หน้าเว็บ
▼
หน้าเว็บ
▼
HOME
▼
31 มี.ค. 2563
“ความเงียบ”
"หากถามว่าคนหูหนวกได้ยินอะไร คำตอบชัด ๆ ก็คงหนีไม่พ้น
“ความเงียบ”
มันเป็นคำที่คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่งพร่ำบอกลูกชายที่หูหนวกแต่กำเนิด เธอทำทุกวิธีที่จะสอนลูกของเธอให้เข้าใจถึงสิ่งที่เขากำลังเผชิญ เธอเรียนภาษามือ เธอขีดเขียนลงในกระดาษ เธอเอาการ์ตูนให้ลูกดู ทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่ออธิบายว่าสภาวะที่ไม่มีเสียงนั้นเป็นอย่างไร
เด็กชายค่อย ๆ เรียนรู้จากแม่ เขาเชื่อมโยงแนวคิดของ “ความเงียบ” กับสิ่งที่ตนเองได้ยินมาแต่กำเนิด ทั้งสองอย่างนั้นคือสิ่งเดียวกัน หากมีคนถามเขาว่าได้ยินอะไรบ้างไหม เขาก็จะตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า
“ความเงียบ”
หลังจากปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ทุก ๆ วันคุณแม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวัง เธอเก็บเงินก้อนสุดท้ายเอาไว้โดยหวังจะใช้มันรักษาลูกตัวเอง แล้วในที่สุดวันนั้นก็มาถึง วันที่เธอตั้งตารอมาหลายปี วันที่ลูกของเธอจะได้ยินเสียงแม่เป็นครั้งแรก
การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี เด็กชายนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง รายล้อมไปด้วยญาติผู้ใหญ่รวมถึงแม่ของเขาเอง ทุกคนกำลังรอให้เขาตื่น เพื่อที่จะได้เห็นปฏิกิริยาของเขาต่อ “เสียง” จากโลกภายนอก
ในห้องนั้นเงียบสนิท เด็กชายลืมตาขึ้นมาช้า ๆ จากนั้นเขาก็มีท่าทีประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ได้ยินเสียงเป็นครั้งแรก ทุกคนคิดแบบนั้น
แม่ของเขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอรีบเข้ามากุมมือลูกไว้ ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกไปด้วยความปลื้มปิติ
“ลูกแม่…”
เมื่อเห็นแม่ของตนน้ำตาไหล เด็กชายจึงลุกขึ้นมาแล้วโผเข้ากอดเธอ แม้ว่าในตอนนี้เขาจะยังสื่อสารโดยการพูดไม่ได้ แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าแม่ของเขานั้นมีความสุขมากเพียงใด
“ลูกได้ยินเสียงแม่ใช่ไหม?” เธอถามลูกชายด้วยภาษามือ
เขาพยักหน้าตอบ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่เด็กชายจะได้กลับบ้าน ในเช้าวันนั้นสองแม่ลูกจูงมือกันเดินออกมาจากห้องพักฟื้น แต่ทันทีที่ทั้งคู่เดินผ่านแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล เด็กชายกลับหยุดกะทันหัน เขายืนนิ่งอยู่กับที่ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง ราวกับกำลังตั้งใจฟังเสียงของอะไรสักอย่าง
คนเป็นแม่รู้สึกแปลกใจ จึงยืนรอดูท่าทีของลูกชายตนเองสักพัก เขายืนนิ่งอยู่แบบนั้นพักใหญ่ จากนั้นพอเด็กชายลืมตาขึ้น เธอจึงถามเขาเป็นภาษามือ
“เป็นอะไร?”
“ลองฟังดูสิฮะ เหมือนที่แม่เคยสอนผมเลย” เขายกมือขึ้นทำท่าตอบ
ในตอนนั้นเอง ที่เธอลองตั้งใจฟังเสียงรอบ ๆ ตัว สิ่งที่คุณแม่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลตามปกติ แต่หากตั้งใจฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงผู้คนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด รวมทั้งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ เสียงโหยหวน ดังแว่วมาตามสายลม มันเป็นเสียงที่ได้ยินแทบทุกครั้งที่เธอมาเยี่ยมลูก เสียงแห่งความโศกเศร้า และความทุกข์ทรมานของมนุษย์ที่มาใช้บริการ ณ ที่แห่งนี้
ไม่ต่างอะไรจากนรกภูมิเลย เธอคิดในใจ ก่อนถามลูกชายไปด้วยความสงสัย
“ลูกได้ยินอะไรเหรอ?”
เด็กชายตอบกลับด้วยท่าทางที่แสดงถึงคำ ๆ หนึ่ง คนเป็นแม่ยังคงจำได้ดี มันเป็นคำที่เธอพร่ำสอนเขามาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ หากแต่ ณ จุดนี้ มันทำให้เธอตระหนักถึงสิ่งที่เขาได้ยินมาโดยตลอดก่อนเข้ารับการผ่าตัด พรสวรรค์ที่ติดตัวเขามาแต่กำเนิด มันคือเสียงที่มีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยิน เสียง ๆ เดียวที่ดังอยู่ในหูของลูกชายคนนี้มานับสิบปี โดยที่เธอไม่อาจรับรู้ได้เลย
เพราะท่าทางภาษามือที่เขาทำนั้น แปลออกมาได้ว่า...
“ความเงียบ”
จบ...
---
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับเรื่องสั้นเรื่องที่สิบหกของผม หวังว่าจะถูกใจกันนะครับ ใครมีข้อคิดเห็นติชมอย่างไรสามารถคอมเมนต์ได้เลยนะครับ ขอบคุณจริง ๆ ที่เข้ามาอ่านจนจบ สวัสดีครับ
เรื่องจากพันทิป “ความเงียบ”
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 5347947
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องสั้น: แชทสุดท้าย
- รักแม่นะคะ
- หนูได้ยินเสียงคนเดินอ่าา อยู่หน้าห้องเลย ฮืออออ
- มีเสียงไซเรน รถตำรวจ
- หนูหลบในตู้เสื้อผ้าค่ะตอนนี้ หวังว่ามันจะไม่ได้ยินหนูนะ
- แปปนะคะ เหมือนมีคนอยู่ชั้นล่าง
- ตำรวจกำลังตามล่ามันอยู่ อีกเดี๋ยวก็จับได้แล้วค่ะ
- ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องห่วงหนู หนูไม่เป็นไร ;)
- ในข่าวบอกว่ามันพึ่งแหกคุก ตอนนี้กำลังไล่งัดบ้านทีละหลัง
- ใช่ๆๆ ที่ออกข่าวว่าฆ่าคนเยอะๆอ่ะแม่ หนูล็อกประตูแล้วค่ะ
====================
แชทของเหยื่อรายนี้ถูกเรียงตามลำดับเวลา โดยข้อความที่ใหม่ที่สุดจะอยู่ด้านบน
จบ...
---
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับเรื่องสั้น ๆ เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่ผมไปอ่านมาจากเว็บไซต์ต่างประเทศแล้วรู้สึกประทับใจมาก ๆ ในวิธีการนำเสนอของผู้แต่ง จึงตัดสินใจขออนุญาตเจ้าของเรื่อง แล้วเอามาแปลให้อ่านกันครับ คิดเห็นติชมอย่างไรอย่าลืมคอมเมนต์ไว้นะครับ ขอบคุณมาก ๆ ที่เข้ามาอ่านกัน สวัสดีครับ
ที่มา: https://www.reddit.com/r/shortscarystories/comments/euitmh/last_messages/
เรื่องจากพันทิป เรื่องสั้น: แชทสุดท้าย
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 5347947
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
30 มี.ค. 2563
เรื่อง-เล่า-หลอน ตอน บ้านหญิงม่าย
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนกันอีกครั้งนะครับ เรื่องราวที่ผมจะมาเล่าต่อไปนี้ผมได้เคยประสบพบเจอมากับตัวครั้นเมื่อนานมาแล้ว อย่างที่ผมเคยได้กล่าวไว้ในกระทู้ที่ผ่านมาที่ว่า ผมเป็นคนไม่กลัวผี ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้ไม่เชื่อว่าเรื่องผีเป็นเรื่องของอุปทานหรือเรื่องงมงาย ผมเชื่อว่าวิญญาณมีอยู่จริง ดังนั้นผมจึงอยากจะมาแชร์เรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ได้รับชมกัน มันอาจจะไม่ค่อยน่ากลัวในสายตาผม แต่สำหรับเพื่อนๆ ยังไงก็โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
----------
สมัยที่ผมยังเป็นเด็กประมาณ ป.1 ปู่ผมมีแมวอยู่ตัวหนึ่ง มันชื่อว่าไอ้ด่าง ลักษณะของมันคือจะมีขนสีดำสลับกับสีขาวเป็นดวงๆ ตามตัว ปรกติแล้วไอ้ด่างมันเป็นแมวที่ไม่ค่อยอยู่บ้าน มันชอบเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ไปบ้านโน้นออกบ้านนี้ บางวันถ้าโชคดีมันก็จะได้กินข้าวฟรีจากเพื่อนบ้านของปู่ผม มันจะกลับมาอีกทีก็ประมาณช่วงเย็นหรือไม่ก็ช่วงที่มันหิว มันก็จะมาทำหน้าอ้อนใส่ปู่ของผม ปู่ผมแกก็มักจะเอาข้าวคลุกปลาทูมาให้มันกิน เพราะสมัยนั้นการซื้ออาหารแมวค่อนข้างมีราคาสูงพอสมควร อีกอย่างคือแมวบ้านนอกบ้านนาก็มักจะไม่ค่อยกินอาหารเม็ด
แต่แล้ววันหนึ่งไอ้ด่างมันก็หายไปแบบไร้วี่แวว ปู่ได้ยินเช่นนั้นจึงออกไปตามหามัน แต่ทว่าก็ไม่มีร่องรอยอะไรที่จะบอกว่ามันไปทางไหน เวลาได้ล่วงเลยไปเป็นวันที่สอง ปู่ของผมได้ข่าวมาจากป้าสมร ป้าที่อาศัยอยู่ข้างบ้านของบ้านปู่ผม ป้าแกบอกว่าไอ้ด่างมันไปเดินดุ่มๆ อยู่ในแถวบ้านร้างท้ายซอย บ้านหลังนั้นเคยเป็นที่อยู่อาศัยของหญิงม่ายคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ทราบเพราะเหตุใดผู้หญิงคนนั้นได้ล้มป่วยและเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน ป้าสมรแกยังบอกอีกว่า เห็นไอ้ด่างมันยืนจ้องอะไรบางอย่าง ทั้งๆ ที่ในบ้านนั้นไม่มีคนเลยแม้แต่น้อย
ปู่ผมด้วยความรักและหวงแมว แกจึงเดินไปตามหาแมวคนเดียว ด้วยความที่ปู่ผมเป็นคนใจกล้าและไม่กลัวอะไรทั้งนั้น แกพกไม้กันหมาไปหนึ่งอันและตรงไปยังบ้านของหญิงม่ายคนนั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว แน่นอนว่าแกก็ต้องพกไฟฉายส่องทางไป
เมื่อปู่ถึงบ้านหลังดังกล่าวปู่แกก็รู้สึกประหลาดใจกับตัวบ้านที่มีรูปทรงแปลกๆ มันคงจะเคยเป็นบ้านสองชั้นมาก่อนแล้วเจ้าของคงจะต่อเติมห้องข้างล่าง ส่วนที่ต่อออกมานั้นเป็นบ้านชั้นเดียว หลังคาลาดเอียงจากใต้หน้าต่างชั้นบนของตัวบ้านเดิม บ้านหลังนี้ถูกปล่อยร้างมาสองสามปีคงจะได้ ตั้งแต่ที่หญิงม่ายเข้าโรงพยาบาลไปก็ไม่มีใครมาเช่าต่อ ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของหล่อนนับตั้งแต่นั้นมา ตอนนี้สภาพบ้านรกร้างและวังเวงเป็นอย่างมาก
ปรกติแล้วจะไม่ค่อยมีคนเดินผ่านตรงบริเวณนี้เสียเท่าไหร่ เพราะมันสุดซอยและทางตัน เมื่อปู่ผมถึงประตูรั้วของบ้านก็พยายามสอดส่องเข้าไปในบ้าน ดูเหมือนว่าจะไม่มีวี่แววอะไร
"มีใครอยู่มั้ย?" ปู่ผมตะโกนถาม แต่กลับไม่มีคำตอบ มีเพียงความเงียบงันเท่านั้น
ปู่ผมพยายามอีกครั้งที่จะสอดส่ายสายตาเข้าไปในชายคาบ้าน จนกระทั่งสายตาของปู่ไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง ใช่แล้ว ไอ้ด่างกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าบ้าน มันจ้องมองเข้าไปในบ้านของหญิงม่ายอย่างไม่คลาดสายตา
"ด่างเอ๊ย! กลับบ้านเร็วลูก!" ปู่ผมตะโกนเรียกมัน แต่เจ้าด่างกลับนั่งอยู่ที่เดิม
ปู่ผมเห็นว่าไม่ได้การแล้วจึงถือวิสาสะเข้าไปในบ้านของหญิงม่าย แกคิดว่าบ้านร้างขนาดนี้หญิงม่ายคงไปพักรักษาตัวที่บ้านเก่าของหล่อนก็เป็นได้ ตัวหญิงม่ายนั้นไม่ใช่คนที่นี่ ภูมิลำเนาเดิมของหล่อนมาจากภาคอีสาน ปู่ผมดันประตูรั้วอย่างง่ายดายก่อนที่จะแหวกพงหญ้ารกทึบสูงเท่าเข่าเข้าไป
ตอนนี้ตะวันเริ่มตกดิน แสงอาทิตย์เริ่มสลัวจนหายไป ความมืดเข้ามาครอบคลุมหมู่บ้านแห่งนี้ เสียงจั๊กจั่นและแมลงกลางคืนได้เริ่มบรรเลงเสียงร้อง เมื่อปู่ผมเริ่มมองไม่เห็น แกจึงเปิดไฟฉายเพื่อส่องทาง ใจหนึ่งแกก็กลัวจะโดนงูกัดเพราะหญ้ารกทึบเหมาะกับการอยู่อาศัยของสัตว์เลื้อยคลาน
ปู่ผมเดินไปอุ้มเจ้าด่างเพื่อกลับบ้าน ในตอนนั้นเอง! แสงไฟของปู่ก็ส่องเข้าไปในบ้านร้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ แสงไฟส่องให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอใส่ชุดเดรสยาวสีดำ ท่าทางการยืนของเธอเหมือนจะงอหลังเหมือนคนป่วย ผมของเธอยาวสลวยปิดใบหน้า เธอยืนห่างจากประตูบ้านที่ตอนนี้เหลือเพียงบานประตูประมาณสามถึงสี่ก้าว ปู่ของผมชาไปทั้งตัว แกพูดไม่ออก ยืนตัวแข็งเป็นหุ่นอยู่ได้สักชั่วครู่ก่อนที่แกจะเผ่นออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยเร็วที่สุด
วันต่อมาปู่ผมก็เดินทางไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อจะถามถึงเรื่องของหญิงม่ายท้ายซอย คำตอบที่ได้จากผู้ใหญ่บ้านเป็นประโยคที่ไม่ยาว แต่ทำให้ปู่ของผมเสียวสันหลังวูบ
"หล่อนน่ะเสียไปตั้งแต่สองสามปีที่แล้วแล้ว หลังจากหล่อนเข้าโรงบาลหล่อนก็เสีย"
นับตั้งแต่นั้นปู่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะเดินไปบ้านหญิงม่ายท้ายซอยอีกเลย ส่วนเจ้าด่างก็ยังคงเที่ยวเตร็ดเตร่ไปตามประสาแมว ปู่คิดว่ามันน่าจะหลงเข้าไปและที่มันนั่งจ้องก็อาจเป็นเพราะวิญญาณหญิงม่ายนั่นกำลังสื่อสารกับมันอยู่ ส่วนถ้ามันไปบ้านหลังนั้นอีก ปู่คงต้องรอให้มันกลับมาเอง ถ้ามันไม่กลับคงต้องพาเพื่อนไปสามสี่คน
----------
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับเรื่องนี้ นี่คือเศษเสี้ยวของประสบการณ์สยองขวัญที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตและคนรอบตัวของผม ยังไงเสียก็โปรดใช้วิจาณญาณในการอ่านด้วยนะครับ สำหรับกระทู้นี้ก็หมดเพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ...
เรื่องจากพันทิป เรื่อง-เล่า-หลอน ตอน บ้านหญิงม่าย
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป Tumbleweed
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องสั้น: ไฟ
เธอมีพี่น้องแปดคน รวมถึงตัวเธอเองซึ่งเป็นลูกคนที่หก เด็กทั้งแปดอาศัยอยู่กับคุณแม่อย่างโดดเดี่ยวในหมู่บ้านชนบทห่างไกล หมู่บ้านที่ถ้ามองลงมาจากบนฟ้า จะเห็นเป็นสีขาวเหมือนน้ำนมอย่างน่าประหลาดใจ
จะเรียกว่าเธอเป็นลูกคนโปรดของคุณแม่ก็ไม่ผิด ความสนิทสนมระหว่างเธอกับแม่นั้นอยู่ในระยะที่พอดี ไม่ใกล้ชิดหรือห่างเหินจนเกินไป ไม่เหมือนน้องชายสองคนของเธอที่ไม่เคยห่างจากแม่เลย และก็ไม่เหมือนพวกพี่สาวคนโตที่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นเท่าที่ควร
ในตอนแรกความสนิทสนมนี้ก็ดูเหมือนจะส่งผลดีกับเธอ ความอบอุ่นจากแม่ทำให้เธอเติบโตมีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กคนอื่น ๆ เธอกลายเป็นเด็กสาวสวยสะพรั่ง ผิวงามเปล่งปลั่งและดูอุดมสมบูรณ์เมื่อมองจากภายนอก นัยน์ตาข้างขวามีสีฟ้าครามดั่งน้ำทะเล ส่วนนัยน์ตาข้างซ้ายมีสีเขียวราวกับใบพืช ลักษณะทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ครอบครองมัน
หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป อยู่ดี ๆ เธอก็ล้มป่วยลงแบบกะทันหัน เด็กสาวมีไข้สูง และดูเหมือนอุณหภูมิร่างกายของเธอจะสูงขึ้นทุกวัน เธอเอาแต่นอนตัวสั่นอยู่บนเตียง โดยมีคุณแม่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
คนเป็นแม่รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร การที่เรามีไข้สูงเป็นสัญญาณแรกของการติดเชื้อ คุณแม่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการให้ความอบอุ่นกับลูกคนนี้เป็นลำดับที่สาม คือไม่มากหรือน้อยจนเกินไป จะทำให้ภายในร่างน้อย ๆ ของเด็กสาวคนนี้ ก่อกำเนิดเป็นสภาพแวดล้อมเหมาะสม สภาวะที่ยอมให้สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ถือกำเนิดขึ้น อาศัยอยู่ และเพิ่มจำนวน ตลอดเวลาที่เลี้ยงดูเธอมา คุณแม่ได้แต่หวังว่าสิ่งมีชีวิตพวกนั้น จะไม่หันมาทำร้ายลูกสาวอันเป็นที่รักของเธอ
...แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
การติดเชื้อเริ่มลุกลามไปทั่วร่าง ทุก ๆ วันเด็กสาวได้แต่นอนร้องโอดโอยด้วยความทรมาน ภูมคุ้มกันอันบอบบางไม่อาจทำอะไรเชื้อโรคพวกนั้นได้เลย แต่กลับยิ่งทำให้มันปรับตัว พัฒนา วิวัฒนาการจนแข็งแกร่งขึ้น พวกมันผลาญทุกสิ่งทุกอย่างจนแทบสิ้น สวาปามแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่มาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดเพื่อให้เผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ในร่างนี้ต่อไปตราบนานเท่านาน
สำหรับคนเป็นแม่นั้น สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวคือการเฝ้ารอ รอให้เชื้อพวกนั้นหันมาทำลายกันเองเมื่อไม่มีสิ่งใดเหลือให้ผลาญแล้ว ซึ่งคุณแม่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้องรออีกนานเพียงใด และลึก ๆ คุณแม่ยังมีความกลัวอีกว่า เมื่อเชื้อเหล่านั้นวิวัฒนาการจนสุดแล้ว มันจะแพร่กระจายไปสู่ลูกคนอื่น ๆ หรือไม่ก็คนทั้งหมู่บ้าน
เวลาล่วงเลยผ่านมาโดยไร้ซึ่งหนทางรักษาใด ๆ วันหนึ่งเด็กสาวอ้อนวอนต่อแม่ของตนว่าให้ช่วยปลดปล่อยเธอเสีย อย่าให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้อีกต่อไปเลย คนเป็นแม่ได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งหดหู่ใจ แต่ที่น่าเวทนาที่สุดคือทุกคนในครอบครัวได้รับเชื้อร้ายนี้กันหมดแล้ว เพียงแต่ภูมิคุ้มกันที่ได้มาทำให้คนอื่น ๆ ยังไม่แสดงอาการเท่านั้นเอง
คนเป็นแม่เริ่มโทษตัวเองที่ทำให้ลูกทุกคนต้องเป็นแบบนี้ และทุก ๆ วัน การได้ยินเสียงของลูกสาวคนเล็กคอยอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยปลิดชีวิตเธอ ด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสแบบนั้น มันทำให้คุณแม่จมอยู่ในความสิ้นหวังอย่างหาทางออกไม่ได้
จนในวันหนึ่ง คุณแม่ได้ตัดสินใจแล้ว มันเป็นหนทางสุดท้าย ทางเดียวที่จะหยุดการแพร่กระจายของเชื้อได้
ไฟ…
บ้านทั้งหลังต้องถูกเผาจนวอด และต้องไม่มีใครรอดชีวิตออกไปได้ ไม่แม้แต่คนเดียว
………
วันนี้เป็นวันธรรมดา ๆ ของหนุ่มออฟฟิศคนหนึ่งที่กำลังจะกลับบ้าน แต่ทันใดนั้นเอง เมื่อเพื่อนร่วมงานทั้งหมดต่างพากันวิ่งออกไปมุงดูบางอย่างที่หน้าต่าง เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาหลายเครื่องพร้อมกัน แล้วจู่ ๆ ไฟในตึกก็ดับลง แต่ชายหนุ่มกลับเห็นแสงสว่างจ้า เล็ดลอดผ่านหน้าต่างออฟฟิศเข้ามา
เขาค่อย ๆ เดินไปที่หน้าต่าง แทรกตัวผ่านเพื่อนร่วมงานที่มุงดูอยู่ ก่อนจะชะเง้อมองออกไปข้างนอกเพื่อดูว่ามีอะไรกันแน่
ไม่มีใครเชื่อสายตาตนเอง ทุกคนในออฟฟิศเห็นภาพเดียวกัน มันคือภาพที่ ณ ขณะนั้นกำลังถูกถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ภาพของดวงอาทิตย์ยามเย็น ดาวฤกษ์ยักษ์สีแดงส้ม ที่กำลังค่อย ๆ ขยายตัวใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
จบ…
---
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับเรื่องสั้นเรื่องที่สิบเจ็ดของผม เรื่องนี้อาจเข้าใจยากนิดนึงนะครับ แต่ถ้าไม่เข้าใจจริง ๆ อยากให้ลองอ่านดูหลาย ๆ รอบแล้วตีความตามที่ตัวเองคิดว่าเข้าใจครับ ไม่มีถูก ไม่มีผิด คิดเห็นติชมอย่างไรสามารถคอมเมนต์ได้เลยนะครับ ขอบคุณทุกท่านจริง ๆ ที่เข้ามาอ่านกันจนจบ สวัสดีครับ
เรื่องจากพันทิป เรื่องสั้น: ไฟ
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 5347947
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
29 มี.ค. 2563
เรื่อง-เล่า-หลอน ตอน เจอดีกับตัว
สวัสดีน้องน้องพี่แม่พ่อทุกคนด้วยนะครับ ก่อนอื่นเลยผมขอให้เพื่อนๆ ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าส่วนใหญ่ถ้าไม่เจอกับตัวก็จะเป็นคนรอบข้างเสียส่วนใหญ่ ส่วนตัวผมไม่กลัวผีครับ แต่เป็นคนเชื่อในเรื่องวิญญาณ สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง
----------
ในช่วงก่อนจบมหาลัยปี 2 ผมได้รับมอบหมายให้ทำงานและโปรเจคต์จำนวนมาก ถือเป็นฤกษ์งามยามดีก่อนขึ้นปี 3 มันมากเสียจนผมต้องทำงานข้ามวันข้ามคืน ปรกติผมเป็นคนนอนดึกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว คืนนั้นผมก็กำลังพิมพ์งานไปตามเรื่องตามราว หากพิมพ์ไปนานๆ ความเหนื่อยล้าจากช่วงกลางวันได้ปะปนเข้ามากับความง่วงในตอนกลางคืน ผมจึงเดินไปชงโกโก้ในห้องครัวเพื่อแก้ง่วง
ในขณะที่ผมกำลังเดินไปชงโกโก้อยู่นั้น ผมได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนพูดงึมงำ ตอนแรกผมมั้นใจว่ามันหูฝาด เพราะด้านล่างของบ้านมีผมแค่คนเดียว พอผมชงโกโก้เสร็จผมก็กำลังจะกลับไปที่โต๊ะคอมเพื่อพิมพ์งานต่อ แต่ทว่าหางตาของผมกลับไปโฉบเฉี่ยวกับอะไรบางอย่าง ผมสังหรณ์ว่าน่าจะมีคนแอบเข้ามาในบ้าน เพราะในช่วงกลางวันแม่ของผมเล่าให้ฟังว่า มีคนงานพม่าปีนรั้วของบ้านตรงข้าม ซึ่งคนงานคนนั้นมาทำหน้าที่ตัดต้นไม้ตรงหลังบ้าน แม่ของผมยังบอกอีกว่า คนงานคนนั้นกระโดดเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านของผมที่ไม่อยู่บ้าน ด้วยความกลัวว่าจะมีโจรขึ้นบ้าน เพราะช่วงนี้ข่าวโจรขึ้นบ้านออกกันโครมคราม
ผมจึงเดินขึ้นบ้านไปปลุกพ่อ เมื่อพ่อผมรู้เรื่อง เขาจึงสลัดอาการสะลึมสะลือลงมาจากบ้าน ตรงไปหยิบมีดดาบที่เขาพึ่งสั่งตีมา พ่อของผมเป็นคนชอบสะสมดาบ ดังนั้นเพื่อกันไว้อีกทบ ผมก็หยิบดาบของพ่อผมไปด้วย ผมไม่กลัวหากโจรนั่นมันมีมีดง่อยๆ แค่เล่มเดียว แต่ผมกลัวว่ามันจะมีปืนมากกว่า แต่อีกใจก็บอกว่ามันคงเป็นโจรกระจอกที่ไม่น่ามีปัญญาซื้อปืน
ผมและพ่อเดินไปตรงข้างบ้าน ที่ที่แม่ของผมบอกว่ามีคนงานพม่ากระโดดลงบ้านเพื่อนบ้าน เมื่อผมและพ่อส่องไฟฉายดู ปรากฏว่าผมและพ่อต่างตกใจกันมาก มันมีรอยเท้าของคนที่เปื้อนเหมือนคราบดิน รอยเท้ามันไปหยุดอยู่ที่สวนของผม พ่อของผมบอกให้ผมระวังตัว ผมเริ่มเหงื่อออกเพราะรู้สึกตื่นเต้นและกลัวเล็กน้อย เมื่อพ่อผมส่องไฟไป ปรากฏว่าไม่พบอะไรนอกจากความมืดและเหล่าต้นไม้ที่พ่อผมปลูก คืนนั้นผมและพ่อเดินสำรวจรอบบ้านอีกหนึ่งครั้ง ก่อนที่พ่อของผมจะให้ผมรีบเข้านอน โดยก่อนผมขึ้นพ่อก็ให้ผมล็อคประตูและหน้าต่างทุกบาน ผมไล่ล็อคจนครบทุกบาน ก่อนที่จะขึ้นบ้านนอน
วันต่อมาอาจารย์ไลน์มาบอกว่าวันนี้งดการเรียนการสอน ผมจึงนอนต่อลากยาวไปจนถึงเก้าโมง ผมตื่นมาพ่อผมก็ไปทำงานแล้ว ผมจึงลงไปทำหน้าที่ประจำวัน นั่นคือรดน้ำต้นไม้ ผมเดินไปข้างบ้านตรงที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อคืน ปรากฏว่ารอยเท้าพวกนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีคราบดินหรือคราบอะไรทั้งนั้น ตอนแรกผมก็คิดว่าพ่อผมคงจะล้างไปแล้ว แต่ผมสังเกตดูก็พบว่ามันไม่มีน้ำสักหยด มันเป็นพื้นแห้งๆ ไม่มีร่องรอยความชื้นแต่อย่างใด ผมพยายามเข้าข้างตัวเองว่าไม่มีอะไรจึงรดน้ำต้นไม้ต่อไป
คืนนั้นเป็นคืนที่ค่อนข้างเปลี่ยว เพราะไฟถนนในซอยของผมมันไม่เปิด ไม่รู้ว่าไฟเสียหรืออะไร แต่ที่แน่ๆ ไฟมันกระพริบราวกับไฟในหนังผี ขณะนั้นผมก็กำลังแก้ไขไฟล์งานเพื่อจะส่งในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าคราวนี้ผมได้ยินเสียงเหมือนคนเดินรอบบ้านอีกครั้ง ผมคิดว่าผมคงหูฝาด แต่ผมก็พึ่งคิดได้ว่าเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น ผมจึงรีบไปตามพ่อทันที พ่อผมก็ไม่รอช้าที่จะรีบโทรแจ้งตำรวจไว้ก่อน หลังจากนั้นพ่อกับผมก็เข้าสเต็ปเดิม หยิบดาบมาคนละเล่มและปรี่ออกไปข้างนอก
คราวนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน ผมกับพ่อแทบไม่เชื่อสายตาของตนเอง มีชายรูปร่างสูงใหญ่ แขนขายาวกว่าคนปรกติ กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่สวนของบ้าน พ่อผมส่องไฟฉายไปปรากฏรูปร่างผิวสีดำหนังหุ้มกระดูก สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้และรีบกระโดดข้ามรั้วไป
ในเวลาต่อมาตำรวจและยามได้มาที่บ้านของผม ตำรวจได้สอบถามรายละเอียดของคนร้าย ยามประจำหมู่บ้านคนหนึ่งของผมก็พูดแทรกขึ้นมา เขาบอกว่าไม่นานมานี้มีชายแก่คนหนึ่งน่าจะเป็นขอทานหรือไม่ก็คนไร้บ้าน แกมักจะมาขอข้าวยามกิน ซึ่งยามก็ใจดีให้ข้าวแกกินเป็นประจำ เพราะเขาก็สงสารลุงแกที่ต้องมาเจอกับชีวิตแบบนี้ แกไม่มีอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้าขาดวิ่น รองเท้าดีๆ แกก็ไม่มี หลังจากนั้นไม่นานลุงคนนี้แกก็ถูกรถชนเสียชีวิตจากพวกเด็กแว้นขับรถซิ่ง พ่อกับผมได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่อึ้งจนพูดไม่ออก แต่กลับกันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังคิดว่าเป็นการบุกรุกเข้าบ้านในยามวิกาล ตำรวจไม่ปักใจเชื่อจึงขอทำการตรวจตรารอบบ้านและบริเวณโดยรอบ จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปรกติจึงเดินทางกลับและก็ไม่ลืมที่จะรับเรื่องไว้
ในเวลาต่อมาผมและครอบครัวก็ได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่จากไปและตาลุงไร้บ้านคนนั้น ผมและพ่อก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้นอีกเลย
----------
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวนี้ ผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้เลยว่าทุกวันนี้ตกลงนั่นมันเป็นผีจริงหรือไม่ สิ่งที่ผมกลัวคือคนเรามากกว่าครับ วิญญาณอย่างมากก็แค่ปรากฏกายให้เราเห็นหรือมาในแบบพลังงาน แต่ถ้าคนนี่สิครับ หึหึ ร้อยทั้งร้อยก็ยังน่ากลัวมากกว่าผีอยู่ดีครับ สำหรับกระทู้นี้ก็หมดเพียงเท่านี้ครับ ผมขอลาไปก่อน สวัสดีและราตรีสวัสด์ครับ(หากเพื่อนๆ อ่านกระทู้นี้ตอนกลางคืนครับ)...
เรื่องจากพันทิป เรื่อง-เล่า-หลอน ตอน เจอดีกับตัว
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป Tumbleweed
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่อง-เล่า-หลอน ตอน หอในเฮี้ยน
สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน ในกระทู้นี้ผมจะมาขอแชร์ประสบการณ์จากปากเพื่อนของผมคนหนึ่งที่เรียนอยู่สาขาเดียวกัน เรื่องราวนี้มันเกิดขึ้นในหอพักในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน ส่วนตัวผมไม่ค่อยกลัวผีสักเท่าไหร่ แต่เพื่อนผมมันก็คะยั้นคะยอจะให้ผมกลัว 5555+ แต่เอาเข้าจริงๆ อผมได้ฟังเรื่องนี้ก็รู้สึกขนลุกพอสมควรครับ เอาเป็นว่าเราเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
----------
หอพักในมหาวิทยาลัยถือเป็นหอที่สร้างขึ้นเพื่อให้นิสิตนักศึกษาที่จากบ้านเกิดเมืองนอนมาเรียนในเมืองกรุง แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่ง(ที่ไม่ใช่เอกชนบางส่วน) มักจะถูกก่อตั้งมาไม่ต่ำกว่า 30-40 ปี บางมหาลัยก็อาจจะอยู่มานานกกว่านั้นได้ อย่างเช่นมหาลัยที่ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มีตำนานเล่าขานกันมาหลายเรื่อง และเรื่องนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งในหลายสิบเรื่องที่เล่ากันมาปากต่อปาก จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องและจากรุ่นน้องสู่รุ่นน้องอีกที
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงมหาลัยปี 1 เพื่อนผมคนนี้ผมขอให้นามสมมุติว่า หญิง ก็แล้วกันครับ หญิงพักอาศัยอยู่ในหอในในช่วงปี 1 ก่อนที่เธอจะย้ายออกมาอยู่หอนอก เนื่องจากปัญหาน้ำที่ไม่ไหลและมีกลิ่นเหม็น
เรื่องมันเริ่มขึ้นตอนใกล้วันเข้าหอ หญิงไปดูสภาพห้องก่อนที่จะทำการย้ายเข้าไป พอไปถึงก็ได้เจอกับอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์แกกำลังจะย้ายข้าวของออกจากหอ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอสำรวจไปรอบๆ ห้อง ในห้องประกอบไปด้วยเตียงสองชั้นสำหรับคนที่หารกับรูมเมท ปรกติแล้วมหาลัยมักจะจับคู่ให้กับนิสิตที่เข้ามาอยู่ในหอในด้วยกัน
พอมาถึงวันย้ายเข้าหอ หญิงรู้สึกดีอกดีใจที่รุ่นพี่ในคณะได้เลือกห้องได้ตามใจที่เธอต้องการ เธอกับรูมเมทก็ย้ายของเข้าไปอยู่ หอพักหญิงมีด้วยกันทั้งหมด 5 ชั้น หญิงพักอาศัยอยู่ในชั้นที่ 4 รูมเมทของเธอมีทั้งหมด 2 คน แต่ละคนเป็นคนของคณะครุศาสตร์สาขาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ ส่วนหญิงนั้นอยู่สาขาภาษาอังกฤษ หอในที่นี่ดีตรงที่ว่ามีห้องน้ำในตัว บางมหาลัยยังคงใช้เป็นห้องน้ำรวม หญิงและรูมเมทต่างพอใจกับห้องพักอย่างมาก แม้มันจะดูแคบไปเสียหน่อยสำหรับคนสามคน แต่ก็ยังดีกว่าการต้องไปอยู่หอนอกที่มีค่าใช้จ่ายและการเดินทางที่ยุ่งยาก
หญิงใช้ชีวิตไปตามปรกติในรั้วของมหาลัย จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากการทำกิจกรรมรับน้องเสร็จ หญิงรู้สึกเหนื่อยมากจากการโดนรับน้องและในวันนั้นรุ่นพี่ก็ปล่อยช้ากว่าปรกติ ปรกติแล้วรุ่นพี่จะปล่อยประมาณไม่เกิน 4 โมงครึ่ง แต่ทว่าวันนี้รุ่นพี่ปล่อยประมาณ 6 โมงเย็น เนื่องจากมีรุ่นน้องบางคนมาสายและโดดรับน้อง แน่นอนว่าช่วงหลังการรับน้องเริ่มแผ่วเบาลงจากการแสสังคม ฟ้าในช่วงนั้นก็โพล้เพล้กว่าจะเดินไปที่หอก็เกือบจะ 1 ทุ่มแล้ว หญิงรีบกินข้าว อาบน้ำ แต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอมีกิจกรรมหอในอีก เธอจึงพยายามลากสังขารไปรับน้องหอในต่อ
เวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม ชาวหอในจึงเลิกการรับน้องและแยกย้ายกันไปพักผ่อน หญิงด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวันก็ลากสังขารกลับขึ้นหออีกครั้ง ตอนแรกหญิงกะจะไม่อาบน้ำและนอนเลย แต่ด้วยความเกรงใจรูมเมทเธอจึงอาบน้ำอีกรอบและก็เข้านอน เพื่อนรูมเมทของเธอก็เช่นกัน
คืนนั้นหญิงนอนไม่หลับ เธอรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น เธอมักจะเป็นแบบนี้ประจำตอนที่นอนต่างสถานที่ และแล้วเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาประมาณตอนตี 2 เธอได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งอยู่ที่ชั้นบนของหอ เสียงมันดังวนไปวนมาอยู่เกือบ 2 นาที ตอนนั้นหญิงเองก็คิดว่าเพื่อนร่วมหอคงจะยังไม่หลับไม่นอนกัน อย่างว่าเพราะมันเป็นช่วงปรับตัว ไม่แปลกใจที่ทำไมเธอก็รู้สึกเช่นนั้น หญิงพยายามจะหลับต่อ แต่ทว่าเรื่องมันไม่ได้มีแค่นั้น เธอมักจจะได้ยินเสียงคนวิ่งไปมาแทบจะทุกคืน พักหลังๆ มานี้หญิงเริ่มถามรูมเมท ซึ่งพวกเธอก็บอกว่าพวกเธอก็ได้ยินเสียงไม่ต่างกันและดูเหมือนความข้องใจของพวกเขากำลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อยู่มาวันหนึ่งหญิงได้มีโอกาสพูดคุยกับรุ่นพี่ในสาขาเรื่องนี้ รุ่นพี่ก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนตอนสร้างหอใหม่ๆ ราวๆ 30 กว่าปีก่อน หอพักเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ชั้น 5 มีนักศึกษาเสียชีวิตอยู่ราวๆ 10-15 คน ล้วนแต่อยู่บนชั้น 5 ทั้งสิ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมหอชั้น 5 ถึงมีคนเข้าไปอยู่น้อยและจะอยู่ได้อย่างมากไม่ถึง 3 วัน เดี๋ยวมีคนเคาะประตูบ้าง มีคนเปิดปิดประตูบ้าง มีคนเรียกบ้าง มีเสียงวิ่งบ้าง ท้ายที่สุดชั้น 5 ก็แทบจะไม่มีคนอยู่ พอหญิงและรูมเมทได้ยินแบบนั้นถึงกับขนลุกซู่ในทันที รุ่นพี่ยังทิ้งท้ายไว้ว่า หัดไหว้ศาลหน้าหอบ้างก็ดีนะ
หลายวันผ่านไปก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นอีกครั้ง วันนั้นหญิงและเพื่อนรูมเมทได้แอบซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาในหอ พวกเธอนั่งกินกันจนรู้สึกกรึ่มๆ ก่อนที่หญิงจะเป็นคนอาสาเอาแก้วไปล้างและทำความสะอาด หญิงได้นำขวดเบียร์สีเขียวออกมาตั้งไว้นอกห้องเพื่อจะได้ไม่มีกลิ่นและเธอคิดที่จะกำจัดมันไปพร้อมกับขยะถุงดำที่ถุงใกล้จะเต็มในอีกไม่ช้า ในขณะที่หญิงกำลังล้างแก้วอยู่ที่ระเบียง สายตาของเธอก็ดันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่หางตา ปรากฏว่าเธอเห็นผู้หญิงชุดขาวยืนอยู่ตรงศาลหน้าหอ ตอนแรกเธอคิดว่าตาฝาดจึงพยายามขยี้ตา แต่ไปๆ มาๆ หญิงในชุดขาวคนนั้นก็ยังคงยืนอยู่ ที่น่าขนลุกคือตอนนี้มันเวลา 5 ทุ่มแล้ว หอปิดตั้งแต่ 3 ทุ่ม(ถ้าไม่รวมตอนรับน้องที่จะอนุโลมให้ปิดประมาณ 4 ทุ่มได้) ดังนั้นแทบจะไม่มีใครมายืนอยู่นอกหอเลยแม้แต่คนเดียว แต่ที่หลอนกว่านั้นก็คือผู้หญิงในชุดขาวคนนั้น ก็คืออาจารย์ที่หญิงเจอวันเข้าหอวันแรก
ทันทีที่หญิงเข้าห้อง "พวก! กูว่ากูเจอแล้ว..." เพียงหญิงพูดแค่นั้นบวกกับสีหน้าที่ซีด พวกเขาก็รู้ว่าเจอกับอะไรเข้า หลังจากนั้นพวกหล่อนก็ติดสปีดรีบปัดกวาดเช็ดถูอย่างรวดเร็ว หญิงจัดแจงลงกลอนประตูทุกบานก่อนจะรีบเข้านอนในทันที
หลังจากนั้นหญิงก็ย้ายออกไปอยู่หอนอกแล้วก็ไม่คิดจะกลับเข้ามาในหอในอีกเลย
----------
นี่เป็นเรื่องสั้นๆ ที่ผมอยากจะนำมาแชร์ให้เพื่อนๆ ฟังครับ จะเชื่อหรือไม่โปรดใช้วิจาณญาณในการอ่านด้วยนะครับ สำหรับผมก็ขอตัวลาไปก่อน เจอกันใหม่ในเรื่องถัดไป ราตรีสวัสด์ครับ
เรื่องจากพันทิป เรื่อง-เล่า-หลอน ตอน หอในเฮี้ยน
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป Tumbleweed
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
28 มี.ค. 2563
คืนหลอนในป่า ผีล่าพราน
..........สภาพรถกระบะโฟร์วิลที่หัวทิ่มตะแคงข้างอยู่ในลำห้วย ผมต้องกระแทกประตูรถออกมา ตะกายขึ้นฝั่งก่อนน้ำจะท่วมมิดทั้งคัน เหนื่อยแทบขาดใจ
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พวกเรานำมาโดยพี่อำนาจเป็นคนขับรถ ผมเล็ก อ่ำ และโบวะพรานนำทางชาวกะเหรี่ยง วันหยุดยาวทั้งทีได้ตกลงกันมาเที่ยวป่าในอุทยานแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ผมจำได้ ขากลับรถวิ่งด้วยความเร็ว เพราะเกรงฝนตก น้ำป่าตัดทางจะเป็นการยากลำบาก
พอพ้นโค้ง พี่อำนาจร้องลั่น แล้วหักพวงมาลัย ผมก็เห็นว่ามีคนวิ่งตัดหน้ารถ จนเสียหลักพุ่งตกลงไปในท้องห้วย
ไอ้อ่ำแทบจะว่ายน้ำ พี่อำนาจไต่ตามขึ้นมา ผมหายใจดังแรงอย่างโล่งอก ร้องถามเป็นอะไรมากไหม สองคนไม่ตอบ เอามือกุมท้ายทอย ไม่มองหน้า พี่อำนาจเอาแต่บ่นออดแอดว่าไม่น่าเลยๆ ก่อนหน้าไปร้องท้าทายเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ออกมาเผชิญหน้า ทั้งที่พรานก็ห้ามแล้ว ยังไม่ทันจะค่ำออกจากป่าก็โดนดีเข้าจนได้ เจตนาพวกเรามาเที่ยวป่า ชมน้ำตก ลำธาร แมกไม้ ที่ถือปืนมาด้วยเพื่อป้องกันตัวกรณีเจอช้างป่า มาเจอหมีขอ เป็นเป้าอย่างดี พรานห้ามยิงก็ไม่ฟัง
เปรี้ยงงง!!!
เสียงปืนสะท้านไปทั้งดง หมีขอเหยื่อกระสุนตกลงมาจากต้นไม้ แดดิ้น พรานร้องบอกไม่น่าๆ เลย มองไปที่ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน พี่อำนาจหัวเราะเห็นเป็นเรื่องงมงาย แล้วยังร้องท้าทายให้ปรากฏตัวออกมาตัวเป็นๆ
บัดนี้เจ้าตัวต้องเอามือกุมท้ายทอย รู้สึกเจ็บขัดยอกทั้งตัว แม้เกิดอุบัติภัย ทั้งสามชีวิตยังรอดมาได้ ขาดไปก็แต่พรานนำทางชาวกะเหรี่ยง ที่พวกเราร้องเรียกหาไม่มีเสียงขานตอบ
“โบวะนั่งอยู่กระบะท้ายรถ น่ากลัวจะกระเด็นไปไกล” พี่อำนาจพูด พวกเราเลยเร่งตามหา ขอบห้วยรกมาก ไหนจะน้ำไหลแรง น่ากลัวคนจะไหลไปตามน้ำ
ข้างบนเป็นพื้นดินนิ่มภายหลังฝนตก มีรอยล้อรถครูดกับดินเป็นทางยาว รอบด้านแถวนี้ล้วนเป็นป่า ห่างไกลจากชุมชน โชคดีที่ยังมีสัญญาณโทรศัพท์ให้โทรตามคนรู้จักให้มาช่วย พวกเขารับปากจะมา แต่หนทางมาถึงยากลำบาก เราคงต้องหาพักค้างคืนในป่า
ดวงตะวันอ่อนแสงลง ลอยต่ำเลียดสันดอยสูง นกป่ากลับจากออกหากินคืนสู่รัง ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับมัวหม่นลงทุกที ในช่วงเวลาโพล้เพล้ แต่ยังไม่ถึงกับมืดในทันที หากยังมองเห็นหนทางเดิน
“ผมอยู่นี่”
เสียงกู่ตอบมาจากด้านหลัง ผมสาบานได้ ตอนนั้นตกใจเหมือนเห็นผี ที่อยู่ๆ โบวะมายืนอยู่บนหนทาง ในสภาพยืนนิ่งไม่ไหวติง ที่ยืนตรงนั้นเป็นอุโมงค์ป่าไผ่ ทำให้ค่อนข้างมืด มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงร่างผอมไหล่บางแต่แกร่งเกร็ง ไม่ทันร้องซักถาม พรานหันหลังเดินนำหน้าอันเป็นภาพคุ้นตามาตลอดทั้งวัน
ดูเหมือนแต่ละคนจะเจ็บจนซึม พูดน้อยลง ในป่าเงียบสงัด ลมพัดมาทีต้นไผ่ในกอดังเอี๊ยดอ๊าด แล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงนกระปูดดัง ปูดๆ ๆ ๆ เสียงเย็นยะเยือก ผมมองหาต้นเสียงเห็นนกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านต้นเพกา ที่ออกฝักห้อยโตงเตงยามต้องลม มันร่อนลงบนพื้น ใช่เลยมันนั่นเองเจ้าของเสียง ปูดๆ ๆ
เมื่อเห็นคนแทนที่จะบินหนีเหมือนนกชนิดอื่น แต่กลับวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าซ่อนเร้นอยู่ในพุ่มไม้รกใกล้ ๆ บริเวณนั้น ผมพยักหน้าให้เสียงดังขึ้นบ้างกับพรรคพวกให้เดินตามโบวะไป ข้างหน้านี้ไม่ไกลมีสำนักสงฆ์ คงต้องขอพักแรมคืนไปก่อน ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาช่วยกู้รถขึ้นมา
สำนักสงฆ์เมื่อไปถึง สิ่งปลูกสร้างเก่าจนทรุดโทรม กุฏิจะพังมิพังแหล่ มีต้นหญ้าขึ้นรกกับเถาวัลย์พันเลื้อย ต้นไทรใหญ่ทิ้งใบหล่นทับถมเข้ามาในลานปราศจากการปัดกวาด ผมเงยหน้ามองสำรวจ บอกกับพรรคพวกที่นี่คงร้างเสียแล้ว โชคยังดีที่มีศาลาคุ้มหัว พยับเมฆฝนทางทิศตะวันตก กำลังแผ่มาถึง คืนนี้ท่าจะมีฝนตกแน่
ความมืดโรยตัวลงมาในอารามป่าแดนกันดาร โบวะหายไปในเพิงแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นครัว ได้ยินเสียงดังโป๊กๆ อาจจะไปหาฟืนมาก่อไฟ ผมเห็นเป็นเงาคนนั่งทำงาน แต่จนแล้วจนรอดยังไม่เห็นเปลวไฟ
ผมตรงไปที่พระประธาน คุกเข่าลงมือคลำหาธูปเทียนมาจุด แล้ว แสงแรกจากดวงเทียนเล็กๆ กลับสว่างเรืองรองอย่างเหลือเชื่อ ทำให้ เกิดความอบอุ่นใจอย่างประหลาด อีกสิ่งที่ทำให้อุ่นใจคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำที่ห้อยคอไว้ แสงไฟทำให้เห็นกลดที่ถูกผูกห้อยไว้ในพื้นที่ตอนหนึ่งของศาลา มีบาตรวาง พระท่านอาจจะไปทำธุระยังไม่กลับมาก็เป็นได้
ฟืนไฟถูกก่อขึ้น ไอดินชื้นผมต้องหาไม้มีแก่นมาเป็นฟืน ในเมื่อพรรคพวกสะบักสะบอมไปตามกัน นั่งอยู่มืดๆ ส่งเสียงพูดคุยกันเบาๆ ผมหันไปบอก
“ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็มารับ คืนนี้นอนที่นี่ไปก่อน”
พี่อำนาจมีท่าทางเซื่องซึม มือยังไม่คลายจากต้นคอ คงจะเคล็ดจนเอี้ยวคอลำบาก พอนั่งลงพูดอยู่เรื่องเดียว ที่ไปท้าทายเจ้าป่าเจ้าเขา จนขากลับมาประสบเหตุร้าย ผมกลับมานั่งเคียง จับหัวไหล่เขย่าน้อยๆ ปลุกปลอบใจ บอกอย่าคิดมากเลย
อ่ำยังเปียกโชกคล้ายพึ่งขึ้นมาจากน้ำ เนื้อตัวสั่นเทาทำจะเป็นไข้ ผมหาเสื่อมาปูให้นอน ข้างๆ กองไฟ
“คุณๆ ออกมาเร็ว!” เสียงโบวะเรียกมาจากข้างต้นสักต้นหนึ่งที่อยู่นอกอาณาเขต ผมร้องเรียกกลับ ไปทำอะไรตรงนั้นมืดๆ ให้เข้ามา โบวะมีท่าทีลังเล จะก้าวเท้าเข้ามา แต่แล้วก็ชะงักกลับ ก่อนจะหันหลังวิ่งหายไปในความรกชัฏ
แล้วใครกันที่อยู่ในครัวไฟ แสงจากกองไฟสว่างโร่ก็จริง แต่รัศมีไปไม่ถึง เห็นเพียงเงาคนนั่งยองๆ เหมือนกำลังกัดกินอะไรบางอย่างด้วยความหิวโหยตะกละตะกลาม เสียงที่แว่วออกมาดังคร่อกๆ คล้ายเสียงของหมูป่ากำลังกินอาหาร
..........ผมยุติความสงสัยเดินไปหาต้นเสียง อาศัยเปิดไฟฉายบนโทรศัพท์มือถือ อีกไม่กี่ก้าวจะถึงเพิง เห็นเงาดำคล้ายสัตว์วิ่งแล่นออกไป มันอาจเป็นหมูป่าที่มาหากินแถวนี้ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในป่าเงียบมาก ผมหยุดยืนนิ่ง จากนั้นพอฟังให้ดีคล้ายมีเสียงกู่ของฝูงผี จากเบากลายเป็นดังขึ้นทุกที มันคือเสียงช้างร้อง ไม้เล็กหักล้ม แผ่นดินลั่นคล้ายช้างทั้งโขลงกำลังมุ่งมาทางนี้ สำนักสงฆ์กลางป่าแห่งนี้ ผมหวังว่าคงไม่ได้ร้างเพราะภัยจากช้างป่า ในเมื่อโบวะหนีไปแล้วคง จะเอ่ยปากปรึกษาใครได้ คงต้องพึ่งตัวเอง วิ่งอ้าวไปรวมกับพรรคพวก
เบื้องบนพระจันทร์ดวงโตลอยเด่น แม้ยามแสงทองส่องลงมา ศาลาโปร่งโล่งไร้ผนัง ผมเห็นเงาของพระภิกษุนั่งขัดสมาธิในกลด แน่นิ่งราวกับหุ่นปั้น ผมจะเข้าไปกราบ เพื่อขอพูดคุยด้วย เป็นอันตกใจกับเสียงช้างร้อง พอหันมาอีกที ในกลดกลับโล่ง คล้ายผมตาฝาดไปเอง
จิ้งหรีดกับเสียงกบเขียดในลำห้วยแข่งเสียงกันขับขาน คล้ายป่าจะกลับมาสุขสงบอีกครั้ง ผมนิ่งอยู่ครู่ โขลงช้างคงไม่ได้มุ่งมาทางนี้แล้ว กลับมาดูพี่อำนาจกับอ่ำที่ต่างนอนครางฮือๆ คล้ายกำลังเพ้อ ไม่มีใครลุกขึ้นมาพูดคุย ปล่อยให้รู้สึกโดดเดี่ยว ผมเติมฟืนไฟเสร็จก็ล้มตัวลงนอน ฟังเสียงดนตรีของป่าขับกล่อม ก่อนสติค่อยๆ เลือน
เนิ่นนานทีเดียวที่หลับไป ผมถูกปลุกจากเสียงดังอื้ออึง หลังคาสังกะสีที่ฝนเทกระหน่ำลงมา กองไฟไม่เหลือแม้ถ่านแดง สภาพไม่ต่างจากคนตาบอด รอบตัวมันมืดมาก โชคยังดีที่มีไฟฉาย พอหันไปไม่เห็นพี่อำนาจกับอ่ำ หรือว่าทั้งสองคนหลบละอองฝนเข้าไปข้างใน
เพียงครู่เดียวฝนก็ซาลง หูของผมที่นอนแนบกับพื้น คล้ายได้ยินเสียงฝีเท้าคนดัง ตึก ตึก เดินตรงที่ครัว หรือว่าจะเป็นพี่อำนาจกับอ่ำ
โป๊ก! โป๊ก!
คราวนี้เสียงดังเหมือนคนใช้อีโต้สับกระดูก ผมไม่อาจข่มตาหลับได้อีกแล้ว ใครคนหนึ่งต้องลุกไปทำอะไรที่ครัวแน่ ผมฉายไฟเร่งรุดไป ทุกย่างก้าวเหยียบใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ผมร้องเรียกให้เสียงไปก่อน
“ใคร! นั่นทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
ร่างสันทัดผิวสองสี แม้เห็นแค่แผ่นหลัง ผมจำได้แม่นยำว่าคือไอ้อ่ำ ที่กำลังใช้มีดอีโต้สับไปที่โครงของหมีขอ พอวางมีดก็ใช้มือดึงขดไส้ออกมาทั้งยวง ใส่ปากเคี้ยวเสียงดัง คร่อก คร่อก พอถูกแสงไฟก็หันขวับมา ดวงตาสะท้อนแสงไฟ ปากยังคาบไส้ห้อยยาวถึงอก ภาพอันน่าสยดสยองยิ่งนัก ผมต้องผงะก้าวถอยหลัง ร้องเสียงแทบไม่ออก
ไอ้อ่ำ ไม่ใช่สิ เป็นใครก็ไม่รู้!
“เล็ก! ช่วยพี่ด้วย! โอ๊ย!”
พี่อำนาจยืนใช้สองมือกุมคอ พอปล่อยมือ คอบิดไปด้านหลังดังแกรบ ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลงเหลือกลาน อันน่าจะเป็นสภาพสุดท้ายก่อนตาย ผมร้องละล่ำละลัก พี่อำนาจตายแล้ว!
เปรี้ยง!
ประกายไฟวูบอันร้อนผ่าวมาจากด้านหลัง กระสุนปะทะร่างของอมนุษย์หนึ่งในสองผงะหงายหลัง ก่อนที่สติของผมจะดับวูบจากความตกใจกลัวสุดขีด
ผมงัวเงียตื่นขึ้นคล้ายหลับฝันร้ายไป เหงื่อซึมทั้งที่อากาศเย็น มารู้ตัวอีกทีบนห้างที่ขัดไว้บนต้นไม้ ที่อยู่นอกอาณาเขตสำนักสงฆ์ร้าง ในความมืดด้านล่างคล้ายเกิดความโกลาหล เสียงช้างร้องด้วยอาการขู่คำรามพ่นลมจากปลายงวงดังฟืดฟาด ไล่เหยียบย่ำสิ่งปลูกสร้างภายในสำนักสงฆ์อย่างเกรี้ยวกราดดุร้าย
“ผีลงช้าง ไม่ต้องตกใจครับคุณเล็ก ผมยังอยู่ทั้งคน”
เสียงจากร่างของใครคนหนึ่งในเงามืด กำลังคาบบุหรี่ติดไฟแดง นั่งกอดเข่า มีปืนยาวพาดบ่าในลักษณะคุ้นตามาก
“โบวะ นั่นโบวะตัวจริงใช่ไหม”
“ผมครับ คุณเล็ก”
สำเนียงห้วนสั้น ฟังดูซื่อๆ ของโบวะ บอกเป็นคนนำผมขึ้นมาบนนี้ ไฟฉายในมือแทบทำตก ดวงตาข้างหนึ่งของโบวะบวมเป่ง เนื้อตัวเป็นแผลยับ เขียวช้ำจนน่ากลัว ผมกลืนน้ำลายดึงอึก พยายามเปล่งเสียงถามไปถึงพี่อำนาจกับอ่ำ
“ไม่มีคน อยู่ข้างล่างแล้วครับ แถวนี้มีแต่เราที่เป็นคน”
ผมมองตามลงไป ขนบนแขนลุกชัน บนคอช้างมีเงาดำคล้ายคน ดวงตาแดงราวกับถ่านไฟ วาดแขนชี้นิ้วชี้สั่งการให้ช้างหันมาที่ต้นไทรใหญ่ เป้าหมายอยู่บนนี้ โบวะโอมอ่านคาถาบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ แนบแก้มกับคอปืนเล็งไปที่ร่างวิปริตนั้นแล้วเหนี่ยวไกดังเปรี้ยง พอหายวับไป ช้างตัวนั้นก็หันหลังวิ่งหายไปในความมืด
ผมร้อนใจมาก เป็นห่วงพี่อำนาจกับอ่ำ โบวะส่ายหน้าแช่มช้าน้ำเสียงเยือกเย็น ช่วยไม่ได้จริงๆ แล้วก็เริ่มลำดับเรื่องราวให้ฟัง เขาโดดลงจากรถได้ทัน แต่ก็สลบไป พอได้สติก็เห็นผมเดินมุ่งไปที่สำนักสงฆ์ร้างเพียงคนเดียว จะร้องเรียกแต่กระดิกตัวไม่ได้ พอฟื้นคืนจึงรีบตามมา สำนักสงฆ์แห่งนี้เคยมีช้างป่าเหยียบพระจนมรณภาพ โบวะได้ยินเสียงช้างทั้งโขลงเห็นท่าไม่ดี เลยขึ้นมาขัดห้างบนต้นไม้ไว้ก่อน
“ไม่ต้องกลัวครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ฮ่าฮ่า”
รุ่งเช้าสิ่งที่โบวะพูดก็เป็นจริง หน่วยกู้ภัยมาถึง ชักลากซากรถขึ้นมาจากลำห้วย ผมต้องสยดสยองอีกครั้ง ศพแช่น้ำอยู่ในน้ำทั้งคืนจนซีดขาว พี่อำนาจคอหักดวงตาเบิกโพลงเหลือกลาน ถูกนำมาวางเคียงศพของอ่ำ จนถึงตอนนี้เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากผม ยังดังก้องในหูอยู่เลย ตอนรถกระแทกลงไป ผมกลัวจนขาดสติ ใช้เท้าถีบคอหลายทีเพื่อสลัดมือยื้อ และยันตัวเองออกมาจากรถได้หวุดหวิด
“เล็ก! ช่วยพี่ด้วย! โอ๊ย!”
🙏🙏🙏🙏🙏🌹🌹🌹🌹
สวัสดีครับนักอ่านทุกท่าน ปีใหม่นี้ ขอจงหลอนกันถ้วนหน้านะครับ เฮอะๆ คือช่วงนี้ผมกำลังตั้งหน้าทำช่องในยูปทูปนะครับ เอาตรงๆ เลยไม่อ้อม
ฝากร้านด้วยครับ ช่วยกันกดติดตามให้เยอะๆ ตอนนี้ 11 คนเอง ช่องของคุณลิไปหลายพันเเล้ว ช่างห่างไกลหลายปีเเสงเลย ใครที่ชอบแนวหลอน แนวป่าเขาแนะนำบอกต่อกันได้นะ จะขอบคุณมากเลยจ้า
เรื่องจากพันทิป คืนหลอนในป่า ผีล่าพราน...สองตอนจบ
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป แจ็ค ในสวนถั่ว
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
บ้านช่องห้องหลอน
สวัสดีครับ วันนี้มีโอกาสแวะมาปันเรื่องเล่าที่บ้านหลังเก่าเช่นเคย ใครว่างๆ ก็มาอ่านกันได้นะครับ
ย้ำเช่นทุกครั้งว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
สนทนาแลกเปลี่ยนได้ที่แฟนเพจ
https://www.facebook.com/Krittanont/
สำหรับกระทู้นี้ ผู้ที่ให้เกียรติพาพวกเราไปพบเหตุสะพรึงครั้งนี้ ชื่อพี่แอน มีอาชีพขายเสื้อผ้า
พี่แอน ประกอบธุรกิจขายเสื้อผ้า มีหน้าร้านอยู่ย่านประตูน้ำ พี่แอนขายของมาหลายปีจนมีรายได้แน่นอนพอที่จะซื้อบ้านสักหลัง
พี่โชค แฟนหนุ่มซึ่งเป็นพนักงานประจำก็เห็นด้วย ทั้งคู่ตระเวนดูบ้านจัดสรรหลายโครงการ สุดท้ายไปจบที่หมู่บ้านย่าน XX
พี่แอนซื้อบ้านเดี่ยว ๓๕ ตร.ว. หลังนี้ตั้งแต่โครงการเพิ่งเปิดใหม่ๆ ตอนนั้นสร้างเสร็จเพียงไม่กี่ยูนิต มีคนเข้ามาอยู่เพียงไม่กี่หลัง
ด้วยความที่มีลูกจ้างคอยช่วยเปิด-ปิดร้าน ไม่ต้องรีบเข้างานแต่เช้า พี่แอนจึงตัดสินใจขายคอนโดที่อยู่มาหลายปี
แล้วย้ายไปบ้านหลังใหม่ ค่อยๆ แต่งไปเรื่อยๆ ช่วงแรกพี่แอนอยู่คนเดียว ส่วนพี่โชคไปๆ มาๆ เพราะไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง
ณ ตอนนั้นมีบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ๑๐ หลัง มีคนเข้าอยู่ครึ่งหนึ่ง
บ้านพี่แอนอยู่หลังสุดท้าย ยูนิตข้างๆ กับตรงข้ามมีคนซื้อแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าอยู่ หลังที่มีคนอยู่ ห่างไปสองแปลง
พี่แอนขนข้าวของจากที่พักเดิม รวมถึงของในร้านกลับไปเก็บไปที่บ้าน เธอกับพี่โชควางแผนว่าจะต่อเติมบ้าน
จึงยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก เอาแค่พออยู่ไปก่อน
คืนแรกพี่โชคแวะมานอนด้วย ทั้งคู่ช่วยกันขนข้าวของขึ้นไปเก็บบนห้องนอนเล็กชั้นสอง (ห้องนอน ๒) ฝั่งติดถนน
ทั้งเสื้อผ้าเก่าที่รอขาย ราวเหล็กที่ไม่ใช้แล้ว หุ่นโชว์เสื้อผ้าชำรุดหลายตัว บ้างหัวหลุด แขนหลุด บ้างแตกหัก
ตกลงกันว่าต่อเติมเสร็จค่อยขนลงไปเก็บด้านล่าง ระหว่างนั้นก็จัดข้าวของ
เรียงหุ่นไว้ด้านใน ปิดไฟแล้วลงไปกินข้าวมื้อแรกในบ้านหลังใหม่
เสร็จประมาณ ๒ ทุ่ม ก็ชวนกันไปสำรวจรอบๆ ทักทายเพื่อนบ้านใหม่ บ้านที่อยู่ใกล้สุดเป็นครอบครัวเล็กๆ พ่อแม่ลูก
พ่อชื่ออ๋อง แม่ชื่อโบว์ มีลูกชายวัยสี่ขวบชื่อน้องน้ำมนต์ อีกหลังเป็นหนุ่มสาวที่อายุไล่เลี่ยกับพี่แอน
ส่วนอีก ๒-๓ ครอบครัวยังไม่มีโอกาสทำความรู้จัก เดินเลยไปที่สวนส่วนกลาง เรียกเหงื่อได้นิดหน่อยก็วกกลับ
บ้านหลังอื่นก็เริ่มปิดเงียบแล้ว มองไปรอบๆ ก็มืดหมด
พอเดินไปถึงบ้าน พี่แอนเป็นคนแรกที่เห็นสิ่งผิดปกติเข้าจังเบอร์ เธอเหลือบมองไปที่ห้องนอนเล็กชั้นสอง
ใจหายวาบ หุ่นโชว์เสื้อผ้าตัวหนึ่งตั้งอยู่ชิดหน้าต่าง... ไฟสลัวๆ เพื่อนบ้านก็ยังไม่ค่อยมี เป็นใครก็ตกใจ
พี่แอนร้องเสียงหลง พอตั้งสติได้เห็นว่าเป็นหุ่นก็บ่นแฟน บอกว่าทำไมไม่จัดให้เรียบร้อย กลางค่ำกลางคืนใครผ่านมาเห็นหัวใจวายกันพอดี
พี่โชคก็เกาหัวแกรก จำได้ว่าเรียงเข้าไปชิดผนังด้านในหมดแล้ว (นี่หว่า) ก็บ่นงึมๆ แล้วขึ้นไปเรียงใหม่
ล็อคกลอนแล้วกลับเข้านอน คืนแรกผ่านไปเหมือนไม่มีอะไร เช้ามืดพี่โชคก็ตื่นนอน อาบน้ำ รีบบึ่งออกไปทำงานตามปกติ
ประมาณเจ็ดโมงเช้าก็ขับรถออกไป ส่วนพี่แอนยังนอนอุตุ กะว่าสักเก้าโมงค่อยลุก
และเป็นพี่แอนนี่เองที่ต้องเจอกับเรื่องแปลกๆ
ตอนนั้นแดดก็รำไรแล้วละ พี่แอนนอนตะแคงหันหน้าไปทางหน้าต่าง กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น
จู่ๆ หมอนที่หนุนเหมือนถูกกระตุกทีละนิดๆ จนเลื่อนหลุดไปจากหัว พี่แอนเบลอๆ อยู่ นึกว่าพี่โชคแกล้ง
(แต่เวลานั้นพี่โชคออกไปแล้ว) ก็ไม่ได้สนใจเอื้อมมือไปควานหาหมอนทั้งที่ยังหลับ คลำๆ คว้าๆ เท่าไหร่ก็ไม่เจอ
จึงพลิกตัวกลับไป ปรากฏว่าไม่มีหมอนสักใบอยู่บนเตียง แต่ไปกองอยู่บนพื้นใกล้ๆ ประตูห้องโน่น
พี่แอนเรียกพี่โชคอยู่หลายครั้ง เห็นเงียบจึงชะโงกไปดูที่หน้าต่างเห็นว่ารถไม่อยู่ ก็แปลกใจ
แต่ไม่ได้คิดไกลไปกว่านอนดิ้นมั้ง คงเผลอหวดตูมหมอนกระเด็นตกเตียง จะนอนต่อก็ตาสว่างแล้ว เลยตัดใจลุกไปอาบน้ำ
ระหว่างอาบน้ำแปรงฟัน หูเหมือนได้ยินเสียงประตูเปิด จึงหยุดแปรง ชะโงกไปดูช่องระบายลมเล็กๆ ตรงประตู
เห็นเงาดำวูบผ่านไป ใจหล่นไปกองตาตุ่ม
พอมีแสงแดดเป็นพวก อะไรที่มันลึกลับก็ไม่มีในสมองหรอก คือกลัวคนมากกว่า เคยได้ยินมาว่าผู้รับเหมาบางราย
มีอาชีพเสริมเป็นมิจฉาชีพ แอบปั๊มกุญแจลูกบ้านไว้ พี่แอนกระโจมอก หยิบอาวุธชิ้นเดียวที่มีอยู่ในห้องน้ำ
นั่นคือขวดสเปย์ดับกลิ่น ย่องไปจ้องช่องประตู
เงี่ยหูฟังพักใหญ่ไม่ได้ยินเสียงอะไรจึงค่อยๆ เปิดประตูออกมาดู สำรวจทีละห้องในห้องนอนใหญ่ก็ว่างเปล่า
ห้องนอนสองก็เหมือนกัน เดินลงไปชั้นล่างก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต โล่งอกกลับขึ้นไปแต่งตัว เตรียมไปเปิดร้าน
แต่พี่แอนลืมสิ่งสำคัญไปอย่าง โคนันคุงนึกออกมั้ยครับว่าคืออะไร ใครนึกไม่ออกกด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันนั้นยอดขายไม่ดีนัก อาจเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุด รวมถึงนักท่องเที่ยวก็น้อยมาสักระยะ ด้วยความที่พี่แอนเป็นคนสวย รูปร่างดี
จึงมีแผนว่าจะไลฟ์สดขายเสื้อผ้ากับเขาบ้าง ของมี สถานที่ก็มี พร็อพก็เพียบ แค่จัดฉากถ่ายสวยๆ ก็น่าจะพอมีรายได้อีกทาง
ตกเย็นก็โกยเสื้อผ้าที่คิดว่าน่าจะขายได้ใส่ถุงใบใหญ่บึ่งกลับบ้านทันที
กลับไปถึงเจอแฟนหนุ่มยืนคุยอยู่กับพี่อ๋อง พี่อ๋องเตือนว่าช่วงแรกที่ยังไม่ค่อยมีคนเข้าอยู่ต้องล็อคประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย
เพราะโครงการยังล้อมรั้วไม่ทั่ว ไม่ได้ตั้งแง่กับคนงาน หรือชาวบ้านแถวนั้น แต่กันไว้ดีกว่าแก้
เพราะยามคนหนึ่งบอกว่าคืนที่ผ่านมาเห็นคนซุ่มดูตามบ้านที่มีคนเข้าอยู่แล้ว
คืนนั้นพี่โชคค้างด้วย พอแชร์ไอเดียจบ ทั้งสองก็ช่วยเซ็ตฉากง่ายๆ ตรง walk in closet ที่ยังไม่ได้บิวท์เป็นการชั่วคราว
ตั้งเป้าพรุ่งนี้จะลองไลฟ์ดู ตกกลางคืน ขณะนอนดูทีวีได้ยินเสียงน้ำหยดดัง ติ๋ง... ติ๋ง... นึกภาพบ้านที่ยังไม่ค่อยมีเฟอร์ฯ
โครงการยังไม่พลุกพล่าน เสียงอะไรดังนิดหน่อยก็ก้องไปทั่ว พี่โชคก็ลุกไปดู เสียงน้ำหยดเงียบไป เป็นเสียงพี่โชคที่ดังแทน
“แอนๆ มานี่หน่อย”
พี่แอนเดินตามเข้าไปในห้องน้ำ เห็นแฟนยืนเท้าเอวอยู่ แกชี้ที่ส่วนอาบน้ำ พี่แอนก็มองตาม
“ผมร่วงเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?" พี่โชคถาม
พี่แอนก็งง เลยเดินเข้าไปดู คิ้วก็ขมวดยุ่ง เพราะมีเส้นผมผสมคราบครีมกองเป็นกระจุกอยู่ตรงตะแกรงน้ำทิ้ง
ไม่นึกว่าตัวเองผมร่วงเยอะขนาดนั้น แต่พี่โชคคงเริ่มง่วง เลยบอกให้พี่แอนออกไปก่อน ย้ำให้หาซื้อยาแก้ผมร่วงมาใช้
พี่แอนกลับมาที่ห้อง นั่งลงบนเตียง เริ่มจิตตก ‘ใช่ผมชั้นเหรอวะ??’
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เช้าวันถัดมา ทั้งสองคนออกไปทำงานแต่เช้า พี่โชคขับรถออกไปก่อน
ส่วนพี่แอนออกที่หลัง ระหว่างปิดประตูรั้ว โบว์ก็จูงน้องน้ำมนต์มาทักทายที่หน้าบ้าน คุยกันได้พักเดียวพี่แอนก็ขอตัวเพราะนัดลูกค้าไว้
โบว์ยิ้มให้ แล้วบอกอะไรบางอย่างที่ทำให้พี่แอนต้องสะบัดหน้าไปมองบ้านตัวเอง
“เมื่อคืนโบว์กับแฟนออกมาเดินเล่น เห็นคนยืนอยู่บนห้องในบ้านคุณแอน ตอนแรกนึกว่าคุณโชคซะอีก ที่ไหนได้เป็นหุ่น ตกใจหมดเลยค่ะ”
หือ!? พี่แอนอ้าปากค้าง ชำเลืองมองห้องนอนสอง มีหุ่นแขนหลุดตั้งอยู่ริมหน้าต่างจริงๆ แต่มันไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง?
พอขึ้นรถก็รีบโทรหาพี่โชคทันที ถามว่าขยับหุ่นรึเปล่า พี่โชคก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนรื้อของจัดพร็อพเตรียมอุปกรณ์
อาจจะลืมยกกลับที่เดิมก็ได้ พี่แอนฟังก็ใจชื้นขึ้นหน่อย ตั้งใจว่าวันหยุดจะขนหุ่นเสียๆ ไปทิ้งให้หมดสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป
วันนั้นทั้งวันพี่แอนก็ซ้อมไลฟ์ เลือกเอาชุดสวยๆ เตรียมขนกลับบ้าน ขากลับก็นัดเจอพี่โชคที่ห้างสรรพสินค้า กินข้าวเย็นด้วยกัน
พี่โชคบอกว่าติดต่อผู้รับเหมากับ interiorไว้แล้ว อีกสามวันจะเข้าไปประเมินราคาหน้างาน พี่แอนก็ไม่ค่อยสนใจ รีบกินรีบกลับ
เพราะแจ้งหน้าเพจไปแล้วว่าสองทุ่มครึ่งจะมีไลฟ์สด
ขับรถถึงโครงการ นึกถึงคำพูดเพื่อนบ้าน พี่แอนเลยจอดรถตรงป้อมยาม ยื่นขนมให้ แล้วถามยามว่าเห็นคนแปลกๆ เข้ามาในหมู่บ้านเหรอ
ยามส่ายหัว แล้วบอกว่าเขาไม่เห็น แต่คนที่เห็นเป็นยามอีกคน ชื่อลุงสมพงษ์
ถึงบ้านก็รีบเตรียมของ จัดพร็อพ จัดไฟ เอาตามมีตามเกิดไปก่อน ถ้าผลตอบรับดีค่อยขยับขยาย เลยเวลานัดไปนิดหน่อย
พี่แอนก็ไฟล์สดขายเสื้อผ้าเป็นครั้งแรก
ยอดคนเข้าชมมีไม่ถึงยี่สิบ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนๆ และลูกค้าประจำที่ซื้อของบ่อยๆ แรกๆ ก็ติดๆ ขัดๆ พูดหน้ากล้องอยู่คนเดียว
บางทีต้องเปลี่ยนชุดกันจะๆ อาศัยแค่ราวผ้าเป็นฉาก พี่แอนก็เขินเหมือนกัน โฉบไปดูคอมเมนต์เป็นพักๆ
แต่พอมียอด cf ทีนี้เริ่มคล่อง สรุปไลฟ์สดครั้งแรกได้เงินไปเจ็ดพันกว่าบาท ถือว่าไม่เลวสำหรับมือใหม่
วันต่อมาก็แพลนว่าจะเตรียมของมาขายให้เลือกมากขึ้น พร้อมโปรโมชั่นเด็ดสำหรับลูกค้าออนไลน์
จัดแจงขนแบบเสื้อผ้ากลับบ้านหอบใหญ่แล้วชวน หยี แม่ค้าร้านข้างๆ ให้มาช่วยไลฟ์สด
(จริงๆ คือหาเพื่อนมานอนด้วย เพราะพี่โชคไม่ได้มาค้าง)
แต่งเนื้อแต่งตัวพร้อมเข้าฉาก จากนั้นเริ่มไลฟ์เป็นครั้งที่สอง
พอมีลดแลก แจก แถม คนก็เริ่มแชร์ ยอดผู้เข้าชมก็พุ่งแตะสี่สิบ พี่แอนเป็นคนพูดเก่ง หน้าตาสะสวย แล้วมีทริคในการขาย
มีโชว์วับๆ แวมๆ เล็กน้อยพอเป็นกระษัย ยอดเริ่มเข้าเรื่อยๆ พี่แอนบ่นว่ารู้งี้ทำนานแล้ว สักพักพี่โชคก็ตามเข้ามาแซวในไลฟ์
Chokepalit : แม่ค้าน่ารักจังคร้าบ
พี่แอนก็ขำ แต่ก็ดี มีหน้าม้าเข้ามาช่วยให้ครึกครื้น ช่วงนั้นมีลูกค้าสอบถามเรื่อยๆ พี่แอนก็ขายรัวๆ หยีก็ช่วยตอบ
จนไปสะดุดคอมเมนต์ลูกค้าคนหนึ่ง ชื่อ Winnie the Bee หยีหันไปถามพี่แอนว่าคนนี้ใคร (วะ)
พี่แอนคุ้นๆ ว่าเมื่อวานยูสเซอร์นี้สั่งชุดแซกไป ๒ ชุด พี่แอนก็ถามว่ามีอะไร หยีเลยบอกให้พี่แอนมาอ่านคอมเมนต์เอง
พี่แอนไล่อ่านทีละข้อความ
Winnie the Bee : สวัสดีค่าพี่แอน รอนานแร้วว
Chokepalit : แม่ค้าน่ารักจังคร้าบ
Look Yee : @Chokepalit เพื่อนแม่ค้าก็น่ารักนะจ้า สวยโสด 555
Mr. Fusion : เข้ามาดู
หนูน้อยบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ : แจกอีกสิยะหล่อน เกิดเป็นคนสวยต้องหัดมีน้ำใจ
Winnie the Bee : โหย พี่แอนหุ่นดีจังง่า
Rhythm in the air : ฝากสมิงเขาขวางไว้ในอ้อมใจสักเล่มนะครับ ^^'
Winnie the Bee : cf ค่า
และก็มาถึงข้อความต้นเหตุที่ทำเอาแม่ค้าคนสวยหน้าเปลี่ยนสี
Winnie the Bee : เมื่อวานแซวนิดหน่อย วันนี้เปลี่ยนผู้ช่วยเลยเหรอค้า ><
เปลี่ยนผู้ช่วย? คืออะไร? เมื่อวานกรูฉายเดี่ยว หรือหมายถึงพี่โชค?
แต่ช่วงมิดไนท์เซลล์แบบนั้นมันไม่สะดวกที่จะมาถามไง พี่แอนเลยคิดว่าไลฟ์จบค่อยอินบ็อกซ์ไปถามอีกที
ตอนนั้นเริ่มไม่สนุกแล้ว แต่ก็เก็บเงียบไว้ก่อน ยังไม่อยากบอกเพื่อน เดี๋ยวมันหนีกลับ
หยีก็มีเซนส์นะ เริ่มรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะพี่แอนไม่คล่องเหมือนตอนแรกๆ
สักสามทุ่มครึ่งไลฟ์จบก็มานั่งเก็บข้าวของ คุยกับเพื่อนเพลินจนเกือบลืมเหมือนกัน
พี่แอนหยิบมือถือจึงส่งข้อความไปหา ปรากฏว่า Winnie the Bee ไม่ออนไลน์ พี่แอนเลยส่งข้อความขอบคุณอะไรเทือกนั้น
แล้วหยอดทิ้งท้ายไว้ว่า
‘สนใจมาเป็นผู้ช่วยพี่มั้ยคะ ค่าจ้างวันละกล่อง 555’
รออยู่นาน ลูกค้าก็ยังไม่ตอบข้อความ ด้วยความร้อนใจ นึกขึ้นได้ว่าย้อนไปดูคลิปเก่าซี่ เผื่อเจอเบาะแส
พี่แอนเลยนั่งดูคลิปการไลฟ์สดครั้งแรกไปเรื่อยๆ ๑๐ นาทีแรกก็ฮานะ กำลังเพลินๆ แต่พอเข้าช่วงกลางคลิป
ดันเห็นอะไรแปลกๆ แว่บหนึ่ง ไม่เร็ว ไม่ช้า ต้องเลื่อนดู ๒-๓ รอบถึงจะเห็น
จังหวะนั้นพี่แอนกำลังก้มๆ เงยๆ เปลี่ยนเสื้อผ้า มันมีเงาอะไรสักอย่างโฉบผ่านหน้ากล้อง
แล้วไม่กี่วิฯ ต่อมา หุ่นโชว์เสื้อที่ตั้งอยู่สุดเฟรมด้านหลังก็หมุนนิดหนึ่ง แค่ไม่กี่องศา
คือถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่เห็น... พี่แอนเสียววาบตั้งแต่หัวจรดเท้า
พยายามคิดในแง่ดี อาจเป็นแสงเงาก็ได้ม้าง ส่วนหุ่นขยับอาจเป็นมุมกล้องไง ใช่ๆ มันต้องเป็นเพราะมุมกล้อง
กำลังกดปิด ดันมาเจอแจ็คพอตเข้าอีกช็อต ในวีดีโอที่บันทึกตอนนั้นน่าจะใกล้จบไลฟ์ พี่แอนกำลังก้มกดมือถือ
จู่ๆ มีเงาคนโผล่เข้ามาด้านซ้ายของเฟรม กินระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน ๓ วินาที แล้วก็หลบหลุดเฟรมไป
ไม่ถึงนาทีต่อมาคอมเมนต์ก็เด้ง
Winnie the Bee : ใช้แรงงานผู้สูงอายุเหรอคะพี่แอนนน 555
เห้ย ไม่ตลกนะ!?
พี่แอนนั่งหน้าซีด หยีเห็นเลยถามว่าเป็นอะไร พี่แอนจึงตัดสินใจเล่าให้ฟัง ฟังจบขนชี้โด่เด่
ทั้งสองคนเลยมานั่งดูคลิปอีกรอบ คือมันไม่ค่อยชัด ฟันธงลำบาก แต่โครงร่างก็คล้ายคนอยู่เหมือนกัน
เหมือนผู้หญิง รวบผมสูง หลังค่อมๆ หน่อย
ชัดไม่ชัดไม่รู้แล้ว แต่อยู่ไม่ได้ละ กำลังจะจองโรงแรมนอน ปรากฏว่าพี่โชคแวะมาที่บ้าน พี่แอนเลยเล่าทุกอย่างให้ฟัง
แต่ก็นะ ผู้ชายดิบๆ ด้านๆ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้ แม้พี่แอนจะเปิดคลิปให้ดู ก็ยังบอกว่า เงา... เงาชัดๆ คิดมาก
ส่วนน้องวินนี่วินเน่ออะไรนั่นก็ตาฝาด แซวไปเรื่อย ไม่มีไรหรอก
สรุปคืนนั้นทุกคนก็นอนที่บ้าน แต่ขอใช้บริการไฟทุกดวงมันซะเลย ตาค้าง กว่าจะหลับไปปาเข้าไปตีสอง
แต่พี่แอนไม่รู้ตัวเลยว่าตัดสินใจผิด เพราะกำลังเจอช็อตเด็ดยิ่งกว่าในคลิป
สักหัวรุ่ง ขณะกำลังนอนเพลินๆ ไม่รู้เป็นเพราะหมกมุ่นมาทั้งคืนรึเปล่า ความฝันกับความจริงตีกันนัวไม่หมด
พี่แอนได้ยินเสียงน้ำหยด สลับเสียงน้ำไหล ดังอยู่นานจนพี่แอนรำคาญลุกขึ้นมานั่ง หันไปมองไฟที่ก่อนนอนเปิดสว่างโร่
ไหงตอนนี้มันมืดหมด โชคดีที่ตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนเตียง หยียังนอนอยู่ด้วย ส่วนพี่โชคก็กรนอยู่ห้องข้างๆ
กำลังทิ้งตัวนอนอีกรอบ น้ำเนิ้มช่างมัน ดันมีอะไรมาเตะตา เหมือนว่าตรงหลืบมืดๆ บริเวณส่วน walk in closet
ที่มีข้าวของจากการไลฟ์วางกองอยู่ มันมีอะไรสักอย่างที่เข้มกว่าเงายุกยิกๆ อยู่
พี่แอนหมอบตัวลงข้างๆ เพื่อนพยายามจ้องมอง จังหวะนั้นดันมีเสียง แก๊ก... แก๊ก... แก๊ก
ดังมาจากอีกฝั่ง (ฝั่งกระจก ใกล้กับพี่แอน)
เสียงนั้นคุ้นหู มันเป็นเสียงพัดลมที่ปกติพี่แอนตั้งเวลาเปิดไว้ตอนใกล้เช้าเพื่อแทนการใช้แอร์
พัดลมเกิด ขัดข้อง หรือ ติดขัด อะไรสักอย่าง ทำให้ไม่ยอมส่ายอย่างที่ควร ขืนตัวดัง แก๊ก... แก๊ก... แก๊ก
พี่แอนเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง พอไฟสว่างขึ้นเห็นป้าแก่ๆ ยืนขวางไม่ให้พัดลมส่าย
พี่แอนกรี๊ดสุดเสียง
หยีสะดุ้งโหยงเป็นคนแรก ตามด้วยพี่โชคที่พรวดเข้ามาในห้อง ถามว่าเป็นอะไร
พี่แอนยังใจสั่นอยู่ ปากเหมือนไม่มีแรง เหงื่อนี่ซกทั่วหน้า ตอนนั้นประมาณเกือบหกโมงเช้า
พี่แอนหันไปมองพัดลม มันส่ายหน้าปกติ
พี่แอนบอกว่าเมื่อกี้เห็นคนยืนอยู่ตรงพัดลม พี่โชคมองหน้าหยี ก็เข้าไปปลอบพี่แอนว่า ฝันไปมั้ง
เช้าแบบนี้มันไม่น่ามีอะไร แต่ถ้าไม่สบายใจ คืนนี้ไปนอนคอนโดเขาก็แล้วกัน
พี่แอนพูดอะไรไม่ออก ฝันร้ายไม่พอยังรู้สึกปวดคอแปลบๆ บิดสองรอบมองไปตรงหัวเตียง
หมอนสองใบไม่อยู่ในที่ที่ควร ใบหนึ่งกองอยู่หน้าประตู อีกใบกองอยู่ข้างพัดลม
มันควรต้องกลัวปะวะ!?
เช้านั้นเป็นวันหยุด หลังล้างหน้าล้างตากันเสร็จ หยีบอกว่า “กรูกลับละ ไม่อยู่แล้ว”
แต่พี่แอนก็บอกให้อยู่เป็นเพื่อนแป๊บก่อน อยากจะคุยให้รู้เรื่องกันไปเลยวันนี้ จากนั้นก็ออกไปเดินที่สวนของโครงการ
เห็นโบว์เดินเล่นอยู่กับลูก พี่แอนเลยเข้าไปทักทาย แล้วตะล่อมถามว่าเคยเจออะไรแปลกๆ รึเปล่า
โบว์ก็บอกว่าไม่มี แต่จะเริ่มระแวงตอนที่พี่แอนพูดนี่ละ พี่แอนรออยู่แล้ว เรื่องอะไรจะเก็บไว้คนเดียว ก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ลงท้ายทุกคนเลยชวนกันไปถามเซลล์ที่สำนักงานขาย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้คำตอบ
แต่แม่บ้านคนหนึ่งบอกให้ลองไปถามลุงสมพงษ์ ยามกะดึกดูสิ เห็นแกบอกว่าเจอเรื่องแปลกๆ มา ๒-๓ คืนแล้ว
พอโทรไปแกดันไม่รับสาย คงนอนอยู่ พี่แอนเลยทิ้งเบอร์ไว้แล้วกลับไปรอที่บ้าน พี่โชคเสนอว่าลองทำบุญบ้านก่อนดีไหม
เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น ขืนขายตอนนี้ยุ่งยาก ขาดทุน โดนภาษีนู่นนี้นั่นอีก พี่แอนไม่ตอบ นั่งรอลุงสมพงษ์
แต่ไล่ให้พี่โชคขนหุ่นเสียๆ ทุกตัวไปทิ้ง
พี่โชคขนหุ่นขึ้นรถเสร็จ ก็ขึ้นไปบนห้องนอนสอง มองๆ ดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ชะโงกดูตรงตะแกรงเหล็ก ค่อยๆ ถอดฝาออก ปรากฏว่าได้กลิ่นเน่าน่าอ้วกโชยพรวดออกมาจากท่อน้ำทิ้ง
ซ้ำยังมีผมกระจุกใหญ่กว่าคราวแรกปนอยู่กับเศษกรวดจากงานก่อสร้าง
พี่โชคหาอะไรมาเขี่ยๆ เศษผมขึ้นมากอง ฉีดๆ น้ำทำความสะอาดเศษปฏิกูล
ก็ได้คำตอบว่าผมพวกนั้นไม่ใช่ของแฟนตัวเองแน่นอน เพราะเกือบครึ่งมันเป็นผมหงอก!
“เฮ้ย!”
พี่โชคร้อง พี่แอนได้ยินจึงถามว่ามีอะไร พี่โชครู้ว่าถ้าบอกความจริงยิ่งยาวแน่ เลยโกหกไปว่าพื้นลื่น
แกเก็บเศษผมใส่ถุงขยะ ล้างท่อน้ำ ล้างมือ ลงไปบอกให้พี่แอนกับหยีรออยู่ที่บ้าน
แล้วขับรถตรงไปที่วัดไม่ไกลจากโครงการ นิมนต์พระ ๙ รูปเพื่อทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เลือกฤกษ์เร็วสุดคือสัปดาห์หน้า
หลังกลับจากวัดเจอลุงคนหนึ่งกำลังขี่จักรยานไปที่บ้าน ทราบว่าคือลุงสมพงษ์นั่นเอง พอถึงบ้าน แกก็โดนสอบสวนทันที
พี่แอนถามว่าเจออะไรมา ลุงสมพงษ์หน้าเสียไปพักหนึ่ง อึกอักไม่ยอมเล่า จนพี่แอนต้องพูดว่าจะไม่เอาเรื่องไปบอกใคร
แกจึงยอม เพราะก่อนหน้าจะมาที่บ้าน แกโดน ผจก. โครงการสั่งห้ามพูดอะไรเด็ดขาด
ลุงสมพงษ์เล่าว่าตอนแรกแกก็ไม่รู้เรื่องหรอก สักสองสามวันก่อน ประมาณตีสอง คู่กะ (ยามคนที่พี่แอนเอาขนมให้)
บอกง่วง ตัวแกเองก็ง่วง ลุงสมพงษ์เลยอาสาปั่นจักรยานจะไปซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อ
แต่ไอ้ตอนที่จูงจักรยานออกมาจากป้อม แกเห็นผู้หญิงหลังค่อมหน่อยๆ หาบตะกร้าเดินผ่านหน้าหมู่บ้าน
ทักไม่ทัน ตอนนั้นไม่ได้กลัวนะ ตรงซุ้มโครงการไฟสว่างไง แกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่วันต่อมานี่สิ คราวนี้คู่กะคนเดิมเผลอหลับ ลุงสมพงษ์นั่งดูอะไรเรื่อยเปื่อยในมือถือ
ตาเหลือบไปเห็นคนเดินกระย่องกระแย่งอยู่ลิบๆ ในหมู่บ้าน แกก็คว้าจักรยานปั่นตามไป
ตะโกนถามว่า “ใครนะ”
คนนั้นไม่ตอบ เลี้ยวเข้าไปในซอยบ้านเฟสแรก (๑๐ หลังแรก) ลุงสมพงษ์ก็ปั่นจักรยานตามไปจนทัน
พอถึงต้นซอย เจอแต่ความว่างเปล่า ไม่มีเงา คน สัตว์ สิ่งของอยู่เลย แกกลัวมาก รีบปั่นกลับป้อม
พอตอนเช้าไปเล่าให้ป้าแม่บ้านฟัง ป้าแม่บ้านเลยบอกให้ลองไปถามคนแถวนั้นดู ก็ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่
จนมาเจอลุงแก่ๆ เป็นชาวสวน แกเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง... เรื่องของป้าถนอม ลุงคนนั้นบอกว่าก่อนหมู่บ้านจัดสรรมาเปิดหลายปี
ที่ส่วนหนึ่งของโครงการเป็นสวนของป้าถนอม อยู่มาวันหนึ่ง ป้าถนอมซึ่งมีอาชีพหาบขนมขายถูกคนเมาขับรถชนเสียชีวิต
หลังจากนั้นช่วงดึกๆ มักมีคนเห็นป้าแก่ๆ เดินกระโผลกกระเผลกอยู่ตามถนน จนชาวบ้านละแวกนั้นไม่ค่อยออกไปไหนเวลากลางคืน
พอรู้ว่ามีหมู่บ้านจัดสรรมาเปิดก็ดีใจกันมาก เพราะแถวนี้จะได้คึกคักสักที
พี่โชคได้ยินคำว่าป้าแก่ๆ ก็นึกปอยผมดำปนงอกที่เจอในท่อน้ำทิ้งขึ้นมาทันที
อะไรมันจะบังเอิญจนน่าขนลุกแบบนี้
ลุงสมพงษ์ทิ้งท้ายไว้ว่า ตอนแรกๆ แกก็ไม่เห็นอะไร เพิ่งมาเจอไม่กี่วันที่ผ่านมา
(ช่วงที่พี่แอนย้ายเข้ามาอยู่นี่ละ) หลังจากลุงยามกลับไป ทุกคนเลยมาหาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร
จะบอกว่าแปลงบ้านพี่แอน ตรงกับที่ดินเก่าของป้าถนอมมันก็ไม่น่าจะใช่
พี่โชคก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เดินออกไปดูบ้านหลังอื่นๆ ตอนนี้ ๑๐ หลังแรกมีคนจองเกือบครบแล้ว
แต่คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ยังมีเท่าเดิมคือ ๕ หลัง ๔ หลังมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือผ่านการทำบุญขึ้นบ้านใหม่แล้ว
มียันต์เจิมอยู่หน้าบ้าน มีเพียงหลังเดียวที่ยังไม่ได้ทำบุญ... หลังสุดซอย บ้านพี่แอนนั่นเอง
เป็นไปได้หรือไม่ ที่มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในบ้าน
พี่โชคตัดสินใจขับรถกลับไปที่วัด ขอเลื่อนนิมนต์เป็นอีกสามวันข้างหน้า
หลังจากนั้นก็ยกโขยงกันไปนอนที่อื่นจนถึงวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่
วันนั้นทุกคนยุ่งกันหมด พี่โชคหาโอกาสคุยกับพี่แอนว่าถ้าทำบุญบ้านแล้วยังเกิดเรื่องแปลกๆ
ก็สัญญาว่าจะขายบ้าน พิธีเริ่มในตอนเช้า มีผู้หลักผู้ใหญ่นำพระพุทธรูปเข้าบ้าน ทำบุญเลี้ยงพระ กุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
ยังพอมีโชคอยู่บ้าง หลังการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ วิญญาณที่เชื่อว่าคือป้าถนอมก็ไม่มาปรากฏให้ครอบครัวพี่แอนเห็นอีกเลย
หลายวันต่อมา ขณะที่พี่แอนกำลังปิดร้าน มีข้อความจากใครคนหนึ่งส่งมา
Winnie the Bee : ไม่ดีกว่าค่าา หนูไม่กล้าแย่งงานป้าเค้าหรอก กลัว... หน้าบึ้งเชียว ^^’
เรื่องเล่าก็มีเพียงเท่านี้
___________________
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องการทำบุญขึ้นบ้านใหญ่ ตรงส่วนนี้แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคล
นอกจากเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยแล้ว การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ยังเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฤกษ์งามยามดีเอาที่เจ้าบ้านสะดวก หรือจะเป็นมงคลฤกษ์ก็แล้วแต่บุคคล
นิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๕, ๗ หรือ ๙ รูปแล้วแต่สถานที่ จัดอาหารคาวหวานตามสมควร นิยมขนมไทย
จำพวก ทองหยิบ ทองหยอด ทองเอก ตามความเชื่อโบราณว่าจะหนุนให้เจ้าบ้านร่ำรวย
หลังประกอบพิธีกรรมทางศาสนาสมบูรณ์แล้ว ช่วงท้ายเจ้าบ้านและผู้ร่วมงานกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
ให้เจ้ากรรมนายเวรแล้ว อย่าลืมอธิษฐานปันทานให้วิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายด้วยนะครับ
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์
เรื่องจากพันทิป เรียงร้อยเรื่องเล่า ตอน บ้านช่องห้องหลอน
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป Rhythm in the Air
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
27 มี.ค. 2563
ความลับของบ้านพักหลังนั้น...
สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ได้ติดตามแท็ก เรื่องเล่าสยองขวัญ มาก็มีความรู้สึกว่าอยากจะลองเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวมาเล่าให้ทุกคนฟังบ้าง
ส่วนตัวเราไม่ได้เป็นคนมีเซนส์เห็นพวกผีอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่คนที่อยู่รอบตัวมักจะเจอและก็มีอิทธิพลถึงเราด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าขอเริ่มเล่าเรื่องนี้เลยแล้วกันค่ะ (ป.ล. เราขอสงวนไม่บอกสถานที่และชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องนะคะ เพราะอาจมีผลกระทบหลายอย่างตามมา)
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เรายังเด็ก เด็กที่ว่านี้ก็อยู่ประมาณ ป.3 ได้ พ่อเราเป็นทหารค่ะ ส่วนแม่ก็เป็นผู้ช่วยพยาบาล ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ที่บ้านพักในค่ายทหารที่พ่อเราทำงาน ลักษณะบ้านพักก็จะเป็นห้องแถว 2 ชั้นซึ่งครอบครัวเราอยู่บ้านตรงกลางก็จะอึดอัดหน่อยๆ แต่บ้านที่อยู่ริมสุดจะมีพื้นที่ข้างบ้านเยอะมาก มีทั้งบ่อน้ำและพื้นที่เอาไว้สำหรับปลูกหรือจะทำอะไรก็ได้ค่ะ ครอบครัวเรามีกัน 4 คน มีพ่อ แม่ พี่สาว แล้วก็เรา ในตอนที่เราอยู่ประมาณ ป.2 ขึ้น ป.3 บ้านริมสุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาสอบเลื่อนขั้นได้เลยได้ย้ายบ้านไปอยู่ในโซนของตำแหน่งที่เขาได้เลื่อนขั้นเป็นยศนั้นค่ะแล้วภรรยาของเขาก็เป็นพยาบาลที่ทำงานที่โรงพยาบาลที่เดียวกันกับแม่เรา ส่วนลูกๆ ของเขาก็สนิทกับเราและพี่สาวเพราะเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก ทีนี้พ่อเราเห็นว่าบ้านที่กำลังจะย้ายมีทั้งบ่อปลา ต้นมะม่วงหลายพันธุ์ ต้นกล้วยต่างๆ มากมาย แถมหลังบ้านยังมีการต่อเติมเพิ่มอีก ด้วยความที่บ้านเราและคนที่บ้านนั้นก็รู้จักมักจีกันดีพ่อเราจึงไปคุยเพื่อขอย้ายเข้าบ้านนั้นต่อค่ะ
หลังจากที่พ่อทำเรื่องต่างๆ เสร็จ บ้านเราก็ย้ายเข้าสู่บ้านนั้นด้วยความดีใจ พ่อเอาปลามาลงบ่อ และปลูกผลไม้ข้างบ้านเพิ่มแล้วก็ซ่อมแซมต่อเติมส่วนของหลังบ้านอีกนิดหน่อย แล้วแม่ก็ใช้ส่วนนั้นทำเป็นห้องเย็บผ้า (แม่เรารับจ้างตัดชุดพยาบาลเป็นอาชีพเสริมค่ะ)
ช่วงแรกๆ ของการย้ายเข้าไปอยู่ก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่เรากับพี่ชอบเจอก็คือมักมีผู้หญิงรุ่นๆ ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่บ้านเราแล้วถามหาป้าผู้หญิงที่เคยอาศัยอยู่บ้านนี้เสมอ มาแต่ละวันไม่ซ้ำหน้ากัน พอบอกว่าย้ายไปแล้วเขาก็มองหน้ากันเลิกลักแล้วก็ถามที่อยู่ใหม่ซึ่งเรากับพี่เราก็บอกให้ตลอด
เนื่องจากว่าแม่เราเป็นผู้ช่วยพยาบาลก็เลยต้องมีการเข้าเวร 3 กะ บางทีเข้ากะบ่าย บางทีเข้ากะดึก ส่วนพ่อบางทีก็ไปรับจ้างเข้าเวรในค่าย บางทีก็ไปฝึกที่ต่างจังหวัด ทำให้เรากับพี่สาวต้องอยู่ด้วยกันแค่ 2 คนบ่อยๆ (แต่ชินแล้วเพราะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก) ทีนี้หลังจากที่ย้ายเข้ามาเวลาผ่านไปเกือบปีเรากับพี่สาวมักจะเห็นอะไรแปลกๆ ในบ้านหลังนั้นค่ะ เป็นต้นว่าเราเห็นคุณตาแก่ๆ นอนมองเรากับพี่สาวเล่นอยู่บนแคร่หลังบ้านบ้าง หรือเห็นอะไรแว่บๆ ผ่านหางตาไปบ้าง แต่เรากับพี่สาวต่างก็ไม่เล่าให้กันฟัง เพราะคิดว่าตาฝาดไปเอง จนมาวันหนึ่งที่เรื่องเชิงนี้มันเริ่มชัดเจนว่าบ้านหลังนี้มันมีอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่อยากให้มี
วันนั้นเรากับพี่สาวเลิกเรียนกลับมาก็แยกย้ายกันไปทำงานบ้าน ในช่วงนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว คนที่บ้านทุกคนมักจะเข้าบ้านตรงหลังบ้าน ส่วนหน้าบ้านจะปิดไว้ และหน้าต่างหน้าบ้านก็จะปิดแง้มๆ ไว้ไม่ลงกลอนเผื่อว่าพ่อหรือแม่กลับมาตอนดึกก็จะมาเรียกตรงหน้าต่างให้เราไปเปิดประตูบ้านให้ค่ะ ในตอนนั้นเราเข้าบ้านจากทางหลังบ้านเสร็จก็เปิดไฟแค่เฉพาะโซนหลังบ้านที่ต่อเติม ไฟสมัยก่อนมีแต่เป็นหลอดกลมทังสเตนสีส้มภาพทุกอย่างที่เห็นก็จะเจือจางลงไปตามแสงไฟ เรากวาดบ้านอยู่ตรงโซนหลังบ้านที่ต่อเติมออกมาโดยที่ในบ้านยังไม่ได้เปิดไฟ แสงไฟจากหลังบ้านสาดไปถึงแค่ตรงกลางตัวบ้านซึ่งมีมูลี่ไม้ไผ่กั้นไว้ส่วนหน้าบ้านมีแสงพระอาทิตย์ช่วงโพล้เพล้สาดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้รางๆ เราเห็นว่าจานหลังบ้านยังไม่ได้ล้าง(เป็นหน้าที่ของพี่สาวเรา) จึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อตะโกนเรียกพี่ แต่ในจังหวะนั้นเราก็เหลือบไปเห็นชายแขนเสื้อสีขาวหายวูบเข้าไปหลังมูลี่ไม้ไผ่คล้ายวิ่งหลบสายตาเราเพราะกลัวจะถูกเห็น เราจึงตะโกนเรียกพี่สาวอีกครั้ง ในใจตอนนั้นคิดแต่ว่าพี่เราอู้งานอีกแล้วทำไมไม่ยอมมาช่วยกันทำงานบ้าน แต่เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงขานรับ เราคิดว่าพี่สาวเราต้องแอบนอนอยู่ในบ้านแน่ๆ จึงเดินอ้อมไปด้านหน้าบ้านเพื่อเปิดหน้าต่างที่แง้มไว้ดูจากด้านนอก เราพยายามหรี่ตามองเพราะในบ้านค่อนข้างมืดมีแต่แสงสลัวจากไฟสีส้มหลังบ้านสาดเข้ามาจางๆ เท่านั้น ในขณะที่กำลังโมโหพี่สาวที่เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมออกมาก็ได้ยินเสียงเด็กเล็กร้องไห้ดังแว่วเข้ามา “อุแว้” เรามองซ้ายขวาหาที่มาของเสียง ไม่นานนักก็มีเสียงทักมาจากข้างหลังว่า “ทำอะไรอยู่น่ะ” ใช่ค่ะเป็นเสียงพี่สาวเรา เราหันกลับไปด้วยความประหลาดใจแล้วพบว่าพี่สาวเราเดินมาจากถนนหน้าบ้านพร้อมถุงกับข้าวในมือ
เรา : ไป...ไปไหนมา
พี่สาว : ไปตลาดมา ไปซื้อกับข้าวมาให้กิน
พี่สาวตอบเราพร้อมกับชูถุงกับข้าวในมือให้ดู เราเริ่มหน้าซีดแล้วหันกลับไปมองในบ้านผ่านช่องหน้าต่างอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ความมืดนั้นทำให้เราเข่าอ่อน บรรยากาศสลัวในบ้านชวนขนลุกขึ้นมากระทันหัน
เราถามย้ำพี่สาวอีกทีว่าไปนานแล้วเหรอ พี่เราก็บอกว่าใช่ไปตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเลยยังไม่ได้ล้างจาน ซึ่งบ้านเรากับตลาดอยู่ห่างกันหลายซอยถ้าเดินไปก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ แล้วกว่าจะเลือกซื้อกับข้าวอีก แน่นอนว่าไอ้คนที่อยู่ในบ้านมันไม่มีทางเป็นพี่สาวเราแน่ๆ เราเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟังแล้วก็พากันไปเปิดไฟในบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ คืนนั้นไม่มีใครกล้านอนเลยค่ะ รอจนแม่กลับมาช่วงเที่ยงคืนครึ่งถึงได้เข้านอนกัน เราเล่าให้แม่ฟังแม่ก็ว่าตาฝาดไปเอง หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของทุกคน แต่มันเริ่มมาพีคขึ้นเรื่อยๆ เอาก็ตอนที่พี่สาวเราอยู่ ม.3 แล้วเราก็อยู่ ม.1 ค่ะ
ในช่วงนั้นพี่สาวเรากำลังจะขึ้น ม.4 เลยอ่านหนังสือดึกและเรียนหนักเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสอบเข้า ม.4 ส่วนเราก็หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรกคือการวาดรูป วาดแต่ละครั้งเหมือนลืมโลกลืมดูเวลาไปจนกระทั่งวันหนึ่งเราก็ได้เจอกับสิ่งที่ทุกคนในบ้านไม่อยากพูดถึง...
ในขณะที่เรากำลังวาดรูปอยู่ เราเหลือบไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาประมาณตี 1 กว่าแล้ว จะนอนก็ไม่อยากนอนเพราะรู้สึกว่าอยากวาดรูปนี้ให้เสร็จแล้วถึงจะนอนหลับได้ แต่ในขณะที่เรากำลังจะจรดดินสอลงบนกระดาษเราก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ เป็นเสียงเด็กทารกแรกเกิดร้องไห้จ้าดังแผ่วๆ มาตามสายลม ทีแรกเราก็คิดว่าคงเป็นลูกของคนซอยถัดไป เพราะในซอยบ้านเราไม่มีบ้านไหนที่มีเด็กน้อยอยู่สักหลัง เราได้ยินจนรู้สึกรำคาญเลยเปิดเพลงเสียบหูฟังก็พอกลบเสียงเด็กร้องไปได้
ปึง! ปึง!
เราสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงดังเกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังจดจ่ออยู่กับการวาดรูป เหมือนมีคนมาทุบข้างฝาบ้านตรงบริเวณใกล้กันกับที่เรานั่ง เสียงมันดังขนาดที่ว่าเราฟังเพลงอยู่ยังได้ยิน เราดึงหูฟังออกแล้วมองไปที่ฝาบ้าน ทุกอย่างเงียบสนิท หันไปมองพ่อและพี่สาวที่กำลังนอนกันอยู่ดูแล้วทุกคนก็นอนหลับสนิทอ้าปากหวอไม่มีทีท่าว่าจะมีใครลุกขึ้นมาแกล้งเราเลยสักคน แต่ยังมีแม่เราที่ยังคงเย็บผ้าอยู่ที่หลังบ้าน เรารีบวิ่งไปหาแม่ที่กำลังนั่งสอยผ้า แม่ก็แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเราไปหากลางดึกเช่นนั้น
“อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอ” แม่เราถามไปพลางนั่งสอยผ้าไปพลาง
“ยัง” เราตอบเสียงสั่น “เมื่อกี้แม่ได้ทำอะไรตก หรือได้ยินเสียงดังบ้างไหม” เราถามแม่เพื่อความแน่ใจ
แม่ขมวดคิ้วสงสัยกับคำถามของเรา แต่ก็ตอบเราแค่ว่า “เปล่านี่ แม่ก็นั่งสอยผ้าอยู่ตรงนี้ไม่เห็นมีอะไร”
“หนูได้ยินเสียงเด็กร้อง”
สิ้นคำบอกเล่าของเราแม่ก็จ้องหน้าเราแล้วไม่พูดอะไร เราไม่สักแม่ต่อ เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลนี้เลยขอนอนกับแม่ที่หลังบ้าน จนแม่เลิกเย็บผ้านั่นแหละถึงได้กลับไปนอนในบ้านด้วยกัน
เช้าวันต่อมาเราเห็นแม่นั่งยองๆ อยู่ตรงโคนต้นมะม่วงแล้วก็พึมพัมๆ พูดบางอย่าง ไม่นานนักพ่อเราก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาแล้วพ่อกับแม่ก็คุยกัน
พ่อ : ทำอะไรน่ะ?
แม่ : เมื่อคืนลูกได้ยินเสียงเด็กร้อง เลยบอกกล่าวเขาสักหน่อยว่าเด็กมันกลัว อย่ามาอีก
พ่อ : ไม่เอาน่า ลูกๆ มันจะกลัวกันเปล่าๆ อย่าทำให้ลูกเห็น
แม่ : ฉันก็ได้ยินเกือบทุกคืน
แม่เราที่มักได้เข้าเวรบ่ายจะกลับมาถึงบ้านในช่วงประมาณเที่ยงคืนกว่า แล้วหลังจากนั้นแม่ก็จะเย็บผ้าต่อจนถึงตี 2 ตี 3 แล้วค่อยนอน ในช่วงเวลาเช่นนั้นก็มักจะมีเรื่องประหลาดมาให้แม่ได้ยินได้เห็นอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะเสียงเด็กร้องที่ไม่ได้มีแค่ 1 แต่เป็นเสียงเด็กหลายคนมาร้องไห้ให้ได้ยินแทบทุกคืน แต่เพราะว่าแม่ทำงานในโรงพยาบาล พบเห็นเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตายจนชินแม่เลยไม่ค่อยกลัวเรื่องพวกนี้ จะรังควานก็รังควานไปซิแต่เรื่องปากท้องสำคัญกว่าจึงนั่งเย็บผ้าต่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งลี้ลับพวกนี้เลยทำอะไรแม่ไม่ค่อยได้
แม่ : ฉันไปไล่ถามทุกคนในซอยถัดไปมาหมดแล้วนะ ไม่มีบ้านไหนที่มีเด็กแรกเกิดเลย แล้วที่ได้ยินมันก็ไม่ใช่แค่เด็กร้องไห้ บางคืนที่เผลองีบหลับก็เป็นเสียงเด็กหลายๆ คนหัวเราะเหมือนกำลังเล่นกัน อยู่รอบๆ ตัว ลำพังแค่ฉันโดนน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ลูกมันได้ยินมันโดนกันนี่ซิจะไม่ได้หลับได้นอนพลอยไม่สบายเดี๋ยวก็เสียการเรียนกันพอดี เลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ทำบุญบ้านกันดีไหม?
แม่เราเคร่งครัดเรื่องการเรียนของลูกๆ มาก ขนาดที่ว่าไม่สบายพาไปโรงพยาบาลเสร็จก็ยังพาไปส่งโรงเรียนต่อ แกคงกลัวว่าเรากับพี่สาวจะเจอผีจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนส่งผลต่อสุขภาพแล้วสุดท้ายก็มีผลเสียกับการเรียนเลยไปจุดธูปบอกกล่าวกับอะไรก็แล้วแต่ที่พวกเรายังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เนื่องจากเวลานั้นฐานะทางบ้านเราไม่ค่อยดีเท่าไรเลยต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด พ่อกับแม่เราต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานเสริมเพื่อเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมของเรากับพี่สาว การที่ต้องเอาเงินมาใช้จ่ายให้กับสิ่งที่มองไม่เห็นหรือความเชื่อเช่นนี้ทำให้พ่อเราคิดหนัดพอสมควร พ่อได้แต่มองแม่อยู่พักหนึ่งรู้ได้เลยว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก แต่สุดท้ายพ่อก็บอกแค่ว่า
พ่อ : “เอาไว้ก่อน”
พูดเสร็จแม่ก็หันไปปักธูปตรงโคนต้นมะม่วงแล้วเดินเข้าบ้าน...
และแล้วช่วงสอบปลายภาคก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พี่สาวเราอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเพราะเหตุผลที่ว่าหากผลการเรียนเฉลี่ยของม.ต้นทั้งหมดผ่านเกณฑ์ก็จะได้เรียนม.ปลายสายวิทย์โดยไม่ต้องสอบ ในช่วงนั้นเราจำได้ดีว่าเวลาในการดำเนินชีวิตของพี่สาวเราค่อนข้างผิดเพี้ยน หลังเลิกเรียนก็จะรีบกลับบ้านมานอนก่อนเลยแล้วค่อยตื่นมาตอนตี1 - ตี2 เพื่ออาบน้ำทำการบ้านแล้วก็อ่านหนังสืออ้างว่าเงียบดี
ต้องขอบอกก่อนว่าปกติแล้วเรา 4 คนพ่อ แม่ ลูกจะนอนกันชั้นล่างของบ้านเพราะติดแอร์ แต่ในช่วงนั้นแอร์พังแล้วอากาศค่อนข้างร้อนแถมยังเจอฤทธิ์ตะขาบบุกบ้านเลยย้ายขึ้นไปนอนกันที่ชั้น 2 ซึ่งมีอยู่ 2 ห้องนอน ห้องทั้งสองไม่มีประตูมีแค่ผนังเบากั้นให้เป็นสัดส่วน ในตอนนั้นพี่เราต้องการความเงียบสงบเลยใช้ห้องชั้นสองทางฝั่งด้านหน้าบ้านไว้สำหรับนอนและอ่านหนังสือ แต่พี่สาวเราไม่ยอมอยู่ห้องนั้นคนเดียวเลยลากเราให้ไปนอนด้วยอ้างว่ามีเราแล้วอุ่นใจ ด้วยความที่เริ่มโตเป็นสาวกันทั้งคู่เลยอยากมีห้องส่วนตัวในฝันเราเลยตกลง แล้วเรากับพี่ก็ช่วยกันจัดห้องให้น่าอยู่ตามสไตล์ผู้หญิง แล้วก็แยกเตียงนอนกับโต๊ะเขียนหนังสือของใครของมัน ส่วนพ่อกับแม่ก็นอนอีกห้องหนึ่งไป แรกๆ ก็นอนกันดีชีวิตไม่มีปัญหา แต่พักหลังๆ เราเห็นพี่เราสวดคาถาชินบัญชรอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะช่วงกลางดึกที่ตื่นมาอ่านหนังสือ เราก็ไม่ได้ติดใจอะไรคิดแค่ว่าพี่เราคงสวดมนต์เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจให้เรื่องเรียนผ่านฉลุยแค่นั้น แต่ความจริงไม่ใช่เลย...
คืนนั้นเราก็เข้านอนตามเวลาปกติ ส่วนพี่สาวเราก็ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือกลางดึกตอนตี 2 เช่นเคย ไอ้เราน่ะก็นอนหลับไม่รู้เรื่องไปถึงไหนต่อไหน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งปลุกเราให้ตื่น
ตึง ๆๆๆๆๆ
เป็นเสียงฝีเท้าวิ่งจากห้องเราไปห้องที่พ่อกับแม่นอนอยู่ เราตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ห้องทั้งห้องมืดสลัวมีเพียงแสงไฟข้างถนนส่องเข้ามาในห้องเราเท่านั้น แปลกที่จู่ๆ เราก็รับรู้ได้ถึงความวังเวงที่เกิดขึ้น ทั้งที่เราก็เผชิญกับความมืดของห้องนั้นอยู่ทุกวันแต่วันนั้นเรารู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยชนิดที่ทำให้ขนลุกไปทั่วทั้งตัว มีบางอย่างแปลกไปโดยเฉพาะตรงเตียงของพี่สาวและโต๊ะเขียนหนังสือ เรามองหาพี่สาวก็พบว่าไม่อยู่ในห้องนี้แล้ว แต่ได้ยินเสียงพ่อกับแม่ดังมาจากห้องข้างๆ
พ่อ : “เป็นอะไรลูก”
พี่สาว : “หนูขอนอนด้วย”
ตอนนั้นเรายังไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะให้เรานอนคนเดียวในห้องนั้นเราไม่เอาแน่ๆ เลยรีบหอบผ้าห่มไปนอนเบียดกับพ่อแม่แล้วก็พี่สาวด้วยเช่นเดียวกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะนั่งรถไปเรียน เราสังเกตเห็นท่าทีอิดโรยของพี่สาว เราไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนว่าพี่เราดูโทรมและผอมลงถนัดตา ตอนแรกเราคิดว่าอาจจะเครียดเพราะเรื่องการเรียน แต่จากเหตุการณ์เมื่อคืนคงไม่ใช่อย่างที่เราคิดอีกต่อไป เมื่อมีโอกาสจึงได้ถามพี่สาวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เรา : ช่วงนี้โทรมนะ อย่าหักโหมดิ เดี๋ยวก็ล้มก่อนได้เข้าม.ปลายหรอก
พี่สาวหันมามองหน้าเราเหมือนต้องการจะบอกอะไร แต่แล้วก็ไม่ยอมปริปากพูดอีกตามเคย
เรา : เมื่อคืนเป็นอะไร ทำไมทิ้งให้หนูนอนคนเดียวไม่เห็นปลุกเลย หนูกลัวนะ
พี่สาว : ฮึ...เรียกตั้งหลายรอบแล้วไม่ยอมตื่น
เราขมวดคิ้วมุ่น สงสัยในสิ่งที่พี่สาวบอก ปกติเราก็ไม่ใช่คนนอนขี้เซา ออกจะเป็นพวกตื่นง่ายด้วยซ้ำแค่เสียงก๊อกแก๊กดังเราก็ตื่นแล้ว
เรา : ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย เรียกจริงๆ เหรอ ?
พี่สาวหันมามองหน้าเราอีกครั้ง คราวนี้น้ำตาคลอเต็มหน่วยเลย เราเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงตะล่อมถามอีกครั้ง
เรา : มีอะไรก็เล่าให้ฟังได้นะ
พี่สาว : เมื่อคืน...เมื่อคืน...พี่ไม่ได้สวดชินบัญชร พวกมันก็เลยมา...
ความเครียดสะสมปะปนกับความหวาดกลัวทำให้พี่สาวเราถึงขีดสุด สุดท้ายก็ร้องไห้โฮจนเนื้อตัวสั่น
เรา : อะไร...มา...
พี่สาว : เสียงเด็กร้องไห้...
ได้ยินถึงตรงนี้ขนสันหลังเราลุกซู่ นั่นคงจะเป็น...เสียงเด็กร้องไห้แบบเดียวกันกับที่เราและแม่เคยได้ยิน...
พี่สาว : ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มีหลายคน ร้องไห้จ้า ตอนแรกได้ยินแผ่วๆ แต่เมื่อคืนร้องอยู่ข้างหูเลย
เป็นเพราะเสียงที่ได้ยินอยู่ใกล้ตัวมากซึ่งมันผิดปกติ ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้นอกจากสิ่งเร้นลับ พี่เราจึงกระโจนไปนอนบนเตียงของตัวเองแล้วพยายามหลับ แต่...
พี่สาว : พี่โดนผีอำ พยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด พอลืมตาได้ก็ว่าจะหันไปเรียกหนูแต่เจออย่างอื่นแทน
อย่างอื่นที่ว่าคือเด็กผู้ชายใส่ชุดลูกเสือนั่งอยู่ตรงข้างหัวพี่สาวเราก้มหน้าลงมายิ้มให้...แน่นอนว่าความกลัวนั้นผลักดันให้พี่สาวเราตะโกนเรียกเราซึ่งนอนอยู่เตียงข้างๆ แต่ไม่ว่าจะเรียกสักกี่ครั้งเราก็ไม่ตื่นขึ้นมา กระทั่งสายตาของพี่เราเหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างตรงโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเองซึ่งอยู่ตรงปลายเตียงที่ทำให้หัวใจเกือบหยุดเต้น แสงสว่างภายนอกที่สาดสลัวทำให้เห็นเงาของใครบางคนที่พยายามยืนซ่อนอยู่ในความมืด หากแต่ชายกระโปรงสีขาวมอซอปลิวไสวไม่อาจปกปิดได้มิด และนั่นก็เป็นส่วนที่ทำให้พี่สาวเราอดไล่มองรายละเอียดอย่างช่วยไม่ได้ จากเท้าที่เปรอะเปื้อนขึ้นไปถึงช่วงลำตัวแน่ใจมากว่าผู้หญิงคนนั้น...ไม่ใช่ซิ วิญญาณตนนั้นเป็นผู้หญิงท้องใส่ชุดคลุมท้องแขนสั้นสีขาว เงาดำที่พาดผ่านช่วงลำตัวแม้จะเห็นไม่ชัดแต่พี่สาวมั่นใจมากว่ามันคือคราบเลือดเกรอะกรัง โชคดีเพียงอย่างเดียวของพี่สาวก็คือผมเผ้าของวิญญาณหญิงตนนั้นยาวชี้ฟูปรกหน้าเอาไว้ทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดนัก ในขณะเดียวกันเสียงเด็กร้องไห้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะดังก้องเข้ามาในโสตประสาททวีความผวาจนพี่สาวแทบจะเป็นบ้า!
พี่สาว : พอดิ้นหลุดพี่ก็หนีออกมาเลย ไปนอนกับพ่อกับแม่ ขอโทษนะ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่พี่สาวไม่เรียกเราเพราะเจอเหตุการณ์อันน่ากลัวนี้ เราไม่โกรธพี่เลย แถมเรื่องที่พี่เล่ายังช่วยตอกย้ำความรู้สึกที่มีต่อคืนนั้น ถึงเราจะไม่เห็นแต่เราก็รับรู้ได้ถึงความน่าสะพรึงนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเอะใจก็คือสีชุด นั่นจะใช้เจ้าของชายแขนเสื้อสีขาวที่เราเคยเห็นกันก่อนหน้านี้หรือเปล่า? แน่นอนว่าเราไม่รู้แต่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่ไม่ใช่หรือ
หลังจากเลิกเรียนพี่เราก็ขอพ่อกับแม่ไปนอนที่บ้านเพื่อนโดยอ้างว่าไปติวหนังสือแล้วให้เราหอบเสื้อผ้าไปส่งโดยพูดทิ้งท้ายราวกับเป็นประโยคสั่งเสีย
“สวดชินบัญชรนะหนู คุณพระคุณเจ้าจะได้คุ้มครอง”
ผ่านไปเกือบเดือน ในที่สุดก็จบฤดูกาลสอบปลายภาค พี่สาวเราต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านตามเดิมอย่างช่วยไม่ได้เพราะพ่อกับแม่เริ่มไม่อนุญาตให้ไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นแล้ว ในช่วงนั้นพี่ก็สอนให้เราสวดคาถาชินบัญชรก่อนนอนทุกคืน เราก็สวดได้บ้างไม่ได้บ้างก็แอบลักไก่สวดแค่บทง่ายๆ อย่างอิติปิโสพอ ดูเหมือนว่าพี่สาวจะเล่าเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ฟังไปแล้วแต่พวกท่านก็ยังไม่ได้คิดทำการสิ่งใด แต่พี่สาวที่ยังหวาดหวั่นกับเหตุการณ์ในคืนนั้นรู้สึกไม่ค่อยปลื้มเท่าไรกับการนอนที่บ้านจึงชวนเราไปเที่ยวเล่นและค้างที่บ้านปู่กับย่าแทน หรือไม่ก็หาทางขออนุญาตไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนแทนที่จะอยู่บ้าน ในช่วงปิดเทอมเราอยู่กันอย่างหวาดระแวง สำหรับเด็กอย่างเรานั้นก็คิดว่าพวกผู้ใหญ่คงไม่จัดการอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะคิดว่าไร้สาระซึ่งเรากับพี่ก็แอบกังวลและน้อยใจอยู่เหมือนกัน แต่ใครจะรู้ว่าแม่แอบดำเนินการอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ โดยที่พวกเราไม่รู้ จนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ กระทั่งคืนหนึ่งก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีกจนได้
วันหนึ่งในช่วงปิดเทอม พ่อเราเอาทหารที่เป็นช่างไฟฟ้ามาช่วยดูอาการแอร์ที่เสียอยู่ แต่ก็ยังซ่อมไม่ได้เพราะต้องไปหาอะไหล่มาก่อน สรุปวันนั้นแอร์ที่ชั้นล่างก็ยังใช้ไม่ได้ทุกคนจึงยังต้องขึ้นไปนอนเบียดที่ห้องพ่อกับแม่เหมือนเดิม แต่อาจเป็นเพราะวันนั้นพ่อค่อนข้างใช้แรงเยอะ ทั้งซ่อมแอร์ ทั้งขุดลอกสระน้ำ แกเลยเพลียรีบอาบน้ำกินข้าวแต่หัวค่ำแล้วปลีกตัวไปนอนก่อนคนเดียว ส่วนพวกเราอีก 3 คนที่เหลือก็ยังนั่งดูทีวีกันอยู่ข้างล่าง โดยที่เรานั่งวาดรูปอยู่ตรงโต๊ะญี่ปุ่นใต้บันไดที่ไว้ใช้ขึ้นไปชั้น 2
จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสามทุ่ม พี่สาวกับแม่เรานั่งดูละครกันอยู่ ส่วนเราก็นั่งวาดรูปไปพลางเสียบหูฟังเพลงไปพลาง แต่แล้วจู่ๆ ทุกคนที่อยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงหนึ่งพร้อมกัน
ตึงๆๆๆๆ โครม!
เราที่กำลังใส่หูฟังเพลงยังได้ยินเสียงพ่อวิ่งลงบันไดมาได้แค่ครึ่งทางแต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นระยะทางที่ไกลมากพ่อจึงกระโดดลงแทนที่จะเดินลงมาตามปกติ
ทุกคนจ้องไปที่พ่อซึ่งกำลังทรงตัวไม่ให้ล้ม พ่อหน้าตาตื่นเหงื่อแตกจนหัวเปียกหอบหายใจฮัก พอแกรวบรวมสติได้ก็เดินไปหลังบ้านทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานนักก็เรียกแม่ออกไป เรากับพี่เลยไปแอบฟังพ่อกับแม่คุยกัน
พ่อ : ไปเอาธูปมาให้หน่อย
แม่ : ทำไม? เป็นอะไร?
พ่อ : โดนผีอำ
สีหน้าของพ่อคร่ำเครียดขึ้นถนัดตา แม่จึงถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พ่อเล่าว่าในช่วงที่กำลังเคลิ้มหลับด้วยความอ่อนเพลีย ก็มีเสียงเด็กทารกร้องไห้ลอยมาตามลมเข้าทางหน้าต่างตรงหัวเตียง ตอนแรกก็มีเพียงคนเดียว ไม่นานนักเสียงร้องไห้นั้นกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเหมือนมีเด็ก 5-6 คนร้องไห้จ้าพร้อมๆ กันซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับตอนที่แม่ เรา และพี่สาวเจอ พ่อไม่คิดว่าเรื่องเล่าจากคนในบ้านจะเป็นจริง ที่สุดแล้วก็ได้เจอกับตัว ในตอนนั้นพ่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็พบว่ามีเพียงเปลือกตาเท่านั้นที่เปิดออก ตื่นมาเพื่อพบว่าร่างกายตัวเองยังนอนอยู่ในท่าเดิมทั้งที่ออกแรงขนาดนั้น ทันใดนั้นเสียงเด็กร้องไห้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างสะใจ
พ่อ : ออกไป! อย่าเข้ามา!
เป็นประโยคที่ทำได้แค่คิดเพราะแค่เปิดปากก็ยังทำไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณเด็กเหล่านั้นจะรับรู้จึงปรากฎกายเป็นร่างทารกน้อยแห้งกรังดำทมึนหน้าตาโกรธแค้นออกมาจากเงามืดตรงมุมห้องกว่า 10 คนพุ่งตรงเข้ามาที่ร่างของพ่อซึ่งนอนแข็งทื่อไม่อาจขยับตัวได้ บางตนคลานไต่มาตามขาแล้วเกาะอยู่ตรงนั้น บางพวกก็มารุมจับแขนเอาไว้ไม่ให้ขยับได้ แล้วก็มีอีกตัวหนึ่งที่นั่งทับตรงหัวของพ่อเอาไว้ ส่วนพวกที่เหลือก็มารุมกระหน่ำใช้มือน้อยๆ นั้นหยิกไปตามเนื้อตัว เห็นเป็นผีเด็กอย่างนั้นแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้พ่อไม่น้อยบวกกับความกลัวที่เพิ่มขึ้นเป็นทบทวี อย่างที่ได้ยินมาพอเวลาจิตตกก็ยิ่งถูกวิญญาณเหล่านี้ครอบงำได้ง่าย ทว่าพ่อดิ้นหลุดเพราะนึกถึงพระเกจิที่ตนนับถือ สบโอกาสจึงรีบลุกลงจากเตียงแล้วก็กระโดดจากบันไดขั้นแรกลงมาข้างล่างในทันที ก็ไม่แปลกใจถ้าพ่อจะโดดลงมาเช่นนั้น เรียกได้ว่าพ่อเจอหนักที่สุดในบ้านแล้ว
พ่อ : ไม่ไหวแล้วถ้าจะมาขนาดนี้
พูดเสร็จพ่อก็รับธูปจากแม่แล้วพูดพึมพัมๆ อยู่ตรงหน้าต้นมะม่วงต้นใหญ่ข้างหลังบ้านเพื่อบอกกล่าวความในใจให้เจ้าที่และสิ่งเร้นลับได้รับรู้โดยมีแม่ยืนอยู่ข้างๆ
ในตอนนั้นดูเหมือนแม่กำลังชั่งใจอยู่กับสิ่งที่ได้รู้มา ลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่ในเมื่อพ่อโดนหนักขนาดนั้นจึงต้องเล่าให้พ่อฟังเพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาบ้าบอนี้ให้ได้เสียที
แม่ : คนที่ซอยนู้นบอกฉันมาว่าพี่ xx เขารับทำแท้ง
พี่ xx ที่ว่าก็คือเมียเจ้าของบ้านคนเก่า พ่อมองหน้าแม่ด้วยสีหน้าประหลาดใจในตอนแรกแต่แล้วก็กลับมาขรึมตามเดิมเพราะเมื่อลองได้ตรองดูแล้วก็มีความเป็นไปได้ เนื่องจากเมียเจ้าของบ้านคนเก่าทำงานอยู่ในโรงพยาบาล เรื่องพวกนี้ก็ดูไม่ไกลตัวเท่าไรนัก
แม่ : พวกที่โรงพยาบาลก็แอบมากระซิบบอกฉันเหมือนกัน
แม่เสริมหลักฐานจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ ที่โรงพยาบาลว่าข้อมูลเหล่านี้อาจจะเป็นจริง
ในสมัยนั้นการป้องกันการมีบุตรไม่ได้มีทางเลือกมากเท่าปัจจุบัน และถึงมีก็ไม่ได้รับความนิยมในหมู่คู่ชายหญิงที่อยู่กันก่อนแต่ง หรือพวกทำผิดศีลธรรมแอบลักลอบมีชู้โดยที่ชู้คู่นั้นบ้านก็อยู่ห่างกันไม่กี่หลัง ดังนั้นเมื่อพลาดท้องขึ้นมาทางเลือกของพวกเขาคือเอาเด็กออกเพื่อรักษาหน้าตัวเองไว้อย่างเห็นแก่ตัวโดยไม่ได้คำนึงถึงหนึ่งชีวิตที่พวกเขาต้องปลิดทิ้ง
พ่อนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งหลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ทำไมถึงมีแต่หญิงสาวมากหน้าหลายตามาถามหาพี่ xx ซึ่งเป็นเมียเจ้าของบ้านคนเก่า ในตอนนี้ก็พอจะได้คำตอบแล้ว ประกอบกับได้ฟังเรื่องนี้มาบ้างจากลูกน้องคนสนิทด้วยเช่นกัน นอกจากจะมีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับเรื่องการรับจ้างทำแท้งแล้ว ก็ยังมีเรื่องเล่าของผู้หญิงท้องที่ใส่ชุดคลุมสีขาวซึ่งตายไปเพราะทำแท้งตอนที่เด็กโตแล้วและดันตรงกับที่พี่สาวเราเจอ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้พ่อได้รู้แล้วว่าที่ทุกคนในบ้านเล่าให้ฟังไม่ใช่เรื่องไร้สาระอีกต่อไปในเมื่อโดนหลอกหลอนกันจนจะอยู่ไม่ได้แบบนี้
แม่ : ทำบุญกันเถอะ
พ่อ : เธอก็ทำอยู่ทุกวันไม่ได้อุทิศไปให้พวกนี้เหรอ
ใช่แล้ว ขนาดว่าแม่เราใส่บาตรเกือบทุกวัน อุทิศให้ทีก็หายไปทีหนึ่ง แล้วก็กลับมาใหม่เป็นอย่างนี้เสมอ
แม่ : ฉันหมายถึงทำบุญบ้าน อย่างน้อยๆ ก็ให้บุญพวกเขา จะได้บอกกล่าวด้วยว่าเราเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ ไม่ใช่คนเก่าที่ทำร้ายพวกเขา
ดูเหมือนว่าความคิดนี้จะเข้าไปสะกิดใจพ่ออยู่ไม่น้อย บางทีวิญญาณเด็กเหล่านั้นเขาอาจจะคิดว่าพวกเราคือเจ้าของบ้านคนเก่าก็เป็นได้ ส่วนคืนนั้นพวกเราก็ขึ้นไปนอนรวมกันแต่ไม่มีใครหลับสนิทเลยสักคน
เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อและแม่ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปติดต่อเรื่องนิมนต์พระมาทำบุญบ้านครั้งใหญ่ สักสายๆ พ่อก็กลับมาทำความสะอาดบ้านยกใหญ่โดยมีแม่ เราและพี่สาวช่วยกันเก็บกวาด เรียกได้ว่าสังคยานากันเลยดีกว่า แม้แต่สวนข้างบ้านพ่อเราก็ไปถางแล้วเผาเศษใบไม้ แต่ในขณะที่กำลังฟันแปลงต้นกล้วยแล้วเก็บเศษเหล่านั้นไปทิ้งพ่อก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อไปพบอะไรบางอย่างที่ฝังอยู่ในดิน
มีเศษผ้าสีขาวเกรอะกรังโผล่พ้นดินที่ถางไว้ขึ้นมา พ่อเอาจอบเขี่ยแล้วดึงเพื่อจะเอาไปเผาด้วยแต่...กลับไม่ได้มีเพียงผ้า ทว่ามีก้อนเนื้อแห้งๆ ขนาดเล็กถูกห่ออยู่ในนั้น พ่อขนลุกเกลียว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของบ้านผู้หญิงคนเก่าเอาศพเด็กไปทิ้งไว้ที่ไหน ชีวิตหนึ่งชีวิตถูกกำจัดทิ้งอย่างไร้ค่า เอาพวกเขามาฝังดินข้างบ้านโดยไม่มีการทำพิธีใดๆ ราวกับเขาไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
พ่อไม่ได้รู้สึกกลัวอีกแล้ว แต่กลับสงสารพวกเขามากกว่า พ่อยืนน้ำตาซึมอยู่พักใหญ่หลังจากนั้นก็ไปเกณฑ์พลทหารมาช่วยกันถางข้างบ้านโดยเฉพาะตรงดงกล้วยเจออะไรก็เผาไปพร้อมกับกองหญ้ากองใบไม้โดยที่สุดท้ายก็ยืนพนมมืออุทิศส่วนกุศลให้เด็กน้อยเหล่านั้นก่อนจะถึงวันงานบุญใหญ่ที่แท้จริง
หลังจากนั้นไม่กี่วันที่บ้านเราก็ได้นิมนต์พระมา 9 รูปเพื่อทำพิธีสงฆ์ เรา แม่ และพี่สาวช่วยกันตระเตรียมอาหารและชุดสังฆทาน ทั้งที่วุ่นวายกันตั้งแต่เช้าแต่พวกเรากลับรู้สึกสดชื่นอย่างไม่เคยเป็น เพื่อนบ้านก็มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ บรรยากาศในงานก็ดูสว่างกระจ่าง ทุกอย่างดูดีไปหมด และในช่วงของการกรวดน้ำเราคิดว่าทุกคนคงอุทิศไปให้ดวงวิญญาณเด็กน้อยเหล่านั้นรวมถึงวิญญาณหญิงท้องปริศนากับเด็กชายในชุดลูกเสือที่เราไม่รู้ที่มาที่ไป จะอย่างไรเสียทุกคนในบ้านต่างก็ยินดีที่จะยกบุญเหล่านั้นให้อย่างเต็มใจ และเราก็คิดว่าทุกคนที่มาร่วมงานบางคนก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเจ้าของบ้านคนเก่าหรือบางคนก็อาจจะไม่รู้แต่มาช่วยด้วยน้ำใจ และในที่สุดการทำบุญบ้านในรอบ 6 ปีผ่านไปอย่างราบรื่น
พวกเราคิดว่าวิญญาณเหล่านั้นคงได้รับผลบุญไม่มากก็น้อยเพราะตั้งแต่ทำบุญบ้านจบไปทุกคนก็ไม่เคยเจออะไรอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับคนในบ้านมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวที่ได้เข้าเรียนในสายที่ต้องการโดยที่ไม่ต้องสอบ ส่วนพ่อของเราก็สอบติดได้เลื่อนขั้นเป็นทหารชั้นสัญญาบัตรทำให้ชีวิตหลังจากนั้นของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปมากซึ่งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกเราได้ย้ายบ้านอีกครั้งเพื่อเข้าไปอยู่ในโซนยศทหารชั้นนายร้อย เป็นบ้านที่ดีกว่า ใหญ่กว่า และเพียบพร้อมกว่า ส่วนเจ้าของบ้านหลังเก่านั้นพวกเราขอละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ด้วยมารยาทแล้วพวกเราก็ยังมีติดต่อกันบ้างแต่ก็น้อยลงชนิดที่นานทีปีหนถึงเจอกัน พวกเราไม่สามารถเอาผิดอะไรเขาได้ ในแง่หนึ่งก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เราเชื่อว่าต่างคนต่างมีวาระกรรมเป็นของตัวเอง สักวันหนึ่งคนเหล่านั้นก็ต้องได้รับกรรมที่ตนก่อไม่ช้าก็เร็ว
จบ
ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ โปรดใช้วิจารญาณในการอ่านค่ะ
เรื่องจากพันทิป ความลับของบ้านพักหลังนั้น...
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3273123
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
หนุ่มหาของป่าผจญอาถรรพ์ปางไม้เถื่อน
สวัสดีครับ ผมมีเรื่องเล่า อยากจะเเชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องลึกลับ อาถรรพ์ในป่า
ผมเป็นคนจังหวัดพะเยา บ้านเกิดที่ตั้งอยู่รอยต่อของอำเภอจุนกับอำเภอปง พื้นราบถัดไปก็เข้าเขตภูเขา ที่เป็นที่ตั้งหมู่บ้านของพวกชาวเขาเผ่าเย้า
สมัยยังเป็นวัยรุ่น ผมเป็นพรานหาของป่า ชื่อว่าพรานไม่ดุร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพราะผมคือพรานเห็ด แฮะๆ เห็ดราคาดีนะ ครับ ช่วงหลังฝนตก อากาศชุ่มชื่น พอเหมาะ ชาวบ้านจะนิยมไปหาของป่ามาขาย ผมก็คนหนึ่งในนั้น
ถ้าใครสามารถเก็บเห็ดป่า ช่วงที่มันพึ่งออกกลางคืน ดอกจะตูม เอามาทำกินไม่ว่า ต้ม ผัด แกง นึ่ง จะกรอบดี หมายถึง เคี้ยวกรุบ เคี้ยวแล้วไม่รู้สึกว่ามันเฟะทั้งเหนี่ยวเหมือนดอกเห็ดที่บาน
เห็ดที่ราคาดีก็มีเห็ดโคน เห็ดระโงก เห็ดหล่ม ส่วนเห็ดแดง เห็ดขมิ้น เห็ดถ่านใหญ่ จำพวกนี้ราคาจะลดหลั่นลงไป ส่วนใหญ่จะหากันในป่าชุมชน แต่กับผมมันต้องไกลหน่อย เพราะคนหาเยอะ ต้องเดินข้ามเขากันไปไกลเลย
การเตรียมตัวเดินทาง สะพายย่าม มีดเหน็บ ตะกร้า สิ่งที่ขาดไม่ได้คือแบตเตอรี่ ไฟฉายคาดศีรษะ ขึ้นควบมอเตอร์ไซด์โนวาคันเก่าได้ก็เเอ่นขึ้นถนนหลวง ก่อนเลี้ยวสู่ถนนลูกรัง มุ่งหน้าเข้าป่า ไปตั้งเเต่ห้าโมงเย็น ถึงชายเขาหกโมง แล้วจอดรถทิ้งไว้ ในป่ามันจะมืดค่ำเร็วมาก ผ่านไร่ร้างที่ชาวเขาทำไร่ข้าวโพด ดินมันจืดหมดเเล้ว เลยทิ้งร้างให้วัชพืชขึ้นเต็ม โดยเฉพาะต้นหญ้าสาบเสือสูงท่วมหัว รุงรังไปด้วยหญ้าไก่ไห้
เป้าหมายของผม ต้องเดินข้ามเขาไปไกลเลยครับ ถ้าเร่งเดินหน่อยจะถึงก่อนเที่ยงคืน เขาลูกนั้น ชาวบ้านเรียก จำผีหลอก จำเป็นภาษาถิ่นแปลว่า ป่าที่อุดมด้วยไม้มีค่า ประเภทตะเคียน มะค่า พะยูง ส่วนคำว่าผีหลอก มาจากปากพวกที่ลับลอบตัดไม้ครับ ข่าวลือมาว่าพวกนี้โดนดีจากผีนางไม้เล่นงานเข้า เอาถึงตายมาแล้วก็มี
ผมยังจำตอนที่ไปร่วมงานศพได้ดี ก็คนในหมู่บ้านนั่นแหละที่ตาย จากไม้ที่โค่นล้มมาทับ ก่อนถึงตัวบ้าน เสียงร้องไห้โหยหวนดังมาจากลูกเมียที่ต้องทนมองสภาพศพ ผมเองไม่ได้ขึ้นไปดูด้วย ยอมรับกลัว กลัวภาพมันติดตา แต่ที่ได้ยินคือสภาพศพ กระดูกถูกทับเละ ลำไส้ทะลักออกมา ก็ลองนึกภาพซุงหนักหลายตันทับร่างคนสิครับ เหมือนเอาค้อนทุบเนื้อที่ติดกระดูก แค่นึกก็สยองแล้วครับ
เพื่อนที่ไปทำไม้ด้วย ยืนยันมาจากอาถรรพ์นางไม้ทำให้ถึงตาย ทำไม้มาก็หลายปี ไม่เคยต้องพบเหตุการณ์แบบนี้ จะหลบไปทางไหนต้นไม้ก็เอนไปทางนั้น ผมฟังๆ ดู คิดไปอีกอย่าง ดวงคนมันจะถึงฆาตมากกว่า ภายหลังยังไม่มีคนเข็ดหลาบ ยังเข้าไปทำกันอีก ราคาไม้มันดีครับ แม้จะตายด้วยหลายสาเหตุ เช่นจากไข้ป่า ที่ตายทันด่วนก็มียิงกันตาย เลยเป็นที่มาของชื่อ จำผีหลอก มาตอนหลัง พวกทำไม้ก็เพลาๆ ลง ผมไม่รู้ว่าเพราะไม้ถูกตัดไปเยอะแล้ว หรือ ทนกับความน่ากลัวไม่ได้ คนหาของป่าเล็กๆ น้อยอย่างผม ไม่ใคร่จะสนใจ
เดิมทีผมจะชวนน้องชายไปด้วย ซึ่งมันจะชวนเพื่อนไปด้วยอีกคน ส่วนใหญ่ไม่มีใครออกป่ากลางคืนเดี่ยวๆ กันหรอกครับ ที่ออกเดี่ยวได้ ต้องมีของดีคุ้มครอง เพราะคนที่ตายในป่า คนหลงป่า ญาติต้องออกตามหามีทุกปี ส่วนตัวผมไม่สนใจ เพราะถือว่าเดินป่าละแวกนี้จนชำนาญ
เทือกเขาใหญ่ ที่เป็นอาณาเขตติดต่อของจังหวัดพะเยากับจังหวัดน่าน ในมุมมองจากหมู่บ้านของผม จะมองเห็นดอยแง่ม ภาษาถิ่นที่แปลว่ายอดเขาสูง ถ้าเดินทางไปถึงหลังเขาที่ว่า พวกพราน ชาวบ้านที่รอนแรมออกหาของป่า มักจะพบเห็นพระธุดงค์เที่ยวจรมาปฏิบัติกิจ เป็นป่าที่ลึกลับซับซ้อนและมีสิ่งลึกลับอาถรรพ์ ท้าทายต่อการพิสูจน์
ในสมัยหนึ่งเคยเป็นพื้นที่หลบซ่อนของพวก ผกค รวมทั้งพวกเสือโจรปล้นที่หนีการตามล่าจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง พื้นที่ป่ามันกว้าง ใช่ว่าจะหลบหนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้พ้น มีการยิงปะทะกันเกิดขึ้น มีคนเจ็บคนตาย แต่มันก็เป็นเรื่องเล่าของคนเฒ่าคนแก่ได้กล่าวเตือน ไม่จำเป็นอย่าได้เข้าไป ป่ามันมันที่เจ้าที่ปกปักษ์รักษา อยู่กันเป็นหมู่บ้าน หรือจะเรียกหมู่บ้านลับแล พวกเขาไม่เป็นมิตร จะดลบันดาลให้คนที่บุกรุกมีอันเป็นไปต่างๆ นานา
ความเชื่อพวกนี้มันเจือจางไปตามยุคสมัย ต่อมามีพวกลักลอบทำไม้ ตัดเส้นทางเข้าไปเพื่อชักลากไม้มีค่าออกมา ก็พวกผู้มิอิทธิพลในพื้นที่กับเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจครับ ชาวบ้านที่เห็นดีไปเป็นแรงงานให้ทั้งนั้น อุบัติเหตุจากการทำไม้ก็มีข่าวออกมาอยู่เรื่อย
ผมขอนำเอาเรื่องเล่านอกทางอีกสักหน่อยนะครับ มันเกี่ยวกับพรานยิงเพื่อนที่เข้าไปในป่าด้วยกัน เพราะมองเห็นเป็นไก่ป่าเลยซัดเปรี้ยงให้เข้า มือยิงรีบเผ่นกลับมาเก็บตัวเงียบอยู่ที่บ้าน ไม่บอกกล่าวกับใคร จนหลายวันเข้าพวกญาติมาถามหามันยังไม่ยอมบอกความจริง ร้อนถึงผู้ใหญ่บ้านมาเค้นคอถาม ไอ้เจ้าคนนี้ถึงยอมเอ่ยปากบอกความจริง พวกชาวบ้านต้องระดมกำลังไปตามเก็บศพ
อากาศช่วงนั้นร้อนอบอ้าว สลับกับมีฝนตก ทำให้ศพขึ้นอืดพองขึ้นอย่างรวดเร็ว สัปเหร่อที่ไปด้วยบอกศพมันเน่าเฟะแล้ว แกรอบคอบพอเอาถุงมือยางป้องกันเชื้อโรคไปด้วย ช่วงนั้นโรคเอดส์ระบาดครับ ไม่รู้ใครในหมูบ้านติดโรคนี้ไปบ้าง
เป็นใครมาเห็นน้ำเลือดน้ำเหลืองทำเอาผวากันเลย สัปเหร่อถามหาญาติที่ไปด้วย จะเอายังไง จะหามกลับทั้งอย่างนี้ หรือจะฌาปนกิจไปเลย แล้วนำกระดูกไปทำพิธี ดูเหมือนเสียงจะเป็นเอกฉันท์ ว่าให้เผา เพราะที่ตามสัปเหร่อไปด้วย คงมีคนคิดอ่านเรื่องนี้ไว้แล้ว
ครับเรื่องราวในครั้งนั้น เป็นภาพจำทำเอาผมพะอืดพะอมทีเดียว เข้าป่าทีไร ไม่วายนึกถึงมันทุกที
การตายครั้งนี้ทำให้คำพูดของผู้เฒ่าผู้แก่มีน้ำหนักอีกครั้ง พวกพรานที่เข้าไปนอนคางอ้างแรมในป่าหลายคืน เพื่อตามสัตว์ใหญ่ เขาจะมีจุดธูปบอกกล่าวกับเจ้าป่าเจ้าเขา ขอลาภ ถ้าไม่ทำแล้ว อาจจะโดนอาถรรพ์ป่าเล่นงานในสารพัดรูปแบบ
แม้แต่เพื่อนรุ่นพี่ของผมก็เคยโดนดีมาแล้ว ไปกันสองคนกับน้องชาย หาส่องกบเขียดบนภูเขา ขากลับสี่ทุ่มกว่า ไปเจอเอาพวกดักยิงหมูป่า เห็นเดินอยู่เป็นเงาดำเดินผ่านหน้า จะไปขอติดไฟบุหรี่หน่อย เห็นในปากคาบบุหรี่ไฟแดง ร้องถามอะไรก็ไม่ตอบเอาแต่เดิน
ในเมื่อกำลังกลับไปในเส้นทางเดียวกัน สองคนพี่น้องเลยเดินตาม โดยไม่คิดอะไร เพราะความที่หิวบุหรี่ด้วย และอารมณ์อยากรู้ว่าเป็นใครเลยเร่งฝีเท้าตาม น่าแปลกระยะห่างระหว่างคนเดินตามกับคนที่เดินนำไม่ได้ลดลงเลย
ร่างของชายปริศนาไม่ได้ฉายไฟส่องนำทาง กลับเที่ยวเดินดุ่มๆ ไปในความมืด ทั้งที่หนทางค่อนข้างรกชัฏ ผิดดินขรุขระ น่ากลัวจะสะดุดรากไม้ ก้อนหิน ทีน่ากลัวคือจะไปเหยียบงูหากินกลางคืน อย่างเช่นงูทับสมิงคลา
แม้จะเร่งฝีเท้าแค่ไหนก็ตามคนปริศนาไม่ทัน
พอมาถึงทางลงเขาค่อนข้างลาดชัน ทางเดินเล็กๆ ผ่านป่าไผ่ สองพี่น้องหยุดชะงักคอยมองลงไป น้องชายวัยประถมเริ่มขวัญบิน หันมามองพี่ชายรู้สึกผิดปกติขึ้นมาเหมือนกัน ตอนนี้มันชัดมากเหมือนแสงสีแดงจากตอนท้ายรถจักรยานยนต์ ในจังหวะแตะเบรกจะเเดงโร่ จะเห็นได้ชัดมากในตอนกลางคืน ตอนนี้เชายคนที่ว่ามีแสงออกมาชัดมาก น่ากลัวจะไม่ใช่คนเเล้ว
พี่ชายหยิบเอาพระเครื่องห้อยคอมาสวมให้น้องชาย เกรงจะวิ่งเตลิดเปิดเปิง บอกไม่ต้องกลัว เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก มีพี่อยู่ทั้งคน รูปร่างที่เห็นคุ้นตามาก เป็นคนบ้านใต้ มาจำได้แน่ชัดเอาตอนนี้เองว่าคือชายคนเดียวที่ถูกยิงตายในป่า แล้วการเดินก็เหมือนลอย ก่อนจะหายวับเข้าไปในป่าไผ่
มันก็น่าแปลกที่ พื้นที่เกิดเหตุที่พบศพ เป็นป่าไผ่เหมือนกัน แต่อยู่ห่างจากที่พี่น้องคู่นี้ไปพบ เอาเข้าจริงพื้นที่พรานออกเดินล่าสัตว์มันกินพื้นที่กว้างมาก และมันก็กลายเรื่องเล่าในเช้าวันต่อมา ที่ผมพอได้ฟังแล้วส่ายหน้า ไอ้เจ้าสองคนพี่น้องมันต้องดมกาวแน่ เชื่อคำพูดมันไม่ได้หรอก
ตัวผมวัยกำลังห้าว ไม่ได้ใส่ใจเลยครับ เครื่องรางของขลังติดตัวหรือก็ไม่มี ยันต์สักตามร่างกายก็ไม่มี อาศัยว่าเป็นคนไม่กลัวผี เรื่องชอบบุกป่าคนเดียว ไอ้เรื่องที่ไม่มีตัวตนไม่ค่อยจะกลัว แต่มีสิ่งที่ผมกลัวคือศพคนตาย สภาพการตายอันสยดสยอง ร่างบวมอืดเน่าเฟะ ถ้าไปเจอได้วิ่งป่าราบแน่ แค่นึกถึงยังสยองอยู่เลย
ครับ ผมเข็นรถโนวาคู่ชีพ หาที่จอดแอบไว้ในป่า แหงนหน้ามองเขาตรงหน้า ต้องเดินกันหนักเลย ไหนจะฝนฟ้าไม่เป็นใจตั้งเค้าจะตกอีกแล้ว
เดินไปได้หน่อยเดียว ฝนเริ่มลงเม็ดพร้อมกับลมแรง น้ำฝนเย็นจับใจเลยครับ ปกติไม่ขี้หนาวขนาดนี้ จะหลบเข้ากระต๊อบข้างทาง สภาพมันจะพังมิพังแหล่ หลังคาสังกะสีเผยอขึ้นลง ตีกับไม้แปดัง แต๊ง แต๊ง ตะปูทำท่าจะยึดไว้ไม่อยู่
ผมนี่กลัวใจมันจะลอยมาโดนตัวเอาเสียจริง
ได้ผ้าใบผืนใหญ่คลี่เอามาคลุมตัว แล้วเดินสู้บุกบั่นเดินหน้าต่อไป ทางเดินค่อนข้างเเคบอยู่เเล้ว ต้นหญ้าสองข้างทางพอโดนน้ำฝน ลำต้นกิ่งใบมันอุ้มน้ำจนโน้มลงมาปิดทางเข้าไปอีก เสียงน้ำหลากในลำห้วยดังอื้ออึง ฝนตกสิ่งที่น่ากลัวตามมา คือน้ำป่าไหลหลาก
เรื่องน้ำป่ามันน่ากลัวกว่าผีสางอีกครับ ผมเคยเจอฤทธิ์น้ำป่ามาแล้ว ตอนเดินข้ามลำธารตื้นๆ น้ำไหลตื้นผ่านเพียงตาตุ่ม เพียงชั่วอึดใจเดียว น้ำป่าไหลเชี่ยวถึงช่วงเอว โชคดีที่ตอนนั้นผมปีนต้นไม้ได้ทัน ส่วนสัมภาระที่วางทิ้งไว้ หายไปในกระแสน้ำ
ผมมาถึงยอดเขา เหนื่อยเเทบขาดใจ มองหลังมือซีดขาว เป่าปากออกมาเป็นไอน้ำ แสงไฟฉายมองป่าตรงหน้า ฝนตกไม่ขาดสาย สภาพป่าเปลี่ยนไป แทบจะถากทางเข้าไปเลย ผมเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมันยืนต้นโดดเดี่ยว ดำเกรียมจากเคยถูกฟ้าผ่าใส่ เบื้องบนขึ้นไปมีสายฟ้าแลบไปมา ส่งเสียงครืนครันเหมือนในท้องคนร้อง ใช่ครับผมหิวมากด้วย ท้องร้องโครกคราก ถ้าไม่สู้งาน วันต่อไปจะเอาอะไรมากิน
มันเหมือนจะมีบางสิ่งพยายามสื่อสารด้วย ป่าปิดแล้วสำหรับผม อย่าได้พยายามไปต่ออีกเลย ไอ้พื้นที่ตรงนี้ ผมจะจำมันไม่รู้ลืมเพราะเหตุการณ์เป็นตายในช่วงขากลับ
เรื่องจะถอยกลับก็ยังไงอยู่ คิดในเเง่บวกการที่ฝนตกโอกาสที่ความชื้นพอเหมาะ ใกล้รุ่งสาง ตี 3-4 ดอกเห็ดคงขึ้นงาม พรุ่งนี้เช้าคงเก็บเห็ดกลับไปได้เยอะ ไม่มีใครอื่นมาแย่งเก็บ
จำผีหลอก มันไม่มีใครคนไหนในหมู่บ้านกล้าไปกันหรอก นอกจากผมคนเดียว
เส้นทางที่เดินยากที่สุด ผมผ่านมาแล้ว ไปโผล่อีกทีบนยอดภูเขาตัดที่เหมือนมีใครมาปราบที่ไว้ ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นกันเบียดเสียด แผ่กิ่งก้านมืดครึ้มเหมือนหลังคาป่า ข้างล่างเตียนโล่ง มีวัชพืชขึ้นประปราย กลางวันแสงแดดแทบส่องลงมาไม่ถึงพื้น ไม่แปลกที่พืชในระดับล่างที่ต้องการแสงแดดมาสังเคราะห์เป็นอาหารจะไม่สามารถเติบโตอยู่ได้
หยดน้ำค้างจากใบไม้เบื้องบน หยดลงมาดังเปาะแปะ ลมพัดมาทีดังซู่ซ่าราวกับฝนตก ดินซับความร้อนเมื่อตอนกลางวัน พอมีน้ำฝนซึมลงไป กลายเป็นไอน้ำระเหยขึ้นมาเป็นหมอก
ผมฉายแสงไฟไปมา มันขาวโพลนไปหมด เรื่องยุ่งยากถัดจากฝนตกคือหมอกลง เวลาตอนนี้ห้าทุ่มกว่า ผมคงไปถึงที่หมายช้ากว่าที่กะไว้ แต่ไม่มีปัญหา เพราะเวลาหลังเที่ยงคืน จนถึงตีสาม ผมจะหาที่งีบหลับพักเอาแรง พอได้เวลาจะออกเดินหาดูเห็ดที่เริ่มขึ้นมาสู่ผิวดิน
ผ่านยอดภู เดินไต่ลงมาตามทางของพวกชักลากไม้ เหมือนง่ายแต่อันตรายจากการลื่นล้ม ไหนจะการมองเห็นที่ไม่ชัดจากหมอก บดบังทาง ไม่มีปัญหาสำหรับผม อาศัยคลำทางไปก็ได้
หนทางข้างหน้าจำได้มีต้นมะกอกป่า ลมมาทีพัดเอาหมอกจางจึงเห็นกิ่งก้านมันโยกเสียงดังครืน ใบไม้ไหวดังซู่ซ่ารับกันคล้ายคนกำลังกระซิบกระซาบ เวลานี้ผมกำลังคุยอยู่กับธรรมชาติ ความเงียบคือบทสนทนาโต้ตอบ ได้แต่ถอนใจเดินก้มหน้า ถ้าออกนอกทางไปอีกหน่อย เคยมาหาตัดหวายกับไม้ไผ่ไปทำตอกจักสาน
ป่าคือห้างสรรพสินค้าของคน คำนี้ผมเคยได้ยินจากในทีวี มันก็จริง ถ้าหากคนรู้จักใช้อย่างรู้ค่า ผมเสียดายป่ามาก คนเพียงไม่กี่คนที่ละโมบ ขโมยทรัพยากรของคนส่วนรวมไป ทั้งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกบ้านอาศัยกันอย่างง่ายๆ ส่วนใหญ่ไม้ที่ถูกลักลอบตัดออกไป จะขายออกนอกพื้นที่
ทางของพวกชักลากไม้คล้ายร่องที่ โค้งไปตามลูกเขา มีรากไม้โผล่ออกมาให้ระเกะระกะสองข้างทาง ดินเป็นดินแดง เวลานี้อิ่มน้ำจึงค่อนข้างลื่น เมื่อเท้าเหยียบลงไป ใต้ผิวดินเป็นแผ่นหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง กรวดหินสากๆ ดินพวกนี้ก็เหมือนจารบีดีๆ นี่เองเวลาฝนตก คนเดินไม่ระวังจะหัวทิ่มหัวตำ หงายหน้าหงายหลังเอาง่ายๆ ดีที่ผมสวมรองเท้าบูทมาด้วย ใส่เดินอาจไม่สะดวกแต่ยึดเกาะได้ดี ป้องกันการไปเหยียบงูกับแมลงมีพิษได้ระดับหนึ่ง
ร่องเล็กๆ บนพื้น บางทีเหมือนมีคนมาขุดเอาไว้เป็นหลุมบ่ออันเกิดจากน้ำกัดเซาะ ทรายละเอียดกองพูนเหมือนที่กรองน้ำ มันจึงใสพอสมควร พอให้ลงไปใช้สองมือกอบเอาน้ำมาลูบหน้า ใบหญ้าคาบาดทำเอาแสบคันไม่น้อย
การดื่มน้ำจากกลางทางไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เพราะเป็นทางเดินทั้งของคนและสัตว์ โดยเฉพาะวัวบ้าน ที่เจ้าของปล่อยให้ออกหากินเองในป่า พวกมันจะขับถ่ายของเสียทิ้งไว้ น้ำฝนได้ชะล้างให้ไหลมารวมกัน ถ้าจำเป็นก็พอเอามาเป็นน้ำใช้ อีกเรื่องคือไอ้น้ำไหลสายเล็กๆ พวกนี้ สามารถบอกได้ถึงอันตรายจากน้ำป่าไหลหลาก จะเกิดขึ้นในหุบห้วยข้างล่าง ผมคงไม่เสี่ยงลงไปไกลกว่าปางไม้
โบร๋ววว บรู๋ววว บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์
ผมหยุดยืนอยู่ใต้ต้นเสี้ยวป่า มีต้นมะกอกป่าใบโกร๋นอยู่ถัดไป คลับคล้ายจะได้ยินเสียงหมาหอน ยิ่งรู้ว่าแน่ชัดจากเสียงดังยืดยาวกังวานไปไกล ให้ความรู้สึกเย็นพอกันกับอากาศรอบตัวขณะนี้ อาจจะด้วยตากฝน ตากน้ำค้างมาเยอะเลยมีอาการหนาวๆ ร้อนๆ ตะครั่นตะครอจะเป็นไข้
หมอกเหมือนม่านที่ถูกแหวกออก อากาศโปร่งโล่งขึ้น ในช่องว่างของกิ่งไม้ใบโกร๋น แสงทองเรืองรอง กับการปรากฏของพระจันทร์เดือนแรมสี่ค่ำ นกฮูกเกาะบนกิ่งไม้ ผมมัวกังวลกับอาการไข้ พอเงยหน้าถึงกับร้องเฮ้ย! ผงะเล็กน้อย ทำไมนกตัวใหญ่ขนาดนั้น พอได้ยินเสียงของผม มันกางปีกดังพรึบพรับบินผละจากไป ประสาทผมคงไม่ค่อยจะดีจากไข้เล่นงานเสียแล้ว
ไม่รู้ตัวเลยว่า ผมกำลังมาถึงที่หมาย ‘จำผีหลอก’
เสียงหมาเจ้ากรรมเหมือนมันเฝ้าทาง บอกการมาของผู้มาเยือน ทางเดินทอดยาวลงไป แสงจันทร์เดือนแรมทำให้มองเห็นยอดไม้ทึบทะมึนในจำผีหลอกได้ง่ายขึ้น มันเหมือนทางเดินเข้าไปในป่าช้าที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ผมไม่อยากจะใส่ใจนัก จะป่าไหนก็เหมือนๆ กัน กระชับย่ามบนบ่าชักมีดเหน็บออกมาฟันกิ่งไม้ที่ย้อยลงขวางทาง อีกนัยหนึ่งขากลับจะได้จดจำรอยที่หมายเอาไว้ ลืมบอกไปผมเป็นคนเกิดวันเสาร์ครับ คนเกิดวันนี้จิตแข็ง ไม่ค่อยกลัวเกรงอะไรง่ายๆ ถ้าเล่นศาสตร์คุณไสยจะก้าวหน้าได้ไว
ลูกมะกอกตกลงมาดังตุบตับ ของพวกนี้ลูกอมป่าเลยครับ ใช้มีดคว้านเอาแก่นแข็งๆ ออก โรยเกลือลงไปตัดเปรี้ยวอย่างร้ายกาจ อมแล้วปลุกประสาทให้ตื่นตัวดีนักแล ก่อนจะคลายอุแหวะออกมา ไปหาเก็บลูกมะขามป้อมมาอมดีกว่า ของพวกนี้สรรพคุณป้องกันไข้หวัดดีนักแล
บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์ บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์
เสียงหมาหอนยังคงดังรบกวน ความเหงา ความวังเวง บางทีเสียงพวกนี้มันก็จู่โจมหัวใจได้เหมือนกัน พอร่างกายเริ่มไม่ไหว ประสาทเริ่มอ่อนด้อยลง ในใจมันผ่าไปคิดถึงเรื่องเล่า สมัยป้าๆ ข้างบ้านยังเป็นสาว ฤดูทำนาแกกับผัวและน้องสาวของผัวไปนอนกระต๊อบเฝ้านา ใต้ถุนเอาไก่ไปเลี้ยงไว้ด้วยจนกว่าจะหมดฤดูทำนา พอตกกลางคืนได้ยินเสียงไก่ร้องตกใจ อาจมีสัตว์มากวน
ป้าชวนน้องผัวลงไปดูด้วยกัน ฝ่ายผัวของป้า ได้เหล้าเหล้าขาวไปแล้ว หลับไม่ยอมดิ้นเลย ผู้หญิงสองคนเลยลงมาดูกันเอง สงสัยจะเป็นหมามาลักกัดไก่ เลยจอมปลวกที่ปลูกพริกไว้ เหมือนเห็นหมาตัวหนึ่งกำลังวิ่งไปทางนั้น น้องผัวชี้บอกโน่นๆ ฉายไฟเห็นดวงไฟสีแดงสองจุดหันมาสู้ไฟ สายตาสองคู่เห็นเหมือนกันในขนาดใหญ่โตของหมาตัวนั้น ยืนสูงระดับเดียวกับจอมปลวก โดยเฉพาะดวงตาแดงก่ำ
ป้าแกเล่าน้ำลายกระเซ็นจะให้ผมเชื่อให้ได้ จอมปลวกนั่นมันสูงกว่าตัวแกอีก หมาที่ไหนจะตัวสูงใหญ่ขนาดนั้น มันต้องเป็นหมาผีแน่ หรือเจ้าที่แปลงกายมาเพื่อเตือนบางอย่าง ตัวแกกับผัวมานอนที่นี่ไม่เคยได้ไปเซ่นไหว้ผีเจ้าที่ มาคิดดูอีกทีแล้วผมนึกขำ ผมตอนนี้คงมีอาการเหมือนป้าแก พอกลัวมากๆ สติไม่มั่นคง เลยเห็นหมาเห็นนกตัวใหญ่กว่าปกติ ถ้าคิดในแง่เหตุผล เสียงหมาหอนตอนนี้ก็เหมือนกัน พวกพรานจะพาหมาไปด้วยในป่า ไม่แปลกจะได้ยินเสียงหมาเห่าหอน ช่วงฤดูติดสัด หากพวกมันต้องเข้าป่าตามนาย จะเกิดอาการแบบนี้ หมาก็เหมือนคนมีช่วงเวลาที่เหงาได้
ยิ่งถ้าพรานมากันสองถึงสามคน หมาเป็นฝูงเลยครับ หมาไล่แลนคือตะกวดชนิดหนึ่ง คนทางบ้านผมนิยมกินกัน เจอตัวไม่จำเป็นต้องยิงให้เปลืองกระสุน หมาไล่แลนพวกนี้จะไล่งับมาให้ได้ ตัวที่ฝึกมาดีจะไม่กัดให้ถึงตาย เพื่อให้นายของมันมาจับเอาไปขายแบบเป็นๆ
ปางไม้อยู่ทางซ้ายมือ เหมือนทางสามแพร่ง มีกระต๊อบปลูกไว้ ไหล่ทางมีลำห้วยอุดมไปด้วยกอไผ่ ผมเลือกไปทางขวามือที่เป็นป่าโปร่ง มีต้นเต็งขนาดสองสามคนโอบ อายุคงเกินร้อยปี บนพื้นมีซากใบไม้ทับถม จะเป็นที่บ่อเกิดของเชื้อรา เห็ดหล่มจะขึ้นกันมากมายที่นี่ ผมเคยมาเก็บตอนกลางวันได้ไปหาบใหญ่ แต่ดอกเห็ดบานแล้ว ดอกเดียวอาจใหญ่ขนาดหน้าคนเสียอีก
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ กระต๊อบหลังเล็ก โปร่งโล่งมีเพียงหลังคา ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าศาลเอาไว้วางของเซ่นไหว้ผี ใต้ชายคามันมืด ผมเห็นร่างคนตัวดำๆ นั่งห้อยขาข้างหนึ่งไกวน้อยๆ อีกข้างชันเข่า ที่รู้เพราะได้ยินเสียงขากเสลด เสียงถ่ม ทำให้หันไปมอง เห็นไฟแดงจากบุหรี่จุดสูบ เป็นชายร่างผอม ไม่ใส่เสื้อ ผมบนหัวชี้ฟู พอรู้ผมเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงหัวเราะ น่าจะคนมีอายุวัยห้าสิบขึ้น พอผมขานออกไป บอกจะไปเก็บเห็ดใกล้ๆ นี่เอง เหมือนไม่ได้ยิน ร่างนั้นเอนตัวลงนอน ไกวขาอย่างสบายใจ
อาจจะเป็นพวกมาทำไม้ก็เป็นไปได้ จำผีหลอกยังคงมีไม้มีค่าอีกมาก หมาพวกนั้นจะเห่าหอน เมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้นายของมัน
เสียงดัง แสก แสก คล้ายเสียงเลื่อยไม้ดังออกมาไม่ไกล มันเป็นเลื่อยมือแบบเก่าที่ใช้แรงงานคน พวกทำไม้รุ่นเก่าเมื่อสิบปีก่อนจะใช้กัน ปัจจุบันหายากเพราะหันมาใช้เลื่อนยนต์กันหมดแล้ว เพราะการจะโค่นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งต้องใช้เวลาและพละกำลังมาก ครู่หนึ่งก็หยุดมือคล้ายพักกินน้ำ เวลาผ่านเที่ยงคืนมาแล้ว คนพวกนี้ยังจะทำงานกันอีก ผมก็เคยได้ยินพวกทำไม้คุยกัน งานหนักจำเป็นต้องใช้ยาม้ายาขยันเข้าช่วย แต่ไม่น่าจะทำกันดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้
ลมพัดใบไผ่เสียงดังแสกสาก บางทีทำเอาหยุดชะงักเงี่ยหูฟัง มันคล้ายเสียงคนพูดคุยกระซิบกระซาบกัน รอบตัวขณะนี้คล้ายมีคนยืนมองเข้ามา เหมือนว่ามีคนแปลกหน้ารุกล้ำเข้ามาในหมู่บ้านหลังเขาอันแสนกันดารแห่งนี้ ผมเอาหลังมือแตะหน้าผากมันอุ่นขึ้น อาการไข้ทำเอารู้สึกเพลีย ซ้ำร้ายหูยังจะมาเพี้ยนได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ทั้งเสียงคนเลื่อยไม้และเสียงคนพูดคุยกันนั่นแหละ คิดว่ามาจากอาการประสาทไม่ปกติจากพิษไข้มากกว่า
หลังคาสังกะสีอ้าขึ้นลงเผยิบๆ ตีกับไม้แปดัง แต๊ง แต๊ง ผมยืนโงนเงน สะดุ้งขึ้นมานึกว่าตัวเองได้ยืนอยู่ทางเข้าป่า เลยจากจุดจอดรถโนวาซะอีก ถ้ามันจริง ป่านนี้ผมขอถอยกลับบ้านดีกว่า หายาแก้ไข้มากินแล้วนอนหลับพักผ่อน แต่ในความเป็นจริงผมกำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางป่า หากจำเป็นจริง ไข้ขึ้นสูงเดินกลับตอนนี้ไม่ไหว ผมจะไปอาศัยกระต๊อบหลังนั้นนอนเอาเเรง รุ่งขึ้นค่อยหาทางกลับบ้าน
เลยจากกระต๊อบไปหน่อย มีต้นตะเคียนสูงใหญ่อยู่เหนือยอดไม้ทั้งปวงเห็นเป็นเงาดำทะมึน ผมหยุดยืนแหงนมองอย่างอดไม่ได้ นึกสงสัยพวกตัดไม้ทำไมไม่โค่นมันลงมา หรือเห็นมีตำหนิจากโพรงไม้ภายในเลยเว้นมันไว้ ก็ได้แต่เดาเอาเท่านั้น คงไม่ใช่เพราะอาถรรพ์จากนางไม้แรงเสียจนทำอะไรมันไม่ได้
เงาไม้เมื่อผ่านแสงไฟคล้ายเงาคนเดินล้ำอยู่ข้างหน้า บ้างวิ่ง บ้างก็หลบหลังต้นไม้ เสียงฝีเท้าดัง ตึก ตึก พอหยุดเดิน เสียงมันยังดังต่ออีกก้าวสองก้าวจึงหยุด ไหนจะเสียงคล้ายคนกระซิบกระซาบกัน ผมนึกขำตัวเอง มันจะอะไรก็เสียงสะท้อนไง จะนึกหลอนตัวเองทำไมว่ามีใครเดินตาม
“แน่จริงก็โผล่หน้าออกมาตัวเป็นๆ เลยสิวะ!”
ผมตะโกนออกไปอย่างเหลืออด นึกว่าจะกลัวนักหรือไง ไม่วายเสียงยังสะท้อนกลับมา แน่จริงสิวะ แน่จริงสิวะ แน่จริงสิวะ ดังล้อๆ กัน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพิษไข้ ประสาทของผมคงไม่ย่ำแย่ขนาดนี้
หูว่าเพี้ยนแล้ว จมูกยังจะได้กลิ่นสาบสางตามลม พอเดินหน้าไปได้หน่อยเดียว กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงเข้าจมูก มันฉุนกึกจนรู้สึกปวดหัว นี่ไม่ใช่คิดไปเองแล้ว ต้องมีอะไรตายอยู่แถวนี้แน่นอน
กลิ่นมันช่างคล้าย ศพพรานที่ถูกยิงตายกลางป่าคราวนั้นเลย ผมจำภาพใบหน้าที่บวมอืด ลูกตาถลนออกนอกเบ้า เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลสีออกคล้ำ มีแมลงวันตอมหึ่งๆ ทำเอาผมโก่งคอสำรอกออกมา มันมีแต่น้ำ
ผมจะไม่ยอมให้มันเล่นงานผมได้ฝ่ายเดียวแน่ ต้องไปดูให้แน่ชัด ที่ร่องน้ำตื้นดินทรายพูนขึ้นมาจากตะกอนน้ำ ทำเอาแทบผงะเมื่อเจอกับต้นเหตุของกลิ่นแล้ว มันคือซากวัวที่ตัวไม่ใหญ่นัก น่าจะเป็นลูกวัว เพราะยังเห็นพื้นหนังกับซี่โครง มดไต่บนซากจนดำไปทั้งตัว สภาพมันยุบโทรมไปมากแล้ว ธรรมชาติกำลังทำหน้าที่ของมันในการย่อยสลาย
ถ้าไม่เห็นซี่โครงกับเศษหนัง จะไม่รู้เลยมันคือซากสัตว์ชนิดใดกันแน่ เป็นเรื่องธรรมดา วัวที่เจ้าของปล่อยให้หากินเองในป่า บางทีอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงตามไปดูที นับจำนวนอย่างเดียวจะไม่รู้เลยว่ามีลูกวัวเกิดใหม่กี่ตัว ถูกงูกัดตายบ้าง ถูกขโมยฆ่าแล้วชำแหละเอาแต่เนื้อไปบ้าง ผมเจอซากแบบนี้บ่อย
ผมทิ้งจำผีหลอกไว้เบื้องหลัง ป่าเต็งรังตรงหน้าคือเป้าหมาย สภาพป่าโปร่งโล่ง อากาศถ่ายเทสะดวกพอให้หายใจคล่องขึ้น แสงจันทร์ส่องเห็นพื้นดินทรายละเอียดที่ถูกกระแสน้ำพัดมา มีน้ำขังตามแอ่ง ไหล่เอ่ยไปตามร่องเล็กๆ บนพื้น ผมเดินตามเส้นทางน้ำไปถึงตลิ่งอันสูงชันเหนือลำห้วยขนาดใหญ่ เสียงดังอื้ออึงของน้ำป่าสีขุ่นเหมือนน้ำกาแฟ ว่าเเล้วน้ำป่าต้องเเรงเเน่ จำผีหลอกอยู่ในเส้นทางน้ำด้วย ขากลับเส้นทางอาจถูกน้ำปิดเเล้วก็เป็นได้
แม้ทุกอย่างรอบตัวจะชื้นแฉะ การก่อฟืนไฟไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องหาไม้มีแก่นถึงจะจุดติด ผมหมายตาท่อนไม้สักที่ไหม้เกรียมเป็นถ่าน ใช้มีดถากเปิดเปลือกนอกมันออก ทำเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้ล่อไฟ ผมไม่มีขวานจะสับไม้ท่อนใหญ่ได้
ไปได้ก้อนหินขนาดพอเหมาะมาทุบกับขอนไม้เสียงดังถนัดถนี่ พอแตกแล้ว ออกแรงกระชาก ได้มาสามสี่ท่อน ลำพังไม้ซีกเล็กๆ จุดขอนไม้ไม่ติด เสียงดังเมื่อครู่ถ้ามีคนอยู่แถวนี้คงรู้มีผมอยู่ตรงนี้ พอได้ไม้ขนาดพอเหมาะก็เริ่มจุดไฟ หลังมือซีดขาวเลือดแทบไม่เดิน ฝ่ามือได้อังไฟยกมานาบแก้มกับลำคอ ความอบอุ่นช่วยได้เยอะ ไม้สักเป็นฟื้นอย่างดี จุดติดแล้วดับยาก เว้นเสียแต่เจอฝนหนักจริง ช่วงนี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน ฝนฟ้าไม่เป็นใจ อยู่ในที่โล่งโจ้งไปหน่อย หากฝนตกลงมาคงต้องย้ายหนี
สายตาจับนิ่งไปที่ไม้ยืนต้นตายซาก ที่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงก้าวเดินถึง ที่โคนมีน้ำท่วมขังเกือบจะเป็นปลัก และคงอยู่ในสภาพนี้มานาน รากของมันคงเน่า ยึดลำต้นให้ยืนหยัดต่อไปได้ไม่นานแน่ หวังว่าคงไม่มาล้มตอนผมนั่งอยู่ตอนนี้
ได้มะขามป้อมมากำมือ กลับมานั่งแทะข้างกองไฟ ในย่ามมีน้ำตาลเกลือพริก จัดเตรียมมาสารพัดที่จำเป็นยกเว้นยาพารา กัดกับเม็ดเกลือช่วยตัดเปรี้ยวได้บ้าง มันช่วยปลุกประสาทให้ตื่นตัวดีแท้ แข็งใจกลืนไปหลายลูก หวังทุเลาอาการไข้ ได้ไฟเป็นเพื่อนค่อยอุ่นใจหน่อย มองไปรอบตัวฟังเสียงจิ้งหรีด เสียงกบเขียดรู้สึกผ่อนคลายอ่างประหลาด พอประสาทกลับมาปกติ ป่าก็คือป่า คนที่รักษาสติไว้ไม่ได้จะถูกอำนาจของป่าเลนงานให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานา
ตีสอง ...
เวลาผ่านไปเนิบช้า ไฟหมดเปลวเหลือเพียงถ่านแดงโร่ ผมนั่งผงกสะดุ้งตื่นขึ้นมา รู้สึกเหมือนมีอะไรแหลมๆ มาสะกิดที่ท้ายทอยหลายที พอคลำเจอใบไม้ ปลายใบมันแหลมมิน่าถึงรู้สึกเหมือนโดนสะกิด เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เคยโล่งเห็นดาว กลับมามืดมิดอีกครั้ง น้ำค้างลงแรงมาก ได้ยินใบไม้ในความมืดดังซู่ซ่า มือลูบขนแขนมันเปียกชุ่มไม่น้อย อาการไข้ไม่สู้จะดี นั่งกอดอกตัวสั่น ยังดีที่มีพลาสติกผืนใหญ่คลุมตัวไว้
เสียงเลื่อยไม้ยังคงดังแว่วมา ดัง แสก แสก ผมฉายไฟไปอย่างไร้ความหมาย ป่ามันรกมากจะไปเห็นอะไร นอกจากตะเคียนใหญ่มีอาการไหวเฮือก คล้ายๆ คนสะดุ้งจากโดนจี้เอว ไม้ใหญ่คงใกล้ล้มแล้ว เสียงคงดังมาถึงทางนี้ แน่ล่ะจำผีหลอกอยู่ห่างออกไปแค่มีห้วยใหญ่กั้น ผมลุกขึ้นไปคว้าตะกร้า ออกไปเดินหาเห็ดดีกว่า พึ่งได้เห็ดมาครึ่งตะกร้าเอง
เพียงไม่กี่ก้าวที่ผมออกเดิน เสียงดัง ครืน ครืน ของไม้ใหญ่กำลังจะล้มดังไล่หลังมาดังตึง! แม้แผ่นดินที่ยืนอยู่ ยังรู้สึกถึงแรงสะเทือน ใบไม้เศษฝุ่นผงปลิวว่อน ผมหันไปอ้าปากร้องเฮ้ยลั่น! ที่ล้มไม่ใช่ต้นตะเคียน มันยังอยู่ แต่เป็นต้นไม้ตายซากเหนือหัวที่ผมนั่งเมื่อกี้ มันล้มลงมาหลังจากที่ผมเดินออกมาไม่กี่นาที
ผมผ่านช่วงเวลาเฉียดเป็นเฉียดตายมาได้ โดยพยายามทำจิตทำใจไม่ให้คิดอะไร ในป่าภัยธรรมชาติมันมีได้ตลอด
ก้มเก็บเห็ดหล่มดอกตูมกำลังใส่ตะกร้า เห็นจะพอแล้วรีบกลับดีกว่า เงยหน้ามองท้องฟ้า เมฆฝนทั้งนั้นเลย ไหนจะฟ้าแลบฟ้าร้อง ส่งเสียงดัง ครืน ครืน น่ากลัวผมจะกลับไปส่งเห็ดที่ตลาดสดตอนเช้าไม่ทันเสียแล้ว อาการอ่อนเพลียจากไข้เริ่มเล่นงานผมอีกแล้ว เหมือนโลกจะหมุน ลงไปนั่งยองๆ มือกุมขมับ เห็นทีจะหานอนพักมันแถวนี้ ที่ผมหมายตาไว้แล้วแต่แรก
เป้าหมายก็ที่กระต๊อบของพวกทำไม้ ที่ตรงนั้นเป็นเนิน ไม่ได้อยู่ในเส้นทางของน้ำป่า เมื่อถึงคราวจำเป็น ผมจะไปนอนพักเอาแรงที่นั่น
ใบไม้ในป่าส่งเสียงซู่ซ่าขึ้นพร้อมกัน ฝนตกลงมาแล้ว ผมเดินกอดอกเนื้อตัวสั่นเทา พลาสติกผืนที่คลุมตัวฉีกขาดวิ้นจากหนามเกี่ยว สองเท้าที่ย้ำไปบนดินที่ชุ่มแฉะไปด้วยน้ำ กองไฟที่ก่อไว้ได้ดับสนิท ซากไม้ล้มเฉี่ยวมันไปนิดเดียวเอง ไม่อยากนึกสภาพถ้าตอนนั้นไม่ได้ลุกเดินออกมาจะเป็นยังไง
กระต๊อบหลังนั้นอยู่ในเงามืด เงียบเชียบและโดดเดี่ยว ผมขยับไฟฉาย แสงไฟมันหรี่ลงทุกที สงสัยชาร์จไฟไม่เต็มที่ ปกติมันจะใช้ได้เกือบสว่าง น่ากลัวผมจะไปได้ไม่ไกลจากจำผีหลอกเสียแล้ว ผมเหมือนเห็นแสงไฟจุดเล็กๆ จากก้นบุหรี่ที่เจ้าของยกขึ้นสูบ ก่อนจะคลายออกจากริมฝีปากเป่าควันฉุย น่าแปลกที่ร่างในเงามืดไม่น่าจะสวมเสื้อ นั่งห้อยขาอยู่อย่างนั้น แกทนความหนาวได้อย่างไร ผมขานออกไป ทางข้างหน้ามีน้ำป่าผ่านไหม ฝนตกหนักทำให้น้ำป่าไหลแรง ภายหลังเงียบเสียงของผม เหมือนลุงแกจะนิ่งอีก คล้ายผมพูดอยู่คนเดียว ไฟฉายเจ้ากรรมแสงมันแทบส่องลายมือไม่เห็นอยู่แล้ว ได้ยินลุงแกหัวเราะเสียงดังเหอะๆ แข่งกับเสียงฝน
“น้ำป่าตัดทาง เอ็งข้ามไปไม่ได้แล้ว” เสียงเยือกเย็นตอบมา
“ถ้างั้น ผมขอพักกับลุงที่กระต๊อบนี่นะครับ น้ำป่ามาเร็วไปเร็ว ไม่เกินชั่วโมงคงแห้ง แล้วผมจะรีบไป”
“ได้ มาพักสิ ฉันอนุญาต”
ความที่ไม่มีแสงไฟนำทาง พอไปถึงแทบจะคลำหาตรงไหนเป็นเสา ตรงไหนเป็นพื้นไม้ มันมืดเสียจริงไม่ต่างจากคนตาบอด นึกได้มีไฟแช็กเอามาจุดไฟ ดวงเล็กๆ สีสุก แต่มันก็ดีกว่าไม่มี ฟ้าแลบมาที ผมรีบมองไม่เห็นลุง ไม่รู้ไปไหนเสียแล้ว พื้นไม้ที่แกนั่ง มือของผมคลำไปเจอถ้วย จาน และขวดวางอยู่ระเกะระกะ ไม่รู้ลุงเอนหลังลงไปนอนได้ยังไง ผมเห็นไม่กล้าขึ้นไป พื้นดินใต้ชายคาแห้งพอ มีกอไผ่ช่วยบังลมกับบังฝนอีกแรง รู้สึกไออุ่นจากผิวดินขึ้นมาอย่างประหลาด ความอ่อนเพลียจากพิษไข้ ผมแทบจะลงไปนอนขดเหมือนหมาไอ้มอม โชคดีที่มีฟืนเก่าที่ถูกพรากออก ผมสามารถใช้ก่อไฟขึ้นมาได้ แต่ยังติดเกรงใจเจ้าของ เลยขานออกไปเพื่อขออนุญาตอีกครั้ง
“ผมขอก่อไฟนะครับลุง มันหนาวเหลือเกิน ” ไฟถูกจุดติดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมสะบัดน้ำจากผืนพลาสติกเพื่อปูลงกับพื้นแทนเสื่อ ลงนอนข้างกองไฟ ตอนนี้มันหนาวเข้าถึงกระดูก ยอมรับแทบจะขาดใจอยู่แล้ว ข้างนอกฝนฟ้าตกลงมาหนักขึ้น ผมตัดสินใจถูกแล้วที่มาขอพัก ไฟทำให้รู้สึกร่างกายดีขึ้น ดวงตาปรือๆ หนังตามันหนัก ไม่มีกะใจจะมองหาเจ้าของที่ ไม่รู้ไปทางไหนแล้ว อาจแวะไปทำธุระส่วนตัวก็เป็นได้
เพียงอึดใจต่อมา เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าอ้อมมาทางด้านหลังกระต๊อบ ก่อนส่งตัวขึ้นไปนั่งบนพื้นไม้เสียงดังแอด ไกวขาข้างหนึ่งน้อยๆ กลิ่นควันยาฉุนลอยมาแตะจมูก ยาสูบที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านชอบสูบกัน ผมไม่อาจหันไปมองหน้าลุงได้ มีเพียงริมฝีปากขยับพูดเหมือนคนละเมอ
“ขอบคุณลุงมากที่ให้ผมพัก ผมสัญญา ขามาคราวหน้า จะเอาเหล้า เอาไก่มาตอบแทนให้ลุงนะ” พูดจบผมก็แทบสลบด้วยพิษไข้ เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังตอบมา คล้ายจ่อที่ใบหู
“เอ็งสัญญาแล้วนะ อย่าลืมเสียล่ะ”
เสียงลมเสียงฝนภายนอกยังคงดังอื้ออึง น้ำป่าไหลหลากอย่างน่ากลัว ซุงที่พวกลักลอบตัดไม้ ถูกน้ำป่าพัดพามาด้วย ชนเข้ากับโขดหินและกับรากไม้ใหญ่ดัง ตึ้ง ตึ้ง คล้ายอสุรกายร่างใหญ่โตกำลังก้าวเท้าเดินมาถึง ผมคล้ายจะฝันไป หรืออยู่ในภาวะผีอำ เสียงหัวเราะพวกนั้นดังประหนึ่งเสียงของภูตผีปีศาจทำเอาขนลุกขนพอง แห่กันมายืนอออยู่ด้านหน้ากระต๊อบ ลุงหย่อนตัวลงเหยียบพื้นดิน เดินอ้อมร่างของผมออกไปข้างนอก ได้ยินเสียงพูดจากันดังไม่ได้ศัพท์ ที่ผมได้ยินถนัดคือประโยคท้ายๆ
“ลูกวัวหลุดเข้ามาในคอกสูแล้ว เอามาฉีกแขนฉีกขา แบ่งกันกินเถอะ”
“ไม่ได้! พ่อหนุ่มเป็นแขกของฉัน เมื่อรับเข้ามาแล้ว ใครจะทำอันตรายเขาไม่ได้”
หลังจากนั้นเหมือนพายุจะเข้ามาอีกระลอก ต้นไม้ที่รายล้อมสั่นครืนอย่างน่ากลัว ขนาดว่าต้นไม้ใหญ่เหมือนว่าจะถูกถอนรากถอนโคนจากความเกรี้ยวกราด ขณะที่สติของผมค่อยเลือนลงคล้ายจมดิ่งสู่นิทรารมย์ เนิ่นนานจนรู้สึกถึงลมเย็นมาสัมผัสผิวกาย ฝันร้ายได้ผ่านไปแล้ว ขณะที่ความหนาวทารุณกำลังรุกรานเข้ามาถึง ฟืนไฟดับสนิทแล้ว ไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ แต่ผมไม่อาจขยับลุกขึ้นมาช่วยเหลือตัวเองได้ อึดใจต่อมาคล้ายมีความอบอุ่นบางอย่างเข้ามาแนบลำตัวทั้งสองด้าน จนคลายจากความทุรนทุราย
“เอ็งหลับให้สบายเถอะ ไม่นานก็จะเช้าแล้ว เฮอะๆ” น้ำเสียงของลุงไม่มีแววตกใจจากเหตุวิวาทฟาดฟันในเมื่อครู่เลย ทำให้ผมคลายจากความวิตกกังวล จมดิ่งสู่นิทรารมย์อีกครั้ง
รุ่งเช้าแล้ว เสียงของป่าปลุกผมให้ตื่นขึ้น ใบไม้สีเขียวสดปล่อยน้ำค้างหยดแมะ นกกระจอกบินลงมาเขย่าตัวกับแอ่งน้ำขัง ผมสลัดความอ่อนเพลียลุกขึ้นนั่งได้ ยกมือลูบใบหน้า มองดุ้นฟืนที่ดับสนิทแล้วเหลือแต่ขี้เถ้า มือลูบสีข้างมีขนหมาติดเต็ม เมื่อคืนมีหมามานอนขนาบผมแน่ มิน่าถึงรู้สึกอบอุ่น แม้ว่าไฟจะดับไปนานแล้ว
พอยืนขึ้น ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมเหมือนถูกสาบให้กลายเป็นหุ่น ภายในกระต๊อบไม่ใช่อย่างที่คิดเสียแล้ว สภาพเสาและไม้กระดาน ฝุ่นจากปลวกหนาเป็นนิ้ว ไม่มีร่องรอยที่ใครจะมานั่งเพราะมันมีแต่ของเซ่นไหว้ จานสังกะสีที่มีธูปเทียนดอกไม้ ยาฉุนกับไม้ขีดไฟ ขวดเหล้าขาว กระถางที่เหลือเพียงก้านกับขี้เถ้าธูป ที่นี่คือศาลเจ้าที่ ทำเอาคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องภูตผีสิ่งลี้ลับอย่างผมหายใจไม่เต็มอิ่มนัก ก่อนจะถอนใจออกมาดังแรง
“วางใจเถอะครับลุง ผมจะเอาไก่และเอาเหล้ามาตอบแทนแน่”
เรื่องจากพันทิป หนุ่มหาของป่าผจญอาถรรพ์ปางไม้เถื่อน
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป แจ็ค ในสวนถั่ว
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย