หน้าเว็บ
▼
หน้าเว็บ
▼
HOME
▼
30 มิ.ย. 2562
"เสน่ห์ยาแฝด"
ตามชื่อเรื่องเลยครับ "เสน่ห์ยาแฝด" เรื่องราวของมนต์ดำไสยศาสตร์ จากกระทู้พันทิป เรื่องสยองของบ้านป่า "เสน่ห์ยาแฝด" โดยสมาชิกพันทิป เสียงนกแสก ใครที่ไปยุ่งเกี่ยวกับมนต์ดำไสยศาสตร์ ย่อมลงเอยไม่ค่อยดีครับลองไปติดตามเรื่องราวของ "เสน่ห์ยาแฝด" กันเลยครับ
คุณเชื่อเรื่องมนต์ดำมั้ย มีมนต์ดำก็มีมนต์ขาว เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่เจอมนต์ดำที่เกือบทำให้ครอบครัวพังทลาย
ผมมีเรื่องของเพื่อนคนนึงจะมาเล่าให้ฟัง สมมุติว่าเพื่อนชื่อ "จอมใจ" เมื่อปลายปีที่แล้ว จอมใจได้เดินทางไปเยี่ยมแม่สามีที่ทางภาคอีสาน
โดนมีสามมีของนางและลูกอีก 2 คน ลุกชายอายุ12 ส่วนลูกสาวผู้น้องอายุ 10 ขวบ หมู่บ้านของสามีนางเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ล้อมไปด้วยทุ่งนาแล้วป่าเขา
ทางเข้าหมู่บ้านมีทางเข้าทางเดียวโดยมีแม่น้ำกั้นเป็นเขตกับทางใหญ่น้ำท่วมทุกปี หลังหมู่บ้านเป็นภูเขาสูง แต่หมู่บ้านไม่ได้กันดาลอย่าที่ทุกคนคิดนะ เพราะบ้านของคนในหมู่บ้านต่างใหญ่โตจากการทำอาชีพสวนยางที่ราคาดีในสมัยก่อน และบางหลังลูกสาวก็ได้สามีฝรั่ง พ่อแม่สามีของจอมก็ดีมากรักหลานรักเธอเป็นที่สุดเพราะจอมเองก็เป็นคนเอาการเอางาน แม่บ้านแม่เรือนจนเอาชนะใจครอบครัวสามี การกลับครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกแต่ก็เป็นครั้งแรกที่เจอกับเหตุการณ์ที่จอมและครอบครัวจะไม่มีวันลืมเลยที่เดียว
วันที่ 28 ธันวาคม จอมใจและควอบครัวเดินทางไปที่บ้านสามีกว่าจะถึงก็ดึกคื่นเมื่อมาถึงพวกเธอก็เข้านอน เพราะเหนื่อยกันทุกคน คื่นแรกจอมฝันว่า
มีชายนุ่งขาวคนนึงมาบอกเธอว่า ครอบครัวของเธอจะได้รับเคราะห์หนักเสาบ้านที่ค้ำยันบ้านจะโดนปลวกแทะแต่จงตั้งสติดีๆนะ จากนั้นก็มีแสงสีขาวจ้าทำให้เธอตื่น แสงนั้นคือสามีเธอเปิดหน้าต่าง เช้าพอดี ไม่ใช่เช้าสายแล้วต่างหาก ชีวิตที่ชนบทอากาสที่แสนดียามหน้าหนาวมันช่างน่าหลงไหลชะนี่กระไร
ในเช้าวันนี้ครอบครัวของเธอไปวัดทำบุญ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของครอบครัวสามี ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีและมีความสุข ตกกลางคืนสามีของเธอก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆที่กลับบ้านเช่นกัน ประมาณตี 3 กว่าสามีเธอกลับมาเขาก็เข้านอนด้วยพิษสุรา กลิ่นเหล้าเต็มห้องมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย แต่เธอสังเกตว่ากลิ่นเหล้านั้นฉุนมาก ปนกับกลิ่นสาบจางๆ แต่ก็คงเป็นกลิ่นเหล้าที่ชาวบ้านทำขึ้นเองกกระมัง รุ่งสางสามีเธอยังนอนหลับอยู่เธอและแม่สามีไปทำบุญที่วัด กลับบ้านสามีของเธอก็ยังไม่ตื่น แต่จอมก็ไม่ได้ปลุกเพราะสามีน่าจะยังไม่สร่างจากพิษสุรา เที่ยงวันกว่าสามีของเธอจะตื่น จอมเข้าไปถามว่าจะกินอะไรหรือปล่าว แต่สามีบอกว่ายังไม่หิว วันนี้จะไปคุยกับเพื่อนที่ท้ายหมู่บ้านชวนกันไว้เมื่อคืน จอมก็ไม่ขัดอะไร พอค่ำสามีของนางก็ไปหาเพื่อน และกลับมาตอนตี 3 กว่า เป็นอย่างนี้จนถึงวันที่เธอต้องกลับกรุงเทพ วันที่กลับเธอเป็นคนที่ขัลรถเพราะสามีนางหลับตลอดทางเป็นเวลาเกือบอาทิตย์ที่อยู่นั้นสามีนางกินเหล้าทุกวันแทบไม่ได้กินข้าวกับพ่อแม่เลย กลับถึงกรุงเทพฯ สามีของเธอชอบตื่นสายไปทำงานแทบไม่ทัน
กลางดึกคืนนึกจอมตื่นไปเจ้าห้องน้ำตอนนที่จะกลับมานอน นางเห็นเงาใครบางคนยืนมองสามีนางอยู่ จอมตกใจรีบเปิดไฟแต่กลับมีแต่อากาศธาตุไร้เงาไร้เจ้าของเงา ทุกคืนสามีของจอมจะละเมอ จอมได้ยินเบาๆ "ชนแก้ว มาๆน้อ งสาวชนแก้ว" อย่างนี้ทุกคืน กลิ่นในห้องตอนนี้ก็อับๆสาบๆพิกล จอมสังเกตว่าขอบตาของสามีเธอดำยังกะหมีแพนด้า เหตุการณ์ประหลาด ก็เกิดขึ้นเมื่อลูกสาวของเธอมาบอกว่า เธอฝันว่าพ่ออยู่กับใครไม่รู้ไล่เราออกจากบ้าน
ลูกชายเธอก็เช่นกัน ฝันแบบเดียวกัน ทุกคืนจนลูกสาวเธอละเมอร้องไห้ทุกคืน กลิ่นในบ้านตอนนี้มันช่างอับและสาบจนบางครั้งต้องใช้สเปรย์ฉีดแต่กลิ่นนี้จะหายไปเมื่อสามีเธอไม่อยู่ แต่กลับชอบมีเรื่องประหลาดมาแทน เช่น ของตกเองบ้าง น้ำเปิดเองบ้าง หนักมากก็เวลาที่เธอนอนกลางวันมีคนมาถีบเธอตกจากเก้าอี้เอนหลัง ตกกลางคืนเหตุการณ์มันยิ่งหนัก สามีเริ่มมีอารมณ์ร้อนดุลูกไม่กินข้าว บอกว่าอาหารไม่อร่อย กินเข้าไปก็อ้วก อารมณ์ไม่ดี เวลาไปทำงานมันนอนหลับแม้แต่ในที่ประชุม เป็นแบบนี้อยู่เดือนๆเลยทีเดียว
พอเวลาผ่านไปสามีทีกลิ่นตัวที่สาบมากจนเธอต้องไปนอนหลับลูกสาวสามีจากอารมณ์ร้อนกลายเป็นเหม่อลอยผอมลงละเมอแบบเดิมและมีแต่บ่นว่าอยากกลับบ้านนั่งร้องไห้ ละเมอเรียกชื่อคนบางคน แต่จอมพยายามฟังก็ฟังไม่ออก วันนึงสามีร้องไห้เหมือนเด็กว่าจะกลับบ้านๆอย่างเดียว ไม่กินข้าว พูดคนเดียวจนลูกกลัว จนเธอต้องโทรหาพ่อแม่ของเธอและพ่อแม่ของสามี สรุปคือที่ 4 ท่านคาดว่าสามีโดนของ
สามีของจอมอาการหนักขึ้นทุกวัน เดือนมีนาคมทางบริษัทของสามีเธอให้สามีเธอลาพักร้อนเนื่องจากทำงานไม่ได้ ที่ไม่ไล่ออกเพราะเขาทำงานดึมาตลอดมีผลงานเยอะจึงมห้ลาพักร้อน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์ต่างมากมาย สามีบางวันก็ซึม บางวันก็โมโหร้าย ทำลายข้าวของ ลูกก็กลัวพ่อ พูดคนเดียว วันหนึงจอมแอบเข้าไปในห้องทำงานมีสมุดบันทึกเล่มนึง ในสมุดเขียนอะไรไม่รู้เป็นตัวอักษรคล้ายถาษาเขมร เป็นคำสั้นๆ สามีผอมลงมากร้องไห้อยากกลับบ้านตลอด จนจอมทนไม่ไหวโทรหาพ่อแม่สามีว่าจะพาพี่เขากลับไปหานะ จอมก็เก็บของ สามีอยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมากินข้าว ยิ้มแย้ม รีบเก็บของ เหมือนดีใจมากที่จะได้กลับบ้าน คืนที่ก่อนกลับ จอมฝันว่า มีชายแก่นุ่งขาวทั้งตัวคนเดียวกันที่ฝันเห็นก่อนที่สามีจะป่วย มาบอกว่า "ตั้งสตินะลูก ทำจิตให้แข็ง บุญลูกมาก กรรมก็มาก ตามติดตัว มารับพ่อพ่อจะไปด้วย" จอมสะดุ้งตื่น ติดถึงความฝันคนในฝันเป็นใคร จนเธอคิดได้ว่าที่บ้านพ่อแม่เธอมีเศียรครู เพราะแม่เธอเป็นครูนาฏศิลป์ เธอเองก็เคยครอบครู ก่อนกลับเธอกลับไปเอาสร้อยที่มีจี้เป็นเศียรครูเล็กๆ ติดตัวไปด้วย ระหว่างทางสามีบ่นว่าร้อนๆ ไม่มองมาที่จอมเลยขอไปนั่งหลังสุด รถจอมเป็นฟอจูนเนอร์ แววตาดูกลัวๆ ตลอด จนถึงบ้านจอมเอาสร้อยนั่นวางที่ห้องพระของบ้าน สามีบอกว่าจะไปหาเพื่อนนะและรีบไปเลย เธอปรึกษาพ่อแม่สามี ท่านบอกว่าพี่แกโดนของแต่ของนั้นมันต้องการอะไร เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ จอมนำสมุดเล่มนั่นให้พ่อแม่ดู พ่อที่พออ่านออกบ้านเพราะเป็นคนสุรินทร์บอกว่า มันเขียนว่า 'เนียง' พ่อว่ามันแปลว่า น้อง นาง ผู้หญิงอะไรแบบนี้ แต่สามีเขียนได้อย่างไรเพราะไม่รู้ภาษา และหน้าสุดท้ายเขียนว่า 'ไปหา โหยหา สุดดวงใจ สุดชีวิต ' แล้วก็มีลายมืออีกลายมือเขียนว่า ' เป็นของกู ทั้งเลือด เนื้อ ร่างกาย จิตวิญญาณ' จอมได้ยินก็ทรุดนั่งร้องไห้ ในใจถามแต่ว่า ใครกันทำแบบนี้ สามสีออกจากบ้านทุกวัน จนวันนึงน้องชายสามีและจอมก็แอบตามไปจนพบว่าสามีไม่ได้ไปหาเพื่อนแต่กลับไปที่ที่เค้าก่อสร้างอาคารอบต.ใหม่มีคนงานก่อสร้าง นั่งกินเหล้าสามีนั่งอยู่ข้างผู้หญิงคนนึง จอมเดินไปหาว่าจะพากลับบ้านแต่สามีจอมก็ด่าจอมและบอกว่า จะอยู่กลับน้อง จอมเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นคนงานพวกนั้นก็พากันเข้ามาห้าม จอมถามเธอว่า "ยิ้มทำอะไรผัวตรู" เธอตอบว่า"หนูไม่ได้ทำอะไรนะ พี่เค้ามาขอบหนูเอง " พวกคนงานก็ห้ามผู้หญิงคนนั้นว่าทำไมพูดแบบนั้น จอมจะเข้าไปตบผู้หญิงคนนั่นแต่มีคนงานผู้หญิงกับน้องสามีมาห้ามและพากลับบ้าน เธอถามป้าที่ห้ามว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครญาติป้าหรือ เธอบอกว่าไม่ใช่ เป็นคนงานเหนือนกันเพิ่งรู้จักกันไม่รู้เป็นใครมาจากไหน เหมือนกัน สามีจอมไม่กลับบ้านเลย 3 วันหายไปกับผู้หญิงคนนั้นที่ก่อสร้างก็บอกว่า "น้องมันบอกว่าลางานไม่รู้ไปไหน" ผ่านไปสามวันสามปีเธอกลับมาจะมาเก็บของโดยมีผู้หญิงคนนั่นตามมาด้วย พอมาถึงพ่อสามีกับน้องชายและอาชายก็เข้าจับตัวไว้ เอาไปขังในห้อง ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้คงหนีไปแล้วที่ก่อสร้างก็ไม่เห็น สามีก็ร้องโวยวาย "ปล่อยกู กูจะไปหาเมียกู" จอมได้แต่ร้องไห้ ถึงจะรู้ว่าสามีอาจจะโดนของแต่มันก็เจ็บ ดีที่ลูกไม่มาด้วยไปอยู่กับตายายถ้าลูกเห็นคงไม่ดี ที่บ้านขังสามีไว้ใช้โซ่ล่ามไว้เหมือนนักโทษ สามีอาละวาดทุกวัน ไม่กินข้าว วันต่อมาอาการหนักมาก นั่งตาขวาง พ่อสามีแกเป็นคนที่เคยรู้เห็นมาบ้าง แกบอกว่าทางนั้นเค้าปล่อยของมาตาม จอมกับแม่ไปปรึกษาพระอาจารย์ที่วัด ท่านบอกว่าที่ท่านมาศิษย์พี่ตอนนี้ท่านถือศีลไม่ได้เป็นพระอยู่จังหวัดหนึ่งติดแม่น้ำโขง ลงไปหาดูนะพาไอ้หนุ่มไปด้วย ท่านบอกว่าจอมมีของดีมาด้วยเอามาใส่ให้สามีนะ ท่านจะคุ้มครองเขาให้ พระอาจารย์ช่วยไม่ได้มากมันเกินกิจสงฆ์ จอมให้สามีสามีอารมณ์เย็นให้ จำจอมได้ทั้งบ้านเดินทางไปหาชีปะขาว ตามที่พระอาจารย์บอกทันที ขณะขับรถ สามีปวดท้องมาก มีโทรศัพท์มาที่เครื่องของเขา จอมรับเป็นเสียงผู้หญิง "ยิ้มเอาเค้าคืนมา ถ้าไม่งั้นใครก็ไม่ได้เค้าไปทั้งนั้น " จอมพลยายามถามทั้งด่าว่าจะทำอะไร แต่ปลายสายก็เอาแต่หัวเราะ สามีจอมถามจอมว่าเรายังไม่กลับกรุงเทพหรือ วันนี้วันที่ 5 มกราคมแล้วนะ จอมถามว่ามีว่าพี่จำอะไรไม่ได้เลยหรือ เขาตอบว่าจำไม่ได้ ตอนนี้สามีร้องไห้ปวดท้องมาก ขณะเดินทางจอมฝันว่าคนคนเดิมมาบอกว่า" รีบไปนะตอนนี้พ่อช่วยได้เท่าที่ช่วย กรรมใครกรรมมัน สติเค้ามาแค่ร่างกายจะทนไม่ไหว " จอมตื่นขึ้นเพราะสามีร้องโวยวาย ปวดท้อง บอกว่าจะไปหาเมียกู จอมมองไปที่คอสร้อยหายไปถามคนในรถว่าสร้อยไปไหน น้องชายบอกว่า ตอนนี้ที่พี่หลับพี่แกอวกเลยให้ยื่นหัวออกไปอวก สร้อยคงขาด ทุกคนจับสามีไว้ อาผู้ชายทนไม่ได้เลยใช้มือพวดไปที่ท้ายทอยจนสามีสลบไปจอมตกใจมากร้องไห้รถเข้าเขตตำบลที่หมายแล้ว
ตอนนี้จอมกลัวมาก ในรถไม่มีอะไรที่จะสู้กับพลังพวกนั้นได้เลย อากับน้องจับสามีไว้แน่น พ่อสามีขับรถส่วนจอมเอาแต่ร้องไห้เมื่อเห็นสามีตนเอง ทุกข์ทรมาน รถขับเข้าสู้เขตหมู่บ้านที่หมาย ถามหาบ้านชีปะขาวสมมุติว่าท่านชื่อ พล ชาวบ้านก็บอกทาง
พวกเราไปถึงบ้าน เป็นบ้านไม้ไม่ใหญ่นักดูสงบเงียบมาก ที่หน้าบ้านมี ชายชราท่านนึงยืนรออยู่ "มาแล้วรึ" จอมที่ลงรถมาก่อนถามว่า "ท่านรู้ได้อย่างไรคะ" ท่านตอบว่า "ท่านมาบอกท่านบอกว่าท่านช่วยได้เท่านั้นฝากด้วย" จอมรู้ทันที่ว่าท่านที่ว่าคือใคร น้ำตาจอมไหลเต็มหน้ายกมือไหว้พ่อครูที่ตามมาช่วยเธอ "พาเค้าเขามา แย่แล้วนะตอนนี้ ของสกปรกมันแรงกล้ามาก" ท่านชีปะขาวพูดด้วยอาการเร่งรีบ ท่านให้จับสามีนอน แล้วก้เอาน้ำมนต์มาพรมทำให้สามีจอมใจสงบลง จากนั้นท่านบอกว่า "สมุดเล่มนั้นอยู่ไหนเอาด้วยหรือไม่" จอมบอกว่าเอามาเพราะพ่อบอกว่ามันน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน
จากนั้นท่านเอาสมุดนั้นแช่ในขันน้ำมนต์ น้ำดำๆก็ไหลออกจากสมุดนั้น ท่านบอกว่า น้ำหมึกที่เขียนทำมาจากของสกปรก จากนั้นท่านก็บอกว่า สามีถูกให้กินเลือดระดู แถมมนต์ดำอันแข็งกล้า ถึงจะหายก็ไม่ปกตินะ จอมก็บอกว่าขอให้สามีหายก็พอเจ้าค่ะ ท่านนำขี้เถ่ากระถางธุปและดอกบัวที่อยู่ในแจกันมาแช่ลงไปในน้ำจุดเทียนแล้วสวดคาถา ทำน้ำมนต์ จากนั้นก็มาให้สามีจอมดื่มพอดื่ม สามีก็กรี๊ดเป็นเสียงผู้หญิง จากนั้นก็อวกเป็นเลือดและหนองเหม็นไปหมด มีเส้นผม ขี้เทียนสีดำๆ และผ้าสีแดงๆออกมาด้วย ท่านชีปะขาวก็นำทุกอย่างมารวมกันแล้วใช้เทียนที่อยู่หน้าโต๊ะหมุ๋มาจุดไฟเผาแล้วบอกว่า "ของของใครก็เอาคืนไป กรรมของใครทำก็รับกรรมนั้นเอง" สามีรู้สึกตัว ทุกคนขอบคุณท่ายถามว่าค่าครูเท่าไหร่ท่านบอกว่า 9 บาท พอ สามีนอนโรงพยาบาล 2 อาทิตย์ แล้วกลับบ้านทุกอย่างปกติ แต่สามีจอมบางครั้งก็จำอะไรไม่ค่อยได้ แถมร่างกายก็ไม่แข็งแรง พ่อแม่บอกว่าที่ก่อสร้างมาเล่าว่าวันนั้น นังน้องมันมาเก็บของอยู่ดีๆก็กระอักเลือด ตาแดงก่ำ มันบอกว่าพอแล้วหนูขอโทษพูดซ้ำ จากนั้นมันก็สลบไป พอตื่นมา
มันเป็นบ้าไปเลย ตอนนี้ส่งตัวมันไปโรงพยาบาลแล้ว
ไม่เจอกับตัวคงไม่รู้มนต์ดำที่ร้ายกาจ แต่ยังมีมนต์ขาว ครูบาอาจารย์ที่ท่านยังค่อยดูแลลุกศิษย์อยู่ตลอดเวลา
ร่าง-ซ่อน-ตาย
เรื่องราวหลอนๆจากกระทู้พันทิป "ร่าง-ซ่อน-ตาย" โดยสมาชิกพันทิป Lady Star 919 เรื่องราวของสองสามีภรรยาคู่หนึ่งที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวและชีวิตกำลังไปในทิศทางที่ดี แต่แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ของไปติดตามกันเลยครับ
วิไลฉัตรและสุพจน์ สองสามีภรรยาวางแผนเปิดร้านขายอาหารตามสั่ง
ทั้งสองทำงานประจำจนมีเงินเก็บพอที่จะเปิดร้านได้ จึงลาออกจากงาน และมาเช่าห้องแถวเปิดเป็นร้านอาหาร
สุพจน์ทำหน้าที่รับออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร และเก็บถ้วยจานชามไปล้าง ส่วนวิไลฉัตรจะเป็นผู้ทำอาหาร ตระเตรียมอุปกรณ์เครื่องปรุงที่ใช้ประกอบอาหาร
แรกๆที่เปิดร้านใหม่ แทบไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สองสัปดาห์ ลูกค้าที่เคยมากิน ต่างชวนเพื่อน ชวนครอบครัวมากินอาหารที่นี่
เพราะฝีมือการทำอาหารของวิไลฉัตรเอร็ดอร่อยเลื่องลือไปไกล
เพียงเวลาแค่ไม่กี่เดือน ร้านอาหารของเธอก็มีลูกค้าแวะเข้ามาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย บางวันโต๊ะเต็ม ลูกค้าที่ต้องการทานที่ร้านต้องยืนรอให้คนที่นั่งอยู่ลุกออกจากโต๊ะเสียก่อนจึงได้นั่ง
สามีภรรยาทำงานหนักและเหนื่อยมากขึ้น เพราะลูกค้าเยอะทุกวัน และกว่าจะปิดร้านก็ปานไปเที่ยงคืนหรือไม่ก็ตีหนึ่ง
เมื่อค้าขายดี เงินที่เข้ามาในแต่ละวันก็เยอะตามปริมาณลูกค้า
คืนนี้ทั้งสองปิดร้านเร็วกว่าปกติเพราะของที่เตรียมไว้ขายหมดเกลี้ยง
วิไลฉัตรอาบน้ำประแป้ง ขึ้นนอนบนเตียงรอสุจพน์ที่ออกไปซื้อเบียร์มากิน
วิไลฉัตรนอนรอจนเผลอหลับไป และสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน และตามด้วยเสียงเปิดประตู
สักพักชายคนรักจึงเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วก้าวขึ้นมานอนข้างๆ เธอจึงเอ่ยปากพูดกับสามี
"พี่..ถ้าเราค้าขายของดีแบบนี้ทุกวันอีกหน่อยเราคงมีเงินเก็บไว้ซื้อบ้านเป็นของตัวเองสักทีนะพี่นะ"
วิไลฉัตร ตวัดแขนก่ายกอดสามีแล้วแนบหน้าลงบนหัวไหล่
"ใช่ๆ สักพักเราต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมาเช่าที่ใครอยู่อีก เรามาช่วยกันตั้งใจทำงานเก็บเงินกันนะวิไล"
สุพจน์กอดตอบเมีย
"จ๊ะพี่"
"แต่ก่อนที่เราจะซื้อบ้าน พี่ขอเจ้าตัวเล็กจากน้องก่อนนะ"
พูดจบสามีพลันรุกทั้งกอดทั้งจูบไซร้ซอกคอ ผู้เป็นภรรยาส่งเสียงครางแผ่วเบา บทรักรุกเร้าร้อนแรงไฟปรารถนาเผาร่างทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่ง
รุ่งเช้า..วิไลฉัตรตื่นนอนด้วยอาการของคนนอนหลับไม่เต็มอิ่ม เพราะเมื่อคืนได้บรรเลงบทรักไปหลายรอบ
วิไลฉัตรเข้าครัวเตรียมอาหารไว้รอสามี เมื่อทำอาหารเสร็จ เธอเข้าไปปลุกสามีที่ยังนอนห่มผ้าบนเตียง
"พี่พจน์ตื่นมากินข้าวได้แล้ว"
"วิไลกินก่อนเถอะ พี่ขอนอนอีกนิด พี่ยังรู้สึกเหนื่อยอยู่เลย"
เมื่อได้คำตอบแบบนี้วิไลฉัตรจึงไม่เซ้าซี้สามี เพราะรู้ดีว่าหากสามีนอนไม่เต็มอิ่มจะมีอาการหงุดหงิด
เธอจึงเดินออกมาจากห้อง จัดหาข้าวมากิน เมื่ออิ่มแล้ว จะได้ไปตลาดซื้อของมาเตรียมเปิดร้าน
ในระหว่างที่เธอกำลังล้างจาน มีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนเรียกเธออยู่หน้าบ้าน
"วิไล แม่วิไล" ป้ายิ่งแม่ค้าขายผักที่ตลาด เป็นคนตะโกนเรียก
เธอจึงเดินออกมาดู
"มีอะไรคะป้า"
"ได้ข่าวว่าเมื่อคืน ผัวเอ็งไปมีเรื่องกับพวกนักเลงคุมบ่อน แล้วบาดเจ็บตรงไหนบ้างล่ะ"
วิไลฉัตรได้ฟังแบบนี้พลันตกใจ และเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย มันจะเป็นไปได้ไง ที่พี่พจน์จะไปมีเรื่องกับนักเลงพวกนั้น
"ไม่น่าจะใช่นะป้า เมื่อคืนพี่พจน์แกออกไปซื้อเบียร์ที่เซเว่นแล้วก็กลับมา ฉันไม่เห็นว่าพี่พจน์จะบาดเจ็บตรงไหนเลย"
"เอ..หรือว่าไอ้ต้ามันตาฝาด มันบอกว่าเห็น ผัวเอ็งโดนรุม" ป้ายิ่งเริ่มไม่แน่ใจ
"ฉันว่ามันตาฝาดซะมากกว่า พี่พจน์แกไม่ชอบมีเรื่องกับใคร ยิ่งเรื่องชกต่อยแล้วพี่แกยิ่งไม่ชอบเลยจ๊ะ"
"เออๆ คงจริงของเอ็ง งั้นป้าไปตลาดละ" ป้ายิ่งบอกลาแล้วเข็นรถขายผักออกไป
"เดี๋ยวฉันตามไปซื้อนะจ๊ะ" วิไลฉัตรตะโกนตามหลัง แล้วจึงเดินมาหยิบกระเป๋าในห้องนอน เห็นสามีนอนหันหลัง ห่มผ้าปิดทั้งตัว มองเห็นเพียงศีรษะ
เธอจึงเดินไปนั่งข้างๆสามีแล้วจับที่หัวไหล่
"น้องมีอะไรหรือเปล่า ทำไมยังไม่ไปตลาดอีกละ" สามีพูดขึ้นโดยไม่ได้หันหน้ามามองวิไลฉัตร
"เมื่อกี้ป้ายิ่งมาบอกฉันว่าพี่ไปมีเรื่องกับพวกนักเลงคุมบ่อน มันจริงไหมจ๊ะ"
ทั้งที่ในในคิดว่าสามีคงไม่ไปมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นแน่ๆ แต่ก็อดถามไม่ได้
"พวกนั้นมันมาหาเรื่องพี่ก่อน มันพยายามจะแย่งกระเป๋าเงินพี่ แต่พี่ไม่ยอม พวกมันเลยรุมทำร้ายพี่ โชคดีที่ตำรวจสายตรวจมาเห็น พี่เลยไม่เจ็บอะไรมากมาย"
สุพจน์พูดโดยไม่หันมามอง เขายังนอนนิ่งอยู่ท่าเดิม
"แน่ใจนะจ๊ะว่าพี่ไม่เป็นอะไร ขอฉันดูหน่อย" วิไลฉัตรเป็นห่วงสามีมาก เธอพยายามจะพลิกตัวสามีให้นอนหงาย เพื่อว่าเธอจะได้ดูหน้าให้ชัดว่าคนรักไม่เป็นอะไรจริงๆ
แต่ถูกสามีร้องห้าม บอกแค่ว่าเจ็บระบมเล็กน้อย ไม่ให้เธอมาจับตัว และไล่เธอไปจ่ายตลาด
วิไลฉัตรคว้าเอากระเป๋าสะพาย แล้วเดินออกจากห้อง ด้วยใจที่ยังเป็นห่วงสามี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่เป็นไรเธอก็วางใจ ว่าคงไม่เจ็บอะไรมากจริงๆ
ที่ตลาดสด
แม่ค้าสี่ห้าคนยืนเกาะกลุ่มคุยกันเสียงดัง วิไลฉัตรจึงเดินเข้าไปถาม
"มีเรื่องอะไรกันหรือคะ"
"มีคนพบศพถูกฝังไว้ในป่าหลังตลาดเรานี่เอง ตอนนี้ตำรวจกำลังช่วยกันขุดศพขึ้นมา พูดแล้วป้าละขนลุก"
ป้ายิ่งเป็นคนบอกวิไลฉัตรก่อนใครเพื่อน
"ทุกคนไปดูกัน ตำรวจเอาศพขึ้นมาได้แล้ว" เสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่นตลาด ทำให้คนซื้อ คนขายต่างวิ่งกรูไปดูจุดที่พบศพ
วิไลฉัตรก็วิ่งตามกลุ่มแม่ค้ามาด้วยเช่นกัน ทันทีที่มองเห็นศพ เสื้อผ้า กางเกง และใบหน้าที่คุ้นเคย ทำให้เธอแทบทรุดเข่าอ่อนโดยไม่รู้ตัว
"พี่พจน์!" วิไลฉัตรกรีดร้องลั่น พยายามวิ่งเข้าไปหาศพแต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกันไว้
"เข้าไปไม่ได้นะครับ"
"ไม่ ไม่จริง" วิไลฉัตรร้องลั่น น้ำตาไหลพราก
"ทำใจดีๆไว้นะแม่วิไล" ป้ายิ่งเข้ามาปลอบ
"พี่พจน์ยังไม่ตาย เมื่อเช้าฉันยังคุยกับพี่พจน์อยู่เลย" เธอหันไปพูดกับป้ายิ่ง แล้วพรวดพราดลุกขึ้นวิ่งกลับบ้าน
วิไลฉัตรวิ่งเข้าไปในห้องนอน เห็นสามียังนอนอยู่ท่าเดิม เธอปาดน้ำตา ดีใจจนบอกไม่ถูกที่เห็นชายคนรักยังสบายดี
"พี่พจน์" เธอเรียกชื่อสามีน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากคนนอน
วิไลฉัตรจึงเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วพลิกตัวสามีให้หันมาทางเธอ
ทันทีเห็นใบหน้าสามี เขียวคล้ำ ดวงตาขาวซีด มีบาดแผลเหวอะหวะตามหัวไหล่ และแขน เลือดเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อ
เธอผงะถอยห่างออกมาด้วยความหวาดกลัวระคนตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง ทั้งเสียใจ ทั้งกลัวจนตัวสั่น เมื่อนึกขึ้นได้ว่า เมื่อคืนเธอเพิ่งนอนกับผี
วิไลฉัตรกรีดร้องราวคนบ้าก่อนจะหมดสติล้มพับไปข้างเตียงนอน
ในบ้านเงียบกริบ...ฉับพลันไม่นาน โทรทัศน์ถูกเปิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เสียงนักข่าวรายงานข่าวดังก้องทั่วบ้าน
"ข่าวด่วน มีการแจ้งเหตุพบศพชายวัยกลางคนถูกฝังไว้ที่ป่าท้ายตลาดสด ทราบชื่อคือนายสุพจน์ แก้วใส อายุ 43 ปี ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทางตำรวจกำลังสืบหาตัวฆาตกรและแรงจูงใจในการฆ่าหากมีความคืบหน้าจะรายงานข่าวให้ทราบค่ะจบข่าว...กิติกรชาติดี รายงาน..."
จบ..
29 มิ.ย. 2562
มันมากับสายฝน
เรื่องราวการเดินทางของคุณ pohihi188 เล่าถึงประสบการณ์ในการเดินทางท่องเที่ยวในป่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเขา และเพื่อนๆอีก5คน ไปติดตามการผจญภัยครั้งนี้กันเลยครับ
การเดินเรื่องในครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องราวของเด็กวัยรุ่นหรืออะไรทั้งนั้น เพราะมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่วัยกลางคน ทั้งหมด 5 คนที่ตัดสินใจเดินป่าไปเพื่อถ่ายรูป พวกเขารักป่าจริงๆ
ชาย 5 คน เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างครบ ก็ออกเดินทางด้วยรถจิ๊บ 1 คัน พอไปถึงตีนเขา ก็จัดแจงฝากรถไว้กับบ้านคนรู้จักในละแวกนั้น
หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าเดินขึ้นไปบนภูเขาเต็มกำลัง เพราะอยากจะไปให้ถึงจุดกางเต็นท์ไวๆ เพราะตรงนั้น ป่าไม้ เขาถางป่าทิ้งไว้เพื่อเป็นจุดพัก
เดินมาเรื่อยๆ ก็ถ่ายรูปเก็บไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน จนทุกคนก็มาถึงจุดพักได้จริงๆจังๆสักที ก็ต่างพากัน กางเตนท์ ให้เสร็จไวๆเพราะว่ากลัวฝนฟ้าจะตกลงมา แล้วอุปกรณ์จำพวกอิเลคทรอนิคต่างๆจะพัง
พอกางเต็นท์ปุ๊ป ก็ไปหาเศษไม้แห้งแถวๆนั้น มาทำเป็นฟืนเพื่อก่อกองไฟ จะได้ต้มน้ำชงกาแฟกัน แต่ในจังหวะที่คณะเดินทางคนนึง แกกำลังก้มหักกิ่งไม้ แกรู้สึกเหมือนหยดน้ำอะไรหล่นใส่หลังแกวะ
พอแกเงยหน้าไปดู ฝนหรอ... ไม่น่าใช่เมฆโปรงขนาดนี้ หรือเยี่ยวของแมลง แต่แกก็ไม่ได้สนใจอะไร เดินกลับไปพร้อมเศษไม้เล็กๆ และก็ก่อกองไฟเสร็จสรรพ
เวลาประมาณเย็นๆ ทุกคนมานั่งล้อมกองไฟ พร้อมคุยตามประสาเพื่อนๆ จนพอมืดค่ำ จู่ๆ ฝนดันตกลงมาเฉยเลย แถมตกแรงด้วย ทุกคนก็เลยรีบพากันเข้าไปในเต็นท์อย่างไว
หลังจากเข้าไปอยู่ในเต็นท์ ก็นั่งคุยกันต่อพร้อมหยิบกล้องมาดูภาพที่ถ่ายมาทั้งหมด แต่สักพักเพื่อนคนนึงที่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างของเต้น เหมือนแกเหลือบไปเห็นอะไรสักอย่างในกองไฟที่กำลังจะดับเพราะสายฝน
แกนั่งจ้องอยู่นาน แต่จู่ๆแกก็ผงะถอยหลังออกมาอย่างไว ตอนนั้นเพื่อนอีก 4 คน งง ว่าเป็นอะไร แต่พี่แกก็ไม่ยอมพูดอะไร ได้แต่สายหัว คือดูจากสีหน้าคงรู้แหละว่ามีอะไร เพื่อนอีกสี่คนเลย เลิกคุยกัน แล้วบอกว่านอนดีกว่า เหนื่อยแล้ว...
พอแยกกันไปเอนหลังนอนได้สักพัก คือทุกคนนอนไม่หลับ เพราะคิดมากเรื่องเพื่อนที่ผงะมาเมื่อกี้ ก็ได้แต่นอนฟังเสียงฝนตกอย่างหนักอยู่ด้านนอก
ล้าาาาา ลาาาา ล้าาาาา ลาาาาา ล้าาาาา ลาาาาา ล้าาาาา ลาาาาา....
เสียงอะไรวะนั้น ทุกคนหันหน้าไปมาเข้าหากัน เหมือนจะถามว่ามึงได้ยินไหมเสียงไรวะ ? แต่กฏเหล็กของป่าเลยก็คือ เห็นอะไรได้ยินอะไรอย่าทัก ก็ทำได้แค่พยักหน้าให้กันเล็กๆ
แต่เพื่อนคนที่นั่งจ้องกองไฟในครั้งแรก พี่แกเอามือกกหูไว้เลย คืออาการออกมาก สั่นงั๊กๆๆนอนตัวงออยู่ ตอนนั้นทุกคนใจไม่ดีละเพราะเพื่อนเป็นหนักมาก
อย่างว่าเข้าป่าก็ต้องมีของบ้างแหละ มีหนึ่งในนั้นหยิบตะกุดออกมา พร้อมพนมมือแล้วท่องอะไรสักอย่าง งุงิงุงิงุงิ อู้อี้ๆอยู่ในปาก
แต่จู่เสียงตุบ... ทุกคนงง เสียงอะหล่นโดนเต็นวะ เพื่อนคนนึงพูดว่าลูกเห็บเปล่า แต่อีกคนก็สวนไป จะบ้าหรอ ใต้ มีลูกเห็บที่ไหน ไม่มีหรอก...
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ... ผ้ายางของเต้นท์ดังสนั่น ชัดเลย ไม่รู้อะไรถูกปาเข้ามาใส่เต็นท์ คนอื่นๆยังตั้งสติและรับมือได้ ส่วนคนที่อาการออกสุดนี้ร้องไห้เลย จนเพื่อนต้องเข้าไปปลอบ
สวนคนที่เอาตะกุดออกมาก็ยัง อู้อี้ๆ อยู่แบบนั้น ดูซีเรียสมากเพราะฝนตกอากาศเย็นแต่เหงื่อออกทั้งตัว จนมีคนนึงเดินไปที่หน้าต่างที่เป็นช่องมองเล็กๆของเต้นท์ พอมองออกไป แต่ไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่สีแดงๆ
คราวนี้แหละเต็นท์โยกไปโยกมา เหมือนมุดกำลังจะหลุดออกมายังไงยังงั้นเลย จนคนที่มีตะกุดแกลุกขึ้นแล้วเอาไปแขวนไว้กับคานปุ๊ป จู่ๆเสียงอร๊ายยยยยย ดังขึ้นมา แล้วเต้นท์ก็หยุดไหวไปมาทันที
ทุกอย่างเหมือนจะกลับสู่สภาวะปรกติ เสียงอะไรต่างๆนาๆไม่มีแล้ว เหลือแค่เสียงสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย
ผ่านไป เกือบ 2 ชั่วโมงกับการทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่มองหน้ากันไปมาอยู่ในเต้นท์ ไม่มีสักหนึ่งคำพูดออกมาจาก 5 คนนั้น คือทุกคนไม่ได้คุยกันเลย ได้แตพยักหน้าหรือส่งสัญญานด้วยมือ คงเป็นเรื่อง ประสบการณ์และวุฒิภาวะละนะ
แต่ก็ชั่งใจได้ไม่นาน คราวนี้เสียงคนลอยทะลุเต็นท์เข้ามาเลย แต่รู้เลยว่าคนแน่นอน แต่ที่พูดออกมานั้นไม่ใช่ภาษาไทยแน่ๆ
ความกลัวกลับมาเยือนอีกรอบ แต่คราวนี้หนักกว่าเดิม จู่ๆเหมือนอะไรสักอย่างใหญ่มากๆ กระแทกผ้าเต็นท์อย่างแรง จนตระกุดหล่นลงมาเลย สักพักเสียงครูด แกว๊กกกกกก เหมือนมีใครเอาอะไรแหลมๆ มาข่วนที่ผ้าเต็นท์
ตอนนั้นทุกคนกลัวมาก แต่มีอยู่คนนึงไม่กล้ว แกไปเปิดกระเป๋าเหมือนหาอะไรสักอย่าง ส่วนเสียงครูดนั้นก็ยังดังอยู่เรื่อยๆเหมือนมันจะข่วนไปรอบๆเต็นท์เพื่อหาอะไรสักอย่าง
จนสักพักมันไปหยุดอยู่หน้าทางเข้า... จึก เล็บยาวมากทะลุซิบเต็นท์เข้ามา เหมือนมันกำลังจะใช้เล็บรูดซิบเต็นท์ลงมา ทุกคนตาค้างเลยจริงๆเพราะสภาพที่เห็นคือผู้หญิงหน้าผากขาวจั๊วะผมสีขาวยาวมาก
แต่ซิบรูดลงได้นิดน่อยพอให้ได้เห็นครึ่งหน้า อีกนิดเดียวก็จะรูดลงมาพอให้ได้เห็นเต็มหน้าแล้ว แต่จู่ๆ พี่คนที่มีของแกชักมีดหมออกมา แล้วแกพุ่งตัวไปแทงทะลุผ้าใบเต็นท์ออกไปเลย
อร๊ายยยยยยยย เสียงผู้หญิงชัดเจน ร้องดังลั่นป่าเลย คนอื่นนี้ช๊อคแบบตาตั้งตาค้างกันเลย ทำอะไรกันไม่ถูก คงมีแค่พี่มีของคนนั้นแหละที่รับมือได้ดีที่สุด
แล้วเสียงผู้หญิงที่ร้องโอดโอยแบบบ้าคลั่งมากๆก็เหมือนจะดังไกลออกไป ท่ามกลางสายฝนที่ตกมาอย่างหนัก และแน่นอนคนที่จ้องผู้หญิงตนนั้นนานที่สุดคงเป็นพี่มีของ เพราะผ้าใบเต็นท์มันฉีกขาดกว้างพอ ที่จะทำให้เห็นด้านนอก ได้อย่างชัดเจน
เพื่อความแน่ใจ พี่มีของแกเอามีดหมอของแก ปักไว้ทางเข้าเลย พอแกหันหน้ากลับมา สีหน้าแกดูซีเรียสหนักมาก และนั้นคือคำแรกที่แกพูดออกมา "คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า รอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นเราจะกลับบ้านกัน 5 คน"
หลังจากนั้นแกก็เอาตระกุดที่หล่นไปแขวนใหม่อีกรอบ อาจเป็นเพาะเหนื่อย อีก 4 คนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เหลือไว้เพียงแค่พี่ที่มีของ แกหลับไม่ลงจริงๆ เพราะเมื่อกี้แกคือคนเดียวที่ได้เห็นทุกๆอย่าง อย่างชัดเจน...
หลังออกจากป่าสรุปเป็นฉากๆ
- คนที่นั่งจ้องกองไฟที่กำลังมอด ตอนนั้นแกเห็นอะไรสักอย่างเหมือนมันขยับอยู่ในเศษขี้เถ้าของกองไฟ จนสักพักจู่เหมือนแขนอะไรโผล่ออกมา เหมือนมันดันตัวเองขึ้นมาจากกองขี้เถ้า สภาพที่เห็นคือผู้หญิงผมขาว หน้าขาว ตาแดงกริ่ม แบบตาทั้งสองข้างนี้แดงสะจนไม่เห็นตาดำเลย
- คนที่สอง ที่เอาตาไปส่องรูหน้าต่างเล็กๆ แต่กลับมองอะไรไม่เห็นเลย เห็นแต่สีแดงๆ คือหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด พี่คนมีของเขาสันนิฐานไว้ว่า จริงๆแล้ว คงเป็นดวงตาของผู้หญิงตนนั้นมากกว่า ที่เธอมองเข้ามาด้านใน สั้นๆ ตามองตา ละนะ
- พี่คนมีของ จนถึงทุกวันนี้แกยังไม่ล้างคราบเลือดสีดำที่ติดบนด้าวมีดเลย เหมือนแกจะพูดไว้ว่า ถ้ามีดได้อาบเลือดพวกผีปีศาจต่างๆ มันจะทำให้มีดมันมีมนต์สะกดขลังกว่าเดิม (แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นถูกแทงด้วยมีดเล่มนี้แหละ ถึงได้ร้องโอดโอยหายไป)
ผีเปรตป้าบัว
เรื่องหลอนๆของคุณโอ๊ค ได้ฟังมาจากหลวงพี่ท่านหนึ่ง เมื่อครั้งบวชเรียนเมื่อ 10 ปีก่อน คุณโอ๊คเล่าถึงประสบการณ์หลอนที่เขาได้ พบลองไปติดตามเรื่องของเขากันเลยครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้รับฟังมาจากหลวงพี่ท่านหนึ่ง ตอนสมัยที่ผมบวชเณรเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว แน่นอนว่ามีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับภูตผีจากผู้เฒ่าผู้แก่ โดยเฉพาะ ผีเปรต ผีปอบ ผีโพง ผีกระสือ ผีกองกอย.. คือสมัยก่อนหมู่บ้านที่ผมอยู่ ยังไม่ได้พัฒนาเหมือนปัจจุบัน บ้านคนก็ยังไม่เยอะสักเท่าไหร่ วัดประจำหมู่บ้านจะอยู่ห่างออกไป แต่จะมีถนนตัดผ่านเข้าไปภายในตัววัด แล้วทะลุออกไปด้านหลังของวัด จะมีสะพานไม้เก่าๆ ซึ่งเชื่อมต่อไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง มีประมาณ 10 หลังคาเรือน ห่างจากตัววัดออกไป 200 กว่าเมตร ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นจะเต็มไปด้วยต้นไม้ปกคลุม ขนาดผ่านไปตอนกลางวันยังวังเวง และเงียบสงัดมาก แต่คนแถบนั้นอยู่กันนานจนชินไปแล้ว ส่วนบริเวณตัววัดจะล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้าจะมีต้นตาลใหญ่ 4 ต้น ส่วนด้านหลังจะปกคลุมไปด้วยป่าไม้ไผ่ และเป็นป่าช้าที่เอาไว้เผาศพ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับถนนที่ไปยังหมู่บ้านนั้น
หลวงพี่ยอดเล่าว่า ย้อนไปตอนที่ท่านยังเป็นสามเณร ท่านจะมีนิสัยเกเร และดื้อตามประสาเด็ก มีป้าคนหนึ่งชื่อว่าป้าบัว (นามสมมติ) แกมักจะมาทำบุญที่วัด ไม่ก็ตักบาตรที่หน้าบ้านแกเป็นประจำ แต่ป้าบัวแกเป็นคนขี้อิจฉา ชอบด่าว่า ชอบนินทาคนอื่น ไม่เว้นแม้กระทั่งเณรก็โดนดุด่าเป็นประจำ อย่างเช่นว่า บนพื้นศาลามีขี้นก หรือลานวัดไม่สะอาดมีใบไม้ร่วงเต็มไปหมด แกก็จะต่อว่าเณร หาว่าเณรขี้เกียจบ้าง เอาแต่วิ่งเล่นไปวันๆ พูดเหมือนกับว่าแกเป็นเจ้าของวัด มีสิทธิ์ไปซะทุกเรื่อง ชอบตำหนิคนอื่น แต่พูดเอาดีใส่ตัว บางครั้งเณรเคยเห็นแกขโมยอาหารที่คนอื่นนำมาถวายพระกลับบ้าน โดยเฉพาะช่วงวันพระ แกจะมาวัดโดยไม่นำอาหารมาเลย มีเพียงแต่กล่องข้าวเหนียวกับตะกร้าแบบถือ (ที่นั่นชาวบ้านส่วนมากจะนำอาหารใส่ถุงพลาสติก มากกว่าใส่ปิ่นโต นำมาที่วัดแล้วจัดเตรียมใส่ภาชนะให้พระฉัน) ถ้าอาหารเยอะเกินไปหรือล้น ป้าบัวก็จะจับถุงอาหารนั้นยัดใส่ในตะกร้าของตน ตอนที่ไม่มีใครสังเกต.. ไม่นานก็มีข่าวลือว่าป้าบัวแกไปแอบชอบหลวงพ่อ เณรยอดสังเกตเห็นว่าแกจะพูดดีแต่กับหลวงพ่อเท่านั้น บางครั้งหลวงพ่อติดธุระหรือไปประจำวัดอื่น เวลาเณรออกไปบิณฑบาต ถ้าแกไม่เห็นหลวงพ่อมาด้วย แกก็จะทำสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ.. ไหนจะข่าวว่าป้าบัวทะเลาะกับเพื่อนบ้านแก ถึงขนาดเรื่องไปถึงหูผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านเล่าว่าเห็นป้าบัวแกแอบมากรวดน้ำสาบแช่งถึงหน้าบ้าน สาเหตุเป็นเพราะแกหาว่าเพื่อนบ้านนั้นสร้างรั้วกินเข้ามาในพื้นที่ของแก นั่นยิ่งทำให้ชาวบ้านไม่ชอบแกเข้าไปอีก
หลวงพี่ยอดเล่าต่อว่า และแล้วคืนหนึ่ง เวลาประมาณตี 1 หลวงพี่ก็ได้ยินเสียงหมาหอนดังลั่นจนนอนไม่ หลับ พร้อมกับมีเสียงร้องไห้แหบแห้งเหมือนเสียงคนแก่ ดังไปรอบกุฏิจนไม่ได้หลับได้นอน แถมลมข้างนอกก็แรงมาก จนโค่นต้นตาลต้นหนึ่งล้มลงมาเสียงดังสะนั่น แต่เพราะความกลัวหลวงพี่ก็เลยไม่กล้าลุกไปดู จนตอนเช้า ก็มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งวิ่งมาที่วัด ทราบที่หลังว่าเป็นลูกหลานของป้าบัว บอกว่าป้าบัวเสียแล้ว นอนไหลตาย พอตอนบ่ายเขาก็นำร่างของป้าบัวมาทำพิธีที่วัด สมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผาศพ เลยต้องเผาบนกองฟืน ระหว่างการทำพิธีนั้น จะมีการเปิดฝาโลงศพเพื่อให้พระ และญาติๆ นำน้ำมะพร้าวไปล้างหน้า สภาพศพป้าบัวคือลืมตาเบิกโพลง ระหว่างกำลังจะเผาศพอยู่นั้น ก็เกิดลมแรงและฝนเทกระหน่ำลงมา ทำให้ชาวบ้านต้องนำผ้ายางไปคลุมเอาไว้ จนถึงตอนเย็นถึงได้ดำเนินการต่อ พิธีเหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ระหว่างที่ไฟกำลังไหม้ฟืนที่อยู่ด้านล่างนั้น อยู่ๆ โลงศพก็พลิกคว่ำลงมา ทำให้ศพป้าบัวหล่นตุ้บแล้วกลิ้งออกมา! ทุกคนต่างตกใจร้องเสียงหลง พวกผู้ชายจึงรีบพากันใช้ไม้พลิกศพกลับเข้าไปในกองไฟเหมือนเดิม.. จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ตอนนั้นที่วัดยังไม่มีสังกะลี พวกเณรเลยต้องทำหน้าที่เป็นระยะๆ ตรวจดูว่าศพถูกเผาละเอียดแล้ว จนถึงตอน 6 โมงเย็น เป็นเวลาสวดมนต์ไหว้พระ ฟังพระธรรมวินัยไปจนถึง 1 ทุ่ม ปกติแล้วเณรจะนอนกันแต่หัวค่ำ ลักษณะกุฏิจะมีทางเดินตรงกลาง มีทั้งหมด 4 ห้อง เณรยอดจะนอนห้องในสุดด้านขวามือกับเณรที่ชื่อออย ห้องถัดมาจะเป็นห้องของหลวงพี่ท่านหนึ่ง ส่วนด้านซ้ายทั้ง 2 ห้อง ถูกกั้นด้วยผ้าจีวร ห้องในสุดจะเป็นที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของคนตาย ที่ญาตินำมาบังสกุลหลังจากเผาศพไปแล้ว 3-4 วัน ส่วนห้องถัดมา เคยมีเณรท่านหนึ่งย้ายมาจากวัดอื่น เข้ามาพักได้ไม่นานก็ย้ายออกไป เพราะตอนดึกๆ บอกว่าได้ยินเสียงเหมือนคนรื้อข้าวของ และเห็นเงาประหลาดจากห้องข้างๆ เป็นประจำ ห้องนั้นเลยว่างไม่มีใครกล้านอนอีกเลย ส่วนกุฏิหลวงพ่อจะอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 30 เมตร
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่หมาหอนดังก้องไปทั่วทั้งวัด เณรยอดเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตี 2 เพราะได้ยินเสียงเณรออยร้องลั่น นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง ร้องไห้พูดจาไม่เป็นภาษาคน จนหลวงพี่ที่อยู่ข้างห้องมาเคาะประตูเรียก เณรออยจึงรีบวิ่งออกไปแล้วเข้าไปหลบในห้องหลวงพี่ เณรยอดก็วิ่งตามเข้าไป พอหลวงพี่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น? เณรออยก็ไม่ยอมบอก จนถึงตอนเช้าเณรออยก็นอนจับไข้ ปากก็บ่นว่าอยากสึกแล้วๆ พอหลวงพ่อเข้ามาถาม เณรออยจึงเล่าว่า ‘เมื่อคืนได้ยินเสียงคนเดินลากเท้าบริเวณหน้าห้อง (พอดีที่นอนเณรออยจะตรงกับประตูพอดี ลักษณะประตูคือจะอยู่สูงเหนือจากพื้นประมาณฝ่ามือครึ่ง พอจะมองลอดช่องใต้ประตูออกไปได้) ตาก็เลยไปสะดุดเห็นเท้ายาวๆ ดำๆ คู่หนึ่ง ลักษณะไหม้เกรียม ยืนอยู่ชิดประตูหน้าห้อง ส่วนปลายเท้านั้นพ้นลอดผ่านเข้ามาในห้อง..’ เณรออยถึงกับร้องไห้ออกมาระหว่างที่เล่าถึงตอนนั้น ก่อนจะเล่าต่อว่า ‘แล้วทันใดนั้น ก็มีมือยาวๆ ข้างหนึ่งล้วงเข้ามาผ่านช่องประตู คล้ายๆ กับกำลังคลำหาอะไรบางอย่างภายในห้อง พอดีมือนั้นคว้าไปโดนขาเณรเข้า ทำให้เณรสะดุ้งสุดตัว ร้องลั่นพุ่งไปหลบอยู่ที่มุมห้อง สัมผัสของมือจะสากๆ เย็นๆ มีกลิ่นไหม้ ผสมกลิ่นคาวคลุ้ง..’ เณรออยพูดไปก็ร้องไห้ไป ปากก็บอกอยากสึกๆ หลวงพ่อเลยบอกจะดูฤกษ์ให้ แต่ให้อดทนไปก่อน เพราะดูเหมือนว่ากำลังมีเคราะห์ ให้นอนพักผ่อนไปก่อน ไม่ต้องทำงานวัด ที่เหลือให้เณรยอดทำคนเดียวไปก่อน
ช่วงเย็นของวันนั้นเอง ลูกหลานของป้าบัวก็มาที่วัดเพื่อมาเก็บเถ้ากระดูกของแกใส่โกฐ แล้วเอาไปไว้ในธาตุที่สร้างไว้ห่างจากกุฏิหลวงตาประมาณ 20 เมตร พอตกตอนเย็น มีแค่เพียงหลวงตา หลวงพี่ กับเณรยอดเท่านั้นที่สวดมนต์ไหว้พระ ส่วนเณรออยยังคงนอนป่วยอยู่ในห้องหลวงพี่ และก็ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมายืนตะโกนเรียกที่ใต้ต้นโพธิ์หน้ากุฏิ ในสภาพเปลือยกาย ตัวซูบผอม ผมเผ้ารุงรัง แขนยาวจนถึงพื้น แต่แปลกที่เสียงของผู้หญิงคนนั้นเหมือนเสียงของป้าบัวไม่มีผิดเพี้ยน เพราะเสียงแกจะแหลมเวลาแกตะโกน ตะคอกด่าเณรประจำตอนมีชีวิตอยู่ เณรออยสะดุ้งตื่นเหงื่อท่วมตัว รีบวิ่งไปเล่าความฝันให้หลวงตาฟัง พอฟังจบ หลวงตาเลยพูดขึ้นมาว่า ‘เขาคงอยากมาขอส่วนบุญ เพราะลูกหลานของแกไม่ค่อยชอบเข้าวัดทำบุญกัน..’
เรื่องของเปรตป้าบัวดังไปทั่วในสมัยนั้น ชาวบ้านที่ต้องเดินทางผ่านวัดเจอกันแทบทุกคน บ้างก็เล่าว่า เห็นคนยืนเรียก แต่พอเข้าไปใกล้ๆ แล้วตัวสูงเหยียดขื้นไปเท่าต้นตาล ก่อนจะหายไป.. บ้างก็ว่าขี่จักรยานผ่านวัด จะรู้สึกเหมือนมีมือคนมาดึงท้ายจนล้ม พอหันไปดูก็จะเห็นเงาดำๆ ยืนอยู่ต่อหน้าจนทำให้เป็นลมหมดสติไปก็มี.. บ้างก็ว่าพอขี่รถผ่านจนไปถึงบริเวณท้ายวัด จะเจอขายาวๆ ผอมๆ คู่หนึ่ง ยืนอยู่บนสะพาน แต่ไม่มีลำตัว..
จนถึงเรื่องของเณรยอดบ้าง วันนั้นเณรยอดตื่นขึ้นมากวาดลานวัดคนเดียวตอน 4 โมงเช้า ใกล้ๆ กับกุฏิหลวงตา แล้วได้ยินเสียงเหมือนลมพัดใบไม้ปลิวเป็นจังหวะๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เอะใจ คิดว่าเป็นแค่เพียงลม แต่แล้วก็ตามมาด้วยเสียงดัง ‘ป๊อกแป๊กๆ’ พอเณรหันไปดูตามเสียง ก็เจอเปรตเข้าให้เต็มๆ ลักษณะคือขาเกี่ยวกิ่งต้นมะขาม แล้วห้อยหัวลงมาเกือบถึงพื้น ตัวกวัดแกว่งไปมาแล้วเกิดดัง ‘ป๊อกแป๊ก’ เหมือนเสียงกระดูกเคลื่อน ท่าทางราวกับว่ากำลังเอาเส้นผมรุงรังนั้นกวาดบริเวณลานวัดอยู่ แล้วก็ใช้มือไม้ปัดไปมาตามพื้นดิน.. เณรยอดถึงกับร้องลั่นแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนกุฏิหลวงพ่อ ท่านเลยถามว่าเป็นอะไร? เณรก็เล่าสิ่งที่เจอให้หลวงพ่อฟัง ท่านเลยตะโกนออกไปว่า ‘จะอุทิศบุญกุศลไปให้ แต่อย่ามาปรากฏตัวให้ใครเห็นอีก!’ นับจากวันนั้นมา ก็ไม่มีใครเห็นเปรตป้าบัวออกมาอีกเลย จะมีก็แต่เพียงแค่เสียงหวีดร้องดังมาจากท้ายวัดเป็นบางครั้งบางคราว ส่วนเณรออยนั้น หลังจากจบเรื่องก็ตัดสินใจจะบวชต่ออีก 1 พรรษา..
28 มิ.ย. 2562
เห็นบ้านที่เปิดไฟอยู่นั่นไหม ลูกชายเขาตาย
อีกเรื่องหนึ่งจากกระทู้พันทิป สมาชิกหมายเลข 2227735 เรื่อง "เห็นบ้านที่เปิดไฟอยู่นั่นไหม ลูกชายเขาตาย" ทำเอาสมาชิกหลายท่านให้ความสนใจอย่างมาก เราจึงรวบรวมมบทความนี้มาส่งต่อให้ชาวผีสยองหนองกระจายได้ชมกัน
หลังจากเรียนจบมหาลัยมาได้ ยี่สิบ สามสิบ ปี
เพื่อนๆก็ต่างแยกย้ายหายหน้าหายตากันไป แทบไม่ได้ติดต่อมาหาอีกเลย
คุณเชื่อในความเป็นเพื่อนไหม บางทีวันดีคืนดีเราเดินอยู่ริมถนน
แล้วอยู่ๆก็เจอเพื่อนเราสมัยเรียนเดินมาทัก โอ้ มันช่างรู้สึกดีใจมากเลย ที่ได้เจอเพื่อนอีก
แต่สังคมเมืองที่วุ่นวาย ก็ทำให้ ไม่นานเราก็กลับไปนั่งจับเจ่าอยู่กับงานประจำที่ทำ
จนลืมคิดถึงใครๆที่เราเคยผูกพันธ์ไปเลย
นับวันนับวัน คุณก็ยิ่งรู้สึกว่า ชีวิตคุณช่างโดดเดี่ยว
ถ้าคุณมีเวลาว่าง ที่จะนั่งนิ่งๆ ระลึกถึงเพื่อนๆบ้าง
จะมีเพื่อนสักกี่คนที่คุณรู้สึกว่า คุณนึกถึงมันแล้วคุณจะต้องอมยิ้ม
ใช่ ถ้าคุณมีเวลาพอที่จะคิดแบบนั้นได้ แสดงว่าชีวิตคุณ คงเลยหลักสี่แล้ว
แต่เรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกถึง อะไรบางอย่าง
ที่เตือนให้ผมได้ระลึกถึง และอยากนำเอามาเล่าให้กับทุกท่านได้รับฟัง
ย้อนกลับไปในช่วงที่เรียนมหาลัย
ตอนนั้น เป็นปีสุดท้าย ที่พวกเพื่อนๆต่างเตรียมตัวจบกัน บางคนก็เริ่มไปหางานแล้ว
บางคนก็เริ่มวางแผนจะเรียนต่อ แต่มีเพื่อนคนหนึ่ง มันขาดเรียนไปตั้งแต่ปีสาม
ไม่มีใครได้ข่าวมันเลย จนขึ้นปีสี่แล้ว ทุกคนก็คิดว่ามันคงดรอปเรียนไปแล้ว
แล้วเรื่องราวมันก็เกิดขึ้น จากที่วันหนึ่ง อยู่ๆก็มีจดหมายฉบับหนึ่งเขียนมาถึงผมที่บ้าน
หลังจากที่ได้เปิดอ่านดู มันเป็นจดหมายจากเพื่อนคนนั้น ที่มันดรอบเรียนไป
พออ่านดูข้อความที่มันเขียนมา ก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เนื้อหาใจความในจดหมายเขียนว่า
สวัสดีเพื่อน
ไม่ได้เจอกันเสียนาน พอดีนึกขึ้นมาได้ว่า เอ็งเคยให้ที่อยู่ข้าไว้
ก็เลยเขียนมาทักทาย
ตอนนี้ข้ากลับมาอยู่บ้านนอก ได้หลายปีแล้ว
เสียใจว่ะ ไม่ได้จบพร้อมพวกเอ็ง พ่อข้าป่วยหนัก
ไม่มีใครดูแลไร่นา เงินทองก็ร่อยหรอ
ข้าเลยต้องดูแลทุกอย่างแทนพ่อหมด
แต่อยู่ทางนี้ก็สบายดี ทุกๆอย่างที่ข้าทำก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว
ที่นี่ อากาศดี บรรยากาศ ท้องทุ่งนากำลัง เขียวขจี
อย่างที่เอ็งเคยบอกว่า อยากจะมาสัมผัส
มันเป็นธรรมชาติมากๆ ถ้าเอ็งว่างๆก็มาเยี่ยมบ้านข้าได้นะ
ชวนเพื่อนๆมาด้วย อยากเจอพวกเอ็งมากแต่ข้าไม่รู้จะติดต่อพวกเอ็งยังไง
บ้านข้าอยู่บ้านนอกมาก เวลาเหงาๆไม่รู้จะคุยกะใคร
ก็เขียนมาคุยกับเอ็งนี่แหละ ถ้าเอ็งจะมาก็เขียนจดหมายมาบอกข้าด้วย
จะได้ไปรอรับ
มาไม่ยากหรอก ตามที่อยู่ กับแผนที่ที่แนบไป
อ่านจบ
ผมก็ไม่ได้อะไรมาก ก็พับซุกๆไว้ในชั้นวางหนังสือ
จนกระทั่งสอบเทอมสุดท้ายเสร็จ ช่วงที่ไม่ได้ไปมหาลัย ไม่ได้เจอเพื่อนๆเลย
อยู่ๆมันก็รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ อารมณ์แบบว่า จะเอายังไงกับชีวิตดี
จะหางานทำหรือว่าจะเรียนต่อ มันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตจริงๆ
พอเบื่อๆก็เลยไปหาหนังสือเก่าๆมาอ่านเล่น พอค้นไปค้นมาหาตามที่ชั้นวางหนังสือ
อยู่ๆจดหมายที่ผมซุกไว้มันก็หล่นลงมา
พอเอามันมาอ่านอีกที แว๊บนั้นแหละ
ที่อยู่ๆ ก็ นึกอยากไป ผ่อนคลายพักสมอง หรืออยู่กับธรรมชาติบ้าง
อืม ก็ไม่เลวนะ ช่วงนี้ว่างๆ อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุย
ผมตัดสินใจเขียนจดหมายไปบอกเพื่อน ว่าจะไปหามัน วันไหน
บอกให้มันมารับด้วย
แล้วจนถึงวันที่นัดหมาย ผมก็เดินทางไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัดจริงๆ
มีเงินติดตัวไปไม่กี่บาท แต่ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ตอนนั้น
ถ้าไม่เจอเพื่อนก็นั่งรถกลับ ก็แค่นั้น
ผมนั่งรถไปถึงหมู่บ้านเล็ก ตามแผ่นที่ที่เพื่อนเขียนบอก
ที่ที่ผมนั่งรอ เป็นคล้ายๆขนส่งเล็กๆ มีรถไม่มากนัก
ผมนั่งรอเพื่อนตั้งแต่บ่ายสามแก่ๆ จนเกือบๆ จะห้าโมงเย็น
เพื่อนก็ยังไม่มา จนใน ขนส่งนั้น แทบจะมีแต่ผมคนเดียวที่นั่งอยู่
พอเห็นพระอาทิตย์เริ่มอัสดงแล้ว ก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย
มันจะได้รับ จมหมายเราหรือเปล่านะ
ผมได้แต่คิดในใจ
ตอนนั้น ก็ตัดสินใจว่าถ้ารอจนถึงสัก หกโมงเย็นแล้วมันยังไม่มา
ก็คงต้องนั่งรถกลับ
แต่แล้ว ช่วงนั้นเอง อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ ผมขึ้นมา
ผมรีบหันไปทางเสียงเรียก
เห็นเพื่อนอยู่ด้านหลัง ก็รู้สึก โอ้ โล่ง อก
นึกว่ามันจะไม่มาเสียแล้ว
พอทักทายได้นิดหน่อย เพื่อนก็พาเดินไปขึ้นรถสองแถวเล็ก
ที่อยู่ด้านหลังขนส่ง เพื่อนก็บอกให้ผมเข้าไปนั่งข้างใน
ส่วนเพื่อน มันก็ยืนโหนบันไดท้ายรถอยู่กับคนอื่นๆสองสามคน
ในรถก็ไม่เต็มเท่าไหร่หรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันไม่อยากนั่ง
พอรถสองแถวเล็กเคลื่อนที่ออกไปได้สักพัก ก็เริ่มเข้าถนนลูกรัง
บ้านเรือนก็เริ่มปลูกห่างๆกัน สองข้างทางส่วนใหญ่จะเป็นทุ่งนา
สลับกับป่า นั่งมาได้พักใหญ่ๆ คนลงรถจนหมด เหลือผมกับเพื่อน
นั่งอยู่ในรถ ผมก็ถามเพื่อนว่า
ยังไม่ถึงอีกหรือวะ ไกลจัง
เพื่อนก็บอกว่า ข้างหน้าก็ถึงแล้ว
สักพัก มันก็บอกให้ผมกดกริ่งเลย
พอลงจากรถ เพื่อนก็ยืนรออยู่หลังรถ
ผมก็เดินไปจ่ายค่าโดยสาร
ก็ถามเขาว่า เท่าไหร่ครับ
คนขับบอกว่า 7บาท ผมก็เอาแบงค์ยี่สิบให้
แล้วก็บอกว่า สองคนครับ
คนขับทอนเงินให้ผมเสร็จแล้ว ก็รีบ ขับรถออกไปเลย
พอผมหันมาดูตังส์ทอนในมือ
อ้าว ทำไมเขาเก็บค่าโดยสารแค่คนเดียว
ก็เลยเดินไปบอกเพื่อน
เออ.. แปลก วะ เขาเก็บค่าโดยสาร คนเดียวเอง 55555
เพื่อนก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่อ
แล้วก็พาผมเดินเข้าไปตามทางเดินข้างทาง
มันเป็นเหมือนทางเล็กๆ มีหญ้าขึ้นเต็มทาง เดินเข้าไปเกือบๆ ห้าร้อยเมตร
ก็ถึงบ้านเพื่อน
วินาทีแรกที่เห็นบ้านเพื่อน
โอ้ แสงยามเย็น มันทำให้บรรยากาศน่ามองมาก
บ้านเพื่อนเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง หลังไม่ใหญ่มากนัก
ข้างๆหน้าบ้าน มีกองฟาง ด้านหลังบ้านเป็นทุ่งนาผืนใหญ่
มองไปไกลๆ มีบึงน้ำขนาดใหญ่ อย่างกะทะเลสาป
"โอ้ สวยๆ สวยๆ ไม่เสียแรงจริงๆที่มา เป็นธรรมชาติมากๆ"
พอเพื่อนพาขึ้นไปบนบ้าน มันต้องปีนบันได แบบบันไดลิงขึ้นไป
พอขึ้นไปถึงชานบ้าน ก็จะเป็นชานบ้านโล่งๆไม่มีหลังคา
ผมก็เดินไปดูรอบๆตรงชานนั้น มองไปด้านหลัง เห็นทุ่งนา
สวยมาก เพื่อนเดินหายเข้าไปในบ้าน
คือถัดจากตรงชานพักไปก็จะไปช่องทางเดิน
ตรงช่องทางเดินก็มีห้อง สองห้องอยู่ตรงข้ามกัน
ผมเดินไปดู เห็นแต่ประตูบานขวามือเปิดอ้าอยู่
เลยเดินตามไปดู ชะโงกหน้าเข้าไปมองหาเพื่อน
บรรยากาศมันมืดทะมึนทะมึน หน้าต่างมีบานเดียว
แง้มๆอยู่ มองไปรอบๆห้อง มีตู้เก่าๆดูมืดๆ อยู่หลายตู้
ดูไม่ออกว่าตู้อะไรบ้าง มีแคร่ไม้ มีโต๊ะ เก้าอี้ไม้ แบบ
ที่ใช้ในโรงเรียนเด็กประถม
ผมดูผ่านๆ ไม่เห็นเพื่อน ก็รู้สึกแปลกใจ
อ้าวหายไปไหน
แค่คิดในใจ
ก็ได้ยินเสียงเพื่อนตอบกลับมาว่า
อยู่นี่
ผมก็เลยโผล่หัวออกมาดูข้างนอกห้อง มองไปในบ้าน
เจอเพื่อนกำลังถือเทียนเดินมาพอดี
ผมก็ถาม อ้าว ไม่มีไฟฟ้าหรือ
เพื่อนก็บอกว่า มีแต่ว่าไฟคงดับอะ เปิดแล้วไม่ติด
แล้วเพื่อนก็บอกให้ผมเอากระเป๋าไปไว้ในห้องนั้นก่อน
เดี๋ยวมาทำอะไรกินกัน
พอเอากระเป๋าวางพิงไว้ในห้องได้
ผมก็รีบเดินตามเพื่อนเข้าไปหลังบ้านต่อ
พอเดินผ่านห้องสองห้องนั้นไป มันก็จะเป็นโถงครัว
ด้านซ้านมือมีห้องน้ำ ขวามือจะมีพวกเตาถ่านแล้วก็ข้าวของอะไรเต็มไปหมด
เพื่อนกำลังตั้งเทียนไว้ใกล้ๆแถวที่จะทำอาหาร
ผมก็ถามเพื่อนว่า แล้วคนอื่นไปไหนกันหมด
เพื่อนก็บอก ว่า
พ่อกับแม่ไปนา ยังไม่กลับเลย
สักพักแหละ เดี๋ยวก็มา
พอผมเข้าไปถามว่าจะให้ทำอะไรบ้าง
เพื่อนก็บอกว่าไม่ต้องทำหรอก เดี่ยวมันจัดการเอง
ผมก็เลยบอกเพื่อนไปว่างั้นขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน
เดี๋ยวมันมืดค่ำ ไม่มีไฟมันจะอาบลำบาก
ผมเดินถือเทียนอีกเล่มเข้าไปเอาเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว
ในห้องที่กระเป๋าวางอยู่
พอเดินออกมาถึงตรงหน้าประตู มองออกไปตรงชานพักหน้าบ้าน
เริ่มมองไม่เห็นอะไรแล้ว เพราะเริ่มมืดแล้ว
ผมก็เลยเดินเข้าไปเอาชุดเสื้อผ้าในห้องจะไปอาบน้ำ
ช่วงที่ค้นเอาเสื้อผ้าในกระเป๋าอยู่
ก็ได้ยินเสียงเพื่อนผมเหมือนมันกำลัง หั่นอะไรสักอย่าง
ได้ยินเสียงเขียงดัง ปักปัก ปักปัก
ได้ยินเสียงหยิบโน่นหยิบนี่ ของตก ป๊อกแป๊ก เสียงเดินตึงตัง
ไปมาเป็นระยะระยะ
พอผมได้ชุดกับผ้าขนหนูแล้ว ก็เดินถือเทียนออกมา
เดินไปทางครัว
พอถึงตรงทางเข้าหน้าครัว มองไปดูเพื่อนว่าทำอะไร
ผมก็ถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยครับ
เพราะเห็นเพื่อนเป็นเงาดำๆ นั่งยองๆอยู่
แต่ไม่มีหัว
พอเห็นแบบนั้นผมก็ถึงกับเข่าทรุดกระทันหัน
นั่งลงก้นกระแทกพื้นดัง ตึง
ก่อนที่เพื่อนจะรีบหันมา แล้วเงาดำๆนั้นก็หายวับ
กลายเป็นหน้าเพื่อนขึ้นมาแทน
แล้วเพื่อนก็ถามว่า อ้าวเป็นอะไร
ผมก็เลยบอกว่า
ปะ ปะ ปะ เปล่าๆ กระดานบ้านเองมันลื่นวะ
ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้น แล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำ
พอเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
จากที่ได้ยินเสียงเพื่อนทำอะไรตึงตัง
คราวนี้ ทุกอย่างกลับเงียบสนิทเลย
พอเริ่มอาบน้ำได้สักขันสองขัน
ผมก็หยุดฟัง ว่าเพื่อนมันทำอะไรอยู่
แต่ปรากฏว่า มันเงียบมาก
เงียบราวกับว่า ที่นี่เป็นบ้านร้างเลย
พอฟังอยู่ตั้งนาน เห็นเงียบผิดสังเกต ผมก็เลย ตะโกนเรียกเพื่อนไป
เฮ้ย.. ทำไรอยู่วะ
พอพูดออกไป ก็นิ่งฟังคำตอบ แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
ผมก็เลยถามไปอีกรอบ
เฮ้ย.. อย่าเงียบดิ ชวนคุยหน่อย มันวังเวงหวะ
สิ้นเสียงผม ผมก็เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนเพดานห้องน้ำ
ผึ่งหูรอฟัง เสียงตอบกลับมา อย่างตั้งใจ
แต่ก็เงียบอีก
ผมกรอกส่ายสายตาไปมา มองดูเพดานห้องน้ำ
มันเป็นหลังคาสังกะสีเก่าๆ มีขื่อไม้ยึดเป็นระยะระยะ
แล้วก็มีหยากไย้อยู่เต็มหลังคาไปหมด
พอสังเกตดูดีๆ กลับไม่เห็นมีแสงไฟจากเทียน ข้างนอกส่องมาเลย
มีแต่แสงเทียน ที่ผมตั้งไว้ในห้องน้ำ พริ้วไปมาอยู่บนเพดานสังกะสีเก่าๆตรงนั้น
พอเห็นแบบนั้น ผมก็เลยตัดสินใจ
ค่อยๆ ย่องไปที่ประตูห้องน้ำ แล้วก็ค่อยๆปลดกลอน จับประตูเปิดแง้มออกช้าๆ
ค่อยๆโผล่หน้าออกไปดูข้างนอกห้องน้ำ
พอมองออกไปดูรอบๆ ก็เล่นเอาขนหัวผมลุกตั้งขึ้นมาเลยครับ
เพราะข้างนอกมันมืดตึดตื๋ด ไม่มีใครอยู่ในห้องตรงนั้นเลย
พอเห็นแบบนั้น ผมก็มือไม้สั่น รีบเข้าไปในห้องน้ำ ดึงเทียนที่ปักอยู่
รีบเอาออกมาส่องดู บรรยากาศ นอกห้องน้ำทันที
พอถือเทียน ออกมาส่องไปข้างนอกได้
ผมก็ต้องตกใจอีก เพราะเจอร่างคนยืนอยู่ตรงทางเดินที่จะเข้ามาในครัว
จนผมร้องสะดุ้ง อย่างลืมตัว
เฮ้ย.. ไอ้เ-ี้ย ตกใจหมด มาไม่ให้สุ้มให้เสียง
มองไปเห็นแต่เพื่อน เดินถือเทียนไปที่ตรงเตาไฟ
แล้วมันก็พูดว่า
เออ.. ข้ายกกับข้าวไปตั้งไว้ข้างนอกหน่ะ
ผมก็เลยรีบปิดประตูเข้าไป อาบน้ำต่อ แล้วก็พูดกับมันว่า
เออ.. เห็นแกเงียบไปนาน เลยเปิดไปดู นึกว่าหายไปไหน
หลังจากนั้นผมก็รีบอาบน้ำให้เสร็จ แล้วก็รีบแต่งตัวในห้องน้ำเลย
พอทำอะไรเสร็จแล้ว
ก็เดินมาดูเพื่อนในครัว ว่ามีอะไรให้ต้องช่วยยกไหม
แล้วผมกับเพื่อนก็ ออกมานั่ง กินมื้อค่ำกันที่ตรงลานที่เป็นชานหน้าบ้าน
พอนั่งลงตรงเสื่อที่เพื่อนปู มองไปที่อาหารที่เพื่อนทำ
มันก็ทำให้ผมรู้สึก กระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
เพราะข้างหน้าผม มีแต่พวกผักลวก กับ น้ำพริก มองไปอีกจานก็เป็นกระถินสดๆ
มองไปอีกจานก็เป็น แจ่ว มองไปอีกจานก็เป็นป่น
พอเพื่อนเห็นหน้า ผมจ้องมองอาหารอยู่นาน มันก็เลยพูดว่า
ทำไมอะ กินไม่เป็นหรือ
ผมก็เลยบอกเพื่อนไปว่า
เออ.. ข้าไม่ค่อยสันทัดผักลวก ผักต้มเท่าไหร่หวะ
เอ็งไม่มีพวกปลา พวกไก่บ้างหรือวะ
เพื่อนก็บอกว่า คนบ้านนอกเขาก็กินกันอยู่ประมาณนี้แหละ ขอโทษที
สุดท้ายผมก็เลยต้องฝืนกินไป มันรู้สึกขมๆแล้วก็เค็มๆ รสชาติชืดๆ
กินไปได้ไม่กี่คำ ผมก็บอกว่า อิ่มแล้ว
หลังจากที่เก็บกับข้าวไปไว้ในครัว และ ล้างมือล้างไม้
แล้วผมกับเพื่อนก็ออกมานั่งเล่นกันตรงชานด้านนอก
นั่งคุยกันเล่นกับเพื่อน ลมอ่อนๆพัดมาเย็นสบาย สบาย
ฟังเสียงจิ้งหรีดร้องเบาๆ คละ ไปกับ บรรยากาศเงียบสงบที่ไม่มีเสียงรถวิ่งให้หนวกหู
พูดคุยเรื่องเก่าๆ ที่มหาลัย ที่พอจะสรรหาเอามาคุยกับเพื่อนได้
นั่งคุยกันไป มองท้องฟ้ากันไป สักพัก ก็รู้สึก อยากเอนหลัง
ผมก็เลยนอนหงาย ตามองไปบนท้องฟ้า เห็นดาวบนท้องฟ้าชัดเจน
รู้สึกดีมากๆ อยู่ในเมืองตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมองท้องฟ้าเต็มๆตาแบบนี้เลย
พอมีลมพัดมาเบาๆ สักพัก ผมก็รู้สึก ง่วงขึ้นมาทันทีจนแทบจะ หลับไปเลย
คุยไปได้สักพัก ก็เลยบอกเพื่อนว่า ง่วง ตาจะปิดแล้ว
เพื่อนก็เลยพาไปนอนในห้องด้านขวา
เพื่อนบอกว่าห้องด้านซ้าย พ่อกับแม่เขานอน
ผมก็เลยบอกว่า ดึกแล้ว พ่อแม่ทำไมยังไม่มาอีก
เพื่อนก็บอกว่าไม่ดึกหรอก พึ่งจะ หัวค่ำเอง เดี๋ยวอีกหน่อยแกก็มา
พอเข้าไปในห้องด้านขวา เอาเทียนไปวางไว้ตรงโต๊ะ
เพื่อนมันก็เดินไปเอามุ้งออกมาจากตู้ตู้หนึ่ง
แล้วก็กางมุ้ง ครอบไปบนแคร่ไม้ ที่อยู่ติดกับหน้าต่าง
ช่วงที่กำลังจะกางมุ้ง มองไปบนแคร่ก็มีที่นอนปูอยู่สี่ที่
อืม แคร่มันก็ใหญ่พอๆจะนอนได้ถึง สาม สี่คนเลยทีเดียว
พอกางมุ้งเสร็จ
ผมเข้าไปนอน ด้านในสุด บนหัวผม มีหน้าต่างเยื้องๆอยู่
เพื่อนมัน ก็ นอนอยู่ตรงขอบด้านนอก
นอนคุยเล่นกับเพื่อนไปมา อยู่ๆก็ได้ยินเสียง ไม้ลั่น ดังเอี๊ยดอ๊าด อยู่นอกห้อง
ผมรีบมองไปดูตรงปลายเท้า ตรงผนังไม้ ข้างนอกมุ้ง เห็นเหมือนมีแสงไฟลอดออกมาเรืองๆ
แล้วสักพักก็ได้ยินเสียง คนแก่ไอ
ผมรีบหันไปทางเพื่อน
ใครอะ
เพื่อนก็เลยบอกว่า สงสัยพ่อกับแม่แกกลับมากันแล้ว
ว่าแล้วเพื่อนก็ลุก ออกไปจากมุ้ง ถือเอาเทียนที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะ
เปิดประตู เดินออกไป
พอเพื่อนเปิดประตู ผมก็มองเห็นเหมือนข้างนอกมีแสงไฟ สว่างสว่าง
เหมือนกับว่า เป็นแสงไฟนิออน
อ้าว.. ไฟมาแล้วหรือ
พอเพื่อนเดินออกไปข้างนอก สักพักก็ได้ยินเสียง เหมือนคนคุยกันไปมา
แต่ฟังไม่ออกว่าคุยเรื่องอะไรกัน
ผมก็นอนเล่นไป กำลังจะเคลิ้มหลับ
เพื่อนมันก็เดินเข้ามาในห้อง ผมมองไปก็เห็นข้างนอก เห็นยังมีแสงไฟอยู่
พอเพื่อนปิดประตู ในห้องก็กลับมามืดสลัว สลัวอีก
พอเพื่อนเข้ามานอนอยู่ข้างๆ ผมก็เลยถามเพื่อนไปว่า
ที่นี่เงียบมากๆ สมมุติ วันนี้ถ้าข้าไม่ได้มา แล้วไฟดับ
เอ็งอยู่คนเดียวเอ็งจะกลัวผีไหม
แล้วเพื่อนมันก็ เหมือนเงียบไป ก่อนจะพูดว่า
เอ็งมองออกไปตรงหน้าต่างสิ เห็นแสงไฟจากบ้านหลังนั้นไหม
พอเพื่อนถาม ผมก็รีบพลิกตัว ยืดตัวชะโงกหน้าไปดูตรงหน้าต่าง
ก็เห็นเป็นแสงไฟส่องออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง อยู่ไกลลิบๆ แต่มองไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
เพราะมองจากในมุ้ง
ก็เลยบอกเพื่อนไปว่า
เออ เห็นแล้ว ทำไมหรือ
แล้วเพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า
บ้านหลังนั้น อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก เมื่อหลายปีก่อน แม่เขาป่วยเพราะอายุมากแล้ว
พอแม่เสียชีวิตไป ไม่นานพ่อก็มาเสียตามไปอีกคน ในเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก
ก็เลยเหลือแต่ลูกเขาอยู่คนเดียว
วันหนึ่งก็มีคนไปพบว่า ลูกชายเจ้าของบ้านได้ผูกคอตายอยู่ในบ้านหลังนั้นไปอีกคน
"บ้านหลังนั้นก็เลยถูก ทิ้งร้างไว้ ไม่มีใครไปอยู่ "
"วันดีคืนดี ก็จะมีไฟเปิดขึ้นเองที่บ้านหลังนั้น"
" อย่างที่เอ็งเห็นนั้นแหละ"
พอเพื่อนพูดจบ ผมก็ขนหัวลุกซู่ขึ้นมาเลย
อ้าว เฮ้ย... ไม่มีใครอยู่จริงหรือ
เพื่อนก็หัวเราะ หึ หึ ในลำคอ
พอตั้งสติได้ผมก็เลยบอกเพื่อนไปว่า
เฮ้ย.. บ้า ใครจะมาเปิดไฟ ถ้าไม่มีใครอยู่ ไม่มีหรอก เอ็งอย่ามาอำ ก็คงมีคนอาศัยอยุ่แหละ
พอเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ผมก็เลยบอกเพื่อนเลิกคุยเรื่องผีดีกว่า
นอนๆ
ผมรีบตัดบท
พอแยกย้ายกันนอนได้สักพัก ผมก็หลับไป
มารู้สึกตัวอีกที ตอนรู้สึกหนาวๆไปตามตัว ลืมตาขึ้นมา ก็เจอบรรยากาศมืดๆสลัวสลัวในห้อง
ผมดึงผ้าหุ่มขี้งาผืนบางๆขึ้นมาคลุมตัว
หันไปมองทางเพื่อน ปรากฏว่าไม่เจอเพื่อนนอนอยู่
อ้าว.. ไปไหนวะ กลางดึกแบบนี้
สักพักก็ได้ยินเสียง ประตูดัง แอ๊ด... (ช้าช้า)
พอหันไปมอง ก็เห็นเหมือนประตู แง้มๆอยู่
พอขยับตัวไปมา พลิกตะแคงข้างจะนอนต่อ
อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีไอเย็นผ่านลงมากระทบหัว เลยไปถึงแผ่นหลัง
ผมก็เลยหันไปมองทางหน้าต่าง
หรือว่าไอหนาวมันจะมาจากหน้าต่าง
ก็เลยลุกขึ้น มุดตัวออกไปนอกมุ้ง เอื้อมมือไปดึงหน้าต่างปิดเข้ามา
แต่ช่วงที่กำลังจะดึงหน้าต่าง ผมก็บังเอิญมองไปเห็น แสงไฟจากบ้านหลังนั้น
ที่เพื่อนเล่าให้ฟัง เอ๊ะ.. ทำไม มันดูแปลกๆวะ
พอเพ่งมองดูดีๆอีกที
อ้าว มันเป็นเงาสะท้อนจากบ้านลงไปในน้ำนี่
ผมตกใจ มองไปดูตรงแสงที่ลอดออกมาจากหน้าต่างบ้านหลังนั้น
เห็นตัวบ้านแล้วมันคุ้นๆนะ
ผมก็เลยรีบดึงหน้าต่างข้างหนึ่งปิดเข้ามา ปรากฏว่า เงาบ้านที่เห็นในน้ำ
ที่หน้าต่างบานที่มีแสงส่องออกมา มันก็ปิดตามด้วยข้างหนึ่ง
ผมชะงัก
ลองเปิดหน้าต่างออก มองไปที่เงาบ้านหลังนั้นในน้ำ
หน้าต่างบ้านที่มีแสงมันก็ เปิดอ้าออกตาม
เฮ้ย.. อะไรวะ ผม งงไปหมด
พอขยับหน้าต่างไปมานิดหนึ่ง บ้านหลังนั้นมันก็ขยับหน้าต่างไปมาด้วย
พอเห็นดังนั้น ขนหัวผมก็ลุกตั้ง
รีบร้องบอกเพื่อน เฮ้ย... ผีหลอก
พอ ร้องออกมาจนสุดเสียง เงาสะท้อนบ้านหลังนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา
เห็นแต่ผืนน้ำเปล่าๆอยู่ท่ามกลางความมืด
ผมตกใจสุดขีด รีบผลักหน้าต่างออกไปทั้งสองข้าง จนหน้าต่างกระทบผนังบ้านดัง ตึง
เท่านั้นแหละ อยู่ๆ หมาก็หอนขึ้นมา เสียงเย็นยะเยือก
ผมรีบขยับตัวคลานไปทางเพื่อนที่นอนอยู่ ปากก็ร้องลั่น
เรียกชื่อเพื่อน
เอ็งอยู่ไหนวะ
พอถึงปลายเตียงก็รีบเปิดมุ้งออกมา
พอโผล่หัวออกมาจากนอกมุ้งได้ ก็เจอขาคนหล่นลงมาจากด้านบน
แล้วก็มาหยุดลอยอยู่บนอากาศ ตรงหน้าผม
ผมตกใจมาก แหงนหน้าขึ้นไปมองว่าขาใคร
พอมองขึ้นไปก็เจอ ร่างดำทะมึน คอพับลงมามองผม ตาถล่น ลิ้นห้อยลงมาถึงคอ
ร่างห้อยโตงเตงไปมากับเชื่อกที่ผูกอยู่บนขื่อบ้าน
พอเห็นดังนั้นผมก็ร้องออกมาจนสุดเสียง
ไอ้.. เี้ย
พลางกระโจน ตกจากเตียง รีบคลานไปที่ประตู
ร้องโวยวายไม่เป็นภาษา ตอนนั้นรู้สึกด้านหลังผม มันหนาวๆไปหมด
พอรีบผลักประตู คลานออกมานอกห้องได้
มองไปทางครัวมืดๆ เห็นยายแก่ๆ นั่งยองๆมองมาทางผม หน้าขาวซีด
ปากก็เคี้ยวอะไรไปมาอยู่ จั๊บจั๊บ จั๊บจั๊บ
พอผมเห็นแบบนั้น ผมก็ตกใจมาก รีบถอยหลังหนี ร้องลั่นสุดเสียง
พอมองดูดีๆอีกที ยายแก่ที่นั่งยองๆอยู่ ก็ทำท่าเหมือนคลานไปกับพื้น
แล้วก็ยกขาขึ้น ใช้มือยืนแทนเท้า แล้วตรงหว่างขาก็เป็นหัวคนแก่ๆยืดคอออกมา
หันมาทางผม ในตาประกายวาบ เหมือนมีใครฉายไฟไปโดนตา
เท่านั้นแหละ ผมก็รีบลุกขึ้น วิ่งไปทางชานหน้าบ้าน
กระโดดจากชานหน้าบ้านลงไปที่พื้นอย่างไม่คิดชีวิต
พอยืนขึ้นมาได้ ก็ได้ยินแต่เสียง เพื่อนผมดังออกมาจากในบ้าน
พ่อ แม่ อย่า
เท่านั้นแหละ ผมวิ่งเลยครับ
วิ่งไปท่วมกลางความมืด ไม่รู้เหนือรู้ใต้
หมาก็หอนตลอด
พอได้ยินเสียงหมาหอน ผมก็รีบวิ่งไปทางเสียงหมาหอน
แสดงว่าแถวนั้นมันต้องมีบ้านคน
ผมร้องตะโกนลั่น มีใครอยู่ไหม ไปตลอดทาง
จนมาเจอถนนลูกรังที่ ผมกับเพื่อนนั่งรถมา
มองไปไกลริบๆ เห็นแสงไฟบ้านคนหนาตาอยู่อีกฟาก
ผมก็เลยรีบวิ่งไป จนสุดท้ายก็ไปเจอวัดครับ
พอวิ่งมาถึงหน้าวัด เห็นสุนัขยืนเห่าผมอยู่ สี่ ห้า ตัว
ผมไม่สนอะไร ครับวิ่งผ่าฝูงสุนัขเข้าไป จนพวกมันแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศ
พอวิ่งเข้าไปในวัดได้ พยายามมองหา ที่ที่สว่างที่สุด
แต่มองไปทางไหนก็มืดไปหมด จนผมตัดสินใจวิ่งไปตรงศาลาใหญ่ๆ
พอวิ่งไปถึงก็เห็นเหมือน ถูกปิดประตูเหล็กไว้ทุกด้าน
ผมก็เลย มองลอดช่องประตูเหล็กไป
อ้าวเฮ้ย... ไอ้เ.ี้ย
โลงศพ
เท่านั้นแหละ ขนหัวผมก็ลุกตั้งขึ้นมาอีก
มองไปอีกด้านของศาลา มืดๆ ก็เห็นเป็นเงาหัวคนดำๆ โผล่ขึ้นมา
พอเห็นแบบนั้น มันก็ทำให้ผมหมดสติไปเลย
มารู้สึกตัวอีกที ตอนได้ยินเสียง หลวงพ่อพูดว่า
จับเขาลุกขึ้น
ผมลืมตา ก็เห็นเหมือนเด็กๆประมาณ ป.5 ป.6 จับตัวผมพยุงนั่งอยู่
มองไปรอบๆตัว
ก็เห็นชายแก่ๆคนหนึ่ง นั่งอยู่ด้านหลัง
แล้วข้างหน้าผมก็เป็นหลวงพ่อวัยกลางคน
ตาแก่ๆคนนั้นแกเป็นสัปเหร่อครับ พอดีที่วัดมีงานศพ
แกมานอนเฝ้าศพที่ศาลาครับ พอมาเจอผมเป็นลม
ตาเขาก็เลย ไปปลุกเด็กวัดมาช่วย แล้วก็หามกันมาหาหลวงพ่อที่กุฏิ
หลังจากหลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ แล้ว ท่านก็ถามว่า
ไปงัยมางัยหละ
ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่า มาค้างบ้านเพื่อนแล้วโดนผีที่บ้านเพื่อนหลอก
พอท่านถามจนรู้ว่าเป็นบ้านหลังไหนแล้ว หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า
บ้านหลังนั้น พ่อแม่ทยอยเสียไปทีละคน
สุดท้าย เมื่อกลางปีที่แล้วลูกชายก็มาผูกคอตายตามไปอีก
บ้านหลังนั้นมันก็เลยร้างมาพักใหญ่ๆแล้วโยม
พอได้ฟังหลวงพ่อเล่า ผมก็ตกใจมาก
หา ! ไอ้เรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟัง สรุป คือตัวมันเองหรือวะ
ผมขนลุกซู่ พยายามนึกว่า ผมเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ยังไง
ก็นึกไปถึงตั้งแต่ ตอนขึ้นรถ ที่เพื่อนมันโหนอยู่ท้ายรถ
ทำไมมันยืนอยู่เฉยๆโดยไม่เอามือไปจับอะไรเลย เหมือนลอยอยู่ในอากาศ
แล้วพอลงรถ ทำไมคนขับรถเก็บค่าโดนสารแค่เราคนเดียว
แสดงว่าไม่มีใครมองเห็นเพื่อนที่มากับเราเลย
แล้วก็ตอนที่เห็นเพื่อนเป็นเงาดำไม่มีหัว อยู่ในครัวนั้นอีก
เฮ้ย.. มันเฮี้ยน ขนาดนี้เลยหรือ
นึกว่าเราตาฝาด เพราะแสงมันมืดเสียงอีก
พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ รีบให้หลวงพ่อ ผูกสายสินที่ข้อมือให้
คืนนั้นผมก็เลยไปนอนรวมๆอยู่กับเด็กวัด
แต่กว่าจะได้นอน ผมก็ต้องไปล้างแข้งล้างขา ที่มีแต่โคลน
เนื้อตัวก็สกปรกมอมแมมไปหมด
กว่าจะได้นอน มองนาฬิกาก็ปาเข้าไปตีสองแล้ว
ตื่นเช้ามา หลังจากที่ เสร็จกิจช่วงเช้าแล้ว
ช่วงสายๆ หลวงพ่อก็ให้เณรไปที่บ้านหลังนั้นเป็นเพื่อนผม เพื่อไปเอากระเป๋า
พอปีนบันไดบ้านขึ้นไป ก็เห็นรองเท้าผมวางอยู่ข้างๆ ตรงที่บันไดพาดอยู่
มองไปตรงชานบ้านตรงนั้น มีแต่ฝุ่นจับที่พื้นหนา มีเศษไม้ใบหญ้าแห้งๆตกอยู่เกลื่อน
พอดูดีๆ ก็เห็นเป็นรอยเท้าคน เหยียบย่ำไปมาแถวนั้น
คงจะเป็นรอยเท้าผมเองเมื่อวาน เพราะยังดูเป็นรอยเท้าใหม่ๆอยู่
ถัดไปตรงมุมที่ผมกับเพื่อนเอาเสื่อมาปูนั่งกัน ก็เห็นเป็นเสื่อเก่าๆ ขาดๆ
ฝุ่นจับ สีซีด เหมือนมันถูกทิ้งให้ตากแดดตากฝนอยู่ตรงนั้นมานับปี
พอเดินต่อไปจนถึงตรงซอกทางเดินที่จะเข้าไปในตัวบ้าน
มองไปเห็นประตูขวามือเปิดแง้มอยู่
ห้องตรงข้าม ประตูปิดสนิทเหมือนเดิม
พอดูที่พื้น ก็มีแต่รอยเท้าผมเดินเหยียบย่ำไปมาอยู่เต็มไปหมด
จนเลยเข้าไปลึกถึงในครัว
ผมค่อยๆเดินไปเปิดประตูห้องที่แง้มอยู่ออกดูช้าๆ
เสียงประตูดัง เอี๊ยด ราวกับว่าบานพับมันฝืดเหมือนไม่ได้ถูกเปิดมานานแล้ว
ค่อยๆมองเข้าไปในห้อง ดูทึบๆมืดๆนิดหน่อย
.
เห็นบรรยากาศแล้วใจเสียขึ้นมาอีก
ไม่กล้าเข้าไป
หันไปบอกเณรที่อยู่หลังผม
เณร ผมรบกวนหน่อย ช่วยไปเปิดหน้าต่างให้หน่อย
เณรใจกล้ามาก
เดินเข้าไปในห้อง คนเดียว แล้วก็เปิดหน้าต่างออก
พอผมมองเห็นบรรยากาศในห้องมันไม่ทึบแล้ว ผมก็เลยค่อยๆเดินเข้าไป
มองไปตรง ที่นอนตอนผมนอนเมื่อคืน สภาพเป็นมุ้งเก่าๆ ฝุ่นจับจนดำ กางอยู่
มองเข้าไปดูข้างใน ตรงที่นอนเป็นที่นอนแบบแห้งๆเก่าๆ ดำๆ
เหมือนนุ่นมันยุบเพราะเปียกน้ำอะครับ
โห นี่คือสภาพที่เรานอน เมื่อคืนหรือนี่
หมอนก็เป็นหมอนขิดดำๆสีมอซอ
ใจผมเต้นแรงมาก เดินเข้าไปในห้องช้าๆ มองขึ้นไปตรงขื่อบ้าน
ใจผมก็ยิ่งเต้นแรงไปใหญ่
เพราะเห็นเป็นเชือก แบบที่เขาเอาไว้สนตะพายจมูกวัว
ผูกอยู่ที่ขื่อนั้น หลายทบ แต่มีรอยถูกมีดตัดตรงปลายเชื่อกที่ห้อยลงมา
อึ๋ย มะมะไม่มีใคร คิดจะเอาออกเลยหรือวะ
มือผมสั่นไปหมด พอนึกถึงภาพที่เจอเมื่อคืน
พอมองลงไปที่พื้นห้อง
นอกจากรอยเท้าผมแล้วยังมีรอยมือผมตะเกียตะกายไปตามพื้น
ทิ้งไว้ให้เห็น ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกด้วย
ผมรีบเดินไปที่ข้างๆตู้ที่กระเป๋าผมวางพิงอยู่ มองเห็นตู้ไม้เก่าๆไม่สูงนัก
เห็นหลังตู้มีฝุ่นจับหนา มองไปดูตู้ข้างๆเป็นตู้ไม้สีดำๆ ดูเก่าๆไม่แพ้กัน
พอก้มลงไปจะหยิบเอากระเป๋า กำลังรูดซิปปิด อยู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่า มีเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัว
ตากอยู่ในห้องน้ำตรงครัวหลังบ้าน
ผมก็เลยบอกให้เณรรอก่อน เดี๋ยวไปเอาเสื้อที่ตากก่อน
ว่าแล้วผมก็รีบเดินออกจากห้องตรงไปข้างในครัวหลังบ้าน
พอเดินไปถึงในครัวมองสภาพแล้วไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่
เพราะมันไม่ได้ทึบจนวังเวง ฝาบ้านตรงข้ามกับฝั่งห้องน้ำ ก็มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดกว้างไว้
เลยทำให้มีแสงสว่างพอสมควร
มองไปตรงแถวๆครัว ก็เห็นเตา ตู้กับช้าว เขียง เครื่องใช้ในครัวต่างๆ วางทิ้งไว้ มุมใครมุมมัน
ผมรีบหันไปมองทางห้องน้ำ จะเดินไปหยิบเอาเสื้อผ้าที่ตากอยู่ตรงราวไม้ไผ่ที่ผาดอยู่แถวนั้น
พอเดินไป แล้วหันหลังให้ครัวเท่านั้นแหละ
อยู่ๆก็เย็นสันหลังวาบขึ้นมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย
เพราะมันรู้สึกว่ามีคนกำลังนั่งจ้องมองผมออกมาจากตรงครัว
ผมรีบเดินเข้าไปหยิบเสื้อผ้าอย่างไว
ตอนนั้นมันเงียบมาก พอรู้สึกแปลกๆ ผมก็รีบเดินออกมาจากในครัว
ด้วยฝึเท้าที่ดังตึงตัง เพื่อทำรายความเงียบ
พอเดินพ้นมาถึงช่องทางเดินจะไปห้อง ผมก็ค่อยเดินเสียงเบาปกติ
เดินผ่านมาได้นิดหนึ่ง อยู่ๆก็ได้ยินเสียง แป๊ก ดังขึ้นอยู่ด้านหลังผม
จนผมสะดุ้งตกใจ ร้องลั่นขึ้นมาอย่างคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
พรางหันไปมอง ว่าเสียงอะไร พอมองไปเห็นกรอบรูปยายแก่หัวหงอกขาว
ตกอยู่ที่พื้น เท่านั้นแหละ ผมก็เข่าทรุดลงไปนั่งกับพื้น หลังพิงฝาบ้าน
ร้องลั่นจนสุดเสียง
อ๊า! อ๊า! อ๊า!
จนเณรต้องรีบวิ่งออกมาจากห้อง มาเขย่าตัวผม
ถามว่าเป็นอะไร
พอผมมองไปที่กรอบรูปเก่าๆ อันนั้น ก็เริ่มตั้งสติได้
ปะ ปะ เปล่า ตกใจอะ เล่นหล่นลงมาไม่ให้สุ้มให้เสียง
คนยิ่งขวัญอ่อนอยู่ด้วย
พอมองขึ้นไปดูตามฝาบ้าน ฝั่งที่รูปตกลงมา
ผมก็มองเห็นกรอบรูปเก่าๆ รูปหนึ่ง แขวนไว้ อยู่ห่างกันไม่ไกล
เป็นรูปผู้ชายแก่ ผมขาวเหมือนกัน
ใจผมเต้นแรงมาก พยายาม ตั้งสติใหม่อีกที
ค่อยๆลุกขึ้นไปหยิบกรอบรูปเก่าๆของยายที่ตกอยู่
แล้วเอาไปแขวนไว้ตรงที่เดิม ก่อนจะยกมือไหว้ รูปทั้งสอง
ผะ ผะ ผมจะ กลับแล้วนะครับ
ผมรีบพูดกับคนในรูป
แล้วก็รีบเดินกลับไปเอากระเป๋าในห้อง เณรก็ยืนรออยู่หน้าห้อง
ผมก้มไปที่กระเป๋ารีบยัดเสื้อผ้าลงในกระเป๋า
มือไม้สั่น สาละวน อยู่พักหนึ่ง
เฮ้ย.. เหมือนมันยัดเสื้อผ้าไม่ลงสักที
ผมเลยดันผ้า ล้วงมือเข้าไปจนสุดกระเป๋าอย่างแรง
อ้า.. ได้แล้ว
พอจะรูดซิป ก็เหมือนมีขอบจดหมาย ของเพื่อนที่ผมถือมาด้วย
มันโผล่ออกมาอะครับ
ผมก็เลยดึงจดหมายออกมา แล้วก็รูดซิป
ตอนแรกกะทิ้งจดหมายเพื่อนไว้แถวๆนั้น
พอยืนขึ้น หันไปทางประตู ก็เจอโต๊ะแบบโต๊ะนักเรียนประถม อยู่ข้างๆประตู
ผมก็เลยเดินไป กะเอาจดหมายไปวางไว้ที่โต๊ะนั้น
พอเดินไปใกล้ๆกำลังจะเอาจดหมายไปวางไว้
ผมก็สังเกตเห็นช่องโล่งๆใต้โต๊ะ ที่เขาเอาไว้ใส่สมุดเรียนอะครับ
มันเหมือนมีกระดาษหลายๆแผ่น อยู่ในช่องนั้น
ผมก็เลยก้มลงไปมอง หยิบขึ้นมาดู
ปรากฏว่ามันเป็น ซองจดหมายครับ
มีอยู่ สี่ ห้า ฉบับ
ผมก็เลยเอามาเปิดดู เป็นจดหมายที่ถูกเปิดซองอ่านแล้ว
พอเปิดอ่านดูข้างใน ก็เป็นจดหมายที่ส่งมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ส่วนใหญ่จะเขียนมาปฏิเสธ เพื่อนว่า มาไม่ได้
พออ่านไปอ่านมา เห็นส่วนใหญ่เป็นจดหมายปีที่แล้วทั้งนั้น
ผมก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า แล้วจดหมายที่ผมได้รับ ใครเป็นคนเขียนมาหาผม
เพราะเพื่อนได้เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่กลางปีก่อน
ผมก็เลยรีบเอาจดหมายที่ส่งมาถึงผม มาดูอีกครั้ง
พอมองดูหน้าซองจดหมาย ก็ทำให้ผมแทบช็อค
เฮ้ย !
เพราะมันเป็นจดหมาย ตกค้างตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ดันพึ่งส่งมาถึงผมไม่นานนี่เอง
โอ้.. คุณพระช่วย มีอย่างนี้ด้วยหรือวะ
บ้าเอ้ย ดันไม่ดูให้ดีก่อนว่า เป็นจนหมายตกค้างตั้งแต่ปีที่แล้ว
ผมตำหนิตัวเองในใจ
จากนั้นผมก็รีบเก็บๆจดหมาย ซุกเข้าไปในช่องใต้โต๊ะ
แล้วก็พูดว่า
เพื่อน ข้ากลับก่อนนะ ขอบใจเอ็งมาก
ว่าแล้วก็รีบเดินออกมานอกห้องทันที
พอกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปตรงชานหน้าบ้าน
อยู่ๆ ก็มีลมแรงพัดมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
พัดเอาเศษไม้ใบหญ้า ฝุ่นต่างๆตรงชานหน้าบ้าน
ตลบอบอวลไปหมด จนผมต้องเอามือมาปิดหน้าปิดตาไว้
แล้วผมก็พูดว่า
เฮ้ย เพื่อน ข้าจะกลับแล้ว ขอร้องหละ
พูดจบ
ลมก็หยุดพัดทันที
ผมค่อยๆเอามือที่บังตาออกช้าๆ มองไปข้างหน้า
ฟ้าโล่ง ปลอดโปร่งไม่มีพายุอะไร
ใจก็เริ่มหวิวๆขึ้นมาอีก ก่อนจะเดินต่อไป
พอจะเดินไป เหมือนมีอะไรมันปลิวมาติดที่เท้าผมครับ
ก้มลงไปที่พื้น ก็เห็นเป็นซองจดหมายฉบับหนึ่งตกอยู่ใกล้ๆ
พอผมหยิบขึ้นมาดู
เท่านั้นแหละ
น้ำตาผม ก็เริ่มไหลพรากออกมาโดยไม่รู้ตัว
แล้วผม ก็ร้องไห้ออกมา อย่างอดกลั้น
มองไปที่จดหมายฉบับนั้นอีก น้ำตาผมก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา
มันเป็นลายมือของผมเอง ที่จ่ายหน้าซองมาถึงเพื่อน
มันเป็นจดหมายที่ผมเขียน ว่าจะมาเยี่ยมเพื่อนตามคำเชิญ
ผมสะอื้นให้ออกมา อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ที่เริ่มเข้าใจความรู้สึกเพื่อนในตอนนั้นขึ้นมา
เอ็ง คงเหงาใช่ไหม เพื่อน
พูดไปปาดน้ำตาไป
จดหมายยังไม่ได้แกะอ่าน
ขอบคุณไปรษณีมากๆที่รู้ว่าไม่มีใครอยู่ ก็ยังอุตสาห์เอาจดหมายมาส่ง
"ไม่คิดเลยว่าข้าจะต้องมา ร้องไห้ให้กับการตายของเอ็งในวันนี้"
"ถ้าเอ็งได้ยินข้า เราจะเป็นเพื่อนกัน ตลอดไป เพื่อน"
ว่าแล้วผมก็ปาดน้ำตาอีก
เณร เขาก็เข้ามาบอกว่า ไปกันเถอะโยม เณร กลัว
นั้นไง
ตอนจบก็มาดราม่า จนได้
หลังจากที่ผมกลับมาบ้าน แม้ไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมบ้านเพื่อนอีกเลย
แต่ถ้าให้คิดถึงเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมา
ผมก็มักจะเล่าถึงเหตุการณ์ของเพื่อนคนนี้ ให้หลายๆคนฟังเสมอ
อยากเห็นหน้าเราไหม
เรื่องจริงชีวิตตอนเรียนมหาลัยจากคุณ อิ่มศรี สมาชิกพันทิปเจ้าของเรื่อง "นี่ๆ ... อยากเห็นหน้าเราไหม" เรื่องราวหลอนๆที่ของพักของเธอ เธอจะจัดการกับเรื่องหลอนๆนี้อย่างไรไปติดตามเลยครับ
ชีวิตมหาลัยนี่พูดได้ว่าไม่ง่ายเลยค่ะ ไหนจะเรียน อ่านหนังสือ ต้องรับมือกับสังคมเพื่อน ความเครียดต่างๆนานา
เพราะแบบนั้น ที่พักใจเดียวสำหรับคนไม่ค่อยมีเวลากลับบ้านแบบเรา ก็คือ'หอ'นี่ล่ะค่ะ
(ใครไม่ชอบช่วงอารัมภบทสามารถข้ามไปอ่านเนื้อหาในคอมเม้นท์ที่1ได้เลยนะคะ)
เราอยู่หอนี้มา2ปีด้วยกันค่ะ ตั้งแต่ตอนเข้าปี1ใหม่ๆ หอพักแห่งนี้เป็นหอในของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถบชานเมือง เป็นหอแบบนอนได้4คน มี2ห้องนอน 1ห้องนั่งเล่น สาธารณูปโภคครบครัน เรียกได้ว่าอยู่สบายเลยค่ะ ราคาตกเทอมละ 12,xxx - 15,xxx รวมค่าน้ำแล้ว เป็นราคาที่ถือว่ารับได้ และเพราะโลเคชั่นดีที่ มีรถฟรีของมหาลัยผ่านตลอด เราจึงตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่จนเรียนจบ
ช่วงแรกเนื่องจากบ้านอยู่ในเมือง นั่งรถเมล์แค่1ชั่วโมงกว่า เราจึงกลับบ้านค่อนข้างบ่อยประมาณอาทิตย์ละหน ด้วยความที่รูมเมทก็เป็นเด็กกรุงเทพ ในวันหยุดเลยไม่มีคนอยู่ที่ห้อง แต่การเดินทางกลับบ้านแต่ละหนนี่เหนื่อยมากค่ะ บางครั้งรถติดๆก็ใช้เวลา1-2ชั่วโมงบนถนน รอรถก็นาน แต่ที่บ้านอยากให้กลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะมองว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้ไกลมาก ตัวเราเองรู้ว่าเดินทางแต่ละหนไปกลับมันเสียเงินและเวลาเยอะมาก หมดพลังงานก็เยอะ ตื่นสายไม่ได้อีก สุดท้ายที่บ้านเลยยื่นคำขาดว่า ถ้าจะอยู่หอ ต้องหาจ่ายเองทั้งหมด เราก็เลยคิดว่า 'เอาวะ ลองดูซักตั้ง' สุดท้ายก็หางานพาร์ทไทม์ทำใกล้ๆหอ ทั้งหาค่าหอและหาค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้ตัวเองเล็กน้อย ให้มีบุฟเฟ่ต์เป็นกำลังใจให้ตัวเองเดือนละหนสองหน
ตั้งแต่นั้นเราก็กลับบ้านน้อยลง อยู่หอช่วงวันหยุดมากขึ้น เพราะงานเราเน้นทำช่วงวันหยุด ส่วนเรื่องอ่านหนังสือก็อ่านให้หนักขึ้นในวันที่ไม่ได้ทำงาน สุดท้ายชีวิตเราก็บาลานซ์มากขึ้น จนวันนึง รูมเมทเราย้ายออกค่ะ
รูมเมทย้ายออก หมายความว่าแต่นี้ต่อไปเราต้องนอนคนเดียว ถึงจะมีเมทที่อยู่อีกห้อง แต่เค้าก็กลับบ้านกันบ่อย เหลือเราอยู่คนเดียวกับเตียงว่างๆโต๊ะว่างๆ แรกๆก็สบายดีค่ะ เพราะชอบนอนคนเดียว ค่าหอก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่มเพราะเป็นแบบเหมาจ่ายรายคน วันไหนเมทอีก2คนอยู่ก็สนทนาพาเพลินกันปกติไม่มีเหงา
จนเมื่อปิดเทอมที่แล้ว ก็ไม่มีวี่แววว่าทางหอจะจัดหาใครย้ายเข้ามา แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดเทอม เราถูกเรียกตัวกลับมาทำงานกะทันหัน เพราะช่วงใกล้เปิดเทอมจะมีงานในมหาลัยเยอะขึ้น ร้านคนเยอะขึ้น จนพนักงานประจำทำกันเองไม่ไหว เราเองที่บ้านอยู่ใกล้สุดเลยต้องกลายมาเป็นพนักงานประจำช่วงนี้ไปโดยปริยาย
กลับมารอบนี้เหงาค่ะ กว่ารูมเมทจะกลับมาก็อีกอาทิตย์กว่าๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ เรากลับมาทำงานไม่ได้มานอนเฉยๆ เลยไม่ได้มีเวลาให้เหงาขนาดนั้น โดยช่วงที่อยู่คนเดียวจะเปิดพัดลมเป็นส่วนใหญ่ เพราะค่าไฟของหอนั้นหารและหักให้อัตโนมัติ ทำให้เกรงใจเพื่อนที่ต้องมาหารค่าไฟกับเราในช่วงปิดเทอมทั้งที่เราอยู่คนเดียว
จนถึงคืนหนึ่ง ด้วยความที่อากาศกำลังดีเพราะเป็นหน้าหนาวที่ไม่หนาวจัด(ดีหรือไม่ดีเนี่ย555 หน้าหนาวปีนี้หาความหนาวแทบไม่เจอเลย) เราเปิดกระจกปิดมุ้งลวดระเบียงห้อง เปิดพัดลมเบาๆ ทั้งที่ปกติจะไม่เปิดกระจก แต่ก็ไม่กลัวอะไร เพราะปกติเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี บวกกับได้ยินเสียงคนเดินกับลากเก้าอี้ตลอดจากห้องข้างบน เลยค่อนข้างอุ่นใจ หอตรงกันข้ามก็มีไฟเปิดอยู่บ้างถึงจะแค่ไม่กี่ดวง
หอพักที่เราอยู่ก็เคยมีประวัติมาบ้าง(แต่เป็นคนละตึก) ทั้งเด็กนิติฟุบเสียคาประมวล นักศึกษาเสียในห้อง กว่ารูมเมทจะมาพบศพก็เป็นตอนเปิดเทอม แต่เราก็มองว่าเป็นเรื่องไกลตัวมาตลอด ไม่ได้ขวัญเสียกับเรื่องเหล่านี้แต่อย่างใด (ส่วนใครที่อ่านแล้วนึกออกว่าเป็นมหาลัยไหนก็เหยียบไว้นะคะ 5555555555)
ย้อนไปตอนรูมเมทเก่าเรายังอยู่ เค้าเคยเล่าให้ฟังว่าเคยฝันไม่ค่อยดี จำได้ลางๆว่าเกี่ยวกับผู้หญิงที่มาอาบน้ำในหอ ถึงเค้าจะหนีออกจากห้องไป ผู้หญิงคนนั้นก็ยังเดินตามมาพร้อมกับรอยน้ำที่เปียกเป็นทาง จบลงที่ในฝันนั้นเมทเราหนีลงบันไดมาพร้อมกับเสียงฝักบัวไล่ตามหลังมา ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น และสะดุ้งตื่น แต่ด้วยความที่เค้าค่อนข้างเชื่อเรื่องผีเรื่องดวง เราเลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ คิดว่าคงคิดไปเอง
แล้วจนคืนนี้ ช่วงกำลังเคลิ้มหลับเราได้ยินเสียงกระดิ่งจากห้องด้านบน เป็นโมบายลมกรุ้งกริ้งซึ่งเราแอบรำคาญมานานแล้ว พอเปิดหน้าต่างยิ่งได้ยินเสียงชัดกว่าเดิม เรารำคาญจนหลับไป
ในฝันเรารู้สึกเหมือนลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องตัวเอง บนเตียงที่นอนอยู่ แต่จู่ๆประตูก็เปิดออก มีคนเดินเข้ามา วางของวางกระเป๋า และเดินขึ้นมานอนบนเตียงเมทเรา เราแอบมองอยู่เงียบๆในความมืด ก่อนจะคลุมโปงแกล้งทำเป็นหลับ แล้วซักพัก ข้อความในมือถือก็เด้งขึ้นมา
" รู้นะว่ายังไม่หลับ "
" เราเป็นรูมเมทใหม่เธอนะ "
" ออกมาเจอกันหน่อยมั้ย เปิดผ้าห่มออกสิ "
สิ่งที่เราตอบเค้าไปคือความเงียบ แล้วเค้าคนนั้นก็หัวเราะขึ้นมา "คิกคิกคิกคิกคิก" จนเสียงเงียบไป แล้วจอมือถือก็ติดขึ้น เป็นรูปใครก็ไม่รู้บนหน้าจอ พร้อมกับมีข้อความเด้งขึ้นมา
" เนี่ย เราเองแหละ ไม่เชื่อหรอ เปิดผ้าห่มสิ "
แล้วเราก็สะดุ้งตื่น
เหงื่อท่วมตัว อากาศอบอ้าว แต่แล้วความง่วงกับความขี้เกียจก็ชนะทุกอย่าง เราหลับตาลง และกลับมาโผล่ที่เดิม
" เนี่ย หน้าตาเหมือนเราเลยอะ "
" ไม่อยากเห็นหรอ เงยหน้ามาเร็ว "
โทรศัพท์มือถือยื่นมาต่อหน้าเราที่หลับตาไม่ลง นอนตะแคงข้างหลุบตาต่ำเพื่อเลี่ยงจะจ้องมองเจ้าของมือที่ถือโทรศัพท์อยู่ ในจอเป็นภาพวาดการ์ตูนตลกๆแบบคนไม่มีฝีมือ เรารวบรวมความพยายามทั้งหมดตะโกนออกไป "ไม่โว้ยยยยย"
" คิกคิกคิกคิกคิก ตามใจน้า "
เสียงหัวเราะดังต่อไปเรื่อยๆ เสียงผ้าเสียดสีกันของเสื้อค่อยๆเลื่อนตัวไปยังปลายเตียง มาจบที่ด้านหลังเราพร้อมเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เราสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงหายใจที่ยังก้องอยู่ในหู ในท่านอนเดียวกับในฝัน เสียงหัวเราะคิกคิกกับเสียงผ้าเสียดสีกันยังคงอยู่ มันมาจากเสียงกระดิ่ง และผ้าม่านที่ปะทะลมแผ่วๆ
เราออกมาล้างหน้าล้างตาที่ห้องกลาง บ่นผรุสวาทตัวเองไม่หยุด " โธ่เอ้ย พรุ่งนี้ทำงานทั้งวันนะ เลิกบ้าบอทีเถอะ " การนอนเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆของเรา สุดท้ายความกลัวทั้งหมดก็จบลงที่เตียงพร้อมกับความคิดที่ว่า " สองรอบยังพอไหวนะ คนบ้าที่ไหนมันจะฝันเรื่องเดิมสามรอบติดวะ "
และใช่ค่ะ เรากลับมาโผล่ที่เดิม
รอบนี้ความรำคาญชนะความกลัว ในฝันนั้น เราวิ่งออกจากห้องไปหาที่พึ่งสุดท้าย ห้องด้านบนที่ต้องมีคนอยู่แน่ๆ ผู้หญิงผมเผ้ารุงรังออกมาเปิดประตูรับด้วยเสียงงัวเงีย
" มีอะไรคะ "
" ขออยู่ด้วยแป๊บนึงได้มั้ยคะ " เราพูดพร้อมกับเอามือยันเข่าด้วยอาการเหนื่อยหอบจากการวิ่ง
" คิกคิกคิกคิกคิกคิกคิกคิก "
เราค่อยๆเงยหน้าขึ้น เสียงนี้ช่างคุ้นหู ยังไม่ทันที่จะรู้ตัวทันว่าไม่ควรขึ้นไปมอง สิ่งนั้นก็ก้มหน้าลงมาจนเกือบติดหน้าเราพร้อมพูดว่า
" ทีนี้จะยอมมองหน้ากูได้รึยัง "
เราไม่ทันเห็นหน้าของเค้า เราตื่นขึ้นมาก่อน พร้อมกับเปิดไฟทุกดวง ทานกาแฟ อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน(ตอนตี2) และนั่งอ่านหนังสือยาวๆจนถึงเช้า
รุ่งขึ้นเรากลับบ้าน นิมนต์พระมาหนึ่งองค์ไว้บนตู้เสื้อผ้า ในขณะที่เรากำลังกำจัดฝุ่นเพื่อเตรียมจัดองค์พระนั้น เราก็ไปเจอข้อความที่ว่า
" ห้องนี้ผีดุ " บนกำแพง
หลังจากนอนลำบากมาเป็นเดือน ตอนนี้กำลังจะย้ายออกแล้วค่ะ พอดีว่าหอกำลังจะปรับปรุง หวังว่าย้ายหอใหม่จะไม่ต้องฝันอะไรแบบนี้อีกแล้วนะ
และเรื่องกระดิ่ง หลังจากวันนั้นเราเอาโน้ตไปแปะหน้าห้องข้างบนเพื่อแจ้งให้ทราบเรื่องความรำคาญของเรา(หูหาเรื่องเองยังไปโทษเขาอีก) และใช่ค่ะ ไม่มีการเอากระดิ่งออก โน้ตยังแปะอยู่ที่เดิม เพราะห้องนั้นยังไม่มีคนกลับมาจากปิดเทอมค่ะ
ปล. ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเรื่องจริง แต่แน่นอนค่ะว่าเป็นความฝัน(ถ้าเจอตัวเป็นๆใครจะไปทนอยู่) จึงขอติดแท็กของถนนนักเขียนไว้เพื่อประกอบวิจารณญาณของทุกคนนะคะ
26 มิ.ย. 2562
ชีวิตอยู่ไม่เป็นสุข ฝรั่งเก็บเศษอิฐจากวัดกลับบ้าน
วัดในอยุธยามีเทวดาคุ้มครองมากไว้สำหรับคนที่บอกว่าแล้วพวกที่มาปล้นเมืองอยุธยา สำหรับคนที่ "ขโมย" ของติดไม้ติดมือกลับบ้านคิดว่าเป็นของขลัง สิ่งที่ไม่คาดคิดย่อมเกิดขึ้น แนะนำสองเรื่องนี้จากการเก็บ เศษซากอิฐปูนแตกหักกลับบ้าน และเก็บเศษแก้วสีเขียวมรกตจากวัดพระแก้วกลับประเทศตัวเองเพื่อเป็นที่ระลึก ลองไปติดตามกันเลยครับ
ผู้สื่อข่าวคมชัดลึกได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ ททท.พระนครศรีอยุธยา ว่า มีชาวต่างชาติส่งพัสดุไปยังสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ โดยระบุให้ส่งต่อมายังสำนักงานที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยภายในพัสดุเป็น เศษซากอิฐปูนแตกหัก จำนวน 3 ชิ้น ขนาดไม่เกิน 3 - 5 นิ้ว และมีจดหมายระบุเป็นภาษาอังกฤษ มีใจความแปลได้ว่า ขอความกรุณานำสิ่งของ 3 ชิ้นนี้ ส่งคืนบริเวณวัดใดวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วยครับ เพราะคนเอาไปอยู่ไม่เป็นสุข ฝากส่งคืนเจ้าของ ขอบคุณ โดยทางสำนักงานการท่องเที่ยวไม่ขอระบุชื่อผู้ส่ง

นายภาณุพงศ์ ยังกล่าวด้วยว่า ในคู่มือของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พระนครศรีอยุธยา ก็จะระบุคำเตือนเรื่องการเข้าชมโบราณสถานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปีนป่าย ก็มีคนตกลงมาหรือหกล้มบาดเจ็บ หรือเรื่องของการหยิบสิ่งของหรือเศษอิฐกลับไป แต่ก็ยังมีคนฝ่าฝืนแล้วก็นำกลับมา ตนเชื่อว่าเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนประวัติศาสตร์แห่งนี้ และยังเป็นสถานที่สำคัญที่ยังมีวิญญานบรรพบุรุษอยู่ จึงควรให้ความเคารพด้วย
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายเรวัต ประสงค์ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ว่า สมัยที่ตนเป็นหน้าห้องของ นายประเสริฐ โยธีพิทักษ์ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ขณะนั้น สมัยเดียวกับ นายบรรจง กันตวิรุฒ เป็น ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณปี 2539 มีคนแอบลักลอบขุดบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพบเงินพดด้วงจำนวนมาก จากนั้นนำไปขายให้กับร้านค้าในเกาะเมือง รวมทั้งแผงของเก่า ซึ่งทางราชการได้ประกาศให้นำมาคืน แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครนำมาคืน เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน มีคนทยอยนำเงินพดด้วง และสร้อยสังวาลโบราณไปคืนให้ที่สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ส่วนใหญ่เป็นญาติๆ ของคนที่เอาไป บอกว่า คนที่เอาไปจริงๆ ประสบอุบัติเหตุและเรื่องราวเดือดร้อน จึงนำเงินทั้งหมดมาคืน
นายเรวัต ยังเปิดเผยประสบการณ์ตรงด้วยว่า เมื่อคราวที่จัดงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ปี 57 บริเวณลานวัฒนธรรมตรงข้ามวัดมงคลบพิตร ใกล้กับวัดพระราม มีการนำภาพเก่ามาแสดง และมีการแสดงลิเก ดนตรีไทย ปรากฏว่า งานเลิกไปแล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน ตนอยู่กับ จนท. บริเวณพระเจ้าอู่ทอง ได้ยินเสียงระนาด ปี่พาทย์ จึงได้ชวน อส. ไปดู แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครเลย ตอนเช้าจึงได้มีการกราบไหว้ขอขมาและบวงสรวงอีก ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษมาเที่ยวชมงาน ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ส่วนที่บริเวณวัดมหาธาตุ และวัดพระศรีสรรเพชญ์ ก็ยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวนำอิฐเก่ามาเรียง หลายคนเชื่อว่าเป็นความเชื่อ หรือบางคนได้นำอิฐเก่าเหล่านั้นกลับมาคืนนั่นเอง
นายกรพจน์ หากวี อายุ 35 ปี อดีตเคยรับจ้างถ่ายภาพให้กับนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ เปิดเผยว่า ตนเคยเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประเทศฝรั่งเศส หยิบอิฐเก่าๆ บริเวณวัดพระศรีสรรเพชญ์ขึ้นมา แล้วขอไกด์นำกลับไปด้วย อยากเก็บเป็นที่ระลึก ซึ่งไกด์ก็บอกว่าไม่อยากให้เอาไป แต่นักท่องเที่ยวไม่ฟัง หยิบใส่กระเป๋าไป 1 ชิ้น ปรากฏว่า เวลาผ่านไปเกือบเดือน พบไกด์คนเดิมนำก้อนอิฐที่นักท่องเที่ยวเอาไปนำมาคืน โดยไกด์เล่าให้ฟังว่า นักท่องเที่ยวดังกล่าวเจอเรื่องร้ายๆ และประสบอุบัติเหตุ จึงได้ส่งพัสดุมาให้ตน แล้วให้ตนนำมาคืน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
นายไพโรจน์ ตั้งภักดีธรรม นักสะสมเจ้าของพิพิธภัณท์ตั้งภักดีธรรม ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ตนเปิดพิพิธภัณท์ให้นักท่องเที่ยวชมมาหลายปี มีของเก่าของโบราณมากมาย ซึ่งทุกชิ้นที่ได้มาเป็นของสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็จะมีการอธิษฐานและการทำบุญให้กับเจ้าของเดิมเป็นประจำ ยังไม่เคยเจอเรื่องร้ายๆ เนื่องจากตนเจตนาที่จะนำสิ่งของเก่าเหล่านั้น บอกเรื่องราวความเป็นอดีตให้คนรุ่นหลังได้ทราบ
เครดิต คมชัดลึก ออนไลน์
ฝรั่งเจอดีลบหลู่วัดพระแก้ว
มีข่าวทำนองนี้มานานแล้ว เช่นเรื่องฝรั่งเจอดีเพราะไปเก็บเศษแก้วสีเขียวมรกตจากวัดพระแก้วกลับประเทศตัวเองเพื่อเป็นที่ระลึก สุดท้ายต้องรีบส่งกลับคืนวัดพระแก้วเพราะเจออาถรรพ์
สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ว่า ได้รับการเปิดเผยจาก ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ว่าได้รับแจ้งจากการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า มีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน ชื่อนายเจอร์เกน ซี. ส่งจดหมายแจ้งความประสงค์ ขอส่งคืนเศษแก้วสีเขียวมรกต ที่เก็บไปจากเจดีย์พระมณฑป ในวัดพระแก้ว โดยภายในซองจดหมาย ยังบรรจุแก้วสีเขียวมรกตขนาด 1X1 นิ้ว มาด้วย โดยนักท่องเที่ยวคนดังกล่าว ให้เหตุผลในการนำเศษแก้วมาคืนไว้ว่า ตั้งแต่นำเศษแก้วกลับไปที่ประเทศเยอรมัน ชีวิตมีแต่สิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้น
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จดหมายของ นายเจอร์เกน ซี. ที่เขียนมานั้น ระบุว่า ได้มาท่องเที่ยวที่กรุงเทพมหานครกับแฟนสาวเมื่อ 2-3 ปีก่อน รู้สึกประทับใจวัฒนธรรมของประเทศไทยอย่างมาก และได้ไปเที่ยววัดพระแก้ว โดยระหว่างเดินชมความงดงามของสถาปัตยกรรมภายในวัดอยู่นั้น ได้พบแก้วชิ้นเล็กๆ สีเขียวตกอยู่ที่พื้น เข้าใจว่าเป็นแก้วประดับจากเจดีย์องค์ใดองค์หนึ่งร่วงลงมา ในเวลานั้นคิดว่าเป็นสัญญาณจากพระพุทธเจ้าที่อนุญาต ให้นำชิ้นแก้วเก็บไปเป็นที่ระลึกในการเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามเช่นนี้ จึงได้ถามไกด์ที่นำเที่ยวในวันนั้นว่า สามารถที่จะเก็บเศษแก้วชิ้นนี้กลับไปได้หรือไม่ ซึ่งไกด์ตอบกลับว่า ให้ตนกำหนดจิตและขอจากองค์พระพุทธรูป ขณะนั้นรู้สึกเหมือนได้รับสัญญาณจากองค์พระว่าให้เก็บไปได้ แต่ขณะนี้กลับรู้สึกละอายมากที่เข้าใจผิด ทั้งนี้ เพราะตั้งแต่ได้แก้วชิ้นนี้มามักจะพบแต่เรื่องโชคร้ายตลอด ซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับแก้วที่เก็บมาจากวัด พระแก้วหรือไม่ จึงตัดสินใจว่าจะส่งแก้วคืน เพราะคิดว่าไม่สมควรที่จะเป็นเจ้าของแก้วชิ้นนี้
ม.ร.ว.จักรรถกล่าวอีกว่า ชิ้นแก้วที่นายเจอร์เกน ซี. นำมาคืนนั้น เข้าใจว่า ททท.คงจะนำกลับไปส่งคืนที่วัดพระแก้วแล้ว โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน น่าจะถือเป็นโชคร้ายที่นำของศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นของที่ระลึกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรืออาจจะเชื่อกลุ่มมัคคุเทศก์ที่ไม่มีจรรยาบรรณ เพราะคนไทยมีความเชื่อว่าห้ามเก็บสิ่งของต่างๆ ภายในวัดกลับไปไว้ที่บ้านเพราะจะทำให้โชคร้าย ต้องมีอันเป็นไป เช่น เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ และตนยังเคยประสบเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เมื่อครั้งไปบูรณะพระธาตุพนม จ.นคร
พนม คนงานที่เข้าไปซ่อมแซมแอบนำโบราณวัตถุกลับบ้าน ทำให้เกิดสิ่งไม่ดีต่อชีวิต จนต้องนำโบราณวัตถุกลับมาคืนและทำพิธีขอขมาที่วัด จากนั้นปัญหาต่างๆก็หมดไป สมบัติของวัด โบราณสถาน โบราณวัตถุ ไม่ว่าจะอยู่บน ดิน ในน้ำ ไม่ใช่สมบัติของใคร และไม่มีใครสามารถนำมาเป็นสมบัติส่วนตัวได้ ของทุกสิ่งมีคำสาป มีคาถากำกับ เพราะไม่ต้องการให้คนนำไปเป็นสมบัติส่วนตัว แต่ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่า หลังจากนี้จะเรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศิลปากร ททท. มัคคุเทศก์ เพื่อหาแนวทางในการป้องกันสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งแนวทางในการป้องกันพวกที่ชอบงัดแงะ เศษกระเบื้อง หรืออิฐ จากโบราณสถาน จากวัดไปเป็นสมบัติส่วนตัว นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะหารือกับนักกฎหมายเพื่อหาทางเพิ่มโทษ เพราะปัจจุบันความผิดเกี่ยวกับการลักขโมย ทำลายโบราณสถาน โบราณวัตถุตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาทนั้นน้อยไป ต้องลงโทษพวกที่นำสมบัติของแผ่นดินไปเป็นสมบัติส่วนตัวให้หนักขึ้น
ทั้งนี้ ในจดหมายที่นายเจอร์เกน ซี. เขียนมาถึง ททท.นั้น ระบุว่า ตนกับแฟนสาวเดินทางเข้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ เมื่อ 2-3 ปีก่อน แล้วเดินทางกับคณะทัศนศึกษาจากกรุงเทพฯ มุ่งไปฮ่องกง รู้สึกประทับใจในวัฒนธรรมไทยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการได้ไปเที่ยวชมที่วัดพระแก้ว ที่นี่ตนได้เก็บชิ้นแก้วเล็กๆบนทางขึ้นเจดีย์แห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นได้ถามไกด์นำเที่ยวว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงศาสนา และสถานที่อันงดงามนี้ได้หรือไม่ ไกด์บอกว่าให้อธิษฐานขอกับองค์ พระพุทธเจ้าเอาเอง จึงตั้งสมาธิอธิษฐานชั่วครู่หนึ่งแล้วคิดว่าได้รับประทานอนุญาตแล้ว ซึ่งตนเป็นคนเคารพนับถือศาสนาอย่างจริงจัง
และศรัทธาในพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับที่ศรัทธาต่อพระเยซู แต่มาถึงวันนี้รู้สึกว่าเหมือนมีเสียงใครมาคอยบอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร และรู้สึกละอายมากที่เข้าใจผิดไปเอง
"นี่อาจจะเป็นคำสาปแช่งหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ เกิดสิ่งเร้นลับตลอด 2-3 ปีก่อน ตนประสบแต่เรื่องเคราะห์ร้าย มีทั้งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและการงาน จนกระทั่งได้ยินคำร่ำลือถึงอาถรรพณ์ของวัด เลยคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ ดังนั้นจึงได้ส่งเศษชิ้นแก้วเล็กๆนี้มาพร้อมกับจดหมายเพื่อนำกลับคืนสู่ที่เดิม และพร้อมที่จะส่งเงินมาบริจาคให้แก่ทางวัด ในการทำพิธีขอขมาเพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งที่เลวร้ายออกไป" นายเจอร์เกนระบุไว้ในจดหมาย.
หอพักแฝดกับประสบการณ์ผีๆ
เรื่องราวของนิสิตนักศึกษาที่ต้องย้ายเข้ามาอยู่เมืองกรุง ด้วยเหตุจำเป็นหลายประการที่ต้องมีที่พักอาศัยและส่วนมากแล้วก็หนี้ไม่พ้นหอพัก ที่ถึงแม้เลือกหอพักอย่างดิบดีแล้วก็ยังหนี้ไม่พ้นเรื่องหลอนๆประจำหอพักขอหยิบยกเรื่องราวจากกระทู้พันทิป "ประสบการณ์หลอนหอพักแฝด ย่านบางแสน" ที่เธอไม่ยอมที่จะย้ายออกเนื่องจากเหตุผลบางประการ ติดตามประสบการณ์หลอนนี้กันเลย
“ความเชื่อส่วนบุคคล” หากใครไม่เชื่อหรือยังไงไม่ว่ากันค่ะ อ่านเอาสนุกๆก็ได้ ไม่ซีเรียสเน้อออ
เราเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวบางแสนค่ะ จริงๆเป็นคนต่างจังหวัด ที่เข้ามาเรียนเพราะบ้านน้าอยู่แถวชลบุรี เราพักอยู่หอพักแห่งหนึ่งแถวๆมอ เป็นตึกแฝด 8 ชั้น วันแรกที่พ่อกับแม่พาเราย้ายมาหอ(บอกก่อนนะคะ เราหาหอผ่านทางอินเตอร์เน็ตค่ะ ยังไม่เคยเห็นหอมาก่อน เห็นครั้งแรกก็ตอนจ่ายค่ามัดจำแล้วพี่คนดูแลหอมาไปดูห้องเลย) เราไปจ่ายค่ามัดจำที่อีกตึกค่ะ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตึกแฝดไปประมาณ100เมตร ตอนแรกเราก็รู้สึกโอเคนึกว่าจะได้อยู่ตึกที่มาต่ายค่ามัดจำ แต่พี่คนดูแลหอบอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นอีกตึกที่ตั้งอยู่ถัดไปอีก เราพักชั้น 2 ค่ะ ห้องที่เราพักอยู่ตรงกับประตูลิฟท์แบบพอดีเป๊ะๆ ความรู้สึกแรกที่เปิดห้องไปเหมือนในหนังผีเลยค่ะ5555 ลมอะไรไม่รู้พัดผ่านหน้าไป (ในใจตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรนะคะ คิดแค่ว่าห้องใหม่ๆ กำลังเห่ออยู่5555) พอพี่คนดูแลหอแนะนำอะไรเสร็จเขาก็กลับไป เราก็เดินไปถามแม่เลยค่ะว่ารู้สึกอะไรไหม (แม่เรามีเซ้นต์ ) เราไม่รู้ว่าเพราะแม่ไม่อยากให้คิดมากหรืออะไร แม่บอกเราว่ารู้สึกเฉยๆ เราก็โอเค ถ้าแม่เฉยๆแปลว่าไม่มีอะไร หลังจากที่ไหว้ศาลตรงหน้าหอเสร็จเราก็มาจัดของ จุดเริ่มต้นมันอยู่ตรงคืนแรกนี่แหล่ะค่ะ ด้วยความที่เดินทางไกลแล้วพ่อขี้เกียจขับรถไปนอนบ้านน้าพ่อกับแม่เราก็เลยนอนพักที่หอเราก่อน ในตอนที่เราหลับเราฝันว่า หอเรากลายเป็นตึกร้าง มีผีเต็มไปหมด เรากลัวมากวิ่งหนีเท่าไหร่ก็วนกลับมาที่เดิม อยู่ก็มีเสียงหัวเราะขึ้นมา เรามองไปตามเสียงหัวเราะ เห็นผู้หญิงผิวขาว ผมยาวมาก ปล่อยผมให้ลากพื้น นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่มันโยกได้ค่ะ ใส่ชุดสีชมพู หน้าตาสวย ข้างๆเป็นผู้หญิงยืนอยู่ตัวขาวซีด หน้าตาน่ากลัวมองมาที่เรา ผญ.คนที่ใส่เสื้อสีชมพูชี้นิ้วมาที่เราแล้วบอกให้เราเดินไปนับตุ๊กตาที่อยู่ติดกับทางเข้าหอ(เรายืนอยู่ตรงกลางหอ)ด้วยความกลัวเน๊อะเราก็ไปนับ นับครั้งแรกได้6 ตัว แล้วผญ.คนนั้นก็บอกให้เรานับอีก พอนับอีกทีได้4 แล้วเขาก็หัวเราะ หัวเราะแบบสะใจมาก พอเช้ามาเราเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกเราว่าเขามาให้หวยรึป่าว แต่แม่ไม่ซื้อค่ะ ตกตอนเย็นมา หวยออกตัวนั้นจริงๆ (ย้ายเข้าหอวันที่15หวยออกวันที่16) แม่เรานี่ร้องกรี๊ดเลยค่ะ (เสียดายที่ไม่ซื้อ555 )
พอถึงวันที่มหาลัยเปิดเทอมแม่เราก็ต้องกลับ ใจนี่หายแว๊บไม่อยากให้แม่กลับ กลัว5555 คืนแรกที่เราต้องอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่คุ้นเคยก็มาถึง ช่วงแรกๆเราก็นอนปกติ ไม่มีอะไรไม่ฝันอะไรแต่หลังๆ เหมือนจะหลับไปแล้ว แต่อยู่ๆก็หายใจไม่ออก ขยับตัวไม่ได้(สเต็ปเดิม5555) ความรู้สึกเหมือนโดนผีอำ สายตาเรามองไปที่ปลายเตียงไม่เจออะไรค่ะ แต่มันดันมีที่ข้างเตียง เป็นผู้หญิงตัวดำเห็นหน้าแค่ครึ่งนึง มากระซิบข้างๆหูเราว่า “ขอบุญหน่อย ทำบุญให้หน่อย” (ห้องเราไม่มีพระ) เมื่อได้ยินแบบนั้น น้ำตาเราไหลออกมาเลยค่ะ ท่อง พุทธโธ ธรรมโม สังโฆ อยู่หลายรอบกว่าจะไป
พอเช้าวันถัดมาเราก็รีบไปทำบุญที่วัดแสนสุขให้เลยถัดทีค่ะ ทั้งถวายสังฆทาน ทั้งใส่บาตรตอนเช้าที่หนองมน พอทำบุญเสร็จโล่งใจมากค่ะ คิดว่าคงไม่เจออะไรแล้ว แต่ผิดคาด พอตกกลางคืนเป็นเหมือนเดิมค่ะ อาการผีอำมาอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ได้มาตัวเดียวเหมือนคืนก่อน มานั่งมายืนเต็มห้องเราไปหมด เราพยายามขยับตัวแต่ก็ขยับไม่ได้ ท่องนโม สวดมนต์ก็แล้วก็ยังไม่มีผลอะไร แล้วอยู่ๆก็มีเสียงผู้ชายตะโกนมาใส่หูเราว่า “ทำบุญให้กู ถ้าไม่ทำ กูจะเอาไปอยู่ด้วย” ด้วยความที่กลัวบวกกับความสงสัยว่าใครเป็นคนพูด เราก็เลยเหลือบสายตาไปมอง เป็นผู้ชายร่างท่วม ไม่เห็นหน้าค่ะ แต่รู้สึกได้ว่าน่ากลัวมากจริงๆ ในใจตอนนั้นคิดถึงหน้าพ่อกับแม่ทันทีค่ะ ท่องไว้ในใจตลอดในเมื่อสวดมนต์แล้วไม่ช่วย ก็ขอให้บุญของพ่อกับแม่คุ้มครองลูกด้วยเถอะ หลุดค่ะ ! สดุ้งตื่นขึ้นมาเลย พอคิดย้อนถึงความฝัน เลยเกิดความสงสัยว่า ทำไมมาขอเราต้องมาขู่ ถ้าขอก็ขอดีๆสิ นี่เล่นมาขู่ว่าจะเอาไปอยู่ด้วย โนสนโนแคร์ค่ะตอนนั้น ถ้าคุณขู่ เราไม่ทำค่ะ! 5555555 (ท้าทายสุดๆ5555) เราก็ไม่ทำให้เขาจริงๆนะคะ จนวันถัดมาเราโดนรถชนค่ะ รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงบาลแล้ว พี่ที่เห็นเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า เราโดนชนแล้วกลิ้งไปกลางถนน ซึ่งมีรถยนต์ขับตามหลังมา(เราขับมอไซค์) ถ้าพี่เขาไม่วิ่งไปดึงเราเข้ามาข้างถนน รถยนต์คันนั้นคงเหยียบหัวเราไปแล้ว ต้องขอบคุณพี่เขาจริงๆ ตอนนั้นคิดว่าเป็นเพราะเราไปท้าทายเขารึป่าวที่ไม่ยอมไปทำบุญให้เขา อีกใจนึงก็คิดว่าอาจจะบังเอิญก็ได้ แต่ยังไงก็แล้วแต่เชื่อไว้ก่อนค่ะ เมื่อพ่อกับแม่เรารู้ พ่อเรารีบมาหาเราทันทีค่ะแล้วหลังจากออกมาจากโรงบาลพ่อเราก็รีบพาไปทำบุญ แล้วไปเช่าพระมาไว้ที่ห้องเรา เรื่องเหมือนจะจบใช่มั้ยคะ ? แต่ไม่จบค่ะ จากที่โดนผีอำทุกวัน กลายมาเป็นอำทุกวันพระ (บางคนคงสงสัยว่าทำไมไม่ย้ายออกไป คำเดียวสั้นๆเลยค่ะ เสียดายค่าประกัน) เราต้องทำบุญทุกๆวันพระ ซื้อพวงมาลัยมาไหว้พระที่ห้อง เพื่อที่จะไม่โดนอำ บางทีเรากลัวเราโดนอำมากจนเราไม่นอน ช่วงแรกๆทรมาณมากค่ะ ไม่อยากกลับห้อง อยากไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ห้อง หลังๆ เขาเริ่มมาไม่ถี่ มาบางแค่ช่วงที่ไม่ได้ทำบุญ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีแต่ข้อเสียนะคะ ข้อดีเขาก็มี เช่นมาให้หวย พ่อเราซื้อตามนี่ถูกติดต่อกันหลายงวดเลย มาเตือนเวลาที่จะเกิดอันตรายกับเรา มีครั้งหนึ่งเราจอดรถติดไฟแดง พอไฟเขียวเราก็กำลังจะขับรถไป แต่เราได้ยินเสียงเรียกชื่อเรา เราเลยหันหลังกลับไปมอง แต่ก็ไม่มีใครที่รู้จัก รถมอไซค์คันข้างหลังเราเลยขี่แซงเราไปก่อน ปรากฏว่ารถมอไซค์คันนั้นโดนชนค่ะ ถ้าเกิดเราไม่ได้ยินเสียง คนที่โดนชนก็คงเป็นเรา ต้องขอบคุฯเขาจริงๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราฝันว่าเป็นเด็กแฝดตัวติดกัน 3 คน มายืนคุยกับเรา( ครั้งนี้ฝันค่ะ ไม่ได้โดนอำ) พอคุยไปสักพัก เด็ก 3 คน นั้นก็ถามเราว่า "พี่อยู่ที่นี่หรอ หนูก็อยู่ที่นี่ อยู่มานานแล้ว แม่ไม่มาหาพวกหนูสักที" ในฝันตอนนั้น เด็กยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ค่ะ เป็นต้นโพธิ์ที่ใหญ่มาก ใต้ต้นโพธิ์มีศาลเก่าเต็มไปหมด มีทั้งตุ๊กตาที่เขาใช้ไหว้ศาล ทั้งน้ำแดงน้ำเขียว ความรู้สึกในฝันเหมือนจะไม่ปลอดภัยแล้วค่ะ เราเลยเดินหนี เด็ก 3 คนก็เดินตาม เราเลยเปลี่ยนเป็นวิ่งแทน เด็ก 3 คนก็ยังวิ่งตามเรามาค่ะ แต่ที่พืเศษกว่านั้นคือ เขาบอกเราว่า "ขอบุญหน่อยๆ" แล้วแขน ขา เด็กแฝด 3 ก็เริ่มหลุดออก หน้าก็เริ่มเปลี่ยนจากหน้าตาน่ารักกลายเป็นน่ากลัวแทน เราวิ่งหนีทั้งร้องไห้ พยายามสวดมนต์ แผ่เมตตา ทั้งแผ่ผิดแผ่ถูก เขาก็ยังวิ่งตาม เราเลยนึกถึงหน้าพ่อกับแม่ค่ะ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ทั้งตัวเราเต็มไปด้วยเหงื่อ ตัวนี่ชุ้มเลยค่ะ ทั้งๆที่เปิดแอร์นอน เราเล่าให้เพื่อนฟัง จนไม่มีเพื่อนคนไหนกล้ามาหอเราเลย เราทนอยู่มา 1 ปี เต็มๆค่ะ พอวันที่ต้องย้ายหอ ขนของออกจากหอ พอเข้าไปคุยกับคนดูแลหอ เพื่อที่จะเอาค่ามัดจำคืน(วันที่รอคอยก็มาถึง) คนดูแลหอทำหน้ายิ้มๆแล้วถามเราว่า "ครบสัญญาแล้วหรอ ทนอยู่มาได้ยังไงตั้งนาน" เราได้ฟังก็สงสัยเลยถามกลับว่าทำไม คนดูแลหอก็ตอบเราแค่ " ป่าวๆ ถ้าเป็นพี่ พี่ออกไปตั้งนานแล้ว อยู่ไม่ไหว" ได้ยินแค่นั้น เราก็เก้ตเลยค่ะ 5555555 สรุปได้เงินประกันครบ ออกมาแบบแฮปปี้ ทุกวันนี้ย้ายมาอยู่หอใหม่ ก็ปกติดีค่ะ ไม่เจออะไร แฮปปี้มากก ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ อาจจะไม่สนุกมาก ไม่น่ากลัวมาก แต่เป้นประสบการณ์ที่เราเจอมาจริงๆไม่ปรุงแต่ง ผิดพลาดตรง
25 มิ.ย. 2562
เจอผีที่บ้านร้าง
จากประสบการณ์จริงจากพันทิป กระทู้ "สองแม่ลูกเจอผีที่บ้านร้าง" โดยLa-Aor na เมื่อเธอไปพบกับบ้านร้างหลังหนึ่งซึ่งเธอมาทราบภายหลังจากเจอเหตุการณ์สุดหลอน ว่าบ้านหลังนี้.....................
เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงเมื่อปี2543
เริ่มกันเลยนะค่ะ คือเรา2แม่ลูกเป็นคนต่างจังหวัด
ไปได้งานทำอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมืองจ. กำแพงเพชร เนื่องจากเพิ่งย้ายไปเจ้านายเห็นว่ายังไม่มีที่พัก
เลยแนะนำว่าให้ไปเช่าบ้านของแก ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก แกบอกจะลองไปดูก่อนก็ได้นะ
และช่วงเย็นวันนั้นเจ้านายก็พาไปดูบ้าน พอไปถึงสิ่งแรกที่เห็นคือประตูรั้วบ้านเป็นสังกะสี
สีเขียวเก่าๆ เก่าจนสีหลุดลอกขึ้นสนิมแถมมีเถาวัลย์เลื้อยเต็มไปหมด พอเปิดเข้าไปจะเจอต้นกระดังงาต้นใหญ่
มีศาลพระภูมิใกล้ๆมันเก่ามากหยากไย่นี่อย่างเยอะ เหมือนไม่เคยมีใครทำความสะอาดมาก่อน
เดินไปอีก50เมตรเจอบ้านไม้เก่าๆ ลักษณะเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง มองขึ้นไปบนบ้านเห็นมีประตูไม้เล็กๆกั้นไว้และมีโซ่คล้องประตูด้วย ข้างๆบันไดมีหมาดำตัวนึงนอนเฝ้าอยู่
ด้วยความสงสัยเราก็เลยถามว่าบ้านนี้ใครอยู่เหรอค่ะ แกบอกว่าไม่มีหรอกปิดไว้งั้นแหล่ะ
เราคิดในใจถ้าไม่มี จะคล้องโซ่ทำไม
ด้านล่างใต้ถุนบ้านมีห้องปูนติดกัน2สอง ห่างออกไปอีกก็เจอห้องแถวติดกัน3ห้อง
ห้องตรงกลางคือห้องที่จะให้เช่า เป็นห้องเล็กๆแคบมาก ฝุ่นก็เยอะข้าวของรุงรัง
มุมขวามีเตียงนอนอยู่1เตียง เรากับแม่มองหน้ากันไปมาเจ้านายเลยถามว่าเป็นไงอยู่ได้มั๊ย?
เราเองก็ไม่มีทางเลือกมากนักก็เลยตัดสินใจอยู่ แม่ถามเรื่องค่าเช่าจะคิดยังไง
แกบอกอยู่ไปก่อนเลย สิ้นเดือนค่อยว่ากัน เราก็แปลกใจแต่ก็คิดว่าแกคงสงสารมั้งเพราะเห็นว่าไม่ค่อยมีตังค์
พอเจ้านายกลับไป เรากับแม่ก็ช่วยกันทำความสะอาด จัดข้าวของซ่ะใหม่ กว่าจะเสร็จก็เกือบๆทุ่มนึง
ลืมบอกว่าห้องนี้ไม่มีห้องน้ำในตัว ถ้าจะใช้ต้องเดินถัดไปอีกห้องนึงและก็มีอยู่แค่ห้องเดียวด้วย
เรากับแม่เลยต้องผลัดกันไปอาบน้ำ
รอบๆบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้มันมืดมากต้องใช้ไฟฉายส่อง
เราอาบเสร็จก่อนก็มาแต่งตัวรอแม่ในห้อง ก็ทาครีมอะไรปกติ
ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงซักผ้า เราก็คิด ไหนแม่บอกจะว่าซักพรุ่งนี้ไง แต่ก็ช่างเถอะ ก็ไม่สนใจอะไร
พอแม่กลับมา แต่งตัวเสร็จกำลังจะนอน เราก็เลยถาม อ้าวแม่ นี่แม่ตากผ้าแล้วเหรอ
แม่ก็ถามตากอะไร ก็หนูได้ยินเสียงแม่ซักผ้านี่นา แม่ก็บอกมั่วแล้วเราอ่ะ
มาๆนอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องทำงาน เราก็บอกหนูยังไม่ง่วงเลย ถ้าไม่ง่วงอ่ะอ่านนี่ให้แม่ฟังหน่อย
แม่แกไปเอาหนังสือพิมพ์ที่ไหนไม่รู้มายื่นมาให้ เราก็พลิกไปพลิกมา
มันเก่ามากขาดหลุดรุ่ย บางหน้าปลวกก็กินไปเกินครึ่งล่ะ เหลืออยู่หน้าเดียวที่พออ่านได้
สรุปเป็นข่าวฆาตรกรรม เราก็กลัวนะแต่ก็จำใจอ่านให้แม่ฟัง
ในเนื้อหามีอยู่ว่า ผัวเมียคู่หนึ่งเป็นชาวพม่าทะเลาะกันเพราะความหึงหวง
ฝ่ายชายขาดสติจึงลงมือฆ่าตัดคอ แล้ว....พออ่านถึงบรรทัดนี้ จู่ๆไฟก็ดับ
เรากับแม่ตกใจมาก ตอนแรกคิดว่าไฟดับหมดทั้งละแวกนั้น แต่เราลองมองลอดหน้าต่างไปยังบ้านอื่นๆที่เห็นไกลๆ
เราก็เห็นไฟเปิดอยู่ เราเริ่มกลัวแต่แม่มีสติมากกว่ารีบบอกว่าสงสัยฟิวซ์ขาดมั้ง
เพราะหลอดไฟก็เก่ามากแล้ว ไม่ต้องกลัวนะนอนเถอะ
เราก็นอนลืมตาอยู่ในความมืด มันเงียบมาก มากจริงๆ
ผ่านไปสักพักเราได้ยินเสียงหมาที่นอนเฝ้าประตูบ้านนั้น
มันกระดิกหางไปมา ท่าทางดีใจเหมือนได้เจอเจ้าของ
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบรรได ก้าวช้าๆ ช้าๆ
และเหมือนค่อยๆถอดโซ่คล้องประตูออกและเปิดประตูเข้าไป
ใจเราเต้นแรงมาก แม่รู้ว่าเรากลัวก็กอดเราแน่น นอนฟังเสียงอยู่นานแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรอีกจนกระทั่งเราหลับไป
(เหตุการณ์ถัดจากนี้ได้เกิดขึ้นกับแม่คนเดียว ซึ่งแม่ได้มาเล่าให้ฟังในตอนเช้า)
ต่อนะค่ะ...หลังจากที่เราหลับไปแล้ว สักประมาณตี3กว่าๆ แม่ได้ยินเสียงคนเดินมาหยุดหน้าประตูห้อง
ยืนอยู่พักนึงก็เดินอ้อมไปทางด้านหลัง ซึ่งมีหน้าต่างอยู่สองบาน ก็ไม้เก่าๆอีกนั่นแหล่ะ
จากนั้นก็มีคนมาเขย่าหน้าต่างเสียงดังมาก เหมือนจะพังเข้ามาข้างในให้ได้
แม่ตกใจมากพยายามตะโกนให้คนช่วย ทั้งปลุกเรียกเราแต่ทำยังไงเราก็ไม่ตื่น
มุ้งที่กางไว้แม่สะบัดจนเชือกขาดลงมากองอยู่ที่พื้น เสียงนั่นก็ยังคงดังอยู่ไม่หาย
จนกลอนหน้าต่างจะหลุดออกอยู่ล่ะ แม่บอกไม่รู้จะทำไง
เลยคว้าอีโต้ที่อยู่ข้างเตียงขึ้นมาถือไว้แน่น เป็นไงเป็นกันจะผีหรือคน
ก็ลองดูแม่จะฟันให้เละเลย ด้วยความกลัวผสมความบ้าจึงเกิดเป็นความกล้า
แม่ตะโกนท้าท้ายออกไป "มา แน่จริงเข้ามาเลย เข้ามาหากูนี่กูจะสับให้เป็นชิ้นๆเลย"
ไม่พูดเปล่าแม่ตัดสินใจผลักหน้าต่างออกไปสุดแรง
สิ่งที่เจอคือความว่างเปล่า เงียบสงัดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอเช้ามาเราตื่นเห็นแม่นั่งถือมืดอีโต้อยู่มุมห้อง ตัวสั่นเทิ้มเลย
เราก็ตกใจ รีบถามแม่ๆ เกิดอะไรขึ้น!! แม่บอกเราออกจากที่นี่กันเถอะ
เดี๋ยวแม่เล่าให้ฟัง เราก็พอเข้าใจแหล่ะว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ
จึงรีบเก็บเสื้อผ้า แม่ได้โทรบอกเจ้านายว่าเราจะย้ายออกไม่ขออยู่ที่นี่แล้ว
เจ้านายก็รีบมารับและถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม่เลยถามตรงๆว่า
เจ๊,,บ้านนี้มีไรหรือเปล่า แกหน้าซีดแล้วเล่าให้ฟังว่า
เมื่อ5ปีก่อนมีพม่าสองผัวเมียมาเช่าห้องอยู่ที่นี่ ห้องนี้แหล่ะ และฆ่ากันตาย
โดยที่ผู้ชายได้ฆ่าตัดคอเมียของเขาและเอาศพยัดไว้ใต้เตียง แล้วหนีไป
เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งเลยล่ะ แต่เจ๊เห็นว่ามันผ่านมานานล่ะ
ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เราฟังจบก็รีบวิ่งไปหยิบหนังสือพิมพ์เล่มนั้นมาอ่านอีกรอบ ในนั้นจะบอกบ้านเลขที่ที่เกิดเหตุ
เรารีบออกมาดูป้ายบ้านเลขที่ซึ่งมีเถาวัลย์คลุมอยู่ พอเราดึงเถาวัลย์ออก เท่านั้นแหล่ะชัดเลย!! มันคือเรื่องเดียวกัน
เจ้านายรีบบอกขอโทษ ไม่คิดว่าเขายังอยู่ แหม่ อีเจ๊...จะลองมาพิสูจน์สักคืนมั๊ยล่ะ
อ้อ!!ส่วนเรื่องบ้านไม้นั้น อีเจ๊แกบอกว่าเป็นของคุณปู่แก แกหวงบ้านหลังนี้มาก
ถึงขั้นเอาโซ่มาคล้องไว้เวลาจะออกไปไหน พอแกตายก็ไม่มีใครเข้าไปยุ่งอีก ก็เลยปล่อยไว้แบบนั้น
**เข้ามาเสริมเพิ่มเติมค่ะ พอตอนเช้าระหว่างที่รอเจ้านายมารับ
เราออกไปเดินดูรอบๆบ้านเผื่อจะเจอร่องรอยอะไร รวมทั้งหน้าต่างบานนั้นว่าเสียหายตรงไหนหรือเปล่า
แต่ก็ไม่มีเลย ไม่มีรอยเท้าคน หน้าต่างก็ปิดสนิทไม่มีทีท่าว่าจะเขย่าได้เสียงดังขนาดนั้น
เจอแบบนี้ก็งงเหมือนกัน ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร??