทำให้แทบจะมองไม่เห็นประตูห้องที่อยู่สุดทางห้องนี้เลย

    คุณกอล์ฟเปิดประตูแล้วก้าวขาเข้าไปในห้อง กลิ่นอับรุนแรงพุ่งปะทะจมูกจนต้องเอามือขึ้นมาป้องจมูกไว้ พร้อมๆกับควานหาสวิทช์ไฟแถวๆข้างฝา เมื่อไฟติดส่องให้เห็นสภาพของห้อง มีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่อย่าง ด้านขวามือจะเป็นทีวี ถัดขึ้นไปจะเป็นเตียงไม้หลังใหญ่ ถัดไปอีกจะเป็นประตูออกไปนอกระเบียง ส่วนด้านซ้ายมือจะมีตู้เสื้อผ้าไม้หลังใหญ่ และถัดไปจะเป็นประตูห้องน้ำ ซึ่งจะตรงกับประตูทางเข้าห้องพอดี

    ภายในห้องมีฝุ่นจับเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้เยอะมากจนเกินจะรับได้ คุณกอล์ฟไม่คิดอะไรมาก เพราะนี่มันก็ดึกมากแล้ว จึงเดินตรงเข้าอาบน้ำทันที เสร็จแล้วก็ปิดไฟนอนเปิดทีวีดู พร้อมกับเล่นมือถือไปด้วย

    แต่ในระหว่างที่คุณกอล์ฟกำลังนอนเล่นมือถืออยู่เพลินๆ หูมันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดัง "กึกๆ" เสียงมันเบามากจนแยกไม่ออกว่าต้นเสียงมาจากที่ไหน คิดว่ามันคงจะมาจากห้องข้างๆ จนมันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ "กึกๆ..กึกๆ"

    คราวนี้แน่ใจแล้วว่าเสียงมันดังอยู่ในห้องนี้ และน่าจะเป็นเสียงตู้ไม้หลังใหญ่ที่อยู่ปลายเตียง "กึกๆ..กึกๆ" คุณกอล์ฟเริ่มสงสัย คิดในใจว่าเป็นเพราะอาการเมาหรือเปล่า แต่ก็แย้งในใจว่าดื่มไปไม่เยอะเท่าไหร่ และตอนนี้ก็ยังรู้สึกตัวอยู่

    คุณกอล์ฟค่อยๆละสายตาจากมือถือ แล้วมองไปยังตู้เสื้อผ้าปลายเตียง ปรากฏว่าตู้มันค่อยๆแง้มเปิดออก "แอ๊ดดดดด ดด ด" พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวขาลงมาจากในตู้ เธอใส่เสื้อกล้ามสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ขาสั้น หน้าตาสะสวย ผิวสีขาวออกซีดๆ

    คุณกอล์ฟตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ รู้สึกขนลุกตั้งไปทั้งตัว ขยับร่างกายไม่ได้เพราะกำลังอยู่ในอาการช็อค เธอคนนั้นค่อยๆเดินผ่านปลายเท้าของคุณกอล์ฟไปทางขวาอย่างโซซัดโซเซ เหมือนคนอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ต้องเรียกว่ากำลังพยุงร่างกายของตัวเองมากกว่า

    เธอมาหยุดอยู่ทางขวามือของคุณกอล์ฟ โดยหันหน้าเข้าฝาผนัง ตอนนี้คุณกอล์ฟรู้สึกจุกที่หน้าอก เพิ่งรู้ว่าการหายใจเข้าออกมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน อยากร้องตะโกนออกมาดังๆว่าช่วยด้วย แต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่ปาก

    ไม่กี่อึดใจ เธอค่อยๆหันหน้ามาทางคุณกอล์ฟช้าๆ ทำให้ได้เห็นใบหน้าของเธอแบบชัดๆอีกครั้ง ใบหน้าซีกคล้ำ นัยตาเศร้าหมองไร้แววของคนมีชีวิต แต่บางครั้งเหมือนกับว่ามีความโกรธแค้นอาฆาตแฝงอยู่ด้วย ขยับริมฝีปากซีดๆเล็กน้อย เหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง

    ความอดทนของคุณกอล์ฟมาถึงขีดสุด จนอารมณ์หลุดจากการควบคุม ดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง กระโดดก้าวเดียวไปถึงหน้าประตู แล้วกระชากมันเปิดออกอย่างแรง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นั่งตัวสั่นอยู่บนโชฟา ในห้องโถงใหญ่หน้าเคาน์เตอร์

    พนักงานต้อนรับสองคนที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ในตอนแรกกลับหายไป ทำให้ห้องโถงใหญ่ในเวลานี้ดูเงียบเชียบและวังเวงกว่าตอนที่เข้ามาครั้งแรกมากทีเดียว เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนหน้าหงุดหงิด

    เมื่อคลายความหวาดกลัวลงบ้างแล้ว คุณกอล์ฟจึงหยิบมือถือขึ้นมาดู และตั้งใจว่าจะขอนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า ทบทวนว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี จะโทรไปหาเพื่อนก็กลัวไปขัดจังหวะความสุขของเพื่อน

    สักพักใหญ่ๆมีผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะการแต่งตัวประมาณเสี่ยโรงตี๋ เดินโผล่มาจากตรงไหนไม่ทราบได้ มานั่งอยู่บนโชฟาข้างๆคุณกอล์ฟอย่างเงียบๆ ชายคนนั้นเอ่ยปากถามคุณกอล์ฟว่า "ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะครับพี่"

    คุณกอล์ฟตอบออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยว่า "เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกครับ" อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งจะประสบมาหรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้คุณกอล์ฟรู้สึกไม่ค่อยอยากคุยด้วยเท่าไหร่นัก

    ชายคนนั้นพูดขึ้นว่า "พี่รู้มั้ย..คนเราทำอะไรซ้ำๆเนี่ย..มันเจ็บปวดแล้วก็ทรมารมากนะ" ด้วยความมึนงงและแปลกใจ คุณกอล์ฟจึงหันไปมอง ชายคนนั้นพูดขึ้นอีกว่า "พี่รู้มั้ย..ผมรักผู้หญิงคนนึงมาก..มากจนผมไม่คิดว่าเค้าจะหักหลังผมได้"

    สิ้นเสียงคำพูด ชายโรงตี๋ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ควักเอาแท่งดำๆออกมา แล้วยกมันขึ้นมาระดับเดียวกับศีรษะ และเกิดเสียงดังลั่นคล้ายฟ้าฝ่า "เปรี้ยง!!"

    ภาพที่เห็นทำให้คุณกอล์ฟสติหลุดรอบสอง ร้องตะโกนโวยวาย กระโดดพุ่งตัวออกห่างจนแทบจะหน้าทิ่ม แล้วหันกลับไปดูเพราะความหวาดกลัวปนความอยากรู้ ผู้ชายคนนั้นนอนกองอยู่กับพื้น ในลักษณะนอนตะแคงข้าง หันหน้ามาทางคุณกอล์ฟ

    ทำให้คุณกอล์ฟมองเห็นว่าเค้าจ้องมองมาด้วยดวงตาที่อาฆาตแค้น เลือดสดๆค่อยๆไหลออกจากศีรษะของชายคนนั้น ฉาบพื้นไม้จนเป็นสีน้ำตาลเข้ม คุณกอล์ฟอยากตะโกนออกมาดังๆอีกครั้ง แต่ทำได้เพียงแค่อ้าปากค้าง เนื้อตัวสั่นเทาเพราะความหวาดกลัว

    อึดใจต่อมา พนักงานหญิงสองคนก็วิ่งออกมาดู และร้องถามคุณกอล์ฟว่า "พี่!! พี่เป็นอะไร" คุณกอล์ฟพูดอะไรไม่ออก เหมือนคนที่อยู่ในอาการช็อคเต็มที่ ทำได้เพียงแค่ชี้ไปทางศพของผู้ชายคนนั้น

    แต่พนักงานทั้งสองคนก็ต้องทำหน้ามึนงง รวมทั้งคุณกอล์ฟด้วย เพราะตรงจุดนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากชุดโชฟา คุณกอล์ฟอึ้งไปพักใหญ่ๆ ทบทวนว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่คิดจนหัวแทบระเบิดก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

    จึงหันไปถามกับพนักงานด้วยเสียงสั่นๆว่า "น้อง! นี่มันเกิดอะไรขึ้น" แต่พนักงานหญิงทั้งสองกลับยืนนิ่ง ไม่ยอมพูดหรือตอบอะไรคุณกอล์ฟบ้างเลย คล้ายกับเข้าใจเหตุการณ์แล้ว แต่พูดออกมาไม่ได้

    สักพักมีลุงยามคนหนึ่งเดินเข้ามาหา คงเป็นเพราะได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวายเมื่อครู่ ส่วนคุณกอล์ฟเองก็เริ่มหมดความอดทนอดกลั้น จึงซักไซ้เอาคำตอบมาให้ได้

    ได้ความว่า ก่อนหน้านี้ประมาณสามอาทิตย์ที่ผ่านมา มีชายหญิงคู่หนึ่งพักอยู่ในห้องที่คุณกอล์ฟขึ้นไปพัก ฝ่ายชายได้ฆ่าฝ่ายหญิง แล้วยัดศพไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นตนเองก็ลงมายิงตัวตายที่โชฟาหน้าเคาร์เตอร์ กว่าจะพบศพของฝ่ายหญิงก็เข้าช่วงเที่ยงของอีกวัน

    และตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ห้องนี้ก็ไม่ได้เปิดให้ใครเข้าพักอีกเลย แต่อาจเป็นความโชคร้ายของคุณกอล์ฟ ที่พนักงานเผลอหยิบกุญแจห้องนี้ให้โดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก หรืออาจจะอยากให้คุณกอล์ฟเข้าไปลองของเล่นๆดู และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด