หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

HOME

30 ก.ย. 2562

ช่วยน้องป.1 รอพ่อกลับบ้าน


      เรื่องราวที่ย้อนกลับไปในวัยเด็กย่านชนบทเมื่อเด็กคนหนึ่งที่เขาพบ ต้องการความช่วยเหลือ ในขนะที่เขายังเด็กนั้นเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นแฝงไปด้วยความหลอน "เรื่องช่วยน้องป.1 รอพ่อกลับบ้าน"โดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ย้อนกลับไปในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ
สมัยนั้น แถวๆบ้านผมเรียกได้ว่ายังเป็นชนบทอยู่ครับ
บ้านเรือนก็ยังมีไม่มากนัก บ้านแต่ละหลังก็อยู่ห่างกันพอสมควร
ไม่ได้สร้างติดกันจนแออัดเหมือนสมัยนี้
อย่างบ้านผมนี่ หลังบ้านติดทุ่งนาเลยทีเดียว

ตอนนั้นผมอายุ 12 ปี เรียนอยู่ ป.6 พอเลิกเรียนผมก็เดินกลับบ้าน
ไม่มีรถรับส่งเหมือนอย่างสมัยนี้หรอกครับ
แต่บางวันกว่าจะกลับจากโรงเรียนได้ ก็มัวแต่เล่นกับเพื่อนๆจนมืดค่ำถึงได้กลับบ้าน
และถ้ากลับถึงบ้านตอนท้องฟ้าไม่มีแสงเมื่อไหร่ ก็จะโดนแม่ตี ทุกครั้ง
ดังนั้นผมก็เลยต้องกลับบ้านก่อนมืดเสมอ


ทุกๆวันระหว่างทางกลับบ้าน ผมจะเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง  ซึ่งอยู่ละแวกบ้านผม
ประมาณช่วงต้นๆซอยหน่อย
เมื่อก่อนบ้านหลังนั้นเป็นร้านขาย พวกก๋วยเตี๋ยว พวกแกงเส้น ของหวาน
ตอนเด็กๆผมก็แวะกินบ้าง เวลาที่กลับจากโรงเรียน

แต่พอป้าคนขายที่เขาเป็นเจ้าของร้าน เสียชีวิตลง เขาก็ปิดร้านไปเลย
ไม่เห็นเขาเปิดร้านตรงนั้นอีกเลย
ช่วงหลังๆก็เห็นคนมาอยู่บ้านหลังนั้น   ไม่รู้ว่าเป็นญาติหรือคนมาเช่าอยู่นะครับ

แต่ช่วงผมอยู่ ป6 นี่แหละครับ เวลาเดินกลับบ้านตอนเย็น
บางวันผมก็เห็น น้องผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ชุกนักเรียน นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน
คล้ายๆรอพ่อหรือแม่กลับมา

แต่ผมจำได้ว่าน้องเขาก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันกับผมนี่แหละครับ
เพราะตอนเข้าแถวหน้าเสาธงก็เจอน้องเขาอยู่บ้าง น้องเขาน่าจะเรียนอยู่ราวๆ ป.1
บางวันผมก็เห็นพ่อของน้องเขากำลังไขกุญแจเข้าบ้าน โดยมีน้องเขายืนอยู่ข้างๆ
แต่ก็ไม่เคยเห็นแม่ของน้องเขาสักทีนะครับ

นานๆครั้งผมก็เห็นน้องคนนี้นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน รอพ่อของเขา
จนชินตา และรู้สึกไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

จนกระทั่งวันหนึ่ง
หลังจากเลิกเรียนแล้ว ผมก็มัวแต่เล่นกับเพื่อนที่โรงเรียนเพลินจนลืมเวลาเลย
พอมองดูท้องฟ้าอีกที พระอาทิตย์ก็เริ่มอัสดงแล้ว
"ตายห่าหละ จะมืดแล้วหรือ โดนแม่ตีแน่เลย"
พอคิดได้ก็รีบบอกเพื่อนว่า "กลับก่อนหละ เดี๋ยวแม่ตี"

ผมรีบกลับบ้านในช่วงเวลาที่โพเพ้  กึ่งวิ่งกึ่งเดิน จนมาถึงแถวๆ ซอยบ้านผม
พระอาทิตย์เริ่มสองแสงริบหรี่ บรรยากาศสะโหลสะเหล จนกดดันให้ผมต้องรีบเดิน
พอเดินมาใกล้จะถึงบ้านน้อง ป.1 คนนั้น
มองไประยะสายตาก็เห็นน้องเขานั่งเล่นอยู่ตรงหน้าบ้าน
ผมนึกในใจ  " โหจะมืดค่ำแล้วพ่อเขายังไม่กลับอีกหรือนี่ "
แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก รีบเดินกลับบ้านต่อ
พอเดินเข้าไปใกล้ๆ
น้องเขานั่งเล่นเหรียญบาทอยู่หน้าบ้าน
บ้านหลังนั้นเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวเก่าๆ หลังคาสังกะสี  หน้าบ้านเป็นประตูที่เอาไม้กระดาน
หลายๆแผ่นมาเรียงกันเป็นประตู เวลาเปิดแผ่นไม้นั้นออกทุกบาน มันก็จะเป็นร้านโล่งๆ
ที่ใช้ทำร้านก๋วยเตี๋ยวสมัยก่อน
ข้างหน้าก็เป็นชานพักที่ยกสูงขึ้นมาสูงประมาณเข่า ชานพักนี้ก็ทำจากไม้แผ่นกระดานเก่าๆ ยาวไปตลอดแนว
น้องคนนั้นนั่งเล่นเหรียญบาท อยู่ตรงชานไม้หน้าบ้าน ปล่อยเหรียญให้กลิ้งไปตามแผ่นไม้ที่เป็นชาญบ้าน

ผมมองผ่านๆตา ไม่ได้ใส่ใจอะไร
พอเดินผ่านเข้าไปใกล้ๆผมก็เห็น เหมือนเหรียญบาท ที่น้องเขากลิ้งเล่น มันหล่นลงไปในช่องไม้
ที่มันวางเรียงกันไม่สนิท  มันก็เลยตกลงไป ตรงช่องนั้น
แล้วก็เห็นน้องเขา รีบก้มลงไปส่องดูตรงช่องที่เหรียญนั้นตกลงไป
พอผมเดินไปใกล้จะถึง น้องเขาก็ลุกขึ้นมาแล้วก็วิ่งลงไปที่ถนนหน้าบ้าน หยิบเศษไม้ ที่เป็นเหมือนไม้เสียบลูกชิ้น
แล้วก็วิ่งกลับไปที่ชาญพัก เอาไม้เขี่ยๆลงไปในรูที่เหรียญตกลงไป

พอผมเห็นก็หยุดดู
กะว่าจะเข้าไปช่วยน้องเขา

พอเข้าไปนั่งลงข้างๆน้องเขา ก็ถามน้องเขาว่า
มองเห็นหรือมันมืดแล้ว

น้องเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผม แล้วก็ยิ้มให้
ผมก็เลยส่องลงไปตรงช่องที่น้องเขาส่องอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย มันมืดมาก
ก็เลยบอกน้องเขาไปว่า
"เอาอะไรมาขีดไว้ ว่ามันตกลงไปตรงช่องนี้ แล้วพรุ้งนี้ตอนเช้าค่อยมาหา"
"ตอนนี้มันมืด มองไม่เห็นหรอก"
น้องเขาก็เลยวิ่งลงไปที่ถนนอีก แล้วก็ไปหยิบเอา เศษถ่านก้อนดำๆ มา
แล้วก็มาขีดไว้ตรงช่องที่มันตก

พอทำเครื่องหมายไว้แล้ว
ผมก็เลยถามน้องเขาว่า "ยังไม่เข้าบ้านอีกหรือ จะมืดแล้วนะ"
น้องเขาก็บอกว่า "พ่อยังไม่กลับ "
ผมก็เลยพูดไปว่า "อ้าวแล้วไม่มีกุญแจเข้าบ้านหรือ"
น้องเขาก็ตอบว่า
" ไม่มี "
"แต่เคยเห็นพ่อเอากุญแจไปซ่อน ไว้ตรงหลังบ้าน  "

ผมก็เลยแปลกใจ
"อ้าว รู้แล้ว  แล้วทำไมไม่ไปเอาหละ "
น้องเขาก็บอกว่า  เขาตัวเล็ก เอื้อมไม่ถึง มันอยู่สูง
ผมก็เลยบอกให้น้องเขาพาผมไปดูหน่อย มันอยู่ตรงไหน

พอน้องเขาพาผมเดินอ้อมไปตรงหลังบ้านไม้เก่าๆหลังนั้น
รู้สึกว่า ด้านหลังมันจะยกพื้นสูงไปอีกสเต็ปหนึ่ง
คือถ้าก้มตัวคลานไปตรงใต้ถุนบ้าน มันจะคลานเข้าไปได้ ในส่วนของตรงด้านหลังบ้านนะครับ
แต่ว่าด้านหน้าบ้านจะยกสูงแค่เลยเข่าไปนิดหนึ่ง

พอไปถึงหลังบ้าน น้องเขาก็พาผมมุดคลานเข้าไปใต้ถุงบ้าน แล้วก็พาไปหยุดอยู่ตรงเสาต้นหนึ่งที่อยู่แถวๆขอบตัวบ้าน
น้องเขาชี้ไปให้ผมดูตรงข้างบนที่เป็นพื้นบ้าน มันมีไม้แตกเป็นปล่องเล็กๆขนาดเท่ามือคนสอดเข้าไปได้
น้องเขาบอกให้มองลอดช่องนั้นขึ้นไป
ผมก็เลยค่อยๆเอาหน้าไปแนบที่ปล่องตรงนั้นแล้วก็มองขึ้นไป
ตอนนั้น บรรยากาศเริ่มค่ำแล้วแสงก็เริ่มริบหรี่ลง
จวบกับในตัวบ้านไม่ได้เปิดหน้าต่างอะไรด้วย ยิ่งทำให้ข้างในค่อนข้างมืดครับ
ผมกวาดสายตามองไปรอบๆก็เห็นผนังบ้าน เห็นเสาต้นที่ผมเอามือจับอยู่ยาวไปถึงหลังคา
แล้วก็เห็นพวงกุญแจ พวงหนึ่งห้อยอยู่ ตรงเสา
ดูๆแล้วมันก็ห้อยอยู่สูงพอสมควร ถ้าวัดจากตรงที่ผมยืนอยู่จากใต้ถุนบ้าน

ผมก็เลยบอกน้องเขาไปว่า  "เห็นแล้ว ใช่พวงที่แขวนอยู่ตรงเสานี้ใช่ไหม"
น้องเขาก็บอกว่า "ใช่"

ผมก็เลยหันตัวกลับลงมา แล้วก็ค่อยๆสอดมือเข้าไปตรงช่องนั้นช้าๆ
พยายามนึกถึงตำแหน่งที่กุญแจนั้นห้อยอยู่ แล้วก็กะระยะ ว่ามันอยู่ประมาณไหน
แล้วก็ยืดแขนไปจนสุด
แต่รู้สึกเหมือนไม่ถึงครับ
ผมก็เลยค่อยๆยืดปลายนิ้วไปอีก ตวัดปลายนิ้วไปมา ควานหากุญแจไปรอบๆ
จนรู้สึกว่าปลายนิ้วผมมันเฉี่ยวไปโดนกับเหล็กอะไรสักอย่างเย็นๆ
ผมก็เลยบอกน้องเขาว่า อ้า.. จะได้แล้ว

แล้วผมก็เอียงคอจนหน้าติดกับใต้พื้นไม้ เหยียดแขนไปจนสุดไหล่
ตวัดนิ้วไปอีกที
คราวนี้ รู้สึกว่า นิ้วผมไปโดนพวงกุญแจ จนมันกระเด็นตกลงไปที่พื้นเลยครับ

พอได้ยินเสียงกุญแจตกพื้น ผมก็ตกใจ " อ้าวเอ้ย.. ตกไปไหนแล้ว"

พอได้ยินเสียงกุญแจตก
ผมก็รีบดึงแขนออกมาจากรู แล้วก็รีบเอาตาไปส่องดูกับรูไม้นั้น
พยายามเอียงให้สายตามองไปตามพื้น มองให้รอบๆ
แต่ก็มองไม่เห็นพวงกุญแจที่ตก
พอกรอกตามองขึ้นไปบนเสา ก็ไม่เห็นกุญแจพวงนั้นแล้ว
ผมก็เลย รีบก้มกลับลงมาหาน้องเขา
แล้วก็พากันคลานออกไปตรงหลังบ้าน

พอถึงตรงหลังบ้านผมก็พยายามมองหา ช่องที่พอจะส่องเข้าไปดูข้างในบ้านได้
เพื่อมองหากุญแจ ว่ามันตกลงไปอยู่แถวๆไหน
ผมยืนเล็งตำแหน่งให้ค่อนไปทางเสาบ้าน ต้นนั้น
มองหาช่องจะส่องไปมาอยู่พักหนึ่งก็ เห็นว่าพอจะมีช่องไม้ที่มันเป็นร่องต่อกันไม่สนิทอยู่
ก็เลยรีบเอาตาแนบส่องไปที่ช่องไม้นั้น
พอมองไป ในตัวบ้านก็เห็นพื้นบ้าน เป็นไม้สีออกดำๆเงาๆ ที่พื้นมีข้าวของตกอยู่กับพื้น
สองสามชิ้น
ผมพยายามย่อตัวลง กวาดสายตามองไปแถวๆโคนเสาที่กุญแจห้อยอยู่
แล้วผมก็เห็น พวงกุญแจนั้นตกอยู่กับพื้น
มันอยู่ใกล้ๆกับรอยต่อของพื้นกระดานพอดี
ถ้าเอาไม้บางๆสอดเข้าไปในช่องรอยต่อพื้นไม้นั้น
แล้วก็เขี่ยพวงกุญแจมาที่ปล่องที่เราไปเอากุญแจ
มันน่าจะทำได้นะ

ผมรีบหันไปบอกน้องเขาว่า ไปหาไม้บางๆยาวสักฝ่ามือ มาให้หน่อย
พูดจบ น้องเขาก็รีบวิ่งไปทางหน้าบ้าน

ผมก็เลยส่องช่องไม้นั้นเข้าไปดูกุญแจอีกครั้งหนึ่ง
แต่ขณะที่ผมกำลังมองดูกุญแจอยู่นั้น
อยู่ๆก็เห็นเหมือนกระป๋อง อะไรสักอย่าง มันกลิ้งเข้ามาอยู่ในแนวสายตาที่ผมส่องอยู่
แต่มันไม่เห็นอีกครึ่งหนึ่งของกระป๋อง
ผมพยายามเอียงหน้าส่องไปดูให้เห็น เต็มๆกระป๋องนั้นชัดๆ
แต่มันก็มองไม่เห็นเพราะมุมไม้ที่ส่องมันบังคับให้เห็นได้แค่นั้น

ตอนนั้นผมก็คิดในใจ เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นลมพัด

แต่แล้วอยู่ๆ กระป๋องนั้นมันก็เหมือนถูกคนดึงกลับคืนไปครับ
เหมือนถูกดึงพรวดหายไปอย่างเร็ว

เฮ้ย.. มีคนอยู่นี่หว่า

ผมนึกในใจ ปนตกใจ

สักพักก็ได้ยินเหมือนเสียงคน ลากเก้าอี้ขูดไปตามพื้นไม้เสียงดัง อยู่ข้างๆอีกด้านหนึ่ง
ผมตกใจ แทบจะกลั้นลมหายใจให้เบาที่สุด เพราะกลัวคนที่อยู่ข้างในจะรู้ตัวว่าผมแอบดูอยู่
ผมค่อยๆเดินย่องๆไปแถวๆ เสียงนั้นดัง
แล้วก็หาช่องที่จะพอส่องดูข้างในได้
พอเห็นช่องช่องหนึ่ง ผมก็รีบมองลอดช่องนั้นเข้าไปดูทันที

ปรากฏว่า

ปรากฏว่า
ผมเห็นหลังคนคนหนึ่ง เดินเข้าไปตรงบานประตูที่เปิดอ้าอยู่ ตรงห้องข้างๆ
ผมตกใจพรางนึกในใจ  เฮ้ย  ขโมยหรือเปล่าวะ
แล้วผมก็จ้องไปตรงแถวๆประตูที่เปิดอ้าอยู่
บานประตูมันบังช่องประตู ทำให้มองไม่เห็นข้างใน
ผมพยายามมองลอดช่องบานพับประตูเข้าไป ว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรอยู่ข้างในห้องนั้นไหม
แต่ก็ยังเงียบอยู่

ผมก็เลยมองไปรอบๆอีกที ถัดจากประตูที่เปิดอ้าอยู่ ตรงข้างหน้าผมเห็นเป็นเก้าอี้ตัวหนึ่งล้มอยู่
ที่พื้นมีของตกเกลื่อน คล้ายๆกระดาษโดนฉีก ขยำๆอยู่หลายแผ่น
ตอนนั้นบรรยากาศข้างในเริ่มมืดแล้วครับ แทบจะมองไม่เห็นอะไรแล้ว

ใจผมเริ่มเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว มันมีอาการใจหวิวๆขาสั่นๆยังไงไม่รู้ครับ
แล้วสักพัก อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงบ้านสั่นครับ
มันสั่นครืนๆไปทั้งหลัง เหมือนมีคนเขย่าๆบ้าน
ผมตกใจ ตัวเกร็งไปทั้งตัว พยายามเอียงสายตามองไปทางประตูห้อง
ด้วยความอยากรู้ว่าข้างในมีอะไรเกิดขึ้น

แล้วอยู่ๆผมก็เห็นผู้ชายร่างท้วมๆสูงใหญ่ เดินออกมาจากประตู
เดินออกมาแถวๆเก้าอี้ที่ล้ม   ตอนนั้นมันเริ่มมืดจนมองหน้าเขาไม่ถนัดครับว่าเป็นใคร
แต่เหมือนเขาเดินมาก้มมองหาอะไรสักอย่างอยู่แถวๆนั้น

แล้วก็เดินกลับไปตรงประตูที่เปิดอ้า
ประตูบังตัวเขาไว้ เหมือนเขานั่งลงตรงข้างๆประตูแล้วมีแค่ส่วนหลังเขาโผล่มาให้เห็น
แล้วเขาก็ ร้องไห้ ฮือๆ  ออกมา อยู่พักหนึ่ง
ก่อนจะเห็นเขายืนขึ้นเดินมาแถวๆเก้าอี้ที่ล้มอยู่ ในมือถือสายอะไรบางอย่างดำๆลากไปกับพื้น
แล้วเขาก็เดินผ่านเก้าอี้ตัวนั้นไป  เดินหายไปทางเสาต้นที่แขวนพวงกุญแจ
ผมพยายามมองตามเขาไป แต่มันมองไม่เห็นครับ เพราะช่องไม้มันบังคับแนวสายตาอยู่
พยายามส่องเอียงๆไปมาก็ไม่เห็นชายคนนั้น

จนสักพัก เสียงดังตึง ก็ดังขึ้นอย่างแรงจนผมตกใจ
ผมรีบส่องกลับไปมองตรงเก้าอี้  แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร
แต่อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมันแกว่งไปแกว่งมา อยู่แถวๆข้างบนสายตา
จนผมต้องรีบกรอกตาขึ้นไปดู
เท่านั้นแหละ หัวใจผมแทบจะหลุ่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ผมเห็นร่างดำทะมึน ตัวแข็ง ขาเหยียดยาว ผูกคอแขวนห้อยโตงเตงอยู่กับขื่อบ้าน
จนผมสะกดความกลัวไว้ไม่อยู่ ร้องออกมาจนสุดเสียง

ช่วยด้วย.. มีคนผูกคอตาย..

พอคว้ากระเป๋าได้  ผมก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านหลังนั้นทันที
แหกปากร้องไปตลอดทาง  จนถึงบ้าน
พอถึงบ้านก็เห็นแม่ยืนถือไม้เรียวรอผมอยู่หน้าบ้าน

ผมก็รีบวิ่งไปหาแม่  รีบบอกแม่ ว่า  "มีคนผูกคอตาย แม่"
แม่จากที่ตั้งท่าจะตีผม พอแกเห็นอาการผมแล้วก็ดูเหมือนตกใจ แล้วก็ถามว่า
ใคร ใครผูกคอตาย
ผมก็ตอบกลับไปว่า  "พ่อน้อง ป.1 ที่อยู่ตรงบ้านป้าขายแกงเส้นอะครับ"

หลังจากที่ผมบอกแม่ไป ไม่นาน แม่ก็ไปตามน้าๆกับญาติๆที่อยู่ละแวกนั้น
ให้พากันไปดู  บางคนก็ปั่นจักรยานนำหน้าไปก่อน บางคนก็วิ่งตามไปดู
ผมกับแม่กับพี่สาวพากันเดินตามไป

พอใกล้ๆจะไปถึงต้นซอย ก็มีชาวบ้านแถวนั้น
ออกมายืนดูพวกเรา แล้วก็ถามว่าเป็นอะไรกัน
แม่ก็เลยตอบว่า มีคนผูกคอตาย


พอผมกับแม่ไปถึง ก็เห็น ญาติผมกับคนละแวกนั้น ยืนอยู่หน้าบ้าน น้องป.1
แล้วน้าผมก็บอกว่า เข้าไปเลยไหม  ประตูไม่ได้ล๊อค
ผมก็เห็นน้าผมผลักเข้าไปได้เลย ไม่ได้ล๊อคประตูไว้จริงๆ
พอเปิดประตูเข้าไปได้ ก็มีคนตามเข้าไปดูด้วย ผมกับแม่กับพี่สาวก็เดินตามเข้าไป
ข้างในมันมืดมาก เพราะเริ่มค่ำแล้ว ได้ยินแต่เสียงน้ากับชาวบ้านคนหนึ่งพูดว่า
เปิดไฟตรงไหน
เสียงอีกคนหนึ่งก็บอกว่า เดี๋ยวๆหาที่เปิดไฟก่อน

แล้วสักพัก แสงไฟก็เปิดพรึบขึ้น
เท่านั้นแหละ ผมมองไปตรงไฟที่สว่างอยู่ตรงโถงหลังบ้าน
ก็เห็นเป็นร่างคนห้อยโตงเตง หน้าเขี่ยวคล้ำ ลิ้นจุกปาก
เสียงแม่กับพี่สาว ร้องว้ายขึ้น  รีบเอามือมาปิดตาผม
ได้ยินแต่เสียงแม่พูดว่า อย่าดู อย่าดู

ผมรีบเอามือปัดมือแม่ออก แล้วก็พูดว่า "เดี๋ยวๆ"
รีบมองไปตรงข้างๆประตูที่เปิดอ้าอยู่
เห็นเป็นเด็กใส่ชุดนักเรียน นั่งพิงอยู่กับผนังไม้ข้างๆประตู
สภาพคือ นั่งก้มหน้า เหยียดขาตรง หัวนี้เขียวบวมไปทั้งหัว

ผมร้อง เฮ้ย.. น้องป.1คนนั้นนี่

ขนผมลุกซู่ไปทั้งร่าง ทั้นที

วินาทีนั้นเสียงเอ๊ะอะโวยวาย ดังระงมอยู่ในบ้าน
เพราะมีบางคนก็ร้องออกมาเสียงดัง เหมือนจะบอกให้คนแถวนั้นรู้ว่ามีคนตาย
พี่สาวผมจับผมผลักออกมาข้างนอก บอกว่าเด็กออกไปก่อน
พอผมออกมาข้างนอก มองไปตรงหน้าบ้าน ก็เห็นคนเริ่มมายืนมุงดูกันแล้ว
ทั้งคนแก่คนหนุ่ม ลูกเด็กเล็กแดง ก็มายืนกันเต็ม
บางคนก็ถามว่า เป็นอะไรกัน
บางคนก็พูดว่า ไปตามกำนัน มาดูหรือยัง

ผมยืนอยู่กับพี่สาว ฟังชาวบ้านเขาคุยกันไปต่างๆนาๆ
แล้วน้าผมก็ออกมาจากข้างใน ก็มาเล่าให้ชาวบ้านฟัง

น่าจะตายนานแล้ว ศพขึ้นอืดแล้ว
ข้างๆ ศพเด็ก เห็นแต่ขวด ยาโฟลิดอล  (ยาฆ่าหญ้า)
กรอกไปหมดขวดเลย

พอผมได้ฟังนี่  ผมสงสารน้องเขามากเลย
คงทรมานมาก
ยังไง ก็ขอให้น้องไปสู่สุคติ ภพภูมิที่ดีๆนะ

ยังนึกถึงน้องไม่ทันไร
อยู่ๆก็เหมือนมีเด็กวิ่งแหวกกลุ่มคนมุงดู ตรงมาทางผม
ผมมองไป
อ้าว น้อง ป.1 คนนั้นนี่

ผมตกใจ  เฮ้ย..
ชะงักไป  ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง

ก่อนจะได้ยินเสียงน้องเขาถามว่า

"พี่ เขามาทำอะไรกัน"

ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบ
พอมองไปทางที่น้องเขาวิ่งมา ก็เห็นพ่อของน้องเขาเดินแหวกกลุ่มคนตามน้องมาติดๆ
แล้วก็ถาม พวกน้าผมว่า เกิดอะไรขึ้น

น้าผมก็ตกใจ
อ้าว.. ไม่ใช่คุณหรอกหรือที่ผูกคอตาย


หลังจากที่ พ่อของน้องป.1 เข้าไปดูศพแล้ว
เขาก็ออกมาเล่าให้พวกน้าฟังว่า

น้องชายเขาตกงาน ก็เลยพาลูกน้อยมาขออยู่ด้วย
ก็มาขออาศัยอยู่ได้สองสามวันแล้ว
ตัวเองก็เลยให้น้องชายอยู่ที่บ้านหลังนี้ไปก่อน
ส่วนตนกับลูกก็ไปอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง

แต่วันนี้ตัวเองต้องไปทำงานกลับดึก ก็เลยบอกให้ลูกมารออยู่ที่นี่
เพราะคิดว่า น้องชายก็อยู่บ้านนี้
ก็กะว่าเสร็จธุระแล้วก็จะแวะมารับลูกสักช่วงหัวค่ำหน่อย
แต่พอมาถึงแล้วก็ไม่คิดว่าน้องชายจะคิดสั้นแบบนี้

พอผมได้ฟังที่พ่อของน้องบอก ก็คิดถึงช่วงตอนเย็นขึ้นมา

ดีนะที่น้องเขาคิดว่าเข้าบ้านไม่ได้ ถ้าคืนน้องเขาเปิดประตูเข้าไป
แล้วไปเจอสภาพแบบนั้น สงสัยช็อคตาย

หลังจากยืนรอกำนันอยู่พักหนึ่ง ก็มีคนมาจัดแจงนำศพทั้งสองไปวัด
คนก็ถึงแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

พอกลับถึงบ้าน ผมก็ไปเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟัง คืนนั้น หมาหอนทั้งคืนเลยครับ

ผมกับพี่สาวกางมุ้งนอนด้วยกัน ไม่รู้ว่าใครนอนดิ้นไปอี่ท่าไหน
ดันโดนหูมุ้งขาด ทั้งผมกับพี่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมา เกี่ยวหูมุ้งใหม่เลย
พากันนอน ขดอยู่ในมุ้งแบบนั้นจนถึงเช้า

ตื่นเช้ามา ปรากฏว่าพี่สาวกลายเป็นคนไม่สบายไป  เหมือนหนาวๆร้อนๆ
จนพ่อกับแม่ต้องพาพี่สาวไปวัด เพื่อรดน้ำมนต์

แม้ว่าจะได้คุยกันกับน้องคนนั้นไม่กี่ครั้ง
แต่มันก็รู้สึกเหมือนว่า เป็นคนรู้จักกัน คงเพราะเห็นน้องเขานั่งอยู่ตรงหน้าบ้านบ่อยๆ
วันนั้นผมรู้สึกดีใจมาก ที่คนเสียชีวิตไม่ใช่น้องเขา
เล่นเอาซะผมหายใจหายคอไม่ทั่วท้องเลย

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไป ผมก็ไม่เคยเห็นน้อง ป.1 มานั่งรอพ่อเขาอีกเลยครับ
แล้วบ้านหลังนั้นก็ถูกปิดตาย จนทรุดโทรมลงไปมาก
ทางเจ้าของเขาก็เลยรื้อบ้านหลังนั้นออกไปในที่สุด

จบ บริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป ช่วยน้องป.1 รอพ่อกลับบ้าน
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735

วันงานคืนสู่เหย้า


     วันงานคืนสู่เหย้างานเลี้ยงที่มีแต่ความสนุกสนาน กับเพื่อนที่ไม่ได้พบปะกันมานาน แต่ใครจะรู้ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นสยองของเรื่องนี้  จากนักเขียนแห่งพันทิปผู้เล่าเรื่องสยอง สมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ตั้งแต่มีเฟสบุ๊ค มีไลน์  มันก็ทำให้ผมได้เจอเพื่อนเก่าๆสมัยเรียนหลายคน
บางคนก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นสิบๆปี บางคนก็เป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยประถม
หลายๆคนมีการมีงานทำที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีแฟน มีสามี ที่ดี มีลูกที่น่ารัก
หลังจากรวมกลุ่มเพื่อนได้อยู่หลายปี
วันหนึ่งก็มีกลุ่มเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ สมัยประถม จนถึงมัธยมปลาย
มาชวนผมไปงานเลี้ยงรุ่นที่โรงเรียนเก่า
มันเป็นคล้ายๆงาน คืนสู่เหย้า มากกว่าครับ เพราะไม่ได้เน้นว่ารุ่นไหนบ้างที่มากัน
ใครรวบรวมรุ่นตัวเองได้มากเท่าไหร่ ก็จองโต๊ะให้รองรับไปเท่านั้น
หลังจากเพื่อนๆมาชวนกัน ก็รวบรวมเพื่อนที่จะไปเจอกันในงานได้ราวๆ 20 คน
ก็เลยจองโต๊ะกับทางโรงเรียนไป สองโต๊ะ

แม้ว่าเพื่อนๆหลายๆคนที่คุยกันทางเฟส ทางไลน์กับผมประจำ ในกลุ่มที่ตั้งขึ้น
แต่พวกเราก็ยังไม่เคยนัดเจอกันเลยสักครั้ง
ครั้งนี้ก็เลยดูเหมือนเพื่อนๆจะเตรียมตัวกันเป็นการใหญ่พอสมควร
บางคนก็อวดผมทรงใหม่ บางคนก็ตัดชุดใหม่สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
โพสอวดกันใหญ่ในเฟสบุ๊ค

พอถึงวันงาน
ผมมาทำงานกรุงเทพ ระยะทางจากกรุงเทพมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนเก่าก็ราวๆสักสองสามชั่วโมงได้
พอช่วงเที่ยงๆผมก็ออกไปรับเพื่อนๆ ที่จะติดรถผมไปด้วย เพราะบางคนก็มาทำงานกรุงเทพเหมือนกัน
บางคนก็มาได้ครอบครัวที่นี่
พอไปถึงที่นัดหมาย ก็เจอเพื่อนๆนั่งคุยกันอยู่ 7-8 คน ต่างคนต่างดีใจ ที่ได้เจอกันอีก
"เฮ้ย... ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอแกอีก"
เสียงทักทายของเพื่อนๆดังขึ้น แล้วก็คุยกันจ่อกแจกจอแจเต็มร้าน
คุยกันได้สักพักพวกเราก็พากันเช็คดูว่ายังเหลือใครอีกที่ต้องรอ

เช็คไปเช็คมาก็มีคนพูดขึ้นว่า
ไอ้เปี๊ยกไง   กับ ไอ้ป๋องอีกคน
เพื่อนๆก็เลยบอกให้โทรไปตาม
หลังจากเพื่อนโทรเช็คแล้ว ก็สรุป ว่าไอ้เปี๊ยกเดี๋ยวมันจะขับรถตามไปเอง
ส่วนไอ้ป๋อง มันติดธุระอยู่ สักพักถึงจะเสร็จ  แต่มันไม่มีรถมา
เพื่อนก็เลยบอกว่า เดี๋ยวงั้นให้เปี๊ยกไปรับไอ้ป๋องมาด้วย
หลังจากตกลงกันได้แล้ว ก็พากันแยกย้ายออกเดินทาง
เพื่อนกลุ่มหนึ่งก็แยกไปกับรถอีกคัน
เพื่อนอีกกลุ่มก็แยกมากับรถผม
มีไอ้โชค แล้วก็ อีก สองสาว คือ ดาว กับ ฟาง
ขับรถออกมาได้สักพัก
พอเพื่อนมารวมกลุ่มกันเมื่อไหร่ ก็ไม่พ้นที่จะเม้าท์เรื่องไอ้เปี๊ยกกัน
คือ ไอ้เปี๊ยกมันเป็นเด็กเรียนเก่งมาก แต่มันมีนิสัยขี้หลีครับ
จีบเพื่อน จีบรุ่นน้องไปทั่ว จนหลายๆคนก็หมั่นไส้มัน
แต่มันก็เป็นคนเฮฮาดีครับ เพื่อนๆก็เลยชอบหยอกมัน
แล้วได้ยินข่าวว่าแฟนมันสวยมาก เพื่อนๆก็เลยพากันเม้าท์เรื่องมันกันใหญ่
คุยไปได้สักพัก เมื่อเพื่อนมาเจอกัน ความพิเรนก็เลยบังเกิด
อยู่ๆไอ้โชคก็เสนอไอเดียร์ขึ้น

"เฮ้ย.. พวกเรามาแกล้งไอ้เปี๊ยกกันไหม"

ผมก็เลยถามไอ้โชคไปว่า
"แกล้งมันมาตั้งแต่ ม.4 ยัน ม.6 หมดมุกจะแกล้งมันแล้ว ยังมีมุกใหม่อีกหรือวะ"
ไอ้โชคก็บอกว่า "มีซิ เรามาแกล้งหลอกผีมันเอาไหม"
ผมก็ถามว่า "หลอกยังไง"
ไอ้โชคก็พูดขึ้นว่า
"เดี๋ยวข้าจะโทรไปหาไอ้เปี๊ยกแล้วก็บอกมันว่ารถเสีย จะขอติดรถมันไปด้วย ให้มันมาแวะรับหน่อย"
"แล้วจากนั้น ก็ให้พวกเอ็งโทรไปหามัน บอกว่าข้าตายแล้ว"
"พอมันเชื่อ เดี๋ยวข้าจะโทรไปทำเป็นผีหลอกมันเอง"
พอไอ้โชคพูดจบ ทั้งดาวกับฟางก็ ส่งเสียงดีใจ
"ดีๆ เราเอาด้วย... 555555555"

หลังจากนั้น ไอ้โชคก็โทรไปหาไอ้เปี๊ยก
พอไอ้เปี๊ยกรับสาย
พวกเราในรถพากันเงียบ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

ไอ้โชคก็ถามไปว่า ทำอะไรอยู่
ไอ้เปี๊ยกก็ตอบมาว่า กำลังจะไปรับไอ้ป๋อง
แล้วไอ้โชคก็เลยบอกให้ไอ้เปี๊ยกแวะมารับมันด้วย รถมันเสีย
ไอ้เปี๊ยกก็บอกว่าได้ๆ
แล้วก็เลยนัดกันว่าจะให้มันมารับตรงไหน

พอวางหูเสร็จ พวกเราก็ขำก๊ากขึ้นมาด้วยความที่อั้นขำไว้จนหน้าแดง
หลังจากนั้น ประมาณ สิบนาที ไอ้โชคก็บอกให้ฟางโทรไปหาไอ้เปี๊ยก
ฟางรีบรับมุกทันที "โอเค" ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาโทรหาไอ้เปี๊ยก
พวกเราก็รีบเงียบ เงี่ยหูฟังอีก

พอเปี๊ยกรับสาย
เสียงฟางก็พูดขึ้นเหมือน ตกใจ
"เปี๊ยกหรือ เรา ฟางนะ ... "
เปี๊ยกมันก็ตอบกลับมา แบบคนขี้หลีอีกตามเคย "ว่างัย ฟางสุดสวย"
เสียงฟางทำเสียง... ตื่นเต้นขึ้น
"เปี๊ยก นายรู้ข่าวไอ้โชคยัง"
เปี๊ยก็ตอบมาว่า " อืมรู้แล้ว รถมันเสีย นี่กำลังจะไปรับมัน"
แล้วฟางก็รีบพูดสวนไปว่า
"ไม่ใช่นะ.. เมื่อกี้น้องที่รู้จักเขาโทรมาบอกเราว่าไอ้โชคมันตายแล้วนะ"
เสียงไอ้เปี๊ยกเงียบไปพักหนึ่ง
ตอนนั้นพวกเรากลั้นขำซะจนหน้าแดงไปหมด
แล้วไอ้เปี๊ยกก็พูดขึ้นมา
"ไอ้โชคมันตายเมื่อไหร่"
ฟางก็ตอบไปว่า
"เห็นน้องเขาบอกว่า ตายตั้งแต่เมื่อคืน ขับรถชนประสานงานตายคารถเลย"
เสียงไอ้เปี๊ยกตอบกลับมา
"ไม่ใช่แล้ว ข่าวมั่วหรือเปล่า เราพึ่งคุยกับมันไปเมื่อกี้เอง"

"เฮ้ย... มันไม่เชื่อวะ" ผมนึกในใจ

ไอ้โชคก็เลยส่ง ซิกให้ ฟางรีบวางหู
ฟางก็เลยพูดว่า
"อ้าวหรือ งั้นเดี๋ยวเราลองเช็คดูกับทางญาติมันก่อนนะ"

พอวางหูเสร็จ
ก็ฮากันขึ้นอีก เสียงไอ้โชคสมทบขึ้น

"แม่..ง  หลอกมันยากวะ ดูมันไม่ตกใจเลย"

นั้นนะซิ  5555555555

นั่งรอไปเกือบๆ 10 นาที คราวนี้ไอ้โชคก็ให้ดาวโทรไปบ้าง
พอไอ้เปี๊ยกรับสาย
"ว่างัยดาว ชวนชิม"

เสียงดาว ทำเป็นเสียงเข้ม ดูจริงจังพูดขึ้นว่า
"เปี๊ยก..    ไอ้โชคตายแล้วนะ"
ไอ้เปี๊ยกรีบตอบกลับมา
"ใครบอกเธอ ฟางหรือ ฟางก็พึ่งโทรมาบอกเราเมื่อกี้"

ดาวรีบตอบกลับ
"เปล่านะ  พี่สาวมันโทรมาบอกเราเองเลย"
เสียงไอ้เปียกเงียบไปทันที
ก่อนมันจะพูดขึ้นว่า
"งั้นหรือ เดี๋ยวเราโทรกลับนะ เราทำธุระก่อน"

พอวางสาย
พวกเราก็ขำขึ้นมากันใหญ่อีก
เฮ้ยคราวนี้ดูน้ำเสียงมันจริงจังขึ้นแล้วนะ
สักพัก
อยู่ๆโทรศัพท์ไอ้โชคก็ดังขึ้น
ไอ้โชคจับโทรศัพท์มาดู แล้วก็พูดว่า

"เฮ้ย... ไอ้เปี๊ยกมันโทรมาเว้ย"

เราก็ยิ่งพากันขำกัน

เสียงดาวรีบพูดขึ้น
"ปิดเครืองเลย ปิดเครื่องเลย"

ไอ้โชคก็บอกว่า
"ไม่ได้เดี๋ยวมันรู้ตัว เดี๋ยวปิดเสียงก็พอ"

แล้วหลังจากนั้นไอ้เปี๊ยกมันก็วางสายไป
แล้วมันก็โทรมาใหม่
โทรมาแล้ววางอยู่อย่างนั้น หลายรอบ
พอไม่มีใครรับอยู่หลายครั้ง มันก็เลยไม่โทรมา

รอไปเกือบๆสิบกว่านาที คราวนี้ตาผมบ้างแล้ว
ผมรีบโทรไปหาเปี๊ยก
พอมันรับสาย ผมก็ถามเปี๊ยกไปว่า

"เปี๊ยก รู้ข่าวไอ้โชคตายหรือยัง"

ไอ้เปี๊ยกตอบกลับมา  " อืม พึ่งรู้จากดาว"
ผมก็ถามต่ออีกว่า  "แล้วจะเอางัยดีวะ มันกระทันหันไม่ได้เตรียมตัวเลย"
เสียงเปี๊ยกก็ตอบกลับมาว่า
"อืม.. คงไปเจอกันที่งานคืนนี้ก่อนแหละ แล้วค่อยบอกเพื่อนๆอีกที"

"เยส์ มันเชื่อแล้ว ผมนึกในใจ"

พอวางหูเสร็จ
คราวนี้ ทุกคนก็ต่างเม้าท์กันใหญ่ ไอ้เปี๊ยก เสร็จแน่  55555555
หัวโกร๋นแน่เอ็ง..555555

ขับรถไป
รออยู่เกือบๆ ยี่สิบนาที
คราวนี้ไอ้โชค ขยับ จับโทรศัพท์ขึ้นมา
ทุกคนก็ลุ้น ว่ามันจะทำยังไงต่อ
แล้วมันก็โทรไปหาไอ้เปี๊ยก
เสียงโทรศัพท์มันดัง
ตุ๊ด...ส    ตุ๊ส...... ตุ๊ส....

ดังไปเกือบสิบครั้ง

อ้าว มันไม่รับสายวะ

เสียงไอ้โชคบ่นขึ้น แล้วมันก็กดวางหูไป

เอาใหม่ เอาใหม่

ว่าแล้วไอ้โชคก็กดโทรไปอีก

แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีใครรับสาย
พวกเราที่ลุ้นอยู่ ก็เลยคลายความเกร็งลง ถอนหายใจกันยกใหญ่

ขับมาสักพักใหญ่ ตอนนั้นบ่ายสามโมงเย็นแล้ว
หลังจากที่ทุกคนงีบหลับไปไม่รู้ตัว
เสียงไอ้โชค งวงเงีย งวงเงียขึ้นมา

"อ้าว... ใกล้จะถึงแล้วหรือวะ "
"ยังแกล้งไอ้เปี๊ยกไม่เสร็จเลย สงสัยป่านนี้มันขับตามพวกเรามาใกล้จะถึงแล้วมั้ง"

พูดจบก็ตามมาด้วยเสียงงวงเงีย งวงเงีย ของสองสาว

พอตื่นมาได้สักพัก ไอ้โชคก็โทรไปหาไอ้เปี๊ยกอีก
เสียงดังตุ๊ส... ตุ๊ส... เหมือนเดิม ไม่มีใครครับสาย

ไอ้โชคก็กดวางหูไป

"เฮ้ย.. มันเป็นไรวะ ไม่รับสาย"

แล้วโชคก็บอกให้ ฟางโทรไปหาไอ้เปี๊ยกดูซิ
ฟางก็โทรไปที่เบอร์ไอ้เปี๊ยก  ก็ดังเหมือนกันแต่ไม่มีใครรับสาย

ดาวก็เลยพูดขึ้นว่า
"งั้นเราโทรเอง"
แล้วก็โทรไปหาไอ้เปี๊ยกอีกคน  แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีใครรับสาย

พอมันไม่รับสาย เสียงไอ้โชคก็เริ่มหงุดหงิด
"สงสัยมันจะกลัวจนขี้ขึ้นสมองไปแล้วมั้งนี่"

ว่างแล้วมันก็กดโทรไปหาไอ้เปี๊ยกอีกครั้ง
พอมันดัง ตุ๊ส.. ตุ๊ส.. ได้สองครั้ง
ก็มีคนรับสาย..

เอ้ย... มันรับแล้ว ผมนึกในใจ

เสียงไอ้โชครีบพูดขึ้นทันที
"ไอ้เปี๊ยก ถึงไหนแล้ววะ"

แล้วเสียงปลายสายก็ตอบกลับมาเป็นเสียงผู้หญิงร้องไห้
"พี่เปี๊ยก  พี่เปี๊ยก เสียแล้ว ฮือ.... ฮือ... ฮือ.."

พอได้ยินผมก็ตกใจมาก
เสียงดาวกับฟางร้อง เฮ้ย..! ขึ้นด้วยความตกใจเหมือนกัน
ไอ้โชคเสียงสั่นตะกุตะกัก ถามกลับไปว่า
"ไอ้เปี๊ยกมันเป็นอะไร  มันตายเมื่อไหร่"
เสียงปลายสายก็ตอบกลับมาว่า
"เสียเมื่อกี้นี่เอง.. พี่เขาช็อคหมดสติ พามาส่งโรงพยาบาล หมอพึ่งมาบอกว่าพี่เขาไปแล้ว ฮือ...ฮือ..."

วินาทีนั้น อึ้ง เงียบกันไปทั้งคัน

จนผมทำอะไรไม่ถูกเลย

ผมรีบชะลอรถเข้าข้างทาง
หันไปมองหน้าเพื่อนในรถ

ทุกคนเงียบกันหมด

สักพักเสียงไอ้โชคก็ดังขึ้น

"เฮ้ย... กูไม่เกี่ยวนะ...มันใจเสาะเอง"

ผมนั่งคิดอยู่ ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า

ดาว เช็คดูไลน์กลุ่มซิ ไอ้เปี๊ยกมันโพสอะไรบ้างล่าสุด
ฟาง เธอโทรเช็คเพื่อนก่อนซิ ว่ามีใครคุยกะไอ้เปี๊ยกล่าสุดบ้าง

พอพูดจบ เสียงไอ้โชคก็รีบขัดขึ้น
"เฮ้ย...เฮ้ย.. ฟาง ไม่ได้นะ ถ้าเราโทรหาเพื่อน ๆ เพื่อนๆจะรู้ข่าวจากกลุ่มพวกเรา
แล้วสุดท้ายพวกเขาจะเพ่งเล็งที่กลุ่มพวกเรา ว่าไปรู้ได้ไงว่าไอ้เปี๊ยกตาย"

พอไอ้โชคพูดจบ พวกเราก็นิ่งคิดกัน
แล้วฟางก็พูดขึ้นว่า

"แล้วถ้าไอ้เปี๊ยกมันหลอกพวกเราหละ มันอาจจะแกล้งเราคืนก็ได้นะ"

ยังไม่ทันคิดอะไร อยู่ๆดาวก็พูดขึ้นว่า
เจอแล้ว ข้อความไอ้เปี๊ยกมันโพสในไลน์กลุ่ม
ตอนบ่ายโมงกว่า


มันส่งสติ๊กเกอร์ ว่า เฮงๆ รวยๆ


ผมก็รีบถามว่า "แล้วในเฟสหละ"

ดาวรีบก้มหน้าเปิดดูเฟสมัน
แล้วสักพักก็พูดขึ้นว่า
โพสตั้งแต่เมื่อคืน ตอนสามทุ่ม โพสรูปมันไปเที่ยวกับแฟน

ทุกคนเงียบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ผมก็อดคิดไม่ได้ มันจะแกล้งเราคืนหรือเปล่าวะ
ไอ้โชคก็พูดขึ้น
"กูว่ามันแกล้งเราคืนแน่เลยหวะ
ไม่งั้นป่านนี้แฟนมันลงโพสในเฟสแล้วว่าไอ้เปี๊ยกตายแล้ว"


พวกเราก็ คิดแบบนั้นได้แต่พยักหน้า  "อืม..."


แล้วฟางก็พูดขึ้น
"หรือแฟนมัน อาจจะกำลังยุ่งอยู่ เลยยังไม่ได้มีเวลาดูเฟส"


พูดจบ ไอ้โชคก็พูดอย่างหัวเสียขึ้น
"เอางี้ พวกเราทำตัวปกติ  ปล่อยให้พวกเพื่อนในงานมันรู้เรื่องกันเองดีกว่า"
"อีกอย่าง ถ้ามันแกล้งพวกเรา เดี๋ยวก็รู้เองในงาน"


ดาวก็รีบพูดขึ้นว่า
"เฮ้ย ไม่ได้นะ .. ถ้ามันตายจริงๆหละ เรารู้แต่เราจะไม่บอกเพื่อนเลยหรือ"
ไอ้โชคก็พยายามตัดบท
"ถ้างั้น เราจะรอจนกว่างานจบ ถ้ายังไม่มีใครรู้เรื่อง ข้าจะบอกทุกคนเอง"


เรานั่งถกเรื่องไอ้เปี๊ยกกันอยู่นาน จนสุดท้ายก็สรุปได้ว่า
ให้รอดูมันในงานคืนนี้ก่อน บางทีมันอาจจะแกล้งพวกเราก็ได้


เสียงไอ้โชคบ่นออกมาก่อนผมจะออกรถ

"แม่.. ง  มันเล่นคืนแสบ หวะ.. ปวดหัวเลยตู"


หลังจากแวะไปส่งดาวกับฟาง ที่บ้านแล้ว
ผมก็ไปบ้านไอ้โชคแล้วก็พักรอ เวลาจะไปงาน อยู่ที่บ้านมัน
ดูๆอาการมันแล้วเหมือนมันเครียดอยู่ไม่หาย ทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา
หกโมงเย็น ก็เลยพากันเดินทางไปงานกัน

พอถึงงานที่โรงเรียนเก่า  เข้าไปนั่งที่โต๊ะที่เราจองก็เจอเพื่อนๆมากันแล้วสี่ห้าคน
สักพัก ดาวกับฟางก็มาสมทบ ดาวขับรถที่บ้านมาเลยแวะไปรับฟางด้วย
แล้วไม่นานเพื่อนๆก็ทยอยมากัน จนเกือบจะครบ

บรรยากาศในงานก็สนุกสนานดี มีพี่ๆน้องๆรุ่นอื่นๆมากันเยอะพอสมควร
ที่โต๊ะพวกเรา เพื่อนๆที่นานๆมาเจอกันที ก็คุยกันอกรส แซวกันไปมา
เพื่อนบางคนก็กินเหล้ากัน บางคนก็ยืนเต้นไปตามจังหวะเพลง
แต่มีพวกเราสี่คนที่ดูเหมือนจะ สนุกกันไม่เต็มที่ นั่งหน้าบึ้ง พยายามชะเง้อมองดูทางเข้างานตลอด
ว่าไอ้เปี๊ยกจะมาไหม


จนสักพักใหญ่ เพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า
"เฮ้ย.. ยังเหลือใครยังมาไม่ถึงอีกวะ"
ไม่นานเพื่อนๆก็ต่างเช็คกันใหญ่ ว่ายังขาดใคร ที่ยังมาไม่ถึง
แล้วเสียงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า

เหลือไอ้เปี๊ยกกับไอ้ป๋อง

พูดจบ
พวกเราสี่คนนี้ สะดุ้งเฮือกเลย

แล้วก็มีเพื่อนๆบอกกับทุกคนในโต๊ะว่า

"ตามมันในไลน์ซิ มันถึงไหนแล้ว  มันขับหลงทางไปไหนหรือเปล่า"

พูดแบบติดตลก


ผ่านไปสักพัก เพื่อนๆมัวแต่สนุกสนานกันจนลืมเรื่องไอ้เปี๊ยกกับไอ้ป๋องไปเลย
แต่ก็มีเพื่อนคนหนึ่งมาถามดาวว่า

"ดาวเธอไลน์ถามไอ้เปี๊ยกมันยัง มันถึงไหนแล้ววะ"

ดาวก็ทำหน้า งง ๆ  ตอบไปว่า

"ถามแล้ว แต่มันไม่ตอบกลับมา"

แล้วก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งพูดว่า

"เราก็พิมพ์ไปถามมันตั้งเยอะ ไม่เห็นมันตอบเหมือนกัน ดูซิ"

ว่าแล้วก็ยื่นโทรศัพท์เอามาให้เพื่อนคนนั้นดู
เพื่อนคนนั้นดูเสร็จก็พยักหน้าแล้วก็ ออกไปเต้นต่อ ไม่ได้สนใจอะไร

พอเริ่มดึก เพื่อนๆก็ลุกไปเต้นกันเกือบหมด มีนั่งอยู่ที่โต๊ะ สองสามคน
ไอ้โชคบอกผม เดี๋ยวมันมา มันไปห้องน้ำก่อน

พอมันกลับมาที่โต๊ะ ดูเสียหน้ามันเปลี่ยนไป
มันดูยิ้มๆ กลั้นหัวเราะตลอดเวลา

ผมก็เลยถามมันว่า "เป็นไรวะ เมาหรือเปล่านี่"
มันก็เลยเอามือถือมันมาให้ผมดู
หน้าที่ผมเห็นเป็นข้อความคุยกันทางไลน์
ไอ้โชคพิมพ์ไปหาไอ้เปี๊ยกว่า
"เอ็งอยู่ไหนวะ ไม่ต้องฟอร์มแกล้งตายเลย ข้าไม่หลงกลเอ็งหรอก"
แล้วถัดลงไปอีกหนึ่งบันทัด เป็นข้อความของเปี๊ยกตอบกลับมา

"อิ อิ"

ผมอ่านจบก็ โล่งใจ

"อ้าว..ไอ้นี่  มันหลอกพวกเรานี่หว่า"

ก็เลยพากันหัวเราะกับไอ้โชคสองคนอยู่ที่โต๊ะ
สักพักไอ้โชคก็เอาโทรศัพท์ไปให้  ดาวกับฟางดู
แล้วพวกเราก็พากันหัวเราะออกมา
เสียงไอ้โชคพูดขึ้น
"ว่าแล้วไอ้นี่มัน แสบ"
แล้วดาวก็เลยโทรไปหาไอ้เปี๊ยก เพื่อจะบอกว่า แผนมันแตกแล้ว
แต่ปรากฏว่า เหมือนสายไม่ว่าง ดาวก็เลยวางหูไป
หลังจากนั้นพวกเราก็เลยออกไปเต้นกันกับเพื่อนๆในกลุ่ม
จนลืมเวลาไปเลย
สักพักผมกับเพื่อนสองสามคนเหนื่อยก็เลยกลับมานั่งพักกันที่โต๊ะ
แล้วก็มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง  น้ำเสียงเหมือนเมานิดๆ
เดินมาเล่าให้ผมฟังว่า
"เจอไอ้เปี๊ยกที่ห้องน้ำ เดินสวนกันกับมัน ทักมันไปมันก็ไม่ตอบ"
ผมก็ถามเพื่อนว่า
"อ้าว มันมาแล้วหรือ แล้วทำไมมันไม่มาที่โต๊ะพวกเราวะ"
เพื่อนคนที่เมาก็บอกว่า
"นั่นนะซิ  นั่นมันยืนคุยอยู่กับใครไม่รู้ตรง โน้น"
ว่าแล้วเพื่อนก็ชี้ไปแถวๆใต้ถุนอาคาร ที่มันมืดๆ มีแค่ไฟสลัวสลัว
ผมก็พยายามมองไป ก็ไม่เห็นใคร
"ไหนวะ ไม่เห็นมีใครเลย"
เพื่อนก็บอก ว่า  "นั่นไง ... มันยืนอยู่ข้างๆกลุ่มพวกที่เต้นอยู่นั่นไง"
ผมมองไม่เห็น แต่ก็ ไอ้แต่เออ ออ ห่อหมก กับเพื่อนไป
เดี๋ยวมันก็เดินมาที่โต๊ะพวกเราเองแหละ

นั่งพักอยู่สักพัก ดาว กับ ฟาง กับเพื่อนๆอีกสองสามคนก็กลับมานั่งที่โต๊ะกัน
ผมคุยกับเพื่อนแล้วก็เลยเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู
กะว่าจะทักไลน์ไปหาไอ้เปี๊ยกสักหน่อย
แต่ก็เห็นเป็นโทรศัพท์ขึ้น มิดคอ บอกสัญลักษณ์ว่า มีเบอร์ที่ไม่ได้รับ
ผมเลยรีบเปิดดู ว่าเป็นเบอร์ใคร ปรากฏว่าเป็นเบอร์ไอ้ป๋อง

"อ้าวไอ้ป๋องโทรมานี่ " ผมพูดขึ้น

สงสัยมันมาถึงแล้วหาพวกเราไม่เจอ
เพราะไอ้เปี๊ยกมันขับรถไปรับไอ้ป๋องมา เจอไอ้เปี๊ยก ก็ต้องเจอไอ้ป๋อง

พอดาวได้ยินผมพูดว่า ไอ้ป๋องโทรมา
ดาวก็เหมือนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เหมือนกัน แล้วก็พูดว่า

"เออ .. ของเรา ไอ้ป๋องก็โทรมา"

แล้วเพื่อนที่นั่งอยู่แถวนั้นก็พากัน ดูโทรศัพท์ตัวเอง
ปรากฏว่า ทุกคนมีมิดคอล ของไอ้ป๋องหมดทุกคนเลย

"อ้าว.. มันโทรหาทุกคนเลยหรือนี่ 55555 มัวแต่พากันเต้น ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังกันเลย"
ผมพูดพรางหัวเราะ
แล้วก็รีบกดโทรไปหาเบอร์ไอ้ป๋อง
พอได้ยินเสียง ตุ๊ส.. ตุ๊ส.. ไม่ถึงสามครั้ง
อยู่ๆ เพื่อนที่โต๊ะก็พากันลุกขึ้นหมดเลย แล้วพากันวิ่งไปที่ลาน แถวๆกลุ่มเพื่อนๆเราเต้นกันอยู่

ผมรีบหันไปมอง
เฮ้ย...ๆ เกิดไรขึ้นมีไรกัน

มองไป
เห็นเพื่อนๆวิ่งไปที่กลุ่มคนที่เขากำลังมีเรื่องกัน
ผมก็เลยวางสาย แล้วก็รีบวิ่งไปดู
พอวิ่งไปถึงก็เห็นแฟนเพื่อนผู้ชายผมคนหนึ่งกำลังถูกแยกออกจากกลุ่มเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นผู้หญิง
แล้วก็เกิดปากเสียงกันขึ้น  จนทุกคนหยุดเต้นแล้วก็หันมามองดูกลุ่มพวกเรา
ผมก็เลยถามฟางว่ามีเรื่องอะไรกัน
ฟางก็เล่าว่า  เพื่อนผมที่มันเคยชอบรุ่นน้องคนหนึ่งสมัยเรียน
พอมันเมาแล้วมันก็มาเจ๊าะแจ๊ะกับน้องคนนั้น จนแฟนสาวมันหึง ก็เลยมีเรื่องกัน

พอกลุ่มพวกเราดึงเพื่อนกับแฟนมันมาที่โต๊ะแล้ว ก็มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งไปเคลียร์กับกลุ่มรุ่นน้องที๋โต๊ะนั้น
แต่ขณะที่เดินกันมาที่โต๊ะพวกเรา อยู่ๆแฟนเพื่อนก็ตบไปที่หน้าเพื่อนผมอย่างแรง
มันคงเมาแล้วพูดอะไรไม่เข้าหูแฟนมัน
แล้วแฟนมันก็วิ่งออกไปจากงานเลย
พวกเราก็งง
เฮ้ย..
ผมได้แต่ ยืน งง  ทำอะไรไม่ถูก
จนได้ยินเสียงเพื่อนคนหนึ่งพูดว่า "ไปตามซี่"

เท่านั้นแหละ ไม่รู้ใครต่อใครวิ่งตามแฟนเพื่อนผมไปเฉยเลย
ผมก็เลยวิ่งตามไปด้วย แบบไม่รู้ตัวอะ ว่าจะวิ่งตามไปทำไมนี่

พอวิ่งตามไปจนถึงลานจอดรถ ก็เห็นแฟนเพื่อนผม วิ่งไปที่รถ  เข้าไปในรถได้ก็สตาร์ทเครื่องทันที
แล้วก็ถอยรถขับออกไปจากโรงเรียนเลย

ผมกับเพื่อนยืน งง  เอาไงต่อ มองกลับไปที่งาน เห็นแต่เพื่อนผมมันเดินโซเซตามมาหาแฟนมัน
จนผมต้องร้องบอกมันว่า
"เร็วๆแฟนแกขับรถหนีไปแล้ว โน้น"
มองไปเห็นแต่ไฟท้ายรถกำลังจะออกจากตรงประตูโรงเรียน
ตอนนั้นมีผม ไอ้โชค ฟาง ดาว แล้วก็เพื่อนอีก สองสามคน
เอาไง... ได้แต่ยืนมองหน้ากัน
สุดท้ายผมก็เลยรีบวิ่งไปที่รถ แล้วก็ขับออกมารับพวกเพื่อนๆที่ยืนอยู่แถวนั้น
ไม่รู้ว่าใครเป็นใครพอขึ้นรถมาได้ ก็ปรากฏว่า ที่นั่งไม่พอ
ดาวก็เลยลงจากรถ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราเอารถเราตามไปเอง

ผมก็เลยขับรถออกมา  พอมาถึงตรงหน้าโรงเรียน ปรากฏว่า
อยู่ๆเจอไอ้ป๋องยืนอยู่ข้างๆประตูเหล็กพอดี

อ้าว... เฮ้ย  ไอ้ป๋อง

ผมรีบจอดรถ หมุนกระจกลง

"เอ็งยืนทำอะไรอยู่นี่วะ  งานเขาจะเลิกแล้ว"

มองไปเห็นแต่มันยืนอยู่ข้างๆรถ  ยังไม่ทันตอบอะไร

ผมก็บอกว่า  "เดี๋ยวค่อยคุยกันเว้ย... เอ็งขึ้นรถไอ้ดาวตามมาแล้วกัน"
แล้วผมก็รีบออกรถ  มองไปกระจกหลัง
เห็นแต่รถดาวตามท้ายรถผมมา แล้วก็จอดรับไอ้ป๋อง

ผมรีบขับรถตามหาแฟนเพื่อนไปตามถนนใหญ่
โชคดีที่ถนนแถวนั้น รถไม่ค่อยเยอะมากเท่าไหร่
ขับไปไม่นานก็เจอรถเพื่อนผม ที่แฟนมันขับอยู่
เพื่อนๆในรถก็บอกมัน โทรหาแฟนมัน
แล้วมันก็รีบโทรหาแฟนมัน คุยไปคุยมา มันก็เหมือนคนคุยไม่รู้เรื่อง
เพื่อนๆก็เลยแย่งมือถือมันมาคุยเอง
กว่าจะเคลียร์กับแฟนมันได้
เพื่อนๆก็บอกว่าใจเย็นๆก่อน กลางคืนแบบนี้ ถ้าขับไปเป็นอะไรไปมันจะแย่นะ

พวกเราขับตามรถแฟนมันอยู่นาน
จนสุดท้ายแฟนเพื่อนผม เขาก็ชะลอรถเข้าจอดตรงไหล่ทาง
ผมก็ชะลอขับไปจอดต่อท้าย แล้วก็มีรถดาวตามมาอีกคัน
สักพักก็มีกลุ่มเพื่อนผมลงมายืนกันอยู่เต็มบริเวณนั้นไปหมด
เห็นไอ้ป๋องลงมายืนดูอยู่ข้างๆดาว แต่ผมก็ยังไม่ได้ทักอะไร
เพราะมัวแต่ดูเขาเคลียร์ปัญหากันอยู่
จนกระทั้งเคลียร์กันเสร็จ กลุ่มเพื่อนๆก็แยกย้ายกันไป
เพื่อนกลุ่มหนึ่งก็ติดรถไปกับ เพื่อนที่มีปัญหา
รถผมก็มี ไอ้โชค กับ ฟาง ติดรถกลับด้วย
ส่วนดาวเห็นฟางบอกว่าจะค้างที่บ้านคืนหนึ่งแล้วพรุ้งนี้เช้าจะขับรถกลับกรุงเทพ
ฟางจะกลับคืนนี้เลย เลยติดรถผมกลับมาด้วย
ส่วนไอ้ป๋องไม่รู้ว่าไปกับรถดาวหรือเปล่า
เพราะมันชุลมุนกันไปหมดไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

สุดท้ายผมก็โทรไปหาเพื่อนๆที่ยังเหลืออยู่ในงาน
บอกว่าพวกเรากลับก่อนนะ ถ้าเจอไอ้เปี๊ยกก็บอกมันด้วยว่า พวกเรากลับแล้ว

ผมขับรถกลับถึงกรุงเทพ ก็ราวๆ ตีสองได้
หลังจากแวะส่ง ไอ้โชค แวะส่งฟางแล้ว ผมก็กลับถึงคอนโด พักผ่อนจนกระทั้งหลับไป


ตื่นเช้ามา
ช่วงสายๆหน่อย อยู่ๆก็มีสายเข้า
พอหยิบมือถือขึ้นมาดู หน้าจอมันโชว์เป็นชื่อไอ้ป๋อง
ผมนึกในใจ
อ้าวไอ้ป๋อง โทรมาแต่เช้าเลย
พอกดรับสาย ผมก็ทักมันไป
"ว่าไง ป๋อง"
เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงมัน
เป็นเสียงผู้หญิง
"นี่แม่ป๋องพูดนะ... "
ผมก็ ชะงักไปนิดหนึ่ง
"ครับแม่  มีอะไรครับแม่"
แม่ป๋องก็ตอบกลับมาว่า
"ไอ้ป๋องมันตายแล้วนะ ลูก"
ผมตกใจ
"หา..! อะไรนะแม่ มันตายตอนไหนแม่"
แม่ของป๋องก็พูดออกมาแบบละล่ำละลัก
"เมื่อวาน ช่วงบ่ายๆ ตำรวจโทรมาแจ้งว่า ป๋อง โดนรถชนตาย ตอนกำลังข้ามถนน"
ผมตกใจหนักกว่าเดิมอีก " เฮ้ย..จริงหรือแม่.."
พอแม่เริ่มสะอื้น ผมก็เริ่มมือสั่น
แล้วแม่ป๋องก็เล่าว่า
เมื่อวานกว่าจะไปรับศพกลับมาก็ดึกมาก พอเจอโทรศัพท์ป๋อง
ก็เลยให้ พี่สาวป๋องเอามือถือป๋องโทรหาเพื่อนๆป๋องตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไม่มีใครรับสายเลย

พูดจบผมก็นึกไปถึงตอนที่เจอมิดคอลเบอร์ไอ้ป๋องโทรเข้า แว๊บขึ้นมาทันที

"เฮ้ย... ไอ้ป๋อง... เชี่ยแล้ว"

หลังจากวางหูจากแม่ของไอ้ป๋องแล้ว ผมก็รีบลนลานโทรหาไอ้เปี๊ยกทันที
เพราะมันเป็นคนขับรถไปรับไอ้ป๋องเมื่อวานนี้

พอมีคนรับสาย ผมก็รีบพูดขึ้นทันที
"ไอ้เปี๊ยก.. เมื่อวานเอ็งได้ไปรับไอ้ป๋องหรือเปล่าวะ"
เสียงปลายสายเงียบไป ก่อนจะพูดกลับมาว่า
"พี่เปี๊ยกเสียแล้ว คะ ตอนนี้ตั้งสวดอภิธรรมอยู่ที่วัด..."
ผมตกใจ  ชะงัก ทันที
อ้าว..มันตายจริงๆหรือวะนี่ ไหงเมื่อคืนไอ้โชคบอกว่าไอ้เปี๊ยกมันแกล้งวะ ผมนึกในใจ

"ตกลง เปี๊ยกตายแล้วจริงหรือ"

เสียงปลายสายก็บอกว่า
"คะ เมื่อวานหลังจากไปรับเพื่อนพี่เขา ก็ช็อคไปเลย"
ผมรีบพูดตะกุตะกักออกไปทันที
"แล้วเพื่อนที่ไอ้เปี๊ยกไปรับ น้องได้เห็นเขาไหม"
ปลายสายก็ตอบกลับมาว่า
"ไม่เห็นคะ พี่เขาลงไปรอ แล้วก็คุยกันอยู่นอกรถ หนูนั่งรออยู่ในรถ
  พอคุยกันเสร็จกลับมาขึ้นรถ พี่เขาก็ช็อคไปเลยคะ"

พอเล่าจบผมก็ขนหัวลุก ขึ้นมาทันที
เฮ้ย.. ที่ไอ้เปี๊ยกช็อคตาย ไม่ใช่เพราะไอ้โชคแกล้งอำมันนี่
แต่เป็นเพราะเจอผีไอ้ป๋องมันหลอกเอาต่างหาก
คิดได้ดังนั้น ผมก็นึกถึงไอ้โชคขึ้นมาทันที

หลังจากวางสายเสร็จ ผมนี่เข่าอ่อนเลย แทบจะยืนไม่อยู่
ต้องรีบมองหาที่นั่ง
พอนั่งลงตรงโซฟา ผมก็รีบโทรหาไอ้โชคอย่างเร็ว
พอไอ้โชครับสาย ผมก็รีบพูดแทบจะไม่เป็นภาษา

"ไอ้โชค  แกรู้ยัง ไอ้เปี๊ยกมันตายจริงๆนะ มันไม่ได้แกล้งพวกเรา"

ไอ้โชคจากที่น้ำเสียง งัวเงียงัวเงีย ก็เปลี่ยนไปเป็นอีกเสียง

"หา .. อะไรนะ  เอ็งรู้ได้ไงว่ามันตายจริงๆ"

ผมก็เลยรีบบอกว่า
"ก็นี่พึ่งว่าหูจากแฟนมัน แฟนมันบอกว่าตั้งศพสวดอภิธรรมอยู่ที่วัด"

ไอ้โชคเงียบไปทันที  สักพักก็พูดขึ้น
"เชี่ย.. แล้ว ซวยแล้วตู..เพื่อนๆด่ากูเละแน่"
ผมก็เลยรีบบอกไอ้โชคมันว่า
"เอ็งไม่ต้องห่วง ไอ้เปี๊ยกมันไม้ได้ช็อคตายเพราะพวกเราไปอำเรื่องแกตาย"
ไอ้โชคทำเสียงตกใจ รีบถามมาว่า
"อ้าว.. แล้วมันเป็นไรตาย"
ผมก็รีบตอบกลับไปทันที
"มันโดนผีไอ้ป๋องหลอก นะสิ "
เสียงไอ้โชค ร้อง  เฮ้ย.! ขึ้นด้วยความตกใจ
"ไอ้ป๋องมันตายตั้งแต่ตอนไหนวะ"
ผมก็เล่าให้มันฟังว่า
"ก็ตอนที่พวกเราบอกให้ไอ้เปี๊ยกไปรับไอ้ป๋อง ไอ้ป๋องมันไปทำธุระเสร็จ
ไม่รู้มันรีบหรืออะไรนะ  ดันข้ามถนน แล้วถูกรถชนตายอะสิ"

ไอ้โชครีบถามย้ำ
"จริงหรือวะ  แล้วเอ็งรู้ได้ไง"
ผมก็เลยบอกมันไปว่า แม่ไอ้ป๋องโทรมาบอกเมื่อเช้านี่เอง

พอไอ้โชครู้ มันก็พูดขึ้นว่า

"ตายหละ ไอ้เปี๊ยกตายเพราะไอ้ป๋องหรือนี่
แล้วเมื่อคืนนี้ที่เราเจอไอ้ป๋องกัน มัน.. มันเป็นใครวะ"

ผมก็ตอบไปว่า
"นั่นนะซิ ข้าก็ยัง งง  อยู่นี่ "
นึกแล้วก็ขนลุกซู่ขึ้นมาเลย

ไอ้โชคเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นว่า

"อ้าว.. แล้วเมื่อคืนใครไปส่งไอ้ป๋อง"

ผมกับไอ้โชคพยายามนึกถึงเหตุการณ์ช่วงที่กำลังจะกลับขึ้นรถกันตอนเมื่อคืน

สักพัก ไอ้โชคก็รีบพูดขึ้น

"ดาว... ไอ้ป๋องมันเดินไปขึ้นรถไอ้ดาว ไง"

ผมรีบบอกไอ้โชค งั้นแค่นี้ก่อน ข้าจะโทรหาดาว
พอวางสายไอ้โชคได้ ผมก็รีบโทรไปหาดาว

โทรไปสองสามครั้งไม่มีใครรับสาย
สงสัย กำลังขับรถกลับกรุงเทพอยู่

สักพักหนึ่ง
เบอร์ดาวก็โทรกลับมาหาผม
ผมรีบรับสาย ยังไม่ทันฟังอะไรก็รีบถามดาวไปว่า
"ดาว  เมื่อคืนแกขับรถไปส่งไอ้ป๋องใช่ไหม"

พอถามจบ ทางปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง
ก่อนจะมีเสียง ผู้หญิงตอบกลับมาว่า

"เจ้าของเบอร์โทรนี้เขาเสียชีวิตแล้วนะค่ะ พึ่งตกตึกลงมาเสียชีวิตเมื่อเช้านี้เอง"

ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก
รีบถามให้แน่ใจอีกที

"อะไรนะครับ"

"คุณดาว ตกจากคอนโดลงมาเสียชีวิตคะ ตอนนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ
เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสภาพห้องพักอยู่คะ ว่ามีการต่อสู้อะไรไหม"


ผมอึ้งไป จนแทบไม่มีสติ
หลังจากรู้ว่าดาวตายไปอีกคน

ใจผมต้นแรงจนสั่นไปหมด
ผมรีบพูดบอกไอ้ป๋องไปทันที

ไอ้ป๋อง เอ็งไม่ต้องรักเพื่อนมากขนาดนั้นก็ได้นะ เอ็งจะชวนไปด้วยทุกคนเลยหรือไง


สรุปแล้ว
วันคืนสู่เหย้าครั้งนั้น  ได้กลายมาเป็นสาเหตุที่ผมต้องไปงานศพเพื่อนถึงสามคนพร้อมๆกัน
พอเล่าเรื่องไอ้ป๋องให้เพื่อนๆฟัง ทุกคนก็ขนลุก จนต้องพากันไปจุดธูปบอกไอ้ป๋องว่า
อย่ามาชวนกูไปด้วยนะ

และเพื่อนๆก็หวังว่า งานคืนสู่เหย้าครั้งหน้า คงไม่เจอเบอร์ไอ้ป๋องโทรมาหาอีก นะ

จบ บริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป วันงานคืนสู่เหย้า
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735

29 ก.ย. 2562

เจอผีในรีสอร์ท


     จากการเดินทางสุดสยองที่ผ่านมาจากเรื่อง เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ (ฉบับหลอน) กลับมาหลอนต่อในเรื่อง เจอผีในรีสอร์ท ภาคจบของเรื่องสยองนี้ โดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ความเดิมตอนที่แล้ว
เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ (ฉบับหลอน)

หลังจากสิ้นเสียงพวกเรากรีดร้องอย่างตกใจแล้ว
ทุกอย่างก็มืดสนิท
ใจผมเต้นแรงจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ตุ๊บตุ๊บ ตุ๊บตุ๊บ

แล้วอยู่ๆ ก็มีแสง แสงหนึ่งเกิดขึ้น อยู่ตรงกลางห้อง
พร้อมๆกับ เสียงร้อง  แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู  แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู  แฮปปี้เบิร์ด...

ผมยืน งง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อะไรนี่
แล้วไฟในห้องก็เปิดสว่างขึ้น
เห็นเพื่อนๆ เดินเอาเค้กมีเทียนปักตรงกลางหนึ่งเล่ม ตรงมาทางผม

อ้าว... ผมพูดขึ้น แบบ ไม่ทันตั้งตัว

เพื่อนๆร้องเพลงจนจบ  แล้วก็ เฮกันด้วยความสะใจ
ที่ เซอร์ไพรส์วันเกิดผมได้เป็นผลสำเร็จ
ผมขอบคุณเพื่อนๆทุกคน
หลังจากผ่านพิธีเล็กๆน้อยๆในการอวยพรวันเกิดผม
เราก็แบ่งเค้กกินกัน

หลังจากนั้นพวกเราทุกคนก็ออกมานั่งดืมกันต่อที่แคร่ไม้ด้านนอก
คุยกันไปนั่งชมบรรยากาศใต้แสงจันทร์กันไป
จนกระทั่งเริ่มดึก กลุ่มผู้หญิงเขาก็ขอตัวไปอาบน้ำเข้านอนกัน
ก็เหลือแต่กลุ่มผู้ชาย ที่ยังนั่งคุยกันต่อ
พอเริ่มจะเที่ยงคืน เพื่อนคนหนึ่งก็ขอตัวไปอาบน้ำก่อน
แล้วจะออกมาดื่มต่อ
มันหายไปครู่ใหญ่ แล้วอยู่ๆมันก็รีบวิ่งออกมาจากบ้าน นุ่งผ้าเช็คตัวผืนเดียว
หอบเอาเสื้อผ้าแนบ อก ร้องดังลั่น วิ่งมาทางเรา

เพื่อนก็รีบถามมัน เป็นไร ร้องเอะอะทำไม

เพื่อนมันก็บอกว่า เฮ้ย.. ไม่ไหวแล้วกู.. กู..

เพื่อนคนนั้นวิ่งมานั่งลงที่แคร่ หันหลังชนกับเพื่อนในกลุ่ม ตามองไปทางบ้านพักไม่ละสายตา
พูดติดๆขัดๆ

เพื่อนๆก็ต่างสงสัยกัน  แกเป็นอะไรวะ
ผมมองไปเห็นแต่เพื่อนคนนั้นนั่งตัวสั่น หายใจหอบๆ
เหมือนกำลังตั้งสติ

พอมันตั้งสติได้ มันก็พูดขึ้น  เพื่อน.. กูคิดว่ากูเจอผีว่ะ
เท่านั้นแหละ เพื่อนก็ร้อง  เฮ..ขึ้นพร้อมกัน

นั้นไง แกเมาแล้วเพื่อน

เพื่อนๆก็ต่างแซวกันใหญ่

เพื่อนคนนั้นก็บอกว่า กู.กู..ไม่ได้เมาโว้ย.. ก็เจอจริงๆ

หลังจากนั้นมันก็เล่าให้พวกเราฟังว่า
มันเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ทุกอย่างก็ปกติดี
แต่พออาบเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำ มาเปิดตู้เสื้อผ้าจะเอาเสื้อมาใส่
พอเปิดตู้ มันก็เห็นร่างคนเอาผ้าขาวคลุมตั้งแต่หัวถึงเท้า นั่งขดอยู่ในตู้เสื้อผ้า
พอเห็นตอนแรกก็ตกใจ แต่มันก็นึกขึ้นมาได้ว่า เพื่อนคงมาแกล้งหลอกมันให้ตกใจ
มันก็เลยรีบปิดตู้ แล้วก็รีบดันไว้ กะแกล้งคืน แบบว่าทำเหมือนล็อคตู้ไว้ไม่ให้ออก
แต่ข้างในตู้กลับเงียบ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับออกมา
มันก็เลยค่อยๆเปิดตู้ดู ปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ในตู้เลย
พอมันเห็นแบบนั้น มันก็รีบหอบเสื้อผ้าวิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต

พอเราได้ฟังมันเล่า ถึงกะขนลุกเลยทีเดียว
แต่เพื่อนบางคนก็ บอกไม่เชื่อ บอกว่ามันคงอำให้พวกเรากลัว
ก็เลยมีการท้ากันเกิดขึ้น

ถ้าเอ็งไม่เชื่อ เอ็งกล้าไปอาบน้ำในบ้านนั้นคนเดียวเหมือนข้าไหมหละ

เพื่อนคนหนึ่งก็เลยรับคำท้า
จิ๊บๆ เรื่องแค่นี้ อำข้าไม่ได้หรอกเพื่อน  พอดีเลย ข้าเหนียวเนื้อเหนียวตัวอยู่พอดี
เดี่ยวข้าจะเข้าไปพิสูจน์ให้ดูว่ามันไม่มีอะไร

ว่าแล้วเพื่อนคนนั้นก็ลุกจากแคร่ แล้วก็เดินดุ่ยๆ ตรงไปที่บ้านพักทันที

พวกเราได้แต่มองตามหลังมันไป แบบ งง ๆ
หลังจากมันเข้าไปในบ้านแล้ว
พวกเราก็หันมามองหน้ากัน
เพื่อนคนที่ไปอาบน้ำมา ก็รีบใส่เสื้อผ้าอยู่ตรงแคร่นั้น
แล้วก็บอกให้พวกเราช่วยก่อไฟให้มันหน่อย มันหนาวมาก
ตัวมันสั่นไม่หยุด
ผมมองไปที่แขนมัน เห็นผิวมัน อย่างกะหนังไก่
เพราะขนมันลุกตั้ง จนรูขุมขนมันนูนเหมือนหนังไก่

เรานั่งดื่มกันต่อ พยายามหาเรื่องคุยกันใหม่ ที่ไม่ใช่เรื่องผี
แล้วอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเพื่อนร้องลั่นอยู่ในบ้านพักหลังนั้น

ช่วยกูด้วย ช่วยด้วย

แล้วก็ได้ยินเสียง ทุบประตู ปัง ปัง

พวกเรากำลังจะวิ่งไปช่วยมัน
แต่ก็เห็นมันรีบเปิดประตูออกมาก่อน วิ่งตรงมาทางพวกเรา
พอมาถึงพวกเรา มันก็รีบกระโดดขึ้นมานั่งบนแคร่
ร้องเอะอะ ไม่เป็นภาษา
สภาพมันคือ ใส่แต่กางเกงยีน ไม่ใส่เสื้อ
นั่งเอาหน้าซุกหลังเพื่อนคนหนึ่งอยู่

พวกเราก็รุมถามมัน เฮ้ย.. เป็นอะไร เอ็งเห็นอะไร

เพื่อนคนนั้นก็เอาแต่ร้องโวยวาย ฟังไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไหร่
จนสักพัก รอมันสงบสติอารมณ์ได้
มันก็เลยเล่าให้พวกเราฟังว่า

พอมันเข้าไปในบ้าน มันก็ไปเอาเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน เข้าไปในห้องน้ำด้วย
แล้วก็อาบน้ำตามปกติ
พอมันอาบน้ำเสร็จ มันก็ใส่กางเกง แล้วก็ยืนส่องกระจกอยู่ตรงอ่างล้างหน้า
พอมันยืนนิ่งๆนานๆ ไม่ได้เคลื่อนไหว ไฟในห้องน้ำมันก็ดับเอง
มันก็เลยพยายามเอามือปัดไปปัดมาในอากาศ
เพื่อให้โดนเซ็นต์เซอร์ ไฟจะได้ติด แต่ไฟก็ไม่ติด
มันก็เลยมองไปที่ประตูห้องน้ำที่มันเป็นกระจกขุ่นๆ
เห็นแสงไฟข้างนอกเปิดอยู่ปกติ
แล้วอยู่ๆมันก็เห็นเหมือนร่างคนค่อยๆเดินผ่านหน้าห้องน้ำช้าๆ
สภาพคือ เหมือนคนเอาผ้าคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า
เหมือนพวกศพที่ถูกห่อด้วยผ้าห่อศพยังไงหยั่งงั้นเลย
พอร่างนั้นเดินผ่านประตูไปทางหน้าบ้าน
มันก็รีบเปิดประตูห้องน้ำวิ่งออกมา
มองไปในห้อง ไม่เจอใครเลย มันก็เลยรีบวิ่งมาเปิดประตู แต่ก็เปิดไม่ออก
จนต้องร้องให้พวกเราไปช่วย
มันถึงเปิดประตูได้  แล้วก็รีบวิ่งออกมา

พอเพื่อนเล่าจบ
พวกเราก็ได้แต่มองหน้ากัน
ผมชักใจหวิวๆ แล้วซิ่



คราวนี้ตาใครไปวะ

เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น
เหลือผมกับเพื่อนคนที่พูดนั้นแหละ  ที่จะต้องไปพิสูจน์ต่อ

ผมก็เลยบอกว่า เอ็งไง
เพื่อนคนนั้นทำท่าตกใจ เล็กน้อย
ก่อนลุกขึ้น เก้ๆกังๆ แบบ งง ๆ
แล้วก็พูดว่า  เพื่อน ถ้ากูร้องแล้ว รีบมารับกูเลยนะ

แล้วเพื่อนมันก็เดินไปทางบ้านพักนั้นช้าๆ
พวกเราก็ได้แต่มองตามมันไป ไม่คลาดสายตา
ทำไมครั้งนี้มันดูลุ้นจังวะ
พอเพื่อนเข้าไปในบ้าน
พวกเราก็หันกลับมา มองหน้ากัน

เพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า มันจะมีครั้งที่สามไหม เอ็งว่า
เพื่อนคนหนึ่งก็บอกว่า ถ้ามีก็ถือว่าเฮี้ยนมากหละ

พอพวกเราหันกลับไปที่บ้าน
ก็เห็นประตูเปิดออก แล้วก็เห็นเพื่อนเดินออกมา

อ้าว ทำไมมันอาบเร็วจัง

พอเพื่อนคนที่สามที่เข้าไปในบ้านเดินมาถึงพวกเรา
ผมก็ถามว่า  อ้าวทำไม เสร็จเร็วจังเฮ้ย

เพื่อนคนที่สามก็หัวเราะแหะ แหะ
ข้าเข้าไปในบ้านแล้ว เดินไปหยิบผ้าขนหนูในกระเป๋า
แล้วมันรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ตลอดเวลาเลย
ข้ากลัว ก็เลยรีบออกมาก่อน

พอได้ยินเพื่อนพูด  จบ
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
โห  ป๊อด ว่ะเอ็ง  ยังไม่ทันไรเลย

เพื่อนคนที่สามที่เข้าไปในบ้านก็เลยบอกว่า ก็ข้ากลัวนี่หว่า

แล้วทุกคนก็พากันเงียบ นั่งมองไปที่บ้านหลังนั้นไม่มีใครพูดอะไร
แล้วก็มีเสียงเสียงหนึ่งในกลุ่ม พูดมาทางผม

เอ้า...คราวนี้ตาเอ็งแล้ว

ผมลุกขึ้นจากแคร่ มองไปที่เพื่อนสามคนที่มันนั่งเบียดกันราวกับว่า อากาศมันหนาวนักหนา
ในใจผมก็คิด
มันต้องรวมหัวแกล้งอะไรเราอีกแน่ๆ
แล้วผมก็เดินไปทางบ้านพัก
พอเดินไปได้สี่ห้าก้าว เพื่อนก็ร้องเรียกผม

เฮ้ย..เดี๋ยว

ผมหันกลับไป  เพื่อนคนนั้นก็พูดว่า
เอาเสื้อมาให้กูด้วย กูหนาว..

ผมไม่ได้ตอบอะไรหันกลับมาเดินไปที่บ้านหลังนั้นต่อ


พอถึงหน้าบ้าน ผมก็เปิดประตูเข้าไปช้าๆ
ข้างในบ้าน เปิดไฟทิ้งไว้ แถมยังเปิดแอร์ไว้ซะเย็นเฉียบอีก
พอปิดประตูได้ ผมก็มองไปรอบๆห้อง
แล้วก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง

ไอ้พวกนี้  มันจะแกล้งอะไรเราวะ

พอคิดได้ผมก็รีบไปสำรวจหน้าต่าง  แหวกม่านออก
แล้วก็ดูว่าได้ล๊อคกลอนหรือยัง
ผมเดินกลับมาที่ประตูแล้วก็รีบล๊อคลูกบิด

หึ หึ พวกเองอย่าหวังจะเข้ามาได้ง่ายๆ งานนี้แกล้งข้าไม่หมูหรอกโว้ย

จากนั้นผมก็รีบไปสำรวจตู้เสื้อผ้า ไม่มีใครมาหลบอยู่นะ
พอไม่เห็นมีใครอยู่แถวหน้าห้องน้ำ
ผมก็ เดินมานั่งที่ขอบเตียง  แล้วก็คิดอีก มันจะซ่อนตัวได้ตรงไหนอีกไหม
พอนึกขึ้นได้อีก
ผมก็กระโดดลงจากเตียง นอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้น
พยายามมอง ลอดเข้าไปใต้เตียง ว่ามีใครมาซ่อนอยู่ไหม
แต่ใต้เตียงมันเป็นฐานเตียงแบบตัน ไม่มีช่องว่างให้ลบได้

อืม ดูครบ ทุกจุดแล้ว ไม่น่าจะมีอะไร ตรงไหนพ้นหูพ้นตาเราได้แล้วนะ

ผมก็เลยลุกขึ้นมา  ไปนั่งตรงหัวเตียง หยิบรีโมททีวีมาเปิดทีวี
พอทีวี มีเสียงดังออกมา ก็รู้สึก

อืม .. ค่อยยังชั่วหน่อย  ไม่วังเวงแล้ว

ผมก็เปิดทีวีดูไป ส่วนใหญ่จะเป็นรายการเพลงซะมากกว่า
ก็เลยนั่งเปิดหา รายการข่าวอะไรดูสักพัก
จนลืมตัวไปเลย มัวแต่หาช่องทีวี ที่จะดู
แล้วก็รู้สึกหนาวขึ้นมา จนตัวผมสั่นเอง

อ้าว .. ลืมปรับแอร์  แม..่ง  เปิดซะยี่สิบองศาเลย ไม่หนาวได้ไง

พอปรับแอร์ลงมาให้มีอุณหภูมิพอเหมาะแล้ว นั่งดูทีวีอยู่พักหนึ่ง
ผมก็เลยจะไปอาบน้ำ  แต่ก็เปิดทีวีไว้เป็นเพื่อนแบบนั้น

พอหยิบเสื้อผ้า ผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
เริ่มเปิดฝักบัวอาบน้ำ อยู่ๆก็เหมือนได้ยินเสียงคน เรียกผม
แต่มันก็มีเสียงทีวีดังแทรกกันอยู่

ผมก็เลยเงี่ยหูฟัง ใครเรียกเรา
แต่ก็ได้ยินแค่เสียงทีวี
พออาบน้ำไปได้สักพักก็ได้ยินเหมือนมีเสียงคนเรียกอีก
ผมก็ปิดฝักบัว ตั้งใจฟังอีก ว่ามีใครเรียกเราหรือเปล่า
คราวนี้ผมก็เลยเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ โผล่หัวออกไปมองไปทางหน้าบ้าน
แล้วก็ตั้งใจฟัง ว่ามีใครเรียกเรา
แต่ก็ได้ยินแค่เสียงทีวี

ตอนนั้นก็นึกในใจ
555 พวกนั้นมันจะแกล้งเราอะซิ แต่มันเข้าบ้านไม่ได้ 5555555 สม

ผมก็เลยมาอาบน้ำต่อ
แล้วผมก็สระผม เอาแชมพูใส่ที่ผมแล้วก็เริ่มสระ
พอหลับตาสระผม ไปมาสักพัก
ทำไมพอหลับตาแล้วมันรู้สึก หวิวๆยังไงไม่รู้
ก็เลยรีบๆล้างแชมพูออก
พอลืมตาขึ้นมาได้ ปรากฏว่าไฟห้องน้ำมันดับ
ทำเอาผมตกใจ เล็กน้อย
แต่ก็มีแสงจากข้างนอกห้องน้ำผ่านตรงประตูอะคริลิคเข้ามาข้างใน
เลยทำให้ในห้องน้ำไม่มืดมากนัก
ผมก็เลยขยับตัวไปแถวๆกลางห้องน้ำ ไฟก็เลยติดสว่างขึ้น
พออาบน้ำเสร็จ ผมก็แต่งตัวในห้องน้ำ
ช่วงกำลังยืนส่องกระจกอยู่
อยู่ๆผมก็ได้กลิ่นแปลกๆ ลอยมาเตะจมูกอย่างแรง
มันเป็นกลิ่นเหมือน ซากอะไรเน่าๆ แบบเหม็นเป็นสาปๆ

เฮ้ย.. กลิ่นไรวะ

ผมพยายาม สูดหายใจ หาแหล่งที่มาของกลิ่น
ชะโงกหน้าไปที่อ้างล้างหน้าแล้วก็ดมกลิ่นดู
แต่ดูเหมือน กลิ่นนั้นมันจะคลุ้งไปทั่วห้อง จนจับไม่ได้ว่ามันมาจากไหน
ผมก็เลยเดินออกมาจากห้องน้ำ

ปรากฏว่ากลิ่นมันก็ไม่รุนแรงเหมือนอยู่ในห้องน้ำ

ผมก็เลยเดินกลับไปในห้องน้ำใหม่ อีกที
คราวนี้กลิ่นนั้นก็หายไปแล้ว

ผมก็ได้แต่ งงๆ  อืม บทจะหาย ก็หายไปดื้อๆ

พอเดินออกมาจากห้องน้ำผมก็มานั่งลงที่เตียง
เอาผ้าเช็ดหัวให้แห้ง แล้วก็ดูทีวีไปด้วย
นั่งพูดอยู่คนเดียว

ไอ้พวกปอดแหกเอ้ย ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำเอาซะตกอกตกใจ

พอเช็ดผมให้แห้งแล้ว
ผมก็เลยลุกขึ้น จะออกไปหาเพื่อน
หยิบรีโมทมาปิดทีวี
พอทีวีปิดเป็นจอดำพรึ๊บลง
ผมก็มองเห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ในจอทีวี
พอมองเข้าไปดูที่จอดีๆ ขนหัวผมก็ลุกตั้ง เย็นสันหลังว๊าบขึ้นมาสุดขีด
เมื่อเห็นร่างดำทะมึน นั่งอยู่ตรงขอบเตียงข้างหลังที่ผมยืนอยู่
ผมรีบหันกลับไปดูทีเตียง
เฮ้ย.. ไม่มี
แล้วก็หันกลับไปดูทีจอทีวีอีกครั้ง
เจอร่างไหม้เกรียมนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ตาจ้องเขม็งงมาที่ผม
เท่านั้นแหละ ผมก็ร้องลั่นขึ้นทันที

ไอ้ เห..ีย.... .
กูไม่อยู่แล้ว

รีบวิ่งไปที่ประตู  เปิดลูกบิด อย่างเร็ว
แต่มันเหมือน เปิดไม่ออก
มือผมพยายามบิดลูกบิดไปมา
แต่ด้านหลังผมมันเย็นว๊าบๆ ขนลุกขนพองไปหมด
ผมเขย่าลูกบินไปมาให้มันรีบเปิด
พอเห็นว่าเปิดไม่ได้ ผมก็เลย รีบทุบประตู ปัง ปัง
ร้องบอกเพื่อน
เฮ้ย.. ช่วยกูด้วย  ช่วยกูด้วย
ผมรีบหันหลังไปมองในห้อง
ในห้องว่างเปล่าไม่มีอะไร มองไปที่เตียงก็ว่างเปล่า
แต่พอมองไปที่ ทีวี ก็ยังเห็นเงาสะท้อนของร่างนั้นนั่งอยู่ที่ขอบเตียง
แล้วมันก็ค่อยๆลุกขึ้น หันมาทางผม
เท่านั้นแหละ ร่างผมก็ทรุดลงกับพื้น หลังพิงประตู
หลับตา ร้องลั่น เฮ้ย.. ช่วยกูด้วย เร็วๆ
เร็วๆ  ช่วยกูด้วย


หลังจากที่ร้องให้เพื่อนมาช่วยผมอยู่ครู่หนึ่ง
พอลืมตาขึ้นก็ปรากกฏว่าในห้องมันมืดสนิท
เฮ้ย... ใครดับไฟ
วินาทีนั้น มันทำให้ผมขนลุกชูชันไปตามแผ่นหลัง รอบกายเย็นยะเยือกไปหมด
จนยิ่งทำให้ผมต้องรีบ ทุบประตู ให้เกิดเสียงดัง อย่างแรง
พรางร้องตะโกนลั่นจนสุดเสียง
แล้วผมก็เริ่มได้ยินเหมือนมีเสียง คนวิ่งมาที่ประตูกัน
เท่านั้นแหละผมก็รีบ ร้องบอกเพื่อน
เร็วๆเพื่อน  เร็วๆ..
แล้วลูกบิดก็ถูกจับหมุ่นจากภายนอก ดักแกร๊ก
ประตูเปิดอ้าออก
ผมมองไปที่หน้าประตู เจอคนวิ่งเข้ามาช่วยผมสองสามคน
พร้อมกับแสงไฟดวงใหญ่ที่สาดเข้ามาที่หน้าผมจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
พอเพื่อนวิ่งเข้ามาพยุงผมลุกขึ้นแล้วก็ดึงผมออกมาจากบ้าน
มันก็ทำให้ผมต้องแปลกใจ
เพราะร่างเพื่อน ทำไมมันดูกำยำกันนัก
พอออกมายืนนอกบ้านได้  มองไปที่กลุ่มคนที่เข้ามาช่วยผม
ก็ถึงกับผวา ขึ้นมาอีก
เพราะคนพวกนั้นไม่ใช่เพื่อนผม แถมแต่งชุดพนักงานดับเพลิงอีก
ผมร้อง เฮ้ย..
ด้วยความตกใจ

อะไรกันนี่ พวกคุณเป็นใคร


มีชายคนหนึ่ง เดินมาจับไหล่ผม พยายามประคองผมให้เดินไปทางด้านหน้าต่อ

ผมหันหลังกลับไปมอง ที่บ้านพักหลังนั้น
ก็ถึงกับตะลึง เพราะที่หลังคาเหลือแต่โครงไม้ที่ไหม้ดำเป็นตอตะโก มีควันลอยคลุ้งอยู่จางๆ
มองไปดูที่ตัวบ้าน ถูกไฟไหม้ เป็นลักษณะ ไหม้ออกมาจากข้างใน
เพราะมีคราบเขม่าดำๆ ติดอยู่ตามผนังบ้านด้านบน ที่ติดอยู่กับหลังคา


ผม งง กับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จน นึกไม่ออกว่า เรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

ได้แต่ถามเจ้าหน้าที่ ที่นำทางผมเดินไปว่า
เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น


เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันมาพูดกับผมว่า  คุณไปอยู่ตรงไหน ภายในบ้าน
เพราะพวกเรามาถึงไฟก็ไหม้จนเกือบจะมอดเองแล้ว
แต่เข้าไปหาในบ้าน ทำไมไม่เจอคุณ


พูดมาถึงตรงนี้  ผมก็เดินมาถึงแถวๆ รถมูลนิธิจอดอยู่
มองไปข้างๆรถ เจอ ศพ พันผ้าห่อศพ วางเรียงกันอยู่กับพื้น  3ศพ
ผมก็ รีบ ร้องออกมาจนสุดเสียง  เพื่อน... โอ้..ไม่นะ

เจ้าหน้าที่สองคนมาจีบตัวผมไว้ ไม่ให้ฟุบลงไปกับพื้น
พยายามทำให้ผมสงบสติอารมณ์ลง


พอมาถึงที่รถ เจ้าหน้าที่ให้ผมนอนไปบนเตียงสนาม
เอาหน้ากากอ๊อกซิเจนมาครอบที่จมูกผม
ผมบอกว่าผมไม่เป็นไร
พยายามจะลุกนั่ง

เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า
ไม่รู้ว่าคุณสูดควันเข้าไปในปอดเยอะไหม


เลยต้องให้ผมหายใจเอาอากาศดีเข้าไปก่อน
ผมนอนหงาย พร้อมกับใส่หน้ากากหายใจ
แล้วก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งขึ้นมานั่งอยุ่ข้างๆ

ผมเอาที่ครอบจมูกออก ถามเขาว่า
เกิดอะไรขึ้น ช่วยบอกผมหน่อย

เขาก็บอกว่า
ไฟไหม้บ้านหลังนั้น
เราเข้าไปข้างในแล้ว ก็เจอสามศพนั้นนอนเกลื่อนอยู่ในห้อง
พอสำรวจจนหมดแล้ว ไม่มีใครอีก พวกเราก็ออกมา
พอปิดประตูบ้านเท่านั้นหละ
ก็ได้ยินเสียงคนทุบประตูออกมา จากข้างใน
พอเปิดออกมาก็เจอคุณนี่แหละ
คุณไปอยู่ตรงไหนมา


ผมก็ งง มาก นึกอะไรไม่ออก


นั้นนะซิ ผมไปอยู่ตรงไหนมา

ผมถามกลับไป


แล้วพวกผู้หญิงที่พักอยู่อีกบ้านหลังหนึ่งหละ


ชายคนนั้นก็บอกว่า  เจ้าหน้าที่กันให้ออกจากที่เกิดเหตุก่อน
ตอนนี้ปลอดภัยแล้วิ รออยู่ที่บ้านตรงข้างหน้าทางเข้า รีสอร์ท


ช่วงที่กำลังคุยกันอยู่ ดูเหมือนรถก็เคลื่อนที่ออกจากที่เกิดเหตุแล้ว


ผมก็เลยถามว่า  แวะหาพวกเพื่อนผมที่เหลือก่อนได้ไหม

ชายคนนั้นก็บอกว่า น่าจะได้ เดี๋ยวเขาจะประสานงานให้
พอเคลื่อนรถมาได้พักหนึ่ง
ก็ดูเหมือนรถจะมาจออยู่ที่ที่หนึ่ง
ชายคนนั้นลงไปจากรถ ไม่ได้บอกอะไรผม

ได้ยินเสียงคนคุยกันอยุ่ข้างๆรถ
สักพักก็เงียบไป


ผมรออยู่สักพักใหญ่จนรู้สึกว่า มันเงียบผิดสังเกต
ก็เลยร้องเรียกคนแถวนั้น
ปรากฏว่าไม่มีเสียงตอบรับ
ผมก็เลย ลุกขึ้น แล้วก็เดินลงมาจากรถ
ปรากฏว่า รถพาผมมาจออยู่ข้างๆบ้านพักหลังหนึ่ง
เป็นบ้านพักหลังใหญ่ ที่อยู่แถวๆหน้าทางเข้า ที่เรามาเอากุญแจบ้าน

ผมเดินไปที่บ้านหลังนั้น ร้องเรียกคนที่อยุ่ในบ้าน
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
ผมเปิดประตูเข้าไปดูข้างใน

พอเปิดประตูเข้าไปข้างในบ้าน
ก็เจอกับ ห้องโถงใหญ่ ข้างในไม่มีใครเลย
แต่เปิดไฟไว้ สลัว สลัว
ผมร้องเรียกว่ามีใครอยู่ไหม  แต่ก็เงียบอีก
เดินเข้าไปสำรวจดูในบ้าน ก็มีทางเดิน เดินไปด้านหลังของบ้าน
พอยืนอยู่ตรงหน้าทางเดินที่จะเดินไปหลังบ้าน
ก็ได้ยินเสียง คล้ายๆคนคุยอะไรกัน ดังออกมา จากซอกทางเดินตรงนั้น
พอมองไปในซอกทางเดิน ก็เจอประตู อยู่ด้านข้างทางเดิน
ดูเหมือนจะมีห้อง อีกสองสามห้อง ถัดกันไป ตามทางเดิน

ผมเดินเข้าไปช้าๆตามทางเดินนั้น
เสียงคนคุยกันเริ่มค่อยๆดังขึ้น
ฟังดูดีดีเหมือนคนตะคอกเสียง คล้ายคนโกรธจัด
พอเดินไปตรงประตูที่มีเสียงดังออกมา
มองไปที่ประตู โชคดีที่ประตูมันมีช่องกระจก สี่เหลี่ยมเล็กๆ
ขนาดเท่ากับหน้าเรา ติดอยู่ตรงบานประตูพอดี

ผมก็เลยค่อยๆ เอาหน้าไปแนบชิดกับขอบกระจก
แล้วค่อยๆโผล่หัวขึ้นช้าๆ ให้สามารถมองเห็นข้างในห้องได้
โดยที่ คนในห้องไม่เห็นผม

พอมองไปในห้องก็เจอ ลักษณะของห้อง คล้ายๆห้องเก็บของ
แล้วก็มีกลุ่มวัยรุ่น ประมาณสี่ ห้าคน ยืนดูอะไรอยู่
ผมมองไปที่พื้น เห็นคนคนหนึ่งถูกมัดมือ คว่ำหน้าอยู่
รูปร่างสูงใหญ่
สภาพไม่มีการถูกทำร้ายอะไร

ผมตกใจมาก
เฮ้ย.. มันเรื่องอะไรกันนี่
ผมนึกในใจ

แล้วสักพัก ก็มีวัยรุ่นสองคนเดินเข้าไปจับชายคนนั้นนอนหงาย
แล้วก็มีอีกคนหนึ่ง เดินไปพร้อมกับถือขวดน้ำอยู่ในมือ
แล้วก็กรอกเข้าไปในปากชายคนนั้น

ตอนนั้นผมตกใจมาก ทำไรไม่ถูก
ใจเต้นแรงมาก

เฮ้ย.. เอาไงดี

จะร้องออกมาก็ไม่กล้าร้อง

พอวัยรุ่นพวกนั้น ผละออกมา ยืนดูชายคนนั้นอยู่ข้างๆ
สักพัก ชายคนนั้นก็เริ่มชัก ตัวเกร็ง   มีฟองออกมจากปาก

เฮ้ย.. นี่มันฆาตกรรมนี่หว่า

ผมโผล่หัวยืนขึ้นดู อย่างลืมตัว
มีวัยรุ่นคนหนึ่งเหมือนเขาจะเห็นหน้าผม แอบดูอยู่

ผมรีบหลบหัวลงทันที แล้วก็รีบ วิ่งออกมาจาก ตรงนั้น
ผมรีบวิ่งออกมาจนถึงตรงแยกทางเดิน แล้วก็รีบหลบเข้าผนังข้างๆ
ก่อนได้ยินเสียง เปิดประตูดังแอ๊ด ออกมา
สักพักก็ได้ยินเสียงเดินมาเป็นกลุ่มใหญ่
เหมือนมันจะเปิดประตูดูทีละบานว่ามีใครอยู่ในห้องไหม
เสียงพวกมันเดินใกล้เข้ามาทางผมเรื่อยๆ
จนทำให้ผมต้องรีบตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
ผมมองไปข้างหน้า
มีซอกโต๊ะ คล้ายๆโต๊ะของพนักงานต้อนรับ
ผมรีบคลานต่ำ แล้วก็มุ่งไปแถวๆใต้โต๊ะตัวนั้น
รีบมุดตัวเข้าไปซ่อนใต้โต๊ะ

เสียงกลุ่มวัยรุ่นเดินออกมาตรงโถงใหญ่
ดูเหมือนมันจะเดินวนดูรอบๆ
แล้วสักพักก็มีเสียงฝีเท้า เดินตรงมาทางผม
มันหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะตัวที่ผมซ่อนอยู่
ผมเอามือมาปิดที่จมูก
พยายามกลั้นหายใจ ให้มีเสียงหายใจออกมาให้เบาที่สุด
ตาพยายามมองจ้องไปที่ช่องด้านข้าง ที่สลัว สลัว
ว่าจะมีใครโผล่เข้ามาไหม
ใจสั่นไปหมด

สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนพวกมันกลัวอะไรสักอย่าง
แล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าไปทางด้านหลังบ้าน
ได้ยินเสียงปิดประตูดังปั้ง.

แล้วผมก็รีบ ออกมาจากใต้โต๊ะ  เดินออกมาตรงโถงใหญ่
มองไปที่ทางเดิน ที่เดินไปหลังบ้าน
เห็นไฟตรงทางเดินถูกปิดจนมืดหมด
ผมเลยรีบเดินไปตรงที่ประตูหน้าบ้าน
กำลังจะเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู
อยู่ๆไฟในบ้านก็ดับพลึบลง จนบรรยากาศในบ้านมืดไปหมด
ยังไม่ทันจะตั้งตัวเลย
อยู่ๆประตูก็ถูกดึง เปิดพลึบออกต่อหน้าต่อตาทันที
จนผมตกใจ เข่าทรุดล้มลงไปนั่งกองกับพื้น
พอประตูเปิดอ้าออกจนสุด
ผมมองไป ก็เจอร่างคนยืนอยู่หน้าประตูประมาณ สาม สี่ คน
มองไม่เห็นหน้า เห็นแต่เงาดำๆ เพราะยืนย้อนแสงอยู่
ผมรีบตะเกียกตะกาย พยายาม ถอยหลัง ลุกหนี วัยรุ่นพวกนั้น

แล้วเสียง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

เฮ้ย เพื่อน .. เอ็งเป็นอะไร

แล้วก็มีเสียงเพื่อนผู้หญิงผมเรียก ชื่อผมขึ้นมา ด้วย

ผม ชะงัก

เอามือบังหน้าไปที่เหนือคิ้ว พยายามหลบแสงจากข้างนอก
ให้มองเห็นหน้าพวกที่ยืนอยู่ตรงประตู

แล้วตาผมก็เริ่มมองเห็นหน้าพวกเขารางๆ

อ้าว... เฮ้ย.. พวกเองยังไม่ตายหรือ

เพื่อนๆพากันเข้ามาพยุงผมลุกขึ้น
อีกคนก็รีบเปิดไฟในห้อง
พอ แสงไฟในห้องเปิดขึ้น

ผมมองไปรอบห้อง
อ้าว มันเป็นห้องที่เรามาพักกันนี่

ตอนนั้น ยืน เอ๋อ  งง ทำไรไม่ถูกเลย

เพื่อนๆเข้ามาถามผมว่า เป็นอะไร
แต่เหมือนผมจะไม่มีสติ โต้ตอบพวกเขาได้

ผมเห็นแต่ปากเพื่อนมันถามอะไรไม่รู้
แต่ไม่ได้ยินเสียงพวกมัน
ปากผมก็ถามแต่ว่า พวกเอ็งยังไม่ตายหรือ
พวกเอ็งยังไม่ตายหรือ ซ้ำๆอยู่แบบนั้น

จนเพื่อนๆบอกว่านั่งก่อน แล้วก็ประคองผมไปที่เตียง
พอผมหันไปมอง ที่เตียง
เท่านั้นแหละ
ผมก็รีบร้องบอกเพื่อนทันที
กูไม่นั่ง กูไม่นั่ง
แล้วก็พยายามดิ้น จะวิ่งหนีออกมาที่ประตู
แต่เพื่อนๆก็จับตัวผมไว้

ผมก็ตะโกนบอกกับเพื่อนว่า
พวกเองตายแล้ว พวกเองเป็นผี
อย่ามายุ่งกับกู

แล้วผมก็พยายามดิ้นอีก

จนสลบไป

มารู้ตัวอีกที
ตอนที่ได้ยินเสียงคน เอะอะอะไรกันอยู่ข้างๆหู
พอลืมตาก็เห็นเพื่อนผมสองคนหิ้วปีกผมอยู่สองข้าง
แล้วก็มีอีกคนกำลังจับขาผมให้พ้นขั้นบันใด

ผมพยายามตั้งสติ มองไปดูดีดี
เหมือนเขากำลังหามผมขึ้นไปบนบ้านหลังหนึ่งที่มีบันไดยกสูง
พอขึ้นมาข้างบนบ้านได้
มองไปก็เห็น พระนั่งอยู่ ข้างใน
มีตาแก่ๆ สวมเสื้อหม้อฮ่อม เดินมาใกล้ๆแล้วก็บอกว่า
มาทางนี้ มาทางนี้

สักพักพอนั่งลง ตรงหน้าหลวงพ่อได้
ผมก็มองไปรอบๆ เห็นเพื่อนผมทุกคนนั่งพนมมือกันอยู่ รอบๆตัวผม
มีเพื่อนสองคนนั่งประกบผมไว้ซ้าย-ขวา

แล้วเพื่อนผมคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า
หลวงพ่อครับ ช่วยเพื่อนผมด้วยครับ
เขาโดนผีเข้ามาครับ

ผมก็สะดุ้ง หันไปมองเพื่อนตาขวาง
เพื่อนก็พลอยสะดุ้งตามด้วย

บ้าหรือ ใครโดนผีเข้า พวกแกนั่แหละเป็นผี

พอได้ยินผมพูดแบบนั้น เพื่อนๆก็มาจับตัวผมไว้ กันผมดิ้นอีก

หลวงพ่อก็บอก ว่า
เอาหละ เอาหละ ใครผีใครคน เดี๋ยวสักพักก็จะรู้กันเอง
ขอให้ทุกคนทำใจให้สงบ แล้วก็นั่งนิ่งๆ

แล้วสักพัก หลวงพ่อก็ท่องมนต์
รู้สึกหลวงพ่อสวดมนต์นานมากจนผม ขาชาไปหมด
แล้วสุดท้ายท่านก็ พรมน้ำมนต์ให้พวกเรา

พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ ทุกอย่างสงบลง
ผมก็เริ่มมีสติ

หลวงพ่อถามว่า เป็นยังไงมายังไง ถึงได้หามกันมาดึกๆดื่นๆ
เพื่อนๆก็เล่าให้หลวงพ่อฟังแค่ว่า
ผมเข้าไปในบ้านพัก ที่เพื่อนสองคนโดนผีหลอกมาก่อนหน้านี้
หายไปนาน จนเพื่อนๆคิดว่าผมเข้าไปนอนหลับแล้ว
แต่สักพักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงผมร้องช่วยด้วย ช่วยด้วย แล้วก็ทุบประตู ปัง ปัง
ร้องเสียงดังมาก จนเพื่อนๆผู้หญิงที่อยู่บ้านอีกหลังตกใจตื่น แล้วก็วิ่งออกมาดู
พวกเพื่อนๆก็เลยวิ่งไปที่บ้านหลังที่ผมอยู่พร้อมกัน
พอเปิดประตูออกมา ก็เจอผม นั่งอยู่กับพื้น
พูดจาไม่ได้สติ ถามอะไรก็ไม่ตอบ
แล้วก็เพ้อแต่ว่า พวกเพื่อนๆตายหมดแล้ว

เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับหลวงพ่อ

หลวงพ่อ ได้ฟัง ก็บอก ว่า
อืม พวกโยมอาจจะ เมาแล้วเห็นอะไรตาฝาดกันไปเองก็ได้
อย่าไปคิดมาก ดูสภาพแต่ละคนซิ กลิ่นเหล้าฉุนมาเลย

แล้วสักพัก หลวงพ่อก็ขอตัวไปจำวัด
ทิ้งพวกเราอยู่ในศาลานั้น

ตาแก่ๆ แกก็เลยเดินมานั่งคุยด้วย
คุยไปคุยมาก็ได้ความว่า
ตาแกเป็นสัปเหร่ออยู่ที่วัดนี้

ตอนนั้นผมยังไม่เล่าเรื่องราวของผมให้ตาที่เป็นสัปเหร่อฟัง
มีแต่เพื่อนสองคนที่เจอก่อนหน้าผมเล่าให้ฟัง
แล้วตาสัปเหร่อ ก็เล่าให้เราฟังว่า

ที่ที่เราไปพัก
ก่อนหน้านี้ หลายปีแล้ว
ตอนนั้นเปิดเป็นรีสอร์ทใหม่ๆ คนก็มาใช้บริการดีนะ
นักท่องเที่ยวก็มาเยอะ
แต่วันหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่ง มาพักที่นั่นแล้วก็ ไหลตาย
ดูจากสภาพศพแล้ว น่าจะนอนหลับแล้วก็ตายไปเลย
ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ตำรวจก็เลยสันนิฐานว่าไหลตาย

พอเริ่มมีคนตาย รีสอร์ทก็ดูเหมือนมีคนมาพักน้อยลง
แล้วไม่กี่ปีต่อมา ก็มีไฟไหม้ในรีสอร์ท ไฟครอบ ย่างสด คนมาพักที่นั่นไป 3ศพ

เล่ามาถึงตรงนี้ พวกเราก็ตกใจ
รีบถามตาสัปเหร่อไปว่า
หลังไหนครับตา  หลังไหน

ตาสัปเหร่อก็บอก ว่า รู้สึกจะเป็นหลัง สุดท้ายที่อยู่ลึกที่สุดในรีสอร์ทนะ

เท่านั้นแหละ พวกเราก็ผวาเข้ากอดกัน โดยไม่รู้ตัว

ใช่เลย ตา  หลังนั้นแหละที่พวกเราเจอ

ตาก็เล่าต่อ

อืมแต่ คนที่ตายปรากฏว่า  ไม่ใช่นักท่องเที่ยว
แต่กลายเป็นพวกวัยรุ่นที่อยู่ละแวกนี้
เขาว่ากันว่า พวกนี้คงไปเช่ารีสอร์ทแล้วมั้วสุมกัน เสพยา
สุดท้ายก็ทำไฟไหม้ เผาครอบตัวเอง

แล้วถัดจากเหตุการณ์นั้นมาไม่นาน ก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอีก
คือ ช่วงนั้น มีวัยรุ่นเสียชีวิต บ่อยมาก บางคนก็ผูกคอตาย
บางคนก็รถมอไซด์แหกโค้งตาย

ตาจำได้ ช่วงนั้น ทำแต่ศพวัยรุ่น แทบจะเรียกได้ว่า วันเว้นวันได้เลย

ต่อมารีสอร์ทแห่งนั้น ก็ไม่ค่อยมีแขกมาพัก
จนต้องหยุดกิจการไปอยู่พักหนึ่ง

ก็มา เมื่อไม่นานนี้เอง เจ้าของเก่าเขาขายรีสอร์ทนั้นไป
ก็ถึงมีคนมาตกแต่ง มาปรับปรุงกันใหม่
แล้วก็เปิดให้คนมาพัก

พูดมาถึงตรงนี้
พวกเราก็ รีบถามไปว่า
แล้วมีใครเจออะไรกัน เหมือนพวกเราไหม ตา

ตาก็บอก ว่า
ตาก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่เคยเจอ คนที่ไปเป็นลูกจ้างในรีสอร์ทนั้น
มาเล่าให้ฟัง เวลาเขามาวัด
ว่า บ้านพักหลังใหญ่ ที่อยู่ด้านหลัง ถ้ามีลูกค้าจอง
ส่วนใหญ่ แขกจะกลับกันกลางดึกตลอด ไม่รู้ว่าทำไม

พอตาสัปเหร่อ เล่าจบ
ก็ถามพวกเราว่า
นี่ก็ยังไม่เช้าเลย แล้วพวกคุณจะกลับไปพักที่นั่นต่อไหม

พวกเราได้แต่สายหน้ากันไปมา
ไม่เอาแล้ว ตา  พวกเราขอรออยู่ที่วัดจนถึงเช้าดีกว่า ค่อยกลับไปขนของ

พอตาสัปเหร่อ กลับไป
ดูนาฬิกาแล้วก็ประมาณ ตีสามกว่า
ทุกคนนั่งมองหน้ากัน เงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร
จนสักพัก ทุกคนก็หันมามองผมเป็นตาเดียวกัน

เหลือเอ็ง  ที่ยังไม่เล่าให้พวกเราฟังเลยว่าเจออะไร

ผมก็เลยบอก ว่า โห ยังจะอยากฟังอยู่อีกหรือวะ

เพื่อนๆขยับตัวเข้ามาใกล้ๆผม แล้วก็พยักหน้า

เล่าเลย

แล้วผมก็เล่าเรื่องที่ผมเจอในบ้านหลังนั้นให้เพื่อนฟัง


จบ บริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป เจอผีในรีสอร์ท
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735

เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ (ฉบับหลอน)


      เรื่องราวการท่องเที่ยวที่ตื่นเต้นเละเต็มไปด้วยความหลอนที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาเจอเหตุการณ์นี้ ที่ทำให้พวกเขาจดจำไปจนวันตาย "เรื่องเที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ (ฉบับหลอน)" โดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 3062905 ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

วันนี้มาเล่าเรื่องไปเที่ยวมาครับ
คือ.. เรื่องมันเริ่มขึ้นจากที่ ช่วงซัมเมอร์หนึ่ง เพื่อนผม มาชวนผมไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน
โดยรวบรวมสมัครพักพวกและบรรดาผู้ติดตาม(แฟน)กันได้กลุ่มหนึ่ง ก็สักประมาณ 7-8 คนได้
เราขับรถตามกันไป 3 คัน มุ่งหน้าจะไปจังหวัดที่หมาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก กรุงเทพมากนัก
ขับไปถึงสักประมาณ 10 โมงเช้า เราก็แวะเที่ยวที่แห่งหนึ่งกัน ขับตามป้ายที่มีบอกเป็นระยะๆ
อืมจังหวัดนี้ผมว่าเขาทำป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวดีนะครับ
ถนนหนทางก็ดี เหมาะกับเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวจริงๆ
พวกเราขับรถเพลินไปกับบรรยากาศสองข้างทางที่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ
รถลาก็ไม่ขวักไขว่  จนถึงป้ายบอกว่าถึงแล้ว พวกเราก็เลี้ยวรถเข้าไปตามป้ายชี้

พอเลี้ยวรถเข้าไปได้ มองดูไกลๆ ลักษณะเหมือนขับไปแล้วจะมีภูเขาตั้งสง่าอยู่ด้านหน้า
ขับเข้าไปประมาณห้าร้อยเมตร ก็พบกับลิงเดินไปมาอยู่ข้างๆถนนเป็นกลุ่มๆ
พร้อมกับร้านขายอาหารลิง สองสามร้านเล็กๆ อยู่ห่างๆกัน

เพื่อนผมพาพวกเราไปจอดรถอยู่ข้างๆร้านขายอาหารลิงร้านหนึ่ง
พวกเราพากันลงไปถามป้าคนขายและก็ช่วยอุดหนุนแก
ด้วยความอยากรู้ก็ถามแกว่า ป้าข้างในมันมีที่เที่ยวอะไรบ้าง
ป้าแกก็บอกว่า มีเยอะเลย เป็นคล้ายๆอุทยาน เดินขึ้นไปบนเขาได้
ผมก็ถามว่า แล้วจอดรถได้หรือครับ
ป้าแกก็บอกว่าจอดได้ ข้างในมีที่จอด เข้าไปเลย
พอคุยกับป้าเสร็จก็ซื้ออาหารลิงกับป้าคนละถุงสองถุง แล้วก็พากันขึ้นรถ

ขับเข้าไปสักกิโล กว่าๆ
ก็ไปเจอคล้ายๆตีเขา มีบันใดปูนเป็นขั้นๆไต่ขึ้นไปตามภูเขา
แต่สองข้างทางมันเป็นป่ารกมาก

พอขับเข้าไปใกล้ๆจะถึงลานจอด
คราวนี้เจอฝูงลิง ชนิดที่ว่า เป็นฝูงม๊อบลิงยึดถนนได้เลยครับ เยอะมากๆ เดินเต็มถนนไปหมด
แต่พอไปถึงลานจอดรถแล้ว ไม่มีใครกล้าลงจากรถเลยครับ
เพราะมองไปแล้ว ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ไม่มีรถจอดสักคันเลยครับ
แล้วทางที่เป็นบันใดจะเดินขึ้นไปเป็นเขา มันก็ช่างดูรกร้างมาก หญ้าสูงท่วมหัว
จนมองแล้วเหมือนมันจะมีงูเลย
เห็นแบบนี้แล้ว ชวนวังเวงยังไงชอบกล
จนเพื่อนพูดขึ้น ว่า โห ใครจะกล้าจอดรถตรงนี้แล้วเดินขึ้นไปวะ ไม่มีคนสักคนเลย
มีแต่ลิง กลับลงมา สงสัยรถหายแน่ๆ หรือไม่ก็โดนลิงแทะเล่นจนพรุน

พวกเราตัดสินใจไม่จอดแวะ ขับต่อไปเรื่อยๆตามทาง
จนมันวนไปอยู่ตรงจุดจุดหนึ่ง คล้ายๆ ลานจอดพักรถ
พอเราเอารถไปจอดพักตรงนั้น แล้วเดินไปดูตรงที่เป็นคล้ายๆศาลาพัก
พอเข้าไปในศาลาพัก ด้านหลังมันติดกับเหวครับ
มองลงไปเป็นบึงน้ำสี มรกต สวยมากๆ
ผมก็นึกในใจ อืมก็ยังดี ที่ไม่เสียเที่ยวแวะเข้ามา
พอเพื่อนถ่ายรูปกันเสร็จ พวกเราก็ขับรถเที่ยวกันต่อ
ขับไปตามทางเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็วนกลับออกมาทางด้านหน้า
ตรงร้านขายอาหารลิงเหมือนเดิม

พอขับออกมาตรงปากซอยได้ ก็จอดรถปรึกษากันต่อ
ว่าจะไปไหนกันต่อดี

แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งเสนอขึ้น  ไปถ้ำไง แถวนี้ถ้ำเยอะจะตาย ไปดูค้างคาวแม่ไก่กัน

หลังจากไม่มีใครคัดค้านอะไร
พวกเราก็ออกเดินทางกัน ขับออกมาไม่ไกล ก็เจอป้ายข้างทาง
ชี้ว่าไปถ้ำแห่งหนึ่ง
พวกเราก็ขับตามป้ายนั้นไป
ขับตามป้ายนั้นมาอยู่พักใหญ่
อยู่ๆป้ายชื่อที่บอกว่าไปถ้ำนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นอีกชื่อหนึ่งซะงั้น
อ้าว แล้วถ้ำที่เราจะไปมันหายไปไหนแล้วหละ ไหงกลายมาเป็นชื่อถ้ำนี้
รู้สึกว่าขับไป ขับไปมันจะมีป้ายชื่อบอกถ้ำ หลายชื่อเลยครับ
แสดงว่าแถวนี้มีถ้ำอยู่หลายจุด จนเราขับรถหลงกันไปไหนก็ไม่รู้
สรุปขับมาเป็นชั่วโมงก็ไม่เจอถ้ำอะไรสักถ้ำ
เพื่อนก็เลยพาแวะทานข้าวกันก่อน

หลังจากทานข้าวเสร็จ เราก็ถามคนแถวนั้นว่า แถวๆนี้จะไปเที่ยวถ้ำตรงไหนได้บ้าง
คนแถวนั้นก็บอกเราว่า เราเลยมาไกลแล้วให้ย้อนกลับไปทางเดิม

อ้าวซะงั้น

พอขับรถออกมาได้สักพัก กำลังจะหาที่กลับรถ
ปรากกฏว่า เจอป้ายบอกทางไปถ้ำอีกแล้วครับ
ป้ายมันบอกให้ตรงไป
เพื่อนก็เลยพาเราขับตรงไป ไม่ได้กลับรถ
แล้วสักพักก็พาเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ
ขับเข้าไปลึกพอสมควรครับ สองข้างทางเป็นทุ่งนาไม่มีบ้านคนเลย
และถนนก็ลาดยาง สภาพดีมากๆครับ เป็นถนนสองเลน
บรรยากาศ ดีมาก สวย ทุ่งนาเขียวขจี
ขับเข้าไปพักใหญ่ ไม่มีรถสวนออกมาเลย และก็ไม่มีรถตามเรามาด้วย
มีแค่รถกลุ่มพวกเราเท่านั้นที่วิ่งอยู่บนถนน
ยิ่งขับเข้าไปลึกก็ยิ่งเปลี่ยว จนผมชักเริ่ม หนาวๆร้อนๆ
เอาไงดีจะชวนเพื่อนกลับดีไหม มันลึกเกินไปแล้วนะ

แต่สุดท้าย ป้ายมันก็ชี้เข้าไปในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง
พวกเราก็ขับรถเข้าไป ปรากฏว่า ที่นั้นเป็นวัดครับ
พอผ่านรั้ววัดเข้าไป ก็มีลานจอดเล็กๆ อยู่หน้าวัด
ก็เลยพากันไปจอด ตรงนั้น แล้วข้างๆลานจอดนั้นเอง
ก็มีบันใดเดินขึ้นไปบนเนินสูงๆ ลักษณะคล้ายๆบันใดสามร้อยขั้น

เพื่อนๆลงมาจากรถ
มองรอบตัว
ไม่มีใครมาเที่ยวเลยหรือวะ คนหายไปไหนหมด
วังเวงจัง
เพื่อนคนหนึ่งก็เลยพูดขึ้น ไหนๆก็มาแล้ว อย่าให้เสียเที่ยว ไปดูกันเถอะ
กลุ่มผู้หญิงบางคนเขาก็ พูดลักษณะ ไม่อยากไป ขอรออยู่ข้างล่าง
แต่เพื่อนๆก็รบเร้าให้มาด้วยกัน มาเป็นเพื่อนหน่อย
สุดท้ายพวกเราก็เลย ตัดสินใจเดินขึ้นบันใดไปครับ
พอขึ้นไปสักประมาณ ช่วงถึงชานพักแรก
แล้วก็มองขึ้นไป มองเห็นปากถ้ำอยู่ราวๆ ร้อยเมตรน่าจะได้
โหไกลจัง
แต่ผมมองดูขั้นบันใดแล้ว เหมือนไม่มีใครมาเที่ยวนานแล้วครับ
เพราะมีคราบตะไคร้น้ำเขียวๆขึ้นเต็มไปหมด
จนเพื่อนๆ พอเห็นสภาพแล้วก็มองหน้ากัน  เอาไงดี จะไปต่อดีไหม
เพื่อนผมคนหนึ่ง ก็คะยันคะยอทุกคน  เฮ้ย มาแล้วก็ต้องไปให้ถึงซี่

พวกเราก็เลยค่อยๆจับราวบันใดแล้วก็เดินไต่ไปตามขอบข้างๆบันใด
ไม่มีใครเดินตรงกลางเลยครับเพราะกลัวลื่นล้ม

สักพักหนึ่ง พอเดินขึ้นมาถึง ปากถ้ำกัน
ปรากกฏว่า อยู่มีลมแรงพัดวูบมา จนใบไม้ใบหญ้าแถวนั้นปลิวว่อนไปหมด
พวกเราต่างเอามือปิดหน้าปิดตาปิดจมูก ไม่ให้ฝุ่นเข้าตา
จนสักพักลมถึงสงบลง
พวกเราก็ตะลึงกัน มองหน้ากันใหญ่ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
แล้วเราก็หันไปมองตรงปากถ้ำกันครับ
มันเป็นบันใดคล้ายๆบันใดลิงไต่ลงไปในถ้ำอีกทีหนึ่ง
พวกเราไปยืนชะเง้อดูลงไปในถ้ำ เห็นลักษณะข้างในถ้ำเป็นลานโล่ง
แต่ก็ออกจะมืดๆอยู่สักหน่อยไม่มีไฟส่องสว่าง
แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็ร้องบอกทุกคนให้ดู บางสิ่งที่สลักอยู่ปากถ้ำ
ลักษณะเหมือนสัญลักษณ์ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินครับ
พวกเราเห็นก็ต่างพากันตกใจ โห ของจริงหรือเปล่านี่
ได้แต่ตะลึงกัน

หลังจากนั้นพวกเราก็ไต่ลงไปในถ้ำกัน
ข้างในมืดสลัวสลัว แต่ก็พอมองเห็นครับ
เดินเข้าไปอีกนิดหนึ่ง ก็มีพระพุทธรูป วางชิดกับผนังถ้ำ
ผมมองไปรอบๆ บรรยากาศวังเวงมาก อากาศมันเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก

ดูแล้วไม่น่าจะมีใครมาที่นี่นานแล้ว
ผมก้มลงไปดูกองธูปกองเทียนที่วางอยู่ตรงฐานพระ
หยิบธุปขึ้นมา กะว่าจะจุดไหว้พระสักหน่อย
ปรากฏว่า ธูปมันเปื่อยยุ่ย คล้ายๆกะว่ามันโดนความชื้นมากๆ
ก็เลยไม่ได้ไหว้พระกัน
เพื่อนผมกลุ่มหนึ่งก็ต่างพากันเดินสำรวจไปทั่วบริเวณนั้น
ผู้หญิงบางคนก็ไม่กล้าเข้ามา ได้แต่ยื่นอยู่แถวๆปากถ้ำที่มีแสงสว่าง
แล้วอยู่ๆเพื่อนผมคนหนึ่งมันก็เดินมาหาผม
เอาบางอย่างมาให้ผมดู
เพื่อนก็บอกว่าเมื่อกี้ อยู่ๆ มันก็เห็นคล้ายๆแสงอะไรไม่รู้ เหมือนกระจกสะท้อนแสง
แว๊บขึ้น มันเลยเดินไปดูตรงที่เห็นแสง
แล้วก็เห็นสิ่งนี้
ผมหยิบมามองดูจากมือเพื่อน ลักษณะเหมือนหินก้อนดำๆเท่าหัวแม่มือครับ
มองไม่ถนัด เลยพาเพื่อนเดินไปดูตรงหน้าถ้ำที่มีแสงสว่างมากพอ
พอเดินมาถึงตรงที่มีแสงสว่าง
ผมหยิบเอาหินก้อนนั้นขึ้นมาดูอีกที ลักษณะ มันเป็นหินสีดำๆ เหมือนหินอุกกาบาตอะครับ
ผมก็เลยบอกเพื่อนว่า หินอุกกาบาต  หายากนะนี่ มันมาอยู่ในถ้ำได้ยังไง
เพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้น เฮ้ย เหล็กไหลหรือเปล่าวะ
พวกเราก็พากันมามุงดูหินก้อนนั้นกัน แล้วก็พูดกันไปต่างๆนาๆ
เพื่อนคนที่เป็นคนเห็นหินก้อนนั้นก็เลยบอกว่า จะเอากลับไปด้วย
แต่เพื่อนผู้หญิงก็ทักว่า เฮ้ย เขาไม่ให้เอาอะไรกลับไปนะ เขาถือกัน อย่าเอาเลย
เพื่อนผมตัดสินใจอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เดินเข้าไปในถ้ำ แล้วมันก็ปาหินก้อนนั้นเข้าไปในถ้ำ
จากนั้นก็เดินกลับออกมา

พวกเราก็เลยพากันปีนกลับขึ้นมาจากถ้ำ แล้วก็เดินลงบันใด กลับไปที่รถ
พอมาถึงรถก็บ่ายแก่ๆแล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ที่พัก
ที่เพื่อนมันจองไว้

เราขับรถพากันมาถึงที่พักก็เย็นมากแล้ว เพราะ มัวแต่หลงทางกันอยู่
พอขับมาถึงรั้วที่พักมองเข้าไปข้างในอาณาบริเวณนั้น  เห็นด้านหลังเป็นภูเขาลูกใหญ่
ผมก็นึกในใจ โห สวยมากเลย  ที่พักติดภูเขาด้วย
หลังจากแวะรับกุญแจที่พักกับทางเจ้าของ ที่อยู่ตรงด้านหน้าแล้ว
พวกเราก็ขับรถเข้าไปด้านในอีก ลึกพอสมควร
ก็เห็นเป็นบ้านหลังเล็กๆ สองหลัง ปลูกห่างกันไม่ไกลนัก
พอไปจอดตรงหน้าบ้านหลังแรก
ก็พากัน งงๆ นิดหนึ่ง อ้าว ใครจะอยู่หลังไหน กันบ้าง
ผมลงมาจากรถ ก่อนขนของเข้าบ้าน
มองสภาพบ้าน บ้านเป็นบ้านไม้ หลังคาทรงไทย พื้นใต้ถุนยกสูงนิดหนึ่ง
แต่ดูแล้วมันเก่ามากๆ เหมือนไม่มีใครมาอยู่นานแล้ว
จนผมพูดลอยๆขึ้น...

หวังว่า...คงไม่มีผีนะ
เท่านั้นแหละ เพื่อนๆหันขวับ มามองหน้าผมเป็นตาเดียวกัน

หลังจากที่ตกลงกันว่าเราจะแยกพักกันเป็น หลังผู้หญิงหลังหนึ่ง หลังผู้ชายหลังหนึ่ง
ทุกคนก็แยกย้ายขนกระเป๋าตัวเองเข้าที่พัก
พอเข้าไปในบ้าน ก็เจอเตียงหนึ่งเตียงหันหัวติดกับผนังที่เปิดประตูเข้ามา
ตรงกลางเป็นพื้นที่โล่งๆ ถ้าเอาอะไรมาปูที่พื้น ก็น่าจะพอนอนได้อีกสอง สาม คน
ถัดจากพื้นที่โล่งตรงนั้นไป เป็นผนัง มีทีวีแขวนอยู่กับผนัง จอใหญ่พอสมควร น่าจะสัก40นิ้วได้มั้ง
บนทีวีก็มีแอร์แขวนอยู่เกือบๆติดกับเพดาน
เลยจากผนังที่แขวนทีวีนั้นไป ก็เป็นซอกเล็กๆไปหน้าห้องน้ำ หน้าห้องน้ำก็มีตู้เย็นและตู้เสื้อผ้า
อืม ดูแล้ว ข้างในก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่
ผมหาที่วางกระเป๋าไว้ตรงมุมมุมหนึ่ง แล้วก็เดินไปดูแถวหน้าห้องน้ำ
ขณะที่เพื่อนอีกคนก็เดินไปเปิดหน้าต่าง ที่มีทั้งสองฝั่งของห้อง
พอผมเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ประตูห้องน้ำเป็นแบบบานสไลด์ บานประตูเป็นกระจกขุ่นๆทั้งบาน
แต่มันเหมือนจะมองทะลุเข้าไปได้เลยเน๊าะ  เก๋ดีแฮะ
เลยลองเปิดประตูเข้าไป พอก้าวเท้าเข้าไปในห้องน้ำ ไฟก็เปิดเองได้
โอ้ มีไฟเปิดได้เองด้วย
พอปิดประตูห้องน้ำ มายืนล้างหน้าล้างตา ที่อ่างล้างหน้า
ผมก็เหลือบมองไปที่ประตูห้องน้ำที่เป็นกระจกขุ่นๆ
เห็นเงาเพื่อนมันยืนอยู่แถวๆหน้าห้องน้ำ
อืม มันก็มองทะลุได้นะ แต่ว่าเห็นแค่เป็นเงาลางๆ ไม่เห็นเป็นอะไรชัดนัก
เปิดประตูออกมา ก็เห็นเพื่อนมันยืนจัดกระเป๋าเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า

หลังจากนั้น เพื่อนกลุ่มหนึ่งก็พากันออกไป หาซื้อเครื่องดื่มและพวกอาหาร
อาจจะเอามาทำกินกันเอง ตามเคย

เหลือผมกับเพื่อนอีกสามคน
ก็เลยพากันมาหาทำเลเหมาะๆ ว่าคืนนี้เราจะปาร์ตี้กันตรงไหนดี
ผมกับเพื่อนผู้ชาย พอดีเดินไปเจอแคร่ไม้ไผ่เก่าๆตัวหนึ่ง
วางอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แถวไม่ไกลบ้านพักเท่าไหร่
ก็เลยพากันหามมาไว้ตรงลานโล่งใกล้ๆบ้านที่เราพัก
อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านทั้งสองหลังพอดี

เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เตรียมจาน เตรียมหม้อต้ม เขียง มีดทำครัว
มาไว้ที่เสื่อ ที่เราปูไว้บนแคร่ไม้ กับปูไว้ที่พื้นหญ้าข้างๆแคร่
ผมกับเพื่อนก็ช่วยก่อไฟในเตาที่เราเตรียมมา วางไว้ใกล้ๆ

ผมก็ถามเพื่อนว่าจะทำอะไรกินกันบ้าง
เพื่อนก็บอกว่า ไม่รู้เลย ดูก่อนว่า เพื่อนกลุ่มที่ไปซื้ออาหาร เขาได้อะไรกลับมาบ้าง
แต่หลักๆก็มีส้มตำแหละ
เพราะมองไปก็เห็น เพื่อนผู้หญิงกำลังปอกมะละกอ อยู่

เรานั่งเล่นกันอยู่ที่แคร์ มองดูบรรยากาศยามเย็น แสงพระอาทิตย์สะท้อนแสงสีส้ม
สาดมาทางภูเขาที่อยู่ด้านหลังของบ้าน ชั่งสวยงามอะไรเช่นนี้
เพลินมากๆ
จนอยากจะหยุดเวลาไว้ให้อยู่แบบนี้นานๆเลย

นั่งรอเพื่อนอยู่พักใหญ่ จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
เพื่อนกลุ่มที่ไปซื้อกับข้าวก็กลับเข้ามากัน
ไม่นานพวกเราก็พากันทำกับข้าวด้วยกันอย่างสนุกสนาน
เพื่อนคนหนึ่งก็ขับรถมาจอดใกล้ๆแถวที่เรานั่ง
แล้วก็เปิดเพลงในรถให้ดังออกมาเพื่อสร้างบรรยากาศ

แล้วไม่นาน ปาร์ตี้ย่อมๆเล็กๆก็เริ่มขึ้น เมื่อทำกับข้าวเสร็จ
ทุกคนก็ล้อมวงเข้ามานั่งทานข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย
พร้อมกับเครื่องดืมที่แต่ละคนถนัด ใครถนัดเบียร์ก็ยกเบียร์
ใครถนัดสปายก็ยกสปาย แต่ก็มีบางคนจัดโค๊กผสมเหล้าก็มี

นั่งกินกันไปเกือบๆ สามทุ่ม
เพื่อนกลุ่มหนึ่ง  ก็แยกย้ายกันไปเล่นรำพัดกันในบ้านหลังที่ฝ่ายหญิงเขาพัก
ที่แคร่ก็เลยเหลือแต่กลุ่มผู้ชายนั่งดวนเหล้ากัน
แต่นั่งคุยกันได้ไม่นาน อยู่ๆแฟนเพื่อนก็เดินมาหาเพื่อน ขอยืมตังส์ ไปสมทบทุน
เพื่อนมันไม่ไว้ใจก็เลยหายไปด้วยกัน
สักพักแฟนเพื่อนอีกคนก็มาตามเพื่อนที่เหลือ หายไปอีก
กลายเป็นตอนนี้เหลือผมกับเพื่อน นั่งก๊งอยู่แค่สองคน
นั่งๆอยู่ลมเย็นๆพัดผ่านมา จนผมรู้สึกขนลุกเพราะความหนาว
พอมองดูบนท้องฟ้า ก็เห็นพระจันทร์ดวงโต ส่องแสงราวกับว่าเป็นกลางวัน
กำลังได้บรรยากาศ อยู่ๆเพื่อนมันก็พูดขึ้นว่า
เฮ้ย.. เพื่อน เรามีเรื่องจะสารภาพ (เสียงมันเหมือนจะเมานิดๆแล้วหละ)
ผมก็ตั้งใจฟังมันพูด  ว่ามาเลยเพื่อน
แกจำหินก้อนที่ข้าเจอในถ้ำได้ไหมวะ
ผมก็บอกว่าได้ซิ
เพื่อนก็รีบเล่าต่อเลยว่า  เออ.!
จริงๆแล้วข้าไม่ได้ทิ้งไปหรอกโว้ย..
ข้าเอามันมาด้วย

ว่าแล้วมันก็ล้วงเข้าไปในประเป๋ากางเกง แล้วก็เอาหินก้อนนั้นออกมาให้ผมดู
ผมเห็นแล้วก็ ได้แต่ อึ้ง..

อ้าว.. แกเอามาทำไมว่ะ มันไม่ดีนะ

แล้วเพื่อนก็ทำปากแบบ จู่ จู่
แกอย่าพูดดังไป เดี๋ยวคนอื่นเขารู้

ผมก็เลยได้แต่สายหัว  เอ็งนี่ทำไรไม่เข้าท่า
แล้วเพื่อนผมมันก็เลยหัวเราะ ก่อนจะเอาหินก้อนนั้นยัดใส่ประเป๋าเสื้อ

แล้วตอนนั้นเอง..อยู่ๆก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง ดังมาจากบ้านพักที่เขารวมตัวกันอยู่
ผมกับเพื่อนตกใจรีบหันไปดู

เฮ้ย! ไรว๊ะ

ได้ยินเสียงเพื่อนๆในบ้าน ร้องเอะอะ เอะอะ กัน แว่วมา

ประมาณว่า แกอย่า แก อย่า..

ผมกับเพื่อนรีบพากันวิ่งเข้าไปดูที่บ้านหลังนั้น
พอเปิดประตูเข้าไป มองไป
ก็เจอเพื่อนๆช่วยกันจับเพื่อนหญิงคนหนึ่งอยู่กลางห้อง
เขาดิ้นไปดิ้นมา ผมเพ้ายาวมาปิดหน้าปิดตาจนดูน่ากลัว
ร้องครางในลำคอ หึม หึม หึม
กูอยาก กิน เลือด..

พอได้ยินเพื่อนผู้หญิงคนนั้นพูด ผมขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
เพื่อนที่มาด้วยกันก็ถาม ว่า  เฮ้ย.. เป็นไรกันวะ

เพื่อนในบ้านก็ตอบมาว่า  ก็ผีเข้านะซิ่

เท่านั้นแหละไฟในห้องก็ดับพลึ๊บลง จนมืดไปหมด
พร้อมกับเสียง ร้องลั่นของทุกคน ที่ดังออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย

โปรดติดตามตอนต่อไป
 เจอผีในรีสอร์ท ภาคต่อ


เรื่องจากพันทิป เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ 
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3062905

28 ก.ย. 2562

อ้อมกอดสุดท้าย


      "อ้อมกอดสุดท้าย" เรื่องราวหลอนปนซึ่งที่ทำให้คุณขนลุกคลุกน้ำตา บรรจงสรรสร้างความสยองโดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง
เด็กหนุ่ม ก้มหมอบอยู่กับพื้น บรรจงพนมมือไปที่เก้าอี้ตรงหน้า ค่อยๆมองขึ้นไปตามขาเก้าอี้
เพื่อจะสบตาใครบางคนที่อยู่ตรงเก้าอี้ตัวนั้น

เด็กหนุ่มยิ้ม เมื่อมองเห็นแววตาสองคู่ ของหญิงสาวที่ปรากฏอยู่ในกรอบรูปที่วางอยู่บนเก้าอี้
ก่อนที่น้ำตาเขาจะไหลพรากออกมา อย่างสุดกลั้น
เขามองดูรูปแม่ของเขาที่จากเขาไปตั้งแต่เขายังเล็ก
แล้วลุกขึ้นเข้าสวมกอดกรอบรูปแม่ของเขาไว้แน่น
พรางสงเสียงสะอื้นไห้ออกมา ก่อนพูดว่า
แม่ครับผมรักแม่ครับ

ถัดไปจากตรงนั้นไม่ไกล มี กิจกรรมที่ลูกและแม่เข้าสวมกอดกัน ของเด็กๆ สงเสียงยินดี หัวเราะ
ต่างคนต่างยิ้มร่าด้วยความสุข ที่ได้กอดแม่ของตน
เสียงประกาศของครูที่ทำหน้าที่จัดคิว
ประกาศให้เด็กนักเรียนแถวต่อไปขยับขึ้นมา เพื่อไหว้แม่ของตน  ดังแทรกขึ้น

เด็กหนุ่ม ขยับตัวลุกขึ้น กอดรูปแม่ตัวเองไว้แนบ อก ก่อนจะเอามืออีกข้างปาดน้ำตา
แล้วเดินออกจากงานไป

ขณะเดินกลับ  พระอาทิตย์เริ่มอัสดง
เด็กหนุ่ม หวนคิดถึงอดีต ที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ทุกๆปี
เพราะมันเป็นที่ที่เดียวที่เขาจดจำถึงอ้อมกอดของแม่เขาได้
แม้ว่าจริงๆแล้ว แม่ของเขายังคงมีชีวิตอยู่
แต่เขาก็มีแค่รูปนี้เท่านั้น ที่เอาไว้คอยระลึกถึงแม่ของเขาเสมอ

เด็กหนุ่มเดินมาถึงสี่แยก ที่เขาคุ้นเคย
สายตามองไปรอบๆ วันนี้รถลาไม่ขวักไขว่
เขามองไปที่ตรงนั้น
ที่ที่แม่เขาเคยพาเขามาจ่ายตลาด
แล้วภาพเมื่อครั้งอดีตก็หวนคืนมา

วันนั้นหลังจากที่ออกมาจากร้านถ่ายรูปแถวนั้นแล้ว
แม่เขาลืมอะไรบางอย่าง

"รอแม่อยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่มา"

ตอนนั้นเขานั่งเล่นรอแม่เขาอยู่ข้างๆเสาไฟฟ้าตรงริมฟุตบาท
รออยู่สักพักแม่ก็ยังไม่มา เขาเลยหยิบเอาซองในถุงที่แม่ฝากไว้ขึ้นมาเปิดดูเล่น
เห็นรูปแม่อยู่ในซองนั้นหลายรูป แล้วก็นั่งดูไปจนกระทั้งมีลมพัดมาวูบใหญ่
พัดรูปแม่กระจายไปทั่วบริเวณ หลังจากนั้นภาพก็วูบดับไป ทุกอย่างกลายเป็นสีดำ

เขามารู้ตัวอีกที ก็เมื่อมองเห็นรถบรรทุกคันใหญ่ ทับร่างของเขาอยู่
พร้อมกับเสาไฟฟ้าที่หักโค่นลง ในช่วงสองสามวินาทีก่อนจะวูบไป


ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นแม่ของเขาอีกเลย


เด็กหนุ่มเดินมาถึงตรงบริเวณเสาไฟต้นนั้น ก่อนจะพูดว่า

"แม่ครับ  ผมยังรอแม่อยู่นะครับ"

แล้วร่างเด็กหนุ่มก็ค่อยๆเลือนหายเข้าไปในเสาไฟฟ้าต้นนั้น

จบ บริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป อ้อมกอดสุดท้าย
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735

เห็นลูกสาวฉันไหม


      "เห็นลูกสาวฉันไหม" เป็นเรื่องสั้นจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735  เรื่องหลอนๆที่ชายแก่คนหนึ่งได้เจอกับเรื่องลี้ลับโดยไม่รู้ตัวจนเมื่อ..... ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 สำหรับเรื่องหลอนๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

วันหนึ่ง  ณ ริมฝังแม่น้ำสายหนึ่ง
เวลา 2.00 น.
ชายแก่: ไงหนู มานั่งตรงนี้นานแล้วหรือ
เด็กน้อย: ครับ
ชายแก่: งานเฉลิมฉลองเลิกตั้งนานแล้ว หนูยังไม่กลับบ้านหรือ มานั่งรอใคร
เด็กน้อย: เปล่าครับ ผมอยู่แถวนี้ บ้านผมอยู่ตรง โน้นเองครับ
ชายแก่: อ๋อหรือ  อากาศเย็นแบบนี้มานั่งข้างนอก เดี๋ยวจะเป็นหวัดได้นะ
เด็กน้อย: ครับ

เด็กน้อย: แล้วลุงหละ มาเที่ยวงานเฉลิมฉลองที่นี่หรือ
ชายแก่: ก็ไม่เชิงนะ ฉันมีบางสิ่งที่ เป็นความหลัง ติดอยู่ที่นี่ ส่วนงานนั้น ก็ถือว่าผลพลอยได้อะนะ
เด็กน้อย: ครับ

ชายแก่: เธออยู่ตรงนี้ นานแล้วหรือ
เด็กน้อย: ครับ  อยู่ตรงนี้ มองเห็น พุจากในงาน ถนัดกว่า

ชายแก่: เธออยู่แถวนี้ เธอเคยเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง 7 - 8 ขวบ ผมสีทอง มาวิ่งเล่นตอนกลางคืนบ้างไหม
เด็กน้อย: ทำไมครับ ลุงตามหาเธออยู่หรือ

ชายแก่: เมื่อไม่นานมานี่มีคนมาเล่าให้ฟัง ว่ามีชาวบ้านลือกันว่า เจอเธอแถวนี้
เด็กน้อย: ลือกันว่าอะไรครับ ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย

ชายแก่: เธอเป็นลูกสาวที่กำลังโต น่ารัก ขี้เล่น แล้วก็ฉลาด
เด็กน้อย: อ้าว แล้วเธอ พลัดหลงกันกับลุงหรือครับ
ชายแก่: ไม่หรอก

ชายแก่: สองปีก่อน เรามาเที่ยวงานที่นี่  ระหว่างทางที่ นั่งเรือข้ามฟากกลับ
           เรือเกิดล่ม คนในเรือต่างพากันว่ายเข้าหาฝั่ง โชคดีที่น้ำไม่ไหลเชี่ยวมากนัก
           แต่โชคร้ายที่ ลูกสาวฉัน กลับหายตัวไป
           เช้ามาถึงมาพบ ศพเธอลอยน้ำมาติดตรงฝั่งใกล้ๆแถวนี้

เด็กน้อย: อ๋อเหตุการณ์เรื่องล่มครั้งนั้น   อืม..  นั่นลูกสาวลุงหรือ ที่เสียชีวิต
ชายแก่: ใช่ เธอเสียชีวิตทั้งๆที่ยังเด็กอยู่

เด็กน้อย: ลุงอยากเจอเธอหรือครับ ถึงมาที่นี่อีก
ชายแก่: ใช่ ..  เห็นชาวบ้านเล่าว่า เจอเด็กผู้หญิงมาวิ่งเล่นที่นี่ช่วง งานเฉลิมฉลอง ในปีก่อน
            ฉันก็เลยอยากมาดูให้เห็นกับตาบ้าง เผื่อจะเจอเธอในคืนนี้ก็ได้

เด็กน้อย: แล้วลุงไม่กลัวหรือครับ
ชายแก่: ไม่รู้ซิ โลกของวิญญาณมันเป็นยังไง มันคงไม่ต่างกันมั้ง

เด็กน้อย: เขาว่ากันว่าคนที่ตายแบบฉับพลัน บางทีอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองตายก็ได้
            แล้ววิญญาณนั้นก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เขายึดติด

ชายแก่: ใช่ วิญญาณของเธอยังวนเวียนอยู่ที่นี่ เธออาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเสียชีวิตไปแล้ว
เด็กน้อย: แล้วลุงคิดว่า ถ้าเจอเธอ ลุงจะสื่อสารกับเธอเหมือนกับที่คุยกับผมแบบนี้ได้ไหม
ชายแก่: ไม่รู้ซิ ขอเพียงให้ได้เห็นแค่แว๊บเดียว หรือได้ยินเสียง ก็พอ

เด็กน้อย: ลุงเชื่อในเรื่องวิญญาณไหม
ชายแก่: .....ไม่เชื่อมั้ง

เด็กน้อย: แล้วทำไมลุงถึงคิดว่าผมจะเห็นเธอได้
ชายแก่: ฉันไม่รู้... บางทีมันก็เป็นเพียง ความคิดชั่วประเดี่ยวประด๋าว

เด็กน้อย: ถ้าผมจะบอกว่าผมเห็นวิญญาณ ลุงจะเชื่อไหม
ชายแก่: จริงๆแล้ว เด็กมักจะมีจินตนาการที่ไร้ขอบเขตมากกว่าผู้ใหญ่
           สิ่งที่หนูเห็น หนูอาจจะคิดสร้างมันขึ้นมาเอง จนเข้าใจว่ามีอยู่จริงก็ได้
เด็กน้อย: ไม่ครับ บางทีผมก็คุยกับพวกเขาได้
ชายแก่: เธอสื่อสารกับวิญญาณอะหรือ
เด็กน้อย: ครับ ใช่

ชายแก่: 555 งั้นฉันก็มาถามถูกคนแล้วซิ
เด็กน้อย: แต่วิญญาณส่วนใหญ่ที่เขาพึ่งตาย มักจะไม่ค่อยเชื่อว่าผมเห็นเขาและสื่อสารกับเขาได้
ชายแก่: ทำไมหละ
เด็กน้อย: เพราะเขายังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายไปแล้ว

ชายแก่: แล้วทำไมเธอไม่บอกเขาให้รู้ตัวหละ
เด็กน้อย: บอกไปบางทีเขาก็ไม่เชื่อหรอกครับ  อย่างเช่น...
            ลุงตอนนี้....

ชายแก่ มองไปที่หน้าเด็กน้อยนั้น ทำหน้าฉงน
ชายแก่: เหอะ.. เธอกำลังจะบอกว่า ฉันตายไปแล้วหรือ
เด็กน้อย: ใช่ครับ

ชายแก่: ไม่ เธอจินตนาการไปเอง เธอดูจากตรงไหน นี่ไง ฉันมีเลือดเนื้อ ฉันมีผิวหนัง มีผม เห็นไหม

ชายแก่ลุกขึ้น หมุนรอบตัวให้ เด็กน้อยได้เห็น อย่างคนหัวเสีย

เด็กน้อย: ตรงนั้นไงลุง....  ข้างหลังลุงมีมีดปักอยู่

ณ โรงพยาบาล
เวลา 3.00 น.

พยาบาล: ทำแผลเสร็จแล้วค่ะ นั่งรอด้านนอกนะคะ
ชายแก่: ผมไม่รู้ว่ามีดนั้นมาปักตรงหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ว่า เดินผ่านพวกวัยรุ่นที่มันทะเลาะกันกลุ่มใหญ่
พยาบาล: โห ลุงแข็งแรกมากที่ไม่เป็นอะไร มีดปักติดหลังยังเดินไหว สุดยอดแล้วค่ะ
ชายแก่: ผมกลับบ้านได้เลยไหม
พยาบาล: ค่ะ  เดี่ยวรอรับยา ข้างนอกนะคะ

ชายแก่เดินไปนั่งรอสักพัก  ก่อนหยิบหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับเมื่อหลายวันก่อน มาอ่าน
แล้วสักพักชายแก่ ก็ตกใจขึ้นมา
เมื่อมองไปเห็นภาพ คล้ายๆ แถวบริเวณที่เจอศพลูกสาว

" นี่มันภาพเด็กคนที่เราคุยด้วยนี่ "

แล้วก็รีบอ่าน ดูเนื้อหาข่าวต่อ อย่างจดจ่อ

"เด็กประถมถูกรถชนดับสยอง"

จบบริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป เห็นลูกสาวฉันไหม
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735

27 ก.ย. 2562

สงกรานต์หลอน


      เมื่อถึงสงกรานต์นอกจากเทศกาลอันดีงามแล้ว อีกด้านหนึ่งของเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้ "เรื่องสงกรานต์หลอน" จากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735  อีกเช่นเคย  ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

พอใกล้จะถึงวันสงกรานต์ ในทุกๆปี เพื่อนๆที่ไปทำงานในกรุงเทพ
หลายคนก็จะกลับมาเยี่ยมเยือนครอบครัวตัวเอง
และส่วนใหญ่ เพื่อนๆก็จะแวะมารวมตัวกันอยู่ที่บ้านผมเป็นประจำ

ปีนี้ ก็เช่นกัน เพื่อนบางคนกลับมาถึงก่อนสงกรานต์สองสามวัน
ก็แวะมาหาผม โทรตามเพื่อนคนโน้นคนนี้ให้มาเจอกันที่บ้านผม ตอนเย็น
ไม่นาน ลานหน้าบ้านผมก็ เต็มไปด้วย หมูกระทะ กับ ญาติๆ กลุ่มหนึ่ง
และก็ กลุ่มเพื่อนผมกับผม ก็นั่งกินหมูกระทะกันอีกกลุ่มหนึ่ง

พอเริ่มพลบค่ำ สักทุ่มเศษๆ กลุ่ม ญาติๆ เด็กๆ พอเขาอิ่ม แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ก็เหลือแต่กลุ่มเพื่อนผม  หก เจ็ด คน ที่แย่งกันพูด ราวกับว่ามันไม่เคยคุยกันมาก่อน
จนผมไม่รู้จะฟังใคร  คุยกันไปก็ชนแก้วกันไป  ย่างหมูกันไป

พอสองทุ่ม เพื่อนบางคน ที่ไม่ได้ไปทำงานกรุงเทพ  เมียมันก็มาตามกลับบ้าน
แต่เพื่อนผมมันกำลังติดลมครับ สุดท้ายก็เลยชวนเมียมันมานั่งร่วมวงด้วย
ช่วงนั้น กินกันไปดื่มกันไป อะไรหมดก็ วานให้เด็กในบ้านผมไปซื้อมาให้

จนเริ่มสามทุ่มกว่า
หลานคนก็เริ่ม อืดๆ นั่ง สึม กัน ได้แต่นั่งมองหน้ากันไปมา
ผมดูในตาพวกมันแล้ว ประมาณว่า เดี๋ยวๆ รอกูย่อยเสียก่อน เดี๋ยวกูดวนด้วย
อยู่ๆ
เพื่อนผมก็พากันเฮ.. ขึ้น พร้อมกัน
ผมมองไปหน้าบ้านก็เห็น แต่ ไอ้จ่อย มันเดินยิ้มเข้ามา
เพื่อนๆต่างเรียกมัน ให้มานั่งใกล้ๆ ขยับขยายวง ออกให้มันนั่งได้

เฮ้ย.. กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ วะ
ผมถาม
ไอ้จ่อยก็ตอบว่า
"พึ่งมาถึงเมื่อกี้เอง คิดถึงพวกเอ็งมาก ก็เลยแวะมาหาก่อน"
หลังจากนั้นก็คุยกันยาวเลยครับ
เพราะไอ้จ่อย มันเป็นคนตลกสุดแล้วในกลุ่มเรา

กินกันไปจนเกือบๆเที่ยงคืน เหล้าก็หมด น้ำแข็งก็หมด กับแกล้มก็หมด
เพื่อนบางคนก็ กลับไปก่อน เพราะเมียมันชวนกลับ

ก็เหลือๆนั่งกินกันอยู่ประมาณ 4 คน
ตอนนั้นยอมรับเลยครับ ผมนี่ตาลายจนมองเห็นหน้าเพื่อนเป็นสองหน้าแล้ว
แต่ก็ยังไหวครับ สู้ๆ

เสียงแต่ละคน อ้อ แอ้ อ้อแอ้  คุยแข่งกัน ไม่มีใครฟังใคร

พอผมเห็นว่าของกินมันหมดแล้ว แล้วเพื่อนก็ติดลมอยากดื่มต่อ
ผมก็เลยอาสาจะไปซื้อของกินเครื่องดื่มให้
เพราะเด็กๆมันก็เข้านอนกันหมดแล้ว

พอผมยืนขึ้นก็เดินเซๆ ไปแทบจะล้มหัวคะมำ
จนไอ้จ่อยมันมาช่วยพยุง จับตัวผมไว้

สุดท้ายมันก็เลยบอก ว่าเดี๋ยวมันไปซื้อให้เอง มันยังไม่เมาเท่าไหร่
ผมก็เลยบอกให้มันเอามอไซค์ผม ขี่ไปซื้อ

ไม่นานก็ได้ยินเสียงสตาร์ทมอไซค์แล้วขี่ออกไป

หายไปครู่ใหญ่ไอ้จ่อยมันก็กลับมา พร้อมเครื่องดื่มกับน้ำแข็ง แล้วก็ขนมถุงละห้าบาท
ผมก็ถามไอ้จ่อยว่า "มันไปซื้อมาจากร้านไหน ดึกป่านนี้แล้วมันยังเปิดอยู่หรือวะ"
ไอ้จ่อยก็ตอบว่า "ซื้อมาจากร้านยายเขียว ไง"

จากนั้นเราก็นั่งกินไปต่ออีกพักใหญ่ครับ เกือบๆ ตีสอง
ไม่ไหวแล้ว ตาจะปิดแล้ว เสียงผมนี่ อ้อ แอ้ อ้อแอ้ พูดไม่รู้เรื่องแล้ว
แต่ไอ้เพื่อนสองสามคนมันคึกมาจากไหนของมัน ยังจะลากยาวอีก
จนผมต้องขอร้องมัน วันนี้พอแค่นี้ก่อน กูไม่ไหวแล้ว พรุ้งนี้ค่อยว่ากันเพื่อน
แล้วเพื่อนก็เลยแยกย้ายกันกลับบ้าน

ตื่นเช้ามา สายๆหน่อยผมก็ลุกมายืนดู อนุสรณ์สถานที่ตัวเองกับเพื่อนสรรค์สร้าง
สภาพนี่ เละ ไปทั้งลานเลย

แล้วผมก็เก็บเอาขยะขวดต่างๆ ไปทิ้งที่ถังขยะหน้าบ้าน พวกน้องๆ พี่ๆผมเขาก็มาช่วยเก็บด้วย
ช่วงที่ผมกำลังเอาขยะไปทิ้งที่หน้าบ้าน
อยู่ๆก็เห็นรถคล้ายๆรถตำรวจ วิ่งผ่านหน้าบ้าน แล้วก็มีรถคล้ายๆรถมูลนิธิ ขับตามไป
ผมก็ยืนดูสักพักแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็กลับไปเก็บกวาดหน้าบ้านต่อ
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินมา คุยอะไรกันอยู่สองสามคน
ผมก็เลยเดินออกไปดู
ถามคนกลุ่มนั้นว่ามาจากไหน
เขาก็บอก ว่า มาจากบ้านยายเขียว
ผมก็ถามว่า "ไปไหนกัน "
คนกลุ่มนั้นก็ตอบว่า "จะไปซื้อ ดอกไม้มาจัดงานที่บ้านยายเขียว"
ผมก็ถามว่า "มีงานอะไรกัน"
แล้วคนกลุ่มนั้นก็เล่าให้ฟังว่า
เมื่อคืนประมาณ สี่ ห้า ทุ่ม ยายเขียวอยู่ๆแกก็ช็อคเกร็ง ลูกๆแกก็เลยพาแกไปส่งโรงพยาบาล
แต่ช่วยไม่ทัน ไปถึงแกก็ปากเขียว หน้านี่คล้ำหมดแล้ว  หมอก็ช่วยยื้อชีวิตแกไว้ได้แค่เทียงคืนแกก็ไป
นี่รถมูลนิธิพึ่งเอาศพมาส่งบ้านแก ลูกแกก็มาตามให้พวกฉันไปช่วยงานเขาหน่อย

พอได้ฟังจบ ผมนี่ ขนหัวลุกเลย

"อ้าว... แล้วไอ้จ่อย มันไปซื้อเหล้ากะใครมาให้พวกเรากินวะ.
นึกถึงตอนที่ไอ้จ่อยไปซื้อเหล้ากับยายเขียวตอนเที่ยงคืนกว่าแล้วก็ บรึ๋ย ... ขนลุก
ไอ้จ่อยเอ้ย... จะรู้ไหมนั้นว่า แกซื้อเหล้ากับผี "

แล้วผมก็รีบเก็บกวาดหน้าบ้านจนเสร็จ ก็ไปพูดคุยกับญาติๆผมว่า ยายเขียวแกเสียแล้วนะเมื่อคืนนี้
ญาติๆผมเขาก็เลยแต่งตัวแล้วก็ไปช่วยงานศพ บ้านยายเขียวกัน

ส่วนผมก็แวะไปตลาดเช้า หาซื้อของกินมากินช่วงเช้า
พอดีนึกถึงไอ้จ่อยได้ ก็เลยขี่มอไซค์ไปบ้านมัน
กะจะไปถามมันเรื่องซื้อเหล้าที่ร้านยายเขียวเมื่อคืนสักหน่อย
พอไปถึงเห็นแม่มันกำลังล๊อคหน้าบ้านอยู่ ผมก็เลยถามว่า
"อ้าว แม่ ไอ้จ่อยไม่อยู่บ้านหรือ"
แม่ไอ้จ่อยก็มองหน้าผม แล้วก็พูดเหมือนคนเหม่อลอย

"แม่กำลังจะออกไปวัดลูก  ศพจ่อยพึ่งมาถึงเมื่อเช้านี่เอง"

ผมตกใจมาก ขนหัวลุก แทบช็อคหมดสติ
รีบถามแม่ของจ่อยไปว่า

" อ้าว.. ไอ้จ่อยมันเป็นอะไรตายแม่ "

แม่ของจ่อยก็ตอบว่า

"รถคว่ำตาย แถวๆโคราชอะลูก"


จบ บริบูรณ์

เรื่องจากพันทิป สงกรานต์หลอน
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735