หน้าเว็บ
▼
หน้าเว็บ
▼
HOME
▼
31 ส.ค. 2562
เรือนปั้นหยากับห้องลึกลับ
"เรือนปั้นหยากับห้องลึกลับ" ความลึกลับจากบ้านทรงไทยคล้ายเรือนปั้นหยาทรงสี่เหลี่ยมสีเขียวที่มีความเก่าแก่ จากสามาชิกพันทิปชื่อ คนอ่านผี เล่าโดยคุณปาง และเราขอขอบคุณเรื่องหลอนๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง ในจังหวัดมหาสารคาม เมื่อสมัยที่คุณปางยังเป็นเด็กเล็กวิ่งเล่นอยู่ คุณแม่ท่านไม่ค่อยมีเวลาดูแลคุณปางมากนัก จึงได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านเกิดของคุณพ่อในจังหวัดมหาสารคาม
บ้านที่มหาสารคามจะมีอยู่สองหลัง คุณปู่กับคุณย่าท่านจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ส่วนอีกหลังที่ตั้งอยู่เยื้องๆกันจะเป็นหลังใหญ่ซึ่งไม่มีใครอาศัยอยู่ คนที่นั่นเรียกว่าบ้านใหญ่ คุณย่าท่านจึงให้คุณแม่กับคุณปางเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่
ลักษณะของบ้านใหญ่จะเป็นบ้านทรงไทย คล้ายเรือนปั้นหยาทรงสี่เหลี่ยมสีเขียว ทำจากไม้ทั้งหลัง ดูเก่าแก่มีอายุพอสมควร บันไดขึ้นชั้นบนจะอยู่ด้านหลัง ชั้นล่างจะเป็นห้องโถงรับแขกกว้างๆ ห้องน้ำกับห้องเก็บของจะอยู่ส่วนหลังของบ้าน มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ชั้นบนจะมีสี่ห้องนอน แบ่งเป็นสองฝั่ง ตรงกลางจะเป็นโถงทางเดินกว้างๆ สุดทางเดินจะเป็นระเบียงที่ยื่นออกไปนอกตัวบ้านซึ่งมีรอบทั้งหลัง เป็นบ้านที่ดูสวยงามมาก แต่ก็ดูน่ากลัวในขณะเดียวกัน
คุณปางกับคุณแม่จะอาศัยอยู่ในห้องนอนชั้นสองทางฝั่งขวา เมื่ออยู่มาได้สักพัก คุณปางสังเกตได้ว่า มีอยู่ห้องหนึ่งที่อยู่ฝั่งซ้าย จะถูกล็อกแล้วมีโซ่คล้องไว้อยู่ตลอดเวลา ถ้าล๊อกไว้เสียทุกห้อง แล้วเปิดให้เฉพาะห้องที่คุณปางนอนก็พอจะเข้าใจ แต่การที่มีห้องเดียวเท่านั้นที่ถูกหวงแหนเช่นนี้ มันเลยดูน่าสงสัยก็แค่นั้น
และทุกๆวันโกน ในเวลาประมาณหกโมงเย็น คุณปู่ท่านมักจะเดินถือกระทงใบตองเล็กๆเข้าไปในห้องนั้นแล้วปิดประตู สักพักท่านก็จะเดินออกมา ซึ่งตอนนั้นคุณปางยังคงเป็นเด็กเกินไป จะถามตรงๆก็ไม่กล้า เพราะคุณปู่ท่านก็ดุเหลือเกิน ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
และวันนั้นในช่วงกลางดึก คุณปางจะได้ยินเสียงพื้นไม้ลั่น "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด" เป็นเสียงน้ำหนักกดลงบนพื้นไม้ คล้ายกับว่ามีอะไรสักอย่างเดินอยู่บนบ้าน แต่เมื่อลองถามคุณแม่ดู ท่านก็จะทำเป็นไม่สนใจและบอกให้นอนเสีย พอรุ่งเช้าขึ้น ด้วยความสงสัยระคนอยากรู้ คุณปางจึงตื้อถามคุณแม่อีกครั้ง ท่านก็จะบอกแค่ว่าเป็นเสียงไม้ลั่นธรรมดาเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจหรือไปกลัวอะไรมันหรอก แล้วท่านก็เปลี่ยนเรื่องคุย
จนวันหนึ่งในช่วงตะวันตรงหัว ด้วยความสงสัยปนความอยากรู้อยากเห็น คุณปางจึงเดินไปที่หน้าประตูห้องที่ถูกโซ่คล้องไว้ พยายามหารูหาช่องเล็กๆเพื่อที่จะมองลอดเข้าไปด้านใน แต่หาดูจนทั่วก็ไม่พบ ในขณะที่กำลังใช้ความคิดพลางจับโซ่ที่คล้องประตูเล่นไปด้วย
ก็มาฉุดคิดเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าห้องนี้มันมีหน้าต่าง จึงได้วิ่งโร่ไปที่ระเบียงฝั่งเดียวกับห้อง ลักษณะเป็นหน้าต่างไม้ซี่เฉียงๆ เหมือนหน้าต่างของบ้านทรงไทยสมัยก่อนทั่วไป คุณปางรู้สึกตื่นเต้นเหมือนตนเองเป็นผู้ชนะ ว่าแล้วก็เอาหน้าแนบกับหน้าต่างไม้แล้วสอดส่องสายตาเข้าไปด้านใน
สิ่งแรกที่เห็นคือโต๊ะเครื่องแป้งเก่าแก่ฝุ่นจับหนาเตอะ ถัดไปทางซ้ายจะมีกระจกบานใหญ่สีขุ่นคลักแทบมองไม่ได้ วางตั้งอยู่กับพื้นในลักษณะพิงผนังห้อง ถัดไปอีกจะเป็นเตียงไม้หลังใหญ่ที่ยังไม่ได้ม้อนผ้าปูที่นอนเก็บ คล้ายกับว่ามันกำลังรอเจ้าของกลับมาใช้มันอีกครั้ง
อีกฝั่งของเตียงจะมีเก้าอี้หวายอยู่ตัวหนึ่ง แต่สิ่งที่สะกิดใจของคุณปางก็คือ ผ้าม้วนใหญ่สีขาวมอซอเท่าตัวคน ที่มันวางพิงอยู่บนเก้าอี้หวาย ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อลองเลื่อนระดับสายตาให้ต่ำลงมา ก็พบว่ามีกระทงใบตองที่คุณปู่มักจะถือติดมือเข้ามาในห้องนี้ วางอยู่ข้างๆเก้าอี้หวาย
คุณปางเพ่งมองอยู่นานก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จึงคิดว่าเลิกสนใจมันจะดีกว่า เสียเวลาวิ่งเล่นไปสะเปล่าๆปลี้ๆ คิดว่าจะมีขุมทรัพย์หรืออะไรที่มันน่าตื่นเต้นเทือกนี้เสียอีก
และในจังหวะที่คุณปางเบือนหน้าออกมาจากห้อง มันคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างมันขยับ ทำให้คุณปางต้องหันกลับมาเพ่งมองภายในห้องอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าอะไรหรือสิ่งใดในห้องกันแน่ที่มันขยับ ในใจยังคิดสงสัยใคร่รู้ ในขณะที่กลอกสายตาไปมาเพื่อหาสิ่งผิดปกติ แต่ก็ไม่พบสิ่งใด จึงจำเป็นต้องเก็บความสงสัยนี้ไว้เสียก่อน
ประมาณหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง คุณแม่ได้ไปร่วมงานฌาปนกิจของคนในหมู่บ้าน โดยบอกแค่ว่าดึกๆถึงจะกลับ คุณปางจึงต้องนอนเล่นคนเดียวในบ้านไปก่อน เวลาประมาณสี่ทุ่มเศษๆ คุณปางเปิดไฟสว่างโร่นอนคลุมโปงอยู่บนเตียงไม้ เพราะเป็นครั้งแรกที่อยู่ในบ้านหลังนี้แค่คนเดียวในยามวิกาล
ดวงจันทร์มันไม่ได้นำพาแค่ความมืดมาเยือนเท่านั้น มันยังพาความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกด้วย ไม่มีเสียงเอะอะมะเทิ่งของขี้เมาบ้านข้างๆ ที่ชอบตั้งวงกันได้สะทุกวัน คงเป็นเพราะย้ายไปตั้งวงกันในงานเสียหมด แม้แต่ไอ้ตูบที่ชอบมาเห่าหอนอยู่หน้าบ้าน สร้างความรำคาญให้ได้ทุกวี่ทุกวัน แต่วันนี้มันกลับเงียบหายไปเสียเฉยๆ
ได้ยินเพียงแค่เสียงเดินของนาฬิกาเจ้าคุณปู่เรือนใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในโถงทางเดินหน้าห้อง ร้องเตือนบอกเวลาเป็นวินาที คุณปางนอนฟังเสียงเข็มนาฬิกาเลื่อนดังแคร็กๆแล้วก็เพลินดีจนเคลิ้มหลับ
มาตื่นเต็มตาก็เพราะเสียงที่คุ้นเคยแว่วมาเบา "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด" เสียงที่คุณแม่บอกว่าเป็นเพราะไม้ลั่น แต่คุณปางไม่ปักใจเชื่อนัก จะมีสักกี่บ้านกี่เรือนกัน ที่ไม้จะลั่นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเช่นนี้ และมันดังอยู่แถวๆโถงทางเดินหน้าห้องนี้เอง มีเพียงแค่ผนังบางๆกั้นเท่านั้น
คุณปางในสมัยนั้นที่ยังเป็นเด็ก จินตนาการไปต่างๆนาๆ ว่าอะไรกันนะที่มันเดินอยู่ด้านนอกนั่น แม้จะหวาดกลัวจนตัวสั่นสยองขวัญจนฉี่เล็ด แต่ความอยากรู้อยากเห็นมักต้องเอาชนะได้เสมอ คุณปางค่อยๆก้าวลงจากเตียงให้เบาที่สุด นิ่งที่สุด กลัวเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงไม้มันจะลั่นดังออกไปข้างนอก จนอะไรบางอย่างที่เดินอยู่หน้าห้องได้ยินเข้า ค่อยๆก้มหน้าแนบลงไปกับช่องใต้ประตูไม้แกะสลักลายวิจิตร แล้วมองออกไปนอกห้อง
บนพื้นไม้ขัดเงาสีดำเลื่อม คุณปางเห็นเข้ากับขาคู่หนึ่ง ยืนอยู่หน้าห้องที่ถูกโซ้คล้องเอาไว้ ลักษณะขาขาวซีดเรียวเล็ก ให้เดาคงเป็นขาของหญิงสาวมากกว่าจะเป็นของชายฉกรรจ์ เธอยืนหันออกไปทางระเบียง
ในใจคิดว่าจะใช่คุณแม่หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นท่านจริง ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงตอนที่ท่านเดินขึ้นบันได ขนาดตัวเราเองที่หนักไม่ถึงสี่สิบดี เหยียบลงบนขั้นบันไดไม้ทียังลั่นเอี๊ยดอ๊าดไปทั้งหลัง บ้านไม้หลังเก่าแก่มีอายุมันก็ต้องเป็นธรรมดาของมัน
ในระหว่างที่คุณปางกำลังเพ่งมองด้วยความสงสัย ขาปริศนาคู่นั้นค่อยๆก้าวหันตรงมาทางคุณปางอย่างเชื่องช้า และตามมาด้วยเสียงลั่นแอ๊ดเบาๆ คุณปางมองดูด้วยความฉงนสนเท่ห์ แต่ก็ต้องตกใจจนผวาสุดขีด เพราะเท้าคู่นั้นมันวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางคุณปางทันที โดยที่ไม่ทันให้ตั้งตัว เสียงส้นเท้าสับลงบนพื้นไม้ขัดมันดังลั่นบ้าน "ตึ้งๆๆๆๆๆ!!"
คุณปางผงะดีดตัวออกห่างจากประตูทันที เผลอร้องตะโกนเพราะความตกใจ กระโดดขึ้นเตียงดึงผ้าห่มคลุมโปง นอนเหงื่อแตกร้องไห้เรียกหาคุณแม่อยู่ใต้ผ้าห่ม
จนเวลาผ่านไปสักพัก เริ่มคลายความกลัวลงมาได้บ้าง แต่ไม่วายยังคลุมโปงเหงื่อแตกตัวสั่นอยู่อย่างนั้น เพราะภาพที่เห็นมันติดตาจนจำฝังใจ และในขณะนั้นเอง หูก็ได้ยิงเสียงอะไรสักอย่างแปลกๆ ทำให้คุณปางต้องชะงักแล้วตั้งใจฟัง
"อึออ่าอ่ออู้ไอ้อ้า..ไอ้อัออูเอาอึออา" เสียงมันดังอยู่หน้าประตู คล้ายกับผู้หญิงที่เอามือปิดปากตัวเองแล้วพยายามพูด จนไม่สามารถจับใจความอะไรได้ คุณปางได้แต่เอามือปิดหูหลับตาปี๋ ตัวสั่นเหมือนคนจับไข้ นอนภาวนาขอให้ใครสักคน จะเป็นใครก็ได้ รีบเข้ามาช่วยทีเถอะ
จนสักพัก ก็ได้ยินเสียงประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงขั้นบันไดไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าด จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง "ปาง!! ปาง" เสียงที่ได้ยินทำให้คุณปางรู้สึกเหมือนตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายยังไงยังงั้น รีบขานตอบทันที "ครับปู่!!" แล้วรีบกระโดดลงจากเตียงไปเปิดประตู
เห็นชายชราผมหงอกร่างผอมแห้งยืนทำหน้าบึ่งตึงอยู่หน้าห้อง "แม่ไปไหน!" คุณปางจึงรีบตอบทันที ลืมสิ่งที่คุณแม่เตี้ยมไว้ตอนเย็นเสียสนิท "แม่ไปเล่นไพ่ที่งานครับ" เมื่อคุณปู่ท่านได้ยินเช่นนั้นจึงบ่นงึมงำอยู่ในลำคอ แล้วพูดออกมาเสียงดังว่า "ไปๆ ไปนอนกับปู่" พูดจบท่านก็เดินลงบันได ไล่ปิดไฟให้หมดทุกดวงแล้วออกจากบ้าน คุณปางก็เดินตามท่านไปติดๆ
ในขณะที่ท่านกำลังจะปิดประตูใหญ่หน้าบ้าน ท่านยั้งมือไว้ประมาณหนึ่ง บานประตูแง้มประมาณหนึ่งคืบ ท่านมองเข้าไปยังความมืดมิดในตัวบ้าน แล้วพูดออกมาเบาๆว่า "ดูบ้านด้วยนะ" จากนั้นท่านก็ปิดประตูจนสนิท หันมาจูงมือคุณปางไปยังบ้านอีกหลัง การกระทำของท่านเมื่อครู่ สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับคุณปางอย่างมาก หลังจากนั้น คุณปู่ท่านก็ให้คุณแม่กับคุณปางย้ายมาอาศัยอยู่ในบ้านเล็กกับทุกคน แล้วกำชับเป็นเด็ดขาดห้ามคุณปางเข้าใกล้บ้านใหญ่
หนึ่งปีให้หลัง ช่วงตะวันเพิ่งจะโผล่พันหลังคาเรือนได้ไม่นานนัก ผู้ใหญ่บ้านได้ประกาศผ่านโทรโข่งชุมชน เรียกให้ชาวบ้านมาชุมนุมกันที่ว่าการของหมู่บ้าน เนื่องจากมีขโมยปีนเข้าไปในบ้านใหญ่ของคุณปู่เมื่อคืนที่ผ่านมา
ทราบเรื่องเพราะรุ่งเช้าของวันนั้น หลวงพ่อท่านให้เด็กวัดมาแจ้งกับผู้ใหญ่บ้านว่า หลังจากที่ท่านตื่น ท่านก็ได้เข้าไปทำความสะอาดในโบสถ์เหมือนทุกเช้า แต่เช้านี้ ท่านพบเห็นวัยรุ่นคนหนึ่ง นั่งคุเข่าพนมมืออยู่หน้าพระประธาน ตัวสั่นงั้นงก ดูคล้ายคนเสียสติ ปากพึมพำแต่ว่า "นะโมตัสสะๆ" ซ้ำไปซ้ำมา
ครู่ต่อมาก็มีเด็กวัดวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกกับท่านว่า เจอคนนอนตายอยู่หน้าประตูวัดสองคน ท่านจึงรีบรุดไปดู พบว่าเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับไอ้หนุ่มที่นั่งตัวสั่นอยู่ในโบสถ์ ลูกกะตาเบิกโพรง อ้าปากค้างเหมือนตกใจสุดขีด ตามเนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำเหมือนถูกลุมกระทืบ
ท่านจึงได้ให้เด็กวัดไปตามผู้ใหญ่บ้าน เมื่อผู้ใหญ่บ้านมาถึงก็ได้เข้าไปซักถามเจ้าหนุ่มที่นั่งตัวสั่นอยู่ในโบสถ์ทันที ถึงจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ยังพอจับใจความได้ว่า ตนเองกับพวกอีกสองคนนั่งกินเหล้ากันอยู่ที่บ้าน
แต่เหล้าเกิดหมดแล้วยังติดลมอยากต่อ เพราะฤทธิ์ของยาดอง จึงได้ชวนกันเข้าไปในบ้านใหญ่ เพราะเห็นว่าไม่มีคนอยู่นาน โดยงัดเข้าทางประตูหลังบ้าน เมื่อเข้าไปในตัวบ้านได้แล้ว ทั้งสามได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ชั้นบน
จึงคิดจะขึ้นไปจับมามัดมือมัดปากไว้เสียก่อน สามสิงห์พากันย่องขึ้นไปบนชั้นสอง ก็เจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง เธอคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกว่า "พวกจะมาเอาอะไรกัน!!"
ลักษณะผมยาวดัดลอน ใส่เสื้อคอกระเช้า ดวงตากลมโต แต่สิ่งที่ทำให้สามสิงห์หวาดกลัวจนต้องหนีกระเจิงออกจากบ้านก็คือ ลิ้นของเธอโผล่ออกมาจุกปาก คล้ายกับคนที่ขาดอากาศหายใจตาย
ทั้งสามวิ่งหนีตายไปทางวัด แต่ก็พบว่าประตูทางเข้าวัดถูกปิดสนิทไปเสียแล้ว ตนเองจึงกระโดดสุดแรงที่มี เกาะกำแพงวัดแล้วปีนข้ามเข้าไป ตรงดิ่งไปทางโบสถ์ทันที จังหวะนั้น หูก็ได้ยินเสียงเพื่อนทั้งสองร้องด้วยความหวาดกลัวสุดขีดอยู่หน้าประตูวัด แต่ตนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง วิ่งพรวดพราดเข้าไปคุเข่าอยู่ต่อหน้าพระประธานในโบสถ์
เมื่อเหตุการณ์นี้จบลง ทำให้คุณปางกลับมาสงสัยในบ้านหลังนี้อีกครั้ง พยายามซักไซ้ทุกคนแต่ก็ไม่ได้คำตอบอีกเช่นเคย จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร คุณปู่ท่านก็ได้เสียชีวิตลงที่บ้านใหญ่ พวกผู้ใหญ่จึงได้ทำการรื้อบ้านใหญ่เสีย ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบได้
และก็ได้สร้างความแปลกใจให้กับคุณปางอีกเช่นเคย เพราะเพิ่งเคยเห็นการรื้อบ้านเป็นครั้งแรก มีการนิมนต์พระมานั่งสวดกลางแจ้งที่หน้าบ้านอยู่เก้ารูป มีสายสิญจน์พันระโยงระยางรอบบ้าน
จนคุณปางได้เห็นสิ่งที่อยู่ในผ้าม้วนเก่าๆม้วนนั้น เมื่อพวกผู้ใหญ่ค่อยๆช่วยกันเปิดออก ปรากฏว่าเป็นโครงกระดูกของคน มีครบตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างไม่ใหญ่เท่าใดนัก สุดท้าย คุณย่าจึงได้ยอมเล่าให้คุณปางฟังว่า ร่างนั้นคือน้องสาวของคุณปู่
เมื่อวัยเยาว์แกเป็นคนชอบหมอลำเป็นชีวิตจิตใจ พอโตขึ้นมาก็อยากเป็นหมอลำเข้าจริงๆ แต่ถูกทางบ้านห้ามปราม จึงเกิดความน้อยอกน้อยใจ ปีนขึ้นไปผูกคอตายบนขื่อใต้ห้องนอนของตนเอง
และในสมัยโบราณ เมื่อมีคนตายโหง มักจะใช้วิธีฝังเอาเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วจึงจะขุดกระดูกขึ้นมาเผา แต่เมื่อครั้งตอนที่ขุดกระดูกขึ้นมาเพื่อจะนำไปฌาปนกิจตามพิธี คุณปู่ท่านได้ลักเปลี่ยนกระดูกของน้องสาวเอาไว้ แล้วเอากระดูกอย่างอื่นไปเผาแทน แล้วนำโครงกระดูกน้องสาวของตนเองไปวางไว้บนเก้าอี้หวายในห้อง
คุณย่าเล่าเสริมขึ้นอีกว่า ในตอนที่นำร่างไร้วิญญาณของน้องสาวคุณปู่ลงไว้ในหลุม คุณปู่ท่านได้นำตะปูห้านิ้วดอกสีดำ ตอกลงไปบนหน้าอกน้องสาวของตนเอง ท่านว่าเพื่อเป็นการสะกดวิญญาณเอาไว้ก่อน
และหลังจากที่รื้อบ้านเสร็จสิ้น ก็ได้ทำพิธีฌาปนกิจศพน้องสาวของคุณปู่ต่อ โดยเผาไปพร้อมกับของทุกอย่างที่อยู่ในห้องนอน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
เล่าโดย : คุณปาง
สมิงที่บ่อพลอย
"สมิงที่บ่อพลอย" จากสมาชิกพันทิปที่มีชื่อว่า คนอ่านผี เล่าโดยคุณ ธกร คนชอบเล่า เล่าถึง เมื่อครั้งกึ่งพุทธกาล และป่าดงดิบเมืองกาญจนบุรี การผจญภัยและเสือสมิง ต้องขอขอบคุณ ธกร คนชอบเล่า และคนอ่านผี สำหรับเรื่องราวดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เป็นเรื่องราวของคุณอาร์ต ที่ได้กรุณานำมาถ่ายทอดให้อีกที เรื่องราวมีอยู่ว่า
เมื่อครั้งกึ่งพุทธกาล เรื่องราวของเสือสมิงที่บ่อพลอย ก็ถือได้ว่าเป็นอาถรรพ์ป่าดงดิบอันน่าสยดสยอง ที่ชาวบ้านโจษจันกันมาถึงลาดหญ้า และแพร่หลายไปยังตัวเมืองกาญจนบุรี ขณะนั้น แม้ว่าจะเป็นกิ่งอำเภอแล้ว แต่บ่อพลอยก็ยังค่อนข้างจะทุรกันดารนัก
จากลาดหญ้าเข้าไปก็มีแต่ป่าดง หนทางคดเคี้ยว วกวนเวียนไปมาตามธรรมชาติ มีแต่รถซุงแล่นผ่านไปมา มีชุมเผาถ่านเป็นระยะๆ ลึกเข้าไปก็มีชุมตัดไม้และทำไร่เลื่อนลอย ปลูกกระท่อมอยู่ห่างๆกันแค่สองสามหลัง เสือและช้างยังเป็นเจ้าถิ่น วันดีคืนดี เจ้าจมูกยาวก็บุกเข้าไปทำลายกระท่อมราบเป็นหน้ากลอง
ใครจะเข้าบ่อพลอยต้องแยกจากเส้นทางรถซุง แล้วย่ำป่าไปเกือบสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงปากทาง เห็นถนนลูกรังสีแดงเส้นเดียวตัดตรง ซ้ายมือเป็นหมู่บ้านและห้องแถวที่เขรอะฝุ่นกับร้านค้า ขวามือเป็นที่ทำการของหลวง มีบ้านพักกระจายอยู่ราวสี่ห้าหลัง มีรถกระบะขนของกินของใช้จากจังหวัดมาส่งที่นั่นอาทิตย์ละสองครั้ง คือวันจันทร์กับวันพฤหัสบดี วันนั้นก็จะมีโอเลี้ยงกาแฟเย็นชาเย็นกินกัน เพราะมีน้ำแข็งเข้ามาส่งด้วย
วันไหนมีการฆ่าหมู ซึงต้องเสียค่าอาชญาบัตรห้าสิบบาท ไม่ว่าจะเป็นพวกกะเหรี่ยงบนเขาหรือบ้านไหนก็ตาม ชาวบ้านที่รู้ข่าวตั้งแต่เมื่อวาน จะเดินบ้างขี่จักรยานบ้าง มาซื้อหมูถึงที่นี่แต่เช้า ตกสายก็ขายหมดเกลี้ยง ไม่ว่าเครื่องในหมูหรือแม้แต่เลือดหมู และวันนั้นที่ร้านกาแฟ ก็จะมีก๋วยเตี๋ยวหมูขาย
บ่อพลอยแวดล้อมไปด้วยขุนเขาลำเนาไพร ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็แบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์ตีผึ้งหาสมุนไพร โดยเฉพาะหน่อไม้ ถือว่าเป็นอาหารสำคัญ เพราะจะมีหน่อไม้ลวกต้มใบหญ้านางหาบขาย พอๆกับน้ำขาว ไม่มีอะไรก็เอาหน่อไม้จิ้มเต้าเจี้ยวกินกับข้าวได้ทั้งบ้าน มีน้ำพริกผักสดผักต้ม แถมด้วยเนื้อเค็มปลาเค็ม และมีแกงส้มสักหม้อก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว
แล้วจู่ๆ ก็เกิดมีข่าวใหญ่ว่าไอ้ลายขนาดแปดศอก มาคาบชาวบ้านที่เข้าป่าไปกินสองคน คนแรกก็ยังพอว่า แต่เมื่อตามไปเจอซากศพคนต่อมา มีปืนแก๊ปตกอยู่ใกล้ซากที่แทบจะเหลือแต่โครงกระดูก ก็ร่ำลือไปต่างๆนาๆว่าเป็นเสือเจ้าบ้าง เสือสมิงยิงไม่อยู่บ้าง จนถึงกับบอกกันว่ามันคงเป็นเสือลำบาก ล่าคนง่ายกว่าล่าสัตว์อื่น
บางคนก็เชื่อว่ามันได้ลิ้มเนื้อมนุษย์แล้วเกิดติดใจ ใครเข้าป่าต้องระวังเงาหัวให้ดีๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าป่าจะมาดักซุ่มอยู่ที่ไหน ถ้าไม่รู้ตัวมัวแต่ตกใจ ได้ยินเสียงโฮกเข้าใส่ มีหวังมืออ่อนตีนอ่อน โดนมันขย้ำคอหอยลากไปกินเอาง่ายๆ
ปัญหาอยู่ที่ว่า เสือโคร่งตัวนี้มันมาจากไหน บ้างก็ว่ามาจากศรีสวัสดิ์ บางก็ว่ามาจากเขตอุทัยกับทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะได้ข่าวว่ามีพรานป่ากับพรานกรุงเข้าไปล่าสัตว์กันคึกคัก พวกเสือช้างกวางเก้งก็เตลิดหนีตาย กระจัดกระจายมาถึงป่าบ่อพลอย
ชาวบ้านแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน เมื่อได้ข่าวว่า มีคนเห็นมันมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆบ้าน ทิ้งรอยตีนขนาดชามคมไว้เขย่าขวัญ ค่ำคืนได้ยินเสียงร้องมาจากป่าดง ฟังแล้วสยองใจ ประหนึ่งมันร้องอยู่หน้าบ้านก็ปานกัน
มีการจัดคณะล่าเสือกินคนขึ้นมา ตาแก่นพรานใหญ่เป็นหัวหน้า เจ้ากิ่งกับเจ้าดั่นอาสาตามไปล่าเสือด้วย คิดว่าได้การแน่เพราะเพิ่งได้ข่าวว่า มันลงมากินน้ำที่หนองเบี้ยเมื่อคืนก่อนนี้เอง
ขณะที่กำลังตระเตรียมกันอยู่นั้น สาวเดือนวัยสิบเจ็ดปี ออกไปหาหน่อไม้ใกล้ๆบ้าน ก็โดนไอ้ลายลากไปกินแล้ว ชาวบ้านได้ยินเสียงหวีดร้องรีบเข้าไปช่วย แต่ก็พบแค่กองเลือดเท่านั้น เจ้าดั่นแทบคลั่งใจตาย เพราะสาวเดือนเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของมันเอง
"รีบไปกันเถอะ น้าแก่น ไอ้กิ่ง ถ้ายิงมันไม่อยู่ ข้าสาบานว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ่อพลอยอีกเด็ดขาด" เป็นอันว่าคนทั้งสาม หอบหิ้วปืนผาหน้าไม้กับเสบียงกรังพอสมควร เข้าป่าในวันรุ่งขึ้น มั่นอกมั่นใจว่า เสือกินคนยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นอย่างแน่นอน คืนแรกเท่านั้น พรานทั้งสามก็เจอดีเข้าอย่างจัง
ป่าเปลี่ยวมืดดำล้อมรอบกาย มีแต่กองไฟพอกันหนาวกับป้องกันภัย เจ้าดั่นเพิ่งรับยามต่อจากเจ้ากิ่ง ผู้เข้านอนห่มผ้าอยู่ข้างๆพรานแก่นใต้ร่มว่า รุนฟืนเข้ากองไฟจนลุกโพลงเสียงดัง "เปรี๊ยะๆ!!" เจ้าดั่นวางปืนไว้ข้างตัว แล้วมวนยาสูบแก้รำคาญ
ลมดึกคร่ำครวญ วู่หวิวมาตามยอดไม้ เสียงเก้งร้องเป๊บดังขึ้นใกล้ๆ เสียงคล้ายผู้หญิงร้องเพลงก็ดังแทรกขึ้นมา สะกดความรู้สึกให้พร่ามึน ประหนึ่งต้องมนต์สะกด มองหาว่าใครกล้ามาร้องเพลงในป่าดงยามนี้
ก็พอดี มองเห็นเต็มตา สาวชาวป่าผมยาวร่างอ้อนแอ้น เดินลุยนาดเข้ามา แต่เมื่อเปลวไฟฮือโหมตามแรงลมเข้าไปหาก็ชะงัก ยกแขนป้องกันไอร้อนและควันไฟ เจ้าดั่นจ้องมองพลางร้องถามไปว่า "ใคร!"
สาวนั้นลดมือลงยิ้มหวานหน้าแดงระเรื่อ ด้วยแสงไฟเต้นวูบวาบเห็นถนัดตา "เดือน!!" เจ้าดั่นลุกพรวดพราดขึ้นยืน "เอ็งยังไม่ตาย!!" สาวเจ้าส่ายหน้า พลางกวักมือเรียกญาติผู้พี่เข้าไปหา เจ้าดั่นก็รีบถลาไปด้วยความดีใจ ลืมปืนคู่มือเสียสนิทสนม
พรานแก่นหูตาไวตามวิสัยพราน ก็ลุกขึ้นมา มองเห็นภาพตรงหน้าก็ร้องลั่น "ไอ้ดั่น อย่าไปนะ!!" แต่ช้าไปแล้ว เจ้ากิ่งลุกขึ้นมาร้องเอะอะ พร้อมๆกับเสียงเจ้าป่าคำรามลั่น ตามด้วยเสียงตะโกนด่าบ้าคลั่ง ชุลมุนวุ่นวาย ดูสับสนอยู่ในแสงไฟวูบวาบไปมา ตามแรงลมไม่หยุดหย่อน
พรานแก่นกับเจ้ากิ่งคว้าปืนขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะออกวิ่งตาม เจ้าดั่นก็โซซัดโซเซกลับเข้ามา เลือดเปรอะหน้ากับท่อนแขน ในมือยังกุมมีดด้ามยาวเอาไว้แน่น "ผีนางเดือน" มันคราง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหงาย หายใจระรวย
"ข้านึกว่าคน ที่ไหนได้ล่ะ พอเข้าใกล้กลายเป็นไอ้ลายโฮกเข้าใส่ เกิดมายังไม่เคยเห็นไอ้ลายที่ไหนจะใหญ่เหมือนวัวเหมือนควายขนาดนี้ โอ้ยยย ถ้าไม่ได้มีดเล่มนี้ช่วยไว้ ข้าคงไม่รอดแน่ๆ" ตาแก่นปราดเข้าดูแผลด้วยความห่วงใย เห็นว่าไม่หนักหนาอะไรก็ให้มันนอนพัก แกรับอาสาเฝ้ายามไปจนแจ้ง
รุ่งขึ้น เจ้าดั่นยิ่งนิ่วหน้า ขบกรามคำรามเบาๆอยู่ในคอไม่หายแค้นเคือง เจ้ากิ่งหุงข้าวกิน และก็ออกติดตามรอยเสือที่ย่ำเป็นเทือกอยู่ไม่ไกลนัก ครั้นตกสาย พรานแก่นก็ชี้ให้ดูรอยใหม่ กระซิบกระซาบว่าให้เตรียมตัว เสือสมิงคงจะอยู่ใกล้ๆนี่เอง
แต่เลยเที่ยงแล้วก็ยังไม่มีวี่แววอะไรเลย รอยตีนมหึมานำหน้าให้ออกตามนั้น ดูวนไปวนมา ราวกับเสือเจ้าเล่ห์จะวางกับดัก หรือเป็นฝ่ายหาโอกาสล่าพรานเอาเสียเอง แล้วรอยตีนนั้นก็หายไปที่ลำธารตื้นๆ ไหลรินลับหายไปในซุ้มไผ่ที่โน้มลงมาหากันทั้งสองฝั่ง ราวกับจะบดบังความลี้ลับของป่าดงอาถรรพ์ไว้อย่างมิดชิดตลอดกาล
เจ้ากิ่งลุยน้ำข้ามฝากไปสำรวจดูครู่หนึ่ง แล้วก็กลับมาส่ายหน้า พรานแก่นเกาหัวอย่างอัศจรรย์ใจ แต่เจ้าดั่นเงยหน้า เหลียวซ้ายแลขวา เงี่ยหูฟังเสียงผิดปกติ นอกจากเสียงน้ำเซาะแก่งหิน ครั้นแล้วก็บุ้ยปากไปทางขวา
เห็นอ้อยช้างยืนต้นแผ่กิ่งใบร่มครึ้ม ไม่ห่างจากซุ้มกอไผ่นั้นนัก เสือสมิงเจ้าเล่ห์ลงลุยน้ำไปและย้อนมาขึ้นฝั่งเดิม ด้วยผีสิงเข้าดลใจมัน พรานแก่นพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ กระชับปืนเตรียมพร้อม แยกย้ายกันเข้าหาเสือร้ายที่อาจจะซุ่มซ่อน หาโอกาศกระโจนเข้าใส่ได้ทุกขณะจิต
เจ้าดั่นลับตาไปแล้ว ป่าทั้งป่าเงียบงัน พรานแก่นแทบกลั้นหายใจ จ้องเป๋งไปที่ซุ้มไม้รกทึบใกล้ต้นอ้อยช้าง สะดุดผางจนหัวคะมำ เจ้าดั่นถลันออกมาเต็มตัว พรานแก่นตั้งหลักได้ก็ประทับปืนเข้ากับบ่าเหนี่ยวไก "ตูม!!"
"หน้าแก่น!!" เจ้ากิ่งตามมาร้องเสียงลั่น "ยิงผิดแล้ว นั่นมันไอ้ดั่น!!" พร้อมๆกันนั้น ก็มีเสียงคำรามเหมือนฟ้าผ่า เจ้ากิ่งยืนตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเจ้าดั่นกระเด็นไป เสือโคร่งตัวมหึมาโฮกสนั่นกระโจนเข้าใส่ พรานแก่นซัดตูมเข้าอีกนัด ร่างนั้นก็หล่นลงมาสิ้นฤทธิ์
เจ้ากิ่งหน้าซีดเข้าอ่อนคล้ายจะเป็นลม "น้าแก่นยิงไอ้ดั่น! แล้วไอ้ดั่นกลายเป็นเสือจะขย้ำเราตาย! น้าแก่นรู้ได้ยังไงว่ามันไม่ใช่ไอ้ดั่น" พรานแก่นยกหลังมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก บุ้ยปากไปที่โคนไม้ใหญ่ก่อนถอนใจ
"ถ้าไม่สะดุดไอ้นั่นสะก่อน ข้าคงจะโดนเสือสมิงขบหัวตายโหงไปแล้ว" เจ้ากิ่งก้มลงมอง ร้องเสียงหลงก่อนที่จะล้มตัวลงนั่งอย่างสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อเห็นซากศพของเจ้าดั่นถูกกัดกินเหวอะหวะ หน้าท้องถูกฉีกกระชาก เลือดแดงเถือก มดคันไฟยั้วเยี้ยกับแมลงวันตอมหึ่ง
นี่ก็คือเรื่องราวของเสือสมิงที่บ่อพลอย ที่กลายเป็นตำนานตั้งแต่นั้นสืบมา และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
เล่าโดย : ธกร คนชอบเล่า
30 ส.ค. 2562
สวัสดี(ผี)ใหม่
"สวัสดี(ผี)ใหม่" เรื่องราวหลอนๆจากพันทิปโดยเจ้าชายนักเล่าคุณ ลอยชาย ที่มีผลงานมากมายในพันทิปและมีคนติดตามฟังเรื่องของเขามากมาย เรื่องของเขายังมีข้อคิดดีๆเสมอและยังสุดสยอง ขอขอบคุณ คุณลอยชาย ที่นำเรื่องสยองดีมาให้ทุกท่านได้เสพความสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ตอนแรกกำลังคิดว่าช่วงปีใหม่อยากจะเขียนเรื่องเล่าสักเรื่องหนึ่ง แต่แล้วชีวิตก็วุ่นวายจนเลยวันข้ามปีมาพอสมควร แต่สุดท้ายก็จัดสรรเวลาให้ลงตัวจนได้ในที่สุด รู้สึกผิดกับตัวเองเหมือนกันที่ครึ่งปีหลังมานี้ชีวิตของผมไม่ค่อยจะเป็นไปตามแพลนนัก มักจะมีเหตุด่วนให้เข้ามาจนตารางต้องเลื่อนไปหมดอยู่ตลอด หวังว่าปีนี้มันจะไม่เป็นอย่างนั้นและสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้ราบรื่นกว่านี้
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ช่วงประมาณกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นั่นก็คือช่วงที่ตัดสินใจว่าจะเขียนเรื่องเล่าสักเรื่องหนึ่งเพื่อส่งท้ายปี ตอนนั้นผมเองยังคิดไม่ออกว่าจะหยิบเรื่องไหนจากหลายๆ เรื่องขึ้นมาเล่าดี
คืนหนึ่งที่ผมกำลังนอนหลับอยู่ในหอพักตามปกติ โดยทั่วไปแล้วผมมักจะหลับสนิทตลอดคืน น้อยครั้งมากที่จะตื่นมาเข้าห้องน้ำหรือรู้สึกหิวน้ำระหว่างคืน เวลาสักประมาณตี 4 หรือ ตี5 ไม่แน่ใจผมค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมา
ทั่วทั้งห้องยังมืดสนิทเพราะไฟเพดานยังปิดอยู่ และแสงแรกของวันก็คงยังไม่มาเยือนเช่นกัน และนั่นหมายถึงมันยังไม่ถึงเวลาตื่นนอนเพื่อไปทำงานตามปกติที่ผมมักจะตื่นประมาณ 7 โมงเช้า
ผมขยับตัวไปมาพยายามจะนอนต่อเพราะไม่ได้รู้สึกว่าหิวน้ำหรือยากเข้าห้องน้ำแต่อย่างใด บรรยากาศในวันนั้นเย็นกว่าปกติ ผมพยายามพลิกตัวไป หยิบรีโมตแอร์คิดว่าจะปิดเพื่อลดความหนาว
ติ๊ด
เสียงสัญญาณจากเครื่องปรับอากาศดังหลังจากที่ผมหลับตาลงแล้ว ก่อนที่จะหลับไปอีกครั้งผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะแทนที่เครื่องปรับอากาศจะเงียบลงหลังจากหยุดการทำงาน แต่กลายเป็นว่ามันเริ่มกลับมาดังอีกครั้งหลังจากเสียงสัญญาณ
ด้วยความสะลึมสะลือที่มีทำให้ผมไม่ทันได้สังเกตว่าเครื่องปรับอากาศมันปิดอยู่แล้วจากการตั้งเวลาที่ผมทำเองกับมือก่อนนอนในทุกๆ คืน
เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเสียงดังในช่วงแรกก่อนที่จะเงียบลงและทำงานเข้าที่ ผมไม่ได้ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น ผมกดปุ่มที่รีโมตอีกครั้งเพื่อปิดมัน เพราะรู้สึกว่าหนาวแล้ว
ไม่ถึงนาทีถัดมาผมก็ได้ยินเสียงที่ไม่คาดคิดเพิ่มขึ้นมาอีกเสียงหนึ่ง มันเป็นเสียงของฝนที่ตกลงกระทบกับปูนและกระเบื้องของหอพัก เสียงของมันดังน่าฟังเหมือนกับทุกที
‘หนาวฝนนี่เอง’
ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้นแล้วตัดสินใจจะนอนต่ออีกสองชั่วโมง ก่อนจะต้องกลับไปต่อสู้กับงานประจำที่รออยู่ในวันนี้
แปลก ผมยังง่วง ผมรู้ดี หนังตายังหนักและล้า แต่ก็ดูจะยังไม่สามารถหลับลงได้ในเวลานี้ เหมือนถูกปลุกให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
ผมขยับตัวอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนท่าให้นอนสบาย ผมหันกลับมาที่อีกมุมห้องหนึ่งซึ่งเป็นประตูระเบียง
ประตูระเบียงห้องของผมนั้นเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสีดำแต่ไม่ได้ทึบมาก ถ้าข้างนอกมีแสงสว่างก็จะมองออกไปได้ชัดเจน
เสียงฝนที่ตกกระทบพื้นระเบียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ดังจนรู้สึกเหมือนไม่มีแผ่นกระจกกั้นอยู่อีก ด้วยความสงสัยปนรำคาญผมจึงค่อยๆ ลืมตามามองวิวข้างนอกอีกครั้ง
ฟ้าในยามนั้นยังมืดอยู่เหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา แต่เสาไฟที่จอดรถก็สว่างพอที่จะทำให้มองเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ลางๆ
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมต้องเบิกตากว้างพร้อมขนที่ลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว
แสงสลัวจากลานจอดรถสะท้อนเข้ามายังระเบียงห้องส่องให้เห็นเงาดำขมุกขมัวที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างที่เคยคุ้น ศาลปูนเสาเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ว่างข้างราวตากผ้าอันเล็กๆ แม้ไม่เห็นรายละเอียดแต่แต่เพียงโครงร่างของมันผมก็แน่ใจได้อย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร
ศาลเสาเดี่ยวนั้นไม่ได้วูบวาบหรือสะท้อนแสงไฟ มันเป็นเพียงเงาดำไร้รายละเอียดคล้ายภาพของเงาที่สะท้อนลงบนกำแพงบ้านท่ะบเห็นได้ทั่วไป ที่ข้างๆ กันนั้นเริ่มมีกลุ่มเงาดำก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นรูปร่าง
ที่ตรงนั้นปรากฏเงาร่างของหญิงสาวที่ผมเกือบจะลืมเธอไปแล้ว เธอนั่งคุดคู้อยู่ในท่าทางเหมือนในวันที่เราได้พบกัน เธอนั่งกอดเข่าชิดหน้าอกดูน่าอึดอัด คอที่กดต่ำลง ใบหน้าซุกอยู่ในช่องว่างระหว่างเข่าแต่ดวงตานั้นเหลือก เหลือบจ้องมองมาที่ผมอย่างต้องการจะบอกอะไร
ทันทีที่ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจ สติของเราจะถูกเรียกให้กลับมาเพื่อเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะเข้ามาปะทะ สติที่กลับมาเกิดขึ้นพร้อมๆ กับภาพที่หายไป ระเบียงห้องนั้นกลับมาว่างเปล่าเหลือไว้เพียงราวตากผ้าของผมเท่านั้น
ผมตื่นทันทีหลังจากเห็นภาพนั้น เพราะผมจำได้ดีว่ามันมาจากไหน และนั่นหมายถึงเรื่องอะไร
ผมตัดสินใจได้ทันทีว่าปีใหม่นี้ผมจะเขียนถึงเรื่องอะไร
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปหลายปีเหมือนกัน มันเป็นช่วงหนึ่งในชีวิตมหาวิทยาลัยของผม ช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นเหมือนเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุด ช่วงที่เรื่องราวเกี่ยวกับผีสางวิ่งเข้ามาชนทุกวี่ทุกวัน ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าทุกวันจริงๆ ไม่เพื่อนก็รุ่นพี่ ลามไปยันอาจารย์และญาติๆ เพื่อนๆ ของพวกเขาเหล่านั้น
ครั้งนั้นก็เช่นกัน คนคนนี้เป็นเพื่อนกับคนที่ผมรู้จัก เคยพบหน้ากันบ้างตามโอกาส แต่ไม่ได้เข้ามาพูดคุยอะไรกันมากมายนัก รู้แต่เพียงว่าใบหน้าของเขาช่างเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน บางครั้งเวลาได้เห็นหน้าคนที่อมทุกข์เราจะรับรู้ได้ทันที
เวลาผ่านไปจนวันหนึ่งผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคนรู้จักกับประโยคสั้นๆ เหมือนอย่างในหลายๆ ครั้งว่า ‘มีคนอยากคุยด้วย’
ผมรับนัดเหมือนอย่างเคย แม้จะรู้มาก่อนว่าคนที่จะต้องไปคุยด้วยเป็นใคร แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องราวไว้ก่อนเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร
ผมนั่งรอที่เก้าอี้ไม้ของภาควิชาเหมือนอย่างทุกที เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะไปรอที่ไหน ผมนั่งรอได้ไม่นานนักก็มีรถคันใหญ่เข้ามาจอดเทียบที่หน้าตึก
รถคันนั้นลดกระจกลงให้เห็นคนที่นั่งมาข้างใน ใบหน้าที่คุ้นเคยทำให้ผมเดินเข้าไปทักทายพร้อมต้องขึ้นรถตามพวกเขาไปด้วย
เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาเลือกที่จะออกมาคุยข้างนอกคือ เขาอยากจะพาผมไปดูสถานที่ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ ‘พี่ป้อม’
เราพบเจอกันมาหลายครั้งทำให้การพูดคุยเป็นไปได้โดยง่าย เราเลือกมานั่งคุยกันที่ร้านอาหารอย่างง่ายๆ ร้านหนึ่งในตัวเมืองพิษณุโลก
โดยไม่ต้องรอให้ถามอะไร พี่ป้อมก็ตัดสินใจค่อยๆ เล่าเรื่องที่เป็นปัญหากับชีวิตของเขามามากกว่า 10 ปี ถึงผมจะเรียกเขาว่าพี่แต่จริงๆ แล้วอายุของเขาก็มากพอที่จะเป็นน้าผมได้สบายๆ
“บ้านของพี่มีปัญหา อย่างให้ไปช่วยดูให้หน่อย”
ผมฟังเงียบๆ เพราะรู้ว่าคนเล่ายังเล่าไม่จบ
บ้านที่พี่ป้อมพูดถึงนั้นไม่ใช่บ้านหลังที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่เป็นบ้านหลังเก่า บ้านที่ได้รับสืบทอดมาจากพ่อและแม่ที่ตอนนี้ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ในวันที่ได้รับบ้านหลังนั้นมา บ้านยังอยู่ในสภาพดี แม้ว่าจะเป็นบ้านเก่าแต่พี่ป้อมก็เลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านเก่าๆหลังนั้นเพื่อระลึกถึงความหลังและความทรงจำที่มีค่าของตัวเอง
ชีวิตของพี่ป้อมดำเนินไปตามวันเวลาตามปกติพร้อมกับภรรยาในบ้านหลังนั้น ทั้งสองคนไม่เคยพบเจอเรื่องราวแปลกๆ อันใดเกิดขึ้นกับชีวิต โดยเฉพาะพี่ป้อมทีเกิดและเติบโตมาในที่ดินผืนนั้น ที่นั่นมีแต่ความรักและความอบอุ่น
เท่าที่พี่ป้อมนึกได้เรื่องราวทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นช่วงหลังแต่งงานได้สักพักหนึ่ง พี่ป้อมโชคไม่ดีนักที่พ่อและแม่ของเขาไม่ได้อยู่ร่วมแสดงความยินดีในวันแห่งความสุขนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสักเท่าไหร่
หลังจากแต่งงาน พี่ป้อมและภรรยาตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดิมของพี่ป้อมด้วยความสะดวกของการเดินทางและหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะพี่ป้อมเองที่ไม่อยากจะออกห่างจากบ้านหลังนี้มากนัก
เมื่อชีวิตคู่เริ่มลงตัวทั้งสองคนก็วางแผนที่จะมีลูก ไม่กี่เดือนถัดมาภรรยาของพี่ป้อมก็ตั้งท้อง ทั้งสองตื่นเต้นและมีความสุขเป็นอย่างมากจนมาถึงวันที่เด็กน้อยจะลืมตามาดูโลก
เด็กน้อยเกิดมาอย่างปลอดภัยและถูกนำกลับมาเลี้ยงดูที่บ้านหลังเดิม ด้วยความที่บ้านไม้หลังนั้นเริ่มเก่าและเริ่มที่จะมีบางส่วนผุพังไปตามเวลา เมื่อมองไปยังตัวเล็กที่นอนอยู่ในเปล การที่จะส่งมอบบ้านหลังนี้ให้เขาในวันที่เขาโตพอนั้นคงแทบจะเป็นไปไม่ได้
บางครั้งในเวลาที่เด็กน้อยนอนหลับอยู่ในเปลก็จะร้องไห้อย่างเจ็บปวดเหมือนกับโดนแกล้งให้เจ็บให้ตกใจ บางครั้งก็มีรอยแดงคล้ายรอยหยิกเกิดขึ้นตามเนื้อตัวอย่างไร้สาเหตุ หนักสุดก็คงจะเป็นช่วงกลางดึกที่ลูกมักจะส่งเสียงอ้อแอ้ คล้ายพูดคุยหรือหยอกล้อกับใครบางคนอยู่ในความมืด
นอกจากนั้นเด็กน้อยยังป่วยบ่อยจนผิดสังเกต โดยจะสังเกตได้ง่ายว่าหากคืนไหนที่เป็นวันโกนแล้วคืนนั้นเด็กจะร้องไห้หนัก วันถัดมาก็จะป่วยอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เสมอๆ
ความเชื่อโบราณบางครั้งมักบอกว่า บ้านเก่านั้นเป็นที่สิงสถิตย์ของเหล่าดวงวิญญาณทั้งหลาย และเด็กเกิดใหม่นั้นก็มักจะหอมบุญจนดึงดูดให้สิ่งเหล่านี้เข้ามารบกวนจนเกิดเป็นปัญหา
เหตุผลต่างๆ นานาที่เล่ามานั้นประกอบกันทำให้พี่ป้อมตัดสินใจจะต่อเติมบ้านใหม่ ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ ก็คล้ายกับการสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาทั้งหลังเพราะต้องการจะเปลี่ยนบ้านไม้ให้เป็นบ้านปูนทั้งหมด
คืนหนึ่งหลังจากที่ทั้งสามคนย้ายเข้ามาพักในบ้านเช่าของหมู่บ้านหนึ่งระหว่างรอการต่อเติมบ้าน พี่ป้อมฝันเห็นพ่อกับแม่มายืนร้องไห้ให้เห็น พี่ป้อมคิดเอาเองว่านั่นคงจะเป็นความเสียใจที่เขาทุบบ้านแสนรักของทั้งสองคนทิ้งไป
วันถัดมาพี่ป้อมไปทำบุญที่วัดพร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานถึงทั้งสองท่าน และบอกกล่าวเหตุผลความจำเป็นที่ทำลงไป แม้ในใจลึกๆ เขาจะยังไม่สบายใจแต่นั่นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วเช่นกัน
ระหว่างที่ทั้งสามคนอยู่ในบ้านเช่านั้น เด็กน้อยไม่มีอาการเหมือนตอนที่อยู่ในบ้านเก่า เขาหลับสนิทได้ในทุกๆ คืนและป่วยน้อยลงมาก
ทุกๆ อย่างดูจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จนวันที่บ้านใหม่เสร็จพร้อมเข้าอยู่ เป็นเรื่องปกติที่เราจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง วันนั้นก็เช่นกัน
ทั้งสามคนย้ายเข้าด้วยความสุขทุกอย่างดูสนุกสนาน พร้อมๆ กับที่งานของพี่ป้อมเริ่มจะมากขึ้นทำให้มีเวลาน้อยลงบางครั้งต้องประชุมบางครั้งต้องทำงานล่วงเวลา ส่วนพี่น้อยแฟนของพี่ป้อมเองแม้ว่างานของเธอจะสามารถทำงานอยู่บ้านได้บ้าง แต่บางครั้งก็ต้องเข้าไปที่ออฟฟิศเหมือนกัน
ทางออกของทั้งสองคนคือ การจ้างพี่เลี้ยงเด็ก ไม่นานนักเขาก็ได้พี่เลี้ยงเด็กมาคนหนึ่งจากคำแนะนำของคนแถวบ้าน ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ดีมากสำหรับพี่ป้อม เพราะเชื่อว่าคนยุคเก่าจะเลี้ยงเด็กได้ดีกว่าคนวัยรุ่นสมัยนี้
ทุกอย่างราบรื่นดี ป้าแขก ก็เข้ากับเด็กน้อยได้ดี อาหารการกินเป็นไปตามสุขลักษณะทั้งหมด จนในวันหนึ่งที่พี่ป้อมกลับมาที่บ้านและเดินไปมุมหลังบ้านซึ่งเอาไว้ใช้เก็บของหลังจากที่ไม่ได้เดินเข้ามาตรงนี้นานแล้ว
ที่ตรงนั้นมีศาลเก่าๆ ศาลหนึ่งตั้งอยู่ พี่ป้อมจำมันได้ในทันทีแต่ไม่เข้าใจว่าตัวเองหลงลืมมันไปได้อย่างไร
ศาลพระภูมิของบ้านที่มีมานาน เขาโตมากับมันแต่ไม่ได้เข้าไปดูแลยุ่งเกี่ยวมากนัก ศาลนั้นค่อนข้างเก่าแล้วและมันก็อยู่ในมุมอับของบ้านหลังจากการต่อเติม พี่ป้อมจึงตัดสินใจจะตั้งศาลใหม่
ศาลใหม่ถูกจัดหามาในเวลาไม่นาน รวมไปถึงฤกษ์และวันเพื่อขึ้นศาลใหม่ โดยที่ศาลเก่านั้นจะถูกนำไปทิ้งตามทีที่เหมาะสม
เมื่อวันขึ้นศาลมาถึง ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พราหมณ์ที่มาทำพิธีให้ ก็ดูใจดีไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร ส่วนศาลเก่านั้นถูกนำไปกองทิ้งไว้ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เหตุเพราะพี่ป้อมเห็นว่ามีคนนำของลักษณะนี้มาทิ้งกองรวมกันไว้พอสมควร
ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปตามปกติพร้อมกับเด็กน้อยที่โตวันโตคืน น่าจะร่วมสามเดือนเห็นจะได้ที่จู่ๆ พี่ป้อมก็ฝันเห็นพ่อกับแม่มานั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นกลางบ้าน
พี่ป้อมตื่นมาด้วยความไม่สบายใจและยังคิดกังวลเกี่ยวกับฝันนั้น แต่พี่น้อยก็ปลอบใจว่าคงจะคิดมากไปเองไม่น่ามีอะไรหรอก
ตัวเขาเองก็พยายามจะเชื่ออย่างนั้นถ้าเขาไม่ได้ฝันซ้ำอีกครั้งด้วยใจความที่ใกล้เคียง คืนนั้นพี่ป้อมฝันเห็นพ่อกับแม่มานั่งอยู่ตรงพื้นกลางบ้านเหมือนครั้งที่แล้ว ฝ่ายพ่อยืนนิ่งสงบ จ้องมายังเขาอย่างไม่พอใจ ส่วนแม่นั้นนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่กับพื้น
ในฝันนั้นเหมือนจริงมาก พี่ป้อมยืนมองภาพนั้นต่ออีกครู่หนึ่งภาพรอบข้างก็เปลี่ยนไปให้เห็นเป็นวิวของบ้านหลังเก่าที่ถูกทุบไปแล้ว ทั้งสองคนยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิมแต่เปลี่ยนสถานที่ และในฝันนั้นพี่ป้อมก็ได้เห็นมันอย่างชัดเจน ภาพของศาลเก่าที่ตั้งอยู่เบื้องหลังพ่อกับแม่
ฝันนั้นเหมือนจริงมากในทุกความรู้สึก พี่ป้อมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากจนต้องมาปรึกษาภรรยาเพื่อหาทางออก และอีกคนหนึ่งก็คือ ป้าแขกที่เป็นคนเก่าคนแก่น่าจะมีคำแนะนำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง
หลังจากปรึกษาหารือกันพักหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่า พวกเขาจะไปนำศาลเก่านั้นกลับมาตั้งไว้ที่บ้านดังเดิม เพราะฝันนั้นอาจหมายถึงความไม่พอใจของพ่อกับแม่ก็เป็นได้
พี่ป้อมขับรถไปตามถนนเปลี่ยวเส้นเดิมในช่วงเวลากลางวัน เพื่อมองหาศาลเก่าของบ้านที่ได้ทิ้งไปแล้ว ระหว่างนั้นในใจก็คิดว่าหากศาลนั้นไม่อยู่แล้วจะทำอย่างไรดี
รถกระบะคันใหญ่จอดเทียบอยู่ข้างถนนก่อนที่คนงานของพี่ป้อมจะเดินเข้าไปช่วยกันหา โชคดีเหลือเกินที่ศาลนั้นยังคงวางอยู่ในที่เดิมและไม่ได้มีอะไรสูญหายไป
พี่ป้อมและคนงานช่วยกันยกมันขึ้นกระบะหลังแล้วขับออกมาจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด เพราะพี่ป้อมบอกผมว่านอกจากศาลเก่าๆ แล้วมันยังมีพวกตุ๊กตาดินเผา เศียรแตกหักต่างๆ อีกหลายชิ้นที่มองดูน่าขนลุก
ศาลเก่าหลังนั้นถูกนำมาตั้งวางไว้ที่มุมหนึ่งของบ้านซึ่งเป็นที่อับสายตา จริงๆ แล้วมันก็ดูไม่เหมาะนักแต่ก็ไม่มีที่อื่นให้นำไปวางแล้วจริงๆ
นั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ ของเรื่องนี้พี่ป้อมพูดกับผมด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก เหมือนจะโกรธ แต่ก็กลัว และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยกล้าพูดถึงมันสักเท่าไหร่
เพียงคืนแรกของการนำศาลนั้นกลับมาตั้งในบ้าน พี่ป้อมเองแทบจะไม่ได้นอนในคืนนั้นเพราะเสียงประหลาดที่ดังอยู่ทั่วบ้าน เสียงนั้นเป็นเสียงคล้ายฝีเท้าของเด็กหลายคน พี่ป้อมย้ำกับผมว่า หลายคน ไม่ใช่สองสามคนแน่ๆ
เสียงวิ่งเล่นของเด็กๆ ดังไปทั่วขื่อและฝ้าของบ้าน เหมือนกับกำลังวิ่งไล่จับ
“รู้ได้ไงครับว่าเป็นเด็ก” ผมถาม
“เสียงหัวเราะครับ มันมีปนมากับเสียงฝีเท้า”
พี่ป้อมพยายามข่มตานอนและดึงผ้าห่มให้สูงขึ้นปิดตาปิดหน้าด้วยความกลัว สุดท้ายเสียงไก่ของบ้านใกล้ๆ ก็ขันบอกเวลาเช้าที่มาถึง
เขาปลุกภรรยาให้ตื่นแล้วเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง พี่น้อยกลัวมากแต่ตัวเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติดังกล่าวด้วยสักนิดเดียว
พอเล่าเรื่องนี้ให้ป้าแขกฟัง ป้าแกก็เป็นเดือดเป็นร้อนรีบจัดแจงไปหาพระมาพรมน้ำมนต์ให้ที่บ้าน เพราะกลัวว่ามันจะส่งผลไม่ดีกับเจ้าตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
ในคืนถัดมาเท่านั้นเสียงวิ่งไม่ได้หายไป และไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากเสียงที่เคยดังอยู่บนฝ้าเพดาน มันเริ่มเหมือนวิ่งอยู่ที่พื้นชั้นล่างของบ้าน บางครั้งก็มีบางเสียงที่เล็ดลอดผ่านบันไดชั้นสองขึ้นมาข้างบน
ครั้งหนึ่งเสียงฝีเท้าเล็กๆ นั้นแยกออกมาจากกลุ่มใหญ่ขึ้นมาตามบันไดบ้าน เสียงฝีเท้านั้นวนเวียนอยู่ที่หน้าห้องนอนของทั้งสามคน เสียงนั้นเงียบไปโดยที่พี่ป้อมจินตนาการเอาเองว่าเด็กคนนั้นอาจจะจ้องมองมายังประตูห้องของเขาอยู่ในเวลานั้น
พี่ป้อมกลั้นหายใจด้วยความกลัว แต่สองตาก็ต้องจ้องประตูบานนั้นไว้เพื่อเตรียมพร้อม แต่แล้วเขาก็ต้องถอนหายใจอย่างโลกอกที่เสียงฝีเท้านั้นดังไกลออกไปราวกับว่าเด็กคนนั้นได้ลงบันไดไปแล้ว
บ้านเริ่มน่ากลัวขึ้นในความรู้สึกของพี่ป้อม เพราะมีเพียงเขาคนเดียวที่รับรู้และรู้สึกถึงความผิดปกตินั้น
คนทั้งสองขอให้ป้าแขกช่วยหาวิธีจัดการกับความผิดปกติที่มี จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเพิ่มเงินให้ป้าแขกอีกเท่าตัวหนึ่งเพื่อให้ป้ามานอนอยู่ในบ้านเหมือนกับเป็นแม่บ้านประจำของบ้านหลังนี้ และจะให้กลับบ้านในช่วงเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
คนแก่ที่ว่างงานอย่างป้าแขกยินดีรับข้อเสนอนั้นและอีกอย่างป้าแกก็คงกำลังติดเจ้าตัวเล็กแจเหมือนเป็นหลานแท้ๆ ของตัวเอง
ในคืนแรกที่ป้าแขกมานอนค้างที่บ้านหลังนี้ ป้าได้นำพระพุทธรูปองค์ใหญ่เข้ามาในบ้านด้วย ป้าบอกว่าเป็นพระประธานที่ได้มาจากวัดดังเมื่อนานมาแล้วศักดิ์สิทธิ์มาก
มันได้ผล เสียงฝีเท้าเหล่านั้นหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีมาให้ได้ยินแม้แต่คืนเดียว จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนเสียงเหล่านั้นก็กลับมาอีก
ในคืนวันโกนคืนหนึ่ง ที่พี่ป้อมจำได้เป็นเพราะป้าแขกจะจัดเครื่องเซ่นไหว้พระภูมิทุกวันพระ ด้วยเหตุผลว่าท่านจะได้มีแรงมาคุ้มครองดูแลเรา และอาหารที่นำไปไหว้นั้นก็มักจะเตรียมเองในคืนวันโกนของสัปดาห์นั้นๆ
กลางดึกคืนนั้นพี่ป้อมได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังวนเวียนไปมาอยู่บนฝ้าเพดานของบ้าน เสียงนั้นเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ความหนักเบาของเสียงนั้นทำให้พอรับรู้ถึงระยะห่างที่มี
พี่ป้อมกลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหันไปหยิบยาแก้แพ้และยาลดน้ำมูกยัดเข้าใส่ปาก หวังว่าฤทธิ์ยาจะทำให้เขาได้นอนหลับลงในคืนนั้น
ความง่วงค่อยๆ เข้ามาแทนที่ความกลัวจนตัวเขาเผลอหลับไป และในคืนนั้นเขาก็ฝัน ในฝันนั้นไม่ชัดเจนค่อนข้างเลือนราง เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังเตาะแตะแยกออกมาจากกลุ่มใหญ่เหมือนครั้งนั้น เสียงมันเหมือนเท้าที่ก้าวขึ้นมาบนบันไดทีละขั้นๆ
เสียงฝีเท้าดังจนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเช่นเคย และเงียบไม่ดังต่อ ในสติอันเลือนราง จู่ๆ เสียงฝีเท้านั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันดังวนไปมาอยู่รอบๆ เตียงของพี่ป้อมและภรรยา
เสียงนั้นกังวานเหมือนกับอยู่ในฝัน พี่ป้อมตัวแข็งไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ลืมตามองเพดานห้องฟังเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งที่เดินวนไปวนมาเหมือนกับกำลังสำรวจห้อง
สุดท้ายเสียงนั้นดังมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงใกล้กับหัวของเขา พี่ป้อมพยายามจะหลับตาแต่ก็ทำไม่ได้ จะพลิกตัวหนีก็ทำไม่ได้ เสียงฝีเท้านั้นหยุดนิ่ง
บนเพดานอันว่างเปล่านั้น จู่ๆ ที่มุมหนึ่งของคลองสายตาก็ปรากฏรูปร่างของแขนเล็กๆ ยื่นมาจากข้างเตียง มือเล็กๆ นั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา โชคดีที่เขาตื่นขึ้นจากความฝันด้วยเสียงปลุกของภรรยา
พี่ป้อมหอบหายใจตัวโยนด้วยความกลัว และปลอบใจตัวเองว่าดีแค่ไหนแล้วที่มันเป็นเพียงความฝัน เมื่อเรียกสติคืนมาได้ หูของเขาก็สามารถจับใจความถึงเสียงบ่นของภรรยาได้
“ก่อนนอนทำไมไม่ดูให้ดีๆ ประตูห้องก็ปิดไม่สนิท ค่าไฟค่าแอร์บานแน่เดือนนี้”
ประโยคนั้นทำเอาเขาขนลุกเย็นสันหลังวาบ เพราะเขาแน่ใจว่าปิดดีแล้ว อีกทั้งน่าจะลงกลอนอีกชั้นด้วยซ้ำ นั่นคือนิสัยที่เขาเป็นมาตลอด ยิ่งตอนนี้มีลูกน้อยเขายิ่งต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้องได้โดยง่าย
หนึ่งสัปดาห์ที่ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น นอกจากเสียงฝีเท้าที่โผล่มาในบางคืน จนมาถึงวันโกนอีกวันหนึ่ง สิ่งผิดปกติใหม่ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ครั้งนี้เหตุการณ์ประหลาดไม่ได้เกิดขึ้นกับพี่ป้อม แต่กลับเป็นพี่น้อย คืนนั้นเธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระหายน้ำ จึงเดินลงมาที่ชั้นล่างโดยไม่ได้เปิดไฟให้สว่างทุกดวงเพราะไฟที่บันไดก็สว่างพอจะทำให้เห็นบริเวณบ้านได้
พี่น้อยยืนดื่มน้ำอยู่ที่หน้าตู้เย็น อากาศคืนนั้นหนาวกว่าทุกที และก่อนที่เธอจะกลับขึ้นไปบนห้องนอน หูของเธอก็แว่วยินเสียงผิดปกติที่ไม่น่าจะดังขึ้นมาได้ในเวลานี้
เสียงบรรเลงของดนตรีไทยวงใหญ่ที่เธอไม่รู้จัก พี่น้อยบอกว่าเธอไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นเพลงอะไร แต่มันน่าจะเป็นการผสมกันทั้งเครื่องตี เครื่องสาย และเครื่องเป่า เสียงของมันเบาเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ
แต่เมื่อฟังให้ดีกลับรู้สึกว่ามันใกล้ สมองของพี่น้อยประมวลผลย้อนกลับไปถึงเรื่องเสียงฝีเท้าที่พี่ป้อมเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ แต่ตอนนั้นเธอรู้สึกกลัวสุดหัวใจ จนตั้งใจจะออกแรงวิ่งสุดชีวิตกลับขึ้นไปยังห้องนอน
ตอนที่เธอวิ่งออกจากห้องครัวกำลังจะเลี้ยวขึ้นบันได หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรจะมีอยู่ในบ้าน แสงไฟนีออนที่สนามหน้าบ้านฉายผ่านผ้าม่านของห้องนั่งเล่นเข้ามาจนเห็นเป็นสีสว่างรางๆ
ภาพผ้าม่านที่ถูกส่องด้วยแสงไฟคล้ายฉากหนังตลุง ปรากฏเป็นเงาร่างของนางรำนางหนึ่งในชุดชฎาทรงสูง ร่ายรำไปมาตามจังหวะเพลงที่พี่น้อยได้ยิน
เธอไม่ได้ต้องการมองภาพนั้น แต่เธอกำลังขาแข็งด้วยความกลัวจนก้าวไม่ออก เธอเลยทำได้แค่ยืนมองเงาร่างนั้น ขยับร่ายรำไปมาตามจังหวะอยู่อีกหลายวินาที ก่อนที่ความกลัวจะพุ่งถึงขีดสุด จนทำให้เธอทรุดตัวลงกับพื้นเอามือปิดหู หลับตาส่งเสียงกรี๊ดปลุกคนในบ้าน
เธอคิดอย่างนั้นพี่ป้อมบอกผม หากแต่แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ลงไปดื่มน้ำแต่อย่างใด หรือจริงๆ เธออาจจะลงมาดื่มน้ำก็ได้ แต่ตอนที่พี่ป้อมพบเธอนั้น เธอกำลังเอนตัวพิงโซฟาหลับอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างสงบ
พี่ป้อมเดินเข้าไปปลุกภรรยาให้ตื่น เพราะไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงมานอนอยู่ตรงนี้ พี่น้อยตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจและรีบโผเข้ากอดพี่ป้อมทันที
เรื่องราวดูค่อยๆ จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ ป้าแขกพยายามเชิญทั้งพระและหมอผีมาช่วยขับไล่ต่างๆ นานา แต่ก็ดูเหมือนมันจะดีขึ้นได้แค่เป็นพักๆ เท่านั้น เพราะในบางคืนเสียงฝีเท้าเหล่านั้นยังคงดังรบกวนพี่ป้อมอยู่ ส่วนดนตรีไทยและนางรำนั้นไม่มีใครได้พบเห็นอีก นอกจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านหลังที่ติดกิน
“เขาว่าไงครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้
“มีวันหนึ่งเขามาบอกพี่ว่า ขอให้เปิดเพลงเบาๆ หน่อย ช่วงดึกๆ เขานอนไม่หลับ พอพี่ถามว่าเพลงอะไร เขาบอกเป็นดนตรีไทย”
และนั่นยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด เพราะหลังจากนั้นยังมีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้นซ้ำอีกหลายหน แต่ที่น่าแปลกคือ ในแต่ละครั้งนั้นเหมือนมันจะไม่มีความคล้ายคลึงกันเลยสักนิด
พี่ป้อมขอเล่ารวบรัดมาอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่ากลัวและฝังใจของเขาพอสมควร นั่นคือบ่ายวันหนึ่ง พี่ป้อมย้ำว่าเป็น บ่าย ไม่ใช่กลางดึกแต่อย่างใด วันนั้นเป็นวันหยุด ทุกคนอยู่ที่บ้าน ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง
พี่น้อยกับป้าแขกช่วยกันดูแลเจ้าตัวเล็กตามปกติ ส่วนพี่ป้อมก็มีโอกาสได้เอนตัวจิบเบียร์เย็นๆ ดูภาพยนตร์ที่ชอบอยู่บนโซฟาตัวเดิมในห้องนั่งเล่นของบ้าน
เบียร์ที่พูดถึงนั้นมีเพียงขวดเดียว และมันก็ยังไม่ได้ถูกดื่มจนหมด แต่พี่ป้อมก็รู้สึกมึนมากกว่าปกติ ในตอนที่กำลังเคลิ้มนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีน้ำหนักอะไรบางอย่างมากดทับลงที่แขนข้างหนึ่งที่วางพาดอยู่บนพนักโซฟา
สัมผัสที่รู้สึกได้นั้น เย็นชืดเหมือนกับคนที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำอะไรประมาณนั้น มันคือสัมผัสของผิวหนังย่นๆ พี่ป้อมใช้คำนี้กับผมในตอนที่กำลังเล่าเรื่อง
ด้วยความตกใจพี่ป้อมจึงรีบหันไปดูที่แขนของตัวเอง ภาพที่เห็นนั้นทำเอาเขาใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เพราะที่โซฟาข้างๆ นั้นมีร่างของเด็กคนหนึ่งน่าจะอายุราวสองถึงสามขวบ เด็กคนนั้นนั่งหันข้างมามองเขาโดยที่หัวพิงซบอยู่กับแขนข้างที่พาดไว้บนโซฟา
สภาพของเด็กคนนั้นน่าเวทนาในความทรงจำ แต่ตอนนั้นเขาเองทำได้แค่กลัวเท่านั้น ผิวหนังที่เย็นชืดและซีดจากการจมอยู่ในน้ำมาเป็นเวลานาน ผมเผ้าที่เปียกชุ่มลีบไปตามศีรษะ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกกลัวจนขาดสติไปในที่สุด
พี่ป้อมถูกปลุกด้วยเสียงของลูกตัวเอง หลังจากที่พี่น้อยอุ้มมานั่งเล่นอยู่ข้างๆ เขา พี่ป้อมค่อยๆ รู้สึกตัวและรับรู้ว่ามันคงจะเป็นฝันเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา แต่ภาพเหล่านั้นมันก็ชัดเจนเหลือเกิน
ภาพในวันนั้นยังติดตาเขาอยู่และเวลาก็ผ่านมาประมาณหนึ่งโดยที่พี่ป้อมไม่สามารถระบุวันเวลาได้ ครั้งนี้เรื่องเกิดขึ้นกับพี่น้อยไม่ใช่เขา
เช้าตรู่วันหนึ่งขณะที่พี่น้อยกำลังอาบน้ำเพื่อเตรียมจะลงไปทำอาหารเช้าให้ทุกคนกินกัน เธอยืนสระผมอยู่ใต้ฝักบัวเหมือนอย่างในทุกๆ วัน แต่จู่ๆ กลิ่นแชมพูที่ชอบก็ค่อยๆ กลายเป็นกลิ่นคาวเหมือนกับน้ำเน่าที่ขังมาเป็นเวลานาน
ด้วยความตกใจเธอรีบลืมตามามองน้ำที่ไหลออกแล้วรีบปิดฝักบัวทันที กลิ่นในห้องน้ำนั้นมีจริงๆ มันน่าจะมาจากน้ำที่เธออาบ กลิ่นนั้นติดตัวจนทำให้เธออ้วกออกมาเพราะทนไม่ไหว
พี่น้อยรีบเปิดประตูห้องน้ำ พันผ้าเช็ดตัวเดินลงไปที่ห้องน้ำข้างล่างอีกห้องหนึ่งที่มีถังรองน้ำไว้เวลาที่น้ำไม่ไหล เธอจำเป็นต้องอาบน้ำใหม่อีกครั้งเพื่อกำจัดกลิ่นที่เกิดขึ้น
เมื่อเสร็จธุระส่วนตัวแล้วเธอก็รีบปลุกพี่ป้อมให้ตื่น แต่เหมือนวันนั้นพี่ป้อมจะไม่สบายลุกไม่ไหว เธอจึงตัดสินใจเดินไปดูที่แท้งน้ำของบ้านด้วยตัวเอง
เธอต่อบันไดไว้ข้างๆ ปีนขึ้นไปจนถึงข้างบนสุดซึ่งสูงจากเธอไม่มากนัก เธอเอื้อมมือไปเปิดฝาแท้งออกดู แล้วก็ต้องรีบอุดจมูก เพราะน้ำในแท้งนั้นส่งกลิ่นคาวคลุ้งไม่ต่างจากที่เธอเพิ่งเจอในห้องน้ำเมื่อสักครู่
พี่น้อยจำเป็นจะต้องปล่อยน้ำในแท้งออกจนหมดเพื่อรองน้ำเข้ามาใหม่ ในตอนนั้นเธอคิดว่ามันคงเป็นความผิดพลาด เนื่องจากท่อแตกหรืออะไรสักอย่างทำให้น้ำสกปรกปนเข้ามาตามท่อน้ำประปาของหมู่บ้าน
พอน้ำถูกปล่อยออกจากแท้งจนหมด เธอก็เดินไปเปิดปั๊มน้ำช่วยให้น้ำไหลเข้ามาเร็วขึ้น ในตอนนั้นน่าจะเพิ่งเป็นแสงอ่อนของวันใหม่ เธอเล่าให้พี่ป้อมฟังว่าเธอหันกลับไปมองที่แท้งน้ำ แล้วแวบหนึ่งเธอเห็นว่ามีเงาส่วนหัวของใครบางคนโผล่ขึ้นมาจากฝาแท้งน้ำนั้น
เธอสาบานกับพี่ป้อมว่าไม่ได้ฝันและไม่ได้ตาฝาด แต่ภาพนั้นก็ปรากฏให้เห็นเพียงชั่วอึดใจ เมื่อกระพริบตาอีกครั้งทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติดังเดิม
ความแปลกประหลาดเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งก็มีเสียงข้าวของตกในบ้าน แต่ไม่พบซากของวัตถุใดตามพื้น กลิ่นธูปกลิ่นน้ำอบที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศกลางดึกบางคืน บ้างก็เป็นเสียงหัวเราะ เสียงฝีเท้าไปจนถึงเสียงสวดอะไรบางอย่าง
“เสียงสวด?”
คำนี้สะดุดหูผมจนต้องถามซ้ำ เสียงสวดที่ว่านั้นคือเสียงคล้ายคนบริกรรมคาถาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่ใช่เพราะไม่รู้จักแต่มันเร็วและรัว จนเหมือนกับเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ทั้งไทยและบาลี
เสียงบริกรรมนั้นมักจะลอยมาตามลมและพัดหายไปในชั่วเวลาหนึ่ง แต่เสียงที่ต้องได้ยินทุกค่ำคืน คือเสียงของหมาที่หอนรับกันเป็นช่วงๆ จนสุดท้ายมันจะมารวมตัวกันที่หน้าบ้านของพี่ป้อมและพร้อมใจกันประสานเสียงอย่างสุดชีวิต
แต่เรื่องราวที่ทำให้พี่ป้อมตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลังนั้นมา นั่นเป็นเพราะมันเริ่มกระทบกับลูกและความปลอดภัยในชีวิตของคนในครอบครัว
เป็นเรื่องปกติที่เด็กน้อยในวัยนี้จะมีพลังล้นเหลือและนอนหลับไม่เป็นเวลา ซึ่งส่วนมากก็จะตื่นในเวลาที่ควรจะนอนอย่างเช่นกลางดึก
ลูกของพี่ป้อมก็เป็นอย่างนั้น ในช่วงกลางดึกเด็กน้อยมักจะตื่นขึ้นมาและร้องไห้เสียงดังเหมือนกับหิว หรือต้องการอะไรบางอย่างตามประสาของเด็ก พอแม่มาอุ้มมาสนใจ ได้กินนมอย่างที่อยากก็จะสงบลงได้เองทุกครั้ง
มีบางครั้งที่เด็กน้อยตื่นขึ้นมากลางดึก หลังจากแหกปากร้องอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อปลุกพ่อกับแม่ที่อยู่ห้องข้างๆ กัน พี่น้อยตื่นขึ้นมาและตรงไปหาลูกเหมือนกับทุกครั้ง แต่บางครั้งเด็กน้อยจะเงียบไปเอง
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ลูกของคนทั้งสองกลับส่งเสียงอ้อแอ้พร้อมทั้งชูมือกวัดแกว่งไปมาในอากาศเหมือนกับกำลังเล่นกับใครบางคนอยู่ พี่น้อยจำภาพนั้นได้ติดตา เธอบอกกับพี่ป้อมว่าเธอไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เพราะเธอรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลัง ขนลุกเกรียวราวกับมีใครมาอยู่ที่ข้างเปลของเด็กน้อยจริงๆ
สิ่งที่เล่าให้ฟังนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีอะไรรุนแรงไปมากกว่านั้นสักพักหนึ่ง จนในคืนหนึ่งที่ทั้งสองคนถูกปลุกด้วยเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดของเด็กน้อย
น่าจะเป็นเวลาช่วงประมาณตีสามตีสีเห็นจะได้ ทุกคนหลับแล้วรวมถึงเด็กน้อยที่เพิ่งได้กินนมไปเมื่อเที่ยงคืน ท่ามกลางความเงียบที่ปกตินั้น จู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้สุดชีวิตของเด็กน้อยดังขึ้นเหมือนอย่างในหลายๆ คืน ผิดแต่เพียงว่าเสียงนั้นดูจะดังและแผดร้องมากกว่าปกติ
พี่น้อยกับพี่ป้อมตื่นขึ้นมาพร้อมกันทั้งคู่ เพราะว่าเสียงมันดูผิดปกติจริงๆ ทั้งสองคนส่ายหัวสะบัดเอาความมึนงงออกไปและกำลังจะรีบตรงไปหาลูก แต่พี่ป้อมก็รู้สึกเอะใจว่าเสียงนั้นมันดังมาจากที่ที่ไม่ควรจะเป็นไปได้
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยนั้นดังมาจากชั้นล่างของบ้าน ทั้งที่เปลนั้นอยู่ในห้องนอนบนชั้นสองติดกับห้องนอนของพี่ป้อม ด้วยความตกใจกลัวทั้งสองคนวิ่งสุดชีวิตไปยังเสียงที่ส่งมา
เป็นจริงดังว่า ที่รอยต่อบันไดขึ้นชั้นสองนั้นมีลูกของคนทั้งสองนอนหงายอยู่กับพื้นพร้อมทั้งแหกปากส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด พ่อกับแม่ที่ได้ยินอย่างนั้นจึงลืมความกลัวทุกอย่างเข้าไปอุ้มลูกมาไว้ในอ้อมกอด
ทั้งสองคนสำรวจทั่วทั้งตัวของเด็กน้อย ก็พบรอยช้ำสองสามจุดน่าจะมาจากการคลานมาตกบันได
“คลาน?” ผมถามเพราะไม่เข้าใจ
“ใช่ครับตอนนั้นลูกพี่คลานได้แล้ว”
ตลอดเวลาที่พี่ป้อมเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผมฟัง มันค่อนข้างกระโดดไปกระโดดมาจนผมไม่สามารถเรียบเรียงวันและเวลาให้แน่นอนเป็นลำดับได้ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำ พี่ป้อมสรุปกับผมว่า มันมีเรื่องราวพวกนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายเดือน และมันก็ค่อนข้างถี่จนเขาเองก็จำได้ไม่หมดเหมือนกัน อีกอย่างมันก็นานมาพอสมควรแล้ว
กลับมาที่เรื่องในคืนนั้น หลังจากทั้งสองคนอุ้มลูกมาไว้ในอ้อมกอดแล้วก็รีบพากลับขึ้นไปบนห้องที่มีเปลอยู่ พี่ป้อมบอกกับผมว่าเปลของน้องนั้น เป็นแบบที่มีประตูเปิดข้างๆได้ โดยจะต้องเปิดจากกลอนด้านนอกที่เด็กอ่อนไม่น่าจะสามารถทำเองได้โดยเด็ดขาด
ผมไม่เข้าใจและนึกภาพตามไม่ออกเพราะไม่เคยเห็น เอาเป็นว่าเมื่อกลับเข้ามาในห้องแล้วประตูของเปลที่ว่านั้นมันเปิดอยู่ เปลนั้นไม่ได้สูงมาก ทำให้เด็กน้อยพอที่จะคลานลงมากับพื้นได้ และประตูห้องของเด็กน้อยก็ไม่ได้ถูกปิดประตูเอาไว้อยู่แล้วตามปกติ
ภาพที่เห็นทำให้ทั้งสองคนรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก พอดีกับที่ป้าแขกได้ยินเสียงร้องและรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในบ้านเพื่อดูความเรียบร้อย ทั้งสองคนส่งลูกให้ป้าแขกดูแลสักครู่ ก่อนจะรีบเข้าไปแต่งตัวหยิบข้าวของที่จำเป็นเพื่อพาลูกไปตรวจที่โรงพยาบาลในทันที
ผลตรวจเป็นปกติดี ไม่มีกระดูกหัก ไม่มีอะไรร้ายแรง นอกจากรอยช้ำจากการกระแทกที่น่าจะได้มาจากการตกบันไดจริงๆ
เหตุการณ์นั้นทำให้ในคืนต่อมา พี่ป้อมเลือกที่จะมานอนเฝ้าลูกอยู่ที่ข้างๆ เปลด้วยตัวเอง
เวลาเท่าไหร่ไม่แน่ใจ พี่ป้อมค่อยๆ รู้สึกตัวอย่างช้าๆ เพราะได้ยินเสียงกระดิ่งของเล่นที่วางอยู่บนพื้นดังอยู่ใกล้ๆ พี่ป้อมรู้สึกหนักเนื้อหนักตัวแทบลุกไม่ขึ้น แต่ก็พยายามจะพลิกตัวไปหาลูกด้วยความกังวล
อีกครั้งที่ใจของเขาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะประตูของเปลมันถูกเปิดออกอีกแล้ว และในเปลนั้นก็มีเพียงความว่างเปล่า
พี่ป้อมพลิกตัวมองหาลูกไปทั่วห้อง และเขาก็เจอเจ้าตัวเล็กกำลังคลานอยู่ที่มุมห้องเล็กๆ นั้น เด็กน้อยปัดของเล่นกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นเกิดเป็นเสียงที่พี่ป้อมได้ยิน เด็กน้อยส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
เด็กน้อยทำเหมือนกับกำลังเล่นกับใครที่ไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น เพราะพี่ป้อมบอกว่าการปัดเขี่ยของเล่นไปมานั้นเป็นวิธีที่ลูกของเขาใช้เล่นกับตัวเขาและพี่น้อย พี่ป้อมมองภาพนั้นอย่างขนลุก
ของเล่นที่เป็นลักษณะกลมๆ ข้างในมีกระดิ่งอยู่ถูกปัดไปมาอย่างสนุกสนาน พี่ป้อมพยายามจะลุกไปหาลูกแต่ก็ดูจะยากเหลือเกิน คล้ายถูกผีอำ พี่ป้อมบอกกับผมอย่างนั้น
ครั้งสุดท้ายที่เขาทนเห็นภาพนั้น คือลูกของเขาปัดของเล่นไปข้างหน้าและยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนที่ของเล่นนั้นจะหยุดนิ่งกับพื้นแล้วกลิ้งกลับมาส่งเสียงอีกครั้ง
ภาพนั้นทำให้พี่ป้อมกลัวสุดขีดจนหลุดจากภวังค์ได้ จึงรีบวิ่งไปอุ้มลูกเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วรีบออกจากห้องนั้นให้เร็วที่สุด
“ถึงไม่เห็นแต่พี่เชื่อว่าตรงนั้นมีต้องมีใครอยู่”
พี่ป้อมยืนยันในความรู้สึกของตัวเองก่อนจะก้มหน้าถอนหายใจ
หลังจากคืนนั้นพี่ป้อมและพี่น้อยไปไม่ปล่อยให้ลูกนอนคนเดียวในห้องนั้นอีก เปลอันเดิมถูกย้ายเข้ามาไว้ในห้องนอนของเขาทั้งสอง และประตูของเปลที่ว่านั้นพี่ป้อมจัดการล๊อกมันด้วยแม่กุญแจอย่างแน่นหนาเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ถูกเปิดออกมาอีก
คืนหนึ่งที่ทั้งสามคนนอนอยู่บนเตียง พี่ป้อมกับพี่น้อยขนาบข้างและมีลูกน้อยอยู่ตรงกลาง คืนนั้นพี่ป้อมถูกปลุกด้วยเสียงและสัมผัสของลูกที่ดังอยู่ข้างๆ หู
เสียงอ้อแอ้อย่างพอใจเหมือนในเวลาที่เล่นสนุกกับพ่อดังไม่หยุด สองมือสองเท้าของเด็กน้อยดีดไปมาอย่างพอใจ ดูท่าทางสนุกกับอะไรบางอย่าง
พี่ป้อมหันไปกอดลูกพร้อมพูดเบาๆ กับลูกว่า สนุกอะไรครับ เขาค่อยๆ ลืมตามามองใบหน้าของลูกที่กำลังมีความสุข สนุกสนาน
เขามองตามสายตาของลูกที่จ้องมองขึ้นไปบนเพดานห้อง ภาพที่เห็นทำให้พี่ป้อมต้องแหกปากร้องอย่างสุดเสียง
ในห้องนอนของพี่ป้อมนั้นบนเพดานจะมีพัดลมเพดานที่ประดับด้วยโคมไฟสวยๆอยู่อันหนึ่ง มันถูกเปิดให้หมุนอย่างช้าๆ เพื่อหมุนเวียนอากาศตามความชอบของคนทั้งสอง
ภาพใบพัดที่หมุนไปมาอย่างช้าๆ ในคืนนั้นถูกแต่งเติมด้วยเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่เหมือนอยู่ในท่าทางของการผูกคอตัวเองเอาไว้กับใบพัด ร่างของเธอไหวไปมาในอากาศตามแรงเหวี่ยงของใบพัด
เด็กน้อยมองมันอย่างชอบใจ อาจคิดว่าเป็นโมบายเหมือนกับของตัวเองที่ห้อยอยู่บนเปลนอน แต่ผู้เป็นพ่อไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ความกลัวแล่นแปลบเข้าสู่หัวใจ เขาหลับตากอดลูกส่งเสียงร้องดังที่สุดที่ชีวิตนี้เคยร้องออกมา
พี่น้อยตกใจตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของพี่ป้อมและเสียงร้องไห้ของลูกที่น่าจะตกใจกลัวเสียงของพ่อที่ดังอยู่ข้างๆ หู
เสียงร้องของพ่อและลูกสอดประสานกันอย่างน่าขนลุก พี่น้อยพยายามเรียกให้พี่ป้อมได้สติและแยกลูกออกมาจากเขาเพราะกลัวว่าลูกจะกลัว
พี่ป้อมเดินออกไปข้างนอกห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ ในขณะที่พี่น้อยอุ้มปลอบลูกอยู่กับอก ป้าแขกเองก็เข้ามานอนในบ้านที่ชั้นล่างแล้ว จึงรีบวิ่งขึ้นมาตามเสียงดังกล่าว
เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้พี่ป้อมเริ่มจะสติแตก และความเครียดก็เข้าครอบงำเขาอย่างมหาศาล เขาขอให้ป้าแขกช่วยควานหาหมอผีหรือพระเกจิใดๆ ก็ได้มาจัดการเรื่องพวกนี้เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้จักใครมากนัก
หมอผีสองสามคนถูกพามาที่บ้านและทำพิธีหลายอย่าง ทุกอย่างเงียบสงบลงได้ไม่นานก็กลับมาสู่สภาพเดิม แต่อย่างหนึ่งที่ทั้งพระและหมอผีพูดเหมือนกันคือ
“บ้านนี้มีแต่ผี”
หลังจากนั้นก็ยังคงมีเรื่องราวแปลกๆ อีกหลายครั้งอย่างเช่น ฝักบัวเปิดเอง เสียงเด็กวิ่งเล่น เสียงดนตรีไทยและเงาของนางรำที่สนามหน้าบ้าน เสียงร้องไห้ที่ดังมาจากห้องน้ำหลังบ้าน ข้าวของตกแตก ครั้งหนึ่งเขาได้ยินเหมือนเป็นเสียงของรองเท้าคอมแบทหลายคู่กระทืบลงกับพื้นเป็นจังหวะคล้ายการเดินสวนสนาม ที่ช่องตรงบันไดเองก็เคยมีใบหน้าของผู้ชายที่ไหนไม่รู้โผล่ขึ้นมาวางอยู่ตรงนั้น
“มันเหมือนกับบ้านพี่มีผีใหม่ๆ มาเพิ่มทุกวัน จนพี่แทบจะเป็นบ้าไปจริงๆ”
พี่ป้อมดูเครียดมากจริงๆ จากที่เล่าให้ผมฟัง อีกคืนที่ทำให้เขากลัวบ้านหลังนี้คือ เขาฝันว่ามีคนแก่มาเดินวนเวียนอยู่ในห้องนอนของเขา พี่ป้อมขยับตัวไม่ได้ เปลือกตาหนักและลืมได้แค่ครึ่งเดียว ในภาพอันเลือนรางนั้นเขาเป็นเห็นคนแก่ ที่คิดอย่างนั้นเพราะผิวหนังของมือที่เหี่ยวย่น และมือนั้นแข็งทื่อตรงไม่ไหวไปตามแรงของการก้าว
เงาร่างของคนแก่สองคนเดินวนเวียนอยู่รอบๆ ห้อง รอบๆ เตียงที่สามคนพ่อแม่ลูกนอนอยู่
แต่สาเหตุที่ทำให้เขาเลือกจะออกจากบ้านหลังนั้นจริงๆ คือช่วงเดือนหนึ่งหลังจากนั้น นอกจากเรื่องผีสางพวกนี้แล้ว ก็เหมือนกับเขาเริ่มจะเครียดมากเกินไปจนกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่ค่อยมีสติมากนัก ทำให้มีปากเสียงกับพี่น้อยบ่อย ส่วนของที่ทำงานเองก็เหมือนกับจะเจอปัญหาวุ่นวายในทุกๆ วัน
วันหนึ่งที่เขานั่งกุมขมับจากอาการเครียดอยู่ในห้องนอนของตัวเอง และเป็นครั้งที่เขารู้สึกเครียดกับปัญหาที่จัดการไม่ได้ เครียดจนร้องไห้ออกมาคนเดียว เขาไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรดีกับเรื่องราวรอบตัวทั้งหมด
“ตอนที่พี่ร้องไห้อยู่พี่ได้ยินครับ”
“ได้ยินอะไรครับ”
“ได้ยินเสียงผู้หญิงบอกให้พี่ผูกคอตาย”
พี่ป้อมลูบแขนตัวเองอย่างหวาดระแวง นั่นคงเป็นความทรงจำที่น่ากลัวมากสำหรับเขา
เขาเล่าให้ผมฟังว่า เขานั่งกุมขมับเครียดอยู่ตรงนั้น หัวปวดตุบ ร่างกายร้อนผ่าวไปทั่วทั้งตัว น้ำตาที่พยายามกลั้นแต่ก็ห้ามไว้ไม่อยู่ ท่ามกลางสภาวะเลวร้ายนั้นเขาได้ยินเสียงเรียบๆ เย็นๆ ของหญิงสาวที่ดังแว่วอยู่ใกล้หูแต่ไม่รู้ที่มา
“เครียดเหรอ ฆ่าตัวตายสิ ผูกคอตายสิ”
เสียงนั้นดังเบาๆ แต่กลับทรงอิทธิพล สติของพี่ป้อมค่อยๆ เลือนราง เหมือนกับเวลาเมาเหล้า เขาตกอยู่ในภวังค์อะไรบางอย่าง เสียงนั้นยังกระซิบอยู่เรื่อยๆ เป็นจังหวะ พี่ป้อมบอกว่า เขาจำเสียงนั้นได้ดี มันชัดเจนมาก
พี่ป้อมเลือกทำอย่างนั้นจริงๆ เขาใช้เข็มขัดของตัวเองห้อยกับใบพัดของพัดลมเพดานห้อง เก้าอี้แต่งหน้าของพี่น้อยถูกนำมาวางบนเตียงแทนแท่นเหยียบ
เข็มขัดหนังตอนนั้นถูกรัดเป็นห่วงคล้องกับใบพัดอันหนึ่ง เสียงกระซิบเย็นเยียบยังดังอยู่เหมือนกับการสะกดจิต พี่ป้อมรู้ว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร แต่เขาไม่กลัว ในใจตอนนั้นกลับคิดว่ามันคือ ทางออก ทุกอย่างจะเบาสบายและจบลงในเพียงอึดใจ
พี่ป้อมสอดใบหน้าของตัวเองเข้าไปในบ่วงของเข็มขัด เขาเดินออกมาข้างหน้าปล่อยให้เท้าหลุดลอยออกจากเก้าอี้ที่เคยเหยียบ ใช่ เขาทำมันจริงๆ
ระหว่างที่เล่ามาถึงตรงนี้ พี่ป้อมก้มหน้าซบกับฝ่ามือร้องไห้จนโต๊ะข้างๆ หันมามองอย่างสงสัย
ความรู้สึกเบาสบายเกิดขึ้นในความรู้สึก มันเบาสบายเหมือนกับปัญหาต่างๆ จะหลุดลอยไปกับลมหายใจที่กำลังติดขัด เสียงที่เคยกล่อมเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างพอใจ
จากความมึนเมาในภวังค์กลายเป็นความเจ็บปวดและทรมาน เพราะหายใจไม่ออก น้ำหนักตัวที่มากเกินกว่าคอเล็กๆ นั้นจะรับไหว สายเข็มขัดหนังยิ่งรัดแน่นเข้าที่คอจนรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่อย่างนั้นไม่กี่วินาที ดีที่เขาไม่ใช่คนผอม
ใบพัดที่มีไว้เพื่อตกแต่งให้สวยงามไม่สามารถรับน้ำหนักของเขาได้อีก มันหักและร่วงลงมาพร้อมๆ กับตัวของพี่ป้อม
ความเจ็บปวดที่ลำคอยังคงอยู่ เขาร้องไห้โฮด้วยความกลัว ก่อนที่พี่น้อยจะวิ่งขึ้นมาบนห้องเพราะได้ยินเสียงโครมคราม พี่ป้อมมาถึงขีดสุดของชีวิตแล้วจริงๆ เขาพูดให้ภรรยาเข้าใจและขอให้ป้าแขกกลับบ้านตัวเองไปก่อน แล้วจะจ่ายเงินตามให้ทีหลัง
เมื่อพี่น้อยเข้าใจแล้วทุกอย่างก็ง่ายขึ้น ทั้งสามคนเก็บของออกจากบ้านหลังนั้นในคืนเดียวกัน และไม่ได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกเลย เว้นแต่ครั้งเดียวที่เข้าไปจัดการปิดบ้านให้เรียบร้อย เพราะยังไม่กล้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆ
“แล้วพี่อยากให้ผมทำยังไง” ผมถาม แม้พอจะเดาได้
“พี่อยากได้บ้านคืนครับ บ้านพ่อแม่พี่ พี่อยากอยู่ที่บ้านหลังนั้น”
ใช่ครับเป็นอย่างที่ทุกคนคาดเอาไว้ ผมถูกพาไปที่บ้านหลังนั้นเพื่อหวังว่าจะจัดการอะไรได้บ้าง และท่าทางของพี่ป้อมเองก็ยืนยันว่า เรื่องที่เล่ามานั้นเป็นเรื่องจริงจากเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้า ร่างกายที่กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุก
บ้านหลังนั้นสวยมากครับ น่าอยู่มาก ผมยังอยากได้เลย แต่นั่นคือลักษณะภายนอกที่รับรู้ได้จากสายตาเท่านั้น เพราะความรู้สึกอื่นๆ ของบ้านนั้นเรียกว่า ไม่ต่างจากป่าช้าเลยสักนิดเดียว
อาจเพราะเป็นเวลาหลักปีที่ไม่มีใครมาดูแล บ้านมันรกร้างอย่างมาก สกปรก และไร้กระแสแห่งความมีชีวิตชีวา อย่างนี้แหละพวกวิญญาณเร่ร่อนจะชอบนัก
ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไป ความคลื่นเหียนวิงเวียนก็เข้ามาปะทะจนหายใจไม่ทั่วท้อง ผมจำเป็นต้องตั้งสติสูดหายใจเข้าออกให้ลึกๆ เพื่อรับกับสัมผัสที่ไม่น่ารื่นรมย์นี้ บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยพลังงานด้านลบ หรือก็คือ พวกวิญญาณที่ตายไม่ดีนั่นเอง
พี่ป้อมพาผมกับเพื่อนพี่เขาอีกคนที่เป็นคนรู้จักของผมเดินสำรวจไปตามห้องต่างๆ จนผมสะดุดตากับห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่ถูกใส่กุญแจไว้แน่นหนา
“ห้องอะไรครับ”
“ห้องพระครับ แต่ตอนนั้นเจออะไรบ่อยมาก เลยปิดตายไปเลย”
พี่ป้อมเล่าให้ฟังว่า ห้องพระนั้นจะเปิดประตูไว้ตลอดเวลาตามความเข้าใจที่มีของพี่ป้อม เพราะถูกแม่กับพ่อสอนมาอย่างนั้น แต่ช่วงหลังๆ เวลาเดินผ่านหรือมองมาที่ห้องนี้มักจะเห็นเงาร่างของใครบางคนนั่งอยู่ในห้อง หนักเข้าก็เห็นเป็นเงาร่างนั้นเดินเข้าออกห้องนั้นกันจะๆ จนต้องปิดตายเอาไว้ด้วยความกลัว
“คืนนี้นอนนี่กันครับ”
คำพูดจากปากของผมเหมือนฟ้าผ่าสำหรับคนทั้งสอง ตอนแรกพวกเขาปฏิเสธสุดกู่ แต่ผมบอกว่าถ้าไม่รู้สาเหตุจริงๆ ก็ไม่รู้จะแก้ยังไง แต่จะให้ผมนอนคนเดียวมันก็หวิวๆ อยู่ ผมให้เลือกว่าจะให้ผมไปพาเพื่อนตัวเองมานอนด้วย หรือพวกพี่ๆ จะนอนกับผมในคืนนี้
ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคนจึงตัดสินใจนอนเป็นเพื่อนผมโดยไม่ได้ทำความสะอาดบ้านแต่อย่างใด พวกเราแค่ปัดกวาดห้องนั่งเล่นให้พออยู่ได้ และนอนรวมกันตรงนั้น
ทั้งสองคนพาผมกลับไปส่งที่มหาวิทยาลัยก่อน เพื่อไปเตรียมข้าวของ และแยกย้ายกันไปกินข้าวเย็นของตัวเอง ผมหยิบข้าวของไม่กี่ชิ้นมาจากห้องพักแล้วให้เพื่อนไปส่งที่ลานพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรในมหาวิทยาลัยเพื่อรอให้พี่ป้อมมารับ
ผมเดินไปสักการะท่านและเหม่อมองท่านเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผมไม่มั่นใจเลยว่าผมจะผ่านเรื่องราวพวกนี้ไปได้จริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะได้กลับออกมาอย่างปลอดภัยไหม และที่มากไปกว่านั้นผมมักจะถามท่านในใจเสมอว่า ที่ผมเป็นและทำอยู่นี้ ผมไม่ได้บ้าไปเองใช่ไหม ผมยังสติดีอยู่ เรื่องราวเหล่านี้ยังมีอยู่ ผมยังไม่ใช่คนบ้าใช่ไหม
อีกครั้งที่ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่า ท่านคงจะได้ยินความคิดโง่ๆ ในใจของผม ธูป 16 ดอก ที่ผมเพิ่งปักลงในกระถางใหญ่ของลานพระบรมรูปค่อยๆ ลุกติดไฟอย่างช้าๆ ทั้งที่มันดับไปแล้ว สายฝนบางๆ ค่อยพรมลงบนลานเย็นชื่นใจ
นิสิตและผู้มาเยือนคนอื่นๆ วิ่งแจ้นกันไปที่รถของตัวเองเพื่อรีบกลับหอพักก่อนที่ฝนจะลงหนัก เหลือไว้แค่ผมกับเพื่อนที่มาส่งในวันนั้นที่ยังคงนั่งอยู่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝนโปรยลงมาอย่างนี้ ธูปในกระถางยังคงติดไฟลุกจนกลายเป็นเถ้าในไม่กี่นาทีถัดมา ฝนพรมลงมาพอให้เย็นใจเหมือนกระแสเมตตา ที่ปลอบประโลมให้กำลังใจมนุษย์โง่งมตัวเล็กๆ ที่นั่งบ่นอยู่ตรงนั้น
ผมกับเพื่อนก้มกราบเหมือนอย่างในทุกๆ ครั้ง ผมเอื้อมมือไปหยิบเอาเถ้าธูปนั้นใส่ถุงพลาสติกมัดปากและพกมันไปด้วยในคืนนี้
หลังจากเรื่องราวที่สระแก้วในกระทู้แรก ผมมักจะมานั่งเหม่อที่นี่บ่อยๆ ด้วยความเชื่อว่าท่านจะคุ้มครองและดูแลพวกเราเสมอและตลอดไป
ไม่นานนักพี่ป้อมก็เข้ามารับที่ลานพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวร ผมก้าวขึ้นรถด้วยความลังเลและไม่มั่นใจเหมือนในทุกๆ ครั้งที่ต้องเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องราวเหล่านี้
ไฟในบ้านถูกเปิดให้สว่างทุกดวงตลอดคืน เพราะความกลัวของทั้งสองคน ผมนั่งฟังเพลงอยู่ที่โซฟาตัวนั้น เวลาล่วงเลยไปครึ่งคืน คนทั้งสองก็หลับไปเหลือไว้แต่ผมที่ยังลืมตาอยู่
ท่ามกลางเสียงเพลงจากหูฟังมันค่อยๆ มีเสียงแทรกสอดเข้ามาทีละนิด เสียงนั้นเป็นเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ผมมั่นใจ ผมกดปิดเพลงแต่ไม่ได้เอาหูฟังออกจากหู
ผมเงี่ยหูฟังเสียงนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เหมือนกับเจ้าของเสียงจะรู้ เพราะเสียงนั้นเงียบหายไป
ผมใช้มือสะกิดเขี่ยคนทั้งสองให้ตื่น เพราะตอนนี้มีเสียงอื่นดังขึ้นมาแล้ว
เสียงฝีเท้าที่พี่ป้อมเคยเล่าให้ฟัง บัดนี้มันดังขึ้นอีกครั้ง ผมนับไม่ถูกว่ามันมาจากเท้ากี่คู่ แต่มันก็เยอะมากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกกลัว เสียงดนตรีไทยแว่วมาตามลมจางๆ พร้อมกับเสียงเคาะกระจกที่ดังวนอยู่รอบๆ บ้าน
พวกเราได้ยินเหมือนกันทั้งสามคน เว้นแต่เสียงหนึ่งที่ผมได้ยินเพียงคนเดียว นั่นคือเสียงสวดบริกรรมคาถาที่แว่วมาตามลมอีกเช่นกัน
เสียงนี้ผมคุ้นเคยและรู้จักมันดี มันคือเสียงบริกรรมของพวกเดรัจฉานวิชา ในบางค่ำบางคืน คนเหล่านี้จะปล่อยวิชาให้ลอยตามลมมา หากมีใครทัก ใครดวงตกก็จะได้รับของมาอย่างไม่ตั้งใจ หรือที่เราเรียกกันว่า ลมเพลมพัด
บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยกระแสลบ จึงไม่แปลกที่มันจะดึงดูดของพวกนี้เข้ามาด้วย และเมื่อบ้านมีของเหล่านี้อยู่ ก็ไม่มีทางที่คนในบ้านจะอยู่กันได้อย่างมีความสุข
เสียงหมาที่พร้อมใจกันหอนดังอยู่หน้ารั้วบ้าน ผมชะโงกหน้าออกไปดูที่หน้าประตูก็เห็นว่าหมาประมาณสิบตัวมานั่งรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น และที่สนามหญ้าหน้าบ้านนั้นก็มีภาพของนางรำคนหนึ่งปรากฏอยู่ เธออยู่ในชุดทรงเครื่องครบ แต่ชฎานั้นแตกหักที่ส่วนยอด
เธอหันหน้าเข้าศาลพระภูมิและเริ่มร่ายรำไปมาตามจังหวะเพลงที่ได้ยินเบาๆ
แสงไฟในบ้านวูบไหว มันเหมือนกับหนังแต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ คนทั้งสองขยับตัวเข้าใกล้ผมอีกนิด พอดีกับที่ฝนค่อยโปรยปรายลงมาจนกลายเป็นฝนห่าใหญ่ที่หนักจนน่ากลัว
คืนนั้นกรมอุตุฯ บอกว่าจะมีพายุเข้า แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปตามที่เขาพยากรณ์ เสียงฝนดังสลับกับเสียงอื่นๆ ที่ผิดปกติ
พวกเราไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย ปล่อยให้สิ่งผิดปกติเหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างนั้นอีกพักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังเพิ่มขึ้นมา มันคือเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายเหล็กที่เสียดสีกัน
เสียงนั้นดังมาจากชั้นสองของบ้าน เสียงมันคล้ายพัดลมเก่าๆ ที่ได้หมุนไปมาอย่างช้าๆ คนที่กลัวที่สุดคือพี่ป้อมอย่างแน่นอน เขากลัวมันจนตัวสั่น
พวกเรายังนิ่งฟังอยู่จนเสียงนั้นเงียบหายไป และในสายตาของผมก็ปรากฏเห็นเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหัวมุมบันได เธออยู่ในสภาพคอที่เอียงไปข้างหนึ่ง ดวงตากลม ถลนเกือบหลุดออกมานอกเบ้า ลิ้นอ้วนๆ นั้นจุกปากจนเต็ม
เธอยืนมองผม ผมคิดว่าอีกสองคนไม่น่าจะได้เห็นเหมือนที่ผมเห็น ภาพนั้นน่ากลัว ผมยอมรับ เธอชี้นิ้วมาที่ผม ราวกับจะไล่ผมให้ออกไป
ปัง!
จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากประตูกระจกข้างห้องนั่งเล่น เสียงนั้นเหมือนมีคนมาเคาะมันอย่างแรง เสียงดังครั้งหนึ่ง แล้วย้ายไปดังอีกครั้งที่อีกมุมของบ้าน
ตอนที่ผมตกใจเผลอหันไปมองที่กระจกบานนั้น พอหันกลับมา หญิงสาวคอเอียงคนเดิมก็ขยับเข้ามาใกล้จนห่างจากผมประมาณห้าเมตรเห็นจะได้
พี่ป้อมเริ่มหอบและมีอาการหายใจไม่สะดวก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวหรือเพราะเธอคนนี้
ผมกระชับแหวนในมือที่เป็นตัวแทนสิ่งที่ผมเคารพและครูบาอาจารย์ของผมให้แน่นเข้า ผมไม่กล้าหลับตา แต่พยายามสวดบทบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจเพื่ออัญเชิญให้ท่านมาคุ้มครอง
และในนาทีนั้น ผมก็คิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา ผมหยิบโทรศัพท์มาดูเวลามันดึกมากแล้ว แต่ในตอนนี้ผมต้องการคำแนะนำจากท่านจริงๆ ผมต่อสายหา ปู่ ทันทีแม้ว่าอาจจะโดนบ่นสักเล็กน้อย
“ปู่ครับ ขอโทษที่รบกวนดึกๆ ครับ”
“ไม่เป็นไร ว่าไง”
“ถ้าเราเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของพวกผีไม่ดี เราต้องทำยังไงครับ”
“ไล่เขาไปสิ ถ้าไล่ไม่ได้ ก็หาคนที่ไล่ได้ เชิญเขามา ไม่ก็เรียกหาเจ้าของที่แต่เดิมน่ะ”
นั่นคือคำแนะนำของปู่ในคืนนั้น ผมรีบวางสายเพราะไม่อยากรบกวนเวลาปู่มากนัก บอกตามตรงว่า ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะต้องเชิญใคร ศาลพระภูมิของบ้านนั้นก็ว่างเปล่าไม่มีเทวดาองค์ใดรักษาอยู่
“ฉันอยู่ที่นี่ค่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของผมเหมือนมีใครต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง ความรู้สึกบอกผมว่าเสียงนั้นเชื่อถือได้ และผมก็เลือกที่จะเชื่อเสียงนั้น
ผมพนมมือแผ่เมตตาให้ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของเสียงนั้น ให้เขาได้มีแรงและมีอำนาจมากพอจะมานำทางผมหรือบอกอะไรกับผมอีกสักอย่างหรือสองอย่าง
ตุ้บ!
เสียงของแข็งๆ ร่วงลงกระทบพื้นชั้นสองอย่างแรง เราสามคนมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ แต่ผมก็ต้องตามเสียงนั้นไปให้ได้โดยเร็ว แต่หญิงสาวคอเอียง ยังมองพวกเราอยู่ ผมหยิบเอาถุงพลาสติกที่มีเถ้าธูปนั้นอยู่มาถือไว้ และกำลังคิดว่าจะใช้มันอย่างไร
แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร ในหัวผมก็ได้ยินเสียงช้างและม้าดังขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับที่เธอคนนั้นหายไปจากบริเวณ
เราสามคนเดินขึ้นมาบนชั้นสองและพยายามมองหาของที่ร่วงอยู่ แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
ตุ้บ!
อีกครั้งที่มีเสียงของตกลงมาที่พื้น และครั้งนี้ชัดเจนว่า มันดังมาจากข้างในห้องพระของบ้าน เราสามคนมองหน้ากันด้วยคำถาม
“ผมว่าต้องเปิดแล้วล่ะครับ”
“จะดีหรอครับน้อง พี่กลัวๆยังไงไม่รู้” พี่ป้อมพูดเสียงสั่นๆ
ผมยืนยันว่าอย่างไรก็จะต้องเปิดประตูห้องนั้นออกมาให้ได้ เพราะผมเชื่อว่าในนั้นน่าจะมีทางออกของเราอยู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
พี่ป้อมควานหาดอกกุญแจจากกุญแจพวงใหญ่ในมือ เพียงชั่วอึดใจเขาก็หาเจอเพราะว่าที่ตัวลูกกุญแจนั้นจะมีชื่อติดไว้ทุกอัน
แม่กุญแจที่ไม่ได้ถูกไขเปิดมาเป็นเวลานานจึงทำให้มันฝืดด้วยสนิมและฝุ่นต่างๆนาๆที่เข้าไปอุดตันอยู่ในนั้น พี่ป้อมพยายามออกแรงบิดลูกกุญแจจนนิ้วมือแดงไปหมด
ระหว่างที่ไขนั้นเสียงแปลกๆที่เราได้ยินมาโดยตลอดก็ยังไม่หายไป อีกทั้งยังมีอีกเสียงหนึ่งสอดประสานขึ้นมาเบาๆ นั่นคือเสียงร้องไห้ของหญิงสาวคนหนึ่ง ผมไม่ได้เห็นว่าเธออยู่ที่ใดและมีลักษณะอย่างไร รับรู้แต่เพียงว่าเสียงนั้นช่างเศร้าสร้อยและเจ็บปวดทรมาน
แกร๊ก!
เสียงไขกุญแจดังขึ้นทำให้ผมหันกลับมาดู แม่กุญแจถูกปลดออกแล้ว พี่ป้อมออกแรงบิดและผลักประตูบานนั้นให้เปิดออก กลิ่นอับในห้องกับฝุ่นผงตีกลับออกมาทันทีที่อากาศภายนอกไหลเข้าไปแทนที่
ผมไอโขลกรู้สึกอยากอ้วกเพราะกลิ่นนั้นแรงมาก ผมกลืนน้ำลายกดอาหารเย็นที่กำลังจะไหลย้อนขึ้นมาให้ลงไปในกระเพาะตามเดิม
ผมสูดหายใจเข้าออกพร้อมเอายาดมที่พกประจำยัดเข้าจมูกไว้อย่างนั้น
แปลก แม้ว่าห้องนั้นจะมีกลิ่นอับจนน่าเวียนหัว ฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ทำให้หายใจไม่สะดวก แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านในกลับรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก
ในห้องนั้นเป็นห้องเล็กๆมีหน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่ ภายในไม่มีตู้หรือเก้าอี้เฟอร์นิเจอร์อะไรตกแต่งเอาไว้ นอกจากโต๊ะหมู่บูชาขนาดกลางที่ตั้งชิดผนังห้องฝั่งหนึ่ง
บนโต๊ะหมู่นั้นไม่มีอะไรผิดสังเกต สิ่งที่ถูกวางเอาไว้เป็นพระพุทธรูปและเทวรูปต่างๆ ข้าวของทุกชิ้นถูกปกคลุมด้วยฝุ่นจนเปลี่ยนสีไปหมด
แต่สิ่งเดียวที่ดึงดูดสายตาของผมเอาไว้คือกลุ่มเงาดำที่รวมกันเป็นรูปร่างอยู่กลางห้องนั้น และเมื่อสังเกตมองดีๆจะเห็นว่าเงาดำนั้นตั้งอยู่บนเบาะสำหรับไหว้พระ
เงาร่างนั้นอยู่คู่กันสองกลุ่มก้อนเช่นเดียวกับเบาะที่ถูกวางเอาไว้สองชิ้นห่างกันประมาณหนึ่ง ภาพนั้นน่าจะมีผมเห็นเพียงคนเดียวเพราะพี่ๆทั้งสองไม่ได้แสดงอาการผิดปกติอะไรออกมา
ในความรู้สึกนั้นค่อนข้างชัดเจนว่าดวงวิญญาณตรงหน้านั้นไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร ผมจึงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นๆ พี่ทั้งสองที่เห็นดังนั้นก็แปลกใจและทำตาม
ผมบอกให้พี่ป้อมเอื้อมมือไปปิดประตูห้องพระเสียก่อน เพราะความรู้สึกน่าขนลุกจากภายนอกยังไม่หายไป
ประตูบานนั้นปิดลงแล้ว หน้าต่างที่ปิดสนิทเอาไว้ก็ไม่ได้ถูกเปิดออก การหายใจยังเป็นเรื่องยากในห้องนั้น ผมขออนุญาตความหาข้าวของบางอย่างที่น่าจะยังหลงเหลืออยู่ในห้องพระเล็กๆ นี้
ไม่นานผมก็เจอของที่ตามหา มันเป็นของสามัญทั่วไปที่น่าจะมีอยู่ในทุกๆ ห้องพระ ผมจุดธูปและเทียนให้สว่างส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้อง
พี่ป้อมแง้มหน้าต่างออกนิดหนึ่งเพราะกลัวว่าจะหายใจไม่ออก ผมบอกให้พี่ๆ ทั้งสองก้มลงกราบพระด้วยกันอย่างสั้นๆ ไม่ได้สวดบทยาวอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือผมอยากให้พี่ป้อม แผ่เมตตาระลึกถึงบุญใดๆ และผู้มีพระคุณให้มาช่วยเหลือ เพื่อเปิดทางหาทางออกในครั้งนี้
มันได้ผล เงาดำที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในความรู้สึกปนกับภาพที่เห็นด้วยตาเปล่า ที่ตรงนั้นปรากฏเป็นเงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งสองคนดูอายุมากแล้ว แต่ยังฉายแววใจดีให้เห็น
“พี่ป้อมรู้จักผู้หญิงที่มีไฟตรงปาก กับผู้ชายที่มีรอยแดงๆ ตรงหน้าผากข้างๆ ตาไหมครับ”
สิ้นสุดคำถามนั้น น้ำตาของพี่ป้อมก็ไหลออกมาและเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกชั่วครู่หนึ่ง เมื่อตั้งสติได้แล้วเขาก็หันกลับมาให้คำตอบที่พอจะคาดเดาได้
“พ่อกับแม่พี่เองครับ”
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดและคิดว่าคงจะไม่ผิด เงาดำที่เดินเข้าออกห้องพระนี้มาโดยตลอด คงจะเป็นวิญญาณของสองท่านนี้เอง รวมไปถึงเงาร่างของคนแก่คู่หนึ่งที่เดินวนเวียนไปมาอยู่รอบๆ เตียงของพี่ป้อมก็น่าจะใช่ท่านทั้งสอง
ผมถามท่านในใจว่าเหตุผลที่ยังวนเวียนอยู่นั้นคืออะไร ลูกหลานไม่ดูแลหรือว่าติดใจอะไรอยู่หรือไม่ แต่คำตอบนั้นก็ไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะเหตุผลที่ทั้งสองยังวนเวียนอยู่นั้นมันเกิดมาจากความห่วงใย หลังจากทั้งสองคนได้จากไปแล้วพวกท่านก็รับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในบ้าน
วิญญาณเร่ร่อนจากไหนไม่รู้หลายดวงค่อยๆ ทยอยเข้ามารบกวนคนในบ้าน และอาศัยอยู่ในนั้นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ยิ่งตอนนี้ครอบครัวมีเจ้าตัวเล็กเพิ่มขึ้นมา นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองรู้สึกเป็นห่วงและวนเวียนอยู่ภายในบ้านไม่จากไปไหน
ดวงวิญญาณของทั้งสองนั้นทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากเคลื่อนไหวไปมา วนเวียน ตามความกังวลที่ติดอยู่ในดวงจิต พี่ป้อมยังคงร้องไห้ เพราะคิดถึงและรู้สึกผิดที่เข้าใจว่าพ่อและแม่ของตนเป็นวิญญาณร้ายที่มาสร้างความกลัวให้คนในบ้าน จนเขาตัดสินใจปิดตายห้องพระที่เขาเพิ่งนึกออกว่าในวันที่พ่อแม่ยังอยู่ ทั้งสองคนจะเข้ามากราบพระเป็นประจำทุกคืน และพระประธานบนหิ้งนั้นก็เป็นของที่ได้เก็บมาจากบ้านเก่าเช่นกัน
พ่อและแม่ของพี่ป้อมเคลื่อนตัวไปใกล้ๆ ลูกและยืนมองอยู่อย่างนั้น เหมือนอยากจะกอดเพื่อปลอบประโลมหัวใจ แต่ก็ทำไม่ได้ ทั้งสองได้แค่เฝ้ามอง แต่พี่ป้อมก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
แม้จะเป็นภาพที่น่าประทับใจ แต่มันก็คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่ควรสักเท่าไหร่ในเวลานี้ ผมพยายามสื่อสารกับดวงวิญญาณทั้งสอง ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยากมาก เพราะพวกเขาไม่มีแรง แรงบุญที่เคยสะสมมาก็คงจะใช้เพื่อปกป้องคนในบ้านมานานพอสมควรแล้ว
การแบ่งบุญให้ทั้งสองจึงเป็นสิ่งจำเป็น ผมหยิบเอาถุงพลาสติกใบเดิมออกมาถือไว้แล้วโรยมันลงในกระถางธูปเก่าของบ้าน บรรยากาศยิ่งปลอดโปร่งขึ้นอีกประมาณหนึ่ง
พร้อมๆ กันนั้นก็มีเสียงคล้ายวัตถุกระทบพื้น เพดาน หรือกำแพงบ้านก็ไม่แน่ใจดังสนั่นติดกันประมาณสามครั้ง เหมือนต้องการจะแสดงความไม่พอใจ
ผมก้มลงกราบพระอีกครั้ง พยายามอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่าที่พอจะนึกออกในเวลานั้นมาประทับบนโต๊ะหมู่นี้ และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพุทธคุณ
เมื่อได้อย่างนั้นเทียนและธูปจึงถูกจุดขึ้นใหม่อีกชุดหนึ่ง วิญญาณทั้งสองดวงนั้นลุกขึ้นค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากห้องไป ผมที่เห็นภาพนั้นเพียงคนเดียว จึงต้องเป็นคนนำทางอีกสองคนไปตามเส้นทางที่ดวงวิญญาณนั้นนำไป
เทียนเล่มใหม่อีกสองเล่มถูกแบ่งให้พี่ทั้งสองถือไว้คนละเล่ม แสงไฟจากเทียนถูกจุดต่อมาจากเทียนบนโต๊ะหมู่ และผมกำชับให้พี่ทั้งสองหยิบไฟฉายติดมือมาด้วยในตอนที่เดินผ่านโซฟาด้านล่าง
ไฟฉายที่พี่ป้อมเตรียมมานั้นอันใหญ่มาก น่าจะมีไว้สำหรับงานกลางคืนหรือไม่ก็เวลาเดินป่า แสงของมันเป็นสีขาวสว่างจ้า
เราเดินตามวิญญาณทั้งสองลงมายังชั้นล่าง ตัดออกไปที่ประตูหน้าบ้าน ผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาหันไปมองนางรำคนเดิมที่เคยร่ายรำอยู่ตรงสนามหญ้า ตอนนี้เธอไม่ได้ร่ายรำอยู่ แต่เธอขึ้นไปนั่งอยู่บนลานแคบๆ ข้างตัวศาลของศาลพระภูมิ
เธอนั่งห้อยขาแกว่งไปมาอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาที่ไร้แววของเธอจ้องมองมายังผม ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นมีสีเขียวอมม่วง ยิ้มเล็กๆ อย่างพอใจ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเธอนั้นต้องการจะสื่ออะไรกับผม แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีเจตนาร้ายสักเท่าใดนัก
พวกเราเดินอ้อมเข้ามาที่ช่องแคบๆ ข้างบ้าน เพียงเลี้ยวผ่านมุมบ้านไปนั้นดวงวิญญาณทั้งสองก็ลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พี่ป้อมที่เดินตามมา ยืนตัวแข็งทำตัวไม่ถูก เพราะช่องแคบนี้คือที่ที่เขาเอาศาลเก่าจากบ้านหลังเดิมมากองไว้ และตอนนี้มันก็ยังคงถูกวางไว้ที่เดิม
แสงไฟจากไฟฉายดวงใหญ่ถูกสาดไปที่ศาลเก่าอันนั้น ฝนที่ยังคงตกลงมาทำให้พวกเราเปียกไปทั่วทั้งตัว การเคลื่อนไหวลำบากพอสมควร
ผมกับพี่อีกคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้ศาลนั้นทีละก้าวอย่างไม่มั่นใจ
ฮือ..
เสียงร้องไห้ที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้งในอากาศ คราวนี้พวกเราได้ยินพร้อมๆ กันทั้งสามคน ผมพยายามหลับตาหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่สามารถระบุที่มานั้นได้
ฮือ...
ผมเดินเข้าไปใกล้ตัวศาลให้มากกว่าเดิม และมันก็น่าจะเป็นดังนั้น เพราะทุกครั้งที่เราขยับเข้าใกล้ศาล เสียงร้องไห้นั้นจะดังขึ้นเรื่อยๆ
เราค่อยๆ ขยับเท้าเข้าไปใกล้ จนตัวผมที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดยืนชิดติดกับตัวศาล ผมกลั้นใจรวบรวมความกล้าเอื้อมมือไปแตะที่ปูนเย็นๆ นั้น
ความรู้สึกที่แล่นปลาบเข้ามาในหัวใจ คือความเจ็บปวดทรมาน และความเศร้าที่อธิบายไม่ถูก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่ควรมีอยู่ในศาลพระภูมิที่น่าจะเป็นที่อยู่ของพระภูมิเท่านั้น
“ผมว่าในศาลนี้มีอะไรอยู่”
ผมพูดกับพี่ๆ ทั้งสอง แต่พวกเขาก็ไม่มีข้อคิดเห็นใดตามมา ผมจึงขออนุญาตตัดสินใจเอาเองโดยพลการ
ไฟฉายดวงใหญ่ถูกแขวนเอาไว้กับชั้นวางของใกล้ๆ นั้น แสงสว่างของมันมากพอที่จะทำให้เรามองอะไรได้ถนัดตา ผมขอให้ใครก็ได้ไปเอาค้อนมา โดยที่ผมเองก็ลืมไปแล้วว่าพี่ทั้งสองปล่อยให้เทียนดับไปตั้งแต่ตอนไหน
แม้จะกางร่มออกมาจากบ้าน แต่ลมที่พัดเอาเม็ดฝนลอดเข้ามาก็ทำให้เราเปียก และเทียนก็ดับไปโดยที่เราก็มัวแต่พึ่งแสงสว่างจากไฟฉายจนลืมสังเกต
ระหว่างที่พี่ๆ ไปหาค้อน ผมปลีกตัวเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน เพื่อเอาเทียนไปต่อไฟ เพราะไฟที่จุดมานั้นมันยังมีความสามารถในการปัดเป่าสิ่งไม่ดีอยู่ การจะจุดใหม่ข้างล่างก็ไม่ต่างอะไรจากเทียนทั่วๆ ไป
ผมเอาไส้เทียนที่เปียกฝนจี้ไปที่เปลวไฟของเทียนตรงโต๊ะหมู่ ผมต้องจ่ออยู่นานกว่ามันจะติด เพราะความชื้นของไส้
เมื่อเทียนติดดีแล้ว ผมก็หันหลังกลับจะออกจากห้องพระมา แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องผงะจนแทบจะเข่าอ่อน ที่หน้าห้องพระนั้นแม้จะสว่างไปด้วยไฟเพดานของบ้าน แต่ตอนนี้ที่ว่างตรงนั้นถูกเติมเต็มด้วยภาพของเด็กๆ นับสิบคน
เด็กๆ กลุ่มนั้นมีหลากหลายช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กทารกไปจนถึงเด็กสิบขวบ พวกเขาจ้องมองมาที่ผมนิ่งๆ เหมือนต้องการจะบอกอะไร สายตาพวกนั้นน่ากลัว แต่ก็น่าสงสาร
“จะเอาอะไร” ผมทำใจดีสู้เสือ
“กลับบ้าน”
ใครคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดคำนี้ออกมา ความรู้สึกจากคำพูดนั้น สั่นสะท้านหัวใจที่เคยหวาดกลัวให้เต็มไปด้วยความเวทนา ตอนนี้ผมได้เข้าใจแล้ว เหล่าเด็กน้อยไม่ได้มีเจตนาร้าย และพวกเขาก็ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง พวกเขาต่างถูกพรากมาจากบ้านอันเป็นที่รักของตนเหมือนๆ กัน
ผมใช้แขนปาดน้ำตาที่รื้นออกมา แล้วก้าวเท้าออกจากห้องนั้นด้วยความตั้งใจที่มากกว่าเดิม เด็กๆ หลีกทางให้ผมและยืนมองอยู่อย่างนั้นไม่ได้เดินตามมาแต่อย่างใด
แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเป็นอย่างนั้น หญิงสาวคอเอียงคนนั้นมายืนขวางทางผมก่อนที่จะเดินออกจากตัวบ้านไปสู่ภายนอก เธอจ้องมองผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ดวงตาของเธอแม้จะไร้แวว แต่ก็ชัดเจนด้วยแรงอาฆาตและความไม่พอใจ
“กลูจะอยู่ที่นี่”
เธอพูดกับผม แต่ผมไม่ได้ตอบกลับไป ผมมองเธอนิ่งๆ แม้ว่าลึกลงไปในใจผมจะรู้สึกกลัว แต่ภาพของเด็กๆ เหล่านั้นมีอิทธิพลกับผมมากกว่า อีกทั้งความทุกข์ของพี่ป้อม และความห่วงใหญ่ของพ่อกับแม่ สิ่งเหล่านั้นมีน้ำหนักมากกว่าความคิดตื้นๆ ของวิญญาณตรงหน้า
ผมไม่สนใจและกำลังจะเดินผ่านเธอไป เธอส่งเสียงกรีดร้องดังเข้ามาในความคิดจนผมเวียนหัว เธอพยายามแสดงฤทธิ์หรืออำนาจใดๆ ที่เธอมี แต่มันก็เท่านั้น วิญญาณไม่เคยทำอะไรไปได้มากกว่านั้น หากจิตใจของเรามั่นคงและมีสติเพียงพอ
“กลูจะแช่งมลึง” เธอตวาด
“ก็ลองดู”
ผมตอบเธอไปอย่างนั้นและเดินออกจากบ้านมาพร้อมๆ กับที่เธอเลือนรางหายไปในอากาศ และที่ศาลพระภูมิหน้าบ้านนั้น นางรำคนเดิมไม่ได้นั่งอยู่บนนั้นแล้วแต่ลงมายืนบนสนามหญ้าแทน
เธอมองผมด้วยรอยยิ้มที่ใจดีกว่าเมื่อสักครู่มาก และภาพที่ทำให้ผมอมยิ้มได้คือ เด็กๆ เหล่านั้นมายืนแอบอยู่ใกล้กับเธอเหมือนรอคอยคำสัญญาจากผม
ผมเดินกลับไปที่ช่องแคบนั้นโดยมีพี่ๆ ทั้งสองคนรออยู่ ผมวางร่มที่ใช้คอหนีบมาตลอดทางลงโดยเอามือป้องเทียนไว้ไม่ให้ดับ
พวกเราช่วยกันสำรวจความผิดปกติของศาล แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากตุ๊กตาบริวารที่แตกหักไปตามกาลเวลา
“พลิกดูข้างใต้ไหมครับ”
ผมเสนอความคิดเพราะนั่นน่าจะเป็นที่เดียวที่เหลืออยู่แล้ว ตัวศาลส่วนบนถูกยกลงมาวางไว้ที่พื้นข้างๆ กัน ตัวเสานั้นแยกออกจากกันได้ เราวางมันนอนลงกับพื้นแล้วก้มมองดูที่ข้างใต้เสานั้น
ศาลพระภูมิบางศาลจะมีเสากลวงบ้างจะเป็นเสาตันแล้วแต่จะเลือกซื้อ ซึ่งศาลนี้เป็นแบบกลวง ข้างในนั้นมีปูนสีแดงถูกโบกปิดเอาไว้ลึกเข้าไปสักหนึ่งไม้บรรทัด
ปูนแดงนั้นชัดเจนว่ามันไม่ได้มีมาตั้งแต่เดิม แต่มันเพิ่งถูกนำมาประกอบใหม่ไม่นานมานี้ ผมบอกให้พี่เขาทุบทิ้งในทันทีเพราะต้องการดูว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่
เสาปูนถูกทุบจนแตกละเอียด ที่ข้างในนั้นมีกะลามะพร้าวขัดอย่างดีถูกใส่เอาไว้ลูกหนึ่ง ที่แกนด้านบนของมันถูกเจาะเป็นรูและอุดไว้ด้วยผ้าแดงหนึ่งผืน
ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือพร้อมความรู้สึกคลื่นไส้รุนแรงจนต้องหันไปอ้วกออกมาจริงๆครั้งหนึ่ง ผมกลั้นใจหยิบจุกผ้านั้นออก
ข้างในน่าจะมีอะไรบรรจุไว้บางอย่างแต่ไม่สามารถใช้มือล้วงเข้าไปได้ ผมสวดมนต์บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ และบทถอนคุณไสยที่ปู่ให้ติดตัวไว้ก่อนจะทุ่มมันลงที่พื้นอย่างแรง
กะลาขัดมันนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆจากแรงทุ่มเผยให้เห็นของที่ใส่ไว้ข้างใน สิ่งที่ถูบรรจุไว้นั้นน่าขนลุก มันคือหุ่นดินปั้นตัวหนึ่งที่ถูกเขียนชื่อเอาไว้บนเนื้อดิน ข้างในนั้นมีเศษเล็บและผมผสมอยู่ดูน่าเกลียด ข้างๆกันมีห่อผ้าขาวที่ข้างในบรรจุเศษเสื้อผ้า และกระดาษใบเล็กๆที่เขียนชื่อวันเดือนปีเกิดไว้อย่างละเอียด พร้อมกับวันที่อีกชุดหนึ่งที่เขียนกำกับว่า มรณะ
สิ่งที่น่าขนลุกที่สุดคือกระดาษอีกใบหนึ่งที่อยู่ข้างในกะลาขัดมันนั้นเช่นกัน มันเป็นกระดาษที่ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆแต่พออ่านได้ ทั้งหมดนั้นมันคือคำแช่ง
“กลูขอไม่ให้มลึงได้ผุดได้เกิด ถึงตายไปแล้วกลูก็จะจองเวรมลึง”
ผมโยนทุกอย่างลงที่พื้นเพราะรู้สึกอ่อนแรง ผมไม่คิดเลยว่าคนเราจะเคียดแค้นกันได้ขนาดนี้ แค้นกันจนสาปแช่งแม้กระทั่วดวงวิญญาณหลังจากเขาตายลง ยามเป็นต้องไม่สุข ยามตายต้องไม่สงบ นั่นคงเป็นความตั้งใจของผู้ที่ทำพิธีกรรมนี้ และศาลเก่าอันนี้คงถูกใช้เป็นเครื่องประกอบพิธีในตอนที่มันถูกนำไปกองทิ้งไว้ที่ข้างทาง
พี่ป้อมทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นเพราะได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่ไม่ควรเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เลยจริงๆ
ผมมองข้าวของพวกนั้นแล้วหยิบมันมารวมกันไว้ในถุงพลาสติก ผมฉีกตุ๊กตาดินปั้นออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้อักขระยันต์ที่ถูกจารไว้เสียสภาพ
เพราะผมรอการมาถึงของเธอคนนี้อยู่ เธอที่ส่งเสียงร้องไห้มาโดยตลอด เธอที่ทำได้แค่ส่งเสียงเบาๆอย่างไร้ตัวตน ตอนนี้เธอนั่งอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
หญิงสาวในชุดสีดำสกปรก ผมของเธอสั้นจนเกือบเป็นทรงของผู้ชาย ใบหน้านั้นคงเคยงดงามในยามมีชีวิต แต่วันนี้ไม่ใช่ เธอดูน่าเกลียดน่ากลัวจากสิ่งที่เธอทำ และสิ่งที่เธอถูกกระทำ เธอร้องขอให้ผมช่วย แต่นั่นยังไม่ถึงเวลา เธอต้องเล่ามาเสียก่อนว่า มันเกิดอะไรขึ้น
ผมขอรวบรัดสิ่งที่เธอเล่าให้ฟังเพียงสั้นๆว่า ยามมีชีวิตเธอเป็นคนสวยแต่เลือกทางผิด เธอเลือกที่จะไปเป็นเมียน้อยชาวบ้านเขา ไม่ใช่แค่ตัวแต่รวมถึงเงินทองทรัพย์สิน มารยาหญิงเธอมีครบและทำให้ครบครัวนั้นพังไม่เป็นท่า สิ่งที่เธอทำส่งผลให้ต้องทนทรมานอยู่อย่างนี้ ประกอบกับความแค้นของฝั่งเมียหลวงที่ลงทุนทำพิธีสาปแช่งดวงวิญญาณของเธอด้วยความเคียดแค้น
ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้เพราะเธอทำตัวเอง ผมทำได้แค่ปล่อยเธอจากอวิชชาเท่านั้น ส่วนกรรมเธอต้องรับมันไปเอง แต่อย่างน้อยผมอยากให้เธอได้สร้างบุญ โดยการช่วยเหลือชายคนนี้และเหล่าเด็กๆ
“ช่วยเขาได้ไหม บ้านหลังนี้เกิดอะไรขึ้น”
พี่ๆทั้งสองไม่เข้าใจที่จู่ๆผมก็พูดกับอากาศ เพราะทั้งสองคนไม่ได้เห็นเหมือนกับผม เธอพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะคลาน ใช่ครับ เธอคลานไม่ได้เดินไป นั่นคงเป็นการแสดงออกตามความทรมานรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
ผมเดินตามเธอลึกเข้าไปในช่องแคบนั้น พี่ป้อมเดินตามผมมาอย่าง งงๆ ว่าผมรู้ทางได้อย่างไร ทางนั้นเป็นทางอ้อมเข้าไปส่วนของเรือนเล็ก ที่เคยเป็นที่พักของป้าแขกก่อนจะย้ายเข้ามานอนในบ้าน
เราเดินลัดเลาะกำแพงบ้านมาถึงประตูเรือนเล็กแล้ว พี่ป้อมไขกุญแจเข้าไปข้างในนั้นที่อับชื้นไม่แพ้กับที่อื่นๆ แต่สำหรับผมในห้องนี้ไม่ต่างอะไรจากกองขยะ
ผมรู้สึกเหม็นอับจนแทบจะอ้วกออกมาอีกครั้ง กลิ่นเหม็นน่าขยะแขยงที่คุ้นเคยยามต้อนไปเจอกับพวกของไม่ดีในที่ต่างๆ กลิ่นที่ไม่มีวันจะทำใจให้ชินกับมันได้เสียที
วิญญาณหญิงสาวนั้นคลานเข้ามาในห้องนี้และเงยหน้ามองขึ้นไปบนฝ้าของห้อง ไฟในห้องถูกเปิดพร้อมกับที่เธอก็หายไปจากตรงนั้น
ผมขอให้พี่ป้อมต่อบันไดขึ้นไปให้ถึงฝ้าและเปิดดูว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่
“ถ้าน้องพูดอย่างนี้มันต้องมีแน่ๆครับ” พี่ป้อมหันมาพูด
“ก็น่าจะครับ เลยต้องเปิดมาดู”
“งั้นเอาอย่างนี้แทนได้ไหมครับ”
ผมไม่เข้าใจคำพูดนั้น แต่พี่ป้อมไม่ได้ดันแผ่นฝ้าขึ้นและโผล่หัวเข้าไปดู เขาคงจะกลัวว่าจะเจออะไรในที่มืดๆแคบๆนั้น พี่ป้อมจึงใช้ค้อนในมือทุบฝ้าจะแตกและพังลงมากับพื้นแทน
สิ่งที่ร่วงลงมาบนพื้นนั้นทำให้เราทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างสยดสยอง เพราะมันคือตุ๊กตาเสียกบาล ตุ๊กตากุมาร เศษศาล ผ้าสามสี พวงมาลัยแห้ง ต่างๆนาๆเกินสามสิบชิ้น
พวกนั้นทำเอาผมขาอ่อนไปเหมือนกันส่วนพี่ป้อมนั้นลงไปนั่งกับพื้นแล้ว พี่ป้อมทนไม่ไหวกับสิ่งที่เห็นจริงๆจึงขอให้พวกเรากลับออกไปก่อน
พวกเราเดินกึ่งวิ่งกลับมาบนรถของพี่ป้อม โดยระหว่างทางผมแอบมองไปยังศาลเก่าที่เพิ่งทุบไป เธอคนนั้นกลับไปนั่งคุดคู้อยู่ข้างๆศาลตามเดิม เธอคงต้องติดอยู่อย่างนั้นไปอีกนาน
เราขับรถออกมาจอดในที่สว่างตรงตลอดใกล้ๆหมู่บ้าน พวกเรารอจนพระอาทิตย์ขึ้นสว่างและกลับเข้าไปในบ้านหลังนั้นอีกครั้ง
ของที่พบเจอในฝ้านั้นเป็นหุ่นตุ๊กตาและข้าวของต่างๆที่น่าจะพบได้ตามศาลทั่วๆไปแต่มันเก่ามาก และไม่ควรจะมาอยู่ในบ้าน สิ่งที่สะดุดตามากคือหุ่นกุมารนับสิบตัวที่เรียงรายกันอยู่บนพื้น นั่นคงจะเป็นเด็กๆพวกนั้น หุ่นนางรำที่มีตำหนิตรงชฎา เชือกเก่าๆเส้นหนึ่งคงเป็นหญิงคอเอียงคนนั้น และของอื่นๆอีกหลายชิ้นที่น่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องบ้าๆพวกนี้
ข้าวของทั้งหมดรวมถึงของในกะลาขัดมันถูกนำใส่เมรุและจัดการบังสุกุลในวัดใกล้ๆ ขณะที่ควันลอยออกจากปล่องเมรุผมได้ยินเสียงหัวเราะที่สดใสของเด็กๆกลุ่มหนึ่งดังแว่วอยู่ในอากาศ และนั่นคือค่าจ้างของผมสำหรับงานนี้ ผมคิดอย่างนั้น
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วเราก็ได้มานั่งคุยกันอีกครั้ง ผมสอบถามถึงป้าแขกคนที่ว่า ผมอยากคุยอยากเจออยากถามว่าเขาทำอย่างนี้ทำไม แต่คำตอบก็ค่อนข้างน่าใจหาย ป้าแขกเสียไปแล้ว น่าจะประมาณครึ่งปีหลังจากพี่ป้อมย้ายออกมา
ก่อนหน้าที่เธอจะเสียรวมไปถึงช่วงปลายๆที่เข้ามาช่วยงานในบ้าน ป้าแขกถูกหวยติดกันแทบทุกงวด และก็ได้เยอะเกือบจะทุกครั้ง จนครั้งสุดท้ายที่ได้ข่าวว่าถูกไปหลายแสน แต่ไม่ถึงเดือนเธอก็ตายลงด้วยอาการป่วย
ทุกอย่างค่อนข้างเชื่อมโยงกัน คนบ้าหวยก็มักจะดั้นด้นไปตามที่ต่างๆที่เขาว่าเฮี้ยนว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเอาของพวกนั้นมาไว้กับตัวเสียล่ะ ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย
ศาลของที่บ้านนั้นเมื่อถูกนำกลับมาคงจะเป็นจุดเริ่มต้นดึงดูดของไม่ดีเหล่านี้เข้ามา ป้าแขกเองก็คงนับได้ว่าเป็นของไม่ดีชิ้นหนึ่ง และอาถรรพ์ของมันก็ค่อยๆดึงอาถรรพ์อื่นๆเข้ามาร่วม จนสุดท้ายบ้านหลังนี้ก็เต็มไปด้วยวิญญาณดวงใหม่ๆอยู่เสมอ จากนักสะสมผู้บ้าหวยคนนั้น
ทำไมเธอถึงตาย? คำตอบง่ายๆหากเราเชื่อเรื่องบาปบุญ เอาของเขามาอย่างไรก็ต้องใช้คืน ถูกหวยเป็นแสน สุดท้ายทำได้แค่ซื้อโลง
ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย พี่ป้อมกำลังจะย้ายเข้าบ้านในอีกไม่กี่วัน แต่ผมก็ยังคาใจอยู่ว่า ที่พี่ป้อมฝันเห็นพ่อกับแม่มานั่งร้องไห้นั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปหาคำตอบอะไรอีก ผมไม่ได้รับรู้เบื้องลึกต้นตอใดๆมากนัก แต่ความเป็นห่วงความรักลูกก็คงจะมีมากกว่าความยึดติดใดๆ สุดท้ายผมก็แค่ได้มาพบกับพวกเขาในวันที่เรื่องมันบานปลายไปแล้วเท่านั้น
บางอย่างก็ยังคลุมเครือแต่ก็ต้องปล่อยมันไว้อย่างนั้น
ศาลเก่าของบ้านถูกนำไปทำลายโดยละเอียดและเอาไปทิ้งในที่ทิ้งขยะ แต่ดูเหมือนว่าดวงวิญญาณของหญิงสาวคนนั้นจะไม่ได้ไปสู่สุขคติด้วย เธอยังคงต้องวนเวียนทนทุกข์ทรมานกับกรรมที่เธอสร้าง และในเช้าวันนั้นที่ผมเห็นเธอในหอพัก วันที่ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้
มันอาจหมายถึงบุญครั้งสุดท้ายที่เธอจะทำได้ วิทยาทาน อุทาหรณ์ หรืออะไรก็ตามที่เรื่องราวของเธอจะสะกิดใจใครได้บ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยบุญนี้ก็คงพอทำให้เธอได้พบทางสว่างสักวันหนึ่ง
ขอบุญทั้งหลายจงสำเร็จแก่เธอและขอให้เธอหลุดพ้นในเร็ววัน
.......................................................................
ปล.เรื่องบางเรื่องหากไม่ใช่คนในเหตุการณ์ก็คงยากที่จะมายืนยันว่ามันจริงหรือไม่อย่างไร และผมก็ไม่ได้คิดจะมาบังคับใครให้เชื่อ
ปล.2 เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หากไม่ถูกใจขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ขอบคุณครับ
ลอยชาย.
………………………………………………………………………………………
จากพันทิป สวัสดี(ผี)ใหม่
เรื่องโดย LoyChinE FB ลอยชาย
ฉันสบายดี... ขอบคุณ
"I’m fine, thank you" คำที่คุ้นจนโตตั้งแต่ตอนเราเรียนวิชาภาษาอังกฤษ และเรื่องราวต่อไปนี้ "ฉันสบายดี... ขอบคุณ" จากพันทิปโดยนักเขียนผู้มีพรสวรรค์ในการเขียนและเล่าเรื่องที่ดีเช่นเคย คุณ Rhythm in the Air หรือ กฤตานนท์ ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องเกิดที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง โรงเรียนนี้เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงป.๖ โดยนักเรียนตั้งแต่ ป. ๔-๖ จะมีสอนวิชาภาษาอังกฤษ
เพิ่มขึ้นมาในหลักสูตร โดยคุณครูที่รับหน้าที่สอนมีสองท่านซึ่งเป็นสามีภรรยากัน สมมุติฝ่ายชายชื่อบุญ ฝ่ายหญิงชื่อเอม
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นครูเอมรับหน้าที่เหมาสอนโดยส่วนมาก เพราะสามีควบตำแหน่งโค้ชทีมวอลเล่ย์บอลอีกตำแหน่ง
ทำให้ติดภารกิจอยู่บ่อยครั้ง
“Good morning teacher”
“Good morning, how are you today?”
“I’m fine, thank you and you?”
“I’m fine, thank you sit down”
“Thank you teacher”
เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นๆ กับประโยคเหล่านี้ เช้า สาย บ่าย มักมีเสียงท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองดังลอดออกมาจากห้องเรียนเป็นประจำ
ครูเอมชื่นชอบให้นักเรียนเปล่งเสียงดังฟังชัด ในขณะที่ครูเองก็ชอบสปีคอิงลิช จนบางครั้งเด็กๆ แม้แต่ครูบางท่านก็ใบ้รับประทาน
ไม่รู้ว่าครูเอมพูดอะไร
บุคลิกครูเอมเป็นที่สะดุดตาของทั้งนักเรียนและครูท่านอื่น ครูเป็นคนรูปร่างผอม แก้มตอบ ผมดัด หน้ายาวนิดๆ ปากเป็นกระจับ
ชอบทาลิบสติกสีแดงคล้ำ บางครั้งแต้มลิปบนริมฝีปากเพียงแค่แถบน้อยๆ ดูไปมาคล้ายปากของเกอิชาอะไรทำนองนั้น
แต่สิ่งที่เด็กๆ กลัวสุดหากไม่นับไม้เรียวที่ทำจากกิ่งไม้ไผ่ คือดวงตาเรียวเล็ก ตาครูเอมดุมาก บางครั้งแค่จ้องเด็กนักเรียนหญิงร้องห่มร้องไห้ก็มี
ครูเอมเป็นคนแต่งตัวเรียบร้อย ส่วนใหญ่เน้นชุดโทนอ่อน เช่น ขาว ครีม เบจ เขียวอ่อน ชอบใส่กระโปรงจับจีบละเอียด พลิ้วๆ
ใส่รองเท้าส้นสูงสีดำ ไม่ก็แดง เวลาเดินจะมีเสียงดัง ‘ต๊อกแต๊ก’ พร้อมพรมน้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ แค่เดินผ่านจะมีกลิ่นโชยมาเตะจมูก
จนกลายเป็นที่รู้กันในหมู่เด็กเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมพร้อมกับเสียงลงส้นว่า ‘ครูเอมมาแล้ว’
ครั้งหากเด็กทำผิด เป็นเหตุให้ต้องถูกทำโทษ ครูจะมีวิธีลงโทษสองแบบ หนึ่งคือที่กล่าวไว้ด้านบน คือใช้ไม้เรียวหวดตรงก้น ไม่ก็บริเวณขา
กับสองคือใช้มือฝ่ามือลุ่นๆ ตีไปที่ไหล่ของเด็ก (ไม่มีเจตนาลบหลู่ใครนะครับ) แรงบ้าง เบาบ้างตามแต่ระดับความผิดที่ก่อ
ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนชายที่โดน เพราะซนเป็นลิงเป็นค่าง บางครั้งไม่มีเวล่ำเวลาหาไม้คู่ใจ ครูก็ใช้มือนั่นล่ะ ง่ายดี
ป๊าบเข้าให้พอเป็นกระษัยให้หยุดทะโมน
เวลาผ่านไปไม่นาน ครูทั้งสองท่านมีข่าวดีให้ชีวิตที่ครองคู่กันมาหลายปี คือครูเอมตั้งครรภ์ ครูบุญดีใจมาก ประคบประหงมภรรยาอย่างดี
วิงวอนให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน อย่างว่า คนเป็นพ่อย่อมเห่อลูกคนแรกเป็นธรรมดามนุษย์ แต่ครูเอมขอว่าช่วงที่ท้องยังเล็กๆ
อยากมาสอนมากกว่านอนอยู่บ้าน สอนจนท้องสาวเริ่มโตจนมาทีละน้อย (แต่ก็ไม่ป่องจนสะดุดตา) จึงสลับมาสอนบ้าง หยุดบ้าง
เป็นที่รู้จักในหมู่ครูและนักเรียน
ช่วงคาบเกี่ยวปลายฝนต้นหนาว ครูเอมเริ่มแพ้ท้องหนักขึ้น จึงต้องหยุดสอนนานขึ้นเช่นกัน กลายเป็นครูบุญต้องรับภาระสอนทุกชั้น
ครูบุญเป็นผู้ชายใจดี พูดน้อย (แต่ต่อยหนัก) ฝีมือในการตวัดไม้เรียว อยู่ในระดับเดียวกับภรรยาอย่างไม่ต้องสงสัย
จนอยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ครูเอมหายไปสองสามวัน เกิดข่าวลือปูดไปทั่วโรงเรียน เริ่มจากในหมู่ครูและลามมาถึงเด็กๆ ว่า 'ครูเอมเสียชีวิต'
สมัยนั้นหรือสมัยนี้ไม่ต่างกัน ข่าวลือมักมาก่อนข้อเท็จจริง แต่การติดต่อสื่อสารไม่กระชับฉับไวเช่นสมัยนี้
บ่ายวันนั้นจึงมีเสียงซุบซิบนินทาดังกระหึ่ม บ้างแค่บอกว่าแท้ง บ้างบอกว่าตกลูก บ้างบอกว่าข่าวลือทั้งเพ
ทุกอย่างมากระจ่างชัดในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่อคุณครูใหญ่ประกาศว่าครูเอมประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจริงๆ เสียชีวิตทั้งแม่และลูกในบ้านพักครู หากจะพูดแบบชาวบ้านคือ ‘ตายทั้งกลม’ นั่นเอง
ทุกคนที่ทราบข่าวต่างเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณครูเอม
เอาล่ะ เกริ่นกันมาหลายบรรทัด ต่อไปจะเริ่มเข้าสู่โหมดโรแมนติก คอมเมดี้สักที…
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน กลุ่มครูโดยเฉพาะสุภาพสตรีเริ่มจับกลุ่มวิพากษ์กันอย่างออกรส หัวข้อหลักเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ นอกจากเรื่องครูเอม
คุณครูท่านหนึ่งพูดนัยว่ารู้อะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ซึ่งชวนให้ผวากันทั้งโรงเรียนว่า “เชื่อพี่งานนี้เฮี้ยนแน่นอน”
เรื่องแบบนี้ปิดไม่มิดครับ สุดท้ายมันก็รั่วออกมาจนถึงหูเด็กๆ จนได้ น้องๆ อนุบาลถึง ป. 3 อาจจะไม่เท่าไหร่ เพราะยังไม่ประสีประสา
แต่เด็กโต ป. 4-5-6 จิ้งจกยัดไส้ ที่พอเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เฮี้ยน’ นี่สิ กระพือข่าวไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่งลาเวนเดอร์
ภายในเย็นวันเดียวกันจากเรื่องที่ซุบซิบในหมู่ครู เฉพาะภายในรั้วโรงเรียน กระจายไปสู่ผู้ปกครองอย่างรวดเร็ว
ตัดฉับไปวันรุ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นวันที่สองของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของครูเอม ยังคงมีคนซุบซิบกันต่างๆ นาๆ หนักเข้าจนถึงภารโรงสูงวัยชื่อ
ตาเปีย ซึ่งกินนอนอยู่ในโรงเรียนมานาน บารมีเยอะพอตัว พอเห็นเด็กซุกซนไม่พอใจเข้าหน่อยแกชอบขู่เด็กๆ ว่า
“ซนกันเข้าไปเถอะ ประเดี๋ยวครูเอมจะมาหลอกเอา”
คำขู่เริ่มกระฉ่อนไปในวงกว้าง จนเด็กต่างพากันหวาดกลัวกันไปหมด ช่วงพักกลางวัน จะไม่มีเด็กคนใดนั่งเล่นกันในห้องอย่างเคย
พากันออกมาอยู่กลางแจ้งตามสนามเด็กเล่น สนามฟุตบอลกันหมด เนื่องจากกลัวคำขู่ของภารโรงเฒ่า ห้องที่เคยมีนักเรียนหญิง
จับกลุ่มคุยบ้าง เล่นบ้าง กลายเป็นว่างเปล่า
ส่วนช่วงชั่วโมงภาษาอังกฤษ จะกลายเป็น 'Happy hour' ของเด็กๆ เพราะไม่มีการสอน ครูบุญก็ยุ่งกับการจัดเตรียมงานศพของภรรยา
ดังนั้นกลายเป็นว่าชั่วโมงภาษาอังกฤษจะมีครูท่านอื่น ให้การบ้านเป็นการฝึกคัดลายมือภาษาไทยไปแทน
วันถัดมาซึ่งเป็นวันที่สามที่ครูเอมเสียชีวิต จิตปรุงแต่งจนรู้สึกว่าบรรยากาศภายในโรงเรียนดูวังเวงพิกล แสงแดดช่วงสิบโมงดูเหมือนฉาบไปความความขมุกขมัวจนดูเหมือนโทนซีเปียไปซะอย่างนั้น และวันนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นภายในรั้วโรงเรียนต่อเนื่องไปอีกหลายวัน
เริ่มจากช่วงสาย มีเด็กนักเรียนหญิงคุยในหมู่เพื่อนว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดกระโปรงสีขาวพลิ้วๆ แถวห้องน้ำหญิง
ข่าวลือช่วงสายวันนั้นแรงมาก มีเด็กนักเรียนหญิงมากกว่าหนึ่งพูดตรงกันว่าเจอผู้หญิงเดินเข้าๆ ออกๆ ห้องน้ำ แต่ไม่เห็นหน้า
เห็นแค่ชายกระโปรงลับไปตามซอกมุมหรือผลุบเข้าไปในห้องน้ำ ลือหนักจนถึงขั้นที่ว่าครูใหญ่ต้องสั่งให้ตาเปียไปปิดห้องน้ำหญิง
ในส่วนนั้นชั่วคราว ใส่กุญแจ ห้ามเด็กเข้าใช้ กลายเป็นว่าโซนห้องน้ำหญิงกลายเป็นพื้นที่เปลี่ยวที่ไม่มีเด็กคนใดเฉียดเข้าไปใกล้
บ่ายวันเดียวกันเมื่อชั่วโมงภาษาอังกฤษขาดคนสอน เด็กผู้ชาย ป. 6 แสนคะนองที่ไม่มีเรียนจึงออกมาเล่นและเมื่อได้ยินข่าว
ก็จับกลุ่มกันได้สักสิบคน ดอดไปซุ่มดูห้องน้ำหญิงที่ถูกปิดชั่วคราว นั่งดูกันนานสองนาน ไม่มีเหตุผิดปกติ จนใกล้เลิกเรียนนั่นล่ะ
จะเลี้ยงแกะกันรึเปล่ามีแต่เจ้าตัวที่รู้ แต่เด็กผู้ชายกลุ่มดังกล่าว อยู่ๆ ก็วิ่งกรูฝุ่นตลบ ผ่านห้องเรียนของนักเรียนชั้นอื่นๆ ที่เปิดโล่ง
ร้องเอ็ดตะโรเสียงดังว่า 'ผีครูเอมอยู่ในห้องน้ำ'
เสียงโหวกเหวกดังลั่นไปหมด เท่านั้นล่ะ เหล่าครูที่กำลังมีสอนอยู่วิ่งออกมาเอ็ดเด็กกลุ่มนั้นยกใหญ่ โดนหวดกันไปคนละทีสองที
แจ้นกลับห้องแทบไม่ทัน หลังจากวันนั้น หลายคนรู้สึกว่าบรรยากาศภายในโรงเรียนดูเปลี่ยนไปจริงๆ เหมือนอบอวลไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง
รู้สึกขนลุกขนพองโดยไม่มีสาเหตุ ภายในห้องเรียนวังเวงไปหมด หลายคนคงเคยสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้ คือไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ชัดเจน
แค่รู้สึกว่าแม้กระทั่งแสงแดดเปรี้ยงยังดูแสนอึมครึม
หลังจากวันที่เกิดเรื่อง ปรากฏว่าสองโมงครึ่งฟ้าแจ้งจางปาง ผู้ปกครองนักเรียนก็มายืนออรอเต็มสนามเด็กเล่น เพื่อรอรับบุตรหลานกลับบ้าน
รถรับส่งประจำทางก็เข้าคิวกันอย่างรีบร้อน เพราะหวาดกลัวข่าวลือวิญญาณผีตายทั้งกลม พอเลิกเรียนสามโมงปุ๊บ ไม่ถึงสามโมงครึ่ง
โรงเรียนกลายเป็นดินแดนเปลี่ยนร้างของสม็อคไปเลย คือเงียบมาก ไม่มีเด็กคนใดอยู่เล่นบอล เล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นแม้แต่คนเดียว
อย่าว่าแต่เด็ก คุณครูก็เผ่นกลับบ้านเรียบวุธ งดกิจกรรมหลังเลิกเรียนทุกชนิด เด็กคนใดไม่มีผู้ปกครองมารับ ไม่มีรถรับส่ง
จะรีบเดินเรียงแถวยาวเหยียดหลายสิบคนโดยมีครูนำขบวน
ด้านล่างเป็นภาพประกอบ โซนห้องเรียนของนักเรียน ป.5-6 / ห้องน้ำหญิงที่ร่ำลือกันสนั่นรั้วโรงเรียน อยู่บนซ้าย
วันถัดมา เป็นวันที่ต้องจดจำว่าสร้างความฉงนผสมหวาดกลัวให้เด็กนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง เริ่มจากช่วงพักกลางวัน เด็กป. 6
ที่บอกว่าเจอบางสิ่งในห้องน้ำ มาจับกลุ่มกันที่โต๊ะอาหาร เล่ากันเป็นฉากๆ ถึงเรื่องที่เกิดบ่ายวานนี้ ว่าในขณะที่กำลังจับตาดูห้องน้ำหญิง
ที่งดใช้บริการ พวกเขาได้ยินเสียง ‘ต๊อกแต๊ก’ ดังอยู่ด้านใน ถัดมาได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ จึงพากันถอยมาตั้งหลัก
ระหว่างที่กำลังสองจิตสองใจว่าจะเผ่นดีหรือไม่ ก็เห็นมือขาวซีดจับที่ระแนงไม้แนวตั้งเป็นซี่ๆ ซึ่งกั้นระหว่างผนังกับหลังคา มีเสียงครูดยาว
เหมือนอะไรบางอย่างเสียดสีกับไม้ ถัดจากนั้นกลุ่มเด็กน้อยซึ่งไม่มีใครรู้ว่าพูดเรื่องจริงหรือไม่บอกว่าเห็นตาเรียวเล็กของใครคนหนึ่ง
โผล่อยู่ในความมืดระหว่างซี่ระแนงไม้ เท่านั้นก็เพียงพอให้ทุกคนกลับหลังหัน เผ่นแน่บไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องตะโกนว่า
'ผีครูเอมอยู่ในห้องน้ำ' ดังที่ได้เกริ่นไปเมื่อข้างต้น
เรื่องเล่าชวนเขย่าขวัญทำให้เด็กๆ กลัวกันมากไม่กล้ามองห้องน้ำหญิง กลัวกันแค่ไหนล่ะ? ก็ถึงขนาดที่คุณครูต้องลงทุนปิดประตูห้องเรียน
ฝั่งซ้ายตามภาพด้านบน
ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน อากาศมืดครึ้มทั้งที่ไม่มีเมฆฝน ลมเย็นพัดผ่านจนรู้สึกสั่นสะท้าน เสียงใบไม้จากข้างห้องเรียนตีสะบัดชวนให้ยิ่งวังเวง
ด้วยสภาพกลอนที่เก่าแก่ขึ้นสนิมเกรอะกรัง ล็อคไม่สู้จะอยู่ ทำให้ประตูไม้อายุหลายสิบปีถูกลมพัดกระแทกกับวงกบส่งเสียงดังเป็นระยะ
จนครูผู้สอนรู้สึกระอาจึงให้เปิดประตูทุกห้อง แล้วกลับไปยืนสอนตามเดิม ทำให้ไม่มีผู้ใหญ่เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว
มีแต่สายตาเกือบ 30 คู่ของเด็กน้อย ป.4-5-6 จิ้งจกยัดไส้ที่นั่งฝั่งซ้ายมือในภาพเห็นเหตุการณ์ชวนฉงนสนเท่ห์ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องลี้ลับ
หรือเพราะใครอุตริเล่นพิเรนก็ไม่อาจทราบได้
หลังจากที่เปิดประตูทุกห้องเพียงไม่นาน ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น มีเสียงเหมือนคนเดินดัง ‘ต๊อกแต๊ก’ ลอยตามลม ครูผู้สอนอาจจะไม่ทราบ แต่เด็กที่นั่งด้านข้างพากันจับตามองไปที่ห้องน้ำหญิงกันเกือบทุกคน บางคนอยู่ใกล้ได้ยินชัดเต็มสองหู ก็ชะเง้อชะแง้โผล่หัว
ออกมานอกห้องเรียนทีละคนสองคน คนใดอยู่ไกลเข้าหน่อยอาจไม่ได้ยินเสียงรองเท้าลงส้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เห็นเหมือนกันหมดคือ
บริเวณระแนงไม้ห้องน้ำหญิงที่ด้านในมีแต่ความมืดมิด อยู่ๆ มีกระดาษทิชชู่หนึ่งม้วนถูกหย่อนออกมาจากด้านในห้องน้ำที่ถูกล็อค!?
ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้างตามแต่ตำแหน่งการนั่ง แต่บ่ายนั้นเด็กนักเรียนหลายคนขนลุกซู่กับภาพที่เห็นไปเรียบร้อย
กระดาษทิชชู่สีขาวสะอาดสะอ้านเตะตา ถูกหย่อนออกมาจากด้านในห้องน้ำ ผ่านระแนงไม้ ทิ้งตัวผ่านผนังและตกลงบนพื้น
มันกลิ้งไปเป็นเส้นตรงจนกระดาษหมด แกนกระดาษสีเทาหลุดออกจากม้วน ส่วนกระดาษทิชชู่ถูกลมพัดพลิ้วไหวท่ามกลางความตกตะลึงของเด็กๆ กระดาษสีขาวพลิ้วเอื่อยๆ ไปมาอยู่สักพัก จึงค่อยๆ ถูกดึงกลับเข้าไปในห้องน้ำ!?
จะเป็นอุบัติเหตุหรือใครคึกคะนองเล่นพิเรน ณ ตอนนั้นไม่ใครทราบ แต่ที่แน่ๆ เด็กๆ หลายคนฟันธงดังฉับตามประสาเด็กน้อยเรียบร้อยว่า
‘ครูเอมมาแล้ว’
เสียงฮือฮาดังระงมพร้อมกัน เสียงโต๊ะเก้าอี้ครูดไปกับพื้น เด็กหลายคนผงะกับภาพที่เห็น พากันออกมานอกห้องเรียน
จนครูประจำชั้นต้องออกมาถามว่าเกิดอะไรกันขึ้น เด็กขึ้นหนึ่งพูดทันทีเลยว่า
“ผีครูเอมปาทิชชู่ออกมาจากในห้องน้ำ”
แน่นอนว่าครูย่อมต้องพูดว่าเด็กโกหก ตาฝาด แต่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวว่าเห็นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
เดือดร้อนต้องไปตามตาเปียซึ่งกำลังนอนพักในช่วงบ่ายมาเปิดห้องน้ำพิสูจน์ให้จะแจ้งกันไปเลย แกดูหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกกวนใจ
ปลดล็อคไปบ่นไปไม่หยุด และภาพที่ปรากฏสร้างความแปลกใจให้แก่สายตาครูและภารโรงขี้ยัวะเป็นอย่างมาก เพราะภายในห้องน้ำห้องหนึ่ง
มีกระดาษทิชชู่กองใหญ่ทิ้งอยู่บนพื้น
ตาเปียดูไม่เชื่อ คิดว่ามีเด็กซุกซนที่ไหนมาเล่นอุตริแบบนี้ ส่วนครูก็เอาแต่อึกอักพูดอะไรไม่ออก ใจน่ะคงเชื่อบ้าง
แต่ด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิจำต้องสงวนท่าทีไว้ และบอกว่าไม่มีอะไร สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดประตูล็อคห้องน้ำตามเดิม
ตาเปียโชว์ให้ครูดูว่าแกใส่แม่กุญแจเรียบร้อยแล้วนะ หลังจากเด็กทยอยกลับห้องเรียน แกก็บ่นกระปิดกระปอยกับครูไปตามประสาว่า
ผีเพ่อมีจริงที่ไหน ถ้ามีจริงก็ออกมาให้ดูหน่อย พ่อจะขอแม่นๆ สักสามตัวตรงๆ
คล้ายบ่าย ผู้ปกครองแห่กันมารับบุตรหลานกันแต่หัววัน ข่าวลือเรื่องผีตายทั้งกลมสร้างความหวาดกลัวให้แม้กระทั่งผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ
ส่วนทางคณะครูเริ่มปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดี เพราะเด็กๆ เริ่มงอแงว่ากลัว ไม่อยากมาเรียน สุดท้ายลงความเห็นกันว่า
จะนิมนต์พระมาทำบุญโรงเรียนเป็นวิธีที่ดีที่สุด
(ส่วนต่อไปนี้ ขอเล่าต่อเนื่องไปเลยเพื่ออรรถรส แต่ความจริงเรื่องมาแดงเอาตอนรุ่งเช้าอีกวัน)
เย็นวันพฤหัสบดี หลังจากผู้ปกครองพาบุตรหลานกลับบ้าน คณะครูประชุมกันเรียบร้อย ทุกคนต่างทยอยกันกลับบ้านตามปกติ
เหลือเพียงหนึ่งเดียวคือชายสูงวัย คือตาเปีย ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจนไม่เชื่อเรื่องผีนางนางไม้ใดๆ ทั้งสิ้น
แกมีบ้านพักเล็กๆ อยู่ในอาณาบริเวณโรงเรียน ช่วงกลางวันเป็นภารโรงตกกลางคืนพ่วงตำแหน่ง รปภ. ไปด้วย
หลังจากทุกคนกลับหมดแล้ว ตาเปียทำหน้าที่อย่างทุกวัน คือไปปิดรั้วโรงเรียน ดูก๊อกน้ำและไฟฟ้าว่ามีเปิดทิ้งให้เปลืองทรัพยากรหรือไม่
พร้อมตรวจเช็คประตูหน้าต่างห้องเรียนต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ครูจะสั่งให้นักเรียนปิดก่อนกลับอยู่แล้ว ฉะนั้นตาเปียแค่เพียงตรวจตราเท่านั้น
หลังจากดูในส่วนเด็กเล็กเรียบร้อย จึงตรงไปอาคารของนักเรียน ป. 2-4 ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น อยู่ห่างจากอาคารป. 5-6 เล็กน้อย
(เยื้องไปด้านบนในภาพ แต่ไม่เห็น) อาคารดังกล่าวเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง เวลาเดินจะมีเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ดังบ้างประปรายตามสภาพ
เช่นบันไดบางขั้น ระเบียงบางจุด
หลังจากดูชั้นล่างเรียบร้อย จึงเดินขึ้นไปชั้นบน ผ่านบันไดขั้นหนึ่ง เสียงลั่นดัง ‘เอี๊ยด’
ตาเปียคิดไว้ว่าจะมาซ่อมแซมเมื่อมีเวลาว่าง ภารโรงสูงวัย เดินขึ้นมาถึงระเบียงชั้น 2 ชั้นบนจะมีห้องเรียนประมาณ 5 ห้อง
ด้านหน้าเป็นระเบียงยาวมีระแนงไม้กั้น เลยไปเป็นเสาธงและสนามฟุตบอล
เมื่อเดินไปถึงกึ่งกลาง แกได้ยินเสียง ‘เอี๊ยดด’ ดังมาจากด้านหลัง จึงหันกลับไปมอง แน่นอนว่ามันว่างเปล่า
มีเพียงสายลมปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวพัดมากระทบให้สั่นสะท้านก็เท่านั้น แกสู้อุตส่าห์เดินย้อนกลับไปดูด้วยความสงสัย
นึกว่าอาจจะมีครูท่านใดยังไม่ได้กลับ แต่ก็ไม่พบใคร...
หลังจากตรวจตราชั้นบนเสร็จเรียบร้อย ตาเปียยืนพักเหนื่อยตรงระเบียง สายตามองกวาดเรื่อยๆ มองหาเพื่อนสี่ขา ซึ่งปกติช่วงเย็นย่ำ
จะมีหมาน้อยวิ่งเล่น ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกัดกันจอแจเป็นประจำ บางครั้งมันจะเดินขนาบตาเปียในระหว่างที่กำลังตรวจเช็คความเรียบร้อย
แต่วันนี้หลบลี้หนีหน้ากันไปหมด ตาเปียบ่นเบาๆ ในใจ
“หมา แมวมันหายไปไหนหมดล่ะเนี่ย?”
ชั้นบนอาคารไม้เป็นจุดที่มองเห็นอาณาบริเวณได้กว้างขวาง แกเพ่งหาเพื่อนซี้สี่ขาต่อไป ทางซ้ายซึ่งเป็นสนามฟุตบอลไร้วี่แววสิ่งมีชีวิต
จึงมองไปด้านขวาเป็นสนามเด็กเล่น ถัดไปเป็นอาคารเรียนชั้นเดียวของนักเรียน ป.5-6 (ตามผังด้านบน)
ตาเปียไม่เห็นหมา แต่แกดันเห็นเงาคนสวมชุดพลิ้วๆ เดินหายเข้าไปในห้องเรียนห้องหนึ่ง ณ ตอนนั้นไม่มีสักเศษส่วนเสี้ยว
ที่จะคิดอะไรในแง่ลบ แกยังคิดว่าเป็นครูคนใดคนหนึ่งที่ยังไม่กลับบ้าน ตาเปียรีบเดินลงมาชั้นล่าง ผ่านห้องอาหาร ห้องพักครู
และผ่านห้องน้ำหญิง...
ขนตาเปียลุกวาบขึ้นมาทันที แกเหลือบไปมองทางเข้าห้องน้ำหญิง ด้านในเริ่มมืดจนมองอะไรไม่เห็น มีเพียงแสงอาทิตย์เฮือกสุดท้าย
ทาบอยู่บนผนังปูนด้านในสุดเท่านั้น ตาเปียไม่สนใจ เดินปรี่มุ่งไปยังห้องเรียนสุดท้ายที่เขาเห็นใครบางคนเดินเข้าไป
ประตู หน้าต่างห้องเรียนอื่นๆ ปิดสนิทเช่นทุกวัน มีเพียงห้องหนึ่ง ที่ประตูเปิดอ้าอยู่หนึ่งบาน ตาเปียเดินอยู่บนทางเท้า
ปากก็เรียกไปเรื่อย
“นั่นใคร ครูแหวน (นามสมมุติ) รึเปล่า? เย็นขนาดนี้ยังไม่กลับบ้านเหรอ”
เงียบ... ไม่มีเสียงใดตอบกลับ
“ครูแหวนรึเปล่าครับ” แกเรียกซ้ำอีกครั้ง ยังมีมีใครตอบกลับ
เมื่อเดินไปถึงห้องนั้น ด้านในก็มืดทึบ ตาเปียซึ่งหวังว่ามีใครอยู่ในนั้นกลับไม่พบเงาใครสักคน มีแต่โต๊ะ เก้าอี้ วางเป็นระเบียบเท่านั้น
ความรู้สึกช้าแค่ไหนก็ต้องมีหนาวบ้างล่ะคราวนี้ พยายามคิดในแง่ดีว่า ใครสักคนที่แกเห็นคงเดินสวนออกไปแล้วในระหว่างที่แกกำลังเดินมา
ตาเปียเอื้อมมือไปปิดประตูช้าๆ จากนั้นรีบซอยเท้ากลับบ้านพักอย่างรวดเร็ว แต่เสียงบางอย่างทำให้ภารโรงสูงวัยจำต้องชะงัก
อันที่จริงบอกว่าก้าวไม่ออกคงเหมาะกว่า แกได้ยินเสียงเสียดสีอะไรบางอย่างดังมาจากห้องเรียนที่เพิ่งปิดประตูไปเมื่อสักครู่
มันเป็นเสียงคล้ายชอล์คฝนลงบนกระดานดำ…
ขณะนั้นแสงสุดท้ายกำลังลับขอบฟ้า ไร้เสียงนก หรือสัตว์เลี้ยงคู่ใจ มีเพียงเสียงลมกับเสียง ‘ครืดคราด’ เสมือนชอล์คฝนกระดานดังแว่วอยู่
ตาเปียขนลุกซู่ ใจน่ะอยากจะเผ่น แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้หันกลับไปมอง เขาเห็นประตูที่เพิ่งปิดไปเมื่อตะกี้ ค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง
‘แอ๊ดดดดด’ ตาเปียผงะถอยหลัง ใจเต้นรัวยิ่งกว่ากลองเพล พยายามคิดในแง่ดีว่าเพราะกลอนประตูไม่ดี โดนลมเข้าหน่อยก็เปิดออก
แต่ครั้นจะเดินเข้าไปปิดอีกรอบก็ไม่กล้าพอ แกหันหลังเตรียมวิ่งกลับบ้านพัก แต่ยังไม่ทันก้าวเท้ากลับมีอีกเสียงดังขึ้น
และครั้งนี้มันทำให้ตาเปียแทบล้มทั้งยืน เสียงที่ดังแว่วมานั้นเป็นเสียงผู้หญิง โหยหวนชวนผวาว่า
“I’m fine, thank you."
ฟังเหมือนขำ... แต่คนที่ได้ยินขำไม่ออก ช็อคตาตั้ง ขนลุกพรึ่บตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่รีรอฟังประโยคต่อไป ว่าจะมีใคร Thank you teacher รึเปล่า
หันหลังได้ก็จ้ำอ้าว พอวิ่งไปถึงหน้าสหกรณ์ กำลังจะเลี้ยวเข้าทางเดินมืดๆ ระหว่างห้องน้ำหญิงกับสหกรณ์ แกได้ยินเสียง
‘ต๊อกแต๊กๆ’ ดังมาจากห้องน้ำหญิงอีกรอบ คราวนี้มีแรงเท่าไหร่ใส่ลงไปที่เท้าทั้งหมด
โกยแน่บไม่คิดชีวิตเผ่นออกจากโรงเรียนทางประตูเล็กในหัวค่ำวันเดียวกัน...
เช้าวันถัดมา ผู้ปกครองมาส่งบุตรหลานเช่นเคย ปรากฏว่ายืนออรอกันอยู่หน้าโรงเรียน เพราะประตูใหญ่ล็อค ไม่มีคนเปิด
ต่างพากันงง จนมีครูท่านหนึ่งมาถึง สอบถามกันไปมา ผู้ปกครองบอกว่าเข้าไม่ได้ รั้วล็อคกุญแจ
ต้องรอจนกันอยู่นานกว่าครูอีกท่านที่มีกุญแจสำรองมาเปิดให้ พอเข้าไปในโรงเรียนต้องพบกับความว่างเปล่า
ตาเปียซึ่งควรกวาดสนามอย่างเคยกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เกิดความโกลาหลขึ้น เพราะที่บ้านพักก็ไร้เงาของภารโรง จนครูใหญ่บอกว่าถ้าภายในวันนี้ไม่เจอตาเปีย จะไปแจ้งความ
เรื่องมาแดงเอาตอนเที่ยงๆ เมื่อตาเปียขับมอเตอร์ไซค์เก่าๆ มาที่โรงเรียน ผมสั้นของแกชี้โด่เด่ ปรี่เข้าไปคุยกับครูใหญ่และครูท่านอื่นๆ
สาธยายละเอียดยิบว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเจออะไร จะมีตีไข่ใส่สีบ้างรึเปล่าก็ไม่ทราบ และวันนั้นเรื่องสยองขวัญจากปากภารโรง
กลายเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคนไปโดยปริยาย ตาเปียขอลากลับบ้านทันที ส่วนกลุ่มนักเรียนทะโมนก็กลายร่างเป็นโคนันคุง
พยายามสืบเสาะว่าห้องเรียนที่ว่าคือห้องใดกันแน่ บ้างก็ว่าห้องสุดท้าย เพราะมีรอยขีดเขียนบนกระดานดำตั้งแต่เช้า
บ้างก็ว่าห้องรองสุดท้ายเพราะประตูเปิดอ้าอยู่ แต่คนที่รู้พิกัดดีที่สุดคือมีแต่ตาเปียซึ่งลากลับบ้านไปแล้ว
หลังจากเกิดเรื่องติดกันตลอดสัปดาห์ ในที่สุดวันรุ่งขึ้นทางโรงเรียนนิมนต์พระมาทำบุญเป็นการด่วน เมื่อพระเข้ามาในอาณาเขตโรงเรียน
หลวงตารูปหนึ่งได้เข้าไปพูดกับครูใหญ่ ซึ่งมีเพียงครูใหญ่เท่านั้นที่ทราบว่าหลวงตาพูดอะไร แต่มิวายมีครูท่านอื่นๆ บอกว่าแอบได้ยินมา
ร่ำลือกันไปต่างๆ นาๆ หลวงตาท่านพูดว่า ‘แรงนะ’
เหตุการณ์ช่วงทำพิธี ยังกับละครหลังข่าว ฟ้ามืดครึ้ม ลมกรรโชกแรงตลอดช่วงที่พระภิกษุสวดพระคาถาต่างๆ
ท่ามกลางความอกสั่นขวัญหายของครู นักเรียนและผู้ปกครองที่เป็นห่วงลูกหลาน เสียงลมที่ครางตลอด ทำให้บางคนบอกว่า
ได้ยินเสียงผู้หญิงสะอื้นแว่วมา บ้างก็ว่าได้ยินเสียงคนบ่นพึมพำเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีใครแน่ใจว่าหูฝาดเพราะได้ยินเสียงลม
เป็นเสียงอย่างอื่นหรือไม่ สุดท้ายหลังจากบทกรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ยังกับละครก่อนข่าวอีกครั้ง ลมที่กรรโชกอยู่ก็อ่อนแรงลง
ฟ้าที่เคยครึ้มก็ค่อยๆ เปิดรับแสงตะวันอย่างน่าแปลกใจแก่ทุกคน
หลังจากวันนั้นทุกอย่างดูคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ไม่มีใครพบเห็นหรือได้ยินอะไรแปลกๆ อีกเลย
กลุ่มนักเรียนพยายามสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับตาเปีย แต่ตาเปียนิ่งเงียบไม่เล่าอะไรให้เด็กฟัง ไม่มีท่าทีอวดเบ่งอย่างเคย
แกพยายามเลี่ยงทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่องนี้
เรื่องก็จบลงที่ตรงนี้ ขอบคุณที่ติดตาม ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ