หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

HOME

31 ก.ค. 2562

'เธอ' ในน้ำ


     เรื่อง 'เธอ' ในน้ำ  เรื่องสยองลี้ลับจากกระทู้พันทิป โดยนักเล่าผู้ที่เล่าได้อย่างสยองมากคือคุณ ลอยชาย หรือ LoyChinE ตามชื่อเรื่องดังกล่าวครับ เล่าถึงความสยองขวัญเกี่ยวกับน้ำลองไปติดตามกันเลยครับ

     เรื่องราวของผีสางหรือสิ่งลี้ลับนั้นมักไม่เข้าใครออกใคร และมันก็ไม่เลือกด้วยว่าจะไปเกิดขึ้นกับใคร หลายครั้งเป็นเรื่องที่คิดไปเอง หรือเรื่องโกหก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกันที่มันเกิดขึ้นจริง

          เรื่องราวของผีสางนั้นอาจพูดได้ว่าไม่สามารถจะหยิบยกเอามาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากผู้ที่ประสบด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าจะเคยเจอหรือไม่เคยก็แล้วแต่ คนเราก็มักจะกลัวไว้ก่อนเสมอ
          เรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องราวของ ความกลัว ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมจะขอเรียกเธอว่า ‘พี่ปลา’ และไม่รู้ว่าเพราะเหตุบังเอิญหรือความจงใจของใครบางคนเราได้มารู้จักกันในช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมทั้งเรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ได้แต่ทิ้งไว้เพียงแผลใจและความกลัวให้เธอเท่านั้น
           ทุกคนต่างมีสิ่งที่ไม่ชอบและไม่อยากเข้าใกล้ บางอย่างที่เรากลัว ความกลัวเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ อาจเป็นความหลัง ประสบการณ์ คำบอกเล่าหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มีความกลัวอย่างหนึ่งที่เราไม่รู้ว่ามันเกิดมาจากอะไร เรารู้แค่ว่า เรากลัว แม้ว่าเราจะไม่รู้ที่มาและสาเหตุ แต่เชื่อเถอะว่าเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อหนีจากมัน
          เรื่องราวความกลัวของ พี่ปลา ที่จะเล่าให้ฟังนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆคนอาจจะเป็นกันแต่สำหรับเธอคนนี้มันมากไปกว่านั้น เธอเป็นคน ‘กลัวน้ำ’ การกลัวน้ำลึกๆหรือน้ำเชี่ยวนั้นอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พี่ปลาเป็นมากกว่านั้น เธอกลัวที่จะต้องสัมผัสกับน้ำ แม้กระทั่งการอาบน้ำก็สร้างความรู้สึกด้านลบให้เธอในบางที
          ตั้งแต่จำความได้เธอไม่ค่อยถูกโรคกับน้ำสักเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ต้องเรียนว่ายน้ำเพราะที่บ้านไม่อยากให้เธอจมน้ำเมื่อเกิดอุบัติเหตุมักเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเสียเหลือเกิน เธอพยายามกลั้นใจทำตามความหวังดีนั้น แต่มันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆ เธอทำได้เพียงลอยตัวในน้ำไม่ให้จม แค่นั้น
          หลายครั้งที่เธอต้องไปเที่ยวกับเพื่อนๆและที่หมายก็มักจะเป็นทะเลเพราะใกล้กับที่อยู่อาศัยและสถานศึกษาในช่วงชีวิตนั้นของเธอ เธอรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่จะต้องลงไปในน้ำ แม้จะเพียงข้อเท้าเธอก็รู้สึกได้ว่า มันมีอะไรอยู่ในนั้น
           หลายๆคนอาจบอกว่าเรื่องแค่นี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเธอได้เลย รวมถึงผมด้วยเช่นกันผมไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะมากมายอะไรจนเธอต้องการความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ทางออกทางวิทยาศาสตร์แบบนี้
          เธอค่อยเล่าไปเรื่อยๆถึงความกลัวที่มีแม้ว่าเนื้อหามันจะวนไปวนมาเหมือนเธอไม่สามารถจะอธิบายสิ่งที่เธอรู้สึกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอเล่าได้อย่างชัดเจนถึงความกลัวของเธอคือ เธอรู้สึกว่ามีใคร หรืออะไรบางอย่างที่อยู่ในน้ำ
          ไม่ใช่น้ำลึกของทะเลหรืออะไรแม้แต่สระว่ายน้ำสวยๆในโรงแรมมันก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน ทุกครั้งที่เธอต้องลงไปในน้ำเธอจะรู้สึกถึงเสียงของใครบางคนที่สะท้อนก้องอยู่ในน้ำ ฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่ได้ยินชัดเจนแต่รู้ว่ามี เสียงนั้นเหมือนเรียก เรียกเธออยู่ตลอด
          ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้นที่เธอได้พบเจอ ครั้งหนึ่งเธอเคยพยายามจะรักษาความกลัวของเธอเพื่อชีวิตที่ปกติสุข เธอลองเดินลงไปในทะเลตื้นๆที่มีเพื่อนๆของเธออยู่ใกล้ๆคอยดูอยู่ไม่ห่าง เธอค่อยก้าวลงไปทีละนิดพร้อมต่อสู้กับความกลัวในใจ
          ครึ่งตัว เธอบอกกับผมอย่างนั้น เมื่อลงไปได้ครึ่งตัวเธอรู้สึกเหมือนมีมือของใครบางคนจับอยู่ตรงข้อเท้าแล้วออกแรงดึงจนเธอล้มลงแล้วจมลงไปในน้ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงดึงนั้นหรือคลื่นที่ซัดขึ้นลงตรงชายฝั่งทำให้เธอลอยไกลออกไปห่างจากที่ที่เพื่อนๆของเธอยืนอยู่
          พี่ปลาจำความรู้สึกนั้นได้ดี สัมผัสของมือที่ดึงเธอลงไปใต้น้ำ มันชัดเจน มากกว่าคำว่า คิดไปเอง จากเรื่องนั้นความกลัวที่มีค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิด จนในที่สุดก็เกิดเรื่องที่ทำให้เธอ กลัว จนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
          หลังจากวันเกิดของเธอในช่วงครบรอบ 27 ปีเต็ม ปีนั้นพี่ปลาบอกว่าชีวิตของเธอค่อยๆแย่ลง พูดได้เลยว่าดวงตกแน่ๆ เธอคอยไปตรวจดวงชะตากับหมอดูตามที่ต่างๆด้วยนิสัยของผู้หญิง และเกือบจะทุกที่ก็พูดเหมือนกันหมดว่า เธอกำลังดวงตกอย่างหนัก
          หลักจากถูกทำนายทายทักเหมือนๆกันจากหลายๆที่ เธอก็เริ่มเป็นกังวลและหาทางออกเพื่อความสบายใจของตนเอง ซึ่งในแต่ละที่นั้นก็มีพิธีกรรมแตกต่างกันไป เธอเลือกที่จะทำทุกอย่างที่เธอทำได้ ด้วยความที่เธอไม่มีปัญหาด้านการเงิน การสิ้นเปลืองกับเรื่องเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก
          แต่แล้วเรื่องราวรอบๆตัวเธอก็ไม่ดีขึ้นอย่างที่หวัง มันแย่ลง และเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาทำให้เกิดความยากลำบากทั้งในการทำงานและการดำเนินชีวิตนั้นจะมาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของสาวแกร่งอย่างเธอ แต่สิ่งที่เธอไม่สามารถจัดการกับมันได้กลับทำให้เธอแทบจะเสียสติ
           หลายต่อหลายคืนที่เธอมักฝันแปลกๆ ในฝันนั้นเธอมักจะเดินอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำซึ่งเธอไม่สามารถบอกได้ว่าน้ำนั้นเป็น สระ หรือว่าทะเล เพียงแต่รู้ว่ามีน้ำอยู่ใกล้ๆ บางคืนตัวเธอในความฝันจะเดินเข้าใกล้น้ำนั้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็เดินลงไปในนั้น
          เธอฝันอย่างนั้นอยู่ร่วมเดือนจนเธอเริ่มกลัวและสงสัยในตัวเอง แต่พี่ปลาก็ยังบอกกับตัวเองว่ามันคงเป็นความเครียดสะสมผสมกับความกลัวส่วนตัวเท่านั้น
          เวลาผ่านไปความฝันของเธอก็เริ่มจะเปลี่ยนไปด้วยเช่น เธอเริ่มฝันว่าเธอเหมือนลอยอยู่ในน้ำ เธอจมอยู่ใต้น้ำ แต่ไม่อึดอัด ความรู้สึกนั้นเธออธิบายไม่ถูกแม้แต่ในตอนที่เล่าให้ผมฟังเธอก็ขมวดคิ้วพูดวนไปวนมาไม่ได้ความ
          ความฝันที่มากขึ้นเรื่อยๆเริ่มมีผลกับชีวิตประจำวันของเธอ เธอเริ่มได้ยินเสียงแว่วในหู เสียงนั้นฟังไม่ได้ยิน เหมือนกับมันไม่ได้มาจากที่ไหน เหมือนกับดังอยู่ในหัว เธอฟังไม่รู้เรื่องในตอนแรกว่าเสียงนั้นพูดอะไร แต่เสียงนั้นมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเริ่มเข้าใจในความหมายนั้น มันเป็นชื่อของใครบางคน เธอมั่นใจอย่างนั้น
          ‘บุษบา’ ชื่อที่เธอได้ยินก้องอยู่ในหัวแต่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยเข้าใจความหมายของชื่อที่ได้ยินเลยสักครั้ง
          เธอเริ่มกลัวในสิ่งที่ตัวเองเป็น เรื่องผีอาจเป็นส่วนหนึ่งที่เธอคิดแต่มากไปกว่านั้นเธอกลัวว่าเธอจะเสียสติ หรือว่าเป็นบ้าไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจไปพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา
          การรักษานั้นไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและผลสรุปของเธอก็ไม่ต่างไปจากที่คาดเท่าไหร่นัก ทุกอย่างเกิดมาจากความเครียด เธอจึงได้รับยามากิน และการดูแลตัวเองเบื้องต้น
          แน่นอนว่าอาการเหล่านั้นมันไม่ได้หายไป และแล้วมันก็เกิดเรื่องที่ตอกย้ำความคิดของเธอให้ชัดเจนขึ้น
          คืนหนึ่งที่เธอไปออกงานต่างจังหวัดเธอได้พักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งใกล้กับแม่น้ำใหญ่ ที่พักนั้นสวยมากจนเธอคิดว่าคงเป็นโอกาสดีให้เธอได้ผ่อนคลายตัวเองจากเรื่องราวที่มีบ้าง
          คืนแรก เธอหลับไปตั้งแต่หัววันเพราะงานที่หนักหน่วงและการเดินทางข้ามจังหวัดในวันเดียวกัน คืนนั้นเธอไม่ฝันอะไรเลยหลับได้อย่างเป็นสุขที่สุดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา แต่ในตอนเช้าที่เธอตื่นขึ้นมานั้น เธอก้าวขาลงจากเตียงแล้วก็ลื่นเสียงหลักลงไปนั่งบนเตียงครั้งหนึ่ง เพราะน้ำที่นองอยู่บนพื้น
          พี่ปลามองน้ำที่นองอยู่บนพื้นอย่างตกใจ เธอพยายามคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะนอน เธอบอกผมว่าเธอแค่อาบน้ำแล้วมานั่งเป่าผมอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งมันอยู่อีกฝั่งกับที่เธอเจอน้ำบนพื้น
           เธอเล่าให้ผมฟังว่าห้องพักในวันนั้นเป็นห้องขนาดกลาง เป็นเตียงคู่ เข้าห้องมาจะเป็นทางเดินเล็กๆมีห้องน้ำอยู่ขวามือเหมือนกับโรงแรมทั่วๆไป แต่โต๊ะเครื่องแป้งจะอยู่ตรงช่องว่างระหว่างกำแพงห้องน้ำกับเตียงนอนที่หันข้างให้ไม่ได้อยู่ตรงปลายเท้าของเตียงเพราะตรงนั้นจะเป็นหน้าต่างไว้ให้ชมวิว
          นั่นหมายถึงหยดน้ำควรจะอยู่อยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งที่เธอเป่าผมเท่านั้นไม่น่าจะเลยมาจนถึงเตียงหลังที่สองที่เธอนอนได้ เธอเลือกนอนเตียงด้านในที่ไม่ใช่ตัวติดโต๊ะเครื่องแป้งเพราะมันติดกับประตูระเบียงที่เป็นกระจกยาวทำให้มองเห็นวิวด้านนอกได้
          น้ำที่นองอยู่บนพื้นนั้นมากพอสมควร แต่มันไม่ได้นองไปทั่วห้อง มันเลอะอยู่ตรงข้างเตียงระหว่างช่องว่างของทางเดินกับประตูระเบียงห้อง แล้วก็เลยไปจนเกือบถึงปลายเตียงนิดหน่อย พอพ้นเตียงมาตรงกลางห้องก็ไม่มีแล้ว ยิ่งหน้าห้องน้ำยิ่งแห้งมาก
          แต่เธอบอกว่า อาจจะเป็นฝนสาดเข้ามาก็ได้เพราะเมื่อคืนมีฝนตกพรำๆ ระเบียงด้านนอกก็ยังมีละอองน้ำเปียกตามพื้นให้เห็นบ้าง เธอออกไปเรียกแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดก็โดนบ่นนิดหน่อย แม่บ้านคิดว่าเธอทำน้ำหก ประตูกระจกมันดีพอที่จะไม่รั่วให้ฝนสาดเข้ามา แม่บ้านยืนกราน
          เรื่องแปลกในคืนนั้นยังติดอยู่ในสมองของเธอไปทั้งวันแม้ว่าเธอต้องทำงานไปด้วย และที่สำคัญเธอยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกหลายคืน
           ในช่วงเย็นก่อนจะกลับเข้าที่พักเธอแวะที่ตลาดเพื่อหาซื้อพวงมาลัยสวยๆมาหนึ่งพวงด้วยความคิดที่ว่าอาจจะเป็นเพราะไม่ได้ไปสักการะบอกกล่าวก่อนเข้าพัก เลยเป็นเหตุให้โดนรบกวน

พี่ปลารีบกลับมาถึงโรงแรมในเวลาไม่เย็นนัก อาจเพราะไม่ใช่ตัวเมืองใหญ่ก็เลยทำให้รถไม่ติด เธอเดินตรงไปถามที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่าที่นี่มีศาลหรืออะไรไหม ทางพนักงานก็นำทางไปจนถึงที่ ที่นั่นมีศาลตายายอยู่ศาลหนึ่งส่วนอีกศาลเป็นศาลพระพรหมแทน ไม่มีศาลพระภูมิ
          ด้วยพวงมาลัยที่เตรียมมาแค่พวงเดียวเธอจึงเลือกว่าไว้ที่ศาลพระพรหมแล้วไหว้ตายายด้วยมือเปล่า
          เธอสบายใจขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังไม่หายจากความวิตก เธอเลือกไปนั่งที่ริมน้ำเพราะตรงนั้นมีสวนธรรมชาติสวยงาม ถ้าเป็นผมก็คงจะเลือกเดินไปนั่งใกล้แม่น้ำที่สุด แต่พี่ปลาเลือกจะมานั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินถัดออกมาหน่อยใต้ร่มไม้ ได้เห็นแม่น้ำแค่ไกลๆ
          พี่ปลาหลับไปวูบหนึ่งคงเป็นเพราะความเพลียจากงาน เธอรู้สึกตัวตื่นมาในช่วงโพล้เพล้พอดี เธอเดินกลับเข้ามาในตัวโรงแรมเพื่อหาอะไรกิน ตอนที่แวะถามพนักงานถึงเรื่องมือเย็นเธอก็สะดุดใจกับท่าทีของพนักงาน
‘ไม่ทราบว่าอีกท่านจะทานด้วยไหมคะ เห็นคุณผู้หญิงมาเข้าพักคนเดียวอาจจะต้องแจ้งทางพนักงานเพิ่ม’
          พนักงานคนเดิมกับที่พาเธอเดินไปไหว้ศาลนั้นถามด้วยท่าทางที่ไม่น่าจะเป็นการแกล้งเพราะตัวพนักงานเองพยายามชะเง้อมองออกไปยังตรงที่พี่ปลาเพิ่งลุกเดินออกมา
‘ก็มาคนเดียวนี่คะ ไม่ได้มากับใคร’ พี่ปลาบอกว่าตอนนั้นใจไม่ดีเลยมันกังวลอย่างไรไม่รู้
‘เอ.. เมื่อสักครู่เห็นคุณผู้หญิงฟุบหลับไปมีคุณผู้หญิงอีกท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้มาด้วยกันหรอคะ’
          คำถามของพนักงานเริ่มมีรายละเอียดมากขึ้น แต่ทางพี่ปลาเองก็ยังยืนยันว่ามาเองคนเดียว พนักงานเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงไม่ซักไซ้ต่อ แต่เลือกเดินไปที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์แล้วบอกให้ลองตรวจสอบดูหน่อยว่ามีแขกที่จะมาทานอาหารกี่ท่าน
          ท่าทางของพนักงานแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้โกหก พี่ปลาเริ่มกังวลกับเรื่องราวแปลกๆที่มันเกิดขึ้นรอบๆตัวในขณะนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
          คืนนั้นก่อนนอนเธอกราบพระลงบนหมอนเปิดโทรศัพท์สวดมนต์ตามในอินเตอร์เน็ตเนื่องจากห่างหายกับการสวดมนต์มานานทำให้เธอจำบทสวดอะไรไม่ได้เลย
          กว่าจะหลับลงได้เวลาก็ล่วงลวงไปกว่าเที่ยงคืนซึ่งนั่นถือว่าดกมากสำหรับตัวเธอเองที่เข้าสู่วัยทำงานมาได้พักหนึ่งแล้ว
          ในคืนนั้นเองเธอก็ฝันอีก ในความฝันนั้นเธอกำลังเดินอยู่ในสวนของโรงแรม เธอเดินตรงเข้าไปหาแม่น้ำตรงหน้า ที่เดียวกับที่เธอเลี่ยงจะไม่เข้าไปใกล้เมื่อเย็น
          ในฝันเธอเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆพร้อมกับเสียงที่ดังก้องลอยอยู่ในอากาศหรือในหัวเธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ ‘บุษบา’ เสียงนั้นชัดเจนกว่าที่เคย เสียงนั้นกังวานหวานใส แต่กลับให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเอาเสียเลย
          ใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้น ตรงท่าน้ำที่ยื่นออกไปจากส่วนของโรงแรม หญิงสาวคนนั้นยืนหันหลังให้เธอ เธอค่อยๆเดินเข้าไป แม้ว่าใจจะไม่อยากเข้าไปใกล้ จนในที่สุดเธอก็เดินมาจนเกือบประชิดตัวของผู้หญิงคนนั้น ในฝันเธอเอื้มมือออกไปแตะที่ไหล่เหมือนจะเรียก
‘อย่า’
          เสียงอีกเสียงหนึ่งดังซ้อนขึ้นมาในความคิดพร้อมๆกับแรงกระชากไหล่ให้หันไปข้างหลัง เมื่อเธอหันมาเธอกลับสะดุ้งตื่นทันที พี่ปลาหอบหายใจอยู่บนเตียงนอนที่ตอนนี้ฟ้าเริ่มมีแสงสีส้มทอเต็มท้องฟ้า เธอหันไปมองนาฬิกาตรงหัวนอนเป็นเวลาใกล้ 6 โมงเช้า
          พี่ปลาค่อยๆรวบรวมสติและความคิดไล่เรียงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอบอกกับผมว่าเธอตื่นในทันทีที่เธอหันหลังกลับ ในความฝัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอยืนยันกับผมว่า เธอเห็นอะไรบางอย่าง เธอเห็นแน่ๆ แต่เธอจำไม่ได้ มันเหมือนภาพตัดไป
          หลังจากคืนนั้นเธอก็ไม่ได้เจอเรื่องราวประหลาดอีก จนถึงวันที่เธอกลับ พี่ปลาบอกกับผมว่าในตอนนั้นคิดเอาเองว่า คงจะเป็นที่โรงแรม ที่นั่นอาจมีเรื่องเล่า หรือว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ คนจิตอ่อนอย่างเธอจึงรู้สึกได้
          หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ยังคงต้องพบเจอกับเรื่องแปลกๆอีกหลายครั้ง น้ำที่นองอยู่ตามพื้นในเวลาที่เธอตื่น แม้แต่ในบางคืนที่เธอไม่ได้อาบน้ำก่อนนอน ก็ยังคงมีรอยน้ำนั้นอยู่ตามห้องพักของเธออยู่ดี
          เธอเริ่มคิดแล้วว่า เธอเองรึเปล่าที่กำลังเจอกับสิ่งที่มองไม่เห็น พี่ปลาอาศัยวันหยุดที่มีอยู่น้อยนิดขับรถไปจังหวัดใกล้ๆกับกรุงเทพตามคำแนะนำของคนรู้จัก
          วัดนี้คนหลายๆคนชอบมาสะเดาะเคราะห์กัน นั่นคือคำแนะนำของรุ่นพี่ที่ทำงานท่านหนึ่งโดยในวันนั้น พี่ดา ก็มาเป็นเพื่อนด้วยเช่นกัน
          พี่ดาเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน นิสัยใจคอเป็นคนคุยง่ายจึงสนิทกับพี่ปลามากกว่าคนอื่นๆที่สำคัญคือ พี่ดาคนนี้เป็นพวกบ้าดูดวงอย่างมากเรียกว่าที่ไหนดีพี่แกไม่เคยพลาด การได้กูรูมาเป็นเพื่อนแบบนี้ก็ทำให้พี่ปลาอุ่นใจไม่น้อย
          ผู้หญิงรุ่นพี่เดินนำทางไปอย่างชำนาญเหมือนกับมาบ่อย เธอเดินตรงไปที่ซุ้มเล็กๆใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแทนที่จะเดินไปยังวิหารพระประธาน
           ที่ตรงนั้นเป็นซุ้มผ้าเล็กๆที่มีโครงไม้เก่าๆ ในนั้นมีหมอดูสูงอายุอยู่คนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น พี่ดากล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง คุณยายที่นั่งอยู่ในนั้นกล่าวตอบรอบแต่สายตานั้นไม่ได้มองไปทางผู้เป็นรุ่นพี่เลย แต่กลับจ้องมายังอีกคนหนึ่งแทน
          หลังจากแนะนำตัวกันแล้ว พี่ปลาก็ถูกจับให้มานั่งตรวจดูดวงชะจาเป็นรายแรก จากคำบอกเล่าของพี่ปลาซึ่งไม่เข้าใจศาสตร์พวกนี้เท่าไหร่จึงบอกผมได้แค่เพียงว่าเขาใช้วันเดือนปีเกิดแล้วมีแผนผังเป็นรูปช้าง
          หลังจากการคำนวณของหมอดูสักพักหนึ่ง ทุกอย่างก็ยังเงียบอยู่ ลูกค้าทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็พอจะคาดเดาได้จากใบหน้าที่ตอนนี้คิ้วขมวดอย่างาหนักใจ
          หลังจากพยายามถามถึงสภาพดวงชะตาของพี่ปลาจากหมอดู แต่คำตอบที่ได้กลับน่าตกใจจนคาดไม่ถึง
‘หนูบอกวันเดือนปียายถูกใช่ไหมลูก’
‘ทำไมคะ มีอะไรหรือเปล่า ไม่ดีหรือคะ’
‘ตามวันเดือนปีเกิดนี้มัน... บอกว่าหนูชะตาขาดไปนานแล้ว’
          คำตอบนั้นของหมอดูทำเอาคนทั้งสองถึงกับทำตัวไม่ถูก คุณยายพยายามคำนวณดูอีกหลายครั้งก็ยังได้คำตอบแบบเดิม คือ ชะตะขาด นั่นหมายถึงไม่สามารถทำนายอนาคตได้แม้แต่นิดเดียว
          คุณยายเลือกที่จะคืนเงินให้พี่ปลาทั้งหมดพร้อมกับขอโทษที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ อาจเป็นที่คุณยายเองสุขภาพไม่พร้อมหรืออาจจะมีความผิดพลาดในจุดอื่นๆ แต่มาทั้งทีก็คงจะไม่ให้เสียเที่ยว คุณยายให้ถามและปรึกษาสิ่งที่คาอยู่ในใจแทนการทำนายดวงชะตา
          พี่ปลาเล่าเรื่องราวที่พบเจอมาให้คุณยายฟังอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนใจ คุณยายรับฟังพลางเปิดตำราเล่มเก่าที่วางอยู่ใกล้ๆไปด้วย
‘หนูกำลังจะมีเคราะห์จากน้ำ’
          คำว่าน้ำทำให้ใจพี่ปลาหล่นวูบ แต่สิ่งที่ต้องตั้งใจฟังก็คงจะเป็นวิธีสะเดาะเคราะห์ของคุณยายมากกว่า โดยนันนั้นสิ่งที่พี่ปลาถูกบอกให้ทำคือ
- ปล่อยปลา
- ขอขมาพระแม่คงคา
- ทำกระทงเล็กๆแล้วตัดเล็บตัดผมกับชายเสื้อใส่กระทงแล้วลอยน้ำไป
          แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ให้ทำนั้นทำไปเพื่ออะไรแต่พี่ปลาก็รีบทำตามอย่างรวดเร็ว โดยที่กระทงนั้นคุณยายรับปากจะทำให้เพราะอาชีพหลักของคุณยายคือการทำบายศรีอยู่แล้ว
           การทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่างๆนั้นอาจดูไม่น่าไว้วางใจสำหรับตัวเธอเพราะอาจเหมือนการหลอกให้จ่ายเงินเพิ่มเติมเหมือนอย่างหมอดูทั่วๆไป เว้นเสียแต่คราวนี้คุณยายไม่แม้แต่จะรับเงินสักบาทจากเธอ กระทงนั้นก็ทำให้ด้วยความสงสารและเห็นใจคนอายุคราวหลานอย่างเธอเช่นกัน

ไม่มีอะไรผิดปกติในตอนที่ปล่อยปลากับขอขมาพระแม่คงคา การขอขมานั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่ไปกราบพระประธานในวิหารแสดงความตั้งใจของตัวเองแล้วลาดอกไม้ที่ไหว้พระนั้นไปลอยน้ำ ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นความเชื่อหนึ่ง ผมก็เคยได้ยินมาในหลายๆวิธี
          แต่มันมีปันหาตรงส่วนสุดท้าย กระทงพร้อมใช้ในเวลาไม่นาน กระทงนั้นทำจากใบตองเป็นอันเล็กๆขนาดแค่พอใส่ซาลาเปาได้ลูกหนึ่งเท่านั้น เล็บกับเส้นผมของพี่ปลาถูกบรรจุอยู่ในกระทงอย่างประณีตด้วยมือของคุณยาย
          ส่วนเสื้อนั้นในตอนแรกพี่ปลาบอกว่าขอออกไปซื้อเสื้อมาได้ไหมไม่อยากตัดตัวที่ใส่อยู่เพราะชอบมาก คุณยายยิ้มแล้วตอบกลับ ‘อย่างนั้นยิ่งดีเลยลูก ยิ่งรักมาก ยิ่งชอบมาก ยิ่งแทนตัวเราได้อย่างดี’
          พี่ปลาตัดใจใช้กรรไกรตัดชายเสื้อใส่ลงในกระทง พร้อมกับที่คุณยายบอกว่าออกจากวัดแล้วให้รีบตรงไปหาซื้อเสื้อใหม่ใส่ทันที ตัวนี้ก็ทิ้งไปอย่าเอามาใส่อีก แม้ว่าใจจะเสียดายแต่ก็คงไม่มีทางเลือกในตอนนี้
          กระทงของเธอค่อยๆลอยออกจากฝั่งตามแรงวักน้ำไล่เบาๆ ตรงนั้นเป็นแม่น้ำที่ไหลอยู่ตลอดน้ำทำให้กระทงลอยไปอย่างง่ายดาย แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เธอยังจำได้จนวันนี้ กระทงไม่ได้ลอยไปตามแรงน้ำ มันหยุดอยู่กลางแม่น้ำ นิ่งๆ
          สายตาทั้งสามคู่มองอย่างสงสัย กระทงใบเล็กๆค่อยๆลอยวนเป็นวงกลมอยู่ตรงนั้นคล้ายกับถูก น้ำวน หรืออะไรสักอย่าง แล้วเพียงไม่ถึงอึดใจกระทงก็จมลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ราวกับมีคนดึงมันลงไป มากกว่าการที่มีน้ำล้นเข้าจนจมลง
‘คงเป็นวังปลา ไม่ก็น้ำวนแหละมั้ง’
          พี่ดาปลอบใจเพราะดูแล้วพี่ปลาจะกลัวเอามากๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลมอาจเพราะความกลัวที่เริ่มมากขึ้น คุณยายเรียกให้ไปนั่งพักใต้ร่มไม้ที่เดิม
          คุณยายพยายามปลอบแต่ก็ไม่เคยพูดย้ำว่ามันเป็นเพียง เหตุบังเอิญ คุณยายผูกข้อมือให้เป็นกำลังใจในวันนั้นและไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีกเพียงแค่แนะนำว่า
‘ถ้ามีเวลาก็ลองไปบวชดูนะลูก ให้พระท่านช่วย’
           เรื่องในวันนั้นทำให้ความกลัวในจิตใจเธอเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเธอยอมรับว่าบางครั้งถึงกับมานั่งร้องไห้คนเดียว เพราะหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเธอก็ไม่ได้ดีขึ้น บางครั้งมีน้ำนองอยู่ที่พื้นห้องนอนเธอบ่อยครั้ง บางครั้งเธอตื่นมาพร้อมรอยแดงบนใบ้หน้าของเธออย่างไม่รู้สาเหตุ
          รอยแดงที่พูดถึงนั้นเป็นรอยปื้นแดงๆอยู่บริเวณแก้มของเธอ เธอไม่ได้แพ้เครื่องสำอาง และไม่เคยลืมที่จะล้างหน้าก่อนนอนตามประสาของผู้หญิง แต่รอยแดงนั้นมันก็ปรากฏอยู่เรื่อยๆ จนเธอเริ่มผวาว่าในตอนเช้า จะได้พบกับมันหรือไม่
          วันหนึ่งเธอเริ่มไม่ไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเริ่มโทรมจนคนรอบข้างทัก ทำให้ก่อนนอนในคืนหนึ่งเธอนั่งร้องไห้มองน้ำที่นองอยู่บนพื้นอย่างหวาดกลัวและอึดอัด
‘มันจะอะไรกันนักกันหนาวะ จะเอาอะไรก็มาบอก อย่ามาทำอย่างนี้’
          สิ้นเสียงตวาดในคืนนั้นเธอก็ได้แต่ร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆจนเพลียและหลับไปในที่สุด เหมือนใครบางคนจะได้ยินความต้องการของพี่ปลา เพราะคืนนั้นเธอฝันอีกครั้ง
          ในความฝันนั้นเธอนอนอยู่บนเตียง เตียงมืดๆในห้องนอนเดิมของเธอ ที่ตรงนั้นมีแสงไฟสาดเข้ามาจากทางถนน ตรงข้างเตียงใกล้ชิดกับตัวเธอมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ เธอตัวแข็งไม่รู้สึกตัว เธอบอกว่านั้นน่าจะเป็นความฝันมากกว่าการสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น
          หญิงสาวร่างบางในชุดที่เธอบอกว่าจะเรียกว่าเสื้อผ้าได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ มันบางมันเปียกจนแนบเนื้อ บางกว่าเสื้อผ้าที่เธอเคยเห็นมา ร่างนั้นชัดเจนในความมืดผิดจากวัตถุอื่นๆรอบห้อง แสงนวลตาบอกไม่ถูกว่าสีอะไรแต่เธอคลับคล้ายคลับคาว่าออกเขียว แต่จางมากเหลือเกิน
          ร่างเปียกแฉะนั้นมีน้ำหยดลงมาตามผมที่มีสีแกมเขียวแต่ดูสกปรกคล้ายตะไคร่น้ำ ร่างนั้นหันมาหาเธอเหมือนจงใจ ผมเผ้ารุงรังที่ปิดหน้าตาทำให้เห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก แต่ในตอนที่ยังไม่ทันจะตั้งตัวร่างนั้นก็หายวับไปเหมือนกับไม่เคยมีอยู่
          ร่างนั้นมาปรากฏอยู่บนตัวเธอแทนในท่าคร่อม เธอตกใจจนแทบลืมหายใจแต่กลับไม่มีเสียงมากพอที่จะกรีดร้องออกมา ในสายตาตอนนั้นเธอเห็นหน้าตาได้อย่างชัดเจน ผมที่ย้อมลงมาแปะบนหน้าเธอเปียก และเย็นเฉียบ ใบหน้าของหญิงสาวอายุน่าจะไม่เกิน40 เพราะยังมีความสาว แต่ส่วนประกอบบนหน้านั้นไม่ปกติ
          ผิวหน้าที่ซีดเผือดผิดปกติเหมือนเวลาอยู่ในน้ำนานๆ ดวงตาที่กลมโตมากกว่าปกติเหมือนจะถลนออกมาเล็กน้อย ดวงตาขาวขุ่นเหลืองจนน่าเกลียด รอยยิ้มที่มองไม่เห็นฟัน ร่างนั้นมองเธออย่างพอใจด้วยรอยยิ้มบนหน้า
          ร่างนั้นค่อยก้มลงมาหาเธอช้าๆ มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปตามแก้มของเธอสัมผัสนั้นน่าสะอิดสะเอียน พี่ปลาบอกกับผมว่ามันเย็น มันลื่นเหมือนเวลาเราเจอกับตะไคร่น้ำตามทางเดิน กลิ่นคาวของน้ำเสียที่คุ้นเคยดีตามแหล่งน้ำในตัวเมืองทำให้เธอแทบอาเจียนออกมา
          เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากสภาพนั้น แต่เหมือนจะไร้ประโยชน์ เธอหลับตาไม่อยากมองภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า เธอสวดมนต์เท่าที่จะจำได้แม้ว่าจะน้อยนิด ก่อนที่เธอจะหลุดจากสภาพนั้น ร่างตรงหน้าเธอขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงความเปียกแฉะของผิวหนัง
‘บุษบา’
          เสียงแหบแห้งในลำคอเรียกชื่อใครบางคนตรงใกล้ๆกับหูของเธอ มันยิ่งเพิ่มความกลัวให้กับเธอ จนในที่สุดเธอก็สะบัดมันหลุด แล้วก็ตื่นขึ้นมาแทบจะในทันที
          เธอหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงภาวนาให้มันเป็นเวลาเช้า แต่เปล่าเลยมันเพิ่งจะประมาณตี 4 เท่านั้น เธอรีบลุกจากเตียงไม่อยากอยู่ในห้องต่อไปแม้จะอีกนาทีหนึ่ง
          ตอนที่เธอคว้าเอาเสื้อคลุมมาใส่นั้นเธอต้องขนลุกไปทั่วทั้งตัวกับสัมผัสอันเปียกลื่นตรงแขนของเธอ มันไม่ใช่ความฝัน เธอเริ่มแน่ใจ และก่อนที่จะออกจากห้องไปเธอมองในกระจกเห็นหน้าตัวเองที่ตอนนี้มีรอยแดงอยู่ตรงแก้ม ข้างเดียวกับที่ร่างนั้นลูบไล้เธอ
          แม้ว่าจะเป็นเวลาก่อนฟ้าสางในตัวเมืองหลวงอย่างนี้ก็เริ่มจะพลุกพล่านด้วยคนสัญจรและคนทำความสะอาดตามที่ต่างๆ เธอเดินไปตามทางที่คุ้นเคยเพียงเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว แค่ได้เห็นคนกวาดถนนก็อุ่นใจแล้ว
          เธอนั่งอยู่ตรงสวนใกล้ๆที่พักนานจนพระเริ่มบิณฑบาต เธอรีบเดินไปจับจ่ายหาข้าวของมาใส่บาตรเพื่อความสบายใจ
          เธอเดินกลับห้องในตอนฟ้าสาง เธอไม่รีบร้อนมากนักเพราะไม่อยากจะกลับไปเจออะไรที่น่ากลัว และอีกเหตุผลคือวันนี้เป็นวันหยุด เธอไม่มีธุระต้องไปไหน แต่ตอนนี้เธอเริ่มคิดแล้วว่าการออกไปเดินห้างอาจเป็นเรื่องที่ดี
          เมื่อกลับเข้ามาถึงที่พักก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปเธอต้องร่วมรวมความกล้าอยู่นานถึงขนาดต้องเปิดโทรศัพท์วีดีโอคอลหาเพื่อนสนิทให้อยู่เป็นเพื่อน
          เมื่อเปิดประตูห้องได้ก็รีบกดสวิทซ์ไฟเพิ่มความสว่าง ดี ตอนนี้ไม่มีอะไรห้องว่างเปล่า เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
          พี่ปลาหยิบขวดน้ำในตู้เย็นออกมาดื่มดับกระหาย แต่เธอพ่นออกมาในทันทีเพราะน้ำในขวดน้ำเหม็นคาวมาก มันคาวมากจนเกินจะกินได้ เหมือนกับเอาน้ำที่มีปลาว่ายมาใส่ขวดไว้
          เธอวิ่งไปอาเจียนด้วยความคลื่นไส้ แล้วก็รีบเปิดน้ำไล่ของเสียแต่น้ำที่เปิดออกมาก็เหมือนคาวไม่ต่างกัน เธอเริ่มกลัว แต่ยังคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นความสกปรกของระบบน้ำก็ได้
          เธอเปิดน้ำขวดใหม่ที่ยังไม่ได้แกะพลาสติกออก แต่พอดื่มเข้าไปก็เจอกับสภาวะเดิม มันคาวจนเธอกินไม่ลงเธอกลัวจนรีบโทรหาพี่ดาที่อยู่ใกล้ให้รีบมาหา
          พี่ดามารับเธอถึงในห้องแล้วรีบพากันออกไปจากที่พักในวันนั้น ทั้งสองคนวนรถเข้ามาที่คอนโดของพี่ดา เพื่อมาอยู่ชั่วคราวก่อน
          คอนโดนั้นมีศาลใหญ่โตและถูกสร้างอย่างดี เห็นว่ามีหมอดูชื่อดังมาตั้งให้ทีเดียว คงไม่แปลกสำหรบคนสายไสยศาสตร์อย่างพี่ดา ถ้าจะเลือกที่พกทั้งทีก็คงต้องเลือกที่ดีทุกด้าน
          แปลก  ที่นี่พี่ปลาดื่มน้ำได้ และอาบน้ำได้ตามปกติ พี่ดาบอกว่าอย่างนี้มันหนักมากแล้ว คงต้องไปอยู่วัดแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นให้พักก่อน หายเหนื่อยแล้ววันนี้พี่จะพาไปหาพระเอง
          พี่ดาโทรยกเลิกนัดทานข้าวกับแฟนเพื่อนรุ่นน้องที่รักเหมือนน้องแท้ๆ เธอไหว้ขอบคุณรุ่นพี่คนนี้อย่างสุดหัวใจ

บ่ายวันนั้นทั้งสองคนรีบไปที่วัดทันที จริงๆแล้วอยากจะอยู่ที่วัดสักคืนสองคืนแต่ภาระงานของพี่ดาก็มากจนไม่สามารถทำได้ครั้นจะให้ทิ้งพี่ปลาไว้คนเดียวก็เป็นกังวล
          ผ่านไปประมาณสองสามวัดกว่าจะเจอคนที่พอจะบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลวงพ่อท่านหนึ่งนั่งอยู่ในโบสถ์กับฆารวาสอีกคนหนึ่งเหมือนกำลังสนทนาธรรมหรือพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แต่ไม่รู้ว่าด้วยสีหน้าที่อมทุกข์ หรือว่าจิตที่หยั่งถึงของหลวงพ่อ จึงเอ่ยทัก
‘หนีอะไรมาเล่าโยม’
          ทั้งสองคนรีบคลานเข้าไปกราบแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง หลวงพ่อฟังอย่างนิ่งเฉยเหมือนไม่ยินดียินร้ายอะไร แต่ทางอีกคนนั้นเริ่มคิดตามและหนักใจ
          ผู้ชายคนที่อยู่ตรงนั้นอายุราวๆ50เห็นจะได้แต่ปฏิบัติธรรมมานาน จนได้ฌานในระดับหนึ่งทำให้พอจะล่วงรู้อะไรได้มากกว่าคนทั่วไป จากคำบอกเล่าของคนคนนั้นคือ หนูมีกรรมกับน้ำ เป็นกรรมที่หนูสร้าง มีคนรัก มีคนเกลียด ตอนนี้กรรมกำลังทำงาน เขาตามมา
          คุณลุงเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนไม่แน่ใจในคำพูดของตัวเอง ‘ไม่สิ พวกเขา’
          ประโยคนั้นทำเอาคนทั้งสองขนลุกไปทั่วทั้งตัว ทำไมถึงใช้คำว่า พวกเขา ทั้งๆที่พี่ปลาก็ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นแค่ครั้งเดียวและ คนเดียว อย่างแน่นอน
          หลวงพ่อให้เธอร่วมทำวัตรในเย็นวันนั้น โดยหลวงพ่อเป็นคนกรวดน้ำและอุทิศบุญให้ ใครก็ตามที่พยายามจะทำร้ายเธอ ด้วยกรรมเก่าที่มีมาเลยทำให้ไม่สามารถจะเข้าไปยุ่งได้ทั้งหมด แต่กรรมใหม่ที่เขากำลังจะสร้าง มันยังหยุดได้
          หลวงพ่อส่ายหัว ‘เขาไม่ยอม’ ต้องยอมรับว่าบางครั้งคนบางคนก็ยอมจะสร้างกรรมใหม่เพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง และแน่นอนว่ามันไม่ใช่กิจของสงฆ์ หลวงพ่อได้แต่แนะนำให้ดูแลตัวเอง และประพฤติตนในธรรม เพื่อคุ้มกายจากภัยทั้งปวง
          คืนนั้นพี่ปลานอนที่คอนโดของพี่ดา เพราะไม่กล้าจะกลับไปที่พักตัวเองแล้ว กว่าจะหลับตาลลงได้ก็กว่าครึ่งคืน แม้ว่าจะเหนื่อยเพลียแค่ไหน แต่ความกลัวมันยังไม่หายไป พี่ดาเอาพุทธรูปมาวางไว้บนหัวนอนของพี่ปลา เพื่อความอุ่นใจ
          คืนนั้นพี่ปลาหลับลงได้ในที่สุด แต่แล้วไม่รู้ว่ากี่โมง เธอเริ่มหูแว่วด้วยชื่อเดิมๆ ชื่อที่เธอไม่รู้จัก ‘บุษบา’ เสียงนั้นก้องกังวานเหมือนสะท้อนอยู่ในที่ปิด เธอไม่สามารถบังคับตัวเองได้อีกต่อไป เธอเริ่มเดินไปตามเสียงเรียกชื่อนั้น
          เธอรู้สึกตัวเหมือนคนเมา มึนๆ ภาพตรงหน้าไม่ชัดเจน เธอเดินไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีเธอก็มาหยุดอยู่ที่สระว่ายน้ำของคอนโด เธอเดินเข้าไปใกล้ แม้ในใจพยายามจะฝืนก็ไม่เป็นผล
          สองเท้าเดินมาถึงขอบสระแล้วก็มีมือหนึ่งฉุดเธอลงไปในสระ พี่ปลาเล่าให้ผมฟังอย่างนั้น ในความรู้สึกนั้นเธอตื่นตัวเต็มที่เมื่อสัมผัสกับน้ำ ตรงหน้าเธอมีร่างของผู้หญิงคนเดิมลอยอยู่ในน้ำ ร่างนั้นลอยนิ่งไม่พยายามจะว่ายหรือทรงตัวใดๆ
          ร่างนั้นลอยเข้ามาใกล้จนดวงตากลมโตนั้นชิดใบหน้าเธอ มือลื่นๆสัมผัสที่แก้มของเธอแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ พี่ปลาพยายามดิ้น แต่ไม่หลุด เธอพยายามตะโกนอยู่ในความคิด
‘แกเป็นใคร จะเอาอะไร’
‘ลืมเราแล้วเหรอ’ เสียงแหบแห้งนั้นกังวานอยู่ในน้ำ
‘แกเป็นใคร’ พี่ปลายังเสียงแข็งถาม
‘บุษบา’
          สิ้นเสียงแหบนั้น ร่างซีดเผือดที่มีเมือกลื่นๆก็เข้ามากอดจนแนบชิดตัวเธอ ใบหน้าซีดๆ เหี่ยวๆ ยิ้มกว้างไม่เห็นฟัน ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองอย่างพอใจ ผมเผ้าที่คล้ายตะไคร่น้ำเหนอะหนะตัวพี่ปลาไปหมด
          ในตอนที่เธอกำลังจะหมดสติไป เธอรู้สึกถึงมืออีกคู่หนึ่งที่มาร่วมจับร่างของเธอไว้แต่เป็นฝั่งตรงข้ามกับร่างนั้น ตัวของเธอถูกแรงดึงกระชากออกห่างจากร่างน่าเกลียดนั้น
          ร่างของผีสางตนนั้นดูไม่พอใจแล้วกรีดร้องอย่างสุดเสียง พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ดังมาจากไหนก็ไม่มีใครรู้
          พี่ปลารู้สึกตัวขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียงเรียกของพี่ดา เมื่อมองดูรอบๆก็เห็นว่ามีคนมายืนมองเธออยู่เยอะพอสมควร ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาสัก 6 โมงเช้า รปภ.เข้ามาตรวจความเรียบร้อยตามหน้าที่บอกว่าเห็นเธอนิ่งอยู่ในน้ำ จึงรีบพาขึ้นมา
          ดีที่ประชาสัมพันธ์สนิทกับพี่ดาจึงจำได้ว่าเป็นเพื่อนกัน รีบไปตามพี่แกมาในทันที เธอกอดพี่ดาร้องไห้สุดเสียงด้วยความกลัว
‘กลับไปพักที่บ้านสักหน่อยไหม’
          พี่ดาถามในตอนที่กำลังนั่งมองพี่ปลาเช็ดตัว คำแนะนำนั้นเป็นทางเลือกที่ดีเผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง พี่ปลาตอบรับคำแนะนำนั้นและตัดสินใจจะกลับบ้านในทันที
          พี่ดาขับรถมาส่งถึงที่บ้านต่างจังหวัดด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับแฟนหนุ่ม โดยบอกไว้ว่ายังไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้ จะจัดการเรื่องงานให้ แต่ก็คงต้องเป็นไปตามกำหนดของบริษัท
          หลังจากแยกกันเธอกลับเข้าไปในบ้านแต่ตัดสินใจว่ายังไม่เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ที่บ้านฟัง ขอพักสักคืนหนึ่งก่อน บ้านที่เธอโตมาตั้งแต่เด็กๆคงไม่น่ากลัวเหมือนที่อื่นๆ แต่สิ่งที่น่าหวั่นใจคือ บ้านเธออยู่ติดแม่น้ำ
          บ้านของพี่ปลาเป็นบ้านสวนจึงมีเงินและสร้างบ้านไว้อย่างสวยงาม มีสวน มีแม่น้ำ มีท่าน้ำ ตรงท่าน้ำยังมีเรือผูกไว้เหมือนสมัยก่อน (พี่ปลาส่งรูปมาให้ดู)
          คืนนั้นที่บ้านดีใจมากที่ลูกสาวคนเดียวกลับมาเยี่ยม เธอมักจะชอบเถียงแม่อยู่เสมอๆว่าอย่าเรียกเธอว่าลูกสาวคนเดียว เพราะที่บ้านนี้ยังมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้จะไม่อยู่แล้วก็ตาม
          คืนนั้นเธอรู้สึกคลายใจได้อย่างมาก ความเพลียจากเรื่องราวและการเดินทางทำให้เธอขอเข้านอนแต่หัววัน เป็นวันแรกที่เธอรู้สึกง่วง และอยากนอน
          เธอหลับไปตั้งแต่ละครยังไม่ทันจบปล่อยให้โทรทัศน์เป็นคนดูเธอแทนในยามดึก เธอหลับไปจนไม่รู้ตัวว่ากี่โมง แต่เธอกลับถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่ชื่อเรียก หรืออะไรมันเป็นเสียงที่ลอยมาตามลม เสียงหวานๆโหยหวน
          เธอเผลอเดินมาตามเสียงร้องเรียกนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่คำศัพท์หรือประโยคใดๆ เธอกลับรู้และเข้าใจได้ว่า เสียงนั้นกำลังเรียกเธออยู่
          เธอเดินออกมาจากบ้านที่ทุกคนหลับหมดแล้ว เสียงหวานกังวานใสสลับกันระหว่างโทนสูงต่ำที่ไพเราะอย่างประหลาด แต่ไม่มีใจความ
‘เพลงพราย’
          ผมตอบสวนพี่ปลาไปในทันทีเพราะแน่ใจแล้วว่ามันคืออะไร ผมไม่ได้ยินมานานมากแล้วเรื่องของเพลงพราย เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ยินเลยจากปากคนสมัยใหม่ แม้แต่ในคนรุ่นเก่าๆบางคนเท่านั้นที่จะรู้ เพลงพรายมีมานานตั้งแต่โบราณเป็นเรื่องเล่าขาน ว่าเสียงนั้นไพเราะจับใจแต่อย่าได้หลงตามไป จะเจอสิ่งน่ากลัว
          ถ้าพูดกันจริงๆแล้วเรื่องของนางพราย กับเพลงพรายแล้ว จะว่าคล้ายกันก็ใช่ จะว่าเหมือนกันก็อาจจะได้กับตำนานเกี่ยวกับ นางเงือก ที่ว่ากันว่าเป็นคนอยู่ในน้ำและมีเสียงที่ไพเราะ แต่นางเงือกมักจะสวย ในเรื่องเล่า ตรงนี้ก็เป็นส่วนที่ต่างกัน
          พี่ปลาทำหน้าตกใจกับคำตอบของผม จริงๆแล้วการเจอผีในลักษณะนี้ใครก็คงจะคิดถึงผีพรายไว้ก่อน แต่มันก็ไม่ง่ายนักที่จะพบเจอ คราวนี้เธอเริ่มเล่าต่อในส่วนสุดท้ายของเรื่องราว
          เธอเดินตามเสียงเพลงนั้นไปจนถึงท่าน้ำของบ้าน ที่มีเรือผูกไว้ เธอเดินใกล้เข้าไปในน้ำ แต่กลับถูกมือหนึ่งจับไว้จากข้างหลังไม่ให้เดินต่อ เธอเดินไปต่อไม่ได้ และก็หันหลังกลับไปมองไม่ได้เช่นกัน
          ตรงหน้านั้นมีเสียงเพลงที่เธอได้ยินดังอยู่มันก้องขึ้นเรื่อยๆ เหมือนใกล้กับต้นตอของเสียง ลึกลงไปที่ท่าน้ำนั้น เธอเห็นร่างเดิมของหญิงสาวน่ากลัวคนนั้น เธอค่อยลอยขึ้นมาจากส่วนลึกของน้ำ จนโผล่พ้นมาแค่ช่วงบนของส่วนหัวถึงขอบจมูกเท่านั้น
          สายตาแข็งกร้าวจ้องมาอย่างกินเลือดกินเนื้อ ดวงตาที่กลมโตนั้นทำให้มันดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ผมยาวที่สะยายอยู่บนผิวน้ำเหมือนสาหร่ายเน่าๆ ขนลุกน่าขยะแขยง
          ดวงตานั้นจ้องเธอไม่วางตา เธอตัวแข็งด้วยความกลัวแล้วศีรษะที่ลอยอยู่เหนือน้ำนั้นก็ลอยใกล้เข้ามาที่ตีนบันไดของท่าน้ำ

มือเหี่ยวๆลื่นๆนั้นค่อยแตะบันไดขึ้นมาทีละขั้น คืบคลานมาใกล้ตัวเธอ เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากมืออีกข้างที่รั้งเธอไว้ไม่ให้ไปไหน เธอพยายามอย่างสุดแรงจนเหมือนเรี่ยวแรงหายไปหมด เธอล้มลงบนพื้นไม้กระดานของท่าน้ำ
           ร่างตรงหน้ายิ้มอย่างพอใจด้วยปากที่ไม่มีฟันมีแต่เศษอะไรไม่รู้อยู่ในนั้น มันค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ จนในที่สุดมันก็ขึ่นมาคร่อมตัวเธอไว้ทั้งตัว
          ‘มันกอดพี่’ พี่ปลาใช้คำนี้กับผม อ้อมกอดนั้นยิ่งแน่นขึ้นก็ยิ่งน่าขนลุก สัมผัสลื่นๆตามเนื้อตัวกลิ่นคาวที่คลุ้งจนเธอต้องอาเจียนออกมา เธอสำลักกลิ่นนั้นสลับกับเศษอาหารของตัวเองจนรู้สึกทรมาน
          เธอพยายามดิ้นให้หลุด แต่ก็ไม่หลุด และทั้งๆที่เธอกำลังดิ้นอยู่นั้นเธอก็ได้ยินเสียงแม่ เธอได้สติทันทีรีบลืมตามามอง ก็เห็นแม่นั่งเขย่าตัวอยู่ข้างๆ เธอรีบเข้าไปกอดแม่ทั้งๆที่ตัวเองเปื้อนเศษอาหารอยู่ เธอบอกว่าแม่มองไปที่ท่าน้ำก็ยังเห็นเป็นคลื่นน้ำไหวอยู่ตรงที่เธอเห็น
          กว่าเธอจะได้สติพอที่จะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้แม่ฟังก็ช่วงสายไปแล้ว แต่ยังไม่ทันได้เล่าย้อนไปตอนอยู่กรุงเทพ เธอก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเพื่อน แล้วมันก็พาให้ได้มาคุยกับผมในวันนั้น
          ผมฟังเรื่องราวมาจนครบแล้วก็ได้แต่คิดว่า ต้นเหตุมันเกิดมาจากอะไร เพราะตัวเธอเองก็ไม่เคยไปทำอะไรไว้ ไหนจะเรื่องดูดวง เรื่องพรายอีก แต่ข้อจำกัดในวันที่ฟังเรื่องเล่าช่วงสุดท้ายนั้นคือ เธอต้องกลับบ้านแล้ว อยากให้ทุกอย่างมันจบทั้งหมดเสียที
          ผมพาเธอไปไหว้พระที่วัด เพราะตอนนั้นก็ตันเหมือนกัน แล้วผมก็ขอตัวเดินแยกออกมาอีกวัดหนึ่งใกล้ๆกันนั้นที่ในวัดนั้นมีรูปปั้นของมหาเทพอยู่ ผมจุดธูปด้วยความเคยชินหวังว่า ท่าน จะช่วยบอกอะไรผมได้บ้าง เพราะมันเกินปัญญาของคนอย่างผมจริงๆ
          ผมเดินกลับมาหาพี่เขาแล้วไปนั่งคุยกันที่ริมน้ำหน้าวัด ผมสังเกตได้ว่าพี่ปลามีอาการกลัวมากจริงๆ เมื่อเห็นแม่น้ำ แต่ผมก็คงต้องขอใช้มันเป็นสื่อสำหรับเรื่องราวในครั้งนี้เช่นกัน
          หลังจากมานั่งพักจนหายเหนื่อยผมเริ่มได้ยินกระแสเสียงที่เหมือนดังแว่วอยู่ในหัวเป็นคำสั้นๆไม่กี่คำ
‘พี่สาว พรายน้ำ แม่’
          สามคำที่ผมจำได้อย่างชัดเจน ผมถามกลับไปว่าพี่ปลาเองเห็นบอกว่ามีพี่น้อง นั่นหมายความว่าอย่างไร เธอบอกว่าเธอมี แฝด แต่ว่าตายไปตั้งแต่เด็กๆตอนเธอจำความไม่ได้ สาเหตุเหมือนจะเป็นโรคระบาดอะไรสักอย่างหนึ่งในสมัยนั้น
          ผมได้คำตอบหนึ่งแล้วว่าการที่หมอดูบอกว่าเธอชะตาขาดไปแล้วอาจหมายถึง แฝด ของเธอ เพราะแฝดนั้นเกิดวันเดียวกันคลาดด้วยเวลา แต่สายสัมพันธ์ของแฝดนั้นมีมากกว่าที่หลายๆคนคิด มันเหมือนจิตหนึ่งที่ถูกแบ่งเป็นสอง
          พรายน้ำ ก็คงจะตรงตัว แต่แม่ ผมยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรแต่อย่างหนึ่งที่ผมมั่นใจคือ เธอต้องรีบกลับบ้าน ทุกอย่างอยู่ที่บ้าน
          ผมตัดสินใจติดต่อกับเธอผ่านโทรศัพท์เพราะไม่สะดวกจะเดินทางตามไปด้วย
          เมื่อกลับไปถึงด้วยเที่ยวบินรอบเช้าของอีกวันเธอโทรหาผมแล้วเปิดลำโพงคุยกันกับแม่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ผมถามถึงเรื่องผีสาวฝาแฝดของเธอที่ตายไป คำบอกเล่านั้นเหมือนกับที่พี่ปลาบอก ‘ตายด้วยโรคระบาด’
‘ไม่ใช่’
          เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังเบาๆแว่วอยู่ข้างหู ผมเริ่มถามย้ำแต่คำตอบยังคงเดิม ‘เราจมน้ำ’ เสียงนั้นย้ำในคำตอบจนผมตัดสินใจถามกลับอย่างไม่ทันได้คิดทบทวน
‘เขาจมน้ำใช่ไหมครับ’
ฮึก..
          ผมได้ยินเสียงเหมือนคนสูดลมหายใจเข้าอย่างตกใจแล้วร้องไห้ ผมได้ยินแต่พี่ปลาเรียกแม่ๆ แล้วสายก็ตัดไป ผมรออยู่เกือบชั่วโมงจนเธอโทรกลับมา
‘แม่พี่ทำใจได้แล้ว’
          นั่นคือคำบอกเล่าของเธอ แม่ไม่เคยบอกพี่ปลาเลยว่าแท้จริงแล้วพี่สาวของเธอ ตายเพราะจมน้ำ ที่ไม่ยอมบอกเพราะไม่อยากพูดถึง ใจลึกลงไปมันยังรับไม่ได้ว่า แม่เป็นต้นเหตุ ในขณะที่เล่าเสียงของพ่อก็ดังสอดเข้ามาว่า ‘มันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่แม่หรอก’
          พี่ปลาพยายามข่มเสียงเพื่อคุยต่อ แวบหนึ่งผมคิดว่า พี่สาวตายกลายเป็นพรายหรือ แต่ก็คงไม่ใช่ คราวนี้เป็นฝ่ายพี่ปลาเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังบ้าง ตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมายงไม่ได้มีเวลาจะคุยกันละเอียด
‘บุษบา’ พี่ปลาเล่าถึงเสียงเรียกนั้น
‘หนูได้ยินชื่อนี้จริงๆหรือ’
          คำถามของคนเป็นแม่ดูตื่นตระหนก พี่ปลายืนยันในชื่อนั้น แม่ถอนหายใจเข้าออกเหมือนพยายามรวบรวมสติไม่ให้เป็นลมลงไป
‘ปลา หนูเคยชื่อบุษบาลูก’
          ประโยคนั้นทำเอาคนฟังตัวแข็ง มันคือชื่อของเธอ แล้วเมื่อไหร่กัน เธอไม่เคยมีประวัติเปลี่ยนชื่อ
          แม่เล่าให้ฟังว่าในตอนที่คลอดใหม่ๆ แม่ยังไม่ได้ไปแจ้งที่อำเภอว่าชื่ออะไร เพราะอยากให้ตัวเองฟื้นก่อนแล้วจะไปแจ้งชื่อด้วยตัวเอง ตอนนั้นนั่งเรือเล่นกลับมาที่บ้าน แล้วเรือมันเสียหลักคว่ำลงไปในน้ำ ทั้งสองคนลงไปในน้ำเลยลูก
          แต่ไม่มีใครเป็นอะไร ทั้งหมดรอดเพราะแม่คว้าไว้ทัน แต่มันก็รู้สึกไม่ดี จนมีคนมาทักว่าให้เปลี่ยนชื่อลูกทั้งสองคน ‘บุษบา’ กับ ‘ชบาบาน’
          ตอนที่ผมได้ยินผมยังรู้สึกเลยว่าเป็นชื่อที่เพราะมาก ไม่เคยเจอคนชื่อนี้เลย แม่หันไปบอกกับพี่ปลาว่า มันเลยเป็นเหตุผลให้ที่บ้านเราปลูกต้นชบาไว้เยอะ พี่เขาจากเราไปตอนหนูได้ 2 ขวบ
          เด็กๆเริ่มวิ่งเล่น ล้มๆลุกๆน่ารัก แล้วพี่เขาก็พลัดตกไปที่ท่าน้ำ ลงไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยลูก ถ้าวันนั้นแม่ดูเขาดีๆ ดีกว่านี้ คงไม่เป็นแบบนี้
          พี่ปลาฟังเงียบๆเหมือนทวนความจำ เธอคงเด็กมากจนจำอะไรไม่ได้ แต่แม่เล่าต่อไปว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นพี่ปลาก็ตกน้ำบ่อยๆ ตกจนกลัว ให้อาบน้ำก็ยังร้อง
          มาถึงตรงนี้ทุกคนคงได้คำตอบแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหลือก็แต่ พราย นั้นที่ตอนนี้รู้แล้วว่าต้องการอะไร
‘มันได้พี่ไปแล้ว มันจะเอาน้องด้วย’
          คำพูดของผมคงรุนแรงไปหน่อยจนปลายสายเงียบสนิท ครั้งหนึ่งที่เคยตกลงไปในน้ำมันคงถูกใจและหมายตาไว้ แต่ลึกลงไปทั้งสามคนคงมีกรรมสัมพันธ์กันมา เลยต้องมาเจอเรื่องนี้
          ผมบอกให้ทั้งบ้านแก้เรื่องนี้โดยด่วนเพราะคราวนี้ไม่ใช่วิญญาณผู้น่าสงสารแต่มันต้องการจะสร้างกรรมใหม่ ผมบอกว่าพี่สาวยังคงอยู่ในน้ำ อยู่กับนางพรายตนนั้น มันยังไม่ปล่อยเธอไปไหน เก็บไว้เป็นบริวาร
          7 คืน คือจำนวนที่ผมบอกให้ที่บ้านนิมนต์พระมาสวดอภิธรรมทุกคืน บทสวดและพิธีทั้งหมดคือการสวดศพ เพื่อส่งวิญญาณของพี่สาว  และการสวดถอนเพื่อให้กำลังพรายอ่อนลง
          พี่ปลาบอกว่าในทุกๆคืนของการสวดนั้นเธอจะเห็นใบหน้าของพรายตนนั้นลอยชัดอยู่ในน้ำด้วยสายตาอาฆาตแค้น เธอได้แต่หลับตาทำใจให้สงบเพื่อไม่ให้แพ้ต่อสิ่งไม่ดีอีก
          คืนสุดท้ายของการสวด ผมบอกว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นให้ทุบท่าน้ำทิ้ง แล้วคงต้องตั้งรูปปั้นของท้าวเวสสุวรรณไว้ตรงนั้นแทนเพราะตอนนี้ยังถอนไล่เขาไม่ได้ เขายังไม่ถึงเวลา แต่คงได้แค่ห้ามไม่ให้เขาเข้าบ้าน
          ในตอนเช้าที่คนงานกำลังเริ่มรื้อถอน พร้อมกับขนย้ายรูปปั้นมาวางไว้ แม่กำลังกรวดน้ำลงในแม่น้ำให้ลูกสาวที่จากไปหลังตักบาตร พี่ปลากับพ่อกอดแม่ด้วยความเป็นห่วง และคิดถึงคนที่จากไป
‘ชบาลูก ไปหรือยัง หนูหลุดพ้นหรือยัง’
          แม่ถามด้วยน้ำตาที่ยังหยดไหลอยู่ แต่เหมือนกับใครบางคนอยากจะบอกอะไร ดอกชบาสีสวยสดลอยผุดขึ้นมาจากน้ำ ลอยใกล้เข้ามาที่มือของแม่ พี่ปลาเน้นย้ำว่า มันผุดขึ้นมาจากน้ำจริงๆ ไม่ได้ตกลงมา
          แม่ช้อนดอกชบานั้นไว้ในมืออย่างอ่อนโยน ประคองไว้ด้วยน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล แม่เก็บดอกชบานั้นไว้ในสมุดวาดรูปเล่มเก่าของทั้งสองคน แล้ววางไว้หน้ารูปเคารพของ ชบา พร้อมกับประโยคบอกลาครั้งสุดท้าย
‘กลับบ้านเรานะลูก’
..............................................................................................................................................................
          หลังจากรูปปั้นท้าวเวสสุวรรณถูกตั้งเอาไว้แทนที่ท่าน้ำ พี่ปลาบอกว่าบางคืนจะได้ยินเสียงโหยหวนของนางพรายแต่เสียงนั้นเหมือนไม่ได้ทรมานหรือเจ็บปวด แต่มันเหมือนกับความโกรธแค้นมากกว่า แล้วตั้งแต่นั้นมาท่าน้ำเก่าตรงนั้นก็เป็นที่หวงห้ามของคนในบ้านไปโดยปริยาย

อาถรรพ์ 'ดาบเพชฌฆาต'


     เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจากนักเล่าผู้มีพรสวรรค์มากเขาคือ ลอยชาย หรือ LoyChinE นักเล่าสมาชิกพันทิป กลับมาครั้งนี้กับเรื่องสุดลี้ลับ ที่มาจากกระทู้พันทิปที่มีชื่อว่า อาถรรพ์ 'ดาบเพชฌฆาต' ลองไปติดตามกันเลยครับ

     เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้าง ‘เชื่อได้ยาก’ หากไม่ได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์นั้นๆด้วยตัวเอง หลายต่อหลายครั้งที่เรามักถามตัวเองว่า มันจริงหรือ ใช่หรือ เราบ้าไปเองหรือเปล่า
           บางครั้งเรื่องที่มันดูบังเอิญจนน่าประหลาดใจก็กลายเป็นว่ามันลงตัวเสียจนอยากจะพูดว่า ใครจัดฉาก
          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินกันจนชินหู เรื่องของการ ‘สร้างบ้านทับที่’ เรื่องเล่าแนวๆนี้มีอยู่เยอะมากหากจะลองหาอ่านหรือหาฟังดูตามอินเตอร์เน็ต
          บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่อง ยอดฮิต แต่งได้ง่ายหรือใครๆก็เจอ แต่ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่งนั่นอาจจะหมายความว่า พื้นดินแทบทุกที่มันมีเรื่องราวของมัน เพราะ ‘ทุกที่มีคนตาย’
          วันหนึ่งผมได้มีโอกาสรู้จักกับกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญจากการไปเที่ยวตามๆกันไปนั่นแหละครับ เราเจอกันในสถานที่ท่องเที่ยวนั้นที่พักก็ใกล้ๆกัน เลยทำให้ได้พูดคุยกันบ้างตามมารยาท
          ในตอนกลางคืนเรามีปาร์ตี้เล็กๆเหมือนที่ใครๆก็ทำกันเช่นเดียวกับบ้านพักหลังข้างๆ
          ที่ที่เราไปนั้นเราพักในบ้านพักที่ถูกสร้างให้อยู่ติดๆกันเป็นโซนๆ จากสายตาที่มองผ่านๆก็ค่อนข้างแน่ใจว่า เพื่อนบ้าน น่าจะมีอายุมากกว่าพวกผมพอสมควร คงจะราวๆ30ต้นๆเห็นจะได้
          หลังจากปาร์ตี้กันไปได้พักใหญ่เครื่องดื่มที่มีก็เริ่มจะไม่เพียงพอสำหรับการอยู่รอชมพระอาทิตย์ขึ้น ผมที่กำลังจะออกไปหาอะไรมาทำกับข้าวกินพอดีจึงอาสาออกไปหาซื้อพร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่จะหลบออกมาโทรศัพท์พอดี
          ด้วยความที่บ้านพักติดกันมากเราจึงจำเป็นต้องเดินผ่านวงสังสรรค์ของพี่บ้านข้างๆครู่หนึ่ง พวกเรายิ้มทักทายให้ตามมารยาทเพราะพวกพี่ๆเขาดูใจดีมากๆ
‘น้องจะไปไหนครับ ไปข้างนอกหรือ’ พี่คนหนึ่งในกลุ่มตะโกนมาถาม ตอนนั้นไม่รู้ว่าแค่แซวเล่นหรือเห็นเราเป็นเด็กๆกัน
‘ไปซื้อของมาเพิ่มหน่อยครับ เดี๋ยวร้านมันจะปิดเสียก่อน’ ผมเป็นคนตอบกลับไปเพราะเพื่อนคุยโทรศัพท์อยู่
‘น้องไปยังไง พี่ไปด้วยสิ เดี๋ยวเอารถพี่ไปๆ’
          ในตอนนั้นผมลังเลมากเพราะเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนแต่เขาก็ทักทายอย่างอัธยาศัยดีดูไม่น่ากลัว บวกกับเราปฏิเสธเขาไม่ทัน เผลอแปปเดียวก็ขับรถมาจอดรอที่ทางเดินข้างหน้าแล้ว
          ผมกับเพื่อนขึ้นไปบนรถครอบครัวคันใหญ่ที่สภาพใหม่เอี่ยมแต่ออกจะรกไปหน่อย พี่เขาชวนคุยไปตลอดทางโดยแนะนำตัวว่าชื่อ ‘พี่ทิว’
‘พี่เห็นพวกน้องแล้วนึกถึงเพื่อนๆสมัยเรียน นี่ก็ทำงานกันหมดแล้วรวมกันยาก’
          คงจริงอย่างเขาว่าเพราะพวกพี่เขามากันแค่ 5 คน จากการพูดคุยก็รู้ว่าพวกพี่เขามักจะนัดมาเที่ยวเจอกันทุกปี แล้วแต่สถานที่ที่อยากไป
          แต่ด้วยอายุและภาระทำให้รวมตัวกันได้น้อยลงทุกครั้ง แต่งงานบ้าง ติดงานบ้าง เหตุผลที่ใครๆก็คงยากจะปฏิเสธ
          เราออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อถัดออกไปหลายซอยเพราะร้านค้าในละแวกนั้นปิดหมดแล้ว
          ไม่นานเราก็กลับมาถึงที่บ้านพักผมกับเพื่อนไหว้ขอบคุณพี่เขาหลายครั้งเพราะได้ของมามากกว่าที่คาด แถมพี่เขายังซื้อเบียร์เพิ่มให้ออก บอกว่าอยากให้สนุกกันไว้ วัยเรียนมันผ่านไปไวยิ่งกว่าเงินเดินออก
          ผมที่มักจะมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องอาหารในทุกๆงานจึงอยากจะขอบคุณพี่เขาสักหน่อยแบ่งอาหารที่ทำกินกันอย่างง่ายๆใส่จานยกไปให้พวกพี่ทิวที่ตอนนี้ยังนั่งสนุกกันไม่เลิก
          ผมไปยืนเกาะรั้วเรียกพี่เขาแล้วส่งจานให้ พี่เขารับไปอยากดีใจแต่ดูแล้วคงเริ่มได้ที่ไม่เบา พอผมกลับมากินกับเพื่อนๆต่อได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียก
‘เฮ้ย น้องๆ น้องงงง’
          เสียงเรียกของพี่ผู้ชายอีกคนมาเกาะรั้วตะโกนเรียกด้วยใบหน้าที่มึนได้ที่ และข้างหลังพี่คนนั้นก็มีเพื่อนๆอีก4คนรวมพี่ทิวอยู่ในนั้นด้วย ทุกคนมีข้าวของเต็มมือพร้อมจะ ย้ายถิ่นฐาน
‘พวกพี่ขอร่วมวงด้วยสิ คนน้อยไม่สนุก’
          ท้ายที่สุดพวกเราก็มานั่งกินรวมกันกลายเป็นวงใหญ่ งานดูสนุกมากขึ้นเพราะพวกพี่เขาเป็นเด็กสถาปัตถ์ทั้งหมด มีเรื่องเล่าเยอะแยะ แถมแนวการใช้ชีวิตยังหลุดโลกไม่เบา
          หลังจากเวลาผ่านไปค่อนคืนด้วยความสนุกที่มากเกินไปแผนที่วางไว้ว่าจะดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันจึงล่มไม่เป็นท่า แต่ละคนเมาหลับหมดสภาพไปอย่างเละเทะ
          ผมที่ไม่ได้กินบ่อยนักก็ได้แต่ดื่มพอประมาณด้วยการอ้างว่าจะทำกับข้าว แต่มันก็มากพอที่จะทำให้หนักหัวเหลือเกิน ผมเดินไปนอนลงบนเตียงในห้องพักโดยปล่อยให้คนอื่นๆนั่งหลับนอนหลับคาวงไปทั้งอย่างนั้น
          เพื่อนอีกคนที่นอนอยู่ก่อนนั้นเงยหน้ามามองผมเพราะรู้สึกถึงแรงทิ้งตัวลงบนเตียงจากผม น่าจะเป็นอย่างนั้นผมคิดเอา
‘เออมา ดีๆ นอนกันหลายๆคน อบอุ่นๆ’
          หลายคน? ผมมีสติให้ทบทวนคำพูดของเพื่อนนิดหนึ่งก่อนจะหลับไปด้วยเวลาอันรวดเร็ว สงสัยมันจะเมามากจนตาลาย ผมคิดอย่างนั้น
          ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่คงจะไม่นานมากเพราะฟ้ายังมืดอยู่ ผมสะดุ้งตื่นอย่างตกใจเพราะรู้สึกถึงสัมผัสอันเย็นเยียบที่ไล้ไปตามเท้า
          ผมรีบหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆห้อง แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลจึงทำให้การมองไปมาอย่างรวดเร็วทำให้ปวดหัว แต่หางตาก็ยังเห็นได้ชัดว่า ‘มีใครเพิ่งเดินออกจากห้องไป’
          ในตอนแรกผมไม่คิดจะตามไปเพราะคิดได้ว่าคงเป็นเพื่อน แต่สัมผัสที่รู้สึกได้ตรงเท้ามันแปลก ความเย็นนั้นยังอยู่ ยังรู้สึกได้
          ผมเดินออกมาที่หน้าบ้าน สภาพนั้นยังเหมือนเดิมทุกคนนั่งนอนหมดสภาพ ผมพยายามมองหาเงาของคนที่ผมเพิ่งจะเห็นไป
‘อ้าว ตื่นแล้วหรือ ต่อไหม เหลืออีกเยอะเลย’
          พี่ทิว ส่งเสียงทักจากด้านหลัง ผมสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพี่เขา ก็เลยได้แต่ตามน้ำไปว่าออกมาเดินเล่น พี่ทิวเลยเปิดเบียร์ให้ขวดหนึ่งนั่งกินกัน
          ผมยังไม่อยากกินเพราะยังคาใจไม่หาย พร้อมๆกับที่พี่ทิวพยายามมองไปรอบๆอย่างลนลานจนผมสังเกตได้
‘มีอะไรรึเปล่าพี่’
‘พี่หาไอ้เอ็กไม่เจอ’
          พี่ทิวพยายามมองหาเพื่อนอีกคนหนึ่งที่หายไปไหนไม่รู้ ผมบอกให้พี่แกไปหาในบ้านฝั่งพวกพี่เขาดูส่วนผมเดินเข้าไปหาในบ้านตามห้องนอนและห้องน้ำ
          ระหว่างที่หาอยู่นั้นหูผมก็แว่วได้ยินเสียงที่เคยคุ้นหู เสียงที่ไม่อยากจะได้ยินอีกในชีวิตนี้ เสียงสูงต่ำแว่วหวานแต่เย็นเยียบลอยมาตามลม เสียงนั้นแผ่วเบาหากไม่เงี่ยหูฟังอาจจะไม่ได้ยิน
          ผมเริ่มกังวลกับเสียงที่ได้ยินบวกกับพี่เอ็กที่ไม่รู้ไปอยู่ไหน ผมวิ่งไปเรียกพี่ทิวให้ออกมาจากบ้าน ทั้งที่ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะบอกอะไรกับพี่เขา
          แปลก พอพี่ทิววิ่งออกมาก็หันขวับไปทางหน้าบ้านพักที่มีศาลพระภูมิอยู่ ตรงนั้นเป็นบ้านหลายๆหลังติดกันเหมือนจะให้เป็นบ้านเดียวกันหมดเลยจัดศาลไว้เพียงอันเดียวเท่านั้น
‘ตามพี่มา’
          พี่ทิวออกวิ่งไปโดยไม่รอผมและไม่ได้บอกอะไร ผมตามไปติดๆพร้อมกับจ้องไปยังเงาของผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนจะเดินนำหน้าพวกเราอยู่
          ท่าทางการเดินอันสบายๆนั้นผิดกับพวกเราที่วิ่งสุดกำลังแต่ไม่มีทีท่าว่าจะตามทันแม้แต่น้อย ร่างผอมแห่งไม่ใส่เสื้อมีแค่กางเกงโบราณเก่าๆตัวหนึ่ง หลังที่ค่อมนั้นน่าจะบอกอายุได้ ในมือมีไม้เท้าช่วยพยุงหากแต่ไม่มีส่วนศีรษะให้เรามองว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร
          เราตามมาจนถึงชายทะเลที่ถัดไปจากบ้านพักพอสมควร ผมเริ่มหอบแล้วแต่พี่ทิวยังดูไม่เหนื่อยเลย เงาของชายชราหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่ายามค่ำคืนเท่านั้น
          เสียงลมพัดกระทบฝั่งฟังดูน่ากลัวทั้งที่ในตอนกลางวันนมันยังน่าฟังและรู้สึกผ่อนคลาย ผมได้ยินเสียงนั้นอีกครั้งคราวนี้มันชัดกว่ามาก
          ผมบอกให้พี่ทิววิ่งไปตำแหน่งที่ผมได้ยิน แล้วก็จริง พี่เอ็กนอนลอยคออยู่บนน้ำแม้ว่าจะไม่ลึกมากแต่คลื่นก็ค่อยๆซัดพี่เขาออกไปไกลเรื่อยๆ
          พวกเราลากพี่เอ็กกลับมาที่ชายหาดพยายามปั๊มหัวใจคิดว่าพี่เขาจมน้ำ แต่ท่าทางของแกดูสบายดีแต่ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ด้วยความเคยตัวจึงเผลอ ปลุก พี่เขาเหมือนที่เคยทำกับพวกที่โดนผีเข้า
          พี่เอ็กตื่นแทบจะในทันที พี่ทิวดูประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรเพราะรถพยาบาลมาพอดี ผมกลับมารอที่บ้านก่อนมีแค่พี่ทิวที่ขับรถตามไป
          พวกพี่เขากลับมาในตอนเช้าพอดีด้วยคำวินิจฉัยจากหมอว่า ‘เมา’ พี่เอ็กกลับเขาไปนอนต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร เหลือพี่ทิวที่เดินเข้ามาหาผมที่นั่งกินข้าวอยู่หน้าบ้านพัก
          พี่ทิวเริ่มต้นประโยคอย่างตรงไปตรงมา ‘พี่เห็นผี’ ผมตกใจนิดหน่อยแต่ก็เงียบฟังต่อ ‘น้องก็เห็นใข่ไหม’
          มาถึงขนาดนี้ก็คงต้องเล่าให้ฟัง ผมไม่ได้บอกอะไรมากแค่บอกว่าเห็น เห็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว พี่ทิวถอนหายใจเหมือนได้เจอเพื่อน พี่เขาก็เล่าเรื่องราวที่บ้านให้ผมฟัง
‘บ้านพี่สร้างทับที่ไม่ดีเข้า มีเรื่องราวเยอะแยะเลยเชียวล่ะ’
‘สร้างทับอะไรหรอพี่ ป่าช้า?’
‘เปล่า ตะแลงแกง น่ะ’
          ผมฟังเรื่องราวโดยทั่วไปอย่างคร่าวๆ พี่ทิวเป็นคนอัธยาศัยดีมากจนทำให้เราสนิทกันไปโดยไม่รู้ตัว ผมจึงเผลอทำตัวตามสบายเหมือนเวลาที่อยู่กับเพื่อน
‘ดีนะพี่มีของกัน ไม่อย่างนั้นอยู่กันไม่ได้’
          พี่ทิวหันมามองหน้าผมอย่างตกใจ ผมที่ยังไม่รู้ตัวว่าเผลอหลุดปากอะไรออกไปก็มองพี่เขากลับอย่างสงสัย

‘พี่ยังไม่ได้เล่าเลยนะ รู้ได้ไง’
           ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าโพล่งเรื่องที่ตัวเอง เห็น ออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่มันก็ช้าเกินกว่าจะกลบเกลื่อนอะไรได้ทันในเวลานี้ สุดท้ายก็เลือกที่จะเล่าให้พี่ทิวฟังไปเลยแล้วกัน
          พี่ทิวมีทีท่าคิ้วขมวดเหมือนคิดหนักและกำลังช่างใจบางเรื่องอยู่ในใจ ในที่สุดพี่ทิวก็เลือกที่จะเล่าเรื่องราวในชีวิตของตัวเองให้ผมฟังเช่นกัน
‘น้องรู้จัก ฤกษ์เพชฌฆาต ไหม’
‘เคยได้ยินมาบ้างครับ แต่ไม่ได้ศึกษา’
          พี่ทิวเล่าให้ผมฟังว่าพี่ทิวเกิดในฤกษ์เพชฌฆาตซึ่งเรียกได้ว่าเป็นฤกษ์อาถรรพ์ และจำทำให้ผู้ที่เกิดขึ้นในวันเวลาดังกล่าวนั้นมีดวงแรง อุปนิสัยก็จะรุนแรงเช่นกัน
          แต่ในหมู่ผู้คนที่เกิดในฤกษ์ยามนี้ก็แตกต่างกันออกไปตามแรงวันและเวลาในฤกษ์นั้นๆเช่นกัน ฤกษ์เพชฌฆาตไม่ได้มีแค่วันเดียว มันกระจายตัวอยู่ในหลายๆวัน และบางครั้งก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของวัน
          วันที่ เวลา ข้างขึ้น ข้างแรม ทุกอย่างมีผลให้เกิดความแตกต่างของฤกษ์ในแต่ละครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่เกิดในช่วงเวลาเหล่านี้มักจะมีจุดร่วมอยู่ด้วยกันหลายๆอย่าง และพี่ทิวก็เป็นหนึ่งในนั้น
          พี่ทิวเป็นคน เห็นผี มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น แค่ได้เห็นเท่านั้นไม่สามารถจะพูดคุยหรือติดต่ออะไรกับพวกเขาได้ แล้วก็เป็นเรื่องแปลกที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกกลัวในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นแม้แต่น้อย
‘อาจเพราะพี่เกิดในฤกษ์นี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะที่ดินที่บ้าน’
          พี่ทิวพูดติดตลกแต่มีแววหนักใจ พี่เขาพูดวนกลับมาที่ประเด็นหลัก บ้านที่สร้างทับตะแลงแกง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่บ้านนั้นจะมีแรงอาฆาตรุนแรงเพียงใด ดวงวิญญาณอันเลวร้ายที่ไม่อยากตาย ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
          ในตอนเด็กคืนหนึ่งพี่ทิวตื่นมาเข้าห้องน้ำได้ยินเสียงปี่พาทย์ผสมกับบทสวดที่ตัวเองไม่คุ้นหู ไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงนั้นมาจากลานหน้าบ้านที่ต่อกับโรงไม้เก่าของบ้าน
          เมื่อมองลงมาจึงเห็นกลุ่มของเงาดำที่วนเวียนอยู่เป็นก้อนๆ มองไม่ชัดแต่แน่ใจว่าเสียงมันดังมาจากตรงนั้น พี่ทิวในวัยเด็กรีบเดินกลับเข้าห้องไปแล้วไม่ออกมาเข้าห้องน้ำอีกจนเวลาเช้ามาถึง
          นั่นเป็นครั้งแรกที่พพี่ทิวได้พบกับเรื่องราวแบบนี้ แล้วมันก็ทำให้พี่ทิวเห็นวิญญาณมาโดยตลอด สิ่งหนึ่งที่ติดตัวพี่ทิวมาเช่นกันคือ ดวงอุบัติเหตุ
          พี่ทิวบอกว่าตั้งแต่เล็กจนโตมามีเรื่องให้เสียเลือดเสียเนื้อตลอด แต่ไม่เคยเข้ามาในรูปแบบของอาการป่วย ร้อยทั้งร้อยนั้นเป็นเรื่องของอุบัติเหตุทั้งหมด
          เบาบ้าง แรงบ้าง แล้วแต่ครั้ง แต่ทั้งหมดนั้นจะต้องมีเลือดไหลออกมาเสมอจนโตมาเพื่อนๆชอบแซวอย่างติดปาก ‘เดือนนี้โดนรถเฉี่ยวยัง’
          ชีวิตในด้านอื่นๆไม่มีอะไรน่าห่วงนอกเสียจากเรื่องพวกนี้ ครั้งหนึ่งสมัยเรียนพี่ทิวเข่าบ้านอยู่กับเพื่อนๆด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีที่กว้างๆจะได้เอาไว้วาดงานไว้ทำโมเดลกับเพื่อนๆ
          แจ๊คพอต! พี่ทิวพูดออกมาเสียงดัง บ้านหลังที่ไปเช่านั้นเคยมีคนตาย และไม่ใช่ตายอย่างป่วยตาย เธอกินยาล้างห้องน้ำตาย แม้เรื่องมันจะนานมากแล้วแต่ก็เป็นที่ร่ำลือ
          พี่ทิวรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกว่ามีอะไรบางอย่างในบ้านนั้น แต่มองไม่เห็นจนเพื่อนคนอื่นๆโดนดีกันหมด สุดท้ายก็ต้องย้ายออก ค่ามัดจำบ้านก็ทิ้งเลยตั้งหลายพัน
‘โดนอะไรกันครับ’
          ดึกๆชอบออกมาให้เห็น มากินยาล้างห้องน้ำให้ดู บางทีอาบน้ำอยู่สระผมลืมตามาก็นั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่ตรงซอกห้องน้ำ ตัวผอมๆดำๆปากบวมๆเน่าๆ
          หนักสุดเพื่อนพี่เคยเข้าไปอาบน้ำหลังจากกลับมาจากเที่ยว เมาแล้วก็เผลอหลับไปในห้องน้ำเลย มันตื่นมาบอกว่ามีคนมาอ้วกเสียงดังข้างๆหู ตัวเองเมาก็อยากอ้วกบ้างแต่พอลืมตามามองกลับไม่ใช่เพื่อน
          ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนดิ้นพลาดๆอยู่กลางห้องน้ำ อ้วกไม่หยุดร่างกระตุกอยู่หลายที จากอ้วกก็กลายเป็นเลือดตาเหลือกมองมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
          มันวิ่งออกจากห้องน้ำสติแตกเลยพี่ต้องตื่นมาดูมัน แล้วหลังจากคืนนั้นดึกๆห้องน้ำจะเหม็นน้ำยาล้างห้องน้ำมาก เหม็นจนแสบจมูก
          พี่ทิวเหมือนพยายามเล่านอกเรื่องไม่วนเข้าเรื่องตัวเองเสียที ผมถามย้ำกลับไปอีกครั้ง แล้วเหมือนกับคำถามของผมไปสะกิดใจพี่เขา ความเงียบเข้ามาแทนที่อยู่พักหนึ่ง
‘น้องคิดว่า เพชฌฆาตเนี่ย ตายแล้วไปไหน’
          ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะนั่นเหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าคำถาม พี่ทิวบอกว่าเรื่องมันเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจริงๆตอนที่พี่ทิวอายุได้ 24 ปี เข้า 25 ช่วงเรียนจบใหม่ๆ
          ปีนั้นพี่ทิวเกิดอุบัติเหตุหนักรถยนต์ลื่นถนนโค้งบนเส้นข้ามเขาทำให้แหกโค้งเข้าชนกับที่กันเลนถนน ดีที่ไม่ตกไปอีกฝั่ง รถพังยับ พี่ทิวไม่มีกระดูกหักสักท่อน แต่มีเศษกระจกหน้ารถกระเด็นทิ่มเข้าคออย่างจัง
‘ตายแน่’
          ประโยคที่กู้ภัยพูดตอนพี่ทิวยังไม่หมดสติ พี่เขาลูบคออย่างหวาดๆ พี่ทิวไม่ตายแต่เสียเลือดไปเยอะเห็นว่าให้เลือดไปหลายถุง นอนโรงพยาบาลไปหลายวัน
          คืนที่พี่ทิวเริ่มได้สติเต็มร้อย คืนนั้นพี่ทิวได้ยินเสียง เสียงดนตรีโบราณที่คุ้นหูแต่ไม่รู้เคยได้ยินที่ไหน เหมือนดังอยู่ใกล้ แต่บางครั้งก็ไกล ไม่รู้ที่มา
          ฤทธิ์ยาแก้ปวดทำให้สะลึมสะลือเพราะหมอพยายามใช้ยาช่วยให้หลับกลัวว่าจะเจ็บแผลจนมนไม่ไหว ในความึนงงนั้นพี่ทิวเห็นเงา
          เงานั้นพี่ทิวแน่ใจว่าเป็นผู้ชาย ในมือถือของคล้ายดาบ หันกลับไปกลับมาวาดลวดลายดาบในมืออย่างสวยงามแต่น่าขนลุก เท้าสองข้างสลับกันยกขึ้นกระทืบลงเป็นจังหวะ คล้ายจะรำ
          นั่นคือครั้งแรกที่เรื่องมันเริ่มขึ้น หลังจากนั้นพี่ทิวจะฝัน ฝันเห็นเงาร่างนี้มาร่ายรำดาบให้ดูอยู่ทุกๆคืน แต่เงาดำนั้นค่อยๆมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นทีละนิด และเหมือนจะเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ
          สิ่งนั้นสร้างความกังวลให้พี่ทิว แต่มันไม่ใช่แค่นั้น พี่ทิวเริ่มโดนผีอำ หลายต่อหลายครั้งและมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ สัมภเวสีที่วนเวียนมานั้นแทบไม่ซ้ำหน้า
          ครั้งที่รุนแรงจนทำให้พี่ทิวเลือกจะกลับบ้านคือพี่ทิวเลิกงานช้าจนเป็นเวลาดึกมาก คงเป็นเพราะเป็นเด็กจบใหม่ให้ทำอะไรก็ต้องทำ คืนนั้นพี่ทิวเลือกที่จะเดินกลับเพราะไม่ได้ไกลมากนัก
          พี่ทิวเดินผ่านไปแถวคลองเล็กๆใกล้ๆชุมชนข้างที่พัก มันเหมือนปกติในทุกๆวันจนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ พี่ทิวไม่ได้สนใจคงเป็นใครสักคนแถวๆนั้น แต่เสียงมันดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วเริ่มทรมานขึ้นเรื่อยๆ
          สุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูต้นตอของเสียงนั้น ที่ตรงนั้นเป็นริมทางน้ำไหลพี่ทิวก้มมองอย่างระวังไม่ให้ตัวเองตกลงไป แต่ความระวังนั้นมันก็ไร้ประโยชน์ เพราะพี่ทิวถูกแรงผลักจากด้านหลังทำให้ร่วงลงไปในน้ำ
          ในน้ำนั้นเย็นมากเย็นจนเริ่มเป็นตะคริว ความมืดทำให้มองอะไรไม่เห็นและที่แย่ที่สุดคือ อวนที่ถูกโรยไว้ในน้ำ มันรัดคอพี่ทิวอย่างแน่นหนา แน่นจนเริ่มหายใจไม่ออก
          ใครที่เคยจับอวนคงจะรู้ว่ามันเหนียวและแข็งมาก ถ้าเอาไปมัดมันก็คมได้ที่ทีเดียว พี่ทิวตกใจจนดิ้น ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งแน่นขึ้น แต่ในความโชคร้ายนั้นยังมีโชคดี
          ลุงเจ้าของอวนที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆคงได้ยินเสียงน้ำจึงรีบออกมาดู ทำให้ช่วยพี่ทิวไว้ได้ทัน เมื่อขึ้นมาจากน้ำได้แล้วอวนยังคงพันคออยู่ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด จนลุงต้องใช้มีดตัด แล้วมีดนั้นก็แฉลบปาดคอพี่ทิวเข้าไปนิดหนึ่ง

พี่ทิวถูกพาไปโรงพยาบาลด้วยรถยนต์คันเก่าๆของลุง แผลที่คอนั้นไม่ลึกจนเป็นอันตรายแต่ก็มีเลือดออกมาก ดีที่มันอยู่ข้างๆคอ โดนเย็บไปเหมือนกัน
‘แล้วเอ็งไปทำอะไรแถวนั้น’ ลุงถามในตอนขับรถกลับ
‘เดินเล่นครับ’ ตอนนั้นพี่ทิวไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี
‘เออ คราวหลังก็ระวังๆ ทะเลาะกับเมียรึไง เขาถึงผลักเอ็งลงไปน่ะ’
          คำพูดของลุงทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าลุงออกมาเพราะเสียงน้ำ แต่เขาเห็นเหตุการณ์อยู่ก่อน คิดว่าแฟนคงมาทะเลาะกันเพราะได้ยินเสียง ร้องไห้ ลุงเลยไม่สนใจจนได้ยินเสียงน้ำอีกทีเลยรีบวิ่งมา
          เรื่องนั้นทำให้พี่ทิวกลับบ้านในช่วงวันหยุด เพื่อไปปรึกษากับครอบครัว อาจเป็นเพราะบ้านหรือเปล่า หรือว่าอะไรทำไมมันถึงแย่อย่างนี้
           เมื่อกลับไปถึงบ้าน พี่ทิวบอกว่าจำความรู้สึกนั้นได้ดี ลมเย็นที่พัดวูบเข้ามาปะทะเขาทันทีที่ลงจากรถประจำทางเดินเข้ามาที่บ้าน บ้านเป็นบ้านสวนก็จริง แต่ลมในวันนั้นเย็นเยียบเข้าไปถึงสันหลังจนทำให้สั่นไม่รู้ตัว
          เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนในบ้านฟังซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ปู่ ที่มีอายุมากที่สุดในบ้าน อาจเพราะเป็นคนเก่าคนแก่ที่พอมีวิชาเลยมีความรู้ทางไสยอยู่บ้าน นั่นคือสิ่งที่พี่ทิวคิด แต่เปล่าเลยมันไม่ใช่อย่างนั้น
‘ทิว ตามปู่มาลูก’
          พี่ทิวถูกเรียกให้เดินตามไปอย่าง งงๆ ทั้งสองคนเดินตามกันมาที่ชั้นล่างของบ้านที่เป็นพื้นยกระดับ เดินตรงไปท้ายสวนที่ติดกับแม่น้ำสายเล็กสายหนึ่งที่ตรงนั้นมีกระท่อมเล็กๆที่ทำเอาไว้เป็นที่เก็บผลไม้ยามออกผลก่อนส่งต่อไปยังตลาด
          เมื่อเดินเข้าไปในกระท่อมเก่าๆนั้นปู่ก็บอกให้พี่ทิวออกแรงยกแคร่ไม้ขนาดใหญ่ที่วางอยู่มุมในสุดของกระท่อม มันหนักมากเพราะทำจากไม้เนื้อแข็งอีกทั้งยังเป็นแคร่ไม้แบบพื้นตัน คือไม่ใช่แบบที่เป็นขาสี่ข้าง
          เมื่อยกออกมาได้แล้วจึงได้เห็นว่าข้างล่างนั้นมีประตูเหล็กเล็กๆอยู่อันหนึ่ง รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดพอให้คนลงไปได้สบายๆ
          ปู่เปิดประตูบานพับออกอาจเพราะไม่ได้เปิดมานานจึงมีกลิ่นอับรุนแรงตีขึ้นมาทันทีหลังจากมีอากาศภายนอกถ่ายเทเข้าไป ปู่เป็นคนนำลงไปก่อน
‘ลงมา’
          เสียงปู่ก้องขึ้นมาจากห้องด้านล่าง พี่ทิวค่อยๆไต่บันไดลิงที่ทำจากไม้ตามลงไปข้างล่างโดนที่ใจนั้นเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
          อาการหายใจติดขัด เหมือนจะเป็นลมได้ทุกเมื่อทั้งที่ยังแข็งแรงดี เหงื่อท่วมออกมาทั้งที่ตัวเองรู้สึกหนาว ความวิงเวียนอย่างบอกไม่ถูกทำให้พี่ทิวก้าวขาได้อย่างเชื่องช้า แปลกที่ปู่ไม่มีวี่แววจะเป็นห่วงแต่อย่างใด
‘มาตรงนี้ทิว’
          แสงสว่างจากประตูด้านบนส่องมาถึงเพียงแค่ครึ่งทางทำให้มองไม่เห็นปู่ วูบเดียวห้องก็สว่างด้วยตะเกียงเจ้าพายุแบบโบราณที่หาได้ยากในสมัยนี้
          กลิ่นน้ำมันเก่าๆถูกจุดให้แสงสว่างเขม่าดำลอยฟุ้ง ตะเกียงมีอยู่ 4 อัน พี่ทิวจำได้ดี ที่ตรงกลางนั้นถูกขุดให้เป็นห้องสี่เหลี่ยมที่กว้างกว่าทางเดิน
          โต๊ะหมู่เตี้ยๆที่มีฝุ่นเขรอะอยู่เต็มไปหมด โต๊ะนั้นเป็นโต๊ะหมู่ขนาดเล็กแต่ตามหิ้งวางไม่มีพระพุทธรูอย่างที่ควรจะมี มีเพียงตั่งอันบนสุดที่มีกล่องเหล็กใบหนึ่งวางอยู่ บนฝากล่องมีพุทธรูปที่ดูเก่ามากวางทับเอาไว้
          เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆจึงได้เห็นว่าแต่ละตั่งบนโต๊ะหมู่9ชิ้นนั้นไม่ได้ว่างไว้ แต่มีของชิ้นเล็กๆวางอยู่ในแต่ละตั่ง บางอันเป็นยันต์ บางอันเป็นผ้าแดงเก่าๆขาด มีอันหนึ่งเป็นตะกรุด ร้อยด้วยวัตถุสีขาว คล้ายกระดูก
          พี่ทิวจะก้มลงกราบตามความเคยชินเวลาเห็นห้องพระแต่ถูกปู่ปรามไว้ก่อน
‘ทิวอย่าไหว้ เดินมาตรงนี้พอ’
          ปู่พูดสั้นๆให้พี่ทิวฟังแล้วค่อยขึ้นไปคุยกันข้างบน ‘บ้านเราสร้างทับตะแลงแกง คนในบ้านเหมือนถูกสาป จะย้ายบ้านก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีดาบเล่มนี้ก็คงไม่มีคนคุ้มกะลาหัวเรา’
          ปู่หยิบเอากล่องเหล็กนั้นมาเปิดให้ดู ในนั้นเป็นดาบเก่าเล่มหนึ่ง สนิมพอมีให้เห็นบ้างแต่สภาพใบดาบยังเป็นทรงอยู่ ในนั้นมีดาบสองเล่ม เล่มหนึ่งใหญ่ หนา และสั้นกว่าดาบใบเรียวอีกเล่ม
          ปู่หยิบดาบเล่มสั้นขึ้นมายื่นให้พี่ทิว พร้อมบอกว่าต้องทำพิธีเซ่นดาบ เพื่อเป็นของกำนัลให้เจ้าของดาบมาคุ้มครองเจ้าของดาบ
‘ทำอย่างไรครับ’
‘ให้เขาดื่มเลือด’
          เหมือนใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม พี่ทิวไม่เข้าใจคำพูด โดยไม่รอให้พี่ทิวตบปากรับคำ ปู่หยิบเอาดาบในมือมารูดฝ่ามือพี่ทิวจนเลือดไหลเป็นทาง
          พี่ทิวบอกว่ามันเจ็บมาก เจ็บมากๆ คงเพราะดาบมันไม่ได้คมเรียบสวยงาม ความปวดทำให้พี่ทิวถึงกับน้ำตาไหล ปู่จับมือหลานยื่นตามมาในกล่องเหล็กปล่อยให้เลือดไหลหยดลงไปในกล่องแตะต้องใบดาบทั้งสองจนเป็นสีแดงฉาน
          เมื่อกลับขึ้นมาได้พี่ทิวรีบยืมรถของพ่อไปที่โรงพยาบาลเพื่อฉีดยากันบาดทะยัก เพราะดาบนั้นเขรอะสนิมเหลือเกิน แล้วมันก็เป็นเรื่องแปลก คืนนั้นพี่ทิวมีไข้สูงมาก จนต้องเข้านอนอย่างรวดเร็ว
          พี่ทิวจำได้ดีว่าฝัน ฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งมารำดาบวนไปมาอยู่ปลายเตียง เงาร่างนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนในที่สุดก็มายืนรำยกแข่งยกขาอยู่บนหน้าอกของตัวเขา
          น้ำหนักนั้นทำให้หายใจลำบาก พี่ทิวพยายามขยับตัวเพราะความกลัว เงาร่างบึกบึนนั้นเริ่มร่ายรำรวดเร็วขึ้นเป็นจังหวะ พี่ทิวยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก
          แม้จะขยับตัวไม่ได้ก็ขอให้ได้หันหนีก็ยังดี แต่เมื่อหันไปแล้วพี่ทิวก็เกิดความกลัวจนสติขาดไป เพราะที่ช้างเตียงนั้นมีเงาร่างประมาณ5ร่างเห็นจะได้
          ทั้งหมดนั้นนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมือสองข้างพนมไหว้อยู่กลางอก และทั้งหมดนั้น ไม่มีหัว
          เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้พี่ทิวเริ่มคลำมือข้างที่ถนัดเหมือนพยายามคิดถึงอะไรบางอย่าง หลังจากเรื่องในวันนั้นทุกๆปีพี่ทิวจะต้องกลับไปที่บ้าง เพื่อทำการเซ่นดาบอย่างที่เคยทำ
‘แต่พี่ทิวก็ยังเห็น?’
          ผมถามพี่ทิวเพราะรู้สึกว่ามันไม่ได้ดีขึ้นเลย พี่ทิวยังเห็นผีเหมือนที่เคย แต่พี่ทิวก็ยิ้มแล้วตอบผมกลับมาว่า ใช่ พี่เห็นผี แต่ไม่เท่าเดิม เพราะมันมากขึ้น อย่างเดียวที่มันดีขึ้นก็คือ พี่ไม่เจ็บตัวจากอุบัติเหตุให้เสียเลือดเสียเนื้ออีก
           หลังจากนั้นเป็นปีพี่ก็เริ่มเห็นมากขึ้นๆ เคยคิดว่าตัวเองเห็นนะแต่จริงๆแล้วไม่น่าจะใช่อย่างนั้น พี่ว่ามันเหมือนกับ เขาตามพี่เสียมากกว่า
          ประโยคนั้นน่าสงสัย ผมเริ่มตั้งใจฟังต่อไป หลังจากครั้งนั้นพี่ทิวก็กลับไปทำทุกๆปีเหมือนอย่างที่ปู่ได้บอกไว้ พี่ทิวทำงานอยู่ในกรุงเทพเช่าคอนโดนอนอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่งแต่เพื่อนมักจะไม่ค่อยอยู่เพราะช่วงนั้นมีแฟนมักจะไปนอนกับแฟนมากกว่า
          มันเป็นชั้น 7 สูงจากข้างล่างพอสมควรอาจไม่สูงมากแต่ก็มากพอจะมีลมเย็นๆพักมาในยามค่ำคืน คืนนั้นพี่ทิวออกไปนั่งกินลมชมวิวอยู่ข้างนอกนานสองนานจนเผลอหลับไป
          เมื่อรู้สึกตัวด้วยอากาศที่เย็นลงก็เดินกลับเข้ามานอนในห้องตามเดิม ระหว่างที่หลับไปพี่ทิวก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะลมเย็นๆที่โชยมาปะทะเข้าที่หน้าอย่างจัง
          สงสัยจะเปิดแอร์แรงไปหน่อย พี่ทิวพูดขำๆแต่แล้วก็ไม่ใช่เพราะผ้าม่านตรงระเบียงห้องสะบัดพลิ้วไปมาจนต้องมองออกไป แล้วก็พบว่าประตูระเบียงมันเปิดอยู่
          พี่ทิวแน่ใจอย่างมากว่าตัวเองปิดประตูดีแล้วเพราจะเปิดแอร์ก่อนนอนเหมือนทุกครั้ง พี่ทิวคิดอย่างเดียวว่าคงเป็นโจร แต่ตึกสูงอย่างนี้ทางเดียวที่เป็นไปได้ก็คงจะเป็นพวกข้างห้องไม่ก็ชั้นที่ติดๆกัน

ไม้กอล์ฟเหล็กที่พี่ทิวมีไว้ออกกำลังยามว่างถูกกระชับเข้ามือกะจะฟาดเสียให้หนักหากเจอตัว พี่ทิวเดินออกไปข้างนอกห้องพร้อมง้างไม้สูง
          ตรงนั้นมีเพียงความว่างเปล่า พี่ทิวชะเง้อมองหน้าหลังไม่เห็นใครจึงรีบกลับเข้าไปในห้องเปิดไฟให้สว่างทุกดวง สำรวจไปทั่วทุกมุมในห้อง แต่สุดท้ายก็ไม่พบใครเหมือนที่คาด
          พี่ทิวไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ ความเย็นของอากาศภายในห้องที่ค่อยๆมากจนเริ่มทนไม่ไหว พี่ทิวรีบเดินตรงไปที่ระเบียงเพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยกะว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปแจ้งความไว้เพื่อความปลอดภัย
          ก่อนจะปิดประตูระเบียงพี่เขายังกังวลใจจึงออกไปชะโงกหน้าดูตรงระเบียงเผื่อจะมีร่องรอยอะไรอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พบ เมื่อพี่ทิวหันกลับมาก็ต้องเข่าอ่อนจนทรุดลงกับพื้น
          ห้องคอนโดทันสมัยที่ถูกเปิดไฟจนสว่างทั่วทั้งห้อง ตอนนี้มีร่างของใครต่อใครมากมายมาอาศัยอยู่ นั่งบ้างยืนบ้าง บ้างนอนระเกะระกะตามพื้นไม่เป็นระเบียบ
          เสื้อผ้าเก่าๆโบราณบ่งบอกว่าไม่ใช่คนในสมัยนี้เป็นแน่ อีกทั้งบางคนยังไม่มีเสื้อผ้าใส่ บางคนมีแผลตามตัว แต่ที่ทุกคนเหมือนกันคือ ทุกร่างไม่มีหัว
          ร่างพวกนั้นไม่ได้ขยับไปมาเหมือนในหนังที่เคยดู มันอยู่นิ่งๆ นิ่งอย่างนั้น แผลเหวอะหวะตรงลำคอมีเลือดหยดบ้าง พุ่งบ้างภาพนั้นมันน่ากลัวจนอยากจะหนีไป
          พี่ทิวไม่มีแรงลุกขึ้นจากตรงนั้น ทำได้เพียงพยายามหลับตาหยีแล้วยันตัวเองให้ติดกับกำแพงเตี้ยๆของระเบียงเหมือนว่ามันจะสามารถขยับออกไปได้
          แต่แล้วก็มีกลิ่นคาวคลุ้งตีเข้าจมูกอย่างแรง คนที่เจออุบัติเหตุบ่อยๆอย่างเขาจำได้ดี นี่คือกลิ่นของเลือด เลือดที่มีปริมาณมากพอจะทำให้กลิ่นคลุ้งได้ขนาดนี้
          ด้วยความตกใจจึงลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้า ทุกร่างยังคงอยู่ที่เดิม ระเกะระกะไปหมด แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือข้างๆตัวเขานั่นเอง ร่างไร้ศีรษะหลายร่างนั่งเคียงกายเขาอยู่ไม่ห่าง ร่างหนึ่งพิงชิดแนบติดกับแขนล่ำๆของเขา
‘พี่สลบไปเลยล่ะตอนนั้น’
          พี่ทิวเล่าให้ฟังด้วยใบหน้าซีดๆ คงยังกลัวอยู่ หลังจากเรื่องนั้นยังมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น บ่อยครั้งที่พี่ทิวอาบน้ำล้างหน้าแล้วมองกระจกในห้องน้ำพบกับร่างไร้ศีรษะยืนมองเขาอยู่
          พี่ทิวไปหาหมอดูที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งเพื่อตรวจดวงชะตาหาที่มาที่ไปของตัวเอง คำแรกที่หมอดูทักพี่ทิวคือ ‘ไปทำอะไรมา ตามมาเป็นแถวเชียว ไม่มีหัวสักคน’
          เพียงประโยคแรกก็ทำให้พี่ทิวเชื่อไปเลยหมดหัวใจ หมอดูทำหน้าคิดหนัก เหมือนไม่เข้าใจ หรือหนักใจกันแน่ พี่ทิวทำได้แค่นั่งรอนิ่งๆอย่างลุ้นระทึก
‘นี่เอ็งเกิดฤกษ์เพชฌฆาต นี่หว่า’
          ตอนนั้นพี่ทิวยังไม่เข้าใจ แต่ก็ได้หมอดูคนนี้อธิบายจนได้ความรู้ใหม่มา หมอดูบอกว่ามันแปลก มันไม่เหมือนกับว่าพี่ทิวโดนสิ่งไม่ดีติดตามหรือใครทำของร้ายอะไรใส่ แต่มันเหมือนกับพี่ทิวเป็นผู้สร้างมันไว้เองเสียมากกว่า
          หมอดูได้แต่ทำนายโชคชะตาทั่วๆไปแล้วบอกว่ามันเป็น กรรมเก่า ยากเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งได้ อย่างไรเสียก็ให้อุ่นใจไว้ว่า ไม่ตายหรอก เอ็งดวงแข็ง พวกนี้มันทำร้ายเอ็งไม่ได้ ได้แต่ตามเท่านั้น
          ประโยคนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ใครจะทนกับการโดนตามอย่างนี้ได้ คงมีแต่พวกหมอผีเท่านั้นแหละที่จะพอใจกับเรื่องอย่างนี้
           หลังจากนั้นพี่ทิวยังคงพบเจอกับเงาคนไร้หัวเสมอๆ บางครั้งในเวลาที่พี่ทิวนอนอยู่ในคอนโดก็ต้องตื่นมาเจอเงาร่างร่างไร้หัวนั้นนั่งมองเขาอยู่ข้างเตียงหลายต่อหลายครั้ง เช่นเดียวกับเงาของชายคนนั้นที่รำดาบอยู่ไม่ห่างจากตัวเขา
          ก็แปลกนะทำไมพี่ถึงไม่สติแตกไปเสียก่อน แต่นั่นแหละเขาก็บอกว่ามันเป็นข้อดีของพวกเกิดฤกษ์แบบพี่ ถ้าเป็นคนจิตอ่อนๆอย่างคนอื่นไม่พ้นเป็นบ้าไปแล้ว
          พี่ทิวทำท่านึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่มันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ วันนั้นพี่ทิวได้รับสายโทรศัพท์จากที่บ้านว่ามีโจรขึ้นบ้านเอาข้าวของในบ้านไปหลายอย่าง ส่วนมากเป็นสร้อยเงินสร้อยทองที่เก็บเอาไว้
‘หลายตังค์ไหมพี่ ที่เสียไป’
‘หึ ไม่เสียสักบาท’
‘ได้คืนหมดเลยหรือ’
‘ได้น่ะมันได้ แต่ว่าจริงๆแล้วไอ้สร้อยพวกนั้นเนี่ย บ้านพี่ไม่ได้ซื้อหามาเอง’
          หลังจากได้รับโทรศัพท์จากที่บ้านแล้วพี่ทิวก็รีบกลับบ้านไปด้วยความร้อนใจเพราะเป็นห่วงคนที่บ้านมีแต่คนอายุมากทั้งนั้น พวกเด็กๆหลายๆก็ยังไม่โตพอจะพึ่งได้มากนัก
          พี่ทิวได้รับข่าวในตอนเช้า ช่วงเย็นๆก็กลับมาถึงบ้านแล้ว หลังจากสำรวจแล้วทั้งหมดพบว่ามีแค่ทองกับเงินเก่าที่หายไป ของพวกนั้นเป็นของตกทอดมาจากต้นตระกูลเป็นของที่ขุดเจอแถวๆนี้ สวดมากเป็นสร้อยและเครื่องประดับ
          แต่ที่มันน่ากลัวคือ ห้องใต้ดินในกระท่อมเก็บผลไม้ถูกขโมยเอาไปด้วยทั้งกล่อง พร้อมกับพุทธรูปเก่าด้วยเช่นกัน ปู่กับพ่อของพี่ทิวบอกว่าต้องเป็นพวกเด็กขนผลไม้ที่จ้างมาทำงานแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าที่บ้านนี้มีของเก่าเก็บ อีกทั้งต้องเป็นพวกที่มาทำงานแล้วหลายรอบ
          คืนนั้นทุกคนเคร่งเครียดได้แต่รอฟังข่าวจากตำรวจที่รับเรื่องไป แต่ทุกอย่างก็ดูไร้วี่แววไม่มีใครคิดว่าจะได้คืนมาอีก แล้วก็แปลกทื่คืนนั้นบ้านไม่น่าอยู่เอาเสียเลย มันอึดอัด มันวังเวงชอบกล
          เด็กน้อยในบ้านก็ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดเหมือนถูกแกล้ง หรือกลัวอะไร หมาแมววิ่งพล่านไปหมด บางตัวถึงกับตัวสั่นเข้าไปหลบในซอกมุมของบ้านร้องหงิงๆไม่ยอมออกมา ขนาดวางข้าวไว้ก็ไม่ยอมออกมากิน
          ช่วงประมาณ 2 3 ทุ่มมีตำรวจขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามาที่บ้าน พร้อมตะโกนเรียกปู่ให้ลงไปหาเพราะปู่เป็นคนเก่าแก่ที่นี่ทำให้หลายๆคนรู้จักว่าเป็นนายสวนผลไม้รายใหญ่
‘ตาๆ ได้เรื่องแล้ว เจอตัวโจรแล้ว ตามผมมา มากันหลายๆคนนะ เด็กกับผู้หญิงไม่ต้องมา’
‘เอ้า ทำไมล่ะ มันเป็นอย่างไร’
‘เอาเถอะน่า เชื่อผม’
          ปู่ พ่อ และพี่ทิว ขับรถกระบะตามมอเตอร์ไซด์ของสายตรวจออกมาที่ถนนในหมู่บ้าน เลยไปจนถึงหลังวัดที่ตรงนั้นเป็นท่าน้ำเก่า มีสถูปและโกฎิหลายชิ้นตั้งเรียงรายอยู่ทั่วไปหมด
          ปกติแล้วที่ตรงนี้จะเงียบมากไม่ค่อยมีคนผ่าน แต่ตอนนี้มีคนมุงเต็มไปหมดพร้อมกับไฟสัญญาณของรถตำรวจที่เข้ามาเคลียร์พื้นที่
          เมื่อไปถึงก็เห็นมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งพังยังไม่เป็นท่าเพราะชนเข้ากับเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ ที่ตรงนั้นมีร่างหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ในสภาพศพคอหักไม่เป็นท่าบิดจนผิดธรรมชาติตาเหลือกน่ากลัว
          อีกคนมีแค่แผลถลอกแต่สติสตังดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม ตำรวจใส่กุนแจมือไว้ด้านหลัง และทันทีที่ทั้งสามคนเดินเข้ามาในวงล้อมของตำรวจเพื่อดูว่าใช่เด็กขนผลไม้อย่างที่สงสัยหรือไม่
‘เออใช่แล้ว ไอ้สองตัวนี้ข้าเคยจ้างมาขน’
          ปู่แทบอยากจะเข้าไปกระทืบมันแต่ถูกตำรวจห้ามไว้ เด็กคนที่ถูกใส่กุญแจมือมีท่าทีเลื่อนลอยสลับกับส่งเสียงหลงเหมือนกลัว เหมือนพยายามหลบอะไรบางอย่าง
          เด็กคนนั้นอายุน่าจะเกือบๆ20 พอเห็นพี่ทิวก็ทำตาโตเบิกกว้างด้วยความกลัว แต่ก็เหมือนดีใจ แม้ว่ามือจะถูกล็อคไว้ด้านหลังขาสองข้างที่ยังทำงานได้ดีจึงรีบวิ่งลุกมาทางพี่ทิว

ตำรวจที่ตาไวเห็นจึงตะครุบตัวมันไว้ได้ก่อนจะเข้าไปถึง แต่มันก็ยังพยายามจะคลานต่อมาให้ใกล้กับตัวพี่ทิว มันเอาหน้าของมันถูกไปมาบนเท้าพี่ทิวอย่างน่าขนลุก
‘ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไม่เอาแล้ว’
           มันคร่ำครวญอยู่อย่างนั้นอย่างไร้สติ แล้วมันก็เริ่มที่จะมองไปรอบๆอีกครั้งอย่างหวาดกลัว มันขยับเข้าไปใกล้ พี่ทิวถอยห่างออกมา
‘อย่า อย่าไป อย่าอยู่ห่างกัน มันจะมา มันจะมา’
          คำพูดฟังไม่รู้เรื่องยิ่งชวนให้หงุดหงิด พ่อที่ตอนนี้ใช้เท้าเขี่ยมันออกจากเท้าพี่ทิวด้วยความโกรธ ปู่ก้มลงไปพูดกับมันถามหาข้าวของว่าอยู่ไหน มันก็พูดไม่รู้เรื่อง จนสุดท้ายพี่ทิวเป็นคนพูดเอง
‘ไป ไปเอาของคืน เอาไปเลย ให้หมดเลย ไม่เอาแล้ว’
          เสียงของมันโหยหวนจนคนที่มามุงดูกลัวไปตามๆกัน บางคนเข้าบ้านไปแล้ว บางคนยังดูอยู่ ตำรวจจับให้มันยืนขึ้นแต่มันไม่ยอมยืนเอาแต่พูดว่า ยืนไม่ได้ ยืนไม่ได้
          ตำรวจเอาเชือกมามัดมือมันไว้ข้างหนึ่งแล้วปลดกุญแจมือออกตามคำขอของปู่ มันไม่ยอมยืนจริงๆ มันคลานไปตามถนนปากก็พูดแต่ว่า กลัวแล้วๆ อยู่อย่างนั้น
          มันคลานนำทุกคนไปยังที่ที่น่าจะเอาของไปซ่อนไว้รอเอาไปขาย หน้าขาและเข่าของมันครูดไปตามพื้นจนเป็นแผลเลือดไหล แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดคลาน มันยังคลานต่อไป ถ้าสังเกตจะเห็นว่าช่วงหลังและเอวมันต่ำกว่าปกติ เหมือนมีของหนักๆมาทับไว้
          มันคลานไปจนถึงมุมหลังวัดที่เป็นโกฎิเก่า ในนั้นไม่มีใครเข้าไปยุ่งเพราะยังมีส่วนของป่าช้าแบบฝังอยู่ มันใช้สองมือตะกุยเอาดินกับหญ้าออกจากพื้นรกๆนั่นเสียงเล็บขูดเห็นฟังแล้วเจ็บแทน
          ใต้โกฎิเก่ามีหลุมอยู่ในนั้นมีของทั้งหมดของบ้านพี่ทิวอยู่ เมื่อมันได้คืนของแล้วมันก็โวยวายเหมือนร้องขออะไรสักอย่าง ตำรวจพามันกลับไปขึ้นรถแล้ว ปล่อยให้คนในบ้านกับตำรวจอีกนายเก็บของคืนที่บ้าน
          หลังจากนั้นมีคนเล่ากันปากต่อปากว่าคืนนั้นมีคนเห็นเงาร่างของผู้ชายยืนอยู่บนหลังของโจรเด็กคนนั้น ทำให้มันต้องคลานไปและแน่นอนว่า บ้านพี่ทิวก็ถูกมองว่าเป็นบ้านผีสิงไปแล้ว
          หลังจากได้ของทุกชิ้นกลับมาอย่างครบถ้วน พี่ทิวบอกว่าอยากเอาดาบนั้นพกติดตัวกลับไปที่กรุงเทพด้วย ช่วงนี้เหมือนจะเจอเรื่องแปลกๆอีก โดยเอาไปเพพียงเล่มเดียว อีกเล่มเก็บไว้ที่บ้านอย่างเคย
          แปลก ทันทีที่ทุกคนกลับบ้านมาพร้อมกับข้าวของทุกชนิด บรรยากาศในบ้านก็ดูสงบเหมือนในทุกๆวัน หมาแมวเริ่มออกมานอนเล่นเหมือนปกติ เด็กๆหยุดร้องไห้อย่างพร้อมเพรียงกัน
‘เขากดพวกผีตะแลงแกงไว้’
          ปู่อธิบายลอยๆให้คนในบ้านฟัง อย่างนั้นก็หมายความว่าดาบสองเล่มนี้คงเป็นดาบที่พวกมันกลัวนักกลัวหนา ดาบที่ใช้ปลิดชีวิตพวกมันนั่นแหละ มันยังกลัวอยู่ อาถรรพ์ของดาบมันยังไม่จางไปตามเวลา ปู่ว่าอย่างนั้น
          พี่ทิวเอาดาบนั้นมาติดตัวจริงอย่างที่บอก เขาไม่เห็นผีหัวขาดตามรังควานเขาอีก แต่กลายเป็นว่ามันหนักกว่าที่คาดมาก พี่ทิวนอนคนเดียวหลายคืนจึงไม่รู้เรื่องอะไร
          แต่คืนหนึ่งที่เพื่อนกลับมานอนด้วยนั้นเพื่อนบอกว่า ได้ยินเสียงตึกตักมาจากพื้นห้องพี่ทิวเหมือนมีแรงกระทกลงบนพื้น เหมือนกระทืบเท้า
          เพื่อนเคาะประตูห้องเรียงอยู่นานก็ไม่มีใครตอบรับหรือออกมาเปิด มีแต่เสียงตึกๆนั้นดังอยู่ เพื่อนเป็นห่วงจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ต้องตกใจจนเกือบฉี่ราด
          พี่ทิวถือดาบเก่าในมือนั้นวาดลวดลายอยู่ในอากาศอย่างคล่องแคล่ว และคุ้นเคย ท่าทางอ่อนช้อยราวกับถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่าไหว้ครูนั้นสวยงาม
          เพื่อนได้แต่นั่นตัวแข็งอยู่กับพื้นส่งเสียงเรียกเท่าไหร่พี่ทิวก็ไม่ได้สติ จนต้องรอให้การรำดาบนั้นหยุดลงเอง พี่ทิววางดาบลงบนโต๊ะที่ตัวเองเอาตั่งไม้เตี้ยๆมาวางไว้ แล้วกราบลงที่พื้นใกล้ๆ
          เพื่อนบอกว่าพี่ทิวเดินกลับไปนอนบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียกก็ไม่ตื่นจนเพื่อนพอมีแรงแล้วเดินไปปลุกถึงตัวจึงได้สติ
          หลังจากวันนั้นก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกคืนวันแรม และวันโกน จนเพื่อนทนไม่ไหวบอกให้เอาดาบไปคืนที่บ้าน พี่ทิวไม่เคยูรู้ตัวเองหรอก แต่ก็ต้องเอากลับไปเพื่อความสบายใจของผู้ร่วมห้อง
          และแน่นอนว่าหลังจากนำดาบกลับไปคืนแล้ว พี่ทิวต้องพบกับวิญญาณไร้หัวพวกนั้นเหมือนอย่างที่เคยเจอ
          พี่ทิวบอกผมว่ามันผ่านมาหลายปีแล้วจนทุกวันนี้เหมือนเห็นเงาของคนไร้หัวที่นั่งเรียงรายอยู่ข้างเตียงเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว แต่ในใจลึกๆก็ยังอยากจะให้เรื่องราวมันผ่านพ้นไปในที่สุดเช่นกัน
‘ไปเที่ยวบ้านพี่ไหมล่ะ เผื่อเราจะรู้อะไร’
          ผมปฏิเสธทันควันเพราะเพิ่งรู้จักกันแต่สุดท้ายก็ตอบตกลงไป แต่ก็ผ่านช่วงนั้นไปเป็นเดือนเหมือนกัน
          วันที่ไปถึงที่บ้านความรู้สึกแรกที่รถวิ่งเข้าตัวบ้านผมแทบจะอ้วกออกมาในทันที ความรู้สึกกดดันที่รุนแรง ความอาฆาต ความน่าสะอิดสะเอียนหลายอย่างพุ่งเข้ามาปะทะจนต้องตั้งสติรับ
          เยอะ เยอะเหลือเกิน มันไม่ใช่แค่สิบหรือยี่สิบ ผมเชื่อว่ามันมีมากกว่าร้อย หรือสองร้อยแน่ๆ ผมตั้งสติอยู่นานจึงเดินตามขึ้นไปบนบ้านของพี่ทิวที่มีปู่นั่งรออยู่
‘ใจเย็นๆนะไอ้หนุ่ม ค่อยๆหายใจ ของไม่ดีมันเยอะ’
          ปู่คงรู้อะไรอยู่มากทีเดียวถึงพูดเช่นนี้ได้ ในวันนั้นเราไม่ได้สนทนาอะไรกันเลยที่เป็นเรื่องทั่วไป เปิดประเด็นมาก็คือเรื่องตะแลงแกงเลย
          ผมใช้ความรู้สึกของตัวเองถามปู่ออกไปตรงๆ ‘ผมเห็นคน ยืนเรียงกันเป็นแถว แต่ยาว ยาวมาก เหมือนกำแพง’
          ปู่มองอย่างครุ่นคิดก่อนจะเล่าให้ฟัง ตะแลงแกงนั้นคือลานประหาร นั่นหมายความว่าที่ดินจะต้องแรงพอจะทำให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้อยู่โดยรอบได้ หากไม่เพียงพอก็ต้องทำ
          บางตำราและเรื่องเล่าบอกไว้ว่าเมื่อมีหนึ่งศพถูกประหาร ร่างมันจะถูกนำไปลอยน้ำหรือทำลายแต่ส่วนหัวนั้นไม่ หัวแต่ละหัวจะถูกขุดหลุมฝังลงไปรอบบริเวณของตะแลงแกง แล้วตอกเสาทับลงไปพร้อมกำกับด้วยอาคมเพื่อให้เป็นวิญญาณเฝ้าไว้ ณ ตรงนั้น
          ใช้ผีเฝ้าผี ถ้ามีผีใหม่ๆ ไอ้พวกที่ถูกทำเป็นเสาจะกันไม่ให้ผีออกไปอาละวาดข้างนอกเขตได้ และในตัวตะแลงแกงจะต้องมีที่สำหรับเก็บดาบของเพชรฆาตเอาไว้ด้วย เพื่อกดพวกมันอีกทีหนึ่ง
          ดาบของเพชฌฆาตส่วนมากจะมีสองดาบ บางครั้งก็ดาบเดียว ดาบแรกปลิดชีพ ดาบสองเพียงเพื่อเก็บงานเท่านั้นโดยดาบแรกจะหน้าใหญ่ เพื่อเพิ่มแรงในการฟัน ดาบสองจะเรียวยาวไว้เฉียนเศษเนื้อที่ยังติดอยู่
          การจะตีดาบนั้นได้ต้องอาศัยยามยมขันธ์ หรือยามอัปมงคลอื่นๆ เพราะถือว่าเราทำของอัปปรีย์ใช้ฆ่าคน ต้องไม่ทำในฤกษ์มงคลเด็ดขาดส่วนผสมในดาบน้ำจะเป็นเหล็กและแร่อื่นๆ ตลอดเวลาต้องลงด้วยอาคม บางครั้งต้องใช้เลือด
          ดาบนั้นจะถูกเก็บไว้ในที่อัปมงคลเสมอ ห้ามนำออกสู่ภายนอก และผู้ถือดาบนั้นต้องคัดเลือกมาอย่างดี โดยเลือกเอาผู้เกิดในฤกษ์เพชฌฆาต ปู่หันไปมองหลานอย่างอ่อนใจ
          แต่ในหมู่นั้นต้องคัดเลือกอีก ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นได้ หลังจากนั้นต้องฝึกเพลงดาบให้ชำนาญ ฝึกอาคมชั้นสูง และสมาธิระดับสูงเพื่อให้เพียงพอต่อการสะกดและป้องกันตัวจากวิญญาณของนักโทษ
          หนึ่งในนั้นคือการเฉือนส่วนหนึ่งของศพมากินหรือเคี้ยวแล้วคายทิ้งเป็นการข่มวิญญาณตามความเชื่อ ซึ่งผมเคยเห็นคนทำอย่างนี้มาแล้วในงานศพ โดยสัปเหร่อคนหนึ่ง มันเป็นศาสตร์ของเพชฌฆาตที่ถูกนำมาใช้
‘บ้านนี้สืบทอดวิชามาใช่ไหมครับ’
          พี่ทิวทำหน้า งงๆ แต่ปู่พยักหน้ารับ บ้านนี้เป็นเชื้อสายของเพชฌฆาต ต้นตระกูลเลือกสร้างบ้านบนที่ดินผืนนี้เพราะต้องการจะเป็นคนสะกดวิญญาณเหล่านี้ไว้ด้วยตัวเอง แล้วก็สอนวิชาให้ลูกหลานเรื่อยมา

แล้วทำไมคนอื่นถึงไม่เจอเรื่องราวอย่างผม พี่ทิวถามอย่างนั้นปู่ส่ายหัวบอกว่ามันจนปัญญาเหลือเกินแต่สิ่งหนึ่งคือ ทิว เป็นคนเดียวในช่วงหลายรุ่นมานี้ที่เกิดฤกษ์เพชฌฆาต มันคงมีความหมายอะไรอยู่บ้าง
          ปู่พาผมกับพี่ทิวลงไปในห้องใต้ดินนั้น เพราะคิดว่าตรงนั้นคงมีคำตอบ พี่ทิวดูกลัวที่จะลงไป แต่ก็ไม่มีทางเลือก
          ดาบในกล่องเหล็กน่ากลัว และไม่น่าจับ แต่ผมก็ต้องจับมันขึ้นมาแล้วก็เป็นไปตามคาด เจ้าของเขายังอยู่ ที่นี่ ตรงนี้
          เงาร่างหนึ่งปรากฏให้ผมเห็นแล้วบอกว่าอยากเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง แปลก ผมไม่เคยเจอใครที่พูดง่ายอย่างนี้มาก่อน และก็แปลกอีกที่เงาตรงหน้านั้นคล้ายพี่ทิวเหลือเกิน
          ผมขอให้พี่ทิวถอดพระออกก่อน บอกพี่ทิวว่ามีคนอย่างยืมร่าง พี่ทิวกลัวมาก แต่ปู่บังคับให้ทำ มันมีวิธีอยู่ที่จะเชิญให้วิญญาณมาเข้าร่างคน
          พี่ทิวนิ่งไปพร้อมจับดาบมากรีดมือตัวเองอย่างนิ่งๆ ไร้อารมณ์ เลือดหยดลงบนใบดาบจนไหลเป็นทางยาว พี่ทิวนั่งในท่าเทพบุตรหันมาคุยกับพวกเราอีกสองคน
‘เราอยู่ที่นี่ เราเฝ้า เราไปไหนไม่ได้’
          จากถ้อยความที่ขาดหายไปเป็นช่วงๆคงเพราะแรงที่อ่อนแอของเขา เขาเป็นเพชฌฆาต จะบอกว่าเป็นต้นตระกูลนี้ก็คงไม่ผิด เขาเป็นดาบสอง พี่ทิวเคยเป็นดาบหนึ่ง เขาทั้งสองเป็น แฝดกัน
          เขาเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ฤกษ์เดียวกัน จึงทำให้ผูกพันกัน แต่เขาไม่ได้มาเกิดเพราะครั้งหนึ่งเขาทั้งสองต้องทำหน้าที่ประหาร พ่อของตัวเอง
          พ่อเขาไปคบค้ากับพวกโจร ปล้นไปหลายครั้งจนถูกจับได้ และสั่งให้ประหาร ไม่มีใครสนหรอกว่าเป็นพ่อลูกกัน นายสั่งมาก็ต้องทำ อีกอย่างพ่อก็ทำผิดจริง ตัวเขาทั้งสองเป็นมือดาบ ความยุติธรรมเท่านั้นที่ต้องมี
          พี่ทิวในอดีตลงดาบไปด้วยความลังเลวูบหนึ่ง จึงทำให้ฟันไม่ขาด ในสภาพนั้นดาบสองจะต้องรีบซ้ำในทันทีแต่ผ้าคาดตาหลุดออกทำให้สายตาสุดท้ายจ้องมายังตัวเขาแทน
          กรรมฆ่าสัตว์นั้นรุนแรงเหลือคณา แต่นี่คือพ่อ แม้จะเป็นโจรชั่ว บุญคุณที่ให้กำเนิดก็เกินจะทดแทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังอยู่ เพื่อทำหน้าที่นี้ต่อไป แม้พี่ทิวที่ได้มาเกิดก็ยังต้องทรมานอย่างนี้ต่อไป
‘มีทางออกอื่นไหม’
          ใครในร่างของพี่ทิวส่ายหน้าช้าๆ มันเกินจะช่วยเหลือแล้วจริงๆ กรรมย่อมต้องชดใช้ นั่นคือสัจจะธรรม ออกไปจากเรื่องนี้เถิด แล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามยะถานั้น ขอเพียงแต่อย่าได้นำดาบสองเล่มนี้ออกจากเขตนี้ ไม่อย่างนั้นจะอยู่กันไม่ได้
          พี่ทิวค่อยๆได้สติกลับมาพร้อมน้ำตาที่ไหล เขาได้ยินทุกอย่าง ทุกถ้อยคำ และในช่วงที่เขาถูกยืมร่างเขาได้เห็น อดีต ที่ตัวเองเคยทำมาอย่างชัดเจน
          ผมหมดคำพูดอะไรต่อไปอีก ได้แค่ยืนมองเพียงเท่านั้น มันเกินกว่าจะช่วยเหลือได้ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือ ช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณนักโทษส่วนหนึ่งให้ไปตามทางเท่านั้น อย่างน้อยมันก็คงจะเบาบางลงบ้างในเร็ววัน
...................................................................................................
เรื่องนี้จบลงตรงนี้ครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยเพียงแค่ผ่านเข้าไปพัวพันเท่านั้น
เรื่องนี้อาจไม่น่ากลัวมาก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่บอกได้ว่า
'สิ่งเหล่านี้ยังตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน'
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ
ทั้งนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
...................................................................................................
พบกันใหม่เร็วๆนี้ครับ
ขอบคุณครับ

30 ก.ค. 2562

เรื่อง...ผีๆสางๆ ตอน 2


     ต่อกันเลยครับกับเรื่อง...ผีๆสางๆ ตอนสอง เรื่องผีๆที่สุดลึกลับน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง จากกระทู้พันทิปโดยคุณลอยชาย หรือLoyChinE นักเล่าเรื่องผีที่มีคนติดตามมากคนหนึ่ง เพราะการเล่าเรื่องของเขาน่าสนใจมาก เราลองไปติดตามเรื่องนี้กันเลยครับ "เรื่อง...ผีๆสางๆ" เขียนไว้ยาวมาจึงขอทำเป็นสองตอน ตามต้นฉบับ

     อย่างไรก็ขอเกริ่นซ้ำไว้อีกสักครั้งก่อนแทนคำเตือน เรื่องทั้งหมดที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล บางอย่างก็ยากที่จะเชื่อหรือนำมาแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ขอให้เพียงอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ผมไม่ได้มีเจตนาจะมอมเมาหรือหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่ ‘อยากเล่า’ เท่านั้น
...............................................................................

           รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกสู่ถนนใหญ่ ระหว่างทางนั้นเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้ผมจำเป็นต้อง ‘อธิบาย’ ถึงตัวผมให้พ่อของมีนฟังอีกครั้ง อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็เพียงพอเพื่อให้เข้าใจตัวผมขึ้นมาได้บ้าง แน่นอนว่าพ่อค่อนข้างแปลกใจแต่ไม่ถึงกับปฏิเสธ คงเป็นโชคดีที่เรารู้จักกันมานานพอสมควร
          ลุงหวังยังนิ่งเงียบอยู่ที่เบาะข้างหน้าข้างคนขับ พวกเราปล่อยให้มันเงียบอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะต้องพูดอะไรกันในเวลาอย่างนี้
          สักพักพ่อเลี้ยวเข้าไปจอดที่ปั๊มน้ำมันเพื่อแวะกินข้าวกัน บนโต๊ะอาหารลุงหวังเริ่มพูดบ้างแล้วแต่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนบ้านเดียวกับพ่อเท่านั้น เหมือนคนที่จากบ้านมาคุยกัน
          ขาออกจากปั๊มลุงหวังเริ่มหันมาคุยกับผมบ้าง มันเป็นเรื่องทั่วๆไปแต่ก็พอจะรู้ได้ว่าเขาไม่ใช่คนคุยเก่ง แต่อาจจะอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยังเกรงใจกันอยู่บ้างเพราะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
           ลุงหวังล้วงมือเข้าไปในยามของตัวเองเหมือนคลำหาอะไรอยู่พักใหญ่ แต่จริงๆแล้วอาจไม่ใช่การควานหาแต่เป็นการหยิบจับอะไรบางอย่างเอาไว้ในมือไม่ยอมปล่อย
          ผมเอนหลังกลับมาพิงเบาะด้านหลังเพราะไม่รู้จะเริ่มประโยคการสนทนาอย่างไรต่อไปดี
          ลุงหวังเรียกชื่อผมก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้ผมโดยไม่ได้หันกลับมามอง ผมโน้มตัวเอื้อมมือไปรับอะไรก็ตามที่ลุงหวังกำไว้แน่น
          ผมแบมือรองไว้ต่ำกว่ามือของลุงหวัง ของบางอย่างตกลงใส่มือของผม น้ำหนักไม่มากนักแต่กลับทำให้รู้สึกวูบไหวไปชั่วขณะ
          ห่อผ้าเก่าๆห่อหนึ่งวางอยู่บนมือผมตอนนี้ มันถูกพันทบไปมาหลายชั้นจากเศษผ้าเก่าๆหลายสี ถ้าจะบอกว่าเป็นห่อผ้าก็อาจจะไม่เห็นภาพซะทีเดียว ให้นึกภาพตามว่ามันเป็นของที่ถูกมัดพันด้วยเชือกหลายๆชั้นคล้ายมัมมี่
          ขนาดของมันน่าจะประมาณเกือบคืบหนึ่งเห็นจะได้ ผมพลิกและกลิ้งมันไปมาบนมือด้วยความสงสัยพร้อมกับความรู้สึกมึนงงๆที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
‘แกะดูสิ’
          ลุงหวังพูดจากเบาะหน้าโดยไม่หันมาเช่นเคย ผมพยายามมองหาปลายผ้าที่เป็นชิ้นนอกสุดซึ่งมันถูกกลัดอยู่กับผ้าอีกเส้น ผมออกแรงดึงไม่มากนักมันก็หลุดติดมือผมออกมา
          ผมสาวผ้านั้นไว้ในมือ ผ้าชั้นนอกสุดถูกดึงออกจนหมดก็เผยให้เห็นเศษผ้าที่เก่ากว่าจนดูสกปรกห่อของข้างในไว้อีกชั้น พอผ้าชั้นนอกสุดถูกปลดออกมันก็ส่งกลิ่นฉุนคลุ้งไปทั่วรถ
          เราต้องรถกระจกรถลงหน่อยเพิ่มความแรงของเครื่องปรับอากาศเพื่อไล่กลิ่น
          ลุงหวังบอกให้แกะต่อเพื่อดูของข้างใน เศษผ้าชั้นต่อมานั้นเก่าจนกลัวว่าถ้าออกแรงมากไปมันจะขาดติดมือ ผมค่อยๆคลี่ผ้าออกจึงได้เห็นว่าที่ด้านหลังของมันมีตัวหนังสือเป็นอักขระเขียนอยู่ซึ่งเป็นภาษาที่ผมไม่เคยเห็น
          ทุกครั้งที่ผ้าถูกแกะออกความพะอืดพะอมก็เข้ามากระทบหน้าจนเกือบจะอ้วกไปหลายที
          ในทีสุดผมก็ได้เห็นของที่ถูกห่ออยู่ข้างใน ผมแทบจะมืออ่อนปล่อยมันลงกับพื้นรถ เพราะมันเป็นเศษกระดูกเก่าๆชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันคือกระดูกอะไร แต่สภาพมันไม่น่ามองสักเท่าไหร่เลยจริงๆ
          กระดูกชิ้นนั้นดูแข็งและไม่มีร่องรอยของกาผุพังตามกาลเวลาเหมือของใหม่ นอกจากรอยแตกหักที่น่าจะเกิดจากสาเหตุอื่น ที่รอบๆกระดูกนั้นมียางไม้เหนียวๆสีน้ำตาลคล้ำจนเกือบดำขีดเขียนตัวหนังสือเอาไว้เหมือนกับบนเศษผ้า
          ลุงหวังถามผมว่ารู้ไหมมันคืออะไร ผมไม่รู้ว่ามันมาจากสิ่งมีชีวิตชนิดใด รู้เพียงทำให้ผมปวดหัวไปหมดในเวลานี้ ลุงหวังบอกให้ผมเอื้อมมือไปสัมผัสมันโดยตรงลองดูอีกครั้งว่ามันคืออะไร
           ผมช่างใจครู่หนึ่งแต่ก็ทำตามคำแนะนำนั้น ผมใช้มือเปล่าๆวางเบาๆลงบนตัวหนังสือที่เขียนจากยางไม้เหนียวข้นที่แข็งแล้ว จากนั้นค่อยๆไล่นิ้วลงไปตามความยาวของกระดูกชิ้นนั้น
         ไม่มีภาพหรืออะไรปรากฏขึ้นในความคิด ไม่มีเสียงของใครดังเข้ามาเหมือนในครั้งก่อนๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ชัดเจนและมันก็มากพอที่จะทำให้ผมต้องบอกให้พ่อของมีนจอดรถข้างทางโดยกะทันหัน
         กลิ่นสาบสัตว์คละคลุ้งอยู่ในจมูกและลมหายใจของผม กลิ่นของมันฉุนและเหม็นมาก หากใครเคยสัมผัสสัตว์ป่าน่าจะพอจินตนาการถึงกลิ่นนี้ออก แต่มันไม่ใช่แค่นั้นมันผสมปนเปไปด้วยกลิ่นเน่าที่ผมคุ้นเคย กลิ่นศพ กลิ่นเลือด และสุดท้ายกลิ่นที่ทำให้ผมทรมานที่สุดคือกลิ่นควันไฟ ที่ร้อนแสบลึกลงไปในโพรงจมูกและลำคอ
         ผมกระโดดลงจากรถทันทีที่เปิดประตูได้ อาหารที่เพิ่งกินเข้าไปไม่ทันได้ย่อยให้กลายเป็นสารอาหารตอนนี้มันออกมากองอยู่บนพื้นหญ้าข้างทางเป็นที่เรียบร้อย
         ผมตะกายกลับขึ้นมาบนรถด้วยสภาพที่ย่ำแย่เพราะความปวดหัวและคลื่นไส้ ตัวผมเองมีปัญหาเรื่องโพรงจมูกอยู่บ้างแล้วตั้งแต่ยังเด็ก คือ ผมแพ้สารระเหยทุกชนิด แม้แต่น้ำหอมของผู้หญิง เวลาได้กลิ่นอะไรแรงๆจะเกิดอาการปวดหัวเป็นประจำ พอมาเจออย่างนี้เข้ามันไม่เหมือนกับความนึกคิดที่ผุดขึ้นมา แต่เหมือนเราได้สัมผัสสูดดมกลิ่นนั้นเข้าไปจริงๆ
           เวลาผ่านไปสักพักผมค่อยๆดีขึ้นจึงกลับมาคุยกับลุงหวังที่กำลังบรรจงพันผ้านั้นกลับเข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ดูขัดกันคงจะเป็นสีหน้าในเวลานั้น แม้มือจะบรรจงและประณีตเท่าไหร่สายตาคู่นั้นกลับแข็งกร้าวไร้แววของความเมตตาจนคนมองอดขนลุกไม่ได้
         ลุงหวังไม่ยอมบอกถึงที่มาของมันได้แต่พูดว่า ‘ไม่นานก็จะได้รู้ เพราะนี่คือสาเหตุที่ต้องให้เธอมาด้วย’
         ด้วยความเพลียผมปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งอย่างนั้น รอจนกว่าเพื่อนหรือใครก็ตามจะปลุกผมขึ้นมาเมื่อถึงที่หมาย
         ในช่วงบ่ายแก่ๆเราก็มาถึงสถานที่ดังกล่าว ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ จริงๆแล้วก็คงเรียกว่าเป็นชุมชนมากกว่าเพราะมีขนาดใหญ่ มีร้านสะดวกซื้อมีอนามัย มีเสาไฟฟ้า เรียกได้ว่าไม่กันดาร แต่บ้านหลายๆหลังยังคงเป็นแบบเก่าอยู่คล้ายกับบ้านแม่ของมีน
         แม้จะเป็นชุมชนกึ่งเมืองแต่เลยเข้าไปอีกหน่อยจะเห็นตีนเขาอยู่ไม่ไกลนัก ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันชื่อว่าอะไรแต่เหมือนมันจะเป็นชื่อที่คนแถวนั้นใช้เรียกกันมากกว่า เพราะผมลองเสิร์ชหาใน google ดูก็ไม่พบชื่ออย่างที่ว่า หรือบางทีมันอาจไม่ได้เป็นที่ท่องเที่ยว เลยไม่มีในข้อมูลทั่วๆไปก็เป็นได้
          เราจอดรถที่ตลาดเพื่อซื้อหากับข้าวเข้าบ้าน ลุงหวังขอแยกตัวที่นี่เลย พวกเราไม่ได้ถามอะไรต่อมากนัก จริงๆแล้วพวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามาทำอะไรที่นี่ แต่เมื่อได้ลุงหวังช่วยเอาไว้กับเรื่องก่อนหน้านี้ก็เป็นการยากที่จะปฏิเสธคำขอนี้เช่นกัน
         พวกเราเข้ามาที่บ้านพ่อของมีนซึ่งห่างออกไปจากตลาดพอสมควรเพราะเป็นบ้านสวน เท่าที่สังเกตดูน่าจะเป็นสวนที่ทำตามแบบฉบับของคนโบราณอย่างแท้จริง คือแบ่งไว้เป็นสัดส่วน มีหลายๆอย่างผสมรวมๆกัน แต่ก็เป็นระเบียบสะอาดตา ทางเข้าบ้านยังเป็นดินทั้งหมด
‘คนที่บ้านเขาชอบน่ะ ไม่ยอมให้ราดยางราดปูน บอกว่ามันร้อน’
         พ่อพูดพร้อมกับรอยยิ้มขณะเลี้ยวรถเข้าบ้าน ก็จริงอย่างที่ว่าถนนคอนกรีตหรือจะสู้ถนนดิน ยิ่งอยู่นอกเมืองอย่างนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ถนนดินแบบนี้ต้องคอยพรมน้ำเอาไว้บางๆเพื่อไม่ให้ฝุ่นมันฟุ้งแต่ก็เยอะเกินไม่ได้เพราะจะกลายเป็นโคลนแทน อากาศช่วงนี้ค่อนข้างสบายทำให้ที่นี่น่าอยู่เป็นพิเศษ
         บ้านสวนแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงบ้านที่ผมโตมาในช่วงวัยเด็กอาจไม่ใช่บ้านสวนแบบนี้แต่ก็เป็นบ้านนอกที่มีแต่ต้นไม้และกลิ่นดิน ซึ่งตอนนี้ไม่เหลือแล้วแม้ว่าจะขับรถกลับไปเยี่ยมชมแถวนั้นก็เหลือแต่เพียงตึกปูนเต็มไปหมด แม้แต่บ้านหลังที่ผมโตมาก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน
         เรากินอาหารเย็นกันในบรรยากาศแบบบ้านๆอย่างที่ชอบ คือนั่งกับชานบ้านมีโต๊ะไม้เตี้ยๆวางบนแคร่ไม้อันใหญ่ล้อมวงกันหลายคนผมจำได้ไม่หมดเพราะญาติเยอะมาก วันนั้นมีแต่ความสนุกสนานและความอบอุ่นทำให้ลืมเรื่องราวที่เพิ่งเจอมาไปเสียสนิท
         แต่เรื่องแปลกเรื่องหนึ่งที่ผมเอะใจก่อนจะแยกตัวไปพักผ่อนคือ ผู้ใหญ่คนหนึ่งในวงข้าวเย็นพูดขึ้นมาว่า ‘อย่าออกไปไหนกลางดึกนะ แล้วอย่าไปเที่ยวเล่นแถวป่าด้านโน้นล่ะ’
         ผมมองตามมือที่ผายไปก็เห็นเป็นตีนเขาที่ผมเห็นตอนขับรถเข้ามาเมื่อตอนเย็น มันอาจจะเป็นความกังวลของผู้ใหญ่ตามปกติ ผมคิดอย่างนั้น
         ผมกับมีนแยกตัวออกมายังเรือนเล็กหลังเรือนใหญ่ด้านหน้า เมื่อสมัยเด็กๆบ้านนี้ถูกสร้างเพิ่มเพื่อมีนและครอบครัวเวลามาพักผ่อน เพราะตัวบ้านค่อนข้างเก่าและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยมากนักอาจไม่เหมาะใจกับคนเมืองสักเท่าไหร่
         เรือนไม้หลังนี้เรียกว่า ถูกใจผมเป็นอย่างมาก มันเป็นทรงโบราณที่ผสมผสานกับบ้านปัจจุบัน จริงๆแล้วอาจพบเห็นได้ทั่วๆไปตามร้านอาหารไทยหลายๆร้ายที่ตอนนี้เกลื่อนกลาดจนไม่เหลือความเป็นเอกลักษณ์อีก
           เรานั่งกินกันต่อคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง จนเลยเที่ยงคืนไปจึงหลับได้ อากาศในวันนั้นจำได้ว่าเย็นสบายไม่เหนอะหนะเหนียวตัวทำให้ความเหนื่อยล้าค่อยๆอันตรทานหายไปในที่สุด
           ไม่รู้ช่วงเวลาแต่ความทรงจำนั้นชัดเจน ผมได้ยินเสียงผิวน้ำกระเพื่อมเป็นระรอกคลายกับมีคนว่ายไปมาอย่างช้าๆ เป็นความจริงที่คลองเล็กๆของชุมชนนั้นทอดตัวยาวผ่านเรือนไม้หลังน้อยของมีน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะใกล้จนชิดเสียให้ได้ยินชัดเจนขนาดนี้
          เสียงจ๋อมแจ๋มของระรอกน้ำดังเข้าเมื่อมันกระทบเข้ากับชานไม้ของศาลาที่ยื่นต่ำลงไป เสียงน้ำกระทบไม้นั้นน่าฟัง หากเคยได้ยินก็คงจะไม่มีวันลืมและนึกออกในชั่วเสี้ยววินาทีที่ได้ยินมันอีกครั้ง
กึก...
          เสียงน้ำหนักหนึ่งกดลงกระทบกับแผ่นไม้ หรือบันได้ที่ท่านน้ำ ไม่แน่ใจ แต่เสียงนั้นไม่หนักมาก ผมหลับตาฟังอยู่บนเตียงอย่างสงบ
          ใจหนึ่งคิดว่าอาจเป็นใครสักคนที่มาเล่นน้ำหรืออาบน้ำในตอนเช้าตรู่เพราะตอนนั้นผมไม่ได้ดูนาฬิกาเห็นเพียงแสงจันทร์สลัวอยู่นอกหน้าต่าง
          ถัดจากเสียงน้ำหนักลงกระทบไม้ก็ตามมาด้วยเสียงคลื่นน้ำก้องอยู่ในอากาศ หากฟังแต่เสียงก็พอจะจินตนาการได้ว่าใครบางคนคงจะเอาเท้าแกว่งน้ำเล่นอย่างสบายใจ
          เสียงจักจั่นดีดปีกไพเราะผสมผสานกับเสียงลมพัดผ่านใบไม้ซึ่งเป็นเสน่ห์ของบ้านสวน แต่ที่เสนาะหูที่สุดคงจะเป็นเสียงนกที่ออกหากินยามค่ำคืน ความทรงจำในคืนนั้นช่างสดใสและสวยงาม แต่แล้วทุกอย่างก็พลันเงียบไปในเวลาเพียงอึดใจเท่านั้น

ความเงียบเข้ามาแทนที่ทุกสรรพเสียงที่เคยบรรเลงสอดคล้องกันอย่างลงตัวเหลือเพียงเสียงหนึ่งเสียงเดียวที่ยังคงชัดเจน เสียงผิวน้ำที่กระเพื่อมไปมาตามแรงกว่างของใครสักคน
          อากาศที่จู่ๆก็เย็นเยียบจนน่าขนลุก ลมหนาวอ่อนๆไล้เลียไปตามผิวหนังจนรู้สึกได้ บรรยากาศนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็นึกไม่ออก
          แล้วคำตอบก็ปรากฏขึ้นให้ผมได้หายสงสัยถึงสิ่งที่รับรู้ได้ทั้งหมด เสียงท่วงทำนองสูงต่ำสลับกันเป็นจังหวะประหลาด แต่ไพเราะ แม้ฟังไม่ได้ศัพท์ แม้ไม่รู้ว่าต้องการจะสื่ออะไร ไม่ใช้แม้แต่เสียงเพลงจากเครื่องดนตรีชนิดใด
‘เพลงพราย’
          อีกครั้งที่บทเพลงนี้กลับมาสร้างความกังวลให้กับใจของผม แม้จะไม่เหมือนกันสักทีเดียว ไม่ใช่ว่านี่คือเพลงชาติของพรายทั่วโลกทั่วประเทศ หากแต่มันคือความถี่หรือช่วงพลังงานหนึ่งของจิตดวงนั้นๆที่ส่งออกมาเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง จิตในหมู่และจำพวกเดียวกันจะคล้ายคลึงกันให้ความรู้สึกใกล้เคียงกันจนเรารู้สึก คุ้นเคย เพราะเคยสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่ง
          ท่วงทำนองนั้นบางครั้งไพเราะดุจมนต์สะกดของเครื่องดนตรี บางคราวเล็กแหลมเสียดแทงแก้วหูจนรู้สึกเจ็บแปลบและวิ้งขึ้นมาคล้ายหูอื้อ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้เสมอเมื่อเราได้ไปเยือนริมน้ำริมทะเล แต่เราก็คงจะเลือกเชื่อเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายมันเสียงก่อนว่ามันอาจเป็นความแตกต่างของความกดอากาศและความดัน แต่หากเปิดใจสักนิด เชื่อสิ คุณจะได้ฟังเพลงประหลาดที่แสนไพเราะจากใครบางคน
          เสียงนั้นเหมือนพยายามจะบอกและสื่อสารอะไรบางอย่าง กับใครบางคน แม้หลับตาแต่ตอนนี้สติของผมครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมแน่ใจว่าไม่ใช่ ความฝัน
‘เธอมา... เสียที... นานแล้ว... ที่รอ...’
          เพียงชั่วครู่เดียวที่ในใจคิดอยากหาคำตอบเหมือนกับสมองทำหน้าที่เป็นเครื่องวิทยุหมุนหาคลื่นจนจูนตรงกับผู้ส่งมาแปลเป็นข้อความให้ผมได้ เข้าใจแม้เล็กน้อย
          หลังสิ้นเสียงข้อความนั้นความง่วงที่อยู่ๆก็ก่อตัวขึ้นจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ผมหลับไปอีกครั้ง และตื่นมาในช่วงสายๆของวันต่อมา
          ผมตื่นมาพร้อมความสนชื่อที่เหมือนได้เกิดใหม่ ไม่มีความเหนื่อยล้าหลงเหลืออีก ผมหันไปหามีนที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลนักพร้อมถามมันว่า
‘สรุปวันนี้จะทำอะไรวะ’
          พวกเราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเรามาที่นี่ทำไมนอกจากการมาส่งลุงหวังกลับบ้าน
‘ตื่นกันยังลูก สายแล้วไปกินข้าวลุงหวังมารอนานแล้ว’
          เสียงเรียกของพ่อทำให้เราสองคนต้องรีบตาลีตาเหลือกอาบน้ำแต่งตัวให้พร้อม เพราะการที่มีคนไม่สนิทมานั่งรอแบบนี้ค่อนข้างน่าเกลียดยิ่งเป็นคนที่มีอายุมากกว่าแล้วด้วย
          เราสองคนเดินออกจากเรือนมาไม่ไกลก็ถึงตัวบ้านอย่างที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้ ลุงหวังนั่งหลับตานิ่งๆในมือมีไม้เท้าค้ำอยู่กับพื้นสองมือวางประสานอยู่ข้างบน
          เราเดินขึ้นไปบนบ้านโดยไม่ได้ทักทายผู้มารอ
          ระหว่างมื้อเช้าพ่อบอกว่าลุงหวังจะให้เราไปนอนค้างที่บ้านของลุงหวัง ซึ่งจริงๆแล้วจะให้แค่ ผม ไปคนเดียวแต่พ่อกังวลเลยคิดว่าจะไปกันทั้งหมดนี่คงจะดีกว่า
          เมื่อทราบความดังนั้นเราก็ออกจากบ้านของมีนมาในเวลาไม่ถึงชั่วโมงหลังจากเตรียมข้าวของเสร็จ ด้วยความตั้งใจว่าจะไม่กลับมาแวะที่บ้านนี้อีกแล้ว พอเสร็จธุระก็คงจะกลับในทันที
          บ้านของลุงหวังอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาในการนั่งรถระหว่างทางลุงหวังยังไม่พูดอะไร บอกตรงๆว่าผมค่อนข้างอึดอัดหลังจากได้ฟังว่าผมต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่กลับไม่ยอมเล่ารายละเอียดอะไรใดๆทั้งสิ้น
          เรามาถึงบ้านของลุงหวังแล้ว บ้านนี้ถ้าพูดถึงทัศนียภาพคงต้องบอกว่า สวยงามเป็นที่สุดเพราะอยู่ติดกับริมน้ำและห่างไปไม่ถึง 500 เมตรจะเป็นตีนเขาที่เห็นได้ไกลๆจากบ้านมีน ติดก็ตรงที่ตัวบ้านนั้นเก่ามาก ไม้บางส่วนเริ่มผุพัง และเหมือนพ่อจะรู้ทันพูดดักเอาไว้ว่า
‘เขาชอบของเขาไม่ใช่ไม่มีตังหรอก’
          ผมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใส่หลังเดินไปตามทางดินที่มีหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ ทางหน้าบ้านหลังนี้ไม่มีถนนลาดยาง มีแต่ทางดินเก่าๆแม้แต่รถยนต์ก็ต้องจอดเอาไว้ในโรงไม้เก่าๆข้างบ้านที่น่าจะเป็นที่สำหรับทำงานช่างงานไม้ เพราะเห็นเครื่องมือและเศษไม้วางอยู่เต็ม
‘กล้า หาน้ำที’
          ลุงหวังตะโกนบอกลูกชายที่ผมไม่ทันได้สังเกตว่าเขากำลังทำอาหารอยู่ในครัวด้านข้างบ้านที่เป็นส่วนยื่นออกมา ผมยกมือไหว้ตามความเคยชิน ‘พี่กล้า’ ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรต่างจากผู้เป็นพ่อโดยสิ้นเชิง
          เราเดินเข้ามานั่งที่ชานหน้าบ้านซึ่งเป็นลานไม้โล่งๆ เก้าอี้ที่นั่งแคร่ไม้ต่างๆดูแล้วคงจะทำเองด้วยฝีมือของคนในบ้าน ลุงหวังเดินหายเข้าไปในบ้านไม่นานก็ได้กลิ่นธูปกับเทียนลอยมาตามลม
‘มาปรึกษาพ่อกันหรือ’
          พี่กล้าชวนคุยเหมือนคำถามนี้จะเป็นคำถามตามปกติทั่วๆไปของคนที่นี่ เพราะลุงหวังยังไม่กลับมาพี่กล้าเลยนั่งคุยกับเราก่อนเพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทจึงได้รู้ว่าลุงหวังเป็นหมอวิชาของหมู่บ้าน ซึ่งสืบทอดกันมายาวนานรุ่นสู่รุ่น จากพ่อสู่ลูก แววตาของลูกชายแวววาวเป็นประกายเมื่อได้กล่าวถึงความดีของพ่อ
          ไสยขาว นั้นหายาก ยิ่งขาวบริสุทธิ์ยิ่งยากยิ่งเพราะสุดท้ายแล้วมันจะถูกเจือด้วยวัตถุและกิเลศ คงจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในล้านก็ไม่เกินจริงเสียเท่าไหร่
           ไม่นานนักลุงหวังก็เดินออกมาที่ลานหน้าบ้าน พร้อมกับกล่องไม้เล็กๆในมือของตัวเอง ลุงหวังเปิดมันออกพร้อมกับกลิ่นไม้ที่ลอยฟุ้งออกมา ข้างในนั้นมีหนังสือเก่าๆอยู่เล่มหนึ่ง อีกหนึ่งเป็นสมุดใบลานที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นกับตาอีกครั้ง
          ลุงหวังบอกเล่าที่มาที่ไปให้ตัวเองฟังอีกครั้ง พวกเรานิ่งฟังอย่างพิจารณาเพราะคนที่พูดน้อยเมื่อพูดแล้วนั่นหมายถึงมันเป็นสิ่งที่ต้องพูดจริงๆ
‘สักวันหนึ่ง ผมก็จะสืบทอดต่อจากพ่อนี่แหละ’
          พี่กล้าพูดด้วยความภูมิใจเหมือนเตรียมตัวรอมานานกับการสืบทอดตำราที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดี มันก็คงไม่แปลกอะไรที่ลูกชายจะอยากเดินตามรอยพ่อที่ตัวเองเพิ่งจะโฆษณาไปยกใหญ่เมื่อสักครู่
          พอดีกับที่เรากินอาหารเสร็จแล้วพี่กล้าจึงอาสาเก็บทุกอย่างไปล้าง
          กลิ่นธูปยังลอยคลุ้งอยู่รอบๆบริเวณบ้านทั้งที่มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น บ้านโล่งๆที่มีลมโชยผ่านอยู่ตลอดเวลา แต่ความรู้สึกนั้นเหมือนกับว่ากลิ่นมันวนอยู่รอบๆตัวเราอย่างจงใจ
          ลุงหวังหยิบเอาทุกอย่างออกจากกล่องไม้จนเห็นที่ก้นกล่องว่ามีกล่องไม้เล็กๆอีกอันหนึ่งวางไว้อยู่
          ขนาดของกล่องยาวประมาณปากกาด้ามหนึ่งความกว้างนั้นแค่ประมาณกล่องลิปสติกเท่านั้น ลุงหวังหยอบมันขึ้นมาอย่างเบามือและอ่อนโยน แวบหนึ่งผมเห็นดวงตาของลุงหวังรื้นไปด้วยน้ำตา
          กล่องไม้ใบเล็กในมือถูกส่งต่อมาให้ผมถือ ผมรับมาน้ำหนักของมันกำลังพอดีทั่วทั้งอันเรียบลื่นเพราะถูกขัดมาอย่างดี กล่องใบนี้ไม่มีลวดลายใดๆแต่ก็ดูสวยในแบบของมัน กลิ่นหอมอ่อนๆของเนื้อไม้ที่เลือกมาอย่างดีชวนให้รู้สึกเศร้า
‘เปิดดูสิ’
          ผมคลำหาที่เปิดแต่ก็หาไม่เจอเพราะมันเป็นแบบสลัก ลุงหวังจึงรับไปเปิดด้วยตัวเอง ทันทีที่ข้างในถูกเปิดออกผมก็รู้สึกขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัวโดยไม่ได้เป็นเพราะสัมผัสอะไรได้แต่เพราะสิ่งที่เห็นล้วนๆ
          กล่องใบเล็กในมือถูกบรรจุดวงเถ้าสีขาวที่ผมรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกว่ามันคือ กระดูก เพราะเส้นผมที่ถูกมัดเก็บไว้เป็นกระจุกอยู่คู่กันในกล่องนั้น

มีนที่ไม่ได้เคยชินกับเรื่องพวกนี้อย่างผมนักถึงกับเวียนหัวคล้ายจะเป็นลม พ่อของมีนก็เช่นกัน ใบหน้าที่แตกตื่นนั้นสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อตั้งสติได้พ่อก็พูดขึ้นมาเบาๆ
'ส้มหรือครับ'
          ลุงหวังพยักหน้าน้อยๆก่อนจะปาดน้ำตาที่คลออยู่จนเกือบจะหยดลงมาให้เห็น ส้ม คือลูกสาวคนเล็กของลุงหวังที่ตอนนี้ไม่อยู่กับเราอีกแล้ว เธอจากไปด้วยเหตุผลบางอย่างที่เราจะได้รู้กันในเวลาต่อมา เหตุผลที่ลุงหวังยังไม่เล่าให้ฟัง หรือจริงๆแล้วคงจะต้องเรียกว่า ทำใจเล่าไม่ได้ เสียมากกว่า
          เราคุยกันต่ออีกสักพักถึงสิ่งที่ลุงหวังถือครองอยู่นั่นคือวิชาต่างๆมากมายเพื่อให้เข้าใจคนตรงหน้ามากขึ้น จนในช่วงเกือบๆเย็นลุงหวังชวนเราให้ออกไปตลาดด้วยกันเพื่อเตรียมข้าวของที่ต้องใช้สำหรับทำในสิ่งที่ลุงหวังต้องการให้ผมมาร่วมด้วยในครั้งแรก
          เรามาถึงที่ตลาดเดิมอีกครั้งแต่คราวนี้เราไม่ได้ซื้อหาข้าวปลาอาหารใดๆอีก แต่เป็นข้าวตอกดอกไม้ผลไม้และเครื่องเซ่นหลายอย่าง แต่ที่น่าประทองใจและแปลกใจไปพร้อมๆกันนั้นคือ ใบตองและหยวกกล้วย มันถูกซื้อหามาในจำนวนมากและข้าวของที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้นเราเสียงเงินไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท
          ไม่ใช่เพาะอิทธิพลของใคร แต่เป็นน้ำใจของคนที่ลุงหวังเคยช่วยเหลือไว้ก่อนหน้านี้ด้วยหน้าที่ของหมอธรรม และมากไปกว่านั้นเมื่ออธิบายข้าวของและสิ่งที่ลุงหวังจะทำให้ชาวบ้านฟังแล้วพวกเขาดูยินดีและกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ด้วยคำสั้นๆคำเดียว
‘ฉันจะเปิดป่า’
           การเปิดป่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไกลตัวมากนัก หลายครั้งที่ผมได้ยิน และหลายครั้งที่ผมเคยทำ แต่คำถามมันอยู่ที่ ทำไมถึงต้องเปิดป่า ส่วนมากเหตุผลในการเปิดป่าคือ ตามหาคนหาย หรือไม่ก็ขอเข้าไปทำกิจบางอย่างในป่าที่เชื่อว่ามีเจ้าของปกปักษ์อยู่
          เรากลับมาที่บ้านพร้อมข้าวของมากมาย ญาติๆของมีนตามมาช่วยที่บ้านของลุงหวังในการเตรียมข้าวของ ผมถูกลุงหวังเรียกออกมาที่ด้านหลังบ้าน
          พี่กล้าเดินตามมาด้วยพร้อมย่ามใบหนึ่ง ลุงหวังบอกผมว่าเราจะเดินเข้าไปในนั้น ผมรู้สึกอึ้งอยู่ได้ไม่นานก็โดนพี่กล้าเดินมาประคองไหล่ให้เดินตามลุงหวังที่ล่วงหน้าเข้าไปแล้ว
          ในตอนนั้นเวลาร่วมๆ 6 โมงเย็นน่าจะได้ ท้องฟ้ากลายเป็นแสงสีส้มอมแดงดูอบอุ่น แต่ก็น่ากลัว คำว่าผีตากผ้าอ้อม คำนี้ชัดเจนในหัวผมตลอดเวลา จะมีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินว่า ห้ามนอน ห้ามเข้าป่า ห้ามเล่นซ่อนแอบ ในยามผีตากผ้าอ้อม
          จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้ว่า ผีตากผ้าอ้อม คำคำนี้มาจากไหน แต่สิ่งที่ผมรับรู้คือ ช่วงเวลาอย่างนี้เป็นรอยต่อของเวลา กลางวันและกลางคืน แสงจากดวงอาทิตย์จะมีกระแสอย่างหนึ่งที่รุนแรง ในขณะที่กระแสจากดวงจันทร์จะมีความนุ่มนวลมากกว่า นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่กลางคืนจะมีอัตราการพบเจอวิญญาณได้มากกว่า เพราะขาดจากกระแสของดวงอาทิตย์
          ช่วงเวลาก้ำกึ่งอย่างนี้เองจะยิ่งเป็นเรื่องง่ายที่รอยต่อของสองภพจะซ้อนทับจนเหลื่อมล้ำกันเมื่อทุกอย่างเหมาะสม
          ป่าในยามนี้ไม่สวยสดงดงามอย่างที่เคยเห็นเมื่อไปเที่ยวตามอุทยาน เสียงลมหวีดหวิวกรีดผ่านใบไม้คล้ายเสียงครวญครางของหญิงสาวดังอยู่รอบๆ
          เสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้งชวนหลอนประสาทให้คิดไปว่ามีใครกำลังเดินตามหลังของเรามา แม้จะมีเสียงนกเสียงสัตว์สดใสน่าฟัง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นเลย
‘เดินไหวไหม คนเมืองน่าจะลำบากหน่อย’       
          พี่กล้าที่เดินชะลอให้ผมเดินตามทันหันมาถามในขณะที่ลุงหวังเดินล่วงหน้าไปไกลแล้ว
          ผมที่ไม่รู้จักทางบวกกับแสงสลัวของยามเย็นทำให้เดินได้ช้ามากเมื่อเทียบกับคนข้างหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้อยู่ตลอดเวลาคือ ผมอยากกลับ ที่นี่ไม่น่าอยู่ ที่นี่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผม กลัว
          ความรู้สึกอึมครึมเหมือนเวลาเมฆฝนเริ่มก่อตัวคล้ายต่ำลงมาจนเราไม่รู้ว่ามันจะตกลงมาเมื่อใด ความรู้สึกเหมือนถูกรายล้อมด้วยสายตา จากใครหลายคน ใครที่ทั้งเดินตามและเฝ้าดูเราอยู่ตลอด
          กลิ่นหอมของดอกไม้ใบไม้ชวนให้สดชื่นแต่มันกลับปนมาด้วยกลิ่นฉุนสาบที่คุ้นเคยแต่นึกไม่ออก
‘พี่กล้า เข้ามามืดๆอย่างนี้ ไม่กลัวยิ้มลัวหมีหรอพี่’
‘หุบปาก!’
          ลุงหวังตะหวาดดังมาจากข้างหน้า ผมตกใจจนใจหล่นวูบเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนตรงหน้าส่งเสียงดังมากกว่าปกติ
‘เข้าป่าใครเขาให้ถามหาเสือ อยากตายนักหรือไง คนแก่ที่บ้านไม่เคยสอนใช่ไหม’
          พอถูกด่าอย่างนั้นจึงนึกถึงภาษิตโบราณที่ได้ยินมานานแต่มันค่อนข้างไกลตัวจนไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
          พี่กล้าหันมาปลอบผมที่ดูจะตกใจมาก คงไม่แปลกเท่าไหร่ที่ผู้ใหญ่จะหงุดหงิดกับความไม่รู้ของเด็ก และมันก็เป็นเรื่องจริงที่ผมได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไปเสียแล้ว
          เราเดินขึ้นมาถึงช่วงกลางๆเขาที่ยังไม่ชันมาก ตรงนั้นเป็นป่ารกทึบที่มองอะไรไม่เห็นแสงอาทิตย์ที่เคยมีตอนนี้มืดสนิท ท้องฟ้าเปลี่ยนผ่านสู่พลบค่ำอย่างสมบูรณ์ สัตว์น้อยใหญ่หลายชนิดที่เคยส่งเสียงก็เงียบหาย เหลือไว้เพียงเสียงลมที่ยังหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้และใบไม้เท่านั้น
‘กล้า ตรงนี้แหละ’
          ลุงหวังหยุดเดินพร้อมพูดออกมาเบาๆกับพี่กล้าโดยไม่ได้หันมา พี่กล้าเดินแซงผมขึ้นไปพร้อมหยิบของในย่ามออกมา
          ข้างในนั้นบรรจุธูป ดอกไม้ และกระธงใบเล็กๆหลายใบ ดอกไม้ถูกวางใส่ไว้ในกระทงเล็กขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบบ้านประมาณหนึ่งพร้อมกับข้าวสารที่ยังไม่ได้หุง ธูปนั้นถูกปักไว้ข้างๆ แต่ที่ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกคือการนำเอาดินที่เก็บมาจากหมู่บ้านข้างล่างมาวางไว้บนกลีบดอกไม้อีกชั้นหนึ่ง
          ธูปถูกจุดโชยกลิ่นไปทั่วบริเวณ พร้อมกันกับที่เสียงลมเสียงไม้ดังกระหึ่มจนผมรู้สึกหวิวเสียวสันหลังขึ้นมา
          ผมขยับเดินขึ้นมาให้อยู่ใกล้ๆกับทั้งสองคน พอขึ้นมาตรงนี้จึงได้เห็นว่าสูงขึ้นไปบนหัวเรามีรูคล้ายถ้ำเล็กๆ ด้วยความมืดและแสงจันทร์ที่น้อยมากเพราะเป็นป่าทึบมีเพียงไฟฉายในมือเท่านั้นจึงเป็นการยากที่จะมองมันให้ชัดเจน
          ลุงหวังนั่งลงพนมมือสวดบริกรรมอย่างตั้งใจ ผมสัมผัสได้ถึงความเข้มขลังและความตั้งใจของคนผู้นี้
          ระหว่างรอผมเลือกมานั่งที่หินก้อนหนึ่ง ผมนั่งมองไปรอบๆอย่างชื่นชมและระแวงไปพร้อมๆกัน ระหว่างนั้นเองผมได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงหายใจของใครบางคนที่ค่อนข้างดัง จังหวะนั้นช้า และหนักหน่วง
          เสียงใบไม้กรอบแกรบยังคงได้ไปมาทั่วบริเวณเพราะเสียงลม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า มันเหมือนกับเสียงคนเดินไปมาอยู่ในบริเวณนั้น
          เสียงหายใจนั้นดังขึ้นอีกครั้งดังกว่าเดิมจนมันชัดเจนเกินไป ผมหันไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงซึ่งคือทางลาดต่ำลงไปตรงที่พวกผมได้เดินผ่านมาไม่นาน
          ตรงนั้นที่หลังต้นไม้ใหญ่ ผมเห็นเงาร่างหนึ่งมลังเมลืองในความมืด ผมไม่ได้ตาฝาด ร่างนั้นราวกลับจะหลุดมาจากพื้นหลังที่เกือบมืดสนิท เธอคนนั้นสว่างได้ในความมืด
          แสงสว่างนั้นไม่ได้เจิดจ้าแต่เป็นแสงสลัวที่พอสะท้อนเห็นเห็นร่างตรงหน้าชัดขึ้นมาจากพื้นหลัง แม้ว่าร่างนั้นจะนั่งย่อต่ำลงจนแทบจะติดพื้น
          หัวใจผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะไม่ว่าเธอจะย่อตัวลงมากแค่ไหน มนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะวางศีรษะของตัวเองเอาไว้ต่ำได้มากข้างนั้น ถ้าจากสังเกตแล้วไม่น่าจะเกินสองไม้บรรทัด
          ใบหน้านั้นดูดุร้ายผมเผ้ารุงรังยาวสกปรก ใบหน้าเปรอะเปื้อนมอมแมม แม้ว่าผมจะรู้แล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ แต่ภาพนั้นก็น่ากลัวเกินกว่าจะละสายตาหนี

ธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งกลัวจะยิ่งมองหา ยิ่งระแวงจะยิ่งเห็นมันชัดขึ้น
          ผมจดจ้องเงาตรงหน้าโดยที่ไม่สามารถส่งเสียงเรียกอีกสองคนได้ มือเย็นชืดเหงื่อไหลชุ่มไปทั่วทั้งใบหน้าและฝ่ามือ
          ร่างตรงหน้ายังคงจดจ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอไม่ได้เข้ามาใกล้ เธอมอง มองอยู่อย่างนั้น ผมกลัว ผมแน่ใจ นอกจากรูปลักษณ์ที่ไม่น่ามองแล้วเธอยังให้ความรู้สึกที่ประหลาด
          ความรู้สึกเหมือนเวลาเราขับรถอยู่บนทางเปลี่ยวบนเขาที่ไม่มีไฟถนนในคืนที่ฝนตก ความรู้สึกตอนที่เรากำลังยืนอยู่บนที่สูงโดยไม่มีที่กั้นไม่ให้เราตกลงไป ความรู้สึกที่บอกเราว่า ชีวิตของเรานั้นช่างบางเบา และมันอาจดับไปได้ทุกเมื่อ
‘เอาล่ะ ไปกัน’
           ผมเบี่ยงความสนใจไปที่เสียงของลุงหวัง แม้จะไม่ได้หันหน้าไปตามเสียงนั้นแต่สติที่ขาดไปชั่วครู่หนึ่งก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวที่ผมเห็นอยู่หายไปจากคลองสายตาเสียเฉยๆ
          ผมบอกลุงหวังว่าผมเห็นอะไร โดยอธิบายลักษณะท่าทางของคนคนนั้นอย่างชัดเจน ลุงหวังมีท่าที่อารมณ์เสียขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับพี่กล้า ผมไม่รู้ว่าผมพูดอะไรผิดไปหรือไม่ แต่มันคงไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดสักเท่าไหร่เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว
          พี่กล้าย้ายไปเดินข้างหลังสุด มีผมตรงกลาง และลุงหวังนำขบวน พวกเราจะแวะตามทางลงเป็นระยะเพื่อจัดวางกระทงดอกไม้และปักธูป พอทำอย่างนี้ผมจึงได้เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นคืออะไร เรากำลังนำทางใครบางคนกลับบ้าน กลับไปยังที่ที่เขาควรอยู่
          เมื่อได้ข้อสรุปอย่างนี้ การเปิดป่า จึงเป็นที่เข้าใจได้และตรงจุด เมื่อผมเข้าใจแล้วก็พอที่จะช่วยพวกเขาได้บ้าง การนำสิ่งของมาวางไว้นั้นเช่นพวกอาหารคือสิ่งที่ใช้แทนคำขอ หรือสินบน นั่นเอง ที่เรามักเรียกว่าเครื่องเซ่น ดอกไม้ก็เช่นกัน และกลิ่นธูปคนไทยเชื่อว่ามันคือเครื่องมือในการสื่อสารกับวิญญาณ
          แต่ที่ผมรู้สึกขนลุกด้วยความซึ้งใจคงจะเป็นเศษดินที่ถูกวางเอาไว้ด้วย บางครั้งเราจะใส่เสื้อผ้าหรือของใช้ไว้ตามกระทงนำทาง นั่นคือความเชื่อว่าเจ้าของจะจำข้าวของที่ตัวเองรักมากได้ การใช้ดินก็คงเหมือนเป็นการบอกให้กลับบ้าน กลับสู่ดิน กลับสู่ที่ที่ควรอยู่เสียเถิด
          เราเดินลงมาจนถึงทางออกซึ่งผมแปลกใจมากเรากลับออกมาที่บริเวณเดิมกับตอนที่เข้าไปแบบพอดี ซึ่งถ้าคนนำทางไม่ใช่ผู้ชำนาญทางอย่างแท้จริงก็คงจะทำไม่ได้เป็นแน่
          ที่ตีนเขาเราต้องนำเครื่องเซ่นชุดเล็กๆมาวางเพื่อทำการขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนที่จะทำพิธีเปิดป่าในรุ่งเช้า ระหว่างนั้นผมมองกลับเข้าไปในป่ามืดๆนั่น ผมก็ได้เห็นเธออีกครั้ง
          หญิงสาวที่ผมเคยคิดว่าอายุน้อยตอนนี้เธอดูมีรอยเหี่ยวย่นตามใบหน้าจนดูมีอายุขึ้นมาก ผมเผ้าก็ดูจะยาวขึ้นรุงรังมากขึ้น เธอนั่งอยู่บนหินโขดหนึ่งที่พอเห็นได้ จริงๆแล้วคงต้องบอกว่า เธอต้องการให้เห็นเสียมากกว่า
          เธอยังนั่งมองผมในท่าชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง สายตานั้นจดจ้องราวกับอยากจะบอกอะไรสักอย่างกับผม มันทั้งแข็งกร้าวและน่าเกรงขาม เสื้อผ้าเธอขาดรุ่งริ่งเก่าจนไม่คิดว่าน่าจะใส่ได้อีก แต่ที่ชัดเจนกว่าคือกลิ่นสาบเหมือนอบอวลไปทั่วบริเวณ กลิ่นเหมือนมันอยู่ตรงหน้าห่างจากจมูกไม่เกินหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
          ลุงหวังและพี่กล้าก็ได้กลิ่นเช่นกันแต่คงไม่เท่ากับผมเพราะตอนนี้ผมเริ่มทนกลิ่นไม่ไหวแล้ว อาการเวียนหัวอยากอ้วกเริ่มมากขึ้น จนต้องควักเอายาดมมาสูดเข้าปอดเฮือกใหญ่
          เมื่อเสร็จสิ้นพิธีตรงหน้าแล้ว เราก็รีบเดินกลับออกมาอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อหันหลังไปมองผมก็ได้เห็นเงาร่างมากมายมารุมทึ้งเครื่องเซ่นที่วางอยู่บนพื้น บ้างผอมแห้งบ้างก็อ้วนพุงโลจนน่าเกลียดไม่เหมือนกับสรีระของมนุษย์ บ้างนั่งบ้างนอนราบไปกับพื้น เหมือนพวกสัตว์มากกว่า
          เรากลับมาถึงบ้านในเวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ ใช่ครับ ผมตกใจมาก ผมไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้เพราะความรู้สึกของเราคือเราเข้าไปในนั้นนานมาก แต่มันยังไม่ถึงสองทุ่มเลย คนที่คอยมาช่วยยังนั่งกินข้าวเย็นกันอยู่ในบ้านเสียด้วยซ้ำ
          ทันทีที่คนในบ้านเห็นพวกเราก็รีบเข้ามาถามเรื่องราวว่าเรียบร้อยดีไหม สำเร็จไหม คำว่าสำเร็จสะดุดหูผมเพราะผมยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดในตอนนั้น
          ลุงหวังบอกให้ทุกคนกลับไปแล้วมาเจอกันในตอนค่อนแจ้งเพื่อจัดเตรียมพิธีต่างๆ ก่อนจะเริ่มพิธีจริงในแสงแรกของวัน
          พวกเราแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยด้วยความไม่สบายใจบางอย่างผมจึงอยากที่จะเข้าไปกราบพระนั่งสมาธิสักเล็กน้อยเพื่อให้ใจเย็นลงบ้างเหมือนที่ผมใช้วิธีนี้เป็นประจำเวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือคิดไม่ตก
          ผมเดินตามหาลุงหวังเจ้าของบ้านไม่เจอ จึงเดินไปขออนุญาตพี่กล้าแทน พี่กล้าบอกว่าเข้าไปได้เลยพ่อเองก็อาจจะอยู่ในนั้นเหมือนกัน พี่ล้างจานชามอะไรเสร็จแล้วก็จะตามเข้าไป
          พอเปิดประตูห้องพระที่ได้เห็นเมื่อตอนมาถึงเข้าไปก็จริงอย่างที่พี่กล้าว่า ลุงหวังนั่งหลับตาอยู่หน้าโต๊ะหมู่ที่ผมไม่คุ้นตา
          บนโต๊ะหมู่มีพระพุทธรูปเป็นประธานมีพระเกจิหลายองค์รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง นอกจากนั้นก็มีรูปของผู้ล่วงลับวางเรียงรางคิดแล้วว่าคงจะเป็น บรรพบุรุษที่สืบทอดวิชากันมา บนโต๊ะแยกข้างๆคือกล่องที่พวกเราได้เห็นก่อนหน้านี้
‘นั่งไปเงียบๆแล้วกัน’
          ลุงหวังบอกเชิงอนุญาต ผมแค่นั่งหลับตาทำใจให้สบายเข้าสู่สมาธิเท่านั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายไปกว่านั้น แต่อาจเพราะการกระทำอย่างนั้นเองเมื่อจิตเข้าสู่สมาธิ บวกกับคนตรงหน้าเองก็มีสภาวะจิตที่ละเอียดและสูงกว่าคนทั่วไปในระดับหนึ่ง แม้เพียงวูบเดียวแต่ผมก็รับรู้ถึงความวุ่นวายใจ อารมณ์ที่สับสนตีกันอยู่ในใจของคนตรงหน้า
          แม้ไม่ได้พูดออกไปแต่มันก็คือการเสียมารยาท การละลาบละล้วงใจคนอื่นคือสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ด้วยจิตที่ไม่สำรวมของตัวเองก็ได้พลาดทำมันลงไปเสียแล้ว
          เราปล่อยให้ห้องนั้นเงียบอยู่อีกนานสองนานก่อนพี่กล้าจะเดินเข้าในห้องและทำลายความเงียบลง
          พี่กล้าขอให้ลุงหวังช่วยอธิบายเรื่องราวให้ผมฟังสักหน่อยจะดีกว่า กาให้ผมเข้าไปร่วมด้วยโดยไม่บอกกล่าวอะไรมันคงจะไม่ดีนัก
           ลุงหวังเห็นด้วยอย่างนั้น จึงยอมเล่าเรื่องราว ‘บางส่วน’ ให้ผมฟัง
          เรื่องมันนานมาแล้ว นานมาก ตั้งแต่รุ่นทวดของลุงหวังอีก เรื่องราวมันสืบทอดต่อกันมาในหมู่บ้านนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่กินกับป่าเขาเหมือนกับพื้นที่อื่นๆทั่วไป แต่แล้วอยู่ดีๆวันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้นกับคนที่เข้าไปล่าสัตว์แล้วไม่ได้กลับออกมา บางคนได้กลับออกมาแต่ก็เสียสติไปไม่เหมือนเดิม
          ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่านั่นเป็นเพราะอาถรรพ์ป่า เจ้าป่าเจ้าเขาผีป่าผีเขาหรืออะไรก็ตามเป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุขึ้นอย่างนั้น ในเวลานั้นทุกคนช่วยกันหาทางออก แต่ก็ไม่ได้บอกผมว่า ทางออกคืออะไร
          หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็เหมือนจะเรียบร้อยดี เวลามีใครเข้าไปหาของป่าจะได้กลับออกมาครบสมประกอบแต่กลับกัน มันเริ่มมีเหตุที่ไม่เคยเกิดขึ้นเริ่มต้นขึ้นมา
          ในหนึ่งปี หรือปีเว้นปีจะมีคนในหมู่บ้านหายเข้าไปในป่าโดยไม่ทราบสาเหตุ ต่างกันนะครับ ก่อนหน้านี้คือ มีคนเข้าไปและไม่ได้ออกมา แต่คราวนี้คือคนไม่ได้เข้าไป แต่กลับถูกอะไรบางอย่างพาเข้าไป เหมือนทุกอย่างมันกลับกันไปหมด
          และหลังจากมีคนหายเข้าไปในนั้นเวลาจะประมาณ 3 วัน จะพบตัวคนที่หายไปในสภาพไร้วิญญาณ ฟังดูเหลือเชื่อแต่ก็เป็นจริงดังนั้นเสมอมา โดยคนที่หายเข้าไปในป่านั้น ไม่มีความเกี่ยวโยงใดๆกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เพศ อายุ ชื่อ วันเดือนปีเกิด ทุกอย่างไม่สัมพันธ์กันมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ เป็นคนหมู่บ้านนี้
          ลุงหวังขยายความต่อไปอีกว่า คนหมู่บ้านนี้ต้องเป็นคนที่มีต้นตระกูลในบ้านนี้ พวกที่ย้ายมาใหม่ มาตั้งรกราก แต่งงานแต่งกาลย้ายมา ครอบครัวที่เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครเคยโดนเลย มีแต่คนที่เป็นคนพื้นที่เท่านั้นที่จะโดน
          มาถึงตรงนี้พี่กล้าเริ่มน้ำตาคลอเบ้าเหมือนจะร้องไห้ ผมพอจะติดตามเรื่องราวและปะติดปะต่อมันได้บ้างแล้ว ‘ส้ม’ ก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น
          พกเราไม่เคยได้เห็นหรอกว่าตอนที่คนนั้นหายเข้าไปในป่าเป็นอย่างไร มีอาการอย่างไร เข้าไปอย่างไร เราจะเจอเขาอีกครั้งเมื่อทุกอย่างมันจบแล้ว
          แต่มีความเชื่อหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในหมู่บ้านเพราะมีคนเคยเห็น และเคยเอาคงทรงมาดูหลายต่อหลายครั้งรวมถึงตัวฉันและบรรพบุรุษของฉันก็รู้ และเห็นเหมือนกันหมด

‘เสือสมิง’
          คำนั้นทำเอาผมขนลุกวูบไปทั่วทั้งตัวนึกถึงกระดูกที่ลุงหวังเอาให้ดูบนรถ ลุงหวังพยักหน้าตอบรับกับความคิดของผม
          เมื่อส้มจากไป ลูกสาวตัวเล็กๆที่น่ารักยังคงชัดเจนในความทรงจำ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าภาพสุดท้ายที่ลุงหวังได้เห็น มันเป็นอย่างไร แต่มันคงจะไม่ดีนักเพราะภาพนั้นทำเอาลุงหวังหายเข้าไปในป่าร่วมอาทิตย์เพื่อคิดจะตามล่าให้ใครก็ตามที่ทำกับสาวน้อยคนนั้น
          ลุงหวังกลับออกมาพร้อมกระดูกชิ้นนั้น โดยไม่ได้บอกว่าไปเอามาจากไหน แต่มันเข้มขลังไปด้วยพลังงานอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่ว่ามันขลัง แต่เรียกว่าเป็นอาถรรพ์คงจะถูกกว่า
       
          กระดูกชิ้นนั้นไม่ได้ถูกใช้เพื่อป้องกันตัวหรือบูชา ลุงหวังเก็บมันไว้กับตัวและในวันเวลาที่เหมาะสมเขาจะหยิบมันขึ้นมาบริกรรมคาถา ใช้วิชาทำร้ายเจ้าของกระดูกชิ้นนี้ด้วยความแค้น แม้จะหาตัวมันไม่เจอ การได้ส่วนหนึ่งของมันมาทรมานก็เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่งเช่นกัน
          ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงความบิดเบี้ยวของคนคนนี้ ความสูญเสียที่รุนแรงพัดพาเอาสามัญสำนึก ผิดชอบชั่วดี หายไปหมด แต่ก็ยังดีที่เขายังคงช่วยเหลือผู้คนตลอดมา เหมือนกับว่าเขาไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน
          ผมได้ฟังเรื่องราวมาถึงตรงนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า การเปิดป่าที่หมายถึง คงเพื่อพาดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับกลับออกมาเท่านั้น แต่ถ้าแค่นั้นจะต้องให้ผมมาทำไม ลุงหวังน่าจะทำได้อยู่แล้ว
          ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรออก ลุงหวังที่เล่าเรื่องราวให้ฟังก็เหมือนถูกสะกิดต่อมความรู้สึกที่ซ่อนไว้ เขาขอตัวไปนอนก่อนที่จะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ พี่กล้าจากร้องไห้ก็กลายเป็นสีหน้าของความโกรธแค้นเช่นกัน
          ทั้งสองคนจากไป ทิ้งผมไว้ในห้องพระ อย่างนั้นเพียงคนเดียว
          ผมกลับมานั่งนิ่งๆเงียบๆอีกครั้งโดยเอาหลังพิงกำแพงไว้เพื่อจะปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งอย่างนั้นหลังจากเข้าสมาธิเสร็จ
          บ่อยๆที่ผมจะเข้าสมาธิในช่วงก่อนนอนแล้วปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งอย่างนั้นในวันที่เหนื่อยหรือเมื่อวันรุ่งขึ้นมีงานใหญ่รออยู่ เพราะมันทำให้รู้สึกสดชื่นมากกว่าการไปนอนบนเตียงตามปกติ แต่ก็ต้องจัดท่าทางให้ดีหน่อยไม่อย่างนั้นตื่นมาจะได้ปวดหลังปวดเอวเป็นแน่
          ผมหลับไปได้ไม่นานเพราะยังไม่ขาดจากสมาธิผมได้ยินเสียงก๊องแก๊งคล้ายโลหะกระทบกัน ผมเดินออกมาดูข้างนอกตามที่มาของเสียง
          เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นไม้ของบ้านในท่าพับเพียบ ผมของเธอทำขลับยาวลงมาจนถึงพื้น เธอน่ารัก แต่ในเวลานี้คงไม่ใช่เวลาของเด็กน้อยแล้ว
          เธอหยิบช้อนกินข้าวอันสั้นๆทำท่าตักและผัดอาหารไปมาในจานชามสังกะสีเลียนแบบพวกผู้ใหญ่ อายุของเธอคงจะไม่พ้น 5 6 ขวบเห็นจะได้ เธอนั่งเล่นข้าวของอยู่อย่างนั้น
‘ส้ม’
          ผมเรียกชื่อเธอแม้ไม่รู้มาก่อนว่าเธอหน้าตาอย่างไร เด็กน้อยหันมายิ้มให้ผมแทบจะในทันที สีหน้านั้นดูดีใจเป็นอย่างมาก คงเพราะไม่มีใครคุยกับเธอมานานแล้ว หรือไม่ก็ไม่เคยมีใครเคยเห็นเธอ
          เด็กน้อยมานั่งข้างๆเอาตัวแปะแขนของผมไว้ สัมผัสของเธอไม่ใช่กายหยาบแต่คงเป็นความเคยชินในสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอพูดเก่งเล่านั่นเล่านี่ให้ฟัง เรื่องส่วนมากที่เธอเล่านั้นดูงดงามในสายตาเธอ แต่คนฟังอย่างผมกลับขนลุกจนเย็นไปทั้งสันหลัง
‘หนูเคยอยู่บ้าน ตอนนี้หนูอยู่ในป่า หนูตายแล้ว’
‘หนูอยู่กับใคร’
‘ในป่า หนูมีเพื่อน เยอะแยะเลย’
          เด็กๆคงไม่รู้หรอกว่าความตายคืออะไร แต่เมื่อกายสังขารดับลง จิตจะกระจ่าง ความรู้ความเข้าใจจะมีมากกว่าตอนมีชีวิตอยู่ ในคือความจริงของจิต ธรรมชาติของจิต ซึ่งหลายคนรู้กันดีและมีคนเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่ม แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลสำหรับใครหลายๆคน
‘แล้วทำไมวันนี้หนูกลับบ้าน’ ผมถาม
‘หนูมาทุกวัน หนูคิดถึง แต่มาก็ไม่เคยเจอใคร เลยนั่งเล่นรอพ่อ กับพี่กล้า’
          เพียงประโยคนั้นน้ำตาของผมก็ไหลหยดลงที่พื้นด้วยความสงสาร เวลาของพวกเราเดินไม่เท่ากัน ฝั่งนี้เวลามันหมุนไปแล้วเนิ่นนาน หากแต่หนูน้อยคงรู้สึกเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน เธอคงรู้สึกเหมือนเวลาที่พ่อกับพี่ชายออกไปจ่ายตลอดเท่านั้น
          แม้สัมผัสไม่ได้ผมก็อยากลูบหัวเธอสักครั้งให้เธอคลายกังวล แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เธอไม่ได้มีกายเนื้ออีก เพราะเหตุนี้ผมจึงเลิกกลัวผีมานานมากแล้ว ผีไม่ได้น่ากลัวไปเสียหมด วิญญาณที่ไร้ทางออก จิตที่ไร้เดียงสาเหล่านี้ น่าสงสารยิ่งกว่าคนเป็นๆที่ขอทานอยู่ตามถนน เพราะเขายังเริ่มใหม่ได้ แต่เธอคนนี้ไม่มีอีกแล้วโอกาสนั้น
          หลายคนคงเคยถามและสงสัยในตัวผมว่าผมทำไปทำไม ทำไมยังเดินบนเส้นทางนี้อยู่ ทำไมถึงมาเขียนให้คนด่า คนที่ไม่เชื่อก็มีเยอะ เพราะอะไร? เพราะแบบนี้นั่นแหละครับ ผมอยากให้หลายๆคนได้รู้บ้างว่า วิญญาณไม่ใช่สิ่งน่ากลัว พวกเขาน่าสงสาร และพวกเขายังอยู่รอบๆตัวเรา
          เด็กน้อยลุกขึ้นอย่างกะทันหันเหมือนได้ยินเสียงเรียก ผมเดินตามเธอไปที่บันไดบ้าน เธอวิ่งลงจากบ้านตรงไปยังชายป่าที่พวกผมเพิ่งออกมาเมื่อตอนค่ำ ที่ตรงนั้นมีหญิงสาวคนเดิมยืนอยู่ เด็กน้อยวิ่งตรงเข้าไปหาเธอ แล้วทั้งสองคนก็หันหลังกลับเข้าไปในความมืด
‘ตื่นโว้ย! ตื่นๆๆๆๆ’
           เสียงมีนดังขึ้นช้างๆหู พร้อมกับแรงเขย่าตัวผมที่นั่งหลับพิงกำแพงอยู่ ตกลงว่าผมหลับไป? สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนจริงมากเกินไป แต่ก็คงเป็นความฝันตื่นหนึ่ง
          ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรมากผมก็ได้ยินเสียงของคนหลายคนมาโวยวายอยู่ใกล้ๆบ้าน มีนบอกว่ามีคนหายไป หายไปจากบ้านเฉยๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
          เมื่อออกมาข้างนอกเราก็ได้เห็นคนร่วมสิบคนคุยกับลุงหวังอยู่ เรื่องราวสั้นๆคือทุกคนผลัดกันตื่นนอนเพื่อเฝ้ากันเองไม่ให้ใครหายไปเพราะลุงหวังจะเปิดป่า ทุกคนก็กลัวว่าจะมีใครมาขโมยคนไปอีก
‘ต้องเป็นเสือสมิงแน่ๆ มันมาเอาคนไป’ คนหนึ่งพูดขึ้นมา
‘อย่าพูดสิโว้ย เดี๋ยวมันก็มาหรอก’
          อีกครั้งที่ผมได้ยินคำนี้ และมันก็คงจะจริงอย่างนั้น การเรียกหาไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ ตอนนี้มีคนคนหนึ่งหายไปจากบ้านวนหาแล้วก็ไม่เจอ ทุกคนจึงลงความเห็นว่าคงจะเข้าไปในนั้นเป็นแน่
          ฟ้ายังไม่สว่างผมหยิบโทรศัพท์มาดูนาฬิกาพบว่ามันยังแค่ตี 3 เท่านั้น แต่คงจะไม่เหลือเวลาว่างให้นอนต่ออีกแล้ว
          ลุงหวังเข้าไปเตรียมข้าวของหลายอย่างพร้อมกับพี่กล้า พวกเราต้องเข้าไปในนั้นจริงๆ เพราะญาติของคนที่หายไปบอกว่ามันเพิ่งจะไม่ถึงชั่วโมงนี้เองที่เห็นกันอยู่ ก่อนจะเผลอหลับไป
          คนที่ได้เข้าไปในป่ามี ผม พี่กล้า ลุงหวัง แล้วก็ผู้ใหญ่ที่เข้าป่าบ่อยๆอีกสองคน ส่วนมีนกับพ่อไม่ได้เข้าไปด้วยเพราะลุงหวังห้ามไว้ กลัวรับผิดชอบไม่ไหวนั่นเอง
          อย่างหนึ่งที่ผมคิดมาตลอดทาง ลุงหวังไม่เคยห่วงผมเลย ห้ามคนนั้นคนนี้แต่ลากผมเข้าไปทุกงานทุกจังหวะที่อันตราย ไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ ดีที่มีพี่กล้าคอยตามประกบติดไม่อย่างนั้นผมก็คงจะหลงป่าไม่ก็สะดุดไม้สะดุดหินตายไปแล้ว

ลุงหวังเดินนำด้วยความเร็วที่มากกว่าตอนเย็น สีหน้าของแกดูรีบร้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์ ความประทับใจที่เคยมีในคนคนนี้เริ่มหายไปจากใจผมทีละนิดแต่มันก็ถูกชะลอไว้ด้วยความเข้าใจว่า เขาสูญเสียมามาก และผมก็ยังมีคำถามอยู่ในใจมากมาย ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้กับคนในหมู่บ้าน
          เราแยกกันออกไปหาโดยจะใช้วิธีส่งเสียงเรียกและแสงไว้ในการบอกทาง ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามพี่กล้าไปติดๆ ในป่านั้นมืดมากมืดจนเกือบจะไม่เห็นรอบข้างถ้าไม่มีแสงไฟ
          ตลอดทางที่เดินไปมีเสียงสัตว์นานาชนิดรายล้อมเราเหมือนกับวันนี้ไม่มีสัตว์ตัวใดหลับลงอีกแล้ว พี่กล้าบอกว่า วันนี้แปลก ป่าไม่หลับ ชักจะน่ากลัวแล้วสิ
          ผมได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังแว่วอยู่ไม่ไกลตัวผม เสียงนั้นเป็นเสียงที่ผมเคยได้ยินมาแล้วเสียงหายใจหนักๆ เป็นจังหวะพร้อมกับเสียงใบไม้กรอบแกรบทั่วบริเวณ
          และพอผมเผลอสติไปกับเสียงรอบข้าง ผมก็คลาดสายตากับพี่กล้าไปแล้ว ตอนนี้เหลือผมเพียงคนเดียวในความมืดและเธอคนนั้นที่ผมรู้ดีว่าเธอตามผมมาตลอด
          ผมตัดสินใจนั่งลงกับพื้นไม่เดินไปไหน เพื่อรอให้เธอออกมาคุย ตามที่เธอต้องการ
          ไม่นานเธอก็ค่อยๆปรากฏตัวออกมาจากความมืด เธอยังอยู่ในสภาพเดิม ใบหน้าไม่น่ามอง เนื้อตัวมอมแมม หยาบแห้ง ส่งกลิ่นสาบรุนแรง เธอไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ แต่เหมือนพยายามจะแสดงให้เราเห็นว่าเป็นมนุษย์ เท่านั้น
          เธอเอาแต่จ้องหน้าผม ไม่พูดอะไร ดวงตานั้นมีแววดุร้ายไม่ใช่สายตาของมนุษย์อีก เธอถอยห่างออกไป ห่างจนผมคิดว่าเธอจะจากไปแล้ว แต่เปล่าเธอหยุดอยู่ตรงนั้น
‘กลับไป อย่ามายุ่ง’ เสียงของเธอก้องไปมาทั่วทั้งป่า แต่นั่นไม่ใช่การตะคอกแต่เป็นการ บอก
          ผมส่ายหัวผมทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมเข้ามายุ่งแล้วและเรื่องนี้ก็มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมคงจะปล่อยมันไว้เฉยๆไม่ได้ ไม่ทันที่ผมจะได้สนทนากับเธอต่อ เธอก็หันไปทางหนึ่งแล้วออกวิ่งในทันที ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นเธอ คือ เธอไม่ได้อยู่ในรูปมนุษย์อีก สีเหลืองเข้มดูสกปรกสลับกับลายพาดสีดำทำให้ผมขนลุก ขาแข็งก้าวไม่ออก
          เสียงคำรามโฮกนั้นไม่ได้ทรงพลังแต่แหบพร่าเหมือนคนกำลังจะสิ้นลม สภาพของเธอน่าเกลียดไม่ต่างจากภาพมนุษย์ที่เธอพยายามแสดงออก
‘ทางนี้ๆ’
          เสียงใสๆดังขึ้นข้างหลังผมพร้อมกับภาพของ ส้ม ตอนนี้เธออยู่กับผม ยิ้มแย้มให้อย่างน่ารัก เธอหันไปตามทางที่วิญญาณเมื่อสักครู่เพิ่งจากไป
‘พวกเราผิด’
          หนูน้อยพูดคำสั้นๆด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยก่อนจะกลับมายิ้มอีกครั้ง ‘ไปหาพี่กล้ากัน’
          เธอนำทางผมไปในความมืด ตัวตนของเธอสว่างเรืองจากพื้นหลังแต่ไม่ใช่การส่องแสงหรือเรืองแสงอย่างในหนัง เธอไม่ได้พูดอะไรได้แต่เดินเงียบๆพร้อมรอยยิ้ม
          ไม่นานเราก็ได้เจอกับพี่กล้าที่กำลังตามหาผมอยู่เช่นกัน พี่เขารีบเข้ามาขอโทษผมยกใหญ่ที่ปล่อยให้หลงแต่ผมก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ผมเองก็ผิด
          ส้มตอนนี้เธออยู่บนหลังของพี่กล้าในท่าทางเหมือนกำลังขี่โก่งแบบที่เด็กๆชอบทำกัน เธออยู่อย่างนั้นบนแผ่นหลังของพี่ชายที่คุ้นเคย แม้ว่าพี่ชายผู้แสนดีคนนั้นจะไม่ได้รับรู้เลยก็ตาม
          เราเดินไปตามเสียงเรียกที่ดังมาจากที่ไกลๆพร้อมกับแสงไฟฉายที่ส่องแวบวาบอยู่ในอากาศเป็นการบอกทาง เรามาถึงที่ซอกถ้ำที่หนึ่ง ตรงนั้นเป็นด้านนอกที่มีหินยื่นออกมาปกคลุม ทางลาดลงไปเล็กน้อย
          ที่ตรงนั้นมืดมากแต่เราสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ในความมืด ไฟฉายทุกอันสาดไปที่ทางลาดนั้น ภาพที่เห็นทำให้ผมต้องรีบวิ่งไปอ้วกในทันที ผมนั้นน่าคลื่นไส้จนเกินจะทนไหว
          ชายหนุ่มอายุน่าจะราวๆสามสิบซึ่งเป็นญาติของคนที่มาที่บ้าน คนคนนี้คือคนที่หายไป เนื้อตัวของเขาเปรอะเปื้อนดินโคลนแต่ไม่มีบาดแผลนอกจากมือและเท้าที่เปิดเปิงเป็นแผลเลือดไหลเล็บหลุดออกมาเหมือนกับใช้สองมือต่างเท้าเดินทางไปมานานพอสมควร
          ที่ผมรับไม่ได้ที่สุดคือ ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือดเปรอะไปทั้งตัว พร้อมกับซากงูในปากที่ห้อยลงมาน่าขนลุก เขากินมันเข้าไป กินสดๆทั้งอย่างนั้น ดวงตาของเขาไร้แววเหมือนคนไม่ได้สติ
          ผมยืนขาแข็งอยู่บนนั้นปล่อยให้คนอื่นๆลงไปรวบตัวเขาขึ้นมาบนพื้นราบในระดับเดียวกับพวกเรา
          คนที่ตามมาด้วยใช้เชือกมัดเขาไว้และจับกดไว้ด้วยน้ำหนัก ชายที่ถูกมัดยังไม่ได้สตินอกจากส่งเสียงขู่ในลำคอเหมือนกับสัตว์
          คนหนึ่งที่เป็นญาติเข้ามาใกล้จับใบหน้าพยายามเรียกชื่อคนตรงหน้าแต่ก็กลายเป็นว่า ชายคนนั้นอ้าปากกัดลงบนฝ่ามือของญาติตัวเองสุดแรงจนจมเขี้ยวเลือดไหลออกมาปริมามาก พร้อมกับสะบัดคอไปมาเหมือนกับพวกสัตว์ไม่มีผิด
          แผลนั้นลึกมาก จนต้องให้กลับลงไปก่อนเพื่อไปโรงพยาบาลทันที ตอนนี้ใบหน้าของลุงหวังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นหากร่างตรงหน้าไม่ใช่คนเขาคงจะเตะให้สักทีหนึ่ง
‘มลึงออกมาคุยกับกลู’
          ลุงหวังตะโกนใส่ร่างตรงหน้าพร้อมกับใช้ไม้เรียวยาวๆฟาดลงไปบนหลังของคนที่ถูกมัด ผมตกใจมากพยายามห้ามแต่ก็ไม่เป็นผล ลุงหวังไม่ฟังอะไรอีก กระหน่ำฟาดอยู่อย่างนั้น
          แผ่นหลังของคนตรงหน้าเริ่มแดงจนเป็นแผลถลอก โดยท่าทีของคนที่ถูกมัดดูไม่ได้เจ็บปวดอะไร แค่มองนิ่งๆและส่งเสียงขู่ในลำคอ
          ลุงหวังบริกรรมคาถาซ้ำอีกพร้อมหวดไม้ในมือด้วยแรงเท่าที่มี แต่กลายเป็นว่าคนตรงหน้าหลุดออกจากเชือกและคนที่จับกดอยู่ได้อย่างไรไม่ทราบ ชายคนนั้นกระโจนเข้าหาลุงหวังจนล้มกลิ้งไปตามพื้น มือของชายคนนั้นเกร็งแข็งข่วนลงบนใบหน้าจนลุงหวังร้องเสียงหลง
          เรารีบวิ่งตามไปช่วย สิ่งที่เห็นคือคนทั้งสองออกแรงสู้กันพันละวัน พี่กล้าเข้าไปล็อกตัวคนคร่อมออกมาให้ห่าง ลุงหวังลุกขึ้นยืมพร้อมกับเอามือกำใบหน้าและต้นคอด้านข้างใกล้ช่วงไหล่ ใบหน้าถูกขวดด้วยเล็บจนเป็นแผลเลือดไหล ตรงต้นคอถูกฟันกัดจนเป็นแผลเช่นกัน
          ลุงหวังใช้สมุนไพรป่าโปะไว้เพื่อห้ามเลือดตามที่ได้เตรียมมา คนตรงหน้ายังอาละวาดอยู่ด้วยเสียงขู่โฮกฮากไม่มีความเป็นมนุษย์ ลุงหวังล้วงมือลงไปในย่ามควักเอามีดหมอและกระดูกชิ้นนั้นออกมา
          เขากรีดมีดลงไปบนท่อนกระดูกพร้อมกับเสียงโอดครวญของคนตรงหน้า ผมเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันต่างไป มันไม่เหลือความเป็นมนุษย์แล้วจากทั้งสองฝั่ง ผมพยายามส่งเสียงห้ามแต่ก็เปล่าประโยชน์
          มีดอาคมดูจะไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าใดนัก ลุงหวังจึงเปลี่ยนวิธีหยิบเอาเทียนขึ้นมาจุด ทันทีที่เห็นไฟร่างตรงหน้าก็ออกแรงดิ้นอย่างสุดชีวิตด้วยความกลัว ลุงหวังใช้เปลวไฟนั้นรนกระดูกโดยตรงจนมันเริ่มส่งกลิ่น
‘หยุด ลุง หยุด’ ผมตะโกนจนเสียงแหบ
‘หุบปากไป ฉันเอาแกมาช่วยก็เพราะอย่างนี้ ถ้าแกไม่มา มันคงไม่ออกมาให้จับได้แบบนี้หรอก’ ลุงหวังตะคอกสวน
          พวกเราเถียงกันอีกพักโดยไฟในมือไม่ได้ถูกลดลง ร่างหรือวิญญาณตรงหน้าเริ่มอ่อนแรงจากการดิ้นทุรนทุราย แต่ผมยังสัมผัสได้ถึงความแค้นที่คับคั่ง
‘พ่อน่ากลัว’
          เสียงใสๆดังขึ้นท่ามกลางความรุนแรง ผมคิดว่าผมคงเป็นคนเดียวที่ได้ยิน แต่เปล่า ทุกคนได้ยิน
‘ส้ม นั่นเสียงส้มใช่ไหมลูก’ ลุงหวังตะโกนก้องอย่างดีใจ
‘พ่อมาช่วยแล้วลูก กลับบ้านกัน’
‘หนูไม่กลับ พ่อน่ากลัว’ เสียงใสๆยังดังอยู่ พร้อมกับภาพเธอที่อยู่บนหลังของพี่กล้า
‘ส้ม พี่คิดถึง กลับไปอยู่บ้านเรา’ พี่กล้าช่วยอีกแรง

เสียงนั้นทำให้ทุกคนเลิกสนใจคนตรงหน้าจนเผลอผ่อนแรงลง ทำให้คนเขาดิ้นจนหลุดและวิ่งหนีหายไปในความมืดได้อีกครั้ง ญาติคนหนึ่งที่อยู่ช่วยจับไม่พอใจอย่างมากจนโวยวายเอาเรื่อง แต่ก็ไม่มีใครได้สนใจเลยสักนิด เพราะตอนนี้ส้มอยู่กับเรา
          เสียงของส้มยังคุยกับพวกเราอยู่ เธอบอกให้พวกเราไปคุย กับวิญญาณดวงนั้น เสือตัวนั้น ใช่ นั่นคือเสือจริงๆ เธอบอกไว้แค่นี้แล้วก็จากไป ไม่มีการตอบรับใดๆอีก
          ลุงหวังหันมาหาผมขอให้ผมช่วยอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ยอมแล้ว ผมยื่นเงื่อนไขไปว่าถ้าอยากให้ผมช่วยจะต้องทำตามในแบบของผมเท่านั้น ถ้าลุงหวังไม่ทำ ผมก็จะไม่ทำเช่นกัน
‘แกจะปล่อยให้คนนั้นตายรึไง ไอ้เด็กนี่’ ลุงหวังตะคอก
‘ใช่’ ผมตอบเสียงแข็ง ทั้งที่ไม่ได้คิดอย่างนั้น
          ญาติของคนที่หายไปช่วยพูดอีกแรง ลุงหวังจึงยอมสงบลงได้บ้าง พร้อมกับความคิดถึงลูกสาวนั้นกระมังที่ช่วยชโลมใจที่ร้อนเป็นฟืนไฟอย่างนั้นลงได้
          ผมนั่งลงกับพื้นนิ่งๆทุกคนถามว่าเราจะไปตามหาที่ไหน ผมบอกว่าไม่ เราจะให้เขามาหา ผมนั่งหลับตาพยายามพาตัวเองเข้าสู่สมาธิให้เร็วที่สุด เงียบที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
          ป่าในคืนนี้ช่างโวยวาย เสียงของความสับสน เสียงสัตว์น้อยใหญ่ร้อนใจกันไปหมด เสียงโหยหวนของวิญญาณหลายดวงน่าขนลุก กลิ่นสาบสัตว์คละคลุ้งไปทั่วบริเวณผสมกับกลิ่นเน่าชวนอ้วก
‘เธอจะคุยกับเขาใช่ไหม’ เสียงอันไพเราะยิ่งดังลอยมาในอากาศ
‘ใช่ครับ ผมจะคุย’
‘รอสักครู่’
          เสียงใสกังวานนั้นตอบรับคำขอของผม เธอผู้เคยมาร้องเพลงอยู่ที่ท่าน้ำ เธอมาช่วยผมในเวลานั้น
          เพียงครู่เดียวเขาก็มา ร่างของชายคนนั้นเดินมาหยุดยืนอยู่ไกลๆ ไม่เข้ามาใกล้ ลุงหวังที่ต้องพยายามกดอารมณ์เอาไว้ก็เหมือนใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มที
‘มันเกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฟังที’
          ชายตรงหน้าค่อยๆพูดทีละคำเหมือนไม่คุ้นชินกับการใช้ภาษา แต่ผมจะสรุปให้ฟังก็แล้วกัน
          เธอในร่างของเขา เธอคือ เสือสมิง อย่างที่ทุกคนเชื่อ แต่เธอไม่ใช่เสือหนึ่งตัว เธอคือตัวแทนของความนึกคิดจากสรรพสัตว์หลายๆตัวที่ถูกคร่าชีวิตไปด้วยน้ำมือของคนในหมู่บ้านนี้เมื่อนาน นานมากแล้ว
          ครั้งหนึ่งคนในหมู่บ้านเคยเข้ามาหาของป่า เบียดเบียนชีวิตในป่า จนบางครั้งกรรมก็ตามทัน พวกเขาต้องแลกกับสิ่งที่เขาเอาไป มันมาจากกรรมของเขา ไม่มีใครทำให้เขาตายทั้งสิ้น
          แต่แล้วคนในหมู่บ้านก็คิดว่าคงเป็นผีสางที่มาทำร้าย จึงทำการเผาป่าทั้งหมดในส่วนที่เป็นที่หากิน ไม่ใช่เขาทั้งลูก พวกเขาเผาทุกอย่างและทำพิธีสวดส่ง นอกจากนั้นยังทำสะกดเอาไว้อีกด้วย
          ผมได้ฟังอย่างนั้นจึงค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเสือสมิงตนนี้ขึ้นมา ความแค้นที่มากพอให้สร้างรูปของจิตได้นั้น คงต้องฟังต่อไป
          ในวันที่ไฟโหมทั่วทั้งป่า สัตว์น้อยใหญ่พากันตายไปทีละตัวๆ เธอคือเสือที่มีลูกมีครอบครัวไม่ต่างจากมนุษย์ เธอทำได้แค่เฝ้าดูลูกๆที่น่ารักของเธอถูกไฟคลอกตายอย่างทรมาน เสียงร้องของลูกๆเธอในวันนั้นดังเข้ามาในหัวผมจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอไม่ได้ตายในทันทีเธอแค่โดนไฟไหม้บางส่วนแต่ก็เป็นแผลฉกรรจ์ สุดท้ายเธอก็ตาย แต่ก่อนจะตายนั้นเธอเต็มไปด้วยความโกรธ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
          วิญญาณสัตว์หลายๆดวงเริ่มหล่อหลอมกลายเป็นตัวตนที่เรียกว่า สมิง นี้เพื่อมาทวงสิ่งที่พวกเขาถูกกระทำ คนในหมู่บ้านก็เหมือนลูกหลายที่พวกเขาเสียไป เขามาทวงถาม เพื่อบอกกล่าว และสั่งสอน ว่าเราทำสิ่งใดลงไปกับพวกเขา
          มันอาจไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ แต่ที่นี่คงมีอะไรบางอย่างทำให้มันเกิดขึ้น
          เมื่อรู้สาเหตุ เราก็ต้องมาดูที่ผล ฝ่ายคนก็ไม่ยอมเพราะเสียญาติแม้จะไม่ได้สนเหตุเลยก็ตาม เรื่องที่ได้ฟังไม่ต่างจากลมผ่านหู
          ลุงหวังไม่สนใจแค่จะเอาส้มคืน เท่านั้น
          แต่ด้วยข้อต่อรองที่มีต่อกัน ลุงหวังต้องฟังผม ผมขอให้เธอจากไป แล้วออกจากร่างชายคนนี้ก่อน ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้ ผมรับปาก
          เธอทำตามเพื่อเป็นการแสดงมารยาทและความจริงใจ ผมขอให้ลุงหวังหยุด ให้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะไม่มีวันจบลงถ้ายังเป็นอย่างนี้ วันหน้าก็จะมีอีกเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
          ลุงหวังยังไม่ฟัง แต่เมื่อผมบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ส้มจะกลับบ้านไม่ได้ ประโยคเดียวทำให้ลุงหวังเงียบ และยอม
          ผมนั่งเงียบๆขอคุยกับเธออีกครั้ง ผมขอให้เธอหยุดเช่นกัน ขอให้เธอปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมดที่เธอพรากมา นอกเหนือจากรรมของเขา แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม
          ธรรมชาติจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้เธอก็รู้ กรรมจะสนองเขาในวันหนึ่ง เธอเองอย่าสร้างกรรมต่ออีกเลย กลับไปหาลูกๆเสียจะดีกว่า
          เธอไม่ตอบรับ แต่เธอก็ถอยไป
          เรากลับลงมาที่ด้านล่างพร้อมกับคำโกหกก้อนโตของลุงหวังว่า ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสือสมิงได้ตายไปแล้ว เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยสะกดให้แลกกับการที่ ห้ามขึ้นไปล่าสัตว์อีก
          คืนนั้น ส้มกลับมาที่บ้าน เธอไม่ได้มาคุย แต่จานสังกะสีนั้นถูกเอาออกมาเล่นและวางทิ้งไว้บนพื้นบ้านให้ลุงหวังมาเห็นในตอนเช้าของวันถัดมา ลุงหวังกับพี่กล้ากอดชามแน่นด้วยความคิดถึง
          วันรุ่งขึ้นเรากลับในทันที เพราะผมไม่อยากอยู่ต่ออีกแล้ว ลุงหวังเดินมาขอโทษ และบอกว่าเข้าใจแล้วถึงสิ่งที่มันควรจะเป็นที่ผ่านมาก็แค่ปล่อยให้ความแค้นครอบงำตัวเองเท่านั้น
          ที่ตรงนั้นป่าผืนนั้นทุกวันนี้ เธอ ก็ยังอยู่ ยังไม่ไปเกิด และคงจะอีกนานแสนนานกว่าเธอจะไป เธอคงอยู่เพื่อเฝ้าดูคำสัญญาที่มนุษย์ให้ไว้ วันใดที่มนุษย์กลับคำ เธอคงจะออกมาอาละวาดอีกครั้ง
          แต่ถึงมนุษย์จะไม่ทำอย่างนั้น ผลกรรมที่เคยก่อนจะวนมาหาตัวพวกเขาเองสักวันหนึ่ง
          ผมกลับบ้านด้วยใจที่ขุ่นมัว ไม่มีอะไรคลี่คลาย ไม่มีการแก้ไข ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากการรอดูความเป็นไปที่นอกเหนือความสามารถของผม
          ประโยคสุดท้ายที่ลุงหวังพูดกับทุกคนในหมู่บ้านตามคำแนะนำของผมคือ ‘อย่าพูดถึงมัน มันจะมา สะกดไม่ได้แข็งขนาดนั้น’
          จริงๆแล้วผมก็แค่อยากให้ทุกคนลืม ลืมเสือตนนี้ เลิกแช่ง เลิกใส่ความเขาเสียที หยุดสร้างกรรมต่อกัน ก็แค่นั้น
..............................................................................................................................................................................

หลังจากเรื่องราวนั้นจบลงได้สักพักหนึ่งผมก็ยังคงไม่เข้าใจและไม่ได้คำตอบถึงความเกี่ยวข้องของตัวผมกับเรื่องในครั้งนี้ ผมเฝ้าคิดและหาคำตอบอยู่นาน นานจนลืมมันลงได้ในวันหนึ่ง
          และในคืนหนึ่งที่ผมลืมทุกอย่างไปแล้ว ไม่เฝ้าหาคำตอบใดๆอีกต่อไป ก็เป็นคำตอบเองที่วนกลับมาหาผม
          คืนนั้นเป็นช่วงสุดท้ายในชีวิตมหาวิทยาลัย ผมออกมานั่งเล่นคนเดียวที่ริมสระน้ำข้างลานสมเด็จเหมือนอย่างในหลายๆคืนที่ผมรู้สึกสับสน ปกติผมจะมานั่งด้วยความรู้สึกไม่สบายใจและไม่สงบ แต่คืนนั้นต่างออกไป
          ผมแค่กลับมานั่งตรงนี้ เพื่อซึมซับความทรงจำกับสถานที่แห่งนี้ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตผมเองจะพัดพาไปอย่างไร ผมจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่
          เวลาล่วงไปเกือบตี 2 เห็นจะได้ คืนนั้นเงียบ เงียบสงัด แม้หมาสักตัวยังไม่ส่งเสียงเห่าหอนทะเลาะกันเหมือนอย่างทุกที ลมสงบแต่อากาศก็เย็นจัด
          ความเงียบนี้ผมคุ้นเคยดี มันเป็นสัญญาณบอกว่ามีใครบางคนกำลังมา ใครที่เกินการจะคาดเดาของคนตัวเล็กๆอย่างผม
          ท่ามกลางความเงียบก็ปรากฏเสียงหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ เสียงนั้นนุ่ม เย็น ฟังแล้วสบายใจ เสียงผิวน้ำสั่นไหวเป็นระลอก น่าฟัง
          เสียงผิวน้ำก็เกิดเป็นคลื่นๆเล็กๆอยู่อีกพักหนึ่งก็ยังไม่มีใครปรากฏกายออกมาให้ได้เห็น จนผมแอบถามอยู่ในใจว่า ‘ทำไม’
‘เรียกเธอมา เธอต้องเรียก เธอมาเองไม่ได้’
          ผมหันขวับกลับไปที่ลานพระบรมรูป สุระเสียงของท่านกังวานเพียงครู่ก็ดับไปคลายควันธูปที่ลอยหายไปตามลม
‘มาเถอะ มาคุยกัน’
           เสียงคลื่นน้ำสงบลงเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆของไม้แห้งที่คุ้ยเคย กลิ่นนั้นจางอยู่ในอากาศแต่ก็ชัดเจน ข้างกายผมปรากฏเป็นภาพหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง เราเคยภพกันมาแล้ว
‘เธอที่ท่าน้ำ’
          เธอหันมายิ้มให้ แม้ดวงหน้าจะเปลี่ยนไปบ้างแต่เธอก็ยังเป็นเธอผมจำได้ ครั้งนี้เธออยู่ในรูปกายสวยงามพร้อมเครื่องแต่งกายที่ไม่น่าจะใช่ของชาวบ้านทั่วๆไป
          ครั้งหนึ่งเธอต้องเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปแล้วแสนนาน ผมไม่ได้มีความรู้มากพอจะบอกได้ว่าเสื้อผ้าเธอเรียกว่าอะไร คงบอกได้แค่ว่าน่าจะเป็นชุดของชาววังระดับหนึ่ง
          หลังจากทักทายผมเธอหันไปมองรอบข้างอย่างเงียบๆ แม้เธอไม่ใช่มนุษย์แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกปนปีติ ความรู้สึกนั้นยากจะอธิบาย ใบหน้าเธอปรากฏก็หยดน้ำตาไหลลงที่ข้างแก้มแล้วหายไป นั่นคงไม่ใช่น้ำจริงๆ แต่คงเป็นความเคยชินที่เธอแสดงให้เราเห็นเท่านั้น         
‘ที่นี่ อยู่สุขสบายดีกันแล้วใช่ไหม’
          เพียงประโยคเดียวผมก็เข้าใจถึงมวลความรู้สึกที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้
‘นานแสนนาน นานเหลือเกินที่ฉันไม่ได้กลับบ้าน ได้แต่ติดอยู่ที่นั่น’
‘นานเหลือเกินที่ไม่ได้มากราบท่านอย่างนี้’
          เธอหันหลังกลับด้วยมารยาทของชนชั้นสูง เธอนั่งในท่าพับเพียบก้มลงกรามหันหน้าไปทางพระบรมรูป ครั้งหนึ่งเธอคงไม่ใช่แค่บริวาร แต่คงเป็นผู้พลัดถิ่นไปตามไฟสงครามในยามนั้น
          ผมไม่ได้พูดอะไรปล่อยให้เธอซึมซับความคิดถึงให้เต็มที่ เมื่อเธอพร้อมเธอจะพูดเอง
          เธอบอกผมว่า ที่แห่งนั้นผมมีความเกี่ยวข้อง ครั้งหนึ่ง ‘พวกเรา’ เคยเดินทางไปเหยียบ ผมได้กลับแต่เธอไม่ ด้วยความแค้นความผิดหวังและอะไรหลายๆอย่างทำให้เธอติดอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
          เรื่องราวดำเนินผันผ่านไปเรื่อยๆ เธอได้แต่เฝ้ามอง คนในหมู่บ้านสร้างกรรมวนเวียนอย่างน่าเวทนา แต่เธอจะทำอะไรได้ในเมื่อเธอก็เป็นเพียงวิญญาณที่ต้องชดใช้กรรมดวงหนึ่ง แม้สำนึกในบุญคุณก็ไร้ความสามารถ
          เธอให้ผมเห็นแม้เพียงครู่ ภาพของกองทัพผสมรวมกันทั้งคนเดินเท้า ม้า ช้า และวัว ในนั้นไม่ได้มีแต่ทหาร แต่มีชาวบ้านชาววังรวมอยู่ด้วย
          เพียงเท่านั้นก็เช้าใจได้ หลังจากนั้นผมลงไปไล่หาความรู้อ่านเพิ่มเติมก็จริงดังนั้น แม้ไม่ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนเพราะไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ที่ตรงนั้นคงจะเป็นทางเดินทัพครั้งหนึ่งของ ท่าน
‘แล้วผมเกี่ยวอะไรกับชาวบ้าน’
‘เธอไม่ได้เกี่ยวกับชาวบ้าน แต่เธอรับใช้ท่าน’ เธอหันไปมองพระบรมรูปอีกครั้ง
‘ผู้ที่อยู่ในกงกรรมไม่อาจตาสว่างและหลุดพ้นจากมันได้ บางครั้งก็ต้องอาศัยคนนอกเข้ามาช่วย’
          เธอเล่าต่ออีกหน่อยว่าในเวลานั้นอาหารมีน้อยนิด แต่ชาวบ้านของชุมชนนั้นในเวลานั้น ได้แบ่งปันอาหารให้บางส่วนเพื่อยังชีพพวกเรา
          แม้เวลาผ่านไปนาน ลูกหลายผลัดเปลี่ยนเวียนรุ่นไป แต่เชื่อเถอะผู้ที่ถูกส่งมาเกิดในที่ใดที่หนึ่งมักจะมีความเกี่ยวข้องกับที่นั้นๆ และวนเวียนมาแล้วหลายครั้งหลายคราว
‘ฉันต้องไปแล้ว หมดเวลาแล้ว’
          เธอหันไปกราบลาท่านอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือลูบไล้ไปตามผืนดินที่เธอแสนคิดถึง แต่ไม่มีวันได้กลับมาเหยียบ
‘ฉันขอลาเท่านี้ ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้กลับบ้าน’
          ผมปาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ อีกครั้งที่รู้สึกว่าเราช่าง ไร้ความสามารถ ไม่อาจช่วยให้เธอนั้นพบความสุขได้ ต้องปล่อยให้เธอจมและวนเวียน ต่อไปอีกนาน
          ผมหันไปหาท่าน กราบท่านอีกครั้งด้วยใจที่ยังไม่สงบ แม้จะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องเป็น ผม แต่ในใจก็ยังมีคำถามว่าทำไมถึงเป็นท่านที่ส่งผมไป
‘แม้อาหารเพียงมื้อ ข้าวสารเพียงหยิบมือ เราจะไม่ลืมบุญคุณ’ สุระเสียงนั้นหนักแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า
ลายชาย.

......................................................................................................................
มาคิดดูอีกครั้ง ความบังเอิญคงไม่มีในโลก เพราะถ้าผมไม่ได้รู้จักมีนก็คงไม่ได้ไปที่นั่น และมาทบทวนดูอีกครั้งก็ได้พบว่า เรื่องราวในหลายๆครั้งมาจากเพื่อนทั้งนั้น นั่นคงหมายถึงเพื่อนๆที่อยู่รอบตัวของผม ก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน