หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

HOME

31 ม.ค. 2563

เปรต ซิฟิก ริม


      เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "เปรต ซิฟิก ริม" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย

เราเป็นคนสทิงปุระ หรือที่มีชื่อในปัจจุบันว่า อ.สทิงพระ
เป็น อำเภอที่มีทุ่งนา และต้นตาลเยอะมากๆ
ถ้าคนเคยผ่านไปย่านชนบทของบ้านเรา ต้องนึกภาพออก
ถ้าพูดถึงต้นตาลเยอะๆ ส่วนใหญ่มักนึกถึงเมืองเพชร
แต่น้ำตาลและสาวๆเมืองสทิงก็เด็ดไม่แพ้เมืองใด
เด็ดยอดกระถินกินน่ะอย่าคิดเยอะ

เราเคยเรียนอยู่วิทยาลัยการอาชีพสมเด็จเจ้าพะโคะ ข้างวัดพะโคะ เรามีเพื่อนโก๊ะๆ ชอบกินส้มตำใส่อายิโนะโม๊ะโต๊ะเป็นช้อนๆ บ้านมันอยู่ออกไปทางทิศตะวันตก ในโซนนั้นจะเป็นทุ่งนากว้างไกล และมีต้นตาลเยอะมากๆ ทิวทัศน์แลดูดีในตอนกลางวัน แต่พอตกกลางคืนบรรยากาศไม่น่าผ่านไปเลย

มีอยู่คืนหนึ่ง เพื่อนคนนี้โทรมาหาเรา มันบอกว่า มันไปรับจ้างเต้นโคโยตี้มา แต่เกิดปัญหาเพราะรถคนที่มาส่ง..เสีย จอดอยู่ข้างทางหลวง ไม่ไกลบ้านเรา ตอนนี้มันแต่งตัวโป๊อยู่ มันกลัวเพราะทางมันมืด ไม่รู้จะเอาช่างจากไหน

เราก็เลยบอกพ่อ พ่อก็รู้จักเพื่อนคนนั้น เพราะพ่อเป็นเกลอกับพ่อมัน พ่อก็บอกให้ไปส่งเพื่อนแล้วกัน เพราะคุ้นทางกันอยู่แล้ว เราก็ขับไปคนเดียว ไม่ถึง5นาทีก็เจอ เราก็เสนอว่า นอนบ้านเราไม๊ มันบอกว่าไม่อยากรบกวนมาก ขอให้เราไปส่งบ้านมันก็พอ เราก็เอ้า ไปๆ

ตอนนั้นก็ขับไป3คน ผ่านทางวัดพะโค๊ะ ลัดเข้าไปในทุ่งนา เห็นเงาต้นตาลอยู่ลิบๆ มันจะมีจุดนึง ที่มีต้นตาลขนาบ2ข้างทาง พอดีพี่ผู้หญิงที่มาด้วยปวดฉี่ทนไม่ไหวแล้ว เลยจอดมืดๆข้างทาง เราก็นั่งคุยกับเพื่อนแล้วชี้ต้นตาล ช่วงนั้นหนังเรื่อง แปซิฟิก ริม เราพึ่งดูมา เราก็ชี้ต้นตาลไปแล้วบอกเพื่อนว่า

"มืง นั่นไง ตาลไคจู"

เพื่อนมันก็ได้ดูหนังเรื่องนี้มาเหมือนกัน มันก็เล่นด้วย มันชี้ไปที่เงาต้นตาลอีกต้นที่มีตันไทรขึ้นแซงติดอยู่ด้วยแล้วบอกว่า

"นั่น ไทร เยเกอร์"

แล้วเราก็นั่งหัวเราะกันคิกๆๆๆๆ ในจิตนาการอันบรรเจิด
พอพี่คนนั้นฉี่เสร็จ เดินขึ้นมาบนไหล่ถนน แกก็บอกว่า นั่งฉี่อยู่ตะกี้ ไม่รู้ทำไม แกเห็นว่าต้นตาลทำไมขยับได้
เราก็ว่าไหนๆ แกก็ชี้ เราก็เลยเพ่งตามอง
เห้ย มีต้นตาลขยับได้จริงๆ แต่ว่าต้นตาลน่ะมีหัวกลมๆด้วย มันไม่ใช่ยอดตาล เราก็กับเพื่อนกรี๊ดดดดดดดดดดๆๆๆๆๆๆ
โดดดึ๋งๆๆๆขึ้นรถได้ก็บิดหนี แล้วกรี๊ดดตลอดทาง เพื่อนมันก็ทุบหลังเราตุ๊บๆๆบอกขับไวๆๆๆ หมดไมล์ไปเลย จนถึงบ้านเพื่อนเลย

คืนนั้นเราก็ไม่กล้ากลับบ้าน โทรบอกพ่อว่าขอนอนบ้านเพื่อน
พอเช้าเพื่อนเราก็เล่าให้พ่อมันฟัง พ่อมันก็หัวเราะบอก อ๋อ ตรงนั้นหรอ เปรตตาหลุนละมั้ง ตรงนั้นมันที่ตาหลุน แกเคยมีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ40ปีก่อนน่ะ ก่อกรรมทำเวรกับพ่อแม่ไว้เยอะ ตายไปก็เลยกลายเป็นเปรตเฝ้าที่ อยู่แถวบ้านเก่านั่นแล่ะ สมัยก่อนตรงนั้นมีบ้านแกอยู่ แต่พังหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าไปอยู่ มีโอกาสก็สำแดงตนออกมาให้คนเห็น จนคนในหมู่บ้านมองเป็นเรื่องปกติ

เพื่อนเราก็หันมาคุยกับเราบอก นั่นไงมืง ไคจูไม๊ล่ะ
เราก็ เออ  เปรตซิฟิก-ริมชัดๆเลย ไม่ต้องไปดูในโรง
ดูข้างดงตาลนั่นแล่ะนะ ทุกวันนี้เราไม่กล้าไปทางนั้นตอนกางคืน หรือ หันไปมองตรงนั้นเวลาผ่านเลย กลัวอ่ะ

เรื่องจากพันทิป เปรต_ซิฟิก_ริม
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

คำสอนของยายให้เอาชนะผี


     เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "คำสอนของยายให้เอาชนะผี" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย


สวัสดีเราเป็นสาวประเภท2นะ
เราไม่ได้อยากดังหรือเป็นเน็ตไอดอลใดๆ
เราแค่อยากจะเล่าเรื่องลี้ลับให้เธออ่าน
สำหรับวันนี้ เราอยากจะเล่าประวัติของเรา

ต้องบอกว่าสมัยก่อน เราเป็นคนหนึ่งที่กลัวสิ่งที่เรียกว่า "ผี" มากๆ ..มากแค่ไหนน่ะหรอ ก็ถึงขั้นกรี๊ดกร๊าดสติหลุดน่ะ
เราเป็นคนพังงา พิกัด ขอไม่ระบุ มันไม่สำคัญอะไร
ยายกับตาเรามีลูกหลานหลายคน ในรูปที่เราเอามาลงเนี่ย หลานๆและลูกพี่ลูกน้องเรานะ แต่ว่าเราต้องอยู่กับยายตั้งแต่เด็ก เพราะว่าพ่อเราเอาแล้วทิ้ง เราเคยเห็นรูปพ่อเหมือนกัน แต่นานมากแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปสนใจตามหาพ่อ รู้แค่ว่าพ่ออยู่ระนอง พอเราประมาณ7-8ขวบ แม่เราก็ไปได้กับพ่อบุญธรรม เป็นชาวอเมริกันฮาวาย เจอกันที่ภูเก็ต แล้วก็เสร็จกันที่นั่นอ่ะล่ะ


ทีนี้พ่อบุญธรรมเรา เขาก็มีน้องกับแม่เรา เขาจะพาเราไปอยู่ด้วยกันที่ฮาวาย แต่ตอนนั้นเราก็เริ่มโตเป็นควายละ เราคุยภาษาฝรั่งไม่เป็น เราก็ไม่ยอมไป เพราะเอาจริงๆเราก็ไม่ได้สนิทกับแม่เท่าไหร่ เพราะอยู่กับยายมากกว่าแม่ เขาก็เลยทิ้งเราไว้ที่พังงา แล้วก็ส่งเงินมาให้แทน ปีนึงก็กลับมาสักครั้ง
ตอนเราอยู่กับยายน่ะ เราไม่กล้าเผยตัวตนหรอก ว่าเรามีความอยากเป็นหญิง เพราะยายชอบบอกใครต่อใครด้วยความคาดหวังว่า ถ้าเราโตไป จะส่งเสียให้เราได้เป็น ทหาร ตำรวจ ทนาย ครู อันนั้นเราก็อึดอัดนะ เพราะต้องเก็บตัวตนตลอดเวลาอยู่ในหมู่บ้าน
ครูที่โรงเรียนสมัยนั้นถามเรา

"เอ้า ด.ช.ป๋อง (ชื่อเดิมเรา) โตขึ้นอยากเป็นอะไร"

"เป็นผู้หญิงค่ะ"

ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กั๊กๆๆๆๆ ไอ้ป๋อง จะเป็นผู้หญิง
เพื่อนก็หัวเราะกันครืน ทุบโต๊ะกันตึงตัง
เพราะคิดว่าเราตอบเล่นมุกใส่ครู วรรณา เราก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆแล้วตอบไปว่า

"เซอร์ เยส เซอร์ อยากเป็นทหารครับ ฮู้ย่าส์สสส"

ตะเบ๊ะขึงขังแล้วนั่งลง ถอนหายใจ ไม่คิดว่ากูอยากเป็นนางสาวไทยบ้างไง๊
ตอนนั้นเราเริ่มรู้ตัวแล้วว่า เราเป็นคนมีสัมผัสของกระเทยเห็นผี ในวันหนึ่งที่ฝนพรำๆ มืดๆค่ำๆเราช่วยยายตำน้ำพริก อยู่ที่ริมหน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้าง ไหมน้อเธอ บะบะบ้าแล้ว นั่นมันเพลงพี่เสก ตำๆอยู่โป่กๆๆๆ กระเทยหัวโปกนั่งโขกน้ำพริก
จังหวะนั้นใกล้ๆบ้านยายห่างออกไป50มตร จะมีบ้านอยู่หลังนึง ลักษณะจะเป็นโรงนาเก็บของ ของยายเรานี่ล่ะ เคยมีคนลือให้เราได้ฟังว่า ยายน่ะ เก็บศพตาเอาไว้ในนั้น เราก็ไม่เคยเข้าไปใกล้หรอกนะ ตอนนั้นกลัว แต่วันนั้น เราเห็น เหมือนมีเงาใครเดินไปเดินมา วูบๆวาบๆในโรงเก็บของ เราก็แต๋วแตกทิ้งสาก

"วั๊ยยยย ตายแล้ว"

ยายเดินมาพอดี เราหันไปสบตา ยิ้มให้เขินๆ

"อะไร วั้ยอะไรไอ้ป๋อง ร้องเป็นตัวเมียเลยนะมืง"

เราไม่ตอบอะไร หยิบสากตำต่อ หลังจากหนนั้นมา เวลายายใช้เราไปเอาของในโรงเก็บของ เราก็จะอิดออด บ่ายเบี่ยงได้ก็จะทำ จนโดนยายตี เพราะยายบอกว่าเราดื้อ ใช้งานไม่ได้
จนเราต้องบอกยายว่าเรากลัวผีตา
ต่อมาเราได้ไปเรียนต่อ มัธยม โรงเรียนในตัวเมืองพังงา เราก็ไปเช่าห้องอยู่คนเดียว เพราะแม่ส่งเงินมาให้ตลอด โดยมีน้าสาวที่มาได้สามีอยู่ที่นั่น คอยช่วยสอดส่องดูแลเราเป็นบางที
เราก็เหมือยกระเทยที่ได้โบยบิน เรามีเพื่อนเป็นหญิง เป็นเทยหลายคน เราไม่ต้องปกปิดตัวตนละตอนอยู่ที่นั่น เราทาแป้งเด็กหน้าขาววอก ทาปากด้วยอุทัยทิพย์ให้แดง ความแรดและวิญญาณแห่งหญิงสาวที่ถูกกักขังมันได้สำแดงเดช
จนน้าสาวรู้ เราก็ขอร้องไม่ให้น้าบอกยาย เพราะคนสมัยเก่า เขารับอะไรแบบนี้ได้ยาก



เราเปลี่ยนชื่อตัวเองเสียใหม่จาก "ไอ้ป๋อง" เป็น "น้องป๋องแป๋ง"
แต่เพื่อนๆเรามันก็เรียก "อีป๋อง"มากกว่าเรียก ป๋องแป๋ง และเราก็เป็นกระเทยหัวโปกที่กลัวผีได้อย่างกรี๊ดแตกมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผีที่คิดไปเอง
ต่อมา ยายมาธุระในเมืองพังงา แกก็แวะมาหาเราที่ห้องโดยไม่บอกไม่กล่าว งานเข้า เพราะเรากำลังสุมหัวชมรมเทยพอดี ยายมาเคาะห้อง เราก็นึกว่าเพื่อน เปิดทันทีเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนอีกคน ที่นัดไว้

"อ้าววว ว่าไงอีอาร์ม มาช้าจังนะคะ หะหะเห้ย ยาย"

มีความเป็นสุญญากาศเกิดขึ้นตอนนั้น เหมือนโลกหยุดหมุน กล้องถ่ายทำ หมุนไปรอบตัว ยายมองเราหัวจรดเท้า อึ้งๆ เพราะตอนนั้น ก็นะ มุ้งมิ้งอุทัยทิพย์เลยล่ะแล้วยายก็เดินกลับเลย ยายไม่โทรคุยโทรหาเรา ไม่รับสายเราอยู่หลายเดือน จนปิดเทอม เรากลับบ้าน
เราแต่งตัวเป็นชายกลับบ้าน ยายถาม

"มืงเป็นใช่มั้ย"

"ป่าวครับ"

"เป็น ก็เป็น ตามใจมืง ยายไม่ว่า เอาต่ะ ตามสบายมืง"

เราก็เลยเปิดตัวละ คนทั่วทั่งหมู่บ้านรู้ว่าเราเป็นเทย บางคนเขาก็ขำๆ บางคนเฉยๆ บางคนก็หัวเราะ ล้อเลียน ยิ่งพวกเพื่อนๆที่เรียนประถมมาด้วยกัน เจอกันทีนึง มันก็จะแซว

"เอ้า ว่าไงไอ้ป๋อง ทำตามความฝันแล้วใช่มั้ย โตไปเป็นสาว ฮ่าๆๆๆๆๆ"

"แม่มืงเออ"

"อ้าวๆ อีกระเทยป๋อง เดี๋ยวกูเตะเลย"

"เตะมาก็เตะกลับ แน่จริงมาเลย กระเทยก็เตะเป็นนะโว้ย"

พอทำท่าจะบานปลาย เพื่อนๆก็แยกบ้านใครบ้านมัน แต่เราก็พัฒนารูปลักษณ์ตัวเองมาตลอด เราบอกกับแม่เรื่องนี้ โชคดีว่าพ่อบุญธรรมเรา เขาเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี เพราะฝรั่งเขาจะมีมุมมองต่างจากคนไทย พ่อเลี้ยงก็เป็นคนสนับสนุนงบประมาณให้เรา ทำตามที่ใจต้องการ
วกมาที่เรื่องการเห็นผี ว่าด้วยเรื่อง เรากลัวผีมาก แต่ยายเราก็จะพูดทุกครั้งว่า

"มืงตั้งสติไอ้ป๋อง มองดี พิจารณาดีๆ"

"ผีนะจ้ะยาย พิจารณาอะไรจ้ะ"

"ผี มันก็คือวิญญาณของคนที่ไม่มีร่างกายอยู่ มืงมองดูแขนมืงซี เอ้า ยกมันขึ้นมา มองหน้าตัวเองในกระจกซีวะ"

ยกแขนขึ้นมอง มองหน้าตัวเองในกระจก

"ก็แขนฉัน หน้าฉันไงยาย ทำไม"

"มืงรู้ไหม เราทุกคนก็คือผี"

"จะผีได้ไง เราก็คือคนนี่ยาย"

"แล้วมืงว่าผีกับคนต่างกันตรงไหน"

"ผีเหาะได้ หายตัวได้ แหกอกได้ โผล่ตรงไหนก้ได้จ่ะ"

"ไม่ใช่ มืงคิดใหม่ เอาจุดที่ทำให้คนกลายเป็นผีสิ"

เรานั่งคิดเหมือนอิคคิวซัง แต่ไม่ต้องแตะน้ำลายทาหัวเพราะกลัวเกลื้อนจะขึ้นหัว แต่ก็บอกไปได้ตามที่สมองคิด

"คน พอตาย ก็กลายเป็นผี เป็นผีก็ไม่มีร่างกาย ผีไม่มีกายเนื้อ แต่คนมีกายเนื้อ"

"เออ นั่นล่ะ มืงเห็นหมาเน่าที่นอนตายบนถนนไม๊"

"เห็นจ่ะ"

"มืงกลัวหมาเน่าไม๊"

"ไม่กลัวจ่ะ แต่ไม่เข้าใกล้ เพราะมันเหม็นและเน่า"

"มืงเคยเห็นศพคนตายไม๊"

"เคยจ่ะ"

"มืงกลัวไม๊"

"กลัวจ่ะ"

"อ้าว ไม่กลัวซากหมาเน่า แล้วทำไมกลัวศพคน"

"ก็เป็นศพคน เป็นผีได้นี่จ๊ะ"

" ไอ้ป๋องเอ๊ย มืงรู้ไม๊ หมา มันก็เป็นผีได้นะ เพราะมันมี
ดวงวิญญาณเหมือนกัน"

"......................นิ่ง"

"ใครจะไปรู้ เวลามืงเดินกลางค่ำกลางคืน มืงเห็นหมาวิ่งอยู่ มืงรู้หรอว่ามันเป็นผีหมา หรือหมาจริงๆ มืงเคยวิ่งหนีหมาที่วิ่งตอนกลางคืนไม๊"

" ไม่จ่ะ"

"เห็นไม๊ มืงไม่กลัวผีหมา แล้วทำไมต้องกลัวผีคน มันก็มีแต่วิญญาณ มันมาบีบคอมืงไม่ได้หรอก ถ้ามันไม่เข้าสิงคนอื่นมา มันได้แต่หลอกให้มืงกลัวนั่นล่ะ"

"แล้วถ้ามันมาหลอก จะให้ฉันทำยังไงล่ะจ้ะ"

"มืงก็ลองหวดกับส้นเท้า มันดูสักทีสองทีเข้าสิ โอกาสดีๆที่จะได้ลองเตะผี มันหาไม่ง่ายนะโว้ย มืงก็เคยเห็นใช่มั้ย สมัยยายไล่ผีปอบ แล้วมืงตามไปดู ยายตบหน้ามันเล่นกับน่องไก่น่ะ"

"แต่มันมาเละๆ ลิ้นจุกปาก แหกอก ควักไส้ ทำไงละจ้ะ"

"มืงก็มองให้มันเป็นหมาเน่าตัวนึงสิวะ มันทำได้แต่หลอกเป็นภาพ เป็นกลิ่นเป็นเสียงแล่ะไอ้ผีเนี่ย มันจับมืงไม่ได้ ถ้ามันหน้ามาใกล้ๆ ก็ตบใส่มันสักที "

จากการคุยกับยายครั้งนั้น เราก็เหมือนกระเทยที่มีดวงตาเห็นธรรม เออ เนอะ ศพคน ศพหมา เวลาเน่ามันก็ไม่ต่าง ผีไม่มีร่างกาย มาได้แค่เสียง กลิ่น ภาพ เป็นโฮโลแกรมล้ำๆให้เราดู

เอาซี่ หลังจากนั้นมา เวลาเราเจอผี แรกๆเราก็กลัวนะ เพราะตกใจและไม่ทันตั้งตัว แต่พอสติมา ดวงตาเห็นธรรมคืนมา
เราก็โดดตบโดดเตะใส่มันเหมือนกัน
สร้างความกล้าเพื่อเอาชนะความกลัว ลองเข้าไปใกล้ๆ แล่บลิ้นใส่กูหรอ อ้อ อีผีดอกส์สสส อย่ามั่นหน้ามากนัก
หน้ากูน่ากลัวกว่าเยอะ (ตอนนั้น)
แล้วมันก็ได้ผลทุกครั้ง
ที่สำคัญ ยายบอก หมั่นสร้างความดี สร้างบุญบารมีด้วยนะ สติ ปัญญา บารมี 3สิ่งนี้ ผีตนไหนเราก็เอาชนะได้
เราไม่ได้กลัวผีหรอกจริงแล้ว
เราแค่ขาดสติ
เราแค่ตกใจ
เราแค่ไม่คุ้นเคยกับมัน

...แต่เราไม่หวั่น แม้วันผีมามาก
ฉันอาจจะตกใจ แต่เราจะเป็นเทยไทย ที่แว้งกลับมาตบกะโหลกพวกผีให้ยุบ โทษฐานหลอกไร้สาระ
แต่อย่าคิดนะว่าฉันไม่เชื่อเรื่องผี...เลยเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
เราเชื่อที่สุด คิดเป็นเปอร์เซ็นประมาณ ระยะทางจากโลกไประบบสุริยะ แทรพพิสท์-1 ได้เลย ว่ามันมีจริงๆ
แต่เราไม่กลัว

และเราไม่ไปท้าทายกับพวกเทวดา หรือผีโบราณ ผีชั้นสูงนะ
พวกนั้นเขาสายแข็ง และบันดาลอะไรได้หลายอย่าง
เออ... ยาวละ เล่าให้ฟังเฉยๆ  จุ๊ฟๆ

เรื่องจากพันทิป คำสอนของยายให้เอาชนะผี
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

29 ม.ค. 2563

กระเทยสู้ผี


      เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "กระเทยสู้ผี" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย

สวัสดีเราเป็นกระเทยนะ
เราอยากจะเล่าเรื่องลี้ลับให้เธออ่าน
เราเคยเรียนที่ภูเก็ต เมื่อตอนนั้น เราเริ่มแต่งตัวเป็นหญิงแล้วล่ะ
แต่เรายังไม่ได้แปลงเพศ เราไปเรียนพร้อมเพื่อนอีก2คนนะ
แต่อยู่กันคนละคณะ และเพื่อนเราที่ไปด้วยกัน2คน ก็เป็นชาย

ตอนนั้นเราแต่งตัวเป็นหญิงแล้ว เราเลยไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับเพื่อน2คน แต่พอตั้งใจจะอยู่คนเดียวหอพักมันจะเต็ม เพราะคนมาอยู่กันเยอะ เราก็เลยไปได้ห้อง อยู่ที่แห่งหนึ่ง แถวๆการประปา อยู่ติดป่าเลย

ตอนนั้นเราเองก็ยังไม่ได้สวยอะไร เลยไม่ได้กลัวมาก รูปลักษณ์เรา ใครเห็นก็รู้ว่าเราเป็นกระเทย
มันเป็นห้องพักที่เป็นห้องแถวติดๆกัน แล้วห้องของเราอยู่ท้ายสุด ติดกับป่าที่รกร้าง จริงๆสภาพมันไม่ค่อยน่าอยู่หรอก เพราะค่อนข้างเปลี่ยวในตอนกลางคืน และรู้สึกว่าไอ่2ห้องก่อนถึงห้องเรา จะไม่มีใครอยู่ ถูกล๊อคทิ้งเอาไว้เฉยๆ

เราเห็นว่าค่าเช่าถูกดีและเราไม่มีทางเลือกเยอะแยะ เราก็เลยตกลงเช่า เราขนของเข้าไปวันแรก ตกค่ำเราก็เหนื่อยเลย เพื่อนที่มาช่วยมันก็กลับไป

"เห้ย อยู่ได้แน่นะอีเทย คนเดียว เปลี่ยวชิหายแถวนี้"

"เออ กูอยู่ได้ สบายมาก ไม่พรือ ไม่เป็นไร"

"งั้นพวกกูกลับก่อน ก่อนนอนก็ไหว้พระเจ้าที่เจ้าทางมั่งนะ"

พอเพื่อนกลับแล้ว เรารู้สึกว่า เงียบจัง แลดูวังเวง เราก็ไม่ได้ละนะ ก็กลับความเงียบด้วยเสียงเพลง แล้วเราก็เต้นบริหารหุ่นไปด้วย เราก็เปิดเพลงดังใช้ได้ พอเต้นๆอยู่ก็

"ตึง ปั้ง !!!"

มันดังมาจากห้องข้างๆ ที่เราเห็นว่าปิดตายอยู่น่ะนะ เราก็คิดว่า เอ่ สงสัยเจ้าของห้องอาจจะกลับมาแล้วหรือเปล่า เราเลยเบาเสียงเพลงให้ จนเราง่วงนะ เราก็เลยปิดไฟนอนหลับ ตอนนั้นเราลืมไปเลยเรื่องไหว้พระหรืออะไร แล้วเตียงนอนเรา มันจะติดกับผนังห้อง ที่เชื่อมกับห้องข้างๆ พอเรานอนๆอยู่ หูแนบผนังใช่มะ ก็มีเสียงดัง

"ครืดดดดดด ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดด"

มันเหมือนมีใครเอาอะไรขูดกับผนังห้องอีกด้านอ่ะ
จนเราตื่น เราก็หงุดหงิดอยู่นะ ก็เลยกลิ้งเอาหูหนีออกมานอนอีกฝั่งของเตียง เราไม่รู้เหมือนกันตอนนี้มันตีเท่าไหร่
แต่เหลือบไปเห็นตรงหน้าต่างอีกด้านของห้องเรา ด้านที่ติดกับป่านั่นล่ะเพราะเราเป็นห้องสุดท้ายไง เลยมีหน้าต่าง ติดบานเกล็ด1บาน เราก็เปิดระบายอากาศไว้ มันมีตาข่ายลวด

"เห้ย yesแหม่"

เราก็นอนมองนิ่งๆ ในความมืดเนาะ แบบตัวเกร็งไปหมดละ
เพราะหน้าใครก็ไม่รู้ แนบอยู่กับบานเกล็ดน่ะ แบบมันมืด แต่ทำไมเห็นเหมือนหน้าคนนั้นติดไฟไว้กับหน้าก็ไม่รู้ เป็นหน้าคนขาวๆยังกับทาแป้งเลยนะ มองเรามา เราก็เลยจ้องกลับ แต่ไม่ขยับ แล้วเราก็ค่อยๆมุดผ้าห่มไปเลย

ทีนี้เราก็นอนต่อได้จนถึงเช้า เราก็ไปเรียน เดินผ่านห้องข้างๆ ก็ประตูโดนล๊อคอยู่ เราก็คิดสงสัยนะว่า เจ้าของห้องเขาทำงานอะไร ออกเช้าดีจัง แต่เราก็เลิกสนใจ เพราะทั้งวันนั้นเราต้องตั้งใจกับการเรียนมหาลัยวันแรก แล้วเราก้ไปต่อกับเพื่อนจน4ทุ่ม เพื่อนก็พากันขับรถมาส่งที่หน้าปากทางเข้า

เราก็ขับรถเราเข้าไปคนเดียว มาจอดรถหน้าห้อง เราก็เห็นว่าห้องข้างๆ2ห้องก่อนถึงห้องเรา โดนล๊อคเหมือนเดิม
เราก็อาบน้ำแล้วเข้านอนเลย
พักเดียวพอเคลิ้มๆ มาอีกแล้ว แต่หนนี้ ไม่ต้องเอาหูแนบแล้วก็ได้ยิน ว่ามันดังมาจากห้องข้างๆ

"ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดด แบบเนี้ยะ เสียงเหมือนใครลากขาเก้าอี้"

ทีนี้เราหงุดหงิดเลยเพราะลากๆหยุดๆ เราก็ไม่อยากมีปัญหาไงเพราะเราพึ่งมาอยู่ใหม่ แต่ทีนี้มันดังแบบนี้ทุกคืนเลย
จนคืนนึงเราทนไม่ได้ละ เราก็เปิดประตูห้องออกไปกลางดึก
จะไปเฉ่งไอ้ห้องข้างๆละ แต่ก็นะ

"อ้าว เห้ย ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้นี่หน่า"
ประตูห้องล๊อคจากข้างนอก ทั้งๆที่ก็นะ เราได้ยินเสียงลาก ครืดๆ อยู่เมื่อกี้เอง
เอาแล้วไงทีนี้ เอาไง เราก็เลยเคาะประตูห้องแล้วตะโกนถามเลย

"มีใครอยู่ไม๊คะ ในห้องนี้"

เงียบ..ไม่มีเสียงตอบรับ

"ใครอยู่ในห้องอย่าลากของได้ไม๊คะ เรานอนไม่หลับเด้"

เงียบ.....

เราก็กลับไปนอนต่อ พอเคลิ้มๆ มาอีกแล้ว

ครืดดดด......ครืดดดดดดดดดดดดดดด....ครืดดดดดดดดดดด

เราก็ปรี๊ดแตกแล้วไง ออกไปได้ก็โชว์บทกระเทยโหดเลย
โดดเอาเท้าถีบประตู

"ลากหาพ่อหาแม่เหรอ ตามใจจะเป็นผีหรือเป็นคนและ แน่จริงเดินทะลุประตูออกมาตบกับกุมา ผีเหิ้ย"

เราลั่นฉาวๆๆ จนห้องแรกๆที่มีคนอยู่ เขาคงตกใจ พากันเปิดประตูออกมาตะโกนถามเรา

"อ้าวๆๆ อีสาว เป็นอะไรละนั่น"

"ก็มันลากของกับพื้น ครืดๆๆๆทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอนแล้วพี่ ใครมันอยู่ในนี้อ่ะ"

"ห๊าะ อะไรนะ"

เขาก็มีทีท่าตกใจกันหมด แล้วคนนึง เค้าก็มาลากเราไปหน้าห้องเขา แล้วบอกเราว่า ไอ้2ห้องนั้นน่ะ มันไม่มีใครอยู่มาตั้งนานแล้ว มันไม่มีใครอยู่ได้เลย

เพราะเคยมี หญิงคนนึง หนุ่มคนนึง มาเช่าห้องนั้นติดกัน ทั้งคู่ไม่รู้จักกัน แต่ต่อมา คนโสด กับคนโสด พอเจอหน้ากันทุกวันเข้า ก็เลยได้รักกัน จนได้เป็นผัวเมียกัน
จนผู้หญิงคนที่เช่าห้องที่อยู่ติดห้องเราเนี่ยท้อง

พอท้อง ผู้ชายก็หนีไปมีเมียใหม่ ทิ้งผู้หญิงคนนั้นไว้คนเดียว เธอก็เลยเอาเก้าอี้ มาผูกคอตายที่กลางห้องกับขื่อ กว่าจะมีคนไปเจอก็เพราะมีกลิ่นเน่าเหม็นลอยออกมา ตายทั้งกลมด้วย

เจ้าของก็ปิดข่าว พอตอนหลังมีคนมาเช่าห้องทั้ง3ห้องนั้น รวมห้องเราด้วย ก็อยู่กันไม่ได้สักคน ยิ่งคนที่เช่าห้องที่ผู้หญิงคนนั้นผูกคอน่ะ โดนหนักกว่าพวกเช่าห้องข้าง เพราะตกดึก อีผีก็มาผูกคอห้อยโตงเตงให้คนเช่า ร้องกรี๊ดดดดดด วิ่งหนีกลางดึกก็มีมาแล้ว เอาพระมาเชิญมาไล่ก็ไม่ไป

เราก็กลัวแต่ง่วงมาก แล้วดึกขนาดนั้นเราจะไปนอนไหนได้ เราก็เลยเดินกลับห้อง พอเดินผ่านหน้าห้องนั้น เราก็ยันโครมไปอีกที

"ต่างคนต่างอยู่ดิ YESแหม่  ผีอยากโดนกระเทยเตะไม๊"

แล้วเราก็เดินกลับเข้าไปนอนเลย หลังจากนั้นเราก็โดนหลอกน้อยลงนะ เวลามีเสียงดังมาเราก็ตวาดใส่เลย ด่ามันด้วย แต่ตอนหลังเราก็ย้ายไปอยู่หอ เพราะทนไม่ไหว จะทนไหวได้ไง ก็นางเล่นโผล่หัวออกมาจากผนังห้องหลอกเราบ่อยๆ แรกๆเราก็กลัวปนตกใจ ว่าหัวคนโผล่มาจากผนังห้อง

หลังๆมา เราโดดถอยมาตั้งหลักแล้วก็

"หื๊มๆๆๆ มืงจะเอากับกูใช่ไม๊ มืงรู้จักส้นตินกระเทยไทยน้อยไปแล้ว"

เราก็พุ่งเข้าหาเหวี่ยงบาทา ตั้งใจจะเตะให้หัวกระเด็นไปที แต่ก็วืดทุกครั้ง เพราะนางหดหัวกลับ แล้วทำแบบนี้บ่อยมาก ถ้าไม่เสียงก็ยืดมาแต่หัวนี่ล่ะ บางคืนก็เอากลิ่นเหม็นมาแกล้ง
เราเลยย้ายไปอยู่หอ ไม่ได้กลัวนะ แต่รำคาญ ไม่ได้นอนดี ทุกวันนี้ ไม่รู้ยังอยู่หรือเปล่า ไม่ได้กลับไปดู จบๆๆค่ะ

เรื่องจากพันทิป กระเทยสู้ผี
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

ฉันอยู่ตรงนี้


     เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "ฉันอยู่ตรงนี้" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย

..ข้าพเจ้ามีโอกาสเดินทางไปจังหวัดพังงา เมื่อตอนปี2550 ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เป็นการเดินทางไปเที่ยวระหว่างปิดเทอมกับที่บ้านของน้าชาย แกไปได้เมียเป็นคนเขาหลัก ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงฟื้นฟูหลังเหตุการณ์สึนามิถล่มได้3ปี การไปครั้งนี้ข้าพเจ้าก็ให้หวั่นๆใจไม่น้อย เพราะเป็นคนที่ได้พบเรื่องเร้นลับอยู่หลายครั้งหลายครา ยิ่งพอจะได้ยินประวัติของเขาหลักด้วยแล้ว ก็ให้ยิ่งหวั่นๆใจไปอีก

"โอ๊ย ตอนนั้นหรอ มันมีมายืนดักโบกรถโดยสาร คนขับรถกำลังจะจอดเนาะ แต่พอมองดีๆ คนอะไร ขาท่อนล่างไปถึงเท้าดันไม่มี เหยียบคันเร่งหนีซีจ๊ะ จะรออะไร"

...อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างคำบอกเล่าบางส่วน ซึ่งคนที่เจอผีหลังสึนามินี้ มีต่างๆกันไป แต่รวมๆแล้วต้องเรียกว่าเจอกันเยอะมากทีเดียวเชียวล่ะ ก็มีทั้งผีจริง และผีทึกทักเอาเอง เพื่อจะให้เข้ากับสถานการณ์ หรือได้โม้กับคนอื่นว่าฉันก็เจอมานะ
บ้านของน้าชายเป็นบ้านที่ตั้งอยู่พ้นระยะของคลื่น เลยรอดมาได้ทั้งหมด เพราะวันนั้น ยังไม่มีใครออกจากบ้านไปที่ร้านชายหาด ที่เป็นกิจการของบ้านน้าสะใภ้ ข้าวของในร้านโดนกลืนหายไปในทะเลทั้งหมด น้าสะใภ้ร้องไห้แทบตาย แต่น้าชายก็คอยปลอบใจ ว่ามีชีวิตรอดมาได้ก็บุญแล้ว
พอเริ่มมีการฟื้นฟู น้าชายก็ได้รับการเยียวยาความเสียหาย ก็พอได้เริ่มกิจการใหม่อีกครั้ง แต่ก็ค่อนข้างอยู่ยากในตอนแรกๆ
เพราะไม่มีใครมาเที่ยว นั่งหน้าเหี่ยวเฝ้าร้านร้างๆไปตามๆกัน

ก็ยังดีอยู่บ้าง ที่ได้รับการผ่อนผันค่าเช่าเพียงครึ่งเดียว
ก็เลยพอประคับประคองให้กิจการอยู่รอดช่วงแรกมาได้
ในช่วงที่ข้าพเจ้าไปในตอนนั้น นักท่องเที่ยวก็พอจะมีมาบ้าง
ฉันจึงมีเวลาว่างเดินเล่นอยู่ละแวกชายหาดแถวร้าน
แรกๆก็เดินเขี่ยอะไรเล่นไปเรื่อยแถวๆนั้น
พอนานวันชักเบื่อ ก็เริ่มเดินออกไปไกลมากขึ้น
ตรงที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น หากเดินไปอีกด้าน จะเป็นโขดหิน ซึ่งเป็นจุดที่เป็นภูเขาจากอุทยานเขาหลักลำรู่ต่อเนื่องลงมาจรดทะเล
ฉันเลยเดินเตร็ดเตร่ไกลออกไปจากร้านมากขึ้นในแต่ละวัน

ข้าพเจ้าชอบไปนั่งเล่นตรงจุดลับตาที่เป็นโขดหินนั้นมันเงียบสงบดี ทะเลเริ่มฟื้น ตัว แต่เหมือนว่าน้ำทะเลจะยังขุ่น และคนยังกลัวทะเล มีการเล่าลือกันว่า ศพหลายๆศพ ไม่สามารถหาพบได้ และหายไปอย่างปริศนา ก็อาจจะจมอยู่ตามซอกหิน หรือก้นทะเลตรงไหนสักที่ก็ได้ในบริเวณนี้
ในตอนโพล้เพล้ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้าของวันนั้น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพยายามนั่งแงะหอยฝาที่เกาะติดอยู่กับก้อนหินแถวน้ำตื้นๆริมชายฝั่งด้วยความซุกซนตามประสา ก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างตั้งใจที่จะเอาให้ได้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

"ตูมมมมมมมมมม"

ข้าพเจ้าชะงัก มองไปตามเสียงที่ดังมา ใครสักคน รูปร่างบ่งบอกว่าเป็นผู้หญิง ใส่เสื้อกล้ามผมบ๊อบเท สีดำกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำทะเล ห่างจากจุดที่ข้าพเจ้าแงะหอยอยู่ประมาณ100 เมตรน่าจะได้ ข้าพเจ้าคิดในใจเอาว่า
ก็ไม่น่าแปลกหรอกนะ ใครๆก็เล่นน้ำทะเล เลยไม่ได้สนใจ ก้มหน้าก้มตาแงะหอยต่อ พอแงะได้ ก็จับหอยเงยหน้า

"อ้าว หายไปตอนไหน ไวจังเลย"

ระยะทางจากจุดนั้นไปถึงฝั่งอีกด้าน ไกลกว่าเดินมาตรงเราเสียอีก เราเองก็เลยงงๆว่าผู้หญิงคนนั้น เดินไปขึ้นฝั่งที่ตรงไหน
แต่ฉันก็แค่สนใจแค่ตรงนั้น ไม่ได้ไปสืบสาวถามหาความหรือบอกใครอื่น
หลายวันต่อมา ข้าพเจ้าเดินไปเตร็ดเตร่แถวตรงจุดนั้นอีกครั้ง
ก็เหมือนเดิม ต้องเดินไปตอนโพล้เพล้ เพราะมันเป็นจุดที่จะได้มองพระอาทิตย์ตกทะเลได้สวยที่สุด ตอนนั้นมีหลานอีกคนร่วมเดินไปด้วย พอไปยืนกำลังมองพระอาทิตย์สีแดงกำลังตกทะเลเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงอีก

"ตูมมมมมมมมมมมมมมม"

ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เสื้อผ้าชุดเดิม ดำผุดดำว่ายที่จุดเดิมเหมือนวันนั้นเลย ฉันหันไปมองแล้วก็สะกิดหลานให้มองตาม
แต่หลานมองแล้วบอก

"ไหน ให้ดูอะไร "

"ไม่เห็นหรอ มีคนเล่นน้ำตรงนั้น"

"ไม่สนุกเลยนะพี่ น้องไม่เห็นมีอะไรเลย อย่ามาพูดเล่นดิ"

ฉันมัวหันมาเถียงกับหลาน พอหันไปมองอีกที อ้าว หายไปทางไหนอีกแล้ว ฉันเก็บความสงสัยไว้เพียงส่วนตัว แล้วฉันก็ไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับหลาน
วันต่อมา พอถึงเวลาโพล้เพล้ ฉันมาตรงจุดนั้นอีกครั้ง ฉันจ้องมองตรงจุดที่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และฉันก็มองไปรอบๆจุด เผื่อว่าจะมีใครเดินลงมาเล่นน้ำอีก แต่ไม่เห็นอะไร เลยตัดสินใจจะเดินกลับ
แต่พอหันหลัง เสียงนั้นก็มา

"ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมม"

ฉันหันควับทันที นั่นไงมาเล่นน้ำอีกแล้ว ฉันตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปที่ผู้หญิงคนนั้น ก็เดินลุยน้ำลงไปเลย ยิ่งเดินก็ยิ่งลึก ตอนนั้นฉันยิ่งรู้สึกแปลกๆ เพราะยิ่งฉันเดิน น้ำยิ่งลึกขึ้นจนถึงหน้าอกแล้ว แต่ตรงที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังเล่นอยู่ ทำไมเหมือนว่ามันจะอยู่แค่ระดับขาอ่อนของเธอเอง คะเนจากรูปร่างเธอมันก็ไม่ได้สูงขนาดนั้นเลย
ฉันไปถอนความตั้งใจ เพราะอยากไปให้ถึงให้ได้ แต่ก็มีเสียงนึงดังมาจากด้านหลังเสียก่อน

"เห้ยๆ อิน้อง ทำอะไร กลับขึ้นมาเดี๋ยวนี้"

ฉันหันไปเป็นน้าชายเองที่ออกมาตาม ฉันเดินกลับขึ้นมาตัวเปียก น้าชายซักถามว่าฉันจะลงไปทำอะไร
ฉันจึงบอกไปว่า ฉันจะไปเล่นน้ำกับพี่คนนั้น

"ไหนพี่คนไหน"

ฉันหันไปชี้ แต่ก็ ไม่มีอีกแล้ว เธอคนนั้นหายไปในช่วงเวลาที่ฉันหันมาคุยกับน้าชายเพียงแป๊บเดียวได้ยังไง

"มันจะมีใครไปเล่นน้ำตรงนั้นได้ยังไง ตรงนั้นมันเป็นจุดที่น้ำลึกมากๆแล้ว แถมเป็นโขดหินขรุขระใต้น้ำแถมกระแสน้ำก็แรง ไม่มีใครไปเล่นน้ำตรงนั้นได้หรอก ขืนเข้าไปก็โดนกระแสน้ำดึงออกทะเลก็เท่านั้นล่ะ"

ฉันจึงเดินตามน้าชายกลับร้าน เพื่อกลับบ้าน
น้าชายมาพูดกับคนอื่นๆในเรื่องที่ฉันทำ
หลานของฉันก็เข้ามาพูดสมทบ ว่าวันก่อนฉันก็เที่ยวบอกอยู่ว่า เห็นใครเล่นน้ำอยู่ตรงนั้น น้าๆก็ห้ามข้าพเจ้าว่า ห้ามเดินไปทางนั้นอีกนะ มันอันตราย
ฉันก็ไม่ไปตามที่น้าสั่ง แต่ก็ยังป้วนเปี้ยนเฉียดไปแล้วก็จะโดนเรียกกลับเสมอ เพราะเค้าจับตาดูอยู่
จนคืนนึง ฉันหลับแล้วฝันไป ฉันฝันว่า
ฉันนั่งอยู่ที่ร้านของน้าคนเดียว มีผู้หญิงผมสั้น
มองจากเสื้อผ้าที่ใส่ มันใช่ผู้หญิงคนที่ฉันเคยเห็นคนนั้นแน่ๆ
ในฝันเธอบอกฉันว่า

"โชคดีจังที่เธอเห็นพี่ ไม่มีใครเห็นพี่เลย ช่วยพี่ได้มั้ย"

"ช่วยอะไรพี่"

"พี่ทำของตกไว้ตรงนั้น ไปช่วยพี่งมหาหน่อย"

เธอชี้ไปตรงจุดที่ฉันเคยเห็นเธอเล่นน้ำ ในฝันนั้น ฉันยอมเดินตามเพื่อจะไปช่วยเธองมของที่ว่า น่าแปลกที่ในฝัน น้ำ..มันไม่ลึกเหมือนตอนที่ฉันลุยลงไปเลยสักนิด ฉันเดินลุยลงไปแล้วก็ก้มๆเงยๆ เธอคนนั้นบอกฉันว่า ของๆเธอมีลักษณะกลมๆ คลำๆเดี๋ยวก็เจอ ฉันงมๆไปมือก็ไปสัมผัสกับอะไรกลมๆดังที่พี่คนนั้นว่าจริงๆ แต่เหมือนมันจะจมอยู่ในทราย ในฝันฉันก็พยายามดึงสิ่งของกลมๆที่ว่าสุดแรง จนหลุดทรายติดมือขึ้นมา
แต่คุณพระคุณเจ้า ในมือฉันกลับเป็นหัวกะโหลกคน สีขาวขุ่น มีรอยแหว่งๆเต็มไปหมด
ในฝันฉันกรี๊ดลั่น พร้อมๆกับการรู้สึกเจ็บที่ใบหน้าจนฉันตื่น
เป็นน้าชายที่นั่งข้างๆ และตบหน้าดิฉันจนตื่น น้าชายถามฉันว่า

"เป็นอะไร ละเมอกรี๊ดลั่นบ้านจนคนตื่นหมดแล้ว"

ใจของฉันยังเต้นตูมตาม ฉันเรียบเรียงคำพูดบอกน้าชายไปอย่างตะกุกตะกัก เกี่ยวกับความฝัน
น้าชายฟังแล้วก็นิ่งคิดไปพักนึง
ก่อนที่จะไล่ให้ฉันนอนต่อ
เช้ามาฉันไปที่ร้านตามปกติ แต่เห็นมีนักประดาน้ำ กับกู้ภัยมาเตรียมชุดดำน้ำอยู่ในร้าน ฉันแปลกใจ จึงถามน้าชายว่า เขามาทำอะไรกัน น้าชายไม่ตอบ แต่ถามฉันว่า ฉันจำจุดที่เคยเห็นผู้หญิงคนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม ว่าอยู่ตรงจุดไหน
ฉันจำได้แม่น เพราะเห็นมาหลายครั้ง และในฝันฉันก็เดินเข้าไปตรงจุดนั้นมาแล้ว ฉันไปชี้จุด นักประดาน้ำ พร้อมอุปกรณ์บางอย่าง เขาก็พากันตรงไปที่จุดนั้น โดยมีเชือกเส้นยาว ผูกไว้กับหลายๆคนที่รออยู่บนหาด เขาบอกว่าตรงนั้นมันเป็นแอ่งลึก และมีความผัวผวนของน้ำทะเลสูง จึงต้องผูกเชือกกับนักประดาน้ำไว้

นักประดาน้ำเขาก็ดำน้ำหายไป ฉันมองเห็นไกลๆ พักใหญ่ๆ พวกเขาก็พากันกลับขึ้นมา เขาบอกว่า พบโครงกระดูกอยู่ที่ใต้น้ำนั้น แต่สุดปัญญาที่จะเอาขึ้นมา เพราะมีก้อนหินก้อนใหญ่ๆทับอยู่ จนโผล่ออกมาแค่ปลายนิ้วนิดเดียว จึงต้องปล่อยเอาไว้แบบนั้น พอรู้แบบนั้น ฉันก็ไม่กล้าเดินไปทางจุดนั้นอีกเลย
มีการพาคนมีวิชา มาทำการเชิญดวงวิญญาณออกไป
ก็ไม่รู้ว่าเธอออกไปจากจุดนั้นหรือยัง
แต่ที่แน่ๆ โครงกระดูกร่างของเธอ ยังจมอยู่ตรงนั้นอย่างแน่นอน สวัสดีค่ะ....

เรื่องจากพันทิป ฉันอยู่ตรงนี้
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

28 ม.ค. 2563

แต่ก่อน........


      เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "แต่ก่อน........" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย

ตอนนี้เรื่องราวที่พ่อเฒ่าแกเล่าให้ฟัง
มีแต่เพียงความหลังกับของที่ครั้งแต่ก่อน
ข้าวของมันแพงจนสิ้นแรงคนคอน
วัฒนธรรมเสื่อมคลอนประเพณีมันเสื่อมหาย
ผู้คนทำบาปธรรมชาติหายไป
นาที่ทำก็ทิ้งหายเหลือแต่..รอยตีน! ควาย กับซากคันไถเหิ้ยนๆ

เชื้อสายของชั้น เป็นคนลุ่มน้ำปากพนัง เมื่อมีการแยกสายแบ่งสมบัติ เชื้อสายของชั้น ต้องแยกมาปักหลัก เป็นชาวสทิงพระ
ตอนเด็กๆ ชั้นมักจะมีโอกาส ตามพ่อกลับไปไหว้กระดูกต้นตระกูลที่ปากพนัง เมืองนครศรีธรรมาโศกราช

เก้าอี้ไม้ตัวเก่าที่พ่อเฒ่าเฝ้าคอย คอยใครที่จากไป
ลับหายไกลตาเวลาแก่ลง ลูกหลานคงจากจร
ไกลไปไขว่คว้า สร้างฐานะครอบครัว
หมาน้อยตัวเก่า กับหลานเจ้าเกิดมา
ทิ้งให้ยายเลี้ยงดู สองเฒ่าสองแก่ร่อแร่ชรา
นานนานพ่อกลับมา หาเจ้าลูกน้อย เกินใจผูกสายใย
จำเป็นต้องบีบบังคับ ตัวเองจากถิ่นฐาน
ทำงานจุนเจือทางบ้าน เมื่อลูกนั้นเติบโต

ฉันคือหลาน ที่ทั้งบ้านเอ็นดู เพราะชั้นเป็นเด็กเงียบๆ
เป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆเสมอ ในสายตาญาติๆทุกคน
พ่อเฒ่ามักลูบหัวชั้นทุกครั้งที่กลับไป

"เหลนสาวคนนี้ตัวมันเหมือนเด็กเสมอเลย ไม่ค่อยกินข้าวหรือ"

หลังบ้านของทวด ไกลออกไปประมาณ200เมตร เป็นส่วนของป่าชายเลน ฉันเคยนั่งเรือออกไปกับพ่อเมื่อตอนเล็กๆ
มันเป็นป่าชายเลนที่กว้างใหญ่ แลไกลสุดลูกหูลูกตา
พ่อเคยชี้ให้ดูแนวยอดไม้ที่เห็นไกลๆลิบๆ ว่านั่นคือแหลมตะลุมพุก ปู่เคยใช้ชีวิตที่นี่ ย่าเป็นคนแหลมตะลุมพุก

วันนี้ วันที่ชั้นทำงานแล้ว ชั้นมีรถขับ ชั้นรู้สึกโหยหาญาติพี่น้อง อาจจะเพราะสายเลือดคนนครที่ไหลเวียนมันเพรียกหา
ชั้นเดินทางไปปากพนังเพียงลำพัง มันไม่ยากหรอกที่จะไป
อาจจะเพราะชั้นรู้สึก เบื่อหน่ายความวุ่นวายของถนนหนทางในหาดใหญ่ ที่ไฟแดงทุกๆ100เมตร
เส้นทางจากสทิงพระไปปากพนัง มันช่างโล่งและดูอิสระสิ้นดี
ชั้นเปิดเพลงPsychosocial ของ วง slipknot ลั่นรถตลอดการเดินทาง ฉันเหยียบและโยกหัวตามเพลงอย่างบ้าคลั่ง มันจะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ชอบฟังเพลงแนว นูเมทัล และ เฮฟวี่เมทัล แบบชั้น เสียงโซโล่กีตาร์ มันนำพาอารมณ์ให้ชั้นยิ่งเหยียบคันเร่งให้หนัก เครื่องยนต์กระหึ่ม ฮึ่มมมมมๆๆๆๆๆๆ จนจบการเดินทางที่บ้านพ่อเฒ่า

ทุกครั้งที่ชั้นโผล่ไป จะเหมือนเป็นการเรียกญาติให้มาชุมนุมโดยไม่ต้องบอก เพราะญาติๆจะส่งเสียงบอกต่อๆกันไป

"เอิ้ววววๆๆ อีตัวเอียดมาเด้"

ญาติๆก็จะพากันมานั่งที่บ้านพ่อเฒ่า มากอด มาลูบหัว
พวกญาติที่เป็นเด็กตัวน้อยๆ ก็จะพากันไปยืนลูบรถเล่น
ดูพวกเค้าตื่นเต้นทุกครั้งที่ชั้นโผล่หัวไป
ว่าการมาพักที่บ้านหลังนั้นสักสองคืน ชั้นไม่ต่างอะไรกับราชินีของบ้าน มีอะไรดีๆก็จะได้รับการขนมาให้กินอย่างไม่เคยขาด แน่นอนว่า ชั้นเองก็มีข้าวของจากในเมืองมาฝากพวกเค้ามากมายเช่นกัน มันคือน้ำใจสู่ญาติพี่น้องผู้ที่นานๆครั้งจะได้ไปเหยียบเมือง

เช้าวันรุ่ง ชั้นใช้เวลากับบรรดาญาติๆในการนั่งทำปลาที่หามา ชั้นชอบที่จะช่วยตัดหัวปลา หรือตากปลาอย่างสนุกไปกับมัน
เพราะมันเป็นสิ่งที่ชั้นไม่ค่อยจะได้ทำ
ชั้นสนุก กับวิถีชาวประมงที่บ้านพ่อเฒ่า
เพราะอยู่ที่บ้าน พ่อไม่เคยให้ชั้นแตะงานอะไรแบบนี้เลย
พ่อบอกว่า เดี๋ยวกลิ่นปลามันติดมือ ดูไม่เหมาะกับผู้หญิง
ชั้นทอดปลาแดดเดียว เอาไข่ปลามาทอด นึ่งปูดำก้ามโตๆกิน ปูม้าสดๆจนแทบจะแหกกระดองกินได้เดี๋ยวนั้น แต่พอดีชั้นไม่ใช่ปอบ เลยไม่ได้ทำ
ตกเย็น ชั้นเดินไปทางป่าชายเลนหลังบ้าน

ใช่...

ยังมีอีกคน ที่ชั้นยังไม่ได้ไปพบ
ครั้งสุดท้ายที่ได้พบ ก็ ครึ่งปีมาแล้ว

"น้าเอี่ยมศรี"

แกไม่ใช่ญาติชั้นหรอก แต่ชั้นมาบ้านทวดทุกครั้ง จนเคยเดินเล่นคนเดียว หลงไปติดหล่มในป่าชายเลนคนเดียวที่หลังบ้านไกลออกไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตอนนั้นชั้นร้องขอความช่วยเหลือจนเสียงไห้ เพราะชั้นตัวเล็ก และดินโคลนตรงนั้นยิ่งดิ้น ก็เหมือนยิ่งดูด จนตัวชั้นจมลงไปจนถึงท้อง ชั้นคว้าหน่อ หน่อหนึ่งของไม้โกงกางไว้ได้
แต่หน่อ หน่อนั้น ก็เหมือนจะพึ่งงอกขึ้นมา ชั้นจึงไม่กล้าออกแรงดึง ได้แต่เกาะยึดไว้ พร้อมๆกับการร้องไห้

"ฮือๆๆๆ พ่อจ๋า แม่ ใครก็ได้ ช่วยหนูด้วย"

เงียบ....ชั้นเดินออกมาไกลเกินกว่าเสียงนั้นจะดังไปได้ยิน

ชั้นไม่กล้าดิ้นสู้โคลนอีกแล้ว ได้แต่เกาะหน่อโกงกางไว้
รอน้ำทะเลขึ้นมาท่วมแล้วก็จะได้จมน้ำตายอยู่ตรงนั้น
ชั้นร้องไห้ ชั้นเสียขวัญ ชั้นหมดความหวัง

โพล้เพล้...ที่เงียบสงบ

เสียงสวรรค์ ดังใกล้เข้ามาจากด้านที่เป็นทะเล ชั้นตะโกนสุดเสียง ช่วยหนูด้วย ช่วยด้วยค่า
ร่างท้วมๆของใครคนนึง ถือถุงใส่ปู เดินโผล่เหลี่ยมต้นโกงกางมา เธอเป็นผู้หญิงที่ดูมีอายุนิดๆ ผมยาวรุงรัง 2แขนของเธอดูทรงพลังด้วยความใหญ่ของต้นแขน
พอเธอเห็นชั้น ที่กำลังจมโคลนอยู่ครึ่งตัว เธอก็มีสีหน้าตกใจ
รีบวางถุงใส่ปู แล้วลุยโคลนมาลากชั้นขึ้นจากมือมัจจุราชได้สำเร็จ
เธอพาชั้นมาส่งบ้าน ชั้นร้องไห้ โคลนติดเต็มครึ่งตัว

น้าเอี่ยมศรี นั่นคือชื่อของเธอ

เธอตัวคนเดียว มีบ้านหลังเล็กๆปลูกอยู่ในป่าชายเลนไกลออกไปอีกด้าน ไม่มีใครรู้หรอก ว่าเธอมาจากไหน เพราะที่ตรงนั้น เป็นที่หลวง ไม่มีใครจับจอง
ชั้นสำนึกในบุญคุณของเธอเสมอ ทุกครั้งที่ชั้นมา ชั้นจะต้องไปหาเธอ เอาของฝากไปให้ หนนี้ก็เช่นกัน
ชั้นเดินถือเสื้อผ้าและของกินที่เตรียมมาฝาก
เดินลัดเลาะป่าชายเลน ตรงไปที่บ้านของเธอเช่นทุกครั้ง
กระท่อมหลังน้อยที่เป็นบ้านของเธอหลังนั้น
มันปิดสนิท ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ชั้นไม่กล้าเปิดเข้าไป
เลยเอาของฝากแขวนไว้ที่หน้ากระท่อม
พอกำลังจะเดินกลับ บรรยากาศกำลังโพล้เพล้

i see you . ใช่ฉันเห็น ร่างท้วมๆที่คุ้นเคย กำลังเดินอยู่ในป่าชายเลน แต่ร่างนั้นหันหลังให้ ชั้นตะโกนออกไป

"น้าเอี่ยมศรีคะ น้าเอี่ยม"

เธอหันมายิ้มให้ ชั้นยิ้มตอบ แต่เธอเดินออกไปไกลเรื่อยๆ
ชั้นเดินตาม ฝ่าโคลนและดินเลนตามไป
ชั้นอยากเข้าไปใกล้ๆน้าเอี่ยมศรีเช่นทุกครั้งที่เคยทำ
แต่เหมือนน้าเอี่ยมจะเดินออกไปเรื่อยๆ จนถึงเขตขอบชายฝั่ง ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของดินป่าชายเล แล้วนั่นก็จะเป็นทะเลลึก
มันก็เป็นเรื่องปกติที่น้าเอี่ยมศรีจะออกมาจับปู จับปลาแถวๆนี้
เหมือนน้าเอี่ยมศรีจะเดินหนีไปเรื่อยๆ จนถึงจุดทะเลลึก
ชั้นพยายามบอกให้เธอหยุดรอ
น้ำครึ่งเอวแล้ว ชั้นยังลุยต่อ
แต่...เสียงหนึ่งดังลั่นมาจากด้านหลัง

"อีเอี่ยม มืงจะเอาใครก็ได้ แต่ไม่ใช่เหลนกู อิสัตว์-หมา"

ร่างน้าเอี่ยม ในเวลาพลบค่ำ ผลุบหายลงไปในน้ำตรงจุดนั้น ทันทีที่มีเสียงตวาดมาจากด้านหลัง
ชั้นตกใจ หันควับไปมองที่มาของเสียงด้านหลัง
แต่....ว่างเปล่า ชั้นหมุนมองไปรอบทิศ
ไม่มี ไม่มีอะไรเลย นอกจากชั้นที่เดินแหวกน้ำมาจนถึงตรงนี้ คนเดียว ยามตะวันใกล้ตกดิน ลมทะเลพัดแผ่วเบา ชวนให้หนาวจับใจ ชั้นยืนร้องไห้คนเดียว เหมือนตอนเด็กๆ

"ฮืออออออออออออ ฮือออออออออออออออ"

ชั้นกรีดร้องออกมาสุดเสียง อย่างบ้าคลั่ง

"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาางงงงง"

พักเดียว เสียงคนโหวกเหวก ลุยน้ำมา เสียงโล้งเล้งจากด้านป่าโกงกาง ญาติๆของชั้นนั่นเอง

"กลับมาอีน้อง กลับมา อย่าออกไป"

ชั้นไม่ขยับ ได้แต่มองทะเลแล้วร้องไห้เหมือนคนบ้า ตรงนั้น
ชั้นถูกญาติลากกลับเข้าฝั่ง
พิธีรับขวัญถูกจัดขึ้นโดยพ่อเฒ่า
ชั้นเล่าทุกอย่างให้ทุกคนฟัง
น้าเอี่ยมศรี ผู้เดินผลุบหายไปในทะเล กับเสียงตวาดของใครบางคน ที่ด่าน้าเอี่ยมศรี+++++ ป้าเป็นคนพูดออกมา

"อิเอี่ยมศรี มันตายไปได้3-4เดือนแล้วอิน้อง มีคนไปเจอมันนอนตายเป็นศพตรงโกงกางต้นสุดท้ายตรงนั้นล่ะ
มันโดนบีบคอจนตาย
นอนเปลือยท่อนล่างอยู่กับรากโกงกาง
ตอนเจอศพ ตำรวจลุยโคลนไปตรวจสอบ ดินโคลนแถวนั้นเละไปเป็นทางยาว มันคงถูกใครสักคนมาเจอเดินหาปูปลาอยู่คนเดียว ไอ่นั่นอาจจะกำลังอารมณ์เปลี่ยว เลยข่มขืนทั้งๆที่อยู่ในน้ำในโคลนแล้วฆ่ามันทิ้ง ตอนนี้ก็ยังจับคนทำไม่ได้เลย"

"พอมันตาย วิญญาณมันก็ออกมาหลอกล่อให้คนตาม เคยมีผู้ชายเดินผ่าน เห็นว่ามีผู้หญิงยืนแก้ผ้าโบกมือเรียกอยู่หยอยๆ
พอเข้าไปใกล้ เห็นว่าเป็นอีเอี่ยม ก็วิ่งกันน้ำบานออกมา"

"คนเฒ่าเขาบอกว่า อีเอี่ยมศรี คงพยายามจะมาเอาคนไปอยู่แทนมัน แต่ไม่มีใครหลงตามมันไปสักคน เพราะเขารู้ทั้งนั้นว่ามันตายไปแล้ว"

หวยก็เลยมาออกที่ชั้น น้าเอี่ยมศรีคงจะทรมานอยู่ตรงนั้นมานาน พ่อเฒ่าบอกว่า หลับอยู่ แม่เฒ่ามาเข้าฝันบอกว่า ไปช่วยเหลนมืงด้วย อยู่สุดป่าหลังบ้าน กำลังจะจมน้ำตาย
พ่อเฒ่าก็รีบบอกญาติทุกคน เลยรุดเร่งไปจนเจอเรายืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ฉันซึ้งใจจนร้องอีกครั้ง เสียงนั้นไม่ใช่ใครหรอก แม่เฒ่าที่เสียไปแล้วแน่ๆ ชั้นหันไปมองรูปถ่ายแม่เฒ่า ชั้นยกมือไหว้ท่วมหัว
ขอบคุณนะคะแม่เฒ่า ที่ช่วยหนู ขอบคุณนะน้าเอี่ยมศรี ที่เคยช่วยหนู และก็เกือบจะฆ่าหนู น้าคงทรมานอยู่ตรงนั้นมานาน
ญาติพี่น้องก็ไม่มี แต่หนูสัญญานะว่า หนูจะทำบุญให้น้าบ่อยๆ
จนกว่าน้าจะได้ไปจากตรงนั้น หรือมีใครไปอยู่แทน....

เรื่องจากพันทิป แต่ก่อน........
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป


      เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย


#คาบสมุทรสทิงปุระนคร

แล้วที่สุดเรื่องราว มรสุมผ่านมา
พ่อแม่จ๋า โปรดเห็นใจ ข้าที
รักกันอยู่ พรากกัน แยกกันช้ำชีวี
เกิดเป็นคนชาตินี้ มีแต่ซวย
เพราะความจน จึงต้องทน
แค้นใจเหลือที่ จบแค่นี้ ลาที ความระทม......

ต้นประดู่ ต้นใหญ่ ต้นนั้น ตั้งตระหง่าน ผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน
จำได้ว่าครั้งหนึ่ง สมัยที่ฉันยังเด็กๆ พ่อมักจะพาชั้นซ้อนท้าย
ไปจอดรถไว้แล้วปล่อยให้ชั้นนั่งรอที่ใต้ร่มของมัน พ่อชั้นทำประมงชายฝั่งเป็นอาชีพเสริม การวางข่ายดักปลาริมชายหาด นั่นคืองานของพ่อ
ชั้นนั้นไม่ดื้อ ในมือมีตุ๊กตาผู้หญิง ปิดตาลืมตาได้ 1ตัว เท่านั้นชั้นก็นั่งเล่นขายของกับตุ๊กตาได้แล้ว ของที่ใช้ขายก็ก้อนหินก้อนกรวด เปลือกไม้แถวๆนั้น ใบประดู่คือเงิน ชั้นนั่งขายของ พูดคุยกับตุ๊กตาเหมือนเธอมีชีวิต

"วันนี้เรามีขนมสาคู มาขายด้วยนะจ้ะ เธอจะรับอะไร อันนี้อร่อยนะ ลองชิมดู"

แล้วชั้นก็จับตุ๊กตาทำท่าเดินมาจับก้อนหินที่ชั้นติ๊ต่างว่ามันคือขนมสาคูกินอย่างเอร็ดอร่อย

"อร่อยจังเลยนารา เราซื้ออันนี้หมดเลยนะ ราคาเท่าไหร่"

"ขายถูกจ้าๆ10บาท"

ชั้นจับตุ๊กตาหยิบใบประดู่มาแทนเงินให้ตัวชั้นเอง บางครั้งชั้นก็นั่งหันหน้าไปหาพ่อ ที่ก้มๆเงยๆอยู่ในทะเล นานๆจะหันหน้ามามองชั้นสักครั้ง ชั้นก็จะจับตุ๊กตาโบกมือให้ จนเมื่อเวลาโพล้เพล้มาเยือน ชั้นนั่งเหม่อมองไปในทะเล เสียงหนึ่งดังใสๆขึ้นมาด้านหลัง

"เหงามั้ยหนู"

เราหันไปมอง เป็นผู้หญิงผมยาว หน้าตาสวย กระเดียดไปทางหน้าแขก นุ่งเสื้อลายดอกยาวถึงข้อศอก เธอยิ้มให้ชั้น ชั้นไม่รู้ไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน แต่ชั้นรู้สึกว่าสายลมที่พัดเส้นผมยาวๆของเธอพาดใบหน้าไสวไปมานั้น ดูเย็นสบายดีจัง

"เหงาค่ะน้า"

"น้าเล่นเป็นเพื่อนมั้ย"

"ได้ค่ะ"

"เอ้าไหน แม่ค้าตัวน้อยมีอะไรขายบ้างเอ่ย"

"วันนี้มีขนมสาคูค่ะ แต่มีคนซื้อหมดแล้ว อันนี้มีแต่น้ำตาลก้อน กับขนมชั้น"

"งั้นน้าเอาหมดเลย เท่าไหร่เอ่ย"

"20บาท"

น้าคนสวย ยื่นธนบัตรใบที่ฉันไม่เคยเห็นมาให้ บนใบนั้น มีแต่เลข1ที่ปรากฏอยู่ ฉันเริ่มนับ1-10ได้แล้ว จึงรู้ว่านั่นคือเลข1
ฉันรับมา ฉันมองเงินนั้นอย่างประหลาดใจ

"น้าให้"

"เอ่อ น้าคะ นี่มันเงินอะไรหนูไม่เอาหรอกค่ะ"

"เอาไปเถอะ น้าไม่ใช้แล้ว"

"ทำไมล่ะคะ"

น้าคนสวยไม่ตอบ แต่มีผู้ชายเดินมาจากไหนไม่รู้ ผมสั้นๆหน้าตาดี ในมือของน้าผู้ชายมีเชือกเส้นใหญ่
น้าผู้ชายเดินมาถึงก็พูดกับน้าคนสวย

"ถึงเวลาแล้วที่รัก"

"อีกแล้วหรือคะ"

น้าผู้ชายโยนเชือกขึ้นไปคล้องกับกิ่งประดู่ต้นนั้น  เขาผูกบ่วง2บ่วงที่ปลายเชือกให้มันห้อยลงมา ตอนนั้นชั้นไม่รู้ประสามากนัก ถามไปแบบซื่อๆ

"น้าจะทำอะไรกันคะ"

แทนการตอบ บ่วงถูกคล้องที่คอของทั้ง2ตอนไหนไม่รู้
แล้วมันก็รูดดึงคนทั้งสองขึ้นไปดิ้นกระแด่วๆ เท้าเตะอากาศไปมา ฉันตกใจ ฉันร้องไห้ ฉันพยายามเขย่งเอื้อมมือเพื่อจะเอามือดันเท้าของน้าคนสวย เมือ่เห็นว่าเอื้อมไม่ถึง
น้าผู้หญิงส่งเสียง อ่อกๆแอ่กๆ ตัวสั่นเร่าๆ ลิ้นเริ่มออกมาจุกที่ปาก ตาเริ่มโปน

"โฮๆๆๆฮืออออออออ น้าๆๆ น้าอย่าเป็นอะไรนะคะ"

ฉันวิ่งลงไปที่ทรายตะโกนเรียกพ่อ "พ่อ พ่อ พ่อ ช่วยด้วย"
พ่อได้ยิน วิ่งน้ำบานมาที่ฉัน "ไหน เป็นไร มีอะไร"

"พ่อๆ ช่วยน้า2คนนั้นที เขาโดนเชือกรัดคอจะตายอยู่แล้ว"

ฉันหันไปชี้ตรงจุดเมื่อกี้ แต่...ว่างเปล่า มีแต่กิ่งไม้เปล่าๆ
ฉันงง แต่พ่อหน้าซีด พร้อมกับสบถเบาๆ

"ยังอยู่กันอีกหรือเนี่ย นึกว่าไปกันหมดแล้วเสียอีก"

ตอนนั้นชั้นไม่เข้าใจความหมายหรอก จวบจนชั้นโต
ชั้นไปยืนดูพ่อลงข่ายดักที่ใต้ร่มไม้ประดู่ต้นนั้นอีกครั้ง
ชั้นหวนคิดถึงเหตุการณ์คราวนั้นในวัยเด็ก
เมื่อพ่อกลับขึ้นมา ชั้นมองกิ่งประดู่

พ่อ...ต้นไม้ต้นนี้เคยมีอะไรหรือเปล่า ที่พ่อเคยพูดตอนชั้นยังเด็กๆ พ่อยังไม่ยอมเล่า

จนเมื่อพ่อขึ้นขับมอเตอร์ไซค์เก่าๆเอาปลากลับบ้าน ชั้นนั่งซ้อนท้าย มือขวาโอบเอว พ่อเล่าให้ฟัง
ครั้งนึง หมู่บ้านนี้ มีชายหญิง2คน รักกันมาก ฝ่ายหญิงนั้นเป็นคนที่สวยที่สุดลือกันไป7-8บ้าน เธอมีรักกับหนุ่มในหมู่บ้าน ชื่อ ไอ้เลี่ยม ฝ่ายหญิงชือเรไร ทั้ง2 มักจะนัดพบกันที่ใต้ต้นประดู่ต้นนี้เสมอ เพราะไอ้เลี่ยมทำประมงชายฝั่งแบบพ่อ
และทะเลตรงนั้น คือจุดที่ไอ้เลี่ยมทำมาหากิน เรไรก็จะมายืนรอ มาคอยให้กำลังใจเสมอ
ทั้งคู่แอบคบกัน พบกัน จนได้เสียกันถึงขั้นเรไรท้องอ่อนๆ
พ่อแม่เรไรรู้ว่า เรไรท้องกับไอ้เลี่ยม ก็เกิดความไม่พอใจ
ช่วงนั้นมีลูกกำนันมาติดพันเรไรอยู่เช่นกัน พ่อแม่เรไรก็บังคับและรวบรัดให้พ่อแม่ของฝ่ายชาย ให้รีบมาขอมาแต่ง
ไอ้เลี่ยมหมดปัญญา จะพากันหนีก็ไม่รู้จะหนีไปไหน เมื่อหนีไม่ได้ อยู่ด้วยกันทั้งเป็นๆก็ไม่ได้ ทั้งคู่เลยแอบนัดพบกันที่ต้นประดู่นั้น
คำสัญญารัก    "เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป"

มันเคยถูกสลักไว้ที่โคนต้นไม้นั้น ก่อนที่มันจะเลือนหายไปตามวันและเวลา
สาวเรไรหาย จนค่ำคนก็พากันออกตามหา ก่อนจะไปพบคนทั้ง2 ห้อยโตงเตงกลายเป็นศพอยู่ที่ต้นประดู่ เรไรตายทั้งที่ท้องอ่อนๆ พ่อแม่ของเธอเสียใจจนแทบสิ้นสติ หลังจากวันนั้นมา ก็จะมีคนเห็นทั้งคู่มายืนพลอดรักกันให้เห็นในยามโพล้เพล้บางวัน บางคนก็เห็นว่ามาห้อยโตงเตงเป็นศพให้ต้องวิ่งหนีบ่อยครั้ง
จนหลังๆมาเมหือนจะหายไป ไม่มีใครเห็นอีก จนมาโผล่ให้ดิฉันเห็นเมื่อตอนเด็กๆนั่นไง

"พ่อ ทำไมพ่อรู้เรื่องนี้ดีจัง"

"หึๆๆ ไอ้เลี่ยมก็น้องของพ่อนี่ไง ส่วนเรไรน่ะ พี่สาวแม่"

ชั้นก็อยากจะคิดนะว่า เมื่อตอนนั้นชั้นอาจจะจินตนาการคุยกับตุ๊กตาจนเพี้ยนคิดไปเอง แต่ธนบัตรใบละ1บาท ที่ดิฉันได้มาในมือ และมอบให้พ่อกับแม่ จนแม่ต้องรีบเอามันไปไว้วัดนั่นล่ะ  มาได้ยังไง สู่สุขคตินะคะ คุณน้าคุณอา

เรื่องจากพันทิป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

27 ม.ค. 2563

ตำนานสมบัติอาถรรพ์ บนเทือกเขาบรรทัด พัทลุง-ตรัง


      เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "ตำนานสมบัติอาถรรพ์ บนเทือกเขาบรรทัด พัทลุง-ตรัง" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย

มันเป็นเรื่องเล่า ตั้งแต่สมัยเรายังไม่เกิด แล้วตอนนั้นก็เป็นสมัยที่ปู่ของเรา ยังมีเรี่ยวแรงเดินเหินได้สะดวกสบาย ร่างกายยังไม่โทรม มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ ผีนางมโนราห์หน้าขาวอาละวาด เราก็ฟังพ่อเล่ามาอีกที

หมู่บ้านที่เราอยู่ ตั้งอยู่กลางหุบเขา มีภูเขาแทบจะล้อมรอบทุกด้าน และด้านหนึ่งนั้น ติดกับเทือกเขาบรรทัดอันสูงใหญ่ ที่แบ่งภาคใต้ออกเป็น2ฝั่ง วิถีชีวิตในยุคนั้น ถ้าไม่ทำสวนยาง ก็เข้าป่าล่าสัตว์แลกข้าวกิน

สมัยนั้นป่าบรรทัดที่กั้นพัทลุง-ตรัง มีสัตว์ป่าชุกชุม ปู่ของเราเลยยังไม่ได้ลงหลักทำสวนยาง เข้าป่าหาของป่า พวกไม้กฤษณา น้ำผึ้งเดือน5 พวกนี้จะมีราคาดี แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เกิดเหตุการณ์มี ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) เกิดขึ้น เป็น ผกค.ฝั่งพัทลุง พอถูกทางการกวาดล้างหนัก ก็พากันถอยร่นข้ามมาฝั่งตรัง จนเมื่อสิ้นสุดยุค ผกค. จำนวนมากเสียชีวิตและยอมแพ้

แต่ก็มีข่าวลือแพร่ในหมู่บ้านของเรา เพราะมี ผกค.คนหนึ่ง หนีมาขออาศัยในหมู่บ้าน เขานั้นได้รับบาดเจ็บมา ตอนนอนรักษาได้เพ้อพร่ำบอกเอาไว้ว่า ในป่าลึกของเทือกเขานั้น ห่างจากหมู่บ้านของเราไปประมาณ1วันเดินเท้า จะมีถ้ำลับของ ผกค. ที่ขุดขึ้น ใช้เป็นที่เก็บข้าวของ ทุนทรัพย์ พวกเงิน และทองเป็นลังๆ เขาได้เล่าเพื่อตอบแทนคนในหมู่บ้าน ที่ให้ที่พักแก่เขา เพราะเขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่รอด อยากให้ชาวบ้านพากันไปค้นหาเอา

ปู่ของเราก็ได้อยู่ในตอนนั้นด้วย แต่ว่า ผกค.คนนั้นดันรอดตาย แล้วเดินทางออกจากหมู่บ้านไปมอบตัว ร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทย พอเหตุการณ์ผ่านไป2ปี เขาคนนั้นได้กลับมาที่หมู่บ้านของเรา พาเพื่อนมาด้วยอีก2คน พร้อมมาชักชวนคนในหมู่บ้านได้คนไปอีก5-6คน ปู่เราก็ถูกมาชวน แต่ปู่ไม่เอาด้วย เพราะไม่ได้สนใจในทรัพย์สินพวกนั้น

พวกเค้าก็ไปกันเอง ปู่ว่า หายกันไปร่วม7วันก็ยังไม่กลับออกมา พวกลูกเมียญาติพี่น้องของคนในหมู่บ้านที่ร่วมเดินทางไปด้วยก็กังวลใจ ร้อนใจ ขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วย ผู้ใหญ่บ้านก็มาหาปู่ เพราะรู้ว่าปู่ เป็นคนมีวิชาเดินป่า เข้าป่าหาของป่าบ่อย พอปู่เห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อน ก็เลยรับปากออกร่วมเดินทางกับกลุ่มผู้ใหญ่บ้าน แกะรอยเข้าป่า ไปกัน6คนรวมปู่

ปู่นั้นเป็นคนที่สะกดรอยเก่ง ปู่ใช้เวลาร่วม3วัน ก็พากลุ่มคนที่ค้นหา ไปจนเจอถ้ำลับของ ผกค.ที่ว่าอย่างยากลำบาก เพราะทางเดินในป่ามันไม่ได้เดินสบายเหมือนเดินปิคนิกตามสถานที่ท่องเที่ยว แต่ปู่ว่าพอเข้าไปทุกคนก็ต้องชะงักหมด เพราะในถ้ำ มีแต่กลิ่นคาวเลือดและเหม็นเน่าโชยออกมา ถ้ำนั้น เป็นถ้ำที่ถูกขุดเจาะเข้าไปในหินของภูเขา ปากถ้ำพอจะสว่าง แต่ด้านในมืด อับทึบ

ตรงด้านหน้าก็รกมาก เพราะมีการเอาพวกรากไม้ และเถาวัลย์ป่ามาอำพรางไว้ มีเก้าอี้และโต๊ะทำจากไม้ท่อนๆวางอยู่หน้าถ้ำ ในความเลือนลางๆของปากถ้ำ มีร่าง ร่างนึง การแต่งตัวเหมือนชาวบ้าน นอนคว่ำหน้า ที่ด้านหลังมีมีดปักอยู่ที่ก้านคอ ทุกคนก็กรูเข้าไปมุง ปู่เป็นคน จับศพคนแรก พบว่า เป็นศพลุงจิ้ง คนในหมู่บ้าน ที่ตาม อดีต ผกค.คนนั้นมา

สภาพศพลุงจิ้งนั้น ปู่ว่า เหมือนกำลังพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างออกมาจากด้านใน ดูได้จากสภาพศพคือ คงถอดรองเท้าทิ้งไปเพื่อจะวิ่งได้เต็มที่ แต่ก็โดนมีดเล่มนั้น ปักที่ก้านคออย่างแรง จนทะลุลูกกระเดือกออกมา แล้วลุงจิ้งก็คงล้มลงขาดใจตายที่ตรงนั้น สภาพศพคือบวมอืดและเน่าเหม็นมาก มีรอยกัดแทะจนแหว่งไปบางส่วน จนบางคนพากันออกไปยืนอ้วกหน้าถ้ำ

ปู่ว่า ลุงจิ้งนั้น ถูกชวนมาแทนปู่ เพราะเป็นคนมีวิชาอาคมอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเก่งเท่าปู่ พอปู่ไม่ร่วมทางมา ผกค.คนนั้นเลยสอบถามคนในหมู่บ้าน จนไปได้ลุงจิ้งแทน ซึ่งตอนนั้น ปู่ก็ไม่รู้สาเหตุหรอกว่า ทำไมถึงต้องเอาคนมีวิชาอาคมมาด้วย ก็แค่กลับมาเอาทองของพวกตัวเอง

พอปู่สำรวจศพลุงจิ้ง พบว่าในย่ามประจำตัวแก มีทองแท่งเล็กๆอยู่4แท่ง จับออกมากระทบแสงไฟฉายแวววาว ปู่ส่งให้ทุกคนจับดู ทุกคนก็ลืมกลิ่นเหม็นเน่า มายืนจับทองคำแท่งเล่นกันหมด

"ไอ๊ย๊ะ ทองคำเบอะนิ มีจริงกันหล่าว"

"เอาพรือละพ่อ อิเข้าไปแลม้าย ข้างใน"

ตอนนั้นปู่เสนอทุกคนว่า อย่าเลย ตายกันหมดแล้วล่ะ ตาจิ้งคงเป็นคนสุดท้ายที่รอดอยู่ตอนนั้น และพยายามวิ่งหนี แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี เลยมานอนตายตรงนี้เป็นคนสุดท้าย ปู่ชวนทุกคนกลับหมู่บ้าน เพื่อไปส่งข่าวญาติพี่น้องของพวกเค้า

"แล้วศพพี่น้องโหม๋เราเอาพรือพ่อ อิปล่อยเน่าคาถ้ำพันนี้เหอ"

"แล้วแต่โหม๋ซู้ต่ะ ว่าอิช่วยกันแบกศพหลบบ้านม้าย แต่กูม้ายแบกฮ้าน เดินเองกูยังเอื่อยเล้ย"

คนหนุ่ม4คนก็มองหน้ากัน แล้วมองไปที่ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเองแกก็ครุ่นคิดหนักอยู่พักใหญ่ๆ อาจจะเพราะใจนึงก็อยากทำตามคำพูดปู่ เพราะการจะแบกศพที่ตายมาน่าจะหลายวันโทงๆกลางป่า เพื่อกลับไปให้ญาติในหมู่บ้านได้ดู มันก็หนักหนาพอดู
6คน ต่อ6ศพ ที่น่าจะตายหมดแล้ว กับการหามออกจากป่า เป็นอะไรที่ไม่น่าทำอย่างยิ่ง ครั้นจะออกไปตามคนมาหาม ก็จะเป็นการยุ่งยากเสียเปล่าๆ เสียเวลาทำมาหากิน
ลุงผู้ใหญ่บ้านเลยเสนอ

"เอาพันนี้ต่ะ เราช่วยกันหาศพโหม๋บ้านเรา ออกมาเผาหน้าถ้ำ ให้ฉ๊าด แล้วเอากระดูกมันหลบดีม้าย ญาติพี่น้องมันได้เอาไปทำพิธี"

ทุกๆคนเห็นด้วย ว่าควรปักหลักเผาศพคนของหมู่บ้านที่หน้าถ้ำให้หมดก่อน แล้วเอากระดูกกลับไปบำเพ็ญกุศลศพ ก็เลยพากันไปปักหลักห่างจากปากถ้ำที่ว่า ประมาณ100เมตร ปู่บอกว่า ในความรู้สึกของปู่นั้น มีความกังวลใจอยู่ลึกๆ แต่ปู่ไม่รู้จะบอกคนอื่นๆยังไง กลัวคนอื่นๆจะหาว่าปู่ขี้ขลาดเกินไปและไม่รักพี่น้องร่วมหมู่บ้าน

ทุกคนช่วยกันตัดไม้ และใบไม้บริเวณนั้น มาสร้างเป็นเพิงพักกันน้ำค้าง ใกล้กองหินใหญ่ ตรงนั้นมีต้นเหรียง ต้นใหญ่ขึ้นอยู่ วางข้าวของเอาไว้ แล้วก็ช่วยกันหาไม้แห้งเท่าที่จะหาได้ มาก่อกองฟอนเผาศพตาจิ้ง ที่ใกล้ๆหน้าถ้ำเป็นศพแรก กว่าไฟจะกินเนื้อเน่าๆของศพจนหมดก็ย่ำค่ำ ก็พักกินข้าวกัน แต่กลืนกันไม่ค่อยจะลง เพราะกลิ่นเผาศพมันอวล แล้วภาพตอนศพโดนไฟเผา มันก็ติดตา ก็เลยกินได้แค่คนละนิดละหน่อย

น้ำท่าก็ไม่ได้อาบกัน เพราะลำธารเล็กๆสายนึงนั้นอยู่ไกลจากจุดนั้นพอสมควร ก่อนนอน ปู่ก็ทำพิธีขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่ ผีเจ้าถิ่นเพื่อนอนที่นั่น ทุกคนนอนในเพิ่งไม้สดชั่วคราว ผลัดกันนอนและผลัดกันตื่นมาดูรอบๆ โชคดีที่ช่วงนั้น ไม่ใช่หน้าฝน ก็เลยไม่มีปัญหาอะไรเรื่องฝนตก

ปู่ว่าในช่วงที่ปู่หลับนั้น ปู่ก็ฝัน ฝันว่า มีผู้ชายตัวสีแดง ร่างใหญ่มาก เดินเข้ามาหาปู่ หน้าตานั้นนิ่งๆ แต่มีหนวดเคราสีขาวล้วนเข้ามาถามไถ่พอจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลักๆคือ

"โหม๋ซู้ อย่าเที่ยวไปหยิบเอาทอง เอาคำ ทรัพย์สิน ในถ้ำนั้นนะ เดี๋ยวอิหาว่าฉ้านม้ายเตือน นี้ฉ้านมาเตือน เพราะเห็นว่าโหม๋ซู้ มีความเคารพยำเกรงให้ฉ้านนะ"

พอบอกเท่านั้น คนร่างแดงในฝัน ก็เดินหายเข้าป่าไป แต่ว่าปู่ก็ไม่ได้ตื่นหรืออะไร แต่ยังฝันต่อไปอีกว่า พอเว้นช่วงจากฝันเห็นคนร่างใหญ่สีแดงมาเตือนแล้ว ก็ยังฝันอีกว่า ตัวเองนั้นเดินไปที่ถ้ำนั้นคนเดียว พอเดินไปถึงปากถ้ำ ก็พบผู้ชายคนนึงยืนดักอยู่ที่ปากถ้ำ หน้าตาเค้าดุมาก และดูไม่พอใจที่ปู่เดินเข้ามา ในฝันเค้าขู่ปู่ว่า

"ฉ้านไม่ว่า ที่เติ้น อีพากันมาเอาศพโหม๋ซู้ในถ้ำไปเผา แต่ฉ้านขอเตือนเติ้นไว้ก่อนนะ ว่าห้ามเอาไอ้ไหรไปแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่งั้นโหม๋ฉ้าน อีตามฆ่าคนเอาไปให้ฉาด จำคำฉ้านที่บอกไว้ให้ดี"
..... ... เมื่อตื่นมาตอนเช้า ปู่เล่าเรื่องความฝันให้ทุกคนฟัง และเตือนทุกคนว่าอย่าไปหยิบฉวยอะไรในถ้ำนั้นมาเป็นของตัวเอง เพราะเจ้าของเค้าหวง และวิญญาณแรงมาก แถมไม่ได้มีแค่ดวงเดียว พอทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว ปู่ก็เป็นคนไปทำพิธีเก็บอัฐิตาจิ้งใส่ผ้าที่ตัดมาจากผ้าขาวม้า เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมา

........ ทุกคืนยืนสงบนิ่งไว้อาลัย มีดเล่มที่ปักก้านคอตาจิ้งจนตายนั้น ปู่จับดู เห็นมีอักขระอาคมก็เลยรู้ว่า มันเป็นมีดของตาจิ้งเอง ไม่ใช่ของใคร มีดตัวเอง ปักคอตัวเอง ปู่เดาเรื่องราวไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น ปู่ยื่นมีดเล่มนั้นให้ผู้ใหญ่บ้านถือไว้ แล้วบอกให้ผู้ใหญ่บ้านกับ คนหนุ่มอีกคนรอด้านนอก ส่วนปู่กับคนหนุ่มอีก4คนจะเข้าไปดูด้านใน ปู่ถามความสมัครใจว่าใครอยากเข้าไปบ้าง ขอคนที่มีความพร้อม เพราะข้างใน มันคงจะมีสภาพน่าสะอิดสะเอียนมากแน่ๆ เพราะกลิ่นที่โชยออกมามันฟ้อง
พอตกลงกันได้แล้ว ปู่ก็สั่งผู้ใหญ่บ้านไว้ว่า

"ถ้าโหม๋ฉ้าน ไม่หลบออกมา ภายใน1 ชม.กลับไปแจ้งข่าวคนในหมู่บ้านได้เลย แล้วไม่ต้องพากันมาตามหาอีก"

..... ....ปู่ก็เป็นคนนำคนหนุ่มทั้ง4คนเข้าไป ถ้ำนั้น ไม่ได้กว้างอะไรมากมาย แค่พอให้คน2คนเดินคู่กันเข้าไปได้ ผนังถ้ำก็แห้ง และไม่มีความเรียบ เพราะน่าจะเป็นการใช้คนขุด ทุกคนช่วยกันสาดไฟฉายเพื่อดู
ยิ่งเดินเข้าไปลึก ยิ่งอึดอัด มีข้าวของเก่าๆวางอยู่บ้างตามพื้น กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงปนสาบสางก็โชยออกมาไม่หยุด จนคนนึง บ่นออกมาว่า

"เหม็นอิตายโหง"

..... ....ทุกคนต้องเอาผ้าขาวม้าตัวเองขึ้นปิดจมูก แล้วปู่ก็เจอห้อง ที่มีลักษณะกว้าง มีอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้วางเต็มไปหมด ทุกชิ้นมีฝุ่นเกาะเต็ม บางชิ้นเหมือนมีรอยมือคนจับเมื่อไม่นานมานี้ ก็น่าจะเป็นรอยมือของกลุ่มคนที่มาก่อนหน้านี้นี่แหละ
ปู่กวาดไฟฉายดูไปรอบห้อง เห็นมีปล่องเล็กๆ เจาะขึ้นไป ในหลายๆด้านทางด้านบน น่าจะเป็นรูระบายอากาศของถ้ำ ในถ้ำมีเครื่องสนิมเขลอะ ที่น่าจะเป็นเครื่องปั่นไฟตั้งอยู่ด้วย เพราะเห็นมีสายไฟเก่าๆเชื่อมออกมาจากเครื่องนั้น หลอดไฟก็ยังมีอยู่ ทุกคนช่วยกันส่องไฟ แต่ไม่ยอมแตกกลุ่ม ปู่เห็นยังมีทางไปต่อ เลยเดินนำเข้าไป

........พอเข้าไปถึง แสงไฟกระทบ ก็พบความสยดสยอง ศพทุกศพ นอนตายขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลภายในถ้ำ จนบางคนต้องยืนอ้วก ฝูงแมลงเกาะศพ กระจายหึ่ง เมื่อปู่เข้าใกล้ ปู่เดินไปสำรวจที่ศพแต่ละศพ
ศพหนึ่ง แต่งตัวเป็นเอกลักษณ์ที่ปู่จำได้ว่า คืออดีต ผกค.คนนั้น ที่เป็นคนมาชวนทุกคนกลับมาเอาสมบัติ นอนคว่ำหน้าขึ้นอืด ในมือขวากำปืนพก ปลอกกระสุนตกเกลื่อนห้อง ที่ขมับขวา มีรอยเจาะของกระสุน ส่วนศพอื่นๆนั้น บางศพถูกยิง บางศพมีรอยมีดปาดคอ
ในห้องนั้น มีลังไม้ลังเหล็กตั้งอยู่หลายหลัง ลังนึงมีรอยเปิดฝาทิ้งไว้ มีทองคำบางส่วนกระจายอยู่ที่พื้น

.... ปู่เข้าไปดู ทุกคนร้อง หูววว เพราะไม่เคยเห็นทองคำแท่งมากขนาดนี้ ปู่บอกว่า บนทองมีภาษาที่ไม่น่าใช่ภาษาไทย ประทับอยู่ ปู่ก็ไม่รู้ว่ามันคือภาษาอะไร เพราะปู่ไม่คุ้นชิน ถ้าเป็น บาลี สันสกฤต อันนี้ปู่ถนัด
คนอื่นๆก็ไปเปิดดูลังอื่นๆที่ตั้งอยู่ ในนั้นมีทั้งทอง เงิน อาวุธ อาหารกระป๋อง เต็มไปหมด ปู่ได้แต่พร่ำบอกทุกคนว่า

"โหม๋มืงอย่าเที่ยวลักหยบ หยิบของเค้าไปฮ้าน ไม่งั้นอิได้นอนตายเหมือนโหม๋นี้และ"

.....ทุกคนก็รับทราบ พอเห็นความสยองที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าคว้าเอาไป ปู่เป็นคนสำรวจศพ ก็พบคนของหมู่บ้านอีก4ศพ ก่อนจะหันหน้าไปถามคนหนุ่มที่มาด้วยกัน ด้วยความสงสัย

"เออ นี้ตอนมันมา มีใครรู้หม้าย ว่าคนบ้านเรามากันกี่คนแน่"

"มากัน6คนนิสาว่า รวมโหม๋ประอื่น3 รวมทั้งเพ9คน..พ่อ"

"อืม ศพไอ้จิ้ง นอนอยู่หน้าถ้ำ ในนี้มีอีก7 เป็นคนบ้านเรา4 แล้วหายไปไหน1วะ"

คนอื่นๆก็ช่วยกันนับและพยายามหา แต่ก็หาอีกศพไม่เจอจริงๆ แต่คนหนุ่มคนนึงที่แยกออกไปด้านหลังหลัง ก็ร้องลั่นตกใจวิ่งตีนแตกออกมา

"เห้ยๆๆๆๆโว้ยๆๆๆๆๆ"

"เห้ยๆ ไอ่ไหรมืง เป็นไหร"

"และเอาต่ะ ที่พิ้นประหลัง ลังฮั้น"

....ปู่เดินไปส่องไฟดู ก็พบว่า มีโครงกระดูกคน ลักษณะเก่าแล้ว นอนกองอยู่ที่พื้นแบบทับกันไปมาหลายโครง กระดูกและหัวกะโหลกเป็นท่อนๆแลขาวโพลน มีเศษดินเกาะ แต่อีกโครงหนึ่ง นั่งพิงผนังถ้ำอยู่ ข้างตัวมีปืนกลตกอยู่ แล้วบนศพที่นั่งนั้น ก็มีมีดสั้นคาอยู่ที่ซี่โครง ปู่ไม่อาจเดาเหตุการณ์ได้ จึงได้แต่ทำการขนศพเพื่อนบ้านที่นอนตายอืดที่พบ4ร่างนั้นออกไปเผานอกถ้ำ
เป็นการเผา4ศพในคราวเดียว ต้องขนฟืนกันเหนื่อยหนัก เพราะการจะเผาให้หมด ต้องใช้ไม้ค่อนข้างเยอะ เรียกว่าไม้แห้งบริเวณนั้น ไม่มีเหลือสักต้นเดียว เพราะโดนขนมาเผาศพจนเรียบ

......ปู่บอกกับผู้ใหญ่บ้านว่า อีกศพหาไม่พบ ไม่แน่ว่าอาจจะหนีรอดออกไปได้ ตกลงคืนนั้นก็ต้องนอนตรงนั้นอีกคืน เพราะกว่าจะเผาศพได้หมดทั้ง4ศพ ก็กินเวลาหมดวัน
ส่วนศพพวกที่เหลือนั้น ปู่ไม่นำพา ปล่อยให้เน่าคาถ้ำไป
คืนนั้น ทุกคนเลยนอนที่เพิงไม้สดนั้นอีกคืน ตกดึก ขณะที่ปู่กำลังนั่งเคลิ้มๆที่โคนต้นเหรียงใหญ่ด้วยความเพลิน ปู่ก็ได้ยินเสียงลอยลมมา

"ฮืออออออออออออออออออออออออออออ"

....ปู่เหงี่ยหูฟัง ก็ยังได้ยินเสียง "ฮืออออออออออออ"ลากยาวลอยมา ปู่หันไปมองยังจุดที่เผาศพ ที่ยังมีถ่านแดงๆวับๆแวมๆอยู่ ปู่ก็เห็นว่ามีเงา4เงากำลังนั่งร้องไห้อยู่ส่งเสียงน่าเวทนา
พอปู่จ้องมองนานๆเข้า เงาที่ว่า ก็เหมือนจะพากันเดินตรงมาที่ปู่
ปู่บอกว่า ปู่ไม่ได้กลัวพวกนั้น แต่ปู่กลัวคนที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นแล้วจะขวัญผวา ปู่เลยตะโกนไปเบาๆว่า

"พรือล่ะ ม้ายต้องเข้ามา ตอเช้าอิพาหลบไปหาญาติ รอนั้นแนะ โหม๋นี้มันอีขลาดเอา"

......แล้วเงาเหล่านั้น ก็พากันเดินกลับไปที่เดิมแล้วก็หายไป ปู่ว่าไม่รู้ว่ามันร้องไห้เสียใจที่ตาย หรือดีใจที่มีคนมาพากลับ แต่คงน่าจะดีใจมากกว่า เพราะปู่ว่า ถ้าคนตายโหง ไม่มีคนเชิญวิญญาณ ก็จะไปไหนไม่ได้ ต้องเฝ้าตรงนั้นไปอดๆอยากๆ จนกว่าจะสิ้นกรรม
ยิ่งดึกน้ำค้างลง อากาศเย็นและหนาว ปู่นั่งหาวอยู่ข้างกองไฟใต้ต้นเหรียงใหญ่คนเดียว เหลียวมองไปรอบทิศตลอด ได้ยินเสียงหมาป่าหมาไนหอนแว่วๆมาแต่ไกล เสียงสัตว์หากินกลางคืนก็ดังสลับ ยอดไม้โดนลมพัดเสียงดังซ่าๆ

.....ปู่หลับไปอีกคำรบ และจบด้วยการฝันอีกครา ในฝันปู่เห็นผู้ชายตัวเเดงหนวดเคราสีขาวร่างใหญ่คนเดิม เดินมาหา ข้างๆกันนั้น เป็นผู้ชายที่ชื่อบ่าวกริช ซึ่งร่วมขบวนมาเอาสมบัติ และเป็นคนที่ไม่พบศพในถ้ำเดินตามมาด้วย พอมาถึง บ่าวกริชก็นั่งคุกเข่าลงข้างๆ ชายร่างแดงก็พูดออกมาว่า

"เอานี่ มาพามันหลบกัน กูพามันมาส่ง"

....แล้วชายร่างแดงก็เดินผ่านไปอีกด้าน ในฝันนั้นปู่ถามบ่าวกริชที่นั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ไปมากมาย ซึ่งพอตื่นมาปู่ก็จำไม่ได้ รู้แค่ว่าคุยกันเยอะมาก แต่หลักๆคือ บ่าวกริชได้เล่าให้ฟังว่าเข้าไปในถ้ำแล้วมีคนถูกผีเข้าลงมือฆ่าทุกคนทิ้ง ตัวเองกับตาจิ้งวิ่งหนีออกมาได้ ได้ทองติดตัวมาคนละ3-4แท่ง แต่ตาจิ้งนั้นแก่กว่า เลยวิ่งตามบ่าวกริชไม่ทัน บ่าวกริชหลุดออกจากถ้ำได้ก็วิ่งไม่เหลียวหลัง รู้ตัวอีกทีคือวิ่งหนีไปไกล จนไม่เห็นใครตามมา

.......บ่าวกริชไม่ใช่คนชำนาญป่า ก็เดินเร่ร่อนตะโกนขอความช่วยเหลือไปเรื่อยๆ จนเหนื่อย นอนก็นอนไม่ค่อยได้ เพราะไม่มีอุปกรณ์อำนวยช่วยอะไรเลยนอกจากตัวเปล่าๆกับเสื้อผ้า และทองคำ3แท่งในกระเป๋า เดินออกไปได้ราวๆ2คืน ก็ผลัดตกหลุมที่อยู่กลางป่าตรงไหนสักที่ในป่านี้ หลุมนั้นทั้งลึกและแคบ ตัวเองจะขยับไปทางไหนก็ไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ก่อนจะตายอย่างทรมานในหลุมปล่องที่ว่า พอตายถึงได้ขึ้นมายืนอยู่ที่ปากปล่อง แต่ก็ไม่รู้จะไปทางไหนเหมือนเดิม จนเจอคนร่างใหญ่ตัวแดงผ่านมา จึงยกมือไหว้ขอความช่วยเหลือ

"เขาก็กรุณาให้เดินตามมาด้วย แล้วบอกว่า พวกของผมตามมาช่วย อยู่ที่ปากถ้ำ ก้เลยตามเค้ามา"

.....นี่คือเหตุการณ์คร่าวๆของการฝัน ที่ปู่พอจะเรียบเรียงได้ เพราะฝันไม่ใช่นิมิต การจะทำอะไรตามใจคิด จึงทำไม่ได้สะดวก ความฝันมันโดดไปโดดมา บางครั้งมันก็เลือนตา ปู่รู้แล้วว่า วิญญาณบ่าวกริชมาอยู่แถวนั้นแล้ว พอเช้า ปู่ก็ทำพิธีเก็บอัฐิคนที่เหลือทุกคน พร้อมกับทำพิธีเชิญดวงวิญญาณของทุกคนกลับบ้านด้วยกัน ในส่วนศพของบ่าวกริชนั้น คงไม่ต้องไปเสียเวลาตามหา เพราะถ้าตก ลงไปในปล่องลึกกลางป่า ก็จนปัญญาที่จะเอาขึ้นมา

.....ก่อนจะกลับออกมาจากตรงนั้น ปู่ยังมีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะสัมผัสได้ถึงความอึดอัดบางอย่าง แผ่ออกมาจากในถ้ำนั้น
ปู่ให้ทุกคนช่วยกันพรางปากถ้ำ ด้วยวัสดุธรรมชาติทุกอย่างที่พอจะหาได้ เอามากองปิดปากถ้ำไว้ อย่างน้อยๆก้ป้องกันเอาไว้เผื่อในอนาคตมีชาวบ้านผ่านมาหาของป่าทางนี้แล้วจะได้ไม่เห็นปากถ้ำ
ปู่นั้นมีความสามารถในการผูกหุ่นพยนต์อาคม (ดังที่เคยผูกหุ่นไว้สู้กับกองทัพผีมโนราห์ในเรื่องเล่ามโนราห์หน้าขาวนั้น) ปู่เลยจัดการ เอาผงกระดูกจากทั้ง5ศพของชาวบ้านนั่นแหล่ะ เป็นวัตถุดิบ ปั้นเข้ากับดินเหนียว ก่อนจะเสกคาถากำกับ
เอาหุ่นพยนต์ตั้งไว้ใต้ต้นเหรียง ให้หันหน้าไปทางปากถ้ำ

........ปู่พาทุกคนเดินกลับบ้าน ปู่เป็นคนนำทาง เดินบ้าง หยุดพักบ้าง เนื้อตัวเหม็นอบอวล เพราะไม่ได้อาบน้ำ แต่ละคนเลยอยู่ในสภาพมอมแมม ปู่เป็นคนเก็บอัฐิของของชาวหมู่บ้านที่เสียชีวิตไว้ในย่าม นอกจากนี้ ปู่ยังเก็บเอาผงขี้เถ้าจากเชิงตะกอนเผาศพติดมาด้วย

........ปู่ว่า ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเก็บติดมาด้วยหรอก แต่มีความรู้สึกสังหรณ์ในใจแบบบอกไม่ถูก เลยเอามาด้วยไปงั้นๆ แต่มันก็เกิดความประหลาดขึ้น เพราะมีหลายต่อหลายครั้ง ที่ปู่พาทุกคนเดินวนกลับมาทางเดิม จนพวกคนหนุ่มๆตกใจ

"พ่อเฒ่า นี้มันทางเดิมเบอะนิ"

"เออว่ะ ไอ้ไหร้วะ กูว่ากูไม่พลาดแล้วนะ"

......พ่อบอกเราว่า การเดินวนกลับมาที่เดิมในครั้งนั้น ปู่บอกพ่อไว้ว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตของปู่เลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่เติบใหญ่มา ที่เดินหลงป่า แต่ปู่ก็พยายามพาทุกคนเดินไปข้างหน้าได้ทุกครั้ง แต่ก็เสียเวลาไปมาก
ป่าในภาคใต้นั้น มักจะเป็นป่าดิบชื้น มีความรกเรื้อสูงในถิ่นที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไป ไม่ใช่ป่าที่เหมาะจะไปเดินเล่นนานๆ ปู่พาทุกคนเดินมาถึงจุดที่มีลำธารเล็กๆ ก็ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เพราะอยู่ในป่ามันเลยมืดไวกว่าปกติ เลยพาทุกคนไปตั้งจุดนอนใกล้ๆธารน้ำเล็กๆนั้น เพื่อให้ทุกคนได้อาบน้ำกัน

......ปู่ไปเจอด้านหนึ่งมีลักษณะเป็นเวิ้งถ้ำเล็กๆ ก็เลยพากันไปนอนตรงนั้น ก่อไฟตั้งไว้ด้านหน้า หุงหาอาหารแบ่งกันกิน พูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ปู่รู้ทุกคนเหนื่อย และอยากกลับถึงบ้านไวๆ ปู่พูดให้กำลังใจทุกๆคน ผู้ใหญ่บ้านก็ขอบคุณปู่ ที่ร่วมเดินทางมาด้วย ไม่งั้นก็คงหมดท่าหมดปัญญาตามหาจนเจอแบบนี้
ก่อนนอนคืนนั้น ปู่ทำพิธีกั้นเขตอาคมไว้รอบปากถ้ำ

"พ่อเฒ่า อีทำพิธีกั้นอาคมทำไหร่อ่ะ"

"ขอสักหิดสักหุยและน่า ม้ายทำกะพรือโฉ้แปลกๆไม่บายใจนิ"

......คนหนุ่มๆนั้นสนใจในเรื่อง วิชาอาคมของปู่มาก หลายๆคนในหมู่บ้าน รับรู้ว่าปู่มีดีด้านนี้ เพราะเป็นศิษย์สำนักวัดเขาอ้อ ตัวปู่นั้นเต็มไปด้วยอัขระเลขยันต์ ที่ได้รับการสักโดยตรงมาจากสำนักวัดเขาอ้อ

.....ในย่ามของปู่ จะมีเครื่องราง ของขลังอยู่ ที่แม้แต่พ่อเองก็ไม่เคยได้เห็น พ่อบอกว่า ถ้าปู่ไม่เอาออกมาให้ดู ใครก็ไม่กล้าไปยุ่งแม้แต่พ่อ

......ปู่นั้นเป็นคนใจดี แต่ถ้าไปยุ่งกับย่ามส่วนตัว ปู่จะโกรธมากๆ พ่อบอกว่า ปู่เป็นคนอยู่ยงคงกระพันด้วย เพราะเคยเข้าพิธีอาบน้ำว่านมาแล้ว ที่พ่อกล้าพูด เพราะพ่อเคยเห็นมาแล้วเมื่อครั้งนึงพ่อไปกับปู่แล้วเจอโจรดักปล้นกลางทาง ปู่สู้แล้วถูกโจรเอาดาบยาวฟันเข้าเต็มกลางหลังขาดแต่เสื้อกับมีรอยช้ำของคมดาบแต่ไม่เข้าเนื้อ
โจรมากัน2คน แล้วตอนนั้นพ่อก็ยังเด็ก โจรฟันปู่ไม่เข้าก็ตกใจพากันวิ่งหนีไป

......ปู่เคยบอกไว้ว่า วิชาอะไรพวกนี้ จะขลังมากขลังน้อย ก็แล้วแต่การปฏิบัติตัวและจิตของแต่ละคน ปู่นั้น บอกไว้เสมอว่า ในรุ่นของปู่ที่ได้เรียนวิชาเหล่านี้มานั้น ปู่เป็นคนที่ด้อยที่สุด เมื่อเทียบกับเพื่อนอีก2คน ที่อยู่พัทลุง และอีกคนที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน

(เพื่อนชาวพัทลุงคนนั้นของปู่คือคนที่มาช่วยปราบผีมโนราห์ในเรื่องเล่ามโนราห์หน้าขาวนั่นเอง)

.....วิชาถนัดของปู่นั้นคือ การเสกหุ่นพยนต์ ซึ่งพ่อเคยขอให้ปู่สอนให้ แต่สุดท้ายปู่ก็ไม่เคยสอนอะไรพ่อเลย ปู่บอกว่า ตอนแกดั้นด้นไปเรียนมา ได้รับปากพระอาจารย์ไว้แล้วว่า จะไม่ถ่ายทอดให้ลูกหลานคนใด เพราะถ้าใครอยากได้จริงๆ ก็ต้องเดินทางไปขอเรียนเอง (ปัจจุบันสำนักวัดเขาอ้อไม่มีเหลือผู้ที่จะถ่ายทอดได้อีกแล้ว คนสุดท้ายของสายเขาอ้อที่พอจะถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์อื่นได้ก็คือ ท่านพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา ที่ท่านมรณะภาพไปแล้ว)

.....คืนนั้นทุกคนก็หลับกันไปด้วยความเพลีย ใครตื่นก็ลุกมาเขี่ยกองไฟและเพิ่มฟืนเป็นครั้งคราว ปู่นั้นหลับสนิทไป แต่ก็รู้สึกมีใครมาสะกิด

"พ่อ พ่อ พ่อ ตื่นๆ"

ปู่ปรือตาขึ้นมอง ปู่บอกว่าเป็นวิญญาณของบ่าวกริช คนที่ตกปล่องลึกตายแล้วมีชายร่างแดงพามาส่งนั่นเอง ปู่ก็ส่งกระแสจิตไปถาม เพราะบ่าวกริช เป็นวิญญาณ ไม่มีกายเนื้อ เลยไม่สามารถพูดคุยกันได้ตามปกติ ก็ส่งคำพูดผ่านทางการนึกคิดไปหา

"พรือ บ่าวกริช มีไหร"

"หุ่นพยนต์ที่พ่อตั้งให้เฝ้าไว้หน้าถ้ำ แพ้เค้าแล้ว เค้าเยอะกว่า แข็งแรงกว่า เค้ากำลังพากันมาทางนี้ ฉ้านหลบก่อนนะ ฉ้านช่วยไหรไม่ได้ เท่าแต่มาเตือน"

.....ปู่นั้นหนักใจไม่น้อย คิดไม่ตกว่า ทำไมวิญญาณในถ้ำยังจะตามมาอีกตามที่บ่าวกริชมาเตือน ปู่ตัดสินใจปลุกทุกคน แล้วแจกตะกรุด ให้คล้องข้อมือ ทุกคนก็งงๆแต่ก็รับไปคล้องแต่โดยดีแล้วหลับต่อ ความวิเวกวังเวงปกคลุม เสียงจิ้งหรีดหริ่งเรไรระรัวไปทั่วราวป่ายามดึก ลมพัดมา ดัง วู้ววววววววว วู้วววววววว ซ่าาาาาาาาาาาา
ปู่หยิบมีดอาคม ที่แทบจะไม่เคยเอาออกมาจากย่าม ที่ปลายด้ามสลักรูปฤาษีออกมาพนมมือท่องคาถา ก่อนจะปักลงบนพื้นดินไว้ด้านหน้าถ้ำ นั่งรออยู่พักเดียว ก็มีเสียงดัง "ตุ๊บ" ลงมาตรงกลางลานดินหน้าเพิงถ้ำ

"เอาของคืนไป"

......เสียงปริศนาดังแว่บมาในสมองของปู่ ที่หล่นมาคือหัวของหุ่นพยนต์ที่ปู่ปลุกเสกตั้งไว้เฝ้าหน้าถ้ำด้วยความสังหรณ์ส่วนตัวนั่นแล่ะ
หุ่นพยนต์คงสู้กับพวกผี ผกค.ในถ้ำจนพ่ายแพ้เลยถูกตัดหัวมาโยนทิ้งไว้แบบนี้เพื่อเยาะเย้ยปู่

.....ปู่หันไปมองที่ด้านนอกระยะแสงกองไฟ ปรากฏเงาคนหลายคนยืนอยู่ พวกนั้นได้แต่ยืนขู่อยู่ด้านนอกวงอาคม ไม่กล้าฝ่าเข้ามา และถึงจะฝ่าเข้ามาได้ ก็ต้องเจอกับมีดอาคมของปู่รออยู่อีก
ปู่บอกว่าตอนนั้นปู่ก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าจะสู้ได้ แต่ก็ทำใจดีสู้ผี เขม็งเกลียวกลับไป เงาผีตนหน้านั้น ในมือเหมือนจะถือดาบคล้ายดาบซามูไรอยู่ นั่นทำให้ปู่แปลกใจไม่น้อย ในขณะที่เงาด้านหลังที่ตามๆกันมา ยืนอยู่นิ่งๆเหมือนรอคำสั่ง ปู่ถามออกไปทางความคิด

"ต้องการอะไรถึงตามมา"

"ชีวิตพวกของมืงในกลุ่ม1คน ถ้าไม่ขวาง กูก็จะเข้าไปเอาชีวิตมันแล้วไป แต่ถ้าขวาง กูจะฆ่าทุกคน"

"กูไม่ให้ พวกนี้กูพามา อยากลองดีก็เข้ามาดู"

....ผีถ้ำ ตัวที่สื่อสารกับปู่ เหมือนจะไม่กลัวปู่ ปู่รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่รุนแรงออกมาจากวิญญาณและคำเจรจา ผีตนนั้นทำท่าจะง้างดาบจะตะลุยฝ่าเขตอาคมเข้ามา ปู่เลยปล่อยควายธนูออกไปสู้ ควายธนูนั้นแข็งแกร่งกว่าหุ่นพยนต์ ปู่ว่า ควายธนูก็ออกไปไล่ขวิดพวกผีกลุ่มนั้นเสียงลั่นป่าเหมือนเสียงต้นไม้หัก จนทุกคนที่หลับอยู่สะดุ้งตกใจตื่น

เ....รื่องปู่ปล่อยควายธนูสู้ผีนี้ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้าน เพราะมีคนเห็นและสัมผัสด้วยหูตัวเองมาแล้วในคืนนั้นเอากลับมาเล่าให้คนในหมู่บ้านฟัง เสียงการสู้กันป่าแตกดังอยู่นานก็สงบไป ควายธนูพุ่งกลับมาหาปู่ ตัวแค่นิดเดียวเป็นควายธนูที่ทำจากสำริดผสมมวลสารหลายอย่าง (พ่อไมไ่ด้แจกแจงว่ามีอะไรบ้าง)

......เสียงร้องโอดโอยอันโหยหวน ดังไกลออกไปจากเขตพัก แล้วเงียบไปในที่สุด ตอนนั้นทุกคนหลับไม่ลงแล้ว เพราะเห็นปาฏิหาริย์อาคมของจริงเต็มๆตา เรื่องเล่าอันนี้ เหมือนนิยายประจำบ้าน ที่พ่อชอบเล่าให้เราฟังก่อนนอนเสมอเวลาก่อนนอน แล้วเรานอนชี้รูปปู่ที่แขวนบนขื่อบ้าน

.....ปู่พาทุกคนพร้อมเถ้ากระดูกคนที่ไปตายกลับมาสู่หมู่บ้านได้สำเร็จ เว้นศพของบ่าวกริช ที่คงจะเน่าอยู่ในปล่องบนป่าตรงไหนสักที่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครไปพบ ปู่ได้แต่บอกญาติพี่น้องของบ่าวกริชว่า เอาศพมาไม่ได้ เชิญมาแต่วิญญาณ เป็นการพบกันอีกครั้งที่มีแต่ความเศร้า

.......อัฐิของทั้ง5คน ถูกพาไปทำพิธีสวดและบรรจุไว้ที่วัด
เหตุการณ์คืนมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง ปู่ขอให้ทุกๆคนที่ร่วมเดินทางไปช่วยกันโกหกคนอื่นๆว่าไม่มีสมบัติใดๆของ ผกค.ทั้งนั้น มีแต่ผีเฝ้าถ้ำเต็มไปหมด ใครขึ้นป่าไปเจอถ้ำที่มีต้นเหรียงใหญ่อยู่ใกล้ๆอย่าเข้าไปเด็ดขาด
เรื่องเล่าอาถรรพ์สมบัติ ผกค.บนเขาบรรทัดจึงจบลงแค่ตรงนี้
แต่...............................
.......................บ่าวไข่ คนหนุ่มที่ร่วมเดินทางไปกับปู่ ถูกพบนอนตายกลายเป็นศพหัวขาด อยู่กลางทุ่งขณะออกไปส่องกบ ในวันหนึ่ง สภาพศพน่ากลัว แววตาของบ่าวไข่เหลือกลาน คล้ายกลัวอย่างหนักก่อนที่ศีรษะจะถูกฟันขาดภายในทีเดียว เพราะดูจากแผลที่ปรากฏมันบ่งชัด ปู่ได้ไปดูศพบ่าวไข่ด้วย ใกล้ๆศพบ่าวไข่ ปรากฏ ทองคำแท่ง จารึกอักษรที่ปู่ไม่รู้จักตกอยู่1แท่ง ปู่ยืนกัดฟันเสียใจ
ปู่รู้ดีว่าใครทำ ในขณะที่ชาวบ้านมาดูศพแล้วโจษจันกันไปต่างๆนาๆ

....มีเสียงหนึ่งของชาวบ้านดังแว่วมา .....

"นี้มันทองคำแท่งโหม๋ญี่ปุ่นเบอะนิ ไอ้ไข่เอามาแต่ไหนหล่าว"

.................................จบค่ะ..........................................

เรื่องจากพันทิป ตำนานสมบัติอาถรรพ์ บนเทือกเขาบรรทัด พัทลุง-ตรัง
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

หลอกทั้งเรื่อง หอใกล้ ม.ทักษิณ สงขลา


      เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "หลอกทั้งเรื่อง หอใกล้ ม.ทักษิณ สงขลา" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย

เช้าลืมตาขึ้นมามองเธอในยามเช้าตรู่
.................... แอบตดใส่เธอเบาๆ ทั้งๆ ที่เธอไม่รู้
.............................ฝันกลางวันด้วยกัน ดอกไม้ของเธอกับฉัน
.....................................แค่มีวันเหล่านั้นก็มีความสุขเหลือเกิน

....มันก็เป็นเรื่องประจำวัน  เมื่อไม่มีเรียนเช้า  พวกเราก็จะพากันนอนดึกๆแล้วตื่นสายๆภาษาบ้านๆเรียกว่า
แดดไม่แยงวานไม่ห่อนตื่น  เรากับอิเป๋อเพื่อนเกลอ  นอนกอดก่ายแขนขากันบนเตียงที่ไม่ค่อยจะนุ่มเท่าไหร่
ตดใส่กันไปมา  โดยที่ไม่รู้ตัว   เป๋อจะเป็นคนนอนง่ายและตื่นยาก   ชอบนอนกัดฟันและละเมอเหมือนเธอคุยกับใครอยู่ในฝัน  บางครั้งก็ตดออกมาสนั่นห้อง ดัง  ปู๊ดดดดดดดดดดดดดด  ชนิดที่รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังตดจากก้นใหญ่ๆของนางมากระทบขา    เราคิดในใจว่า  อนาคตถ้ามันมีสามี  แล้วนอนกับสามี ในสภาพนี้   เค้าจะรับมันได้หรือเปล่า
กลัวนะ  กลัวสามีในอนาคตมันมาตั้งกระทู้ถามในพันทิปว่า


       “แฟนผมเธอสวย  แต่ชอบนอนกรนแล้วละเมอตดใส่ผมเสียงดังมาก  ผมควรทำไงดี”


......สายวันนั้น เราตื่นมาก่อน  ก็นอนลืมตากลิ้งไปกลิ้งมา  ก่อนจะหันไปเสียบลำโพงเล็กๆเข้ากับโทรศัพท์เพื่อเปิดเพลงฟังเบาๆ   ช่วงนั้นเรากำลังคลั่งไคล้เพลง   “หน้าหนาวที่แล้ว” เวอร์ชั่น   เบลล่า ไรวินทร์  ฟิจเจอริ่ง พี่แว่น
เราชอบตรงท่อนแร๊ฟมาก  เพราะรู้สึกว่าเวลาร้องท่อนนั้นตามเพลง  เหมือนเราได้บริหารการรัวลิ้นตอนเช้าๆดี
เคยจะอัดคลิปร้องเพลงนี้ลงยูทูบ  เลยเทสต์ การร้องให้คุณเป๋อฟัง  คุณเป๋อเธอก็นั่งทำหน้าเหมือนหมาพิตบูล อมขี้   บวมๆตุ่ยๆ  ก่อนจะบอกเรามาว่า

     “เดี๋ยวกุเลี้ยงโรตี ซอย20 ที่วชิรามืงนะ  แล้วอย่าไปร้องลงโซเชียลล่ะ กุสงสารคนฟังต้องมานั่งทำหน้าแบบกุ”

   ......อืมมมมมม    T_T ซึ้งใจกับเรตติ้งแล้วล่ะ  พับไว้ฟังคนเดียวแล้วกัน   แต่เราร้องได้นะ  ขึ้นใจเลย
ไม่เกี่ยวกับเรื่องผี  แต่อยากเล่าให้ฟัง    ตอนนั้นเรากำลังฮัมเพลงหน้าหนาวที่แล้วอยู่  จู่ๆเสียงโทรศัพท์เราก็ดังขึ้นมา
เราจึงต้อง ขัดใจ กดรับสาย  เป็นสายจากเพื่อนชายคนนึง  ที่มีนิสัยกวนบาทามากมายไม่ค่อยได้สุงสิงกัน   แต่เขาขอเบอร์เราไว้เผื่อมีการติดต่อขอความช่วยเหลือในด้านผีสาง  เมื่อเรากดรับสาย   จริงๆเราพูดใต้กัน  แต่กลัวคนอ่านภาคอื่นไม่เข้าใจ  เราจึงแปลมาเป็นกลางเลยแล้วกัน

        “สวัสดีค่ะ  หยกพูดนะ”

       “หยกจ๋า  ได้ยินไม๊ว่าเสียงใคร มันเหมือน เสียงคนร้องไห้
แต่คล้าย ชายเจ้าน้ำตา
เสียง นี้
คือเสียง คนปวด อุรา
จึงร้อง ครวญหา
หยกจ๋า หลบหน้าไปไหน “

       “...............????............ “

       “เงียบเลย    ไม่ตลกหรอ  อืมๆเค้าขอโต๊ษ”

       “มีอะไรหรือที่โทรมา”

        “คืองี้  เพื่อนเรามันโดนผีหลอก  เลยอยากจะรบกวนขอคาถาไล่ผีจากหยกหน่อย “

“เราไม่มีคาถาหรอก  เราไม่ใช่หมอผี  แค่คนเห็นผี  และก็ไม่ได้มีเวทมนตร์เหมือนแฮร์รี่พอตเตอร์ด้วย”

“โหย...อย่าตัดรอนกันเลยนะ  นี้เพื่อนเรามันเดือดร้อนจริงๆ ไม่กล้าไปนอนห้องตัวเอง   เที่ยวอาศัยนอนห้องเพื่อนคนนั้นคนนี้ไปทั่วแล้ว  จะย้ายออก ก็ยังทำไม่ได้  มันไม่รวย เดี๋ยวไม่ได้เงินประกันคืน  นะ นะ ช่วยหน่อยคาถาอะไรก็ได้”

.....เพื่อนคนนั้นก็เซ้าซี้จี้เรา จะขอคาถากันผี ไล่ผีให้ได้  ซึ่งเราก็ไม่มีอะไรแบบนั้น  ก็เลยถามข้อมูลว่าเป็นผีผู้หญิงผมยาวมาหลอก  เราก็ไม่รู้จะเอาคาถาอะไรให้  เพราะเราไม่มีอะไรแบบนี้  แต่พอถูกรบเร้ามากๆ เราก็เลยจัดให้ไป

“เอ้า นายฟังดีๆแล้วฟังให้ทันนะ”

“อ่าๆ เคๆ จัดมา รอจดอยู่”

“I wanna tell you 'bout something that we should be together But it someone that right there just break we down forever นึกถึงเธอเมื่อตอนตื่นนอนในตอนเช้า เวลาเก้านาฬิกาก็คิดถึง (ทุกที) And it start like everyday found my heart and I wanna play them you with you (oh baby)”

“เอ่อ  หยก  เราว่าไม่ใช่แล้วล่ะ  คาถาไล่ผีบ้าอัลไรเนี่ย  คุ้นชิหาย เหมือนได้ฟังจากยูทูปวันก่อนเลย ท่อนแร๊ฟเพลงหน้าหนาวที่แล้วชัดๆ”

“ก็เราบอกว่าเราไม่มีคาถา  เราแค่มีดวงตาเห็นผี  แต่เซ้าซี้จัง เลยจัดให้  จะเอาท่อนต่อไปไหม ของกำลังขึ้น  เดี๋ยวเย็นนี้เลิกเรียน  ลากเพื่อนนายมานั่งคุยกันที่ข้างโรงอาหารมหาลัย เคป่าว จะช่วยหาทาง”

.....เย็นนั้น  เราก็เลยไปเจอเพื่อนคนนั้น พร้อมอิเป๋อ เพื่อนชายคนนั้นพาเพื่อนคนที่ว่ามา  พอมานั่งก็แนะนำตัวกัน

   “อ่อ นี้คนนี้ชื่อหยกนะ  เป็นคนที่มีสัมผัสพิเศษ  อีกคนนั้นชื่อจำปี เพื่อนซี้เค้า”

  “สวัสดีครับ  ผมชื่อพงษ์นะ”

   “สวัสดี  เราหยก ไหนอาการเป็นยังไง บอกหมอซิ”

   .....พงษ์ก็เริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองเจอมา   พงษ์ว่า    พงษ์เข้าพักที่หอพักแห่งหนึ่ง  เป็นหอใหญ่แถวๆ ม.ทักษิณ  แต่พงษ์ไม่ค่อยอยู่ห้องเท่าไหร่  เพราะพงษ์ขี้เหงา  ไม่มีแฟน  แต่เป็นคนมีเพื่อนเยอะ  พงษ์ก็ชอบออกไปเฮฮาตามบริเวณ ลานดนตรีบ้าง  เก้าอี้ดำบ้าง   ศาลานางเงือกบ้าง  แต่หลักๆคือไปขลุกกินน้ำกระท่อมที่ห้องเพื่อน  แล้วก็เชือน นอนห้องเพื่อนจนเช้าสาย  ชีวิตของพงษ์ก็เหมือนว่าเขาเช่าห้องไว้เก็บของมากกว่านอน

.....พอนี้ในคืนนั้น  มีเพื่อนของพงษ์คนนึง  มาจากพัทลุง  มาขออาศัยนอนห้องพงษ์  พงษ์ก็เลยอนุญาต พาไปส่งห้องแล้วให้กุญแจห้องไว้  แต่พอคืนนั้น พงษ์กำลังแด๊นซ์อยู่ในผับ So Good กำลังสีหญิงฟินๆ เพื่อนคนที่ว่าก็โทรมาหาพงษ์  ตอนแรกพงษ์ไม่กดรับ  เพื่อนก็ยังโทรมาไม่หยุด  พงษ์หงุดหงิด  แต่ก็เดินออกมารับโทรศัพท์ตรง4แยกข้างผับ

    “ฮัลโหล ไหนว่าพรือไอ่เพื่อน กุอยู่ผับนิ”

    “มืง มารับกุไปส่งโรงแรม รีสอร์ท  ม่านรูด ห้องพักรายวันแถวนี้ทีพงษ์”

    “เอ้า ทำไมเห้ย  ไม่นอนห้องกุล่ะ”

.....พงษ์ว่าพงษ์ก็ไปรับเพื่อนคนนั้น พาไปส่งโรงแรมม่านรูดแห่งนึง ใกล้ๆร้าน Dr.Cool  เพื่อนคนนั้นก็เล่าให้ฟังว่า  พอกินข้าวเสร็จก็นั่งดูทีวีในห้อง  จนประมาณ3ทุ่ม ก็ลงมาซื้อเบียร์ที่ร้านค้าแถวหอขึ้นไปนั่งดื่ม  หมดไป2ป๋อง ก็อาบน้ำนอนหลับไป  พอกำลังนอนๆ  ก็ตกในตื่น  เพราะเห็นเงาคนตะคุ่ม ตะคุ่ม มายืนอยู่ข้างตู้ในห้อง

.....เพื่อนของพงษ์ก็นอนตัวแข็งเลยเพราะกลัว  ก็ทักไปว่า  “นั้นใครครับ  เพื่อนพงษ์ม้ายครับ”
เงียบ....เพื่อนพงษ์ว่า  ก็ใจไม่ดี  ทักถามไปอีก3-4ที    เพื่อนพงษ์ก็คิดว่าตัวเองคงเมาเบียร์จนตาลาย  เลยลุกมาเปิดไฟ
พอไฟสว่าง  ก็ไม่มีอะไร  ก็ยืนงงๆไป  พอไม่เห็นว่ามีอะไร  เพื่อนพงษ์ก็นอนต่อ  หลับไปได้พักเดียว  รู้สึกเหมือนเตียงที่นอนมันยวบไปยวบมา   ก็ลืมตามองที่ปลายเตียงอีก  เขาก็ตกใจร้อง “เห้ย”

.....เพราะว่าเขาเห็นว่า  มีใครไม่รู้  มานั่งที่ปลายเตียง   ห้องมันก็ไม่ได้มืดสนิท  ขนาดที่จะมองไม่เห็นว่า  เงาที่ว่าน่ะ  เป็นลักษณะผู้หญิงรูปร่างดี  ผมยาวถึงกลางหลัง  มองลางๆลักษณะแต่งตัวเหมือนเด็กเที่ยว  เด็กทำงานร้านเหล้า  ตอนนั้นเพื่อนของพงษ์ก็กลัวมากแล้ว แต่ไม่กล้าขยับหนี  เลยยกมือพนมบอกเสียงสั่นๆไปว่า

       “จะเป็นใครก็แล้วแต่  ผมแค่มาอาศัยเพื่อนนอนครับ  ผมขอโทษด้วยครับ ถ้ามารบกวนอะไรคุณ  อย่าหลอกผมเลย  ผมกลัวแล้วครับ “

.....แต่ว่าผู้หญิงคนนั้น ก็ยังนั่งหันหลังอยู่แบบนั้น  ไม่ยอมไปไหน  เพื่อนของพงษก็แทบจะร้องไห้ เลยหลับตาท่องนะโมตัสสะอรหังสัมมาไป3จบ  พอครบ3จบก็ลืมตา  ผู้หญิงคนนั้นก็หายไปจากปลายเตียง  แต่ไปนั่งอยู่บนหลังตู้แทน  แล้วหันหน้ามาประจันหน้ากับเพื่อนของพงษ์ที่นอนอยู่   เพื่อนของพงษ์ก็สติแตกเลย  คว้าโทรศัพท์ได้ ก็วิ่งออกจากห้องมาอยู่ข้างนอกแล้วโทรหาพงษ์นั่นแหละ

.....พงษ์ว่าพงษ์ก็คิดว่าเพื่อนน่ะเมาเบียร์จนหลอน  เพราะพงษ์ก็เคยนอนอยู่ไม่เคยเจอสักครั้ง  ก็ไมได้ใส่ใจอะไร  ก็ยังใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ  แต่พอคืนนึง  พงษ์พาสาวไปกินตับที่ห้อง  เลยนอนค้างที่ห้องพงษ์  พงษ์ว่าพอนอนๆอยู่  หูได้ยินเสียงดัง
กึก กึก กึก กึก   เป็นจังหวะแบบเรื่อยๆ  แต่พงษ์รำคาญ เลยลืมตาตื่น  มองหาว่าเสียงนั้นดังมาจากไหน

…..ก็กวาดสายตามองไปรอบห้อง   ก็ตกใจ  เพราะว่า  เห็นว่ามีใครกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้พิงหลังพลาสติกตรงหน้าตู้กระจกแต่งตัว  ในลักษณะนั่งคู้ตัว  งอขากอดเข่า ก้มหน้าซบหัวเข่า ผมยาวเฟื้อยเกือบถึงพื้น  แบบนั่งโยกเก้าอี้แบบยกขาเก้าอี้ด้านหน้าขึ้นแล้วปล่อยลง จนมีเสียงดัง กึก  กึก  กึก ที่ว่า   พงษ์ก็ขยี้ตาหลายที  แต่เงาไม่ไปหายไป
พงษ์เอื้อมมือไปจับสาวที่นอนข้างๆ  เธอก็นอนอยู่  พงษ์ก็กลัวขึ้นมา  ว่าใครเข้ามาในห้อง  ซึ่งไม่น่าจะเข้ามาได้
…..พงษ์เลยเขย่าตัวสาวที่นอนด้วย  เธอๆๆๆ  เธอๆๆๆ  แต่เธอไม่ยอมตื่นมาอยู่เป็นเพื่อนเลย  สักพักเงาที่พงษ์เห็นน่ะ  ก็ลุกขึ้นเดินเฉียดปลายเตียงเข้าห้องน้ำหายไปเลย  พงษ์ว่าเช้านั้นพงษ์ไม่กล้าเข้าไปขี้ในส้วม  ก็ไปส่งสาวที่นอนด้วยเสร็จ  ก็ไปอาศัยหอเพื่อนขี้และอาบน้ำ

......พงษ์เองก็เริ่มกลัวห้องตัวเองขึ้นมาเวลาจะไปห้อง ก็ต้องชวนเพื่อนคนอื่นไปเป็นเพื่อนด้วย  จนบางช่วงต้องเอาเสื้อผ้า และอุปกรณ์การเรียนไปฝากไว้ห้องเพื่อนที่ไปขออาศัยนอน  นานๆทีก็จะชวนเพื่อนคนอื่นกลับมาห้องสักครั้ง  แล้วก็เจอคนเฝ้าหอกวักมือเรียกในวันนึงที่กลับไปห้อง  คนดูแลหอก้บอกพงษ์ว่า

     “เออ น้อง  น้องอยู่ห้อง.....ใช่ไม๊  ห้องข้างๆหลายห้องเขามาฟ้อง  ว่าแฟนน้องน่ะร้องไห้เสียงดังกลางดึกบ่อยจังเลย  บอกแฟนน้องเบาๆเสียงหน่อยนะ รบกวนคนอื่น  บางคืนก็ออกมานั่งร้องตรงบันได  แฟนน้องเป็นอะไร ทะเลาะกันหรอ”

…..พงษ์ว่า เขาก็ได้แต่รับปากครับๆ  แต่เขาก็ไม่รู้จะจัดการปัญหานี้ยังไง  พงษ์มั่นใจว่าห้องของพงษ์มีผีแน่ๆ  เลยไปขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆในวงน้ำกระท่อม  แล้วพอดีว่า  เพื่อนคนที่เขาปรึกษานั้น เขารู้จักกับเรา  และแนะนำว่า  เรานั้นมีสัมผัสจะให้ลองไปดูให้หน่อย  ไปกันหลายๆคนน่าจะอุ่นใจดี

.....เราก็ตกลงไปดูให้ตามที่เพื่อนคนนั้นขอมา  ก็ไปกันเย็นย่ำค่ำนั้นเลย  เรานั้นไปกับนังเป๋อ และ2หนุ่ม ไปถึงก็เดินตามพงษ์ไป  บรรยากาศทางเดินนั้นอึมครึม  เราไม่ยอมใช้ลิฟต์  เพราะเป๋อเป็นคนกลัวลิฟต์  เพราะเคยติดอยู่ในลิฟต์จนต้องงัดลิฟต์มาก่อนอย่างน่ากลัว  พอไปถึงหน้าห้องพงษ์  พงษ์ก็ไขลูกบิด  แต่ไม่กล้าเปิดเข้าไป

....เราก็เลยยืนนิ่งๆทำสมาธิ เบิ่งตามองเข้าไปในห้องนั้น  แต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงพลังงานอะไรดังว่า  หรือคงเพราะมีประตูกั้นอยู่  หรือเพราะเค้าไม่อยากให้เราเห็น  คนอื่นๆก็หลบข้างหลังเราหมด พงษ์นั้นดูทำท่ากลัวที่สุด  ซึ่งเราก็เข้าใจได้  เรากลั้นใจเป็นคนเปิดประตู  เราบอกให้คนอื่นๆตามมา  ข้างในห้องมันมืดๆและมีกลิ่นอับ

    “พงษ์ เจ้าของห้อง เปิดไฟหน่อย”

....พวกเราเข้ามาในห้องหมดแล้ว ทันใดนั้น  ประตูห้องก็ปิดดัง ปั้ง  เป๋อถึงกับร้องกรี๊ดเสียงหลง   เราสะดุ้งเพราะเสียง
แล้วเพื่อนของพงษ์ก็หันไปทางประตูพร้อมๆกัน  พงษ์บอกมาว่า

     “โทษที  เราปิดแรงไปหน่อย  แหะๆ”

      “เอาเลย หยก  หลับตาใช้สมาธิดูเลย มีอะไรอยู่ในห้องนี้ไหม” เพื่อนของพงษ์ที่เป็นเพื่อนเราพูดขึ้น

.....เราก็เลยนั่งลงที่ปลายเตียง  หันหน้าไปยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งกระจก  ที่พงษ์บอกว่า ผู้หญิงผมยาวคนนั้นมานั่งโยกเก้าอี้หลอกเค้าอยู่  เรานั่งทำสมาธิ อธิษฐานหวังว่า จะได้รู้ว่าวิญญาณหญิงสาวคนนั้นอยู่ในนี้หรือต้องการอะไร พอเราลืมตาขึ้นอีกครั้ง  เราก็ตกใจ เพราะมีเงา3เงา ยืนล้อมเราอยู่ด้านหน้า   ทันใดนั้นไฟในห้องก็สว่างพรึ่บ  พร้อมกับมีเสียงดัง ปั้ง...
ริบบิ้นสีรุ้งลอยละลิ่วว่อนห้อง  พร้อมๆกับมีเสียงร้องเพลงประสานเสียง  แฮปปิเบิร์ดเดย์ทูยู ของเพื่อนๆในชุด นักศึกษา
จำปาถือเค้กวันเกิดเดินออกมาจากในส้วม  สุขสันต์วันเกิดนะหยก  มีความสุขมากๆนะเพื่อนรัก   เอ่อ  ที่เล่ามาซะยาวเนี่ยถูกหลอกให้อ่านหรอ  อืม  เราก็ถูกหลอกเซอร์ไพรส์มาเหมือนกัน  ก็ถือว่าแบ่งๆกันเคืองแล้วกันนะคะ สรุปคือเพื่อนๆเรามันวางแผนเซอร์ไพรส์วันเกิดเราโดยใช้เรื่องผีมาหลอกให้เรามาที่ห้องนี้ค่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว

เราดัดแปลงเนื้อเพลง  “มหาลัยวัวชน” เวอร์ชั่นคนเห็นผีไว้  ฝากเอาไปร้องใส่ทำนองเอาเองแล้วกัน  สวัสดี.

เรื่องจากพันทิป หลอกทั้งเรื่อง หอใกล้ ม.ทักษิณ สงขลา
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

26 ม.ค. 2563

วิญญาณตามมาหลอน...จากน้ำตกสายรุ้ง ที่จ.ตรัง


      เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "วิญญาณตามมาหลอน...จากน้ำตกสายรุ้ง ที่จ.ตรัง" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย

เมื่อสงกรานต์ปีก่อน เรากลับบ้านที่จังหวัดตรัง มีโอกาสได้ไปอาบน้ำทวด ฝั่งยาย ที่ อ.ย่านตาขาว ก็ไปกันหมดทั้งบ้าน เพราะฝั่งพ่อเรา ไม่เหลือญาติผู้ใหญ่แล้ว เนื่องจากท่านเสียชีวิตกันหมด

.......เป็นการไปรวมญาติของเราครั้งแรกในรอบหลายปี เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยชอบวุ่นวายกับใครเท่าไหร่ ครั้งสุดท้ายที่ไปคือตอนเรา15ขวบ พอไปหนนี้ ญาติหลายคนก็ดีใจ

"อ่อ ไม่ได้เจออีน้องหลายปี อยู่เต็มสาวงามขึ้นครันนะ"

เราทักทาย ยกมือไหว้ทุกคน บางคนเราก็จำไม่ได้หรอกว่าคือใคร แต่เห็นหน้าตาอาวุโส ก็ยกมือไหว้หมด เพราะทวดเราก็ลูกหลานเหลนหลายคน ยายกับตาเราก็เสียไปแล้ว แต่ทวดอายุยืนทั้งคู่ เราเข้าไปกราบทวด ทวดก็ลูบหัวเอ็นดู

"นี้ อีคนนี้ลูกใครนิ"

ทวดแก่แล้ว ความจำก็ไม่ค่อยดี จำลูกหลานเหลนได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ทวดชายจะความจำดีกว่าทวดหญิง ก็ตอบแทนเราไปว่า

"กะแลต่ะ หน้ามันอยู่คล้ายอีเทิ้ง (ยายเรา) แรกสาวๆนั้น แม่มัน
กะลูกอีเทิ้งไง เหลนเติ้นนั้นและ นี้อยู่งามผิดทวดมัน"

ทวดหญิงก็จะ ออๆ ก็ไม่รู้ว่าจำได้หรือเปล่า คนอื่นๆก็จะยิ้มๆ
อมขำ เพราะทวดชายจะชอบหยอกชอบแหย่ทวดหญิงเล่น เป็นอารมณ์ขำของทวดชาย ที่ทวดบอกเป็นเคล็ดลับทำให้อายุยืน คือต้องไม่เครียดใส่กัน เคี้ยวใบท่อมเป็นยาวันละใบ เน้นอาหารเป็นผักกับน้ำบูดู ก็อาจจะจริงนะ เพราะทวดเราก็น่าจะใกล้100ปีหรืออาจจะเกินแล้วก็ได้ เพราะทวดจำวันเกิดปีเกิดไม่ได้แล้ว

......พอเราอาบน้ำ ตัดผมทวดตามประเพณีเสร็จ ลูกหลานก็ประชุมกัน ว่าจะพากันไปนั่งเล่นนอกสถานที่ ต่างคนต่างเสนอหลายๆที่ในจังหวัดตรัง ทั้งทะเล ร้านอาหาร ภูเขา น้ำตก
แต่ตกลงกันไม่ได้ เพราะใครๆก็อยากไปตรงที่ตัวเองอยากไป
ญาติๆก็ตัดสินใจ ให้ถามทวด ว่าทวดอยากไปไหนเป็นพิเศษ
ทวดชายก็พูดบอกว่า ตั้งแต่แก่ตัวมา ไม่รู้จะมีเวลาอยู่กับทวดหญิงและลูกหลานได้อีกกี่ปี

......อยากไปน้ำตกสายรุ้ง เพราะทวดหญิงเป็นคนแถวนั้น ทวดชายก็ไปได้ทวดหญิงเป็นเมียก็ที่น้ำตกนั้น เลยอยากไปสถานที่ ที่พบรักกับทวดหญิงครั้งแรกที่นั่น พอเจอเหตุผลของทวด ทุกคนก็ไม่ขัด เลยจัดของขึ้นรถไปน้ำตกสายรุ้งกัน
ลุงกับพ่อและญาติผู้ชายก็เป็นคนประคองทวดทั้งสอง ลงเล่นน้ำในแอ่งตื้นๆ เราไปเลือกจุดที่ไม่ค่อยมีคน พวกหนุ่มสาวๆรวมทั้งเราก็เล่นอยู่ละแวกนั้นกันสนุกสนาน แต่เราไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ เพราะเคยได้ยินข่าวเมื่อตอนเรารุ่นๆว่า ที่น้ำตกสายรุ้งนี้ ช่วงสงกรานต์ปี2550 มีน้ำป่าแตก พุ่งลงมากระชากดวงวิญาณคนที่มาเล่นน้ำไปตั้ง38ศพ ศพไปติดอยู่ตามซอกหินเต็มไปหมด
เราก็เลยไม่กล้าไปไกลๆจากกลุ่ม นั่งเอาเท้าแช่น้ำดูรอบๆไปเรื่อย ระหว่างนั้น ญาติคนนึง ที่เป็นผู้หญิงก็ผุดคำพูดที่ดิฉันคิดอยู่แล้วขึ้นมา

"เห้ นี้นะ ถ้าให้ฉ้านขึ้นมาเล่นคนเดียว ฉ้านไม่มาพึด น้ำตกนี้"

"ไซหล่าวน้าเยาว์"

"กะเบอะปี50น้าน น้ำพัดคนตายตั้ง38ศพ น่ากลัวอีตายโหง"

"หึ ตั้ง9ปีแล้ว ไปเกิดเหม็ดแล้วมั้ง"

"ห้าย ฉ้านเคยได้ยินพ่อเฒ่าเล่าให้ฟังกันนะพอแกรู้ข่าว แกว่าน้ำตกนี้ มันมีอาถรรพ์ มีคนตายอยู่เรื่อยๆมาตลอด ที่เค้าว่า ต้องมาอยู่แทนกันนั้น เค้าเรียกไอ้ไหรนะ เออ ตัวตายตัวแทน"

"อื้อ กะแลๆน้ำไว้แล้วกัน น้ำเปลี่ยนสีได้พากันแล่นไวๆ"

"ห้าย ไม่ใช่แค่น้ำป่าแล นี้กะพึ่งมีคนบ่าวๆมาตายนิ ไม่นานทีอ่ะ เล่นน้ำ เจอตัวอีกที จมอยู่ใต้น้ำ ขาไปติดหินจมน้ำตาย แลต่ะ ฉ้านกลัวไอ้ไหรมาดึงขานิ ใจจริงฉ้านใช่อยากมาน้ำตกผีนี้
แต่กะตามใจทวดและฮ้าน"

....เป็นบทสนทนาของบรรดาญาติๆเรา ที่คุยๆกัน เมื่อทวดทั้งสองถูกลุงกับพ่อพาเดินชมน้ำตกห่างไปไกล อันแสดงว่า พวกเค้ากลัวน้ำตกนี้ จู่ๆหลานชาย (ตามศักดิ์) แต่อายุมากกว่าเราที่พึ่งขึ้นมาจากน้ำแถวๆนั้นมาได้ยิน ก็พูดแซวป้าๆกลับมาว่า

"อ๊ะ เติ้นอีไปกลัวไอ้ไหรกับผี เคยเห็นแล้วหม้ายล่ะ หน้าตาพันพรือ ฉ้านอยู่มา20หวาปี มาเล่นที้นี้กะบ่อย ไม่เคยเห็นสักตัวทีอ่ะ มาต่ะ อยากเห็นนิ อี38ศพ 10ศพไหนกะมาเลย"

"อ่ะ อย่าปากเปรตถิ ทำหรอยจังแนะไอ้บ่าวเหอ"

"กะเบอะจริง เติ้นกลัวไปเองเพ นี้ๆฉ้านหาม้ายเมียที ถ้าอีมาขอผีสาวๆนะ สวยๆนมบึ้มๆยิ่งดี ฮ่าๆๆๆ"

....แล้วหลานเราก็โดดน้ำตูมไป พอลงจากน้ำตก ตามความประสงค์ของทวดทั้งสองแล้ว เราก็พากันเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดอยู่ เรานั้นช่วยประคองทวดหญิงกับเหลนหญิงอีกคนไปหลังสุด จริงๆพ่อและลุงบอกจะอุ้มทวดไปจะได้ไวๆ แต่ทวดบอก ขอให้กูได้เดินเถอะ อีกหน่อยพวกค่อยอุ้มตอนเดินไม่ได้แล้ว
พอเดินๆตามกลุ่มลงไป ทวดหญิงก็พูดขึ้น...

"นั้นอีสาวไหน เดินตามไอ้กอบอยู่นั้น ไม่เคยเห็นหน้า"

"ไหนอ่า แม่เฒ่า ไม่เห็นใครเลย มันเดินคนเดียว"

ตอนนั้นเราก็ขนลุกวูบขึ้นมา กับการทักของทวดหญิง หันไปมองหน้าเหลนหญิงอีกคนที่ประคองด้วยกัน แต่ก็เงียบไป
พอคืนนั้น ทุกคนก็นอนที่บ้านทวด กินเหล้าเมายากันจนดึกก็แยกย้ายนอนตามจุด แล้วก็มีเสียงวิ่งตึงๆๆกระแทกกับพื้นบ้านพร้อมเสียงร้องของผู้ชาย

ตึงๆๆๆๆๆ

"โอ๊ยยยยยย อย่าๆๆๆๆ ไม่เอาแล้ว ปล่อยฉ้านต่ะ หวาดแล้ว หลาบแล้ว โฮๆๆๆๆๆ"

หลายคนตื่นตกใจมาดูเพราะความดังกลางดึก หลานชายคนนั้นไปนั่งมุดที่มุมห้องพนมมือ ร้องไห้โฮ ป้าๆลุงๆก็เข้าไปซักถามยกใหญ่

"เป็นไหรไอ้กอบ ไหนๆมีไหร"

"ผีหลอก ผีหลอกฉ้าน"

"ไหนพันพรือ ผีไหรของ เมาแล้วหลอนเหอ"

"ฮือๆๆๆ ผีจริงๆน้าลุง กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่หรอยแล้ว"

....ลุงกับพ่อเข้าไปจับไอ้กอบให้ลุก แต่ว่าขาแข็งแขนแข็งไปแล้ว จนลุงกับพ่อ ยกมันมาในลักษณะขาคู้ พนมมือสั่นๆแบบนั้นเลย แลดูน่าตลกมาก แต่อาการคือกลัวมากจริงๆ
ก็พาตัวนายกอบมาตั้งที่กลางบ้าน ช่วยกันบีบนวด พ่อนั้นคุ้นเคยกับเรื่องทางผีดี ก็ไม่ตำหนิ แต่หยิบเอาสร้อยพระประจำตัวคล้องคอนายกอบ พอได้สักพัก ก็เหมือนได้สติ คลายแขนขาได้เป็นปกติดี ลุงก็เริมยิงคำถาม

"ไหนดีขึ้นแล้วหม้าย เล่ามาทีติ๊"

กอบก็เริ่มเล่าแบบตะกุกตะกัก บอกว่าขณะที่กำลังหลับเพราะความเมานั้น หูก็แว่วได้ยินเสียงเรียกว่า กอบ กอบ กอบ ซ้ำๆไปมา จนเริ่มรำคาญ จึงด่าออกไปว่า

"เรียกหาพ่อมืงเออ คนอิหลับอินอน อย่ากวนติ๊ อีฉั๊ดเอาฮ้าน"

แต่พอพูดสบถออกไปแบบนั้น เสียงที่ว่าก็ยังไม่หยุด แต่กลับดังขึ้นมาอีก ได้ยินเหมือนคนพูดจ่อหูว่า

"กอบขาาาาาา พี่กอบบบบบ ตื่นมาหาน้องหน่อย"

กอบเลยลืมตา ก็เห็นว่า มีเงาผู้หญิงนั่งพิงอยู่กับผนังบ้าน หันหน้ามาหาตัวเอง ตัวเองก็เห็นว่าเป็นเงารูปร่างผู้หญิง ตอนนั้นก็ยังแปลกใจ ว่าญาติผู้หญิงไหนมานั่งแกล้งตัวเองหรือเปล่า เพราะตอนนั้นในบ้าน มีเหลนทวดที่เป็นสาวรุ่นๆอยู่3คน กอบก็ทักชื่อออกไปหมด

"เป๋อเออ ชมพู่ม้าย หรือนุ่นวะ อย่ากวนติ๊ คนอิหลับอินอน"

กอบว่าพอทำท่าจะนอนต่อ เพราะคิดว่าเป็นพวกผู้หญิงมาแกล้ง เสียงก็ดังมาจากเงาร่างนั้นอีกว่า

"เห็นว่ากอบ อยากมีโบ๋เด็กงามๆนมเติบๆม่ายช่ายเออ"

.......พอเจอประโยคนั้นกอบก็เริ่มใจไม่ดีแล้ว ก็เริ่มกระเถิบตัว พยายามจะถอยออกมาไกลๆจากตรงนั้น พอทำท่าจะลุกมาเปิดประตู กอบก็รู้สึกว่ามีแขนคน2แขน สอดรัดมาที่คอ หน้าของผู้หญิงคนนั้นแปะมาที่แก้มตัวเอง เห็นลางๆในความมืด ว่าบางส่วน แหว่ง และเละ เหมือนโดนของแข็งอะไรทุบตี นมของสาวนั้นก็บี้ที่หลังของกอบ ในลักษณะแขนและขาของผู้หญิงที่ว่าน่ะโอบรัดร่างของกอบไว้หมด
เหมือนเวลาผู้หญิงขี่หลังแฟนนั่นแล่ะ

........กอบว่าตอนนั้นเย็นเฉียบไปทั้งหลังแล้ว ก็ร้องไห้ แล้วพยายามดิ้นสู้จนโวยวายลั่นบ้าน กอบว่าตัวเองโดนรัดคอจนเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว หน้าเละๆยังมาบี้ติดหน้าอีก กอบก็ร้องไห้ พนมมือ จนตัวเองพุ่งออกจากที่นอน ก็เลยรู้ว่าตัวเองฝัน
แต่พอจะเบาใจว่าเป็นแค่ฝัน พอมองไปที่ผนังบ้าน ก็มีเงาผู้หญิงรูปร่างเพรียวๆยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ พอกอบกำลังสั่นๆก็ยกมือพนมไหว้ แต่เงาที่ว่าน่ะ ดันลอยเข้ามาหา กอบเลยสติแตก พุ่งออกจากห้องมาวิ่งไปลั่นบ้านจนทุกคนตื่นมานี่แหล่ะ
พวกป้าๆก็ด่ากอบชุดใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองพูดใส่ป้าๆเมื่อตอนกลางวันนี้เองว่า

"เอ้อ นั้นแนะ พรือล่ะ อยากได้เมียเป็นผีนมใหญ่ๆ ไม่เอาอ่ะ"

"ไม่เอาแล้ว ไม่เอา ไม่อยากได้แล้ว ไปไกลๆฉ้านต่ะเว้อ"

....พอกำลังปรึกษาอยู่นั้น ทวดหญิงก็เดินกระย่องกระแย่งมายืนอยู่มืดๆตรงประตูห้อง พร้อมๆกับการเอ่ยพูดบอกมาว่า

"เอ้อ ฉ้านเห็นเดินตามไอ้กอบมัน ตั้งแต่ออกจากน้ำตกแล้ว
แรกเดี๋ยว ตอนโบ๋มืงนั่งกินเหล้า ฉ้านกะเห็นอีสาวนั่งพิงข้างๆไอ้กอบ แต่งตัวโป๊ๆน้าน ฉ้านนึกว่าโบ๋เด็กไอ้กอบมันทีแรก
แต่พอหันหน้ามาแลฉ้านแล้ว หน้าเละๆ เหมือนโดนไอ้ไหรทุบมา ฉ้านถึงรู้ว่าไม่ช่ายคน"

"ฉ้านเลยเข้าห้องไปนั่งแผ่เมตตาให้มัน พอแรกฉ้านหลับไป อีสาวน้านมาเข้าฝัน บอกฉ้านว่า ไอ้กอบปากดี มันอิไม่ทำไหร แต่อิขอสั่งสอนที่ปากเปรต ตอเช้าไปทำบุญให้มันกัน"

.....พอทวดหญิงพูดเสร็จ ก็เดินกลับเข้าไป ทุกคนก็หันมาสั่งสอนกอบต่อ ว่า เห็นไหม คนเราอย่าเที่ยวปากดี ที่น้ำตกนั้นแรงจะตาย มีคนตายไม่รู้เท่าไหร่แล้ว แค่ตอนปี50นั้นก็38ศพในคราวเดียว ไม่รู้ว่ายังเหลืออยู่ตรงนั้นอีกเท่าไหร่ แถมมีคนไปตายเพิ่มอีกในปีหลัง เรื่องจมน้ำตาย
กอบ ก็นั่งสลด น้ำตาแห้ง รับปากว่าครับๆ ไม่ทำแล้ว ไม่ท้าแล้ว พอตอนเช้า เขาก็พาพี่กอบไปทำบุญตักบาตรที่วัดอุทิศส่วนกุศลให้ผีสาวที่น้ำตกคนนั้น เราก็ไปด้วย พอกลับมาบ้าน ก็มีคนเต็มบ้าน พวกเราก็แปลกใจ เข้าไปถาม มีทวดชายนั่งร้องไห้อยู่
เราใจไม่ดี เสียงถามกันโล้งเล้ง

"ไหนพันพรือ คนมากันไซละนิ"

"ทวดเรา ทวดเสียแล้ว"

.........พวกเราก็ยืนอึ้งกันหมด ทวดชายบอกทั้งน้ำตาเสียงนิ่งๆว่า เมื่อคืนตอนหัวค่ำ ยังนอนกอดทวดหญิงอยู่เลย รู้สึกตัวอีกที ตอนได้ยินเสียงพวกลูกหลานชายคุยกันโล้งเล้งดื่มเหล้าอยู่ข้างนอก ตอนนั้นรู้สึกแปลกๆ เพราะเหมือนว่าทวดหญิงตัวเย็นๆหันหลังให้ เลยจับพลิกให้นอนหงาย แต่ทวดหญิงสิ้นลมหายใจไปแล้ว จนร่างกายเริ่มเย็น
ทวดชายบอกว่า ตอนนั้นก็นอนกอดศพทวดหญิงให้แนบชิดตัวเอง แล้วพร่ำบอกข้างหูศพทวดหญิงว่า

"ไปก่อนเลยนะแก่เห้อ สักวันฉ้านอีตามไปกวนใจเมืองผีอีก "

แล้วทวดชายก็นอนกอดศพทวดหญิงทั้งคืน ทวดชายบอกว่า ที่ไม่บอกลูกหลานตั้งแต่เมื่อคืน เพราะเห็นกำลังสนุกกัน เลยมาบอกป้าๆและแม่เราตอนเช้า ว่าทวดหญิงเสียตั้งแต่เมื่อคืน น่าจะช่วงหัวค่ำน่าจะได้
ลูกหลานพากันร้องไห้หมด แต่พวกลุงๆ พ่อ และ นายกอบ เหมือนตะลึง รวมทั้งคนที่อยู่ในเหตุการณ์นายกอบถูกผีหลอกทุกคนเมื่อคืน อึ้งกันไปหมด ทวดหญิงเสียตอนหัวค่ำ แล้ว........
............................
เลยมาเล่าสู่กันฟังค่ะ สวัสดี

เรื่องจากพันทิป วิญญาณตามมาหลอน...จากน้ำตกสายรุ้ง ที่จ.ตรัง
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624