หน้าเว็บ
▼
หน้าเว็บ
▼
HOME
▼
30 ต.ค. 2562
จำก้อยได้ไหมคะ?
หากใครเคยอ่านเรื่อง เรื่องของก้อย (นามสมมุติ) เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งบุคคลในเรื่องมีจริง และขอให้มีสติในการอ่าน จากประสบการณ์จริงของจากสมาชิกพันทิปนาม TharaJF ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปนาม TharaJF สำหรับเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ก่อนอื่นต้องบอกว่าก่อนจะนำเรื่องนี้มาเล่าและเอ่ยถึงบุคคลที่ 3 4 5 เราได้มีการพูดคุยกับครอบครัวของบุคคลนั้น
และทางครอบครัวก็ยินยอมให้นำเรื่องราวมาเผยแพร่ เพราะอยากให้เป็นข้อคิดเตือนใจถึงการดำเนินชีวิตของวัยรุ่น
ที่ยึดเอาความรักเป็นตัวตั้ง เอาสติเป็นตัวรอง
เมื่อหลายเดือนก่อนเราเคยเล่าเรื่องของก้อยในที่นี้ให้ทุกคนได้อ่าน และมีบางเพจในแอพสีฟ้านำกระทู้เรื่องของก้อยไปโพสต์
ทำให้เกิดคอมเม้นต์ทั้งทางดีและทางลบมากมาย แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเราโพสอะไรในที่สาธารณะนั่นก็หมายถึงการยอมรับ
กับคำวิจารณ์จากสาธารณะเช่นกัน เราไม่ได้มีประเด็นอะไรที่มีการโพสเรื่องของเราในเพจ ไม่มีประเด็นกับคนที่มาวิจารณ์ แต่มี
คนรู้จักของก้อยที่ติดตามเพจนั้น อ่านจนแตกฉานและเข้าใจได้ว่าคงหมายถึงก้อยที่เป็นพี่สาวตนเองแน่นอน จึงได้มีการหลังไมค์
มาหาเรา และได้ติดต่อกันเป็นต้นมาตั้งบัดนั้นจนถึงปัจจุบัน ครั้งนั้นเราเล่าว่าเราได้ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพของก้อยที่ต่างจังหวัด
และเราไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมนาให้ครอบครัวก้อยฟังอย่างละเอียด เมื่อน้องสาวก้อยได้อ่านกระทู้ที่เราเขียนจึง
ได้ติดต่อมาหาเราและอยากให้เราเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมนาให้พ่อแม่ของเธอฟังอีกครั้ง
เราได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และติดต่อกันผ่านแอพสีเขียว มีโอกาสได้พูดคุยกับพ่อแม่ของก้อย ครั้งแรกที่มีการสนทนากัน
เราถามพ่อแม่ก้อยว่าจำเราได้ไหมที่เคยไปงานศพก้อย พ่อแม่พยักหน้าแล้วบอกจำได้ จากนั้นแม่ก็ร้องไห้แล้วบอกว่าแม่อ่าน
ประโยคหนึ่งที่เราเขียนถึงก้อยที่ก้อยเดินกลับเข้ามาในห้องกลางดึกแล้วพูดว่า “เรายังไม่อยากตาย” ก่อนที่ก้อยจะอ้วกแล้ว
ทรุดตัวลงไป แม่บอกว่าแม่อ่านประโยคนั้นแล้วนึกถึงหน้าก้อย แม่คิดถึงก้อย เราจึงกล่าวขอโทษพ่อแม่ว่าไม่มีเจตนาจะลบหลู่
เพียงแต่อยากเล่าเรื่องที่เราเจอในมุมของเราเท่านั้น และจะลบกระทู้นั้นทันทีถ้าพ่อแม่ไม่สบายใจ แม่บอกว่าอย่าลบนะลูก
แม่ไม่ว่าอะไรที่เราเล่าเรื่องก้อย แต่แม่อยากให้เราเอาเรื่องก้อยที่เรายังไม่รู้มาเล่าให้คนอื่นฟังอีกได้ไหม อย่างน้อยถือว่าทำบุญ
แม่ไม่อยากให้แม่คนไหนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียลูกในลักษณะนี้อีก แม่จึงให้เราได้คุยกับน้องสาวของก้อยซึ่งเราเรียกว่า เก๋
(ต่อจากนี้เป็นเรื่องของก้อยที่เก๋เล่าให้ฟัง เราจะขอเรียบเรียงในแบบของเรานะคะ)
ก้อยและเก๋เป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก อายุห่างกันแค่หนึ่งปีจึงเปรียบเสมือนทั้งพี่และเพื่อนในคราวเดียว ครอบครัวทางบ้านฐานะไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็พอมีพอกินเพราะ
พ่อแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ ก้อยเป็นผู้หญิงที่ไม่หวือหวา
ไม่ชอบแต่งตัว ไม่แต่งหน้า แต่ก็นับว่ามีหน้าตาที่น่ารัก
ตามแบบฉบับสาวชาวเหนือ ผิวขาวใส ผมดำยาวประบ่า
ต่างกับเก๋ที่เป็นคนชอบแต่งตัว แต่งหน้า และทันสมัย
ผมซอยย้อมสีตั้งแต่เรียนมัธยม ถือว่าโดดเด่นมากทีเดียว
เมื่อยืนคู่กับก้อย
เมื่อก้อยเรียนจบได้ทำงานในองค์กรรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง
ในตัวจังหวัดและได้เช่าหออยู่ในเมือง เนื่องจากไม่อยาก
เดินทางไปกลับในเมืองกับบ้านที่อยู่ตัวอำเภอ พ่อแม่จึงให้
เก๋ไปอยู่เป็นเพื่อนเพราะไม่อยากให้อยู่คนเดียว แต่เก๋ติด
เพื่อน (เพื่อนชายในขณะนั้น) จึงทำให้ปกติก้อยต้องอยู่
คนเดียวและเก๋ไปนอนที่อื่น นอกจากพ่อแม่จะเข้ามาใน
ตัวเมือง ก้อยจะโทรบอกเก๋ล่วงหน้า ความลับของเก๋จึง
อยู่ที่ก้อย (และความลับของก้อยล่ะอยู่ที่ใคร?)
ก้อยทำงานรัฐวิสาหกิจ เก๋เป็นสาวแบงค์เอกชน ทั้งคู่พัก
อาศัยอยู่ในตัวเมืองของจังหวัด หากพ่อแม่จะมาหา
ก้อยจะรีบโทรบอกเก๋ให้กลับมาห้อง และหากพ่อแม่กลับ
ไปแล้ว เก๋ก็จะกลับไปห้องที่เก๋พักอยู่กับเพื่อนชาย นี่คือสิ่ง
ที่ทั้งคู่ช่วยกันปกปิดไม่ให้พ่อแม่รู้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เก๋
ทะเลาะกับเพื่อนชายและจะย้ายของกลับเข้ามาอยู่กับก้อย
ก้อยได้ปรามไว้ว่าอย่าเพิ่งมาห้องยังไม่เรียบร้อย เก๋จึงบอก
ว่าไม่รอแล้ว ถ้าห้องไม่เรียบร้อยจะไปช่วยจัด ตอนนี้ทะเลาะ
กันหนักเก๋จะย้ายออกมาอยู่ด้วย พูดจบเก๋ก็วางสาย ไม่กี่
อึดใจเก๋ก็มาถึงหน้าหอพักที่ก้อยอยู่ ก้อยวิ่งลงมาจากบันได
ชั้น 2 ของหอ บอกว่าอย่าเพิ่งขึ้นไปเลยห้องรกมาก ไปหา
ข้าวกินกันก่อนเดี๋ยวเพื่อนชายของเก๋ก็มาง้อแล้ว เก๋แปลกใจ
ว่าทำไมก้อยถึงปฏิเสธที่จะให้ตัวเองมาอยู่ด้วย เลยถามตรง ๆ ว่า ก้อยเอาใครมานอนที่ห้องหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีคนนอนที่ห้อง
เราไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ก้อยบอกว่า เราไม่กล้าบอกความจริง
กลัวเก๋น้อยใจ จะหาว่าเราไม่ให้น้องมาอยู่ด้วย เก๋จึงถาม
กลับว่า มีคนมานอนกับก้อยจริง ๆ ใช่ไหม เราไม่น้อยใจหรอก ก้อยช่วยเรามาเยอะแล้ว ก้อยจึงตอบว่า ใช่ เขาเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน แต่เราจะให้เขากลับคืนนี้แล้วเก๋มานอนกับเรานะ
แต่ขอเราเคลียห้องก่อน เก๋จึงตอบว่า โธ่ เรื่องแค่นี้เอง
นอนด้วยกันสามคนเลยก็ได้ เดี๋ยวเราหาห้องใหม่ได้แล้ว
จะไปเอง ก้อยจึงมีท่าทีสบายใจขึ้น แล้วช่วยเก๋ขนกระเป๋า
เสื้อผ้าเดินขึ้นห้องกัน
ไท รุ่นพี่ที่ทำงานของก้อย เป็นผู้ชายหน้าตาดี สุขุมและดูอบอุ่น นี่คือสิ่งที่พี่น้องมีความชอบเหมือนกัน เก๋สารภาพว่าเมื่อเจอไทครั้งแรกรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟช๊อตแปล๊บ ๆ เก๋รู้สึกถูกชะตา
ยิ่งเมื่อเห็นไทดูแลเอาใจก้อย เก๋ยิ่งปลื้ม และเคยบอกกับก้อยว่า
"ถ้าจะเอาผู้ชายมาเป็นพ่อของลูกต้องเป็นคนนี้เลยนะก้อย"
เก๋พักอาศัยอยู่ด้วยไม่นานก็ย้ายออกไปอยู่หอใหม่ที่ไม่ไกลจากหอของก้อยมากนัก เนื่องจากเกรงใจก้อยและไทที่ไม่เป็นส่วนตัว คราวนี้เมื่อพ่อแม่เข้ามาในเมือง เก๋ก็จะให้กุญแจห้องกับไทเพื่อไปนอนอยู่ที่นั่น ถึงจะเคยมีการแนะนำให้พ่อแม่รู้จักกันแล้ว แต่พ่อแม่ก็คงไม่ปลื้มหากรู้ว่าก้อยกับไทอยู่ด้วยกันได้เสียกันแล้ว ในสายตาและมุมมองของผู้ใหญ่ก็คงไม่พอใจ อีกทั้งไท
กับก้อยก็ยังไม่พร้อมที่จะมามัดข้อมือ สู่ขวัญ เพราะพ่อแม่จะถือว่าผิดผี ถามว่าในปัจจุบันก็มีคู่รักหลายคู่ทีเดียวที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบนี้ก่อนแต่งงาน มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ทางต่างจังหวัดอีกทั้งพ่อแม่เป็นข้าราชการมีคนรู้จักในอำเภอเยอะ หากจะทำอะไรก็คงต้องไว้หน้ากันบ้าง นี่จึงเป็นเหตุผลให้ไทต้องไปนอนห้องเก๋ทุกครั้งที่พ่อแม่ก้อยมา เพื่อไม่ให้พ่อแม่ก้อยรู้ว่าทั้งคู่อยู่กินด้วยกันแล้ว ทั้งสามชีวิตใช้ชีวิตอยู่ในเมืองและช่วยเหลือปกปิดให้กันและกันแบบนี้เรื่อยมา
วันหนึ่ง เพื่อนชายของเก๋กลับมาขอคืนดีมาง้อเก๋ที่ห้อง เก๋จึงโทรหาไทบอกให้ช่วยแกล้งมาเป็นแฟนใหม่เก๋หน่อย ทำยังไงก็ได้ให้มันออกไปจากชีวิตเราสักที ไทจึงขับรถออกไปหาเก๋ที่หอ และเจอเก๋กับเพื่อนชายยืนทะเลาะกันอยู่หน้าห้อง เมื่อไทไปถึงเก๋รีบวิ่งไปเกาะแขนแล้วบอกว่า “พี่ไท ช่วยเก๋ด้วย เก๋เลิกกับมันแล้วแต่มันไม่ยอม มาตามตื๊อเก๋” เพื่อนชายเมื่อเห็นเก๋เกาะแขนไทจึงเกิดความโมโห เดินปรี่เข้ามาชกหน้าไทเต็มแรงหนึ่งที ไทสวนกลับไปหนึ่งที เก๋จึงตะโกนให้หยุดร้องเรียกให้คนข้างห้องออกมาช่วย จังหวะนั้นเพื่อนชายกำลังง้างหมัดจะใส่หน้าไทอีกครั้ง เก๋จึงกระโดดแทรกตรงกลาง ทำให้เก๋โดนหมัดของเพื่อนชายเข้าไปเต็ม ๆ คนข้างห้องเริ่มออกมาแล้วเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน เพื่อนชายวิ่งไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ไทกับเก๋ประคองกันเข้าห้อง ต่างมองหน้ากันแล้วขอโทษกันแล้วลงเอยด้วยการมีอะไรกัน!!!
นี่คือสิ่งที่ติดใจเก๋มาโดยตลอด เธอแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแฟนพี่สาวตัวเอง เมื่อเราถามกลับว่าทำได้ยังไง ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอเวลาจะมีอะไรกัน ไม่เห็นหน้าพี่สาวตัวเองลอยมาบ้างหรอ? เก๋บอกว่าตอนนั้นอารมณ์แต่ละคนมันเตลิดเปิดเปิง อีกทั้งเก๋มีความรู้สึกปลื้ม ประทับใจไทมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เก๋รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้แหละที่จะมาเป็นพ่อของลูก เมื่อมาอยู่ด้วยกันใกล้ชิดกันแบบนี้จึงทำให้หลงใหลและทำผิดทำนองคลองธรรม จากนั้น เก๋แลไทก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย และทุกครั้งที่เจอกันพร้อมหน้าทั้ง 3 คน เก๋และไทต่างก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังเหตุการณ์นี้ผ่านไป ก้อยได้มาบ่นให้เก๋ฟังเรื่องที่ไทไม่เหมือนเดิม ไม่ค่อยกลับมานอนหอด้วยกัน โทรหาไม่รับสาย
ไปเที่ยวด้วยกันน้อยลง ก้อยเริ่มซึมเศร้าเพราะรู้สึกได้ว่าคนรักเริ่มตีตัวออกห่าง ผิดกันกลับเก๋ที่เลิกกับแฟนแต่ดูมีท่าทีที่สดใสร่าเริงและแต่งหน้าแต่งตัวออกเที่ยวกลางคืนบ่อยขึ้น
“เก๋มีแฟนใหม่แล้วหรือจ๊ะ ทำไมช่วงนี้ดูสวยขึ้นผิดหูผิดตา”
ก้อยถาม
“ยังหรอก แค่มีคนมาจีบน่ะ” เก๋ตอบ
“ใครอ่ะ บอกเราหน่อยดิ่ เรารู้จักปะ?” ก้อยถาม
“ก้อยไม่รู้จักหรอก คุยเล่น ๆ อะ อย่าสนใจเลย” เก๋ตอบเลี่ยง ๆ
เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ก้อยมาบอกกับเก๋ว่า “เราเลิกกับพี่ไทแล้วนะ เราว่าพี่เขาเปลี่ยนไป เราไม่อยากมานั่งร้องไห้เสียใจแบบนี้อีกแล้ว เราเครียด ประจำเดือนก็ไม่มา ท้องหรือเปล่าก็ไม่รู้” เก๋จึงแนะนำให้ก้อยไปซื้อที่ตรวจมาตรวจครั้งแรกไม่ขึ้น แต่พอตรวจครั้งที่สองปรากฏว่าขึ้น 2 ขีด ก้อยร้องไห้โฮ เก๋ได้แต่กอดปลอบใจและบอกว่าจะช่วยก้อยเต็มที่ ก้อยขอร้องอย่าบอกพ่อแม่ แต่ก็ไม่อยากทำแท้งเพราะกลัวบาป เก๋ถามกลับ
“แล้วถ้าไม่ทำแท้งก็ต้องเก็บเด็กไว้ พ่อแม่ก็ต้องรู้นะก้อย ก้อยจะเอายังไง?"
"เราไม่รู้ เราเลิกกับพี่ไทไปแล้ว" ก้อยพูดพร้อมร้องไห้
"เราจะไปหาพี่ไท เราจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” เก๋รับปาก
เมื่อเก๋เจอไทจึงได้เล่าเรื่องของก้อยให้ฟัง เก๋ถามไทว่าจะเอายังไง “ไม่ต้องถามพี่หรอกเก๋ ถามตัวเก๋ดีกว่าว่าจะเอายังไง พี่นอนกับเก๋ทุกคืน ที่ทำอยู่เนี่ยอย่ามาถามพี่เลย”
“พี่รักใครมากกว่ากัน?” เก๋ถาม
“พี่ตอบแบบนั้นไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้พี่รักใคร พี่ตอบได้ว่าพี่รักเก๋”
“แต่ตอนนี้ก้อยท้อง พี่จะกลับไปหาก้อยไหม?”
“เก๋อยากให้พี่กลับไปหาก้อยหรือเปล่าล่ะ ถ้าอยากให้กลับพี่ก็จะกลับ”
เก๋เริ่มน้ำตาไหลสะอื้นกอดไทพร้อมบอกว่าไม่อยากให้กลับแต่ก็สงสารก้อย นี่เราหักหลังก้อยอยู่นะ เก๋ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าก้อย แต่เก๋ก็รักไทมากเกินกว่าจะยอมปล่อยให้ไทกลับไปคืนดีกับก้อย เพราะหากปล่อยไปไปคืนดีกับก้อย นั่นหมายความว่า ทั้งคู่จะต้องเข้าไปขอขมาพ่อแม่และแต่งงานกันในที่สุด หากไปถึงจุดนั้นแล้ว มันคงสายเกินไปที่เก๋จะเข้าไปเป็นมือที่สามของพี่สาวตนเอง ในที่สุด ก้อยจึงตัดสินใจเข้าไปสารภาพกับพ่อแม่ว่าตนเองท้องและเลิกกับผู้ชายไปแล้ว พ่อแม่ไม่ดุด่าว่าก้อยแม้แต่คำเดียว แค่ขอให้ก้อยดูแลตัวเองดี ๆ อย่าขับรถมาที่บ้านบ่อย พ่อแม่จะเป็นฝ่ายขับรถไปหาก้อยในเมืองเอง ก้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม แต่ไม่วายตัดพ้อพ่อแม่ที่ไม่ให้ก้อยมาหาเพราะกลัวจะอายชาวบ้านใช่ไหม แม่บอกไม่อายชาวบ้าน เราไม่ได้ขอใครกิน และวันนึงท้องก้อยก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เราคงปิดบังเรื่องนี้ได้อีกไม่นาน แต่ที่ไม่อยากให้มาหา เพราะไม่อยากให้ขับรถมาไกล ๆ ต่างหาก...
ก้อยยังคงทำงานอยู่ที่เดิมเพิ่มเติมคือมีน้ำมีนวลขึ้น ด้วยว่าก้อยเป็นผู้หญิงร่างเล็กและอาจจะเป็นท้องสาวจึงไม่เป็นที่สังเกตุของเพื่อนร่วมงาน แต่หากครั้งใดเดินสวนกันกับไท ก้อยก็จะไม่มองหน้า แม้ว่าไทพยายามจะเข้ามาพูดคุย ครั้งหนึ่งเก๋เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ก้อยยังไม่เลิกกับไท พวกเขาทั้ง 3 คน นัดกันไปเดินถนนคนเดิน ระหว่างนั้นก้อยครั่นเนื้อครั่นตัวบ่นปวดหัวและมีทีท่าว่าจะเป็นลม ไทจึงรีบประคองพาหาที่นั่ง เก๋ออกอาการหึงทำสายตาบึ้งตึงใส่ไท และก้อยสังเกตุเห็นได้ชัด ไทจึงรีบปล่อยมือออกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเก๋ในการดูแล... ก้อยไม่เคยพร่ำถึงไทให้เก๋ได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากที่เลิกกับไท ในใจก้อยเป็นอย่างไรเก๋ก็ไม่สามารถรับรู้ได้เพราะก้อยไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็นสักครั้ง จนกระทั่ง ก้อยมาเล่าว่าไปดูหมอเขาว่าให้ระวังคนใกล้ตัวและเขาแนะนำให้ก้อยไปพบกับอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ต่างอำเภอ เขาจะช่วยเราได้ ก้อยจึงนัดหมายว่าจะไปวันเสาร์อาทิตย์นี้และให้เก๋ไปเป็นเพื่อน เก๋ปฏิเสธบอกว่ามีทำโอที แต่ก็ไม่อยากให้ก้อยไปเพราะเกรงว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพ แต่ก้อยก็ยังยืนว่าจะไป และเก๋มารู้อีกทีคือเย็นวันอาทิตย์หลังจากที่ก้อยกลับมาจากต่างอำเภอแล้วนั่นเอง
ก้อยเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปหลังกลับจากไปพบอาจารย์ท่านหนึ่ง พ่อแม่มาหาก้อยชวนไปทำบุญ ก้อยมักจะปฏิเสธ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก้อยจะเป็นฝ่ายชวนทุกคนไปทำบุญ หรือแม้แต่เก๋ชวนก้อยไปกินข้าวนอกบ้าน ก้อยก็จะบอกไม่หิว ไม่ไป ไม่อยาก คือพฤติกรรมที่ก้อยแสดงออกมาคือการหลบหลีกไม่พบเจอทุกคน พ่อแม่ได้กำชับให้เก๋ดูแลก้อยอย่างใกล้ชิด อาจเป็นเพราะความเครียดหรือฮอโมนส์คนท้องก็ได้ และแม่ก็จะพยายามหาวันหยุดหรือลางานเพื่อมาอยู่กับก้อยสักช่วงเวลาหนึ่ง
คืนหนึ่งที่เก๋มานอนห้องก้อย เพราะก้อยบอกว่าวันนี้อาเจียนทั้งวัน กินอะไรไม่ได้เลย เก๋จึงหาซื้อผลไม้และอาหารที่ก้อยชอบมาไว้ให้ กลางดึกก้อยลุกขึ้นมานั่งโยกตัวแล้วขย่มเตียงดังเอี๊ยด ๆ เก๋ที่นอนอยู่ข้าง ๆ จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วถามว่าก้อยเป็นอะไร ก้อยไม่ตอบได้แต่นั่งก้มหน้าโยกตัวไปมาหน้าหลัง เก๋คว้าแขนเขย่าถามว่าก้อยละเมอหรือเปล่า ก้อยไม่ตอบยังคงโยกตัวเหมือนเดิม และเพิ่มความแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวก้อยหงายหลังล้มตึงไป เก๋ตกใจมากรีบลุกขึ้นมาเปิดไฟแล้วเขย่าเรียกก้อย ก้อยลืมตามองหน้าเก๋แล้วถามกลับว่า "เปิดไฟทำไม นอนไม่หลับหรอ" เก๋ได้แต่มองหน้าแล้วแอบกลัวในใจ จึงเดินไปปิดไฟแล้วกลับมานอนต่อด้วยความระแวง
เก๋คิดไว้ว่าอาการมันแปลก ๆ ไม่เหมือนเดิม จึงโทรเล่าให้พ่อแม่ฟัง ได้ฟังดังนั้นทุกคนจึงตัดสินใจออกอุบายชวนก้อยไปหาข้าวข้าวทานข้างนอกแล้วขับรถเลยเข้ามาที่วัด เมื่อถึงวัดก้อยลุกลี้ลุกลนไม่ยอมลงจากรถท่าเดียว แม่มาเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ได้ผล บางทีก็ตาขวาง บางทีก็ร้องไห้ พ่อจึงไปนิมนต์หลวงพ่อให้มาหาที่รถแทน เมื่อหลวงพ่อมาถึงที่รถ ก้อยเริ่มร้องไห้ หายใจกระหืดกระหอบ เอามือคว้าประตูรถทำท่าจะปิดประตู ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปคว้าประตูแล้วแม่ก็ขอร้องให้ก้อยลงมาจากรถ
"ก้อยลงมาเถอะลูก มีอะไรหรืออยากได้อะไรก็ลงมาคุยมากับหลวงพ่อดูนะลูกนะ"
"ไม่ลง! ไม่ลง!" ก้อยพูดตาขวาง
หลวงพ่อบอกว่าของแรงนะ เจ้าตัวจิตอ่อนของเลยย้อนกลับมาหาเขา ทุกคนจึงขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเหลือ แต่หลวงพ่อกลับตอบมาว่า
"อาตมาช่วยไม่ได้หรอกโยม มันเป็นกรรมของเขา เขากำลังรับผลกรรมที่เขาก่อ" ตอนนั้นเก๋งงว่าทำไมก้อยถึงได้รับผลกรรมที่ก้อยก่อ และก้อยไปทำอะไรไว้ทำไมถึงได้รับผลกรรมแบบนี้ ไม่ใช่ตัวเธอเองกับไทหรอกหรือทีต้องได้รับผลกรรมจากการนอกใจ
สัปดาห์หนึ่งผ่านไปหลังจากเกิดเรื่อง ก้อยก็กลับมาเป็นก้อยคนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคือก้อยไม่ออกมากินข้าวกับเก๋เหมือนอย่างเคย เก๋ไปหาก้อยที่ห้องปรากฏว่าห้องมืด จึงเปิดผ้าม่านพร้อมบอกว่า “อยู่ได้ยังไงอากาศไม่ถ่ายเทเลย ยิ่งท้องอยู่ด้วยนะ” ก้อยไม่ตอบนั่งดูทีวีนิ่ง เก๋ถามว่าหิวไหม จะกินอะไรหรือเปล่าจะออกไปซื้อให้ หรือว่าแพ้ท้องไหม ก้อยก็ไม่ตอบ เก๋จึงเปลี่ยนเรื่องแล้วถามว่า
"ไปหาอาจารย์ที่ตำหนักได้เรื่องอะไรมาบ้าง ยังไม่ได้เล่าให้เก๋ฟังเลยนะ"
ก้อยหัวเราะเหมือนคนกลั้นขำ สายตามองกลับมายังเก๋แล้วบอกว่า
“จะให้เราเล่าอะไรให้ฟังหรอเก๋ เก๋น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ดีมากกว่าเราอีก เก๋ล่ะ มีอะไรจะเล่าให้เราฟังไหม๊?” ก้อยถามกลับพร้อมมองหน้าเก๋ จังหวะนั้นเก๋รู้สึกว่าสายตาก้อยน่ากลัว น้ำเสียงที่เรียบเฉย ใบหน้านิ่ง แต่ดูแล้วมีความจริงจังแฝงอยู่ เก๋จึงบอกว่า
“ก้อยพูดเรื่องอะไรอะ สรุปแล้วก้อยรู้อะไรมา”
“ถ้าหากเราถูกคนที่เรารักหักหลัง ถูกคนที่ไว้ใจที่สุดทำร้าย แย่งของรักเราไป เราจะไม่เอาของเราคืนหรอกนะ แต่เก๋รู้ไหม๊ว่าเราจะทำอะไร?” ก้อยพูดพร้อมยื่นมือมาจับมือเก๋แน่น แล้วน้ำตาก้อยก็ไหลออกมา
“เราจะทำทุกวิถีทางที่จะสั่งสอนคนทรยศพวกนั้น จะด้วยวิธีไหนก็ได้ เอาให้มันหลาบจำ เอาให้มันกลัวและทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็นเลยยิ่งดี!!!”
นี่คือบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่เก๋จะมารู้อีกทีว่าก้อยต้องไปสัมมนาต่างจังหวัด แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย มารู้อีกทีก็คือที่ทำงานก้อยโทรมาหาพ่อแม่ในกลางดึกคืนหนึ่งว่าน้องตกตึกที่รพ.เสียชีวิต เก๋ทราบข่าวก้อยในคืนนั้นเช่นกัน จึงรีบขับรถจากในเมืองไปหาพ่อแม่ที่บ้าน และเดินทางไปรับร่างของก้อยด้วยตนเอง
ในงานสวดพระอภิธรรมศพก้อย มีเรา หัวหน้าและเพื่อนไม่กี่คนที่มาจากงานสัมมนาเดินทางมาร่วมงานครั้งนี้ แม่ก้อยถามว่าพวกเราสนิทกับก้อยไหม ก้อยเคยเล่าอะไรให้ฟังบ้างไหม พวกเราตอบว่าเพิ่งรู้จักก้อยตอนมาสัมมนานี่เอง และก้อยไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย เราเป็นคนเปิดประเด็นถามแม่ก้อยและเก๋ว่า
ก่อนมาสัมมนาก้อยมีพฤติกรรมอะไรแปลก ๆ บ้างไหม เพราะบางทีก้อยก็ยิ้ม บางทีก็เงียบ (ทั้งที่จริงเราอยากถามมากกว่านี้แต่ก็ไม่กล้า) เก๋รีบชิงเล่าว่าก้อยไปหาอาจารย์ที่สำนักอะไรสักอย่างเพราะมีปัญหากับแฟน ก้อยอาจจะเครียดที่แฟนไม่ยอมกลับมาคืนดีเลยคิดสั้น นี่คือคำตอบที่เราได้ ณ ตอนนั้น
แต่เมื่อเก๋ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เราฟัง ถึงเราจะหาข้อสรุปหรือมูลเหตุจูงใจให้ก้อยกระโดดตึกที่รพ.คืนนั้นไม่ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริง แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าเหตุใดก้อยจึงต้องพึ่งไสยศาสตร์ สุดท้ายแล้วคนใกล้ตัวนี่น่ากลัวที่สุด แม้ไม่รู้ว่าที่เก๋เล่ามาจะครบถ้วนสมบูรณ์ประการใด แต่อย่างน้อยก็ทำให้เก๋ได้ปลดแอกออกจากความลับที่ติดค้างอยู่ในใจมาโดยตลอด ไม่มีใครกล่าวโทษว่าใครเป็นสาเหตุทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียชีวิต หากอีกฝ่ายหนึ่งรักชีวิตและไม่วู่วามก็อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กลับกัน หากอีกฝ่ายหนึ่งมีสติยังยั้งชั่งใจรู้ผิดชอบชั่วดี เกรงกลัวในบาป ยึดมั่นในศีลธรรม เรื่องทั้งหมดก็คงไม่ต้องมาจบลงแบบนี้เช่นกัน
เราสามารถนำเรื่องนี้มาเขียนให้อ่านได้ เพราะความลับที่ติดอยู่ในใจของคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยต่อพ่อแม่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครกล่าวโทษใครว่าเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมด ทุกอย่างมันสายเกินกว่าจะย้อนกลับมาแก้ไข พ่อแม่เก๋และไท ยังคงต้องเดินหน้าดำเนินชีวิตกันต่อไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะอุทิศบุญกุศลให้ผู้ล่วงลับ ระลึกบาปบุญคุณโทษ พึงนึกถึงกิเกสตัณหาบ่อเกิดของความเดือดร้อนทั้งปวง พร้อมทั้งไทที่บวชอุทิศบุญกุศลให้ก้อยและลูกเพื่อให้ไปสู่สุขคติต่อไป.
** จบแล้วนะคะรวดเดียวเลย หวังว่าเพื่อน ๆ จะอ่านเรื่องนี้และวิเคราะห์หาบทสรุปมาเป็นข้อคิดเตือนสติของตนเองทั้งในส่วนของก้อย เก๋ และไท ผู้ซึ่งอาจเคยทำกรรมร่วมกันมาและอาจต้องชดใช้กันด้วยทางใดทางหนึ่ง เราทำหน้าที่เผยแพร่เรื่องนี้ตามคำขอของครอบครัว เพื่อให้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจ ให้ยับยั้งชั่งใจกับกิเลส รู้ผิดชอบชั่วดี รวมถึงมีสติยั้งคิดไม่ใฝ่หาของต่ำ อันจะนำพาเราไปสู่อบายภูมิ **
เราลองมาคิดดูแล้วยังสงสัยว่าก้อยท้องแล้วตอนที่ไปสัมมนาด้วยกัน ที่เรากับหัวหน้าเจอผ้าอนามัยเปื้อนเลือดวางทิ้งไว้อยู่หลังทีวีเป็นของใคร หรือก้อยพยายามหาของต่ำมาเพื่อป้องกันตนเองจากสิ่งที่ก้อยกำลังมองทางผิดไป? แต่ก็ไม่รู้ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าไปหามาจากไหน
ส่วนชีวิตของเก๋และไท ณ ล่าสุดที่เราคุยกัน พวกเขาทั้งคู่ยังดำเนินชีวิตต่อไปด้วยกัน แต่ถามว่ามีความสุขที่แท้จริงหรือไม่นั้น เราไม่ทราบ ฉากหน้าพวกเขาอาจกำลังยิ้ม แต่ใครจะรู้ว่าฉากหลังอาจเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนคราบน้ำตาอยู่ก็ได้
เก๋อ่านกระทู้และคอมเม้นท์ที่เพื่อน ๆ เขียนไว้ในนี้ด้วยค่ะ เก๋ไม่โกรธและไม่มีสิทธิ์โกรธทุกคนที่โกรธแค้นและไม่พอใจแทนก้อย เก๋ก้มหน้ารับกับสิ่งที่เก๋ต้องการเปิดเผย
นี่คือที่เก๋ฝากบอกมาค่ะ
ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ติดตาม เราเขียนเอง เราก็จุกอกไม่น้อยเลย
เรื่องจากพันทิป จำก้อยได้ไหมคะ?
เรื่องโดย TharaJF
ย่าของฉัน
"ย่าของฉัน"ความรักและความผูกพันกันระหว่างย่าหลานนั้น ถึงแม้ว่าต้องจากกันแต่ดวงวิญญาณก็ยังคอยปกปักรักษา กลับมาอีกครั้งของ ประสบการณ์จากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF ได้เจอมาเธอมักจะเจอวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง ขอขอบคุณประสบการณ์ผีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
กลับมาเจอกันอีกแล้ว ช่วงนี้ใกล้สิ้นปีเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ชนบทบ้านเกิดเมืองนอนสไตล์ล้านนา
การได้กลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัดถือเป็นการตั้งหน้าตั้งตารอคอยของคนที่อยู่ทางโน้น ย่าของเราจะคอยมองเพื่อนบ้านที่มีรถ
มาจอดในตอนเช้ามืดและชะเง้อมองหน้าบ้านของตัวเองว่าจะมีใครมาบ้าง ครอบครัวเรากลับบ้านทุกปี ปีละ 2 ครั้ง กลับไปสาดน้ำให้ม่วน
ซื่นใจ๋และอีกทีก็ไปนับดาวข้ามปี ที่เกริ่นมานี้เพียงเพราะระลึกถึงเหตุการณ์ความทรงจำที่น่าประทับใจ (หรือเปล่า?) เมื่อครั้งไปเที่ยวหาย่า
จริง ๆ เรื่องนี้เราเคยเล่าไว้ตั้งแต่ตอนสมัครเว็บนี้แรก ๆ ตอนนี้จะขอเล่าส่วนแยกหรือเหตุการณ์ที่มาที่ไปต่อจากนั้นอีกสักนิด
บ้านย่าของเราเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ครึ่งปูน ครี่งไม้ ห้องน้ำสังกะสีที่ย่าใช้อาบน้ำจะอยู่ด้านนอกตัวบ้านซึ่งต้องเดินออกไปทางด้านหลัง
และจะมีต้นมะม่วงต้นใหญ่หนึ่งต้นพร้อมโอ่งดินเผาขนาดกลางพอใส่น้ำอาบได้ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ ในครั้งนั้นที่เรามาบ้านย่าพร้อม
น้องสาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องในช่วงเวลากลางคืน ญาติพี่น้องทุกคนไปรวมตัวกันกินข้าวเย็นที่บ้านของลุงซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่
เราและน้องสาวได้รับคำสั่งให้มาเอาถ้วยชามเพิ่มเติมเนื่องจากว่ามีการกินเลี้ยงสังสรรค์ของผู้ใหญ่ และเป้าหมายของเราคือบ้านย่า
เพราะว่าอยู่ใกล้ที่สุด ดังนั้นน้องสาวเราจึงสตาร์ทรถขี่มอไซค์เรานั่งซ้อนท้ายมุ่งตรงมายังบ้านย่าทันที เมื่อมอไซค์จอดที่หน้าบ้านย่าสิ่งที่
นึกออกก็คือ กุญแจล่ะ? ต่างคนต่างส่ายหน้าเพราะไม่ได้เอากุญแจมา แต่ย่าเคยบอกว่าประตูบ้านไม่เคยล็อคให้เดินอ้อมไปทางหลังบ้าน
แล้วแงะประตูเข้าไปได้เลย พวกเราจึงจัดแจงถกขากางเกงและปีนรั้วที่สูงเลยหัวเรามานิดหน่อย เราปีนรั้วข้ามเข้ามาคนแรกด้วยความ
ทุลักทุเลกระโดดลงพื้นตุบ! น้องสาวกระโดดตามตุบ! แล้วพากันเดินอ้อมไปทางด้านหลังบ้านซึ่งต้องผ่านต้นมะม่วงสูงใหญ่แผ่กิ่งใบออก
อย่างกว้างขวาง เรายังพูดกับน้องสาวเลยว่า “มะม่วงต้นนี้อายุยืนจังเนอะ เราเก็บลูกมันกินตั้งแต่เด็ก ๆ จำได้ปะ?”
น้องสาวบอกจำได้พร้อมเล่าถึงวีรกรรมที่เราปีนต้นมะม่วงขึ้นไปแล้วถูกมดแดงกัดจนลื่นตูดไถลตกต้นไม้ลงมา เล่าไปพร้อมกับหัวเราะ
สนุกสนานมือก็พลางแงะประตูข้างหลังเข้าบ้าน อันที่จริงแทบไม่ต้องแงะเลยเพราะเอามือสะกิดนิดเดียวประตูก็แง้มออกมาอย่างง่ายดาย
เรายังนึกเป็นห่วงย่าว่าบ้านช่องประตูปิดไม่มิดชิดแบบนี้จะเป็นอันตรายหรือเปล่านะ เมื่อเราเปิดประตูเข้าทางหลังบ้านได้สำเร็จก็ค่อย ๆ
เดินควานหาสวิตไฟแต่น้องสาวตัวดีบอกว่า
"ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้มั้ง มีแสงจันทร์จากข้างนอกส่องเข้ามาพอมองเห็นอยู่ รีบเอาจานรีบกลับเถอะ"
ในเวลานั้นถึงจะเป็นเวลาค่ำแล้วก็ตามแต่คืนนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงจึงทำให้มีแสงจันทร์เล็ดลอดเข้าตามซอกหลืบของบ้าน
แลให้เห็นของภายในบ้านค่อนข้างชัดทีเดียว เมื่อเราและน้องก้ม ๆ เงย ๆ คว้าจานพร้อมทั้งเปิดตู้เย็นแอบกินขนมของย่าขนมปังที่น้า ๆ
ซื้อมาติดตู้เย็นไว้ให้ย่ากิน เรากับน้องก็ยัดเข้าไปเต็มปากพร้อมมองหน้ากันหัวเราะอย่างชอบใจ
“ทำตัวเหมือนขโมยกันเลยอะ” 555 น้องเราหัวเราะออกมา เราก็บอกว่า “ขโมยที่ไหน นี่เรียกว่าขอกินโดยไม่บอกต่างหาก ของย่าเราเอง
ถึงไม่ขอย่าก็ให้กินอยู่แล้ว”
เมื่อพวกเรายัดขนมเข้าปากจนเต็มแก้มเป็นพวงทั้งสองข้าง มือแต่ละคนก็อุ้มจานถ้วยพร้อมทั้งตุเลงเดินออกมาทางประตูด้านหลัง
และเมื่อเราใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก สายตาของเราก็พลันไปประสานกับสายตาของผู้หญิงคนหนึ่ง แสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่อง
ลงมาทำให้มองเห็นลักษณะผู้หญิงคนนั้นชัดเจนมากถึงชัดเจนมากที่สุด เมื่อประตูเปิดออกและเราก็ผงะหยุดนิ่งประสานสายตากับ
ผู้หญิงคนนั้นอยู่สักพัก น้องสาวที่เดินตามหลังเรามาก็สะกิดถามว่า “หยุดทำไม! มองอะไร!?” เราตอบแค่ว่า “เปล่า!!!!!”
แต่การกระทำของเรากำลังจะสวนทางกับคำพูด เมื่อเราตอบคำว่าเปล่า แต่เรากลับก้าวขาออกจากบ้านยาวกว่าเดิมและจ้ำขายาวขึ้น
ยาวขึ้น จากเดินจึงค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นวิ่ง เราสับขาวิ่งมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าบ้านของย่าโดยไม่ฟังเสียงเรียกของน้องสาว เมื่อวัตถุ
ที่อยู่ตรงหน้าเรามีความสูงท่วมหัวแต่ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่าจะออกจากบ้านย่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อระยะประชิดกับวัตถุตรงหน้า
เรากระโดดคว้าขอบรั้วพร้อมเอาเท้าไถ ๆ แล้วพลิกตัวข้ามรั้วกระโดดลงข้างล่างตุบ! ขึ้นคร่อมมอไซค์บิดกุญแจที่เสียบคาไว้แล้วเหยียบ
เกียร์หนึ่งพร้อมบิดคันเร่ง แฮ่นนน... แล้วยกล้อหน้าออกตัวล้อฟรีลากยาว แฮ๊นนนนนนน!!!!!
ต้องบอกก่อนว่าเราเองตอนนั้นขี่มอไซค์ยังไม่เป็นแต่เราจำได้จากที่ต้องซ้อนมอไซค์เป็นประจำว่าต้องเหยียบเกียร์หนึ่งแล้วตามด้วยสอง
จนไปถึงสี่ถึงจะขี่ยาว ๆ ได้ ทีนี้ด้วยความตกใจเราขี่ลากเกียร์หนึ่งจนมีเสียง แท่ด แท่ด ประมาณนี้ คงเป็นเสียงเตือนให้เหยียบเกียร์สอง
ขณะที่มอไซค์เริ่มมีเสียงดังสติของเราถึงได้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เราตกใจเสียงของมอไซค์และรถเริ่มอืด จังหวะเดียวกันกับที่เรามอง
กระจกส่องหลังแล้วเห็นน้องสาวเราวิ่งตามหลังพร้อมโบกไม้โบกมือตะโกนเป็นภาษาคำเมือง
“อิปี้ๆๆๆๆๆๆๆๆ รออออเปิ้นจิมมมมมมมม” ตอนนั้นนั่นแหละค่ะสติถึงกลับมา เมื่อน้องสาววิ่งตามมาถึงรถก็บ่นให้เราว่า
“ไหนว่าบ่มีอะหยัง แล้ววิ่งหนีมาปล่อยหื้อเปิ้นปีนฮั้วค๋นเดว จ๋านเฮี่ยเสียหม๊ด”
เราก็บอกว่ารีบขี่รถไปหาย่าก่อนเถอะอย่าเพิ่งบ่นเลย เมื่อพวกเรามาถึงบ้านของลุงพร้อมกับถ้วยจานที่เอาติดมาได้น้อยนิด เราเล่าให้
ญาติผู้ใหญ่ฟังว่าเราเจออะไรที่บ้านย่าถึงทำให้ได้จานมานิดเดียว ทุกคนบอกว่าเราตาฝาดแล้วก็หันไปร้องเพลงเคาะแก้วกันต่อ
เราจึงเดินไปกระซิบย่าว่า "เห็นจริง ๆ นะ ผู้หญิงผมยาวนุ่งผ้าถุงนั่งยอง ๆ อยู่บนปากโอ่งแล้วจ้องหน้าหนูอะ"
ย่าถามกลับ “แล้วเขาทำอะไรหนู?”
"เขาเปล่าทำแต่เขาจ้องหน้าหนูตาไม่กระพริบเลย แต่หนูก็จ้องหน้าเขากลับนะเพราะสงสัยว่าใครกันเข้ามาในนี้ แต่พอมองดี ๆ
ใครที่ไหนจะนั่งยองบนปากโอ่งอย่างนั้น หนูเลยคิดว่าใช่แน่ ๆ เลยรีบวิ่งออกมา" น้องสาวตัวดีรีบเข้ามาสมทบ
“แต่หนูไม่เห็นอะไรนะย่า หนูเห็นแต่พี่ยืนนิ่งมองจ้องอะไรไม่รู้แล้ววิ่งหนีหนูออกมาเนี่ย ดูซิ จานแตกหมดเลย”
ย่าจึงบอกให้เราเอาธูปไปปักกลางแจ้งที่บ้านพรุ่งนี้พร้อมบอกกล่าวเจ้าที่ทางขอขมาซะ เราอาจทำอะไรที่ไม่ดีงามเขาจึงออกมาเตือน
เรากับน้องก็มองหน้ากันแล้วคิดว่าทำอะไรที่ไม่ดีไว้ เพราะบ้านย่านี่ก็ปีนต้นไม้เล่นวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็เอาเถอะขอขมาก็ได้
ไม่เสียหายอะไร...
เช้าวันต่อมาเราไปบ้านย่าอีกครั้งพร้อมธูปปักกลางแจ้งหน้าบ้านยกมือกล่าวขอขมาตามที่ย่าพูดนำ เมื่อปักธูปแล้วย่าบอกว่าไปเอา
ขนมปังในตู้เย็นมากินสิย่าอนุญาต เราชะงักไปนิดนึงแล้วนึกได้ว่าเมื่อคืนเราแอบกินขนมปังในตู้เย็นไปแล้ว เอ... ย่าจะรู้ไหมนะ?
เราจึงบอกย่าไปว่าไม่หิวแล้วทำทีจะเดินออกไปเล่นนอกบ้านกับน้อง ๆ หลาน ๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ ย่าบอกว่าไปเอามากินเถอะ
ย่ายกให้ เราก็บอกว่าไม่หิวพูดเสร็จก็รีบวิ่งสะบัดก้นออกไปอย่างไว แล้ววิ่งไปกระซิบหูน้องสาวที่มาด้วยเมื่อคืนว่ากลัวย่าจะรู้จังเลยว่า
พวกเราแอบกินขนมปังในตู้เย็น น้องสาวก็รีบโบ้ยเราทันทีว่าทำตามเรานั่นแหละถ้าย่ารู้ว่าขี้ขโมยหนูจะโทษพี่... อ้าว!!!
ความจริงแล้วย่าไม่ได้หวงของกินกับหรอกค่ะ แต่เรามาเข้าใจเหตุผลก็เมื่อโตขึ้นว่าการขออนุญาตเป็นสิ่งที่สมควรกระทำและเป็นมารยาท
ที่พึงกระทำไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของนั้นจากญาติพี่น้องคนกันเองก็ตาม แต่ในขณะนั้นที่เรายังเป็นเด็กก็คิดแค่ว่านี่ก็บ้านย่าตู้เย็นย่าของกินย่า
แล้วย่าก็เป็นย่าทำไมเราจะหยิบกินอะไรไม่ได้ หยิบได้ค่ะ... แต่ต้องได้รับการอนุญาตหรือขออนุญาตจากเจ้าของเสียก่อน
นี่คือการสอนของย่าเรา หลังจากที่พวกเราเล่นกันทั้งวันด้วยความเหนื่อยล้า ญาติพี่น้องทุกคนก็มารวมตัวกันบ้านย่าแล้วทำอาหารกินกัน
เราซึ่งเป็นพี่คนโตของกลุ่มลูกพี่ลูกน้องก็อาสาไปเอาน้ำในตู้เย็นมาแจกจ่ายน้อง ๆ พลันฉุกคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่แอบขโมยขนมปังย่า
มันติดคาใจถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เมื่อเรายังเป็นเด็กก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปมันไม่ดี จึงได้เดินไปกอดย่าข้างหลังแล้วบอกว่าเราแอบกิน
ขนมปังย่านะ ย่าไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับสอนให้รู้จักความซื่อสัตย์ต่อตนเอง หากเราโตขึ้นแล้วไปอาศัยอยู่บ้านคนอื่นก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้
และย่าพูดทิ้งท้ายว่า “คราวหน้าจะหยิบจับอะไรไม่ว่าบ้านใครก็ขออนุญาตก่อนนะ”
เมื่อกินข้าวเย็นและนั่งพักผ่อนถามสารทุกข์สุขดิบกันในเครือญาติเสร็จแล้ว ต่างคนก็เริ่มแยกย้ายกลับบ้านของตนเอง
พ่อแม่เราย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เรายังไม่เกิด ที่ต่างจังหวัดจะไม่มีบ้านของพ่อแม่มีแต่ที่ดินที่รอพ่อ
เกษียณแล้วจะกลับมาสร้างบ้านอยู่ ดังนั้น เวลาครอบครัวเราไปเที่ยวก็จะอาศัยนอนบ้านย่าหนึ่งคืน บ้านลุงหนึ่งคืน
บ้านน้าหนึ่งคืนสลับแบบนี้เพราะย่ามีลูกเยอะ เลือกได้เลยว่าคืนนี้จะไปนอนบ้านของใคร คืนนี้พ่อแม่เรานอนบ้านย่า
บ้านไม้ทรงโบราณ (ที่มีการต่อเติม) อายุร้อยกว่าปีปลูกตั้งแต่สมัยหม่อน (ทวด) ยังเป็นสาวจนตอนนี้ย่าก็แก่จนจะ
เป็นหม่อนไปอีกคน เมื่อจัดแจงที่นอนเสร็จแล้วก็เข้านอนม้วนชายมุ้งสอดใต้ที่นอนไม่ให้ยุงเข้า เวลาผ่านไปค่อนคืน
ด้วยความที่วันนี้เราวิ่งเล่นเยอะทำให้เกิดอาการเกร็งที่น่องหรือเป็นตะคริวนั่นเอง เราร้องโอ๊ยขึ้นมาดัง ๆ พร้อมดีดตัว
ลุกมานั่งกอดขาตัวเองด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย!!!”
ร้องแล้วหันมองแม่ที่นอนข้าง ๆ แม่ไม่ได้ยินเสียงเราเลยหรอเนี่ยปวดจะตายอยู่แล้ว เรากอดขาตัวเองอยู่สักพักถึงได้รู้สึก
ผ่อนคลายและยืดขาออกล้มตัวลงนอนอีกรอบ ไม่ทันไรความรู้สึกปวดที่น่องก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้เราร้องดังกว่าเดิมพร้อม
เอามือสะกิดแม่แต่แม่ก็ยังนอนนิ่ง เราลุกขึ้นมานั่งกอดขาตัวเอง นิ้วเท้าหงิกงอเกร็งมันปวดจนไม่รู้จะบรรยายออกมาแบบไหน
คนที่เคยเป็นตะคริวตอนนอนคงจะทราบดี ในขณะที่เรานั่งน้ำตาไหลจับขาตัวเองอยู่นั้น ปลายมุ้งที่เราม้วนชายสอดพับเก็บใต้
ที่นอนก็สะบัดออกพรึ่บหนึ่งที!!! มันจึงเบี่ยงเบนความสนใจจากน่องของเราไปที่ปลายมุ้งทันที เราชำเลืองตามองที่ปลายมุ้ง
ลักษณะเหมือนมีลมแล้วมุ้งปลิว แต่ว่าถ้ามีลมมุ้งส่วนอื่นต้องเคลื่อนไหวด้วยสิ นี่ขยับเป็นบางจุดแล้วเป็นจุดที่ถูกทับไว้อีกทีด้วย
ประหนึ่งว่ามีคนจะมาเปิดมุ้งขึ้นแล้วสะบัดออก เรามองไปที่ปลายมุ้งที่ตอนนี้มันถูกดึงออกมาจากใต้ที่นอน พร้อมเงาลาง ๆ
ปรากฏอยู่หน้ามุ้ง เงานั้นรูปร่างผอมเหมือนผู้หญิงยืนนิ่งอยู่หน้ามุ้งที่เรานอน ด้วยความที่ห้องมืดเราจึงเห็นเฉพาะลักษณะเงา
ไม่ได้เห็นรายละเอียดมากนัก แต่แปลกใจที่เรารู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหน ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ย่าแน่นอนเพราะย่าเราหุ่นท้วมเตี้ย
และเราไม่สามารถละสายตาจากเงานั้นได้เลย เนื่องจากเงานั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหนเพียงแต่ยืนนิ่ง ๆ ในใจตอนนั้นภาวนา
ให้เป็นย่าเดินออกมาดูถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ เงานั้นเริ่มขยับ ไม่ได้ขยับเข้าแต่เป็นขยับออก เงานั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวถอยออก
แล้วหายวับไปกับความมืดของมุมห้องและไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวอีกเลย ปล่อยให้เราที่หายเจ็บน่องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบนั่งตาค้าง
อยู่อย่างนั้น
เช้ามืดหลังจากตักบาตรเสร็จแล้ว ย่าชวนเราไปห่อขนมเพื่อเตรียมไปวัดวันพระพรุ่งนี้ บอกว่าจะสอนทำขนมโหนบเหนบ
หรือขนมเทียน ระหว่างที่กำลังเตรียมใบตองย่าเอ่ยว่า “หม่อนชอบมากเลยนะโหนบเหนบ สงสัยจะอยากกิน เมื่อคืนย่าฝันเห็นหม่อน”
เราหันขวับไปมองหน้าย่าที่กำลังเอาน้ำมันถูใบตองอย่างขมักเขม้น ย่าหันกลับมาพูดเป็นภาษาคำเมือง “หม่อนท่าจะดีใจ๋ขนาดวันนี้
ได้หลานสาวคนเก๊ามาช่วยห่อใบตอง ยะงาม ๆ เน้อ หม่อนจะได้กิ๋นรำ ๆ “ เราพยักหน้าตอบรับ วันนี้ทั้งวันเราไม่ได้ออกไปเล่นที่ไหน
เพราะมัวแต่ช่วยย่าเตรียมขนมเทียนและอาหารคาวหวานสำหรับไปวัดวันพรุ่งนี้ ย่าบอกว่าคืนนี้ให้นอนที่นี่กันอีกคืนเพราะว่าต้องตื่นไป
วัดแต่เช้าถ้าไปนอนบ้านญาติคนอื่นมันอยู่ไกลวัดเดี๋ยวจะพากันไปวัดสาย พอตกโพล้เพล้เราเตรียมเสื้อผ้าอาบน้ำหอบผ้าเช็ดตัวเดินไป
ทางด้านหลังบ้านคนเดียว เมื่อละเลงตักน้ำอาบถูสบู่ เราก็ฮัมเพลงตามไปด้วย ซ่า... เสียงน้ำราดพื้นดังขึ้นเบา ๆ หนึ่งที เราเงี่ยหูฟังข้าง
ประตูว่าเสียงน้ำดังมาจากทางไหน เพราะในห้องน้ำตอนนี้เราถูสบู่อยู่ ซ่า... เสียงน้ำราดพื้นดังขึ้นอีกหนึ่งที เราจึงแง้มประตูออกเพื่อดูว่า
มีใครมารดน้ำอะไรแถวนี้หรือไม่ ว่างเปล่า! ไม่มีใครอยู่แถวห้องน้ำที่เราอาบและก็ไม่ใช่เสียงของบ้านข้าง ๆ เพราะว่าตัวบ้านไม่ได้ใกล้กัน
ขนาดนั้นเราจึงปิดประตูแล้วใช้ขันตักน้ำราดตัวล้างหน้าแล้วรีบคว้าผ้าเช็ดตัว เวลาพลบค่ำที่บ้านนอกบนเขาสูงชันถ้ามองให้สวยก็สวยสงบ
แต่ถ้ามองให้น่ากลัวก็วังเวงมิใช่น้อย เราม้วนผ้าเช็ดตัวเหน็บกับหน้าอกแล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมา จ๊ะเอ๋!!! หลังใครแว่บ ๆ เดินผ่านหน้า
ห้องน้ำเราไปทางขวามือที่มีต้นมะม่วงต้นใหญ่ตั้งอยู่ เราหยุดนิ่งอยู่ที่ประตูใช้หางตาชำเลืองมองไปทางขวาอย่างช้า ๆ แล้วรีบหันกลับ
เอายังไงดีจะเดินหรือจะวิ่ง เราก้าวขาออกมาจากห้องน้ำอย่างช้า ๆ ตอนนั้นทำใจดีสู้เสือทำเป็นมองไม่เห็น ใครอย่ามาเรียกร้องความสนใจ
จากเรานะเราไม่สนหรอก พอเราก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำปุ๊บ ก็มีเสียงหนึ่งดังทันที ตุบ! เราสะดุ้งเฮือกแล้วหันขวับไปหาที่มาของเสียง
ไม่ปรากฏสิ่งใดบริเวณโดยรอบต้นมะม่วง เรามองไม่ค่อยเห็นว่ามีอะไรตกไหมแต่ก็คิดแง่ดีว่ามะม่วงคงหล่นลงมาแหละ ซ่า... เสียงน้ำราดพื้น
ดังขึ้นอีกหนึ่งที คราวนี้เสียงมันชัดมากเหมือนอยู่ใกล้ ๆ เราสะดุ้งโหยงหันกลับไปทางห้องน้ำ จังหวะที่กำลังหันหลังกลับไปดูห้องน้ำ หางตา
มันก็แว่บจริง ๆ เป็นคนเดินแว่บหายเข้าไปในห้องน้ำต่อหน้าต่อตาเลย แต่มันเห็นแว่บเดียวแค่ไม่กี่วิ เรายืนมองตาปริบ ๆ ว่าใครล่ะ แล้วเดินมา
จากทางไหน กลัวก็กลัวแต่กลัวจะไปเล่าให้คนอื่นฟังแล้วไม่มีใครเชื่อมากกว่า จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ห้องน้ำแล้วค่อย ๆ ชะเง้อหน้าเข้าไป
ส่องว่ามีใครอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่า จังหวะที่กำลังจะชะโงกหัวเข้าไปในห้องน้ำยังไม่ทันชะโงกดูได้เต็มตาก็มีเสียงคำเมืองดังขึ้น
"เข้าใจ๋ไปน๋อน” (รีบกลับไปนอน)
ได้ยินแค่นั้นแหละค่ะ กรี๊ดลั่นหน้าห้องน้ำเลย ผ้าเช็ดตัวนี่หลุดลงไปกองอยู่ที่พื้น ไม่รู้ตกใจอิท่าไหนมือไม้มันปัดพัลวัลผ้าเช็ดตัวหลุดไปเลย
555 เราวิ่งเข้าบ้านทั้งที่เปลือยแบบนั้นแหละค่ะ แต่ตอนนั้นอะไร ๆ มันก็ยังไม่โตเลยไม่ต้องอายมาก (ติดเรทหรือเปล่าเนี่ย อิอิ) เหตุการณ์นี้
เป็นที่เล่าขานกันสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ที่ห้องน้ำบ้านย่าถูกทุบออกแล้วเทปูนขยายตัวบ้านเต็มพื้นที่ก็ยังถูกเล่าต่อ ๆ กันมาไม่จบไม่สิ้น
และที่เล่าไม่ได้เล่าเรื่องผีนะคะ แต่เล่าเรื่องเราที่วิ่งแก้ผ้าหนีผีเข้าบ้านนี่แหละค่ะ
เช้าวันพระญาติพี่น้องทุกคนรวมตัวกันที่วัดเพื่อทำบุญในวันพระใหญ่และตักบาตรให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
“ตอนหยิบขนมใส่บาตรนึกถึงหม่อนด้วยนะลูก” ย่าเรากล่าวพร้อมยกอาหารขึ้นสาธุท่วมหัว เราทำตามและตั้งจิตนึกถึงหม่อน
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทมากนักเพราะตอนที่เราพอจะจำความได้ก็เป็นช่วงเวลาที่หม่อนเสียพอดี เรายังจำเหตุการณ์ได้ลาง ๆ
ว่าพ่อพาเรากลับมาน่านทั้งที่ยังไม่ปิดเทอมเพื่อมาดูใจหม่อนเป็นครั้งสุดท้าย บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ หม่อนมีลูกหลายคน
ย่าก็มีลูกหลายคน ทุกคนรวมตัวกันบ้านหม่อน เรายังเด็กมาก ผู้ใหญ่นั่งกันเต็มบ้านส่วนเราก็วิ่งเล่นอยู่ใต้ต้นมะม่วง คอยเก็บ
ลูกมะม่วงที่ตกลงมาเน่าอยู่ที่พื้นโยนไปมา ในขณะนั้นเราถือเป็นหลานสาวคนแรกของย่าและเป็นเหลนสาวคนแรกของหม่อน
“เข้ามาไหว้หม่อนเร็ว หม่อนจะไปแล้ว”
เสียงพ่อเรียกเราให้เข้าบ้าน เรารีบวิ่งเข้าไปกราบหม่อนตามที่ผู้ใหญ่ทำ ใบหน้าเหี่ยว ๆ ของผู้หญิงชรา ริมฝีปากงุ้มเข้าไปในปาก
แสดงให้เห็นว่าภายในปากนั้นไม่มีฟันเหลืออยู่แล้ว พ่อจับมือของหม่อนแล้วมาวางบนหัวเราในขณะที่หม่อนหลับตาไม่มีปฏิกิริยา
ตอบโต้ “คอยดูแลหลานโตยเน้อแม่อุ้ย” ว่าแล้วก็วางมือหม่อนลงแล้วทุกคนก็ร้องไห้ นั่นคือภาพสุดท้ายที่เราจำหม่อนได้ เราตั้งจิต
อธิษฐานถึงหม่อนตามที่ย่าบอกแล้วบรรจงตักบาตร เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในเช้าวันนี้ ทุกคนก็รวมตัวบ้านย่าแล้วทำขนมจีนน้ำเงี้ยวหม้อ
ใหญ่กินกัน พวกเราเป็นเด็กก็ไม่ได้สนใจอะไรมัวแต่เที่ยวเล่นสนุกสนานเหมือนเคย ตกกลางคืนพับชายมุ้งสอดเก็บใต้ที่นอนล้มตัวลง
นอนแล้วสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงดนตรีลอยมาแว่ว ๆ เรางัวเงียลุกขึ้นมานั่งฟังเสียงดนตรีนี้ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เรารู้ในทันที
ว่าเป็นเครื่องดนตรีทางเหนือ เพราะเสียงเพลงที่ได้ยินเป็นเพลงเหนือและเราเคยได้ยินเสียงเพลงนี้ด้วย ดนตรียังคงบรรเลงต่อไปแต่ไม่
หนวกหูแต่ก็ได้ยินติดอยู่ที่หู เราล้มตัวลงเอนหลังพลางคิดว่าดึกขนาดนี้บ้านก็อยู่บนดอยบนเขาถ้าได้ยินเสียงจั๊กจั่นเรไรจะไม่แปลกใจแลย
นี่ได้ยินเสียงซะล้อ ซอซึง คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้คงมีใครอยากให้เราได้ยินหรืออยากให้เรารับรู้บางอย่าง เรานอนฟังเสียงดนตรีนี้จนเรา
เคลิ้มหลับไปแล้วฝันเห็นตัวเองวิ่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีเด็กผู้ชาย 4 – 5 คน วิ่งตาม แล้วก็มีวงดนตรีพื้นบ้านเล่นอยู่ข้าง ๆ
ขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดชาวบ้านนุ่งผ้าถุงนั่งอยู่หน้าวงดนตรีดูนางรำฟ้อนแง้นเอาปากคาบเหรียญ ผู้หญิงคนนั้นนั่งโยกหัวไป
ตามจังหวะเพลงและทันใดนั้นก็หันมามองเราที่หยุดนิ่งดูเขาอยู่ ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เราแล้วกวักมือเรียกเราให้ไปดูรำใกล้ ๆ เราเดินเข้าไปใกล้
พร้อมกับเด็กผู้ชายที่วิ่งตามมาด้วย แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยื่นขนมห่อใบตองให้เรากับเด็ก ๆ เรายื่นมือไปรับแล้วเราก็สะดุ้งตื่น...
เช้านี้เราต้องเก็บของกลับบ้านที่กรุงเทพฯ กินข้าวเช้าและร่ำลาญาติพี่น้อง ย่าผูกข้อไม้ข้อมือและทำพิธีสู่ขวัญก่อนที่ลูกหลานจะแยกย้าย
กลับไปทำภารกิจตามหน้าที่ บรรยากาศอบอุ่นแบบนี้มีได้ปีละไม่กี่ครั้งด้วยภาระหน้าที่ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน สิ้นปีนี้ก็เช่นเคยที่ย่าจะ
เฝ้าชะเง้อมองหาลูกหลานที่ไปพำนักอยู่ต่างถิ่น นอกจากคนทางโน้นจะเฝ้ารอ คนทางนี้ก็เฝ้ารอเช่นกัน รอเทศกาล รอวันหยุดยาว รอช่วง
เวลาที่จะได้กลับบ้านและทำบุญไปให้บรรพบุรุษอีกเช่นเคย.
---เรื่องนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่พิสดารเลยค่ะ แค่อยากเล่ามุมมองความรู้สึกที่ประทับใจปนตกใจนิด ๆ ใกล้เทศกาลแล้วเดินทางปลอดภัย
กันทุกคนนะคะ ขอบคุณค่ะ---
เรื่องจากพันทิป ย่าของฉัน
เรื่องโดย TharaJF
29 ต.ค. 2562
ป้าจูลี่
"ป้าจูลี่" อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้สยองอะไรมาก แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ ประสบการณ์จากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF ได้เจอมาเธอมักจะเจอวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง ขอขอบคุณประสบการณ์ผีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องที่จะเล่านี้ไม่ได้มีความน่ากลัว สยองขวัญเขย่าประสาท แต่อยากเล่ามุมมองที่เราได้เจอมาในต่างแดน
ความรู้สึกสัมผัสที่แปลกใหม่ต้องขออภัยหากไม่ได้น่ากลัว และอาจดูยืดยาวไปบ้าง
เมื่อไม่นานมานี้ เราได้มีโอกาสเดินทางไปทำธุระที่ประเทศหนึ่งระยะสั้น ๆ และได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่พักอาศัย
จากเพื่อนสนิทของพ่อซึ่งเปิดร้านอาหารไทยอยู่ในเมืองนี้ ขอแทนชื่อเพื่อนพ่อว่า "แม่นำ" แม่นำเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
มาจากภาคเหนือของประเทศไทย สู้ดิ้นรนอยู่ต่างแดนจนกระทั่งสามารถเปิดร้านอาหารไทยและมีชื่อเสียงติด 1 ใน 5
ของการทำรีวิวร้านอาหารไทยในเมืองนี้ เมื่อเราเดินทางมาถึงเมืองเล็ก ๆ อยู่ท่ามกลางเกาะที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์
ทางทะเล เมืองที่เงียบไม่มีอะไรหวือหวา หากคนไทยอยากฝึกภาษา เมืองนี้ช่วยคุณได้ เพราะคนไทยน้อยมาก
ซึ่งจะทำให้คุณได้ใช้ภาษาอังกฤษไปโดยปริยาย
แม่นำมีบ้าน 2 หลัง อยู่ห่างจากร้านอาหารไม่ไกลนัก หลังร้านอาหารมีภูเขาชื่อดังของเมืองที่ผู้คนมักใช้เป็นที่ปีนเขา
หรือออกกำลังกายเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว เมื่อเราไปถึง แม่นำได้ให้กุญแจบ้านเรามาหนึ่งหลังพร้อมบอกให้เราอยู่ที่นี่
และหากมาครั้งต่อไปก็ถือซะว่าบ้านหลังนี้เป็นสิทธิ์ของเรา โดยจ่ายแค่น้ำค่าไฟอย่างเดียวก็พอ ขอเล่าลักษณะบ้าน
บ้านหลังไม่ใหญ่ชั้นเดียวยกพื้น ส่วนชั้นล่างมีไม้ระแนงตีรอบบ้าน 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัง ซึ่งปกติปล่อยไว้
ให้คนเช่า และที่สำคัญรอบบ้านไม่มีรั้วใด ๆ เลย แต่กลับมีบันไดให้ขึ้นบ้านอยู่นอกตัวบ้านนี่สิ แม่นำบอกว่าไม่ต้องห่วง
เรื่องความปลอดภัย กฎหมายที่นี่เขาแรง... สภาพภายนอกดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แต่ภายในสะอาดใช้ได้เลย อย่างที่บอก
ว่ารอบบ้านไม่มีรั้ว จอดรถริมถนนก็เดินผ่านสนามหญ้ารก ๆ ถึงบันได้บ้านได้เลย
เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว แม่นำได้ให้กุญแจเราอีกดอก คือกุญแจจักรยาน เอาไว้สำหรับปั่นจากบ้านไปที่ร้านหรือไปหา
แม่นำที่บ้านห่างออกไปอีกบล๊อค จากนั้นแม่นำจึงเดินทางกลับ ทิ้งไว้แต่เพียงความอ้างว้างที่เราต้องเผชิญในต่างถิ่น
เราน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกเหมือนตัวคนเดียว ทั้งที่มาแค่ไม่กี่วันก็กลับ แต่นึกภาพในอนาคตที่จะต้องมาอยู่ที่นี่
และอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวก็คงเหงาไม่ใช่น้อย เราจึงตัดสินใจขจัดความเหงานี้ออกไปด้วยการออกไปปั่นจักรยานถ่ายรูป
จนตะวันใกล้ตกดินแล้วกลับเข้าบ้าน วิ่งขึ้นบันไดเตรียมหากุญแจเปิดลูกบิดเข้าห้อง เอ๊ะ! ถุงอะไรแขวนที่ประตู รีบเปิด
ถุงดูข้างในเป็นขนมปังชิ้นโตกับไก่ทอด แม่นำต้องเอามาให้แน่ ๆ ว่าแล้วเรารีบคว้าเข้าบ้าน อาบน้ำกินแล้วเข้านอน.
เช้ารุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้าเนื่องจากผิดที่นอนไม่ค่อยหลับ เราจึงเดินออกมาเปิดประตูหน้าบ้านเพื่อรับลม
และก็เจอเข้ากับถุงใบหนึ่งที่แขวนไว้ที่ลูกบิดประตูด้านนอก เมื่อเปิดดูก็พบกับไข่ต้ม แอปเปิ้ล และ
นมขวดเล็ก เรารีบคว้าถุงเข้ามาแล้วพิจารณาว่าเป็นของ ๆ ใคร แต่แว่บแรกที่นึกออกเลยคือแม่นำ...
เมื่อทำธุระส่วนตัวและกินอาหารเช้าแบบเฮลท์ตี้เสร็จแล้ว เราจึงเริ่มเดินสำรวจรอบบ้าน หญ้าหน้าบ้าน
ค่อนข้างขึ้นรก เราจึงเข้าครัวไปหามีดมาฟันให้หญ้าสั้นลง และด้วยความที่รองเท้าเราเปื้อนดิน เราจึง
ตัดสินใจถอดรองเท้าไว้ที่บันไดแล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นบ้าน จนเรานึกขึ้นมาได้ว่าเราถอดรองเท้าไว้ข้างล่าง
จึงชะโงกออกมาดูก็เห็นรองเท้าวางอยู่ที่บันไดแต่... ระหว่างทางของบันได้กลับมีรอยดินเป็นก้อนตาม
ขั้นบันไดตั้งแต่ที่ถอดรองเท้ามาสุดที่หน้าประตู นั่นทำให้เราแปลกใจว่ารอยดินเหล่านี้มาได้อย่างไร
ในเมื่อเราถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าขึ้นมาและเท้าก็ไม่ได้มีคราบดินเยอะขนาดนี้ด้วย แต่เราก็พยายาม
คิดในแง่บวก นี่เรามาต่างถิ่นนะ ไม่อยากเจออะไรทั้งนั้น เราจึงจัดการทำความสะอาดขั้นบันไดและรีบ
ปั่นจักรยานออกไปหาแม่นำทันที.
ในทุก ๆ วัน ระหว่างวันเราจะไปอยู่ที่ร้านแม่นำและกลับเข้าบ้านมาอีกทีตอนประมาณสี่ทุ่มของทุกวัน
ในคืนแรกที่เรากลับเข้าบ้าน เราได้จอดจักรยานและล๊อคโซ่ไว้กับราวบันไดหน้าบ้าน เตรียมขึ้นบันได
ทันใดนั้น ไฟสีส้มในหน้องหนึ่งของบ้านข้าง ๆ ก็เปิดพรึ่บ! หน้าต่างที่เป็นกระจกทำให้เรามองเห็น
ข้างในได้ค่อนข้างชัดเจน ปรากฏเงาของบุคคลหนึ่งยืนนิ่งโผล่ลำตัวมาแค่ข้างเดียว อีกข้างหนึ่งนั้น
หลบมุมอยู่และมองมาทางเรา ทำให้เราต้องหยุดนิ่งชะงักไปเช่นกัน แต่พอเราจ้องมองเข้าไปนาน ๆ
เงานั้นก็เดินกลับหลังหันและไฟก็ดับลงทันที! ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าเขาคงมาดูเพราะว่าเราเป็นคน
แปลกหน้าละมั้ง?
ในเช้าของอีกวันยังคงมีถุงอาหารแขวนไว้ที่ลูกบิดประตูบ้าน ซึ่งอาหารก็ดูสดสะอาดและมีรสชาดดี
ถามว่าเรากินไหม? กินค่ะ 555 เพราะเคยกินในครั้งแรกแล้วไม่เป็นอะไรท้องไม่เสีย และก็ยังคงคิด
อยู่เสมอว่าแม่นำเป็นคนเอามาแขวนไว้ให้ ในตอนเช้าเราจะมีเวลาว่างก่อนไปร้าน วันนี้เราตัดสินใจ
เดินสำรวจรอบบ้าน ข้างบ้านซ้ายขวาเป็นบ้านลักษณะเดียวกันไม่มีรั้วกั้นบริเวณ เราเดินลัดสนาม
หญ้าไปทางบ้านขวามือที่เปิดไฟเมื่อคืน เพราะอยากพิสูจน์ว่าบ้านหลังนี้มีคนอยู่จริงไหม ปรากฏว่า
มีหนังสือพิมพ์วางอยู่หน้าบ้าน นั่นหมายความว่าบ้านหลังนี้มีคนอยู่แน่นอน ส่วนบ้านทางซ้ายไม่มี
ความเคลื่อนไหวใด ๆ
เราตัดสินใจเดินไปบ้านที่เปิดไฟเมื่อคืน ด้วยหวังว่าจะผูกมิตรและไม่อยากให้เขามาแอบดูเราอีก
เรากดกริ่งไม่นานก็มีผู้หญิงร่างท้วมคนหนึ่งเดินออกมาแง้มประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรากล่าว
แนะนำตัวเองว่ามาจากที่ไหนและจะขอฝากเนื้อฝากตัวหากมีเหตุฉุกเฉินจะได้ขอความช่วยเหลือ
กันได้ ผู้หญิงคนนี้กล่าวสั้น ๆ ว่า ชื่อ จูลี่ ขอแทนว่า "ป้าจูลี่" เพราะว่าดูจากภายนอกแล้วอายุก็น่า
จะเยอะอยู่ ป้าจูลี่ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเรามากมาย คือไม่รู้ว่าเพราะวัฒนธรรมหรือฟังเราไม่รู้เรื่อง...
เมื่อแยกย้ายเราจึงเดินทางไปร้านและกลับเข้าบ้านในเวลาเดิม และในคืนนี้ป้าจูลี่ก็ยังคงเปิดไฟใน
เวลาที่เราจอดจักรยาน เราทำเป็นก้มหน้าแต่ก็แอบชำเลืองมองด้วยหางตาไปยังหน้าต่างบ้าน
ป้าจูลี่ พลางคิดในใจว่าป้าแกเป็นคนนี่เราจะกลัวทำไมล่ะ ดังนั้น เราจึงเงยหน้าและโบกมือทักทาย
ปรากฏว่าป้าจูลี่เดินกลับหันหลังแล้วปิดไฟในห้องทันที! อ้าว... ป้าต้องการอะไรจากเรา?
เราส่ายหัวเล็กน้อยกับความเผือกหรือสอดรู้สอดเห็นของป้า นี่เราต้องมาเจอกับป้าแบบนี้ทุกคืน
เลยหรือเปล่าเนี่ย?
คืนนี้เป็นคืนแรกที่เราสวดมนต์แผ่เมตตาและนั่งสมาธิ ระหว่างที่นั่งสมาธิก็มีเสียง ฮึก ฮึก มากระทบหู
เราลืมตาขึ้นทันที กวาดสายตามองรอบห้องนอนและพยายามนึกถึงน้อง ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเสียงที่
ได้ยินคืออะไร แต่ตอนนั้นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่นึกถึงได้คือน้อง และอีกอย่างถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้เลยว่าน้อง
จะสามารถเดินทางข้ามประเทศมาได้หรือไม่แต่ก็ขอเรียกให้รู้สึกอุ่นใจไว้ก่อนดีกว่า เราเรียกน้องให้มา
อยู่ด้วยและยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทางตามแบบฉบับคนไทย ไม่ทันไรเราก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียง
กร๊อง แกร๊ง เสียงเหมือนโลหะกระทบกัน ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือต้องมีคนแอบเข้าบ้านแล้วรื้อหาของ
เรารีบหยิบโทรศัพท์มือถือส่องไฟไปที่ประตูห้องนอนเพื่อเช็คว่าเราลงกลอนเรียบร้อย จากนั้นเตรียมกด
เบอร์ฉุกเฉิน ความกลัวผีในขณะนั้นไม่มีอยู่ในหัวเลยเพราะกลัวตายมากกว่า แต่แล้วเสียงก็เงียบหายไป
ไม่มีอะไรดังขึ้นมาอีก ซึ่งหากเป็นขโมยจริง ป่านนี้พวกมันต้องบุกมาถึงห้องเราแล้ว เราจึงโล่งใจคิดว่า
อาจเป็นเสียงแมวหรือเราหูฝาดไปเอง.
ผ่านพ้นไปแล้วสองคืนกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว
เรายังคงได้กินอาหารเช้าที่แขวนไว้ที่ประตู และไม่เคยถาม
แม่นำเลยว่าใช่ของแม่นำหรือไม่ เอาเป็นว่ามีของอร่อย
ประทังชีวิตในทุกเช้านั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีจึงไม่อยากถาม
เซ้าซี้ เมื่อถึงเวลาก่อนเข้านอนเราตั้งจิตอธิษฐานขอเทวดาคุ้มครองและเริ่มสวดมนต์ ทันใดนั้นเสียง ฮึก ฮึกเหมือนคนร้องไห้ก็เล็ดเข้าหูแล้วตามด้วยเสียง กร๊อง แกร๊ง เราลืมตาโพล่งและกระเด้งตัวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงทันที ความรู้สึก
มันสัมผัสได้เองว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เป็นไปไม่ได้ว่า
จะมีเสียงแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำกัน นอกจากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ที่เคยกระทำสิ่งนั้น ๆ และกลับมาทำซ้ำ ๆ ในเวลาเดิม
เราเริ่มตัวสั่นเพราะเสียงโลหะที่กระทบกันยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนกับเรียกร้องความสนใจให้เราต้องออกไปดู
แล้วเราออกไปไหมคะ? ตอบ... ไม่ค่ะ! ใครจะกล้าออกไปคือเราไม่รู้ว่าถ้าออกไปแล้วจะต้องเจอกับอะไร ถ้าเราพูดไทยเขาจะฟังรู้เรื่องไหม แต่ถ้าจะให้เราพูดอังกฤษ เขาคงฟังเราไม่รู้เรื่อง ดังนั้นเราจึงเรียกน้องมาอยู่เป็นเพื่อนและฝากน้องไปบอกสิ่งที่อยู่ข้างนอกด้วยว่าอย่ารบกวนกันเลยเรากลัว ไม่ทันขาดคำเสียงก็เงียบไป แอบคิดในใจสงสัยโดนน้องเราเล่นซะแล้ว ว่าแล้วก็คลุมโปงนอนต่อจนถึงเช้า
เช้าวันนี้หลังจากกินอาหารในถุงหิ้วเสร็จแล้ว
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เราจะไปดูในครัวหลังจาก
ได้ยินเสียงแว่วเมื่อคืน ภายในครัวที่มีเพียงเตา
แก๊ส หม้อ กระทะอย่างละ 1 ใบและถ้วยจาน
ช้อนส้อมอย่างละ 1 ชุด นอกนั้นก็ไม่มีอะไร
ผิดปกติ จริง ๆ แล้ว เราแทบจะไม่ได้ใช้งานใน
ครัวเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากปกติกินข้าวที่ร้าน
กลับมาก็ดึก แต่ที่สะดุดตาคงหนีไม่พ้นตะหลิว
สแตนเลสที่วางอยู่ข้างเตา ใครเอามาวาง?
เป็นไปไม่ได้ที่จะวางตรงนี้ มันควรอยู่ในลิ้นชักกับช้อนส้อมไม่ใช่อยู่ข้างเตาแก๊ส! เรารีบเก็บตะหลิว
เข้าลิ้นชักพร้อมทั้งรีบเดินออกมาจากบ้านตัดสินใจปั่นจักรยานออกมาทันที ระหว่างทางพลางคิดว่า
สิ่งที่เห็นคืออะไร
1. วิญญานที่มาส่งเสียง ฮึก ฮึก แล้วหยิบตะหลิวมาเคาะเตา ถ้าเป็นอย่างนั้นจะทำไปเพื่ออะไร? หรือเรา
กำลังเผชิญหน้ากับผีกุ๊ก?
2.มีคนแอบเข้าบ้านมาทำอาหารกินแล้วออกไปในตอนเช้าก่อนเราตื่น
ในวันนั้นระหว่างอยู่ที่ร้าน เราได้หาโอกาส
เล่าให้แม่นำฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในหลาย ๆ คืน
ที่ผ่านมา แม่นำบอกว่าเราคิดมากหรืออาจจะเหงาและแปลกที่ก็ได้ ส่วนเรื่องป้าจูลี่ข้างบ้าน แม่นำ
บอกว่าไม่ใช่บุคคลอันตราย ผูกมิตรกับแกไว้น่ะดีแล้ว... หราาาาาา เล่นมาแอบดูเราทุกคืนแบบนี้
ใครจะกล้าผูกมิตรด้วยล่ะ จริงไหม?
เราลองสังเกตดูทุกครั้งที่เราสวดมนต์แผ่เมตตา ในคืนนั้น
เราจะได้ยินเสียง ฮึก ฮึก กร๊อง แกร๊ง แต่หากคืนไหนที่เรา
ไม่สวดมนต์ เราจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยและเสียงจะถี่มาก
น้อยแค่ไหนก็คงขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้กระทำ เราทำได้
เพียงนั่งฟังนอนฟัง และรอเวลาที่เสียงจะมาเท่านั้นเอง
ครั้งหนึ่งเราเคยพูดก่อนสวดมนต์ว่า ถ้าหากการสวดมนต์
แผ่เมตตาในครั้งนี้จะเป็นการรบกวนผู้ที่อาศัย ณ ที่แห่งนี้
เราต้องขอโทษและเราไม่มีเจตนาจะสวดเพื่อทำร้ายใคร
เกิดอะไรขึ้นต่อรู้ไหมคะ? เสียงยังคงมาเหมือนเดิมเพิ่มเติม
คือดังขึ้นและนานขึ้น นั่นหมายความว่าเขารับรู้ในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเขาสื่อสารอะไรออกมา
พอใจหรือไม่พอใจ? ความเชื่อที่ว่าผีต่างชาติฟังภาษาไทย
ไม่ออก สถานการณ์ของเราสามารถหักล้างความเชื่อนั้นได้
หรือไม่แน่เขาอาจรับรู้ได้จากเจตนาของเรา?
วันหนึ่งแม่ไลน์มาบอกว่าอย่าลืมสวดมนต์นะวันนี้ที่ไทย
เป็นวันพระ ถ้าหาพวงมาลัยได้ก็จะดี โธ่แม่จ๋าหนูจะหา
พวงมาลัยมาจากไหน คืนนั้นก่อนนอนเราจัดแจงที่นอน
เตรียมสวดมนต์ ในใจก็หวั่นว่าถ้าคืนนี้สวดแบบเต็มบท
ชินบัญชร มันจะเป็นการรบกวนเขาไหม เราคิดกลับกันว่า
ในแต่ละที่เขาคงมีเจ้าของที่อยู่ก่อนแล้ว เราเป็นผู้มาทีหลัง
จึงไม่ควรรบกวนเจ้าของเดิมหากแต่ขออยู่ด้วยกันด้วยความ
สงบดีกว่า สรุปคืนนั้นเราตัดสินใจไม่สวดมนต์ และแล้ว
เจ้าของที่ก็ออกมาทักทายเราจนได้ เรามั่นใจมากว่า
สิ่งที่เราเห็นนั้นคือเจ้าของเสียงบ้านหลังนี้ ทำไมเราถึงมั่นใจขนาดนั้นคะ มาดูกัน...
เข้ามาประชิดเตียงแล้ว
เอื้อมมือมาจับแขนเรา จากนั้นก็เขย่า... เขย่า... พร้อมเสียง
ฮึก ฮึก เหมือนคนสะอื้นร้องไห้ เราตะโกนออกมาเสียงดังว่าปล่อยหนู! ปล่อยหนู! แต่เขากลับจับแขนเราแรงขึ้นกว่าเดิม
และบีบแน่นขึ้นจนเรากรี๊ดสะบัดแขนแล้วเราก็ตื่น!!!
เหงื่อเราออกท่วมตัวในตอนนั้น เราไม่กล้าหลับตาได้แต่ยกมือไหว้ท่วมหัวน้ำตาไหลแล้วพูดว่าต้องการอะไร ทำไมไม่มาบอกกันดี ๆทำร้ายกันแบบนี้ทำไม ฮือ... กลายเป็นเราที่นั่งร้องไห้สะอื้นแทน...
เช้าวันต่อมาเราไม่ต้องไปร้าน ตาเราโหลมากเพราะตั้งแต่
สะดุ้งตื่นกลางดึกเราก็ไม่นอนอีกเลย เรารีบวิ่งมาเผิดประตู
บ้านแต่เช้าคาดหวังว่าหากแม่นำมาแขวนอาหาร เราจะบอก
แม่นำว่าเราเจออะไร แต่รอจนแล้วจนรอดถึง 10 โมง แม่นำ
ก็ไม่มา เราจึงรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาหน้าห้องมองไปรอบ ๆ
เผื่อถุงจะปลิว ปรากฏว่าไร้วี่แววแม่นำ หรือว่าวันนี้เป็น
วันหยุดแม่นำจึงไม่นำอาหารมาแขวนให้ เราจึงตัดสินใจ
ไปอาบน้ำซึ่งต้องเดินผ่านห้องครัว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้
ที่จะเลี่ยงสายตา และแล้วสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจมากว่าใน
บ้านหลังนี้ไม่ได้มีแค่เราที่อาศัยอยู่ที่นี่คนเดียวนั่นก็คือ
ตะหลิวที่เราเก็บใส่ลิ้นชักถูกนำออกมาวางไว้ข้างเตาแก๊ส!!!
เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้เพราะเราเก็บตะหลิวเอง
กับมือ เราหยุดนิ่งมองดูตะหลิวใจนึงก็กลัวแต่อีกใจก็คิด
อยากจะพิสูจน์อะไรสักอย่าง เราจึงหยิบตะหลิวขึ้นมาและ
ลองนำมาเคาะกับเตาแก๊ส ปรากฏว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็น
เสียงเดียวกับที่เราได้ยินเกือบทุกคืน กร๊อง แกร๊ง...
เสียงสะท้อนของตะหลิวที่กระทบกับเตาแก๊สดังกังวาล...
เราวางตะหลิวไว้ข้างเตาแก๊สในลักษณะเดิมและพูดว่า
"หนูรู้แล้วนะว่าคุณอยู่ที่นี่ อยากได้อะไรบอกกันดี ๆ
อย่าทำร้ายกันอีกเลย"
จากนั้นเราจึงเดินออกมานั่งหน้าบ้านพินิจพิเคราะห์
ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ในตอนนั้นเราไม่กล้าแม้แต่
จะเล่าให้แม่นำฟังอีกครั้ง เพราะกลัวเขาจะว่าเราบ้า
เพราะบ้านหลังนี้อย่างไรก็เป็นบ้านของเขา แม้เรา
จะมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่ามันต้องมีอะไร
อยู่ในนั้นนอกเหนือจากเรา แต่เราก็พยายามหลอก
ตัวเองให้คิดกลับกันว่าไม่มีอะไร เพราะเราจะต้อง
กลับมาอยู่ที่นี่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หากเรามอง
ที่นี่เป็นแง่ลบเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร?
เรามีเพื่อนที่รู้จักอยู่ในเมืองนี้หนึ่งคน เป็นเพื่อนที่เรา
เคยพาไปเที่ยวเมืองไทย เพื่อนเราค่อนข้างเชื่อกับสิ่ง
ที่เราเล่าและเสนอแนวทางให้เราไปพักอยู่ที่บ้านเขา
จนกว่าจะเดินทางกลับไทย แต่เราปฏิเสธเพราะเขา
เป็นผู้ชาย และอีกอย่างเหตุผลในการย้ายบ้านก็ฟัง
ไม่ขึ้นถ้าเราจะไปบอกแม่นำ เราจึงเปลี่ยนแผนและ
เลือกเดินไปหาบ้านข้าง ๆ นั่นก็คือ ป้าจูลี่...
ไม่รู้ทำไมถึงต้องเป็นป้าจูลี่ แต่ตอนนั้นเราคิดอะไรไม่ออก
ก็นึกถึงป้าแกไว้ก่อนถึงแม้ว่าป้าจะชอบทำตัวแปลก ๆ
แอบดูเราทุกครั้งที่เราจอดจักรยานก็เถอะ เรากดกริ่ง
อยู่สักพักประตูก็ถูกเปิดแง้มออก เราทักทายป้าพร้อม
บอกว่าเรามีปัญหาต้องการความช่วยเหลือ ป้าจูลี่ไม่
ถามเราสักคำว่าต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่ป้า
กลับเปิดประตูออกกว้างขึ้นและกล่าวเวลคัมเราเข้าบ้าน
เราเดินตามป้าเข้าไปนั่งรอในห้องโถงเล็ก ๆ ก่อนป้าจะนำ
แอปเปิ้ลพร้อมนมมาเสิร์ฟ เรากล่าวขอบคุณพร้อมเล่าให้
ป้าฟังว่าเราฝันและพบเจอกับอะไรในบ้านหลังนั้น ป้าจูลี่
ทำหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วเอ่ย "เขามาให้เธอเห็นแล้วหรอ?"
กรี๊สสส!!! เขาที่ว่าคือใครคะป้า? ป้าไม่ตอบแค่ส่ายหน้าแล้ว
ไล่เรากลับบ้าน! ปัดมือเหมือนปัดแมลงวันตอมขรี้...
อ้าว เงิบสิคะ เราก็จำเป็นต้องออกจากบ้านป้าแล้วกลับมา
ยืนมองหน้าบ้านตัวเองพลางคิดจะเอายังไงต่อดี?
เราจึงเปลี่ยนแผนอีกรอบโดยการนัดเจอกับเพื่อน
แล้วออกไปเที่ยวกัน เราเลือกกลับเข้าบ้านในเวลา
ประมาณตีหนึ่งซึ่งจะทำให้เรามีเวลาอยู่ในบ้านเพียง
แป๊บเดียวคิดแค่ว่าเดี๋ยวก็เช้าแล้ว ก่อนเพื่อนจะกลับ
ก็ถามเราว่าแน่ใจใช่ไหมที่จะนอนที่นี่คืนนี้เราพยักหน้า
ใจตอนนั้นฮึกเหิมมากคิดแค่ว่าจะเอาตะหลิวมาเคาะ
หลอกฉันทั้งคืนก็เชิญ ทำได้มากสุดก็แค่มาเข้าฝันฉัน
เท่านั้นแหละ ก่อนลงจากรถเพื่อนสะกิดบอกอีกนิดว่า
เธอระวังตัวหน่อยนะฉันเห็นเงาคนมองเธออยู่
เรารีบหันขวับ!!! ป้าจูลี่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ นี่มันตีหนึ่งแล้วทำไม
ป้ายังไม่น๊อนนนนน!!! เราไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนแค่ยิ้มรับ
แล้วเดินจากมา ป้าจูลี่ยังคงมายืนดูเรากลับถึงบ้านทุกคืน
พอเรามาป้าก็จะเปิดไฟแล้วยืนแอบหลบมุมโผล่ลำตัวมา
แค่ครึ่งเดียว และทุกครั้งเราก็พยายามโบกมือทักทาย
แต่ป้าก็จะปิดไฟทันที พักหลังเราจึงไม่สนใจอยากมอง
ก็มองไปเลย บางครั้งเราแกล้งป้าพอเราถึงบ้านปุ๊ปก็แกล้ง
ยืนนิ่งอยู่ตรงจักรยานไม่ขยับไปไหน อยากรู้ใครจะทน
ได้นานกว่ากันก็เอาสิ ป้าก็เปิดไฟยืนดูเราจนป้าทนไม่ไหว
ก็ปิดไฟหายไปเอง คือป้าต้องการอะไรจากเร๊า? (เสียงสูง)
ก่อนนอนคืนนั้นเราเลือกไม่สวดมนต์ ถึงแม้ในใจอยากจะ
ท้าทายอำนาจมืด แต่ก็ยังเชื่อสุภาษิตไทยที่ว่า ไม่เชื่ออย่า
ลบหลู่อยู่ดี... เหงื่อที่ไหลออกตามไรผมและแผ่นหลังทำให้
คืนนั้นเรานอนหลับไม่สนิทพลิกตัวไปมาหน้าร้อนผ่าววูบ ๆ
ลุกขึ้นดูอุณหภูมิแอร์ที่เปิดต่ำกว่า 20 องศา แต่ทว่าความเย็นของแอร์ไม่สามารถทำให้เรานอนหลับได้สบายเลย เราลุก
ขึ้นมานั่งด้วยอารมณ์หงุดหงิดด้วยความที่ว่านอนก็ดึกแล้วยังนอนไม่หลับอีกหรอ ความคิดแวบแรกที่เข้ามาในหัวคือต้องมีอะไรแกล้งเราแน่ ๆ อากาศเย็นขนาดนี้แต่เหงื่อออกท่วมตัว
มันเป็นอะไรที่ขัดแย้งกันมาก เราผุดลุกผุดนั่งจนทนไม่ไหว
มองนาฬิกานี่เพิ่งจะตีสอง เอาสิอยากทำอะไรก็ทำ เราไม่นอนก็ได้เดี๋ยวก็เช้าแล้ว เราตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาเปิดยูทูบ
และเราก็หลับไปตอนไหนไม่ทราบ ความรู้สึกมันวูบหายไปเลย... รู้สึกตัวอีกทีคือร้อนหน้าผ่าว ร้อนแบบเหมือนอยู่ใกล้เปลวไฟ ร้อนมากจนเริ่มแสบ เหงื่อไหลพรั่งพลูออกมา...
ฮึก ฮึก รอบนี้เสียงใกล้หูกว่าเดิม เราพยามลืมตาแต่ลืมไม่ขึ้น
เรารู้สึกตัวทุกอย่าง ได้กลิ่นได้ยินแค่มองไม่เห็นเท่านั้น ฮึก ฮึก ตามมาด้วยเสียง กร๊อง... แกร๊ง...
นึกถึงเสียงแม่ค้าผัดกะเพราแล้วเคาะกระทะเสียงแบบนั้นเลย กร๊อง... แกร๊ง...
เสียงมาใกล้หูเรามาก มากซะจนได้กลิ่นไหม้ กลิ่นเหมือนมีของไหม้ สภาพเราตอนนั้นความรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกเผา เรานอนอยู่ที่เตียงได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจน พยายามลืมตาแต่ทำอย่างไรก็ลืมไม่ขึ้น มันหนักอึ้งไปหมด ความร้อนจากอะไรไม่ทราบมันแผดเผาเราจนแสบหน้า เราพยายามดิ้น ปากก็ร้องตะโกนแม่! แม่! แล้วก็ตะโกนเรียกน้องสุดเสียงช่วยด้วยยยยย ส่วนมือเราก็พยายามปัดอากาศเพื่อปัดไอร้อนออกจากหน้า
ก่อนที่เราจะสามารถลืมตาได้นั้น มือเราก็ปัดไปโดนกับวัตถุอย่างหนึ่งที่แข็ง แล้วเราก็ลืมตาเฮือก!!! เรานอนมองเพดานที่สูงซะจนไม่สามารถเอื้อมมือไปแตะได้
รอบข้างไม่มีแม้แต่โต๊ะข้างเตียง แล้ววัตถุที่เราปัดโดนเมื่อตะกี๊คืออะไร? เรากระเด้งตัวนั่งในทันทีลุกเปิดไฟในห้องนอน ส่องกระจกดูหน้าตัวเอง ไม่ปรากฏแม้รอยไหม้ เรื่องนี้เราไม่ต้องสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เราพุ่งเป้าไปที่บุคคลหนึ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้ร่วมกับเรา และในเมื่อหนียังไงก็หนีไม่พ้น ดังนั้น หนทางเดียวที่จะขจัดความกลัวออกไปได้นั่นก็คือ เดินหน้าเข้าหาปัญหาและไม่วิ่งหนีอีกต่อไป เรามองนาฬิกาบอกเวลาตีสี่ เราจึงลุกมานั่งแล้วรอเวลาอันสมควรที่จะเอาคืน!!!
555 ตอนนั้นน่ากลัวก็ต้องทนค่ะ เราไม่มีทางเลือก
เผื่อมีคนถามทำไมไม่ไปนอนกับแม่นำ เพราะที่บ้านแม่นำมีลูกสาว 2 คน และมีลูกจ้างที่ร้านมานอนอยู่ด้วยแล้ว รวม ๆ ก็ประมาณ 7 คนได้ นี่แม่นำถือว่าเราเป็นลูกเพื่อนสนิทเลยได้อภิสิทธิ์พิเศษ บ้านหนึ่งหลัง รถจักรยานหนึ่งคันนะคะ แค่นี้ก็บุญโขเลยค่าาา
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเช้า เราไม่สนใจว่าจะมีถุงหิ้วมาแขวนไว้ที่หน้าประตูหรือไม่
เราเดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวเล็ก ๆ ที่ไม่เคยแม้แต่จะเข้ามาทำอาหารกิน เราเพ่งสายตา
ไปยังเตาแก๊สเพื่อมองหาเป้าหมายในการเอาคืนครั้งนี้ ไม่ปรากฏเป้าหมายของเรา
เราจึงเปิดลิ้นชักที่เก็บช้อนส้อมและคาดหวังว่าจะเจอกับสิ่งที่เรากำลังตามหา... บิงโก!!!
มันอยู่ในนี้ มันถูกวางไว้เหมือนไม่เคยถูกหยิบใช้มาก่อน เราหยิบมันออกมาจับให้ถนัด
ด้วยมือขวา แล้วค่อย ๆ บรรจงเคาะให้เข้าจังหวะกับเตาแก๊ส กร๊อง... แกร๊ง...
อืมเสียงเพราะกังวาลดีจังเลยนะ ถ้างั้นก็ขอให้เสียงเพราะแบบนี้ตลอดไปนะ
กร๊องงงงงงงง... แกร๊งงงงงงง... กร๊อง... แกร๊ง... กร๊อง...แกร๊ง...
เรากระหน่ำเคาะ ไม่ใช่เคาะสิ ต้องเรียกว่าฟาด เรากระหน่ำฟาดมันลงไปกับเตาแก๊สอย่างบ้าคลั่ง
ตอนนั้นเราเหมือนสติหลุด โมโหก็โมโหกลัวก็กลัว
ก๊อก!!! เป้าหมายของเราหัวเบี้ยวไปแล้ว สภาพดูไม่ได้เลย ดังนั้นเราจึงเอามันเก็บใส่ลิ้นชักไว้ตามเดิม
แล้วเปิดประตูออกมาหน้าบ้าน ปรากฏว่ามีถุงอาหารแขวนไว้หน้าบ้านเช่นเคย เราคว้าถุงนั้นแต่คราวนี้
ไม่ได้กินในบ้าน เราคว้าถุงแล้วปั่นจักรยานตรงดิ่งมาที่ร้านทันที
เราอยู่ที่ร้านด้วยความอ่อนล้า หนังตาทำท่าจะตกลูกเดียว เพื่อนสาวชาวไทยกระซิบถามนอนมาน้อยหรอ เราบอก
อืมแทบไม่ได้นอนเลยต่างหาก เมื่อถึงเวลาเลิกงานเพื่อนสาวชาวไทยที่พักอาศัยอยู่กับแม่นำบอกว่าจะเดินกลับพร้อมกับเรา ทำให้เราต้องจูงจักรยานคุยไปจนถึงบ้าน ระหว่างทาง
เพื่อนสาวชาวไทยเปิดคำถามว่านอนที่บ้านเช่าหลังนั้นไม่เจออะไรเลยหรอ? เราตาค้างในทันทีแต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร
ชีก็ยิงคำถามมาอีกชุด รู้เรื่องอะไรบ้างหรือเปล่า?
อือ... เราไม่รู้จริง ๆ มีอะไรหรอ? เราถามกลับ แต่ชีก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เราฟังแถมยังช่วยจูงจักรยานมาจนถึงหน้าบ้าน แต่พอมาถึงหน้าบ้านเราเท่านั้นแหละ ชีก็ทำท่าสะดุ้งโหยง
ก่อนจะพูดว่า "แถวนี้ที่มันแรงจริง ๆ" พูดเสร็จชีก็รีบเดินจากไป... ค่ะ!!! พูดซะขนาดนี้เราจะทำยังไงคะ
จะก้าวขึ้นบันไดหรือจะแบกหน้าไปทางอื่นดี
เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้วอีกหน่อยก็ต้องมาอยู่ที่นี่
ทำใจดีสู้เสือไปเลยละกัน คิดได้ดังนั้นก็กลับหลังหันเตรียมขึ้นบันได ขวับ!!!
ปะ ปะ ป้าจูลี่ ๆ ๆ ๆ ๆ
เฮ้อ... ป้าจูลี่จะรู้บ้างไหมนะว่าในแต่ละคืนหนูต้องเจอกับอะไรบ้าง นี่ถ้าคืนไหนกลับบ้านแล้วไม่เจอป้าจูลี่นี่คงเป็นเรื่องผิดปกติแน่เลย เพื่อนนะเพื่อน ปล่อยให้เรายืนงงงันอยู่หน้าบ้านกับป้าข้างบ้านในเงามืดอีกหนึ่งคนจนได้
ในคืนนี้เราไม่ได้อาบน้ำ เมื่อถึงห้องนอนแล้วตัดสินใจล้มตัว
ลงนอน หยิบโทรศัพท์มาดูเวลา ป่านนี้ที่ประเทศไทยก็ดึกมากอยากจะคอลไลน์กลับไปหาแม่จังแต่แม่คงนอนหลับแล้วล่ะ
เราพยายามหากิจกรรมอื่น ๆ ทำเพื่อต้องการลืมและไม่อยากจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ แต่ร่างกายก็ฝืนไม่ไหว
จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไปเอง...ดึกดื่นค่อนคืนเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงโลหะกระทบกัน มีแต่เสียงสะอื้นที่เราคุ้นหูเป็นอย่างดี พลางอมยิ้มกระหยิ่มในใจ เสียงสะอื้นนั้นก็ค่อย ๆ เบาลงและเงียบหายไป ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ มวลความร้อนเริ่มแผ่เข้ามาในห้องอีกครั้ง เรานอนดิ้นส่ายหน้าไปมาด้วยความแสบร้อนแต่คราวนี้แขนของเราหนักอึ้งพร้อมกับตาที่ลืมไม่ขึ้น มีแต่ช่วงขาที่เรายกขึ้นกระทืบเตียง ปัง ปัง ลมร้อนยังคงปะทะที่ใบหน้า เราพยายามยกแขนตัวเองขึ้นมาต้องการที่จะปัดไล่ลมร้อนที่แผ่อยู่บริเวณใบหน้าของเราแต่ทำเท่าไหร่ก็ยกแขนไม่ขึ้นเหมือนกำลังยื้อยุดฉุดแขนตัวเองสุดแรงเกิดจนสุดท้ายเราก็ตะโกนออกมาว่าดัง ๆ ว่า
"กลัวแล้ววววววววววว" เท่านั้นแหละลืมตาโพล่งได้ทันที แขนเหมือนถูกปลดจากพันธนาการ และด้วยความสัตย์จริง ใครเคยอยู่ในสถานการณ์ที่กลัวตายหรือตกใจสุดขีดแล้วฉี่ราดไหมคะ? 555 คิดต่อเองละกันเนอะ ตอนนั้นเรานอนหลับทั้งน้ำตาเลย... เสียงนาฬิกาปลุกทำให้เราตื่นงัวเงียขึ้นมา เราเลือกเก็บงำเรื่องนี้ไม่เล่าให้แม่ฟังเพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ไม่เล่าให้แม่นำฟังเพราะไม่อยากให้เขาว่าเราบ้า ไม่เล่าให้ป้าจูลี่ฟังเพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากมายืนดูเราในทุก ๆ คืน จะว่าไปแล้วเราก็ยังมีชีวิตรอดอีกหนึ่งวัน มีสติได้มานั่งทบทวนว่าเราได้ทำอะไรที่พลาดพลั้งจนทำให้ใครไม่พอใจไปบ้าง? เราคิดมาตลอดว่าการสวดมนต์จะช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้าย แต่ก็ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะแท้จริงแล้วการสวดมนต์คือการทำให้เรามีสติ รู้จักคิดวิเคราะห์แยกแยะอย่างฉลาดและมีเหตุผล เมื่อมาผนวกกับสถานการณ์ที่เราเจอทำให้เราสามารถแยกแยะสถานการณ์ได้
- หากสวดมนต์ เราจะเจอในรูปแบบเสียง
- หากไม่สวดมนต์ เราจะเจอในรูปแบบ รูป รส กลิ่น เสียง
ทำตัวไม่ถูกเลยว่าจะเลือกแบบไหนดี?
ในคืนต่อมาเราลืมตาขึ้นมานอนฟังเสียง ฮึก ฮึก
ถามว่ากลัวไหมตอบ... กลัวค่ะ!!! แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเป็นความเคยชินว่าจะมาอะไรกันนักกันหนา มาอยู่ได้ทุกคืน! อีกอย่างเราไม่มีคนกลางหรือสื่อกลางที่จะทำให้รับรู้ได้เลยว่าเขาต้องการอะไร เราเลือกนอนลืมตาฟังอย่างเงียบ ๆ แล้วเสียงก็ค่อย ๆ หายไป นี่คงเป็นผลพวงมาจากการสวดมนต์ในคืนนี้ที่ทำให้เรามีสติมากขึ้น สติในการคิดพิจารณาว่าหากแยกออกจากกันไม่ได้ก็ควรที่จะสงบศึกและอยู่กันด้วยความเข้าใจ การอธิษฐานจิตถึงใครสักคนที่เป็นเจ้าบ้านให้เขารับรู้ว่าเราขอโทษถ้าเราทำลายของ ๆ เขา เราขออโหสิกรรมถ้าเราลบหลู่เขา เราขอให้ยกโทษให้ถ้าเราปากดีท้าทายเขา ทั้งหมดทั้งมวลนี้เราขอแค่มาอาศัยอยู่ด้วยในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่หากในอนาคตมีความจำเป็นต้องได้มาอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ขอให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบและให้คุณเราเราก็จะให้คุณเขาด้วยการทำบุญตามวิถีไทยพุทธ เคยไปกรรมฐานกับหลวงพ่อสายวัดป่าท่านว่า "บุญกุศลใด เราสามารถอุทิศให้ถึงแก่ผู้รับทั้งที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี อยู่เมืองไทยก็ดี อยู่ต่างประเทศก็ดี คนไทยก็ดี ฝรั่งมังค่าก็ดี สรรพสัตว์ก็ดี แลผีเปรตก็ดี หากเราตั้งใจให้แก่เขาแล้ว อย่างไรก็ดีเขาย่อมได้รับบุญนั้นจากเรา"
เรื่องนี้ไม่มีคำตอบชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลปริศนาในบ้านหลังนี้ มีเพียงข้อสันนิษฐานของเราที่ปะติดปะต่อเรื่องราวเองจากปากเพื่อนสาวชาวไทยที่สุดท้ายยอมทนลูกตื๊อเราไม่ไหวจนหลุดปากเล่าให้เราฟังว่าบ้านหลังนี้เคยมีอดีตพ่อครัวที่ทำงานอยู่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนมาเช่าอยู่กับภรรยาและเกิดหัวใจล้มเหลวขณะกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ไฟที่กำลังลุกโชนกระทะที่แห้งทำให้ภรรยานั้นได้กลิ่นเหม็นและวิ่งเข้ามาดู แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือสามีได้ทันเพราะเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ศพได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากบ้านพร้อมกับภรรยาทำการยกเลิกสัญญาเช่าและเก็บข้าวของออกไป ส่วนสิ่งของคู่ใจที่เขาเคยหยิบจับมันทำอาหารให้กินเมื่อครั้งยังมีชีวิตมันก็ยังคงอยู่ที่เดิม คงเพื่อเป็นการระลึกถึงอดีตสามีผู้ล่วงลับไปแล้วและคงเป็นการเตือนความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเธอนั้นเคยอร่อยกับอาหารของเขามากแค่ไหน ในวันสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย เราได้เข้าไปร่ำลาป้าจูลี่และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ป้าจูลี่ยอมพูดกับเราเป็นประโยคยาว ๆ ก่อนกลับว่า
"อาหารที่เธอกินน่ะ ไม่ใช่ของเธอนะ ฉันเอาไปแขวนให้สามีฉันกิน" ปะ ปะ ป้าจูลี่ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
และอีกไม่เกินปีเราก็จะกลับไปที่นั่นอีก และมีโอกาสสูงที่จะได้พักอยู่ที่เดิมอยู่ใกล้กับป้าจูลี่อีกเหมือนเคย หากมีความคืบหน้าในเรื่องนี้อีกในอนาคตเราจะมาเล่าเพิ่มเติมนะคะ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น น้ำตาจะไหลไม่คาดคิดว่าจะมีคนมารออ่านด้วย ขอบคุณจากใจจริงค่ะ.
เดี๋ยวขอเบลอภาพบ้านแล้วจะมาอัพให้ดูนะคะ แต่อย่าเอ็ดไป ปัจจุบันบ้านหลังนี้แม่นำก็ยังไม่ได้ปล่อยเช่าเพราะจะเก็บไว้ให้เราไปอยู่ค่ะ.
เรื่องจากพันทิป ป้าจูลี่ (คิดชื่อเรื่องไม่ออก เอาเป็นชื่อนี้ไปก่อนละกัน)
เรื่องโดย TharaJF
ควายอีเหลียม
"ควายอีเหลียม" จากประสบการณ์จริงของสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่น่ากลัวมากนัก แต่เป็นความผูกพันระหว่างคนและความ ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เมื่อสมัยเรายังเด็กน้อย ทุก ๆ ปิดภาคเรียนพ่อแม่มักจะส่งไปอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัด เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับญาติผู้ใหญ่
ไปอยู่เหนือบ้างอิสานบ้าง ในวัยเด็กพวกเรามักจะเล่นกันสนุกสนานจนลืมเวลา ทำให้ตายายต้องถือไม้เรียวมาตามเข้าบ้าน
เป็นประจำ ยิ่งเวลาปิดเทอมช่วงฤดูหนาวก็จะได้เจอกับการก่อกองไฟผิงอยู่หน้าบ้านแล้วเอามัน เอาเผือกมาอังไฟกินร้อน ๆ
ยายเป่าเผือกให้ฟู่ ๆ แล้วป้อนใส่ปากเราคำ ใส่ปากน้องชายคำ มันอร๊อย อร่อย ^^ เช้ามาตายายพาจูงควายเข้านา มีลูกควาย
เดินตาม น้องชายก็ขี่หลังควายไปนา แลดูรักควายตัวนี้มาก พร้อมตั้งชื่อให้ว่า “อีเหลียม” เราก็วิ่งนำหน้าลิ่ว แวะดูรูปูนาตามคันนา
เอามือแหย่รูปู ปูหนีบมือ ร้องไห้โฮ 555
เรื่องที่จะเล่าวันนี้เกี่ยวกับควายที่ชื่อ อีเหลียม ขอใช้คำว่าอีเหลียมเพราะในภาคอิสานเรียกอีแบบนี้ก็ไม่ใช่คำหยาบอะไร
น้องชายเรายังเด็กมากตอนที่ขี่หลังอีเหลียม แต่อีเหลียมก็เหมือนจะเข้าใจภาษาคน มันจะนั่งลงให้น้องชายเราปีนขึ้น
แล้วค่อย ๆ เดินจากบ้านไปนา มันก็ดูรักน้องชายเราเหมือนกัน ใครว่าควายวิ่งเล่นไม่เป็นไม่เชื่อหรอกเพราะอีเหลียมนี่แหละ
ที่มันวิ่งเล่นกับน้องชายเราตอนเด็ก อาจจะเพราะวัยใกล้เคียงกัน อีเหลียมเป็นลูกควายที่อายุไม่กี่ปี ความเป็นเด็กของมันยังมีอยู่
แต่มันไม่ได้วิ่งเล่นด้วยความปราดเปรียวเหมือนสุนัขหรือสัตว์ชนิดอื่น เพราะควายเป็นสัตว์ที่เชื่องช้า กว่าจะก้าว กว่าจะอ้าปาก
และเมื่อใกล้เปิดเทอมก็ถึงเวลาล่ำลา น้องชายมักจะเข้าไปในคอกแล้วกอดหอมแล้วบอวก่า “ปิดเทอมจะกลับมาใหม่เด้อ”
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลานแต่ละคนก็โตขึ้น ปิดเทอมบางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านยาย เพราะบางครั้งก็กลับบ้านปู่ย่าที่เหนือบ้าง
ดังนั้นจึงไม่ได้กลับบ้านยายที่อิสานในทุกสามเดือนอีกแล้ว จะเหลือแค่ปีละครั้งหรือนานทีครั้ง ซึ่งเมื่อพวกเราโตขึ้นและ
กลับบ้านยายก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ไปเล่นกับควายหรือไปนาเพราะมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ทำอีกเยอะแยะไปหมด
เมื่ออีเหลียมอายุได้ประมาณ 5 ปี ถือว่าเป็นช่วงที่โตเต็มวัยใช้แรงงานได้เต็มที่ เรากับน้องชายก็ได้ไปบ้านยายอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้ น้องชายเราก็โตตามวัยใกล้เคียงกับควาย (ไม่แน่ใจอายุควายนับแบบไหน) เมื่อไปถึงทักทายตายายหอมกอด
จนพอใจ พวกเราก็ลงจากบ้านไม้ยกพื้นแล้วอ้อมไปทางด้านหลังของบ้าน ก็เจอกับคอกควายซึ่งมีควายอยู่ 3 ตัว ขนาด
ไล่เลี่ยกัน ดูแล้วไม่เห็นความแตกต่างและจำไม่ได้เลยว่าอีเหลียมคือตัวไหน แต่ทันใดนั้น เมื่อน้องชายเราโผล่หน้าเข้า
ไปในคอก ปรากฏว่าควายตัวหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาหาแล้วยื่นจมูกมาปะทะกับหน้าน้องชาย เราก็ตกใจรีบคว้าแขนน้องชาย
ออกห่างจากคอก แล้วควายก็ส่งเสียงร้อง ออ ออ (ประมาณนี้) น้องชายก็สะบัดแขนเราออกแล้วมุดเข้าคอกควายวิ่งไปกอด
ควายตัวนั้นก็ร้อง ออ ออ แล้วพยักหน้าเอาจมูกถูตัวน้องชายเรา
“อีเหลียมแม่นบ่?” น้องชายเราลูบควายตัวนั้นพร้อมถามว่าใช่อีเหลียมหรือเปล่า
มันส่งเสียงร้อง ออ ออ แล้วยายลงมาก็บอกว่า เอ้า จำกันได้ด้วยหรอเนี่ย คิดว่าจะลืมหน้ากันไปแล้วซะอีก นี่คือสิ่งที่เราเห็น
ว่าควายเป็นสัตว์ความจำดี จริง ๆ
ปิดเทอมนี้พวกเราได้มาอยู่บ้านตายายที่อิสานประมาณ 3 อาทิตย์ น้องชายมักจะอาสาพาควายทั้งสามตัวไปนาทุกวัน
ตากับน้องชายจูงควายออกไปที่นาแล้วปล่อยให้กินหญ้าตามวิถีชีวิตดั้งเดิม ส่วนตาก็ทำนาหว่านข้าว น้องชายก็จะรอที่
เถียงนา (กระต๊อบ) พร้อมร้องเพลงให้ควายฟัง ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ส่วนเรายายมักจะพาไปทำขนมไทยห่อใบตอง
ที่ศาลากลางประจำหมู่บ้าน จะมีกลุ่มยาย แม่บ้าน และเด็กที่รู้เรื่องบ้างแล้วมานั่งห่อขนมใส่ใบตองแล้วจะมีคนเอาหาบ
ไปเร่ขายที่ตลาดตอนสาย ๆ เมื่อห่อขนมเสร็จบางครั้งเราก็เดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องนาคนเดียวบ้าง เดินเข้าไปหาตากับ
น้องชายบ้าง ระหว่างทางเจอรูปู ก็ยังไม่วายที่จะเอานิ้วแหย่รูปูเหมือนเดิม 555
ว่ากันต่อที่ควายอีเหลียม จริง ๆ แล้วควายเป็นสัตว์ที่ฉลาดมากนะคะ จากประสบการณ์ตรงที่ได้สัมผัสและน้องชายก็
ยืนยันอีกเสียงว่าฉลาดและจำคนเก่งจริง เพียงแต่ควายเป็นสัตว์ที่ช้าและพูดไม่ได้ (ก็ใช่น่ะสิ) ควายไม่ได้น่ารัก
ไม่ได้น่าลูบหัว ผิวไม่นุ่ม ถูกใช้แรงงานกลางแดดทำงานหนัก คนจึงเปรียบเปรยควายต่ำต้อยและไม่น่าเอ็นดู
แต่เรากับน้องชายไม่คิดเช่นนั้น ทุกครั้งที่พวกเราอยู่ใกล้ชิดควาย เรากลับรู้สึกเอ็นดูพวกมัน ลองมองเข้าไปที่ดวงตา
ของมันสิคะ จะเห็นว่าตาแบ๊วเหมือนใส่บิ๊กอายเลย เวลายิ้มมันจะทำปากจือแล้วแยกเขี้ยวแบบนี้
พวกเรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ควาย เมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานวันเข้าความผูกพันก็มีมากยิ่งขึ้น น้องชายก็เรียนรู้
ความเมตตาโอบอ้อมอารีมาจากควาย การได้ขี่หลัง พาไปเล่นโคลนอาบน้ำ กินหญ้า มันเป็นสิ่งที่ธรรมดาแต่ล้ำค่าใน
ความทรงจำมากสำหรับพวกเรา
ใกล้ถึงวันสุดท้ายที่ต้องอยู่ที่นี่ พวกเราต่างอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากควายทั้งสาม โดยเฉพาะอีเหลียม ควายที่น้องชาย
ตั้งชื่อแล้วเรียกมันว่า "พี่สาวสุดสวย" ดูมันก็รับรู้ถึงความเศร้าของน้องชายได้ มันมาเดินคลอเคลียส่งเสียงร้อง ออ ออ
แล้วฉีกยิ้มสะบัดหูสะบัดหาง น้องชายจึงได้หัวเราะอีกครั้ง ก่อนวันกลับน้องชายวิ่งไปกอดอีเหลียมแล้วกระซิบข้างหู
จากนั้นก็วิ่งมาขึ้นรถที่พ่อขับมารับจากกรุงเทพฯ ระหว่างทางเราถามน้องชายว่าคุยอะไรกับควาย น้องชายบอกด้วยเสียง
เศร้า ๆ ว่า "ข่อยสิมาหาใหม่เด้อ คึดฮอดเจ้าหลายเด๊" (เราจะมาหาใหม่นะ คิดถึงแกมาก ๆ)
สุดท้ายแล้วระยะเวลาก็สามารถเปลี่ยนใจคนได้ เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่านไปในแต่ละวัน ความทรงจำของเด็กน้อยที่มีต่อ
ควายก็เริ่มเลือนหาย แทนที่มาด้วยวิดีโอเกมส์และกิจกรรมบันเทิงที่แทรกเข้ามาอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต
มนุษย์นั้นลืมง่าย มีสิ่งต่าง ๆ คอยโน้มน้าวจิตใจให้หลงใหลไปกับสิ่งรอบตัว แต่สัตว์นั้นอยู่ที่เดิม ความทรงจำมีเท่าเดิม
และอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่เราและน้องชายเข้ามัธยม มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ติดกัน 3 วัน จึงถือโอกาสนี้กลับไปบ้านยายอีกครั้ง
โดยครั้งนี้พ่อและแม่ก็หยุดงานและเดินทางไปด้วยกัน ระหว่างเดินทางพวกเรานั่งระลึกความหลังเมื่อวัยเยาว์เกี่ยวกับบ้านยาย
แล้วมาฉุกคิดถึงควายที่ชื่ออีเหลียมว่าป่านนี้มันจะโตมีลูกไปแล้วหรือยัง หรือว่าจะแก่หงำฟันร่วงหมดปากไปแล้ว พูดแล้วก็พา
กันหัวเราะชอบใจ "ถ้าควายฟันร่วงแล้วมันยิ้มให้เราเหมือนตอนนั้น หน้าคงตลกมากเลยนะพี่" 555 พวกเรานั่งขำพลางนึกถึง
หน้าของมัน ตะวันใกล้ตกดินพวกเราก็เดินทางมาถึงบ้านยายที่ยังคงสภาพเป็นบ้านไม้ยกพื้นชั้นเดียว ใต้ถุนมีแคร่ไม้ไว้รับแขก
และหากมองลอดผ่านสุ่มไก่ใต้ถุนบ้านไปก็จะเห็นคอกควายที่มีกองฟางสุมความสูงท่วมคอกวางอยู่ ได้ยินแต่เสียงกระดิ่งที่เอา
ไว้สนตะพายที่จมูกของควายดัง กริ๊ง พร้อมกับเสียง ออ ออ เบา ๆ แต่พวกเราก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปไหว้ตายายและนั่งกินข้าว
กับอาหารพื้นบ้าน คุยเล่นอย่างสนุกสนาน จนเวลาล่วงเลยจึงได้จัดการอาบน้ำแล้วเข้านอน
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราไปวัดทำบุญกัน พ่อแม่ตายายแวะไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่และพูดคุยกันอยู่นาน เราและน้องชายจึงขอตัวเดินกลับ
มาที่บ้านกันก่อน ระหว่างทางมีงานบุญแห่เทียน พวกเราก็แวะดูขบวนแห่ มีนางรำ กลองยาว ชาวบ้านรุมล้อมดูขบวนแห่กัน
อย่างเนืองแน่น พวกเราก็อยู่ดูและมีเต้นไปตามจังหวะบ้าง จึงเป็นที่สนอกสนใจแก่ชาวบ้านแถวนั้นพอสมควร ผ่านมาจนถึง
เที่ยงวัน พวกเราวิ่งกลับไปที่วัดกันอีกรอบ พ่อแม่ตายายก็ยังนั่งคุยกับชาวบ้านในวัดอยู่เหมือนเดิม แม่กวักมือเรียกเรากับ
น้องชายให้มานั่งข้าง ๆ แล้วบอกว่าเดี๋ยวเราจะไปกินข้าวบ้าป้าหมายกัน นาน ๆ เจอกันทีวันนี้ต้องมีฉลอง พวกเราเล่นอยู่บ้าน
ป้าหมายกันทั้งวัน เนื่องจากพ่อแม่นาน ๆ กลับมาเจอเพื่อนทีก็มีสังสรรค์กันตามประสา กว่าจะกลับบ้านพวกเราก็หลับ ๆ ตื่น ๆ
ไปหลายรอบทีเดียว เมื่อกลับถึงบ้านยายทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยเตรียมตัวนอนน้องชายก็ถามเราว่า
"ตั้งแต่มายังไม่ได้ไปหาอีเหลียมเลยพี่ พรุ่งนี้ไปดูมันหน่อยเนอะ"
"ระวังมันยิ้มให้เห็นแต่เหงือกนะ ฮ่า ฮ่า" เราบอกพร้อมหัวเราะ
รุ่งขึ้นเราและน้องชายเดินลอดใต้ถุนบ้านไปยังทางหลังบ้าน จุดมุ่งหมายของเราคือคอกควายที่อยู่ตรงนั้น ซึ่งตอนนี้มีกองฟาง
และไม้ที่เอาไว้ทำถ่านวางสุมเต็มไปหมด ความสูงของกองฟางสูงกว่าพวกเราจึงทำให้ต้องชะเง้อและเอามือโกยกองฟางออก
ระหว่างที่กำลังโกยกองฟางก็ได้ยินเสียงกริ๊ง คลอมาเบา ๆ แสดงว่าควายขยับตัวแน่เลย พวกเรามองหน้ากันแล้วยิ้ม นึกตื่นเต้น
ที่จะได้เจออีเหลียมกับควายอีกสามตัวนั้น เมื่อโกยกองฟางออกให้พ้นศรีษะ พอมองคอกควายได้ในระดับสายตา ปรากฏว่า
ในคอกไม่มีควายสักตัว มีแต่ดินแห้งและเศษฟางเศษหญ้ากระจายที่พื้น พวกเรามองหน้ากันแล้วถามว่า "ควายหายไปไหน?"
น้องชายรีบวิ่งขึ้นบ้านไปหายายเพื่อถามว่าควายอยู่ไหน ยายตอบกลับมาว่า "ไม่มีควายแล้ว ยายขายควายไปนานแล้วลูก..."
น้องชายวิ่งลงมาหาเราที่ยืนงงอยู่หน้าคอกบอกว่ายายขายควายนานแล้วพี่ แล้วเสียงกระดิ่งที่ได้ยินมาจากไหนล่ะ พวกเราพากัน
เดินเข้าไปในคอกควายแล้วสำรวจมองหาที่มาของเสียงไม่ว่าจะเสียงกระดิ่ง และเสียง ออ ออ เอาไม้ที่กองหน้าคอกเขี่ยตามดิน
แต่ก็ไม่เจอสิ่งผิดสังเกต พวกเราล้มเลิกกับการตามหาที่มาของเสียงนั้นแล้วเดินขึ้นบ้านไปอย่างผิดหวัง เมื่อยายเห็นสีหน้าของ
พวกเรายายก็เล่าให้ฟังว่า หลายปีมาแล้วยายขายข้าวไม่ได้เลยเอาควาย 3 ตัว ขายให้พ่อค้า พ่อค้าก็เอาควายขึ้นรถบรรทุกไป
แต่ไม่ได้จะเอาไปเชือดหรอก เอาไปเป็นแม่พันธุ์ต่อเพราะอายุกำลังโตเต็มวัยสุขภาพดี แต่ไม่ทันข้ามวันพ่อค้าโทรกลับมาบอก
ยายว่ามีควายตัวหนึ่งกระโดดลงมาจากรถตอนติดไฟแดง พอจะจับมันขึ้นไปมันก็ไม่ขึ้น วิ่งไล่กันจนมันวิ่งหนีเตลิดเข้าป่าเข้าดง
เขาก็วิ่งตาม เอาตำรวจมาช่วยตามควายแต่หาไม่เจอ ไปเจออีกทีมันหลุดเข้าไปในวัดมีพระกำลังดูมันอยู่ หลวงพ่อจึงบอกขอ
บิณฑบาตรได้ไหม พ่อค้าบอกว่าผมไม่ได้เอาไปโรงฆ่าสัตว์แต่จะเอาไปทำพันธุ์ แต่หลวงพ่อก็ยืนยันว่าจะขอบิณฑบาตรควาย
พ่อค้าจึงยอมยกควายให้ฟรีแล้วโทรมาบอกยายว่าควายอยู่ที่วัดอะไร จากนั้นตายายจึงรีบไปวัดแห่งนั้นก็เจอควายตัวนั้นนอน
อยู่ในบริเวณวัด ตายายรีบวิ่งไปดูใกล้ ๆ ที่ตัวเห็นมีแผลถลอกเลือดสดเปรอเปื้อนทั่วทั้งตัว ยายอุทานว่า "อีเหลียมบ่?"
ควายตัวนั้นหันหน้ามองยายแล้วร้อง ออ ออ แล้วน้ำตาของอีเหลียมก็ไหลออกมาเป็นทางยาว ยายลูบหัวอีเหลียงและพูดว่า
ขอโทษ ฉันไม่ได้จะทิ้งแก ฉันขายแกให้กับคนดีไม่ได้เอาไปฆ่าแกง แกไม่อยากไปกับเขาใช่ไหม งั้นกลับบ้านเรากันเด้อ...
ตายายจึงเข้าไปกราบหลวงพ่อเพื่อจะขอซื้อควายคืน หลวงพ่อบอกไม่ขายแต่อาตมาให้ไปเลย เพราะมันไม่ใช่ของอาตมา
จากนั้นจึงกราบลาหลวงพ่อแล้วจัดแจงโทรศัพท์หารถบรรทุกรับจ้างให้มาขนควายกลับบ้าน จังหวะที่กำลังดันควายขึ้นรถ
ยายก็สังเกตเห็นขาหน้าซ้ายของมันผิดรูป ดูที่ขาแล้วน่าจะหักเพราะมันไม่มีแรงยันตัวเองลุกขึ้น ซึ่งน่าจะเกิดจากตอนที่มัน
กระโดดลงจากรถ ยายเห็นก็สงสารเลยได้แต่บอกให้อดทนเอาเด้อสิพากลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านก็เอาอีเหลียมเข้าคอก
แต่ไม่ได้พาไปหาหมอรักษาขา ด้วยกลัวว่าค่ารักษาจะแพงและขนส่งก็ลำบาก จึงปล่อยมันไปตามอาการ มันก็เอาแต่นอนซม
อยู่ได้ไม่ถึงเดือนมันก็ตาย ยายบอกก่อนตายมันร้อง ออ ออ น้ำตาไหลพราก คงเพราะมันเจ็บขาเจ็บแผล แต่ตากับยายก็ไม่รู้
จะช่วยอย่างไร จึงสวดมนต์ให้มันฟังแล้วมันก็ชักกระตุกแล้วขาดใจตาย ยายเสียใจมากเพราะรักและผูกพันเหมือนลูก
ตั้งใจว่าขายไปทำพันธุ์แล้วพอมีเงินจะขอซื้อกลับคืนมาทั้ง 3 ตัว แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ทุกวันนี้ยายพยายามคิดว่ายายเอามัน
ไปขายไปอยู่ที่อื่น ไม่อยากคิดว่ามันกลับมาตายที่บ้าน เพราะยายรู้สึกผิดและสงสารมัน มันจุกอยู่ที่อกยายนี่....
เมื่อเราและน้องชายได้ยินดังนั้น น้ำตาก็ไหลพรากออกมาทันที เราร้องไห้สะอื้นเพราะนึกถึงภาพที่มันต้องกระโดดลงจากรถบรรทุก
แล้วหนีเข้าไปหลบที่วัด ณ ขณะนั้นความรู้สึกของมันเป็นเช่นไร ควายไม่รู้หรอกว่ามันกำลังถูกเอาไปทำพันธุ์หรือเอาไปฆ่า แต่การ
รักตัวกลัวตายก็เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ทุกชนิดเช่นกัน การกระโดดลงจากรถบรรทุกถือเป็นหนทางเดียวที่มันจะมีชีวิตอยู่ต่อ
ถึงมันไม่รู้เลยว่ากระโดดลงมาแล้วจะมีชีวิตอยู่หรือตาย แต่ก็ขอให้ได้เสี่ยงสักตั้ง ซึ่งอีเหลียมตัดสินใจเสี่ยงดวงกระโดดลงมา แม้ว่า
ขาของมันจะหักแต่ความรักชีวิตทำให้มันวิ่งหนีเตลิดมาถึงวัดจนได้ และมันอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มันเข้าไปนอนหลบอยู่นั้นคือวัด
แต่มันเป็นที่ที่มันรู้สึกปลอดภัยผนวกกับเริ่มรู้สึกหมดแรง นับว่าเป็นบุญของมันที่เจอหลวงพ่อ มันถึงได้กลับมาตายอยู่ที่บ้านเกิดของมัน
น้องชายเราร้องไห้แล้ววิ่งลงไปข้างล่าง เราและแม่วิ่งตามลงไปดูเห็นน้องชายเข้าไปยืนอยู่ในคอกแล้วตะโกนชื่ออีเหลียมดัง ๆ
"อีเหลียม อีเหลียม ข่อยมาหาเจ้าแล้ว ออกมาแหม่ ฮือ ฮือ" น้องชายคงเสียใจไม่ต่างกันกับเราและยายที่รู้สึกรักและผูกพันธ์กับมัน
แม่เดินเข้าไปกอดน้องแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเต็มใบหน้าพร้อมสัญญาว่าพรุ่งนี้ก่อนกลับกรุงเทพฯ เราจะทำบุญให้อีเหลียม
และจะแวะไปไหว้หลวงพ่อที่เคยช่วยชีวิตมันกัน
ในมื้อเย็นนั้นหลังจากทานข้าวและเตรียมเก็บกระเป๋าเพื่อออกเดินทางในวันพรุ่งนี้เช้า น้องชายมาบอกเราให้ลงไปข้างล่างหน่อย
น้องชายเดินนำหน้าเราเข้าไปในคอกควายพร้อมบอกว่าได้ยินเสียงกระดิ่งกับเสียง ออ ออ เลยวิ่งลงมาดูแล้วรอบนึงแต่ไม่มีอะไร
ทีนี้พอจะเดินขึ้นบันไดก็ได้ยินอีก จึงรีบวิ่งมาหาเราให้มาดูเป็นเพื่อน เราเข้าไปในคอกนั้นยืนนิ่ง ๆ พร้อมเอามือปัดแมลงหวี่ที่บิน
มาตอมหน้า แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เราจึงขอตัวขึ้นมาเก็บกระเป๋าต่อ ไม่ทันไรน้องชายวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นบันไดบ้านมาพร้อมตะโกน
"ยาย ยาย... อีเหลียมมาาาาาาา" ทุกคนหันหน้ามองน้องชาย "มันมาจริง ๆ มันมาหาหนู หนูได้ยินเสียงมัน ฮือ ฮือ มันมาหาหนู"
น้องชายพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก เสียงสะอื้นของน้องชายทำให้เราต้องร้องไห้อีกครั้ง ยายปาดน้ำตาเล็กน้อยแล้วก้มหน้านิ่ง...
คำว่าจุกอกใช้ได้กับเราในขณะนี้ ขณะที่เล่าเรื่องนี้ มันจุกอกน้ำตามันรื้นที่ต้องเล่าเรื่องนี้และพยายามถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่าน
รับรู้ว่าความรู้สึกความสูญเสียที่ไม่เคยแม้แต่จะได้กล่าวคำอำลาเป็นอย่างไร หากมนุษย์จะตายจากกันเรายังได้สั่งเสีย
แต่กับสัตว์มันไม่มีคำพูดใด ๆ ให้เรารับรู้ได้เลย มีแต่อากัปกิริยาที่มันจะแสดงออกมาให้เราได้เห็น เสียใจอย่างที่สุดที่ครั้งหนึ่ง
เคยลืมมันไป เคยไม่คิดถึงมันเพราะคิดว่ามันเป็นควาย คำพูดที่น้องชายเคยกระซิบบอกมันว่าจะกลับมาหา กลับคิดว่าไม่สำคัญ
มันคงฟังไม่รู้เรื่อง เราไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายที่เฝ้ารอนั้นมีความรู้สึกอย่างไรกับคำพูดลม ๆ แล้ง ๆ ที่ออกจากปากขณะนั้น
แต่สิ่งที่รับรู้ได้แม้ไม่ได้เป็นรูปธรรมนั่นก็คือ
ไม่ว่าเราจะให้สัญญาอะไรกับใครไว้ สิ่งนั้นมักจะเฝ้ารอจนกว่าวันที่สัญญาจะเป็นจริง ไม่ว่าจะพบเจอกันอีกครั้งในรูปแบบใดก็ตาม....
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ขอบคุณจากใจค่ะ
เรื่องจากพันทิป ควายอีเหลียม
เรื่องโดย TharaJF
28 ต.ค. 2562
อุทิศบุญกุศลให้ใคร
"อุทิศบุญกุศลให้ใคร" ประสบการณ์จากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF ฝากผลงานไว้มากมายการกลับมาครั้งนี้เธอพบสิ่งลี้ลับที่เธอมองเห็น เธอเชื่อว่านั้นคือวีรชนในอดีต...... ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ทุกครั้งเวลาที่เราทำบุญและกรวดน้ำแผ่เมตตา เรามักจะลืมนึกถึงบรรพบุรษ หรือวีรชน วีรสตรีผู้กล้า ที่ได้สละชีพสละเลือดเนื้อตนเอง
เพื่อรักษาและปกป้องผืนแผ่นดินอาณาเขตของประเทศไทย เรามักจะอุทิศและแผ่บุญกุศลโดยรวมแบบไม่เจาะจงให้ผู้ใดผู้หนึ่งรับ
แต่จะพูดโดยกว้าง ๆ เช่น เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย สัมพเวสีทั่วไป และบรรดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราใช้ร่างกายเขาเหล่านั้นประทังชีวิต
แต่ไม่เคยหรือแค่ส่วนน้อยที่จะเจาะจงไปยังกลุ่มผู้รับที่กล่าวข้างต้นเลย
เนื่องจากได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่นหนึ่ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ สรุปโดยย่อคือ กรรมเกิดจากการกระทำ
ไม่ว่าจะกระทำเพื่อปกป้องบ้านเมือง หรือในขณะทำนั้นจิตไม่ได้เป็นการกระทำเพื่อกตัญญูแผ่นดิน แต่เกิดจากความโลภ
โทสะ ก็มักจะส่งผลของการกระทำไม่ต่างกันมากนัก นั่นคือ จิตมักจะผูกอยู่ ณ สถานที่นั้น ไม่ว่าตัวตายหรือผ่านมากี่ภพ
ขณะจิตที่เกิดขึ้นก่อนตายก็ยังอยู่ ณ จุดนั้นจนกว่าจะหมดสิ้นเวรกรรม ดังนั้น จิตของเหล่าวิญญานผู้กล้าเหล่านั้นก็มักจะยัง
วนเวียนอยู่ในที่แห่งนั้น จนกว่าพวกเขาจะชดใช้กรรมหมดไปหรือได้ในสิ่งที่ต้องการ
ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่อะไร แต่เนื่องจากทุกวันนี้เวลาใส่บาตร และกรวดน้ำอุทิศบุญกุศล เราจะแผ่ไปให้ถึงกลุ่มวีรชน
วีรสตรีผู้กล้า และทหารที่เสียเลือดเนื้อและเสียสละแก่ความสุขของตนให้กับคนรุ่นหลัง บางคนก็มีครอบครัว มีพ่อแม่ มีลูก
ทุกคนอยากกลับไปนอนกอดกัน ไปนั่งกินข้าวร่วมกัน ไปเทือกสวนไร่นา ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข แต่พวกเขากลับทำไม่ได้
พวกเขาเหล่านั้นต้องเสียสละตนเองเพื่อให้คนข้างหลังอยู่รอดปลอดภัย ทุกครั้งที่ผ่านอนุสาวรีย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรืออนุสาวรีย์ตามต่างจังหวัดที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจ หรือพลเรือน เราและ
ครอบครัวมักจะอุทิศบุญกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเช่นกัน และทุกครั้งหากได้กรวดน้ำลงดินพร้อมอุทิศบุญกุศลด้วยความ
ปลื้มปิติ ขนแขนถึงขนหัวก็มักจะลุกชันขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกันเสมอ และน้ำตาก็มักจะเอ่อล้นออกมาทุกครั้ง ยิ่งเวลาที่ตักบาตร
ในที่ทำงานแล้วกรวดน้ำน้ำตาจะเอ่อออกมา เวลาเงยหน้าขึ้นพี่ที่ไปตักบาตรด้วยกันก็มักถามว่า
"ใครเสียหรือเปล่าพี่เห็นเรากรวดน้ำแล้วร้องไห้ พี่เสียใจด้วยนะคะน้อง"
เราเป็นแบบนี้ทุกครั้งโดยที่เราไม่ได้อยากให้น้ำตาไหลออกมา จนกระทั่งได้ไปยังอนุสาวรย์วีรชนผู้กล้าที่หนึ่งพร้อมครอบครัว
เมื่อถึงตอนตั้งจิตอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาและกรวดน้ำนั้น น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่ตั้งใจ เรารีบเช็ดน้ำตาเพราะไม่อยากให้
ใครเห็นกลัวคนที่ไม่เข้าใจความรู้สึกเราแล้วจะหาว่าเราบ้า... พอเช็ดน้ำตาแล้วเราเดินมาเข้าห้องน้ำ น้องชายก็เดินตามมาแล้ว
บอกว่า
"พี่เข้าใจความรู้สึกของหนูเวลาที่รอคอยให้พ่อกับแม่กลับมารับหนูไหม หนูรู้สึกไม่ต่างกับพวกเขาเลยที่ต้องรอคอยคนที่ตัวเองรัก
อยู่ตรงนี้" เราไม่แปลกใจที่น้องชายเราพูดแบบนี้ เพราะเรารู้แล้วว่าเสียงที่เปล่งออกมาจากข้างในนั้นเป็นเสียงที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี
"ไม่รู้ทำไมพี่ถึงน้ำตาไหลและรู้สึกอยากจะร้องไห้สะอึกสะอื้นทุกครั้งที่นึกถึงพวกเขา"
"ก็เพราะว่ามีจิตผูกพันธ์กันไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งพี่ถึงสัมผัสได้ รวมถึงหนูอยากให้พี่รู้สึกด้วยว่าหนูทรมานและเสียใจแค่ไหนที่ต้องรออยู่
ตรงนั้น (อยุธยา) รอนานมาหลายร้อยปีแล้วกว่าพ่อกับแม่จะกลับมา รู้ไหมว่าหนูเจ็บ" พูดแล้วน้ำตาน้องชายก็ไหลออกมา
"แต่พวกเขาเหล่านี้ คนรุ่นหลังก็ทำบุญอุทิศบุญกุศลให้แล้ว มีการจัดพิธีทำบุญใหญ่โตในทุกปี แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่หลุดจาก
สถานภาพตรงนี้?"
"ตราบใดที่พวกเขายังไม่ลืมสิ่งที่จดจำหรือทำก่อนสิ้นลม หากเขายังพะวงและคิดถึงคนข้างหลัง เขาก็ไปไหนไม่ได้ เหมือนหลาย ๆ คน
ที่หนูเห็นอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ไม่ไปไหน เพราะก่อนตายยังไม่ได้สั่งเสียพ่อแม่ ลูกเมียที่บ้านเลย"
นี่คือสิ่งที่น้องบอกเราและเราก็รับรู้ถึงความรู้สึกหลังความตายเหล่านั้นได้... ไม่มากก็น้อย...
บ่อยครั้งที่น้องมักจะพาเราไป (ในความฝัน) ไปยังสถานที่ต่างถิ่น ไปพบผู้คนที่แต่งกายแปลกตา หน้าตาและทรงผมไม่เหมือนปัจจุบัน
คำพูดที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจ บางคนก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บางคนก็หน้าบึ้งตึงขมวดคิ้วไม่เป็นมิตรนัก น้องมักพาไปให้เห็นแบบนี้บ่อย ๆ
แต่ไม่ค่อยมีคำอธิบายจากน้อง เหมือนพาไปให้เห็นว่ามีอะไรแล้วก็ตื่น เมื่อตื่นแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะถาม เพราะถามแล้วน้องไม่บอก
เราก็โอเค ถือซะว่าได้ไปเที่ยวละกัน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนถึงวันอาสาฬหบูชา สวดมนต์เข้านอนตามปกติแล้วฝันว่าได้ไปยังที่แห่งหนึ่ง มีแต่ความมืด สถานที่แห่งนี้คุ้นตา
เมื่อเพ่งมองปรับสายตาเข้ากับความมืดได้แล้ว ถึงรู้ว่านี่คือซอยในหมู่บ้านเรานี่ แปลกใจที่เราจำซอยทางเข้าหมู่บ้านเราเองได้
ถึงแม้จะไม่มีบ้านคนสักหลัง เพราะรอบ ๆ นั้น เป็นทุ่งโล่งกว้าง มีต้นมะพร้าวต้นหนึ่งตั้งอยู่สุดลูกหูลูกตา แต่ในความฝัน เราจำได้
ว่าต้นมะพร้าวต้นนี้อยู่ท้ายหมู่บ้านเรา เราก็เพ่งมองไปยังต้นมะพร้าว ตั้งใจว่าจะเดินลัดทุ่งไปต้นมะพร้าว เพื่อเป็นที่ปักหลักกันหลง
แต่ยังไม่ทันก้าวเดิน ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเอะอะดังลั่น แล้วก็มีฝุ่นควันคละคลุ้ง เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงผู้ชายมีมากกว่า 1 คน
ในฝันเราก้มลงหมอบตัวสั่น แอบเงยหน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ มีกลุ่มผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วน กำลังถือดาบ
ฟาดฟันกันอย่างบ้าคลั่ง พร้อมสบถคำหยาบด่าทอกัน แล้วก็ฟาดใส่กัน เราได้ยินเสียงเวลาที่ดาบถูกฟาดไปบนตัวของคน ดัง ตุ๊บ!!
เสียงหนัก ๆ ไม่รู้โดนกระดูกหรืออะไร แต่เราตอนนั้นได้แต่หมอบอยู่กับที่ น้ำตาไหลด้วยความกลัว แล้วก็สะดุ้งตื่น...
เมื่อตื่นมาแล้ว น้ำตาก็ไหลออกมา ไม่รู้จะด้วยความกลัวหรือสงสารอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่มันรู้สึกจุกอก เวทนากับภาพที่เห็นตรงหน้า
ครั้นถึงวันอาสาฬหบูชา เสร็จสิ้นจากการทำบุญพร้อมครอบครัว หลังจากกลับจากวัด เราได้นำอาหารใส่ถ้วยเล็ก ๆ จำนวน 2 - 3 ถ้วย
วางไว้หน้าบ้านริมถนน แล้วจุดธูป 1 ดอก ปักไว้กลางแจ้ง พร้อมอธิษฐานจิตระลึกถึงสัมพเวสีที่อยู่บริเวณนั้นให้มารับส่วนบุญที่เรา
อุทิศให้ในครั้งนี้ เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งตะวันตกดิน...
คืนนั้นเรายังมัวดูทีวีอยู่ข้างล่างจนดึก เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็ตั้งท่าลุกขึ้นมาปิดทีวี บ้านของเราเป็นทาวเฮาส์ 2 ชั้น ทีวีตั้งหันหลัง
ให้กับหน้าต่างหน้าบ้าน ซึ่งเมื่อลุกปิดทีวีแล้ว ระดับสายตาจะอยู่ที่หน้าต่างและมองออกไปหน้าบ้านได้พอดี เราลุกขึ้นปิดทีวี และ
เอารีโมทมาวางข้างทีวี พลางได้ยินเสียง แค่ก... แค่ก... เหมือนคนไอแห้ง ๆ อยู่หน้าบ้าน เราเลยมองลอดมู่ลี่หน้าต่างออกไป
แต่ไม่เจออะไร แอบคิดว่าขโมยหรือเปล่านะ กลัวว่าขโมยจะมาแอบขึ้นบ้านใคร เราเลยปิดไฟในบ้านชั้นล่าง และปิดไฟหน้าบ้าน
แล้วก็แอบมองลอดมูลี่จากภายในบ้าน ตั้งใจว่าถ้าเป็นขโมยจะโทรแจ้งตำรวจทันที
ว่างเปล่า... ไม่มีความเคลื่อนไหวใดทั้งสิ้นเลยคิดว่าสงสัยเป็นคนเดินผ่านหน้าบ้านแล้วไอพอดีมั้ง จึงหันหลังกลับ
"แค่ก..." เสียงไอดังมาอีกรอบ แค่กเดียวแล้วเงียบ เอ๊ะ? เสียงไม่ได้ดังมาก เป็นเสียงแผ่วเบา แต่ได้ยินชัดมาก ว่าแล้วก็แอบแหวก
มู่ลี่อีกรอบ ว่างเปล่า... ไม่มีอะไรอีกเช่นเคย เริ่มหงุดหงิดตอนนั้นคิดเรื่องขโมยอย่างเดียว เลยเปิดมู่ลี่ออก กะว่าถ้ากล้าปีนเข้าบ้าน
ก็เข้ามาสิ ฉันเปิดม่านรอเห็นหน้าแกจัง ๆ แล้ว ว่าแล้วก็เปิดมู่ลี่ออกแล้วมองจ้องไปทางหน้าบ้านอย่างไม่ละสายตา
สายตาเพ่งมองไปหน้าบ้าน พยายามกวาดสายตามองไปข้างซ้ายที ข้างขวาที เพื่อดูว่ามีอะไรเคลื่อนไหวผ่านไปมาบริเวณนี้บ้างหรือไม่
ทันใดนั้น สายตาก็ไปประสานกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาปรากฏตัวมาตอนไหนก็ไม่ทราบ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าบ้านเลย แต่
กระพริบตามาอีกทีก็มีผู้ชายคนหนึ่งยืนประจันหน้าเรา เขายืนมองเราอยู่นอกรั้วบ้าน เรายืนอยู่ในบ้านมองลอดผ่านมู่ลี่ ด้วยความงุนงงว่า
ผู้ชายคนนี้มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เราเบิกตากว้างกว่าเดิมเพราะความสงสัยและต้องการมองจ้องให้เขารู้ว่า ฉันมองเธออยู่นะ จะปีน
เข้ามาบ้านฉันหรอ ฉันจะเปิดไฟและตะโกนเสียงดัง ๆ ให้คนแถวนี้ตกใจเลย... สิ้นเสียงในความคิดเรา ผู้ชายคนนั้นก็ไอแค่ก... มาหนึ่งที
แล้วก็ทำหน้ายื่นเข้ามาใกล้รั้วบ้าน ตัวยืนอยู่ที่เดิมแต่หน้าและคอยื่นมาข้างหน้า เราก็เลยยื่นหน้าเราไปใกล้กับมู่ลี่อีกนิดเพื่อที่จะเห็นหน้า
เขาให้ชัดเจนขึ้น เมื่อยื่นหน้าเข้าไปใกล้มู่ลี่อีกนิดจึงทำให้เห็นรายละเอียดของชายคนนั้นชัดเจนดังใจหวัง
- ชายผิวดำขลับ หน้าดำมองไม่เห็นดวงตา ไม่ใส่เสื้อ แต่มีสายอะไรก็ไม่รู้ห้อยตัวไขว้ซ้ายขวา มือขวาถือมีดยาวมาก ท่อนล่างมองไม่เห็น
ชายคนนั้นยืนถือมีดในลักษณะพร้อมรบยืนประจันหน้ามองมาทางเรา แต่นั่นยังไม่ทำให้เราตกใจเท่ากับมองเห็นหน้าของเขา เพราะว่า
ใบหน้าของเขาแหว่งหายไปครึ่งหน้าเห็นแต่ฟัน (ให้นึกถึงมะม่วงที่ผ่าฝานครึ่ง) มีเสียงไอแค่ก... ลอดออกมาจากซี่ฟัน
เพียงแค่นั้นเราก็กรี๊ดลั่นบ้าน
"แม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" เรากรี๊ดแล้วทรุดตัวนั่งลงไปกองกับพื้นน้ำตาไหลอาบหน้า แม่เรารีบวิ่งลงมาแล้วกอดเราไว้แน่น
ตอนนั้นเราไม่เงยหน้าลืมตา ได้แต่ร้องไห้แล้วบอกว่า
"ใครก็ไม่รู้ยืนอยู่หน้าบ้าน ฮือ ฮือ แม่ดูหน่อย แม่ดูหน่อย" พูดไปก็ร้องไห้ไป
"ไม่มี ไม่มีใครเลย แม่เปิดไฟดูแล้ว ไม่มีใครเลย" แม่เราบอก
เราจึงลุกขึ้นยืนดูมองไปหน้าบ้านปรากฏว่าไม่มีใครแล้ว สักพักน้าบ้านตรงข้ามก็เปิดประตูรั้วออกมาแล้วตะโกนถามแม่เรา
"พี่น้อย (นามสมมติแม่เรา) เป็นอะไรกันเปล่าพี่ ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นเลย"
แม่เราจึงเปิดประตูออกไปแล้วบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ฟ้า (นามสมมติเรา) มันเจอหนูเลยตกใจร้องน่ะ
ว่าแล้วแม่ก็พาเราขึ้นนอนพร้อมตั้งข้อสันนิษฐานว่าสิ่งเราเห็นคืออะไร แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่คนแน่นอน แล้วเขามาทำไม ต้องการอะไร?
กว่าจะผ่านพ้นคืนนั้นไปได้ เราแทบนอนไม่หลับ กว่าจะหลับตาลงได้จริง ๆ ก็เกือบเช้า เราตื่นมาอีกทีเกือบเที่ยง รีบลุกมาทำธุระ
แล้วลงไปกินข้าว ระหว่างที่กินข้าวอยู่นั้นเห็นน้องชายทำท่าลุกลี้ลุกลน กินข้าวสักพักหน้าก็คว่ำลงกับจานข้าว แม่จึงรีบประคอง
หัวน้องขึ้นมา เช็ดเม็ดข้าวที่ติดตามแก้มตามปาก สักพักน้องชายก็ลืมตาแล้วไอแค่ก... หนึ่งที เราก็สะดุ้งโหยง น้องก็หัวเราะ
บอกว่า "ล้อเล่นน่า แกล้งไอแค่นี้ทำไมพี่ต้องสะดุ้งขนาดนี้เลย" เราเลยถามต่อว่าเมื่อคืนนี้คืออะไร รู้ใช่ไหมว่าพี่เจออะไร?
น้องเลยบอกว่า
"หนูพาพี่ไปดูสถานที่ก่อนที่จะเจอเขาแล้วไง จำไม่ได้หรอ?"
"ที่พี่ฝันเห็นซอยในบ้านเราน่ะหรอ?" เราถามกลับด้วยความสงสัย
"ใช่... คนเราเมื่อถึงเวลาที่จะได้มาเจอกัน หนีกันยังไงก็หนีไม่พ้น อยู่ที่ว่าทำกรรมแบบไหนร่วมกันมา
อาจจะเป็นกรรมดีก็ได้นะที่ได้เจอ" น้องบอก
"กรรมดีแล้วมาเจอแบบนี้ก็ไม่อยากเจอนะ เขาต้องการอะไรไหม"
"เขาจะมาขอบคุณที่นึกถึงเขา แต่รูปกายเขาเป็นแบบนั้นเลยทำให้พี่กลัว"
สรุปได้ความว่า... ผู้ชายที่เราเห็น เป็นชาวบ้านที่เคยสู้รบกับกบฏเรื่องแบ่งแยกดินแดนเมื่อครั้งอดีต ซึ่งสนามรบที่พวกเขาไล่ล่าฆ่าฟัน
ก็คือบริเวณหน้าบ้านเรา ในอดีตนั้นเป็นเพียงทุ่งโล่งกว้าง ๆ เมื่อมาถึงหน้าบ้านเราในปัจจุบัน เขาได้พ่ายแพ้ต่อศัตรู ถูกดาบฟันเข้าหน้า
ทำให้หน้าหายแหว่งไปครึ่งหนึ่ง ตายคาที่อยู่หน้าบ้านเราพอดิบพอดี
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้สิ่งที่เขาทำนั้นจะเป็นการปกป้องประเทศชาติ กตัญญูต่อคุณแผ่นดิน แต่เมื่อเลือดหยดลงพื้นและจิตที่ฝังใจว่าจะกู้แผ่นดิน
รักษาบ้านเมืองไว้ จึงทำให้จิตสุดท้ายในขณะนั้นเขายังอยู่ที่เดิม และวนเวียนอยู่แบบนั้นจนกว่าจะสิ้นเวรกรรม เราในฐานะที่เป็นลูกหลาน
สืบทอดต่อมา บรรพบุรุษเราเองก็อาจสืบเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากเหล่าทหาร พลเรือนเหล่านี้ก็ได้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ
-รู้จักกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน รักษา และรักผืนแผ่นดินที่เหยียบยืนอยู่นี้ให้เท่ากับวีรชนคนกล้าที่เขาเคยรัก เคยปกป้องมา
หากเป็นคนดีรุ้คุณต่อชาติบ้านเมืองไม่ได้ ก็ควรจะเริ่มจากสังคมเล็ก ๆ นั่นก็คือ ครอบครัว ปฏิบัติดีต่อกัน แล้วจะได้ไม่
มานั่งเสียใจภายหลังว่าเรายังไม่ได้ทำสิ่งดี ๆ ให้กัน ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน หากเป็นเช่นนั้น จิตก็คง
ยังไม่ไปสู่สัมปรายภพแน่นอน.
โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน...
เรื่องจากพันทิป อุทิศบุญกุศลให้ใคร
เรื่องโดย TharaJF
ขวางที่ขวางทาง
"ขวางที่ขวางทาง" ประสบการณ์จริงจากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF เธอมักจะมีสัมผัสถึงสิ่งต่างเช่นวิญญาณ สิงลี้ลับที่ไม่สามารถมองเห็นแต่เธอกลับเห็น และบางครั้งยังสัมผัสได้อีกด้วย ครั้งนี้เธอจะพบกับอะไรเชิญติดตามกันเลย ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ขวางที่ขวางทาง เป็นชื่อเรื่องมาจากอะไร อันที่จริงเป็นชื่อเรื่องมาจากการนอนหลับของเรานั่นเอง...
เริ่มจากบ้านที่ปทุม ชั้น 2 ห้องนอนของแม่จะกั้นห้องไว้ส่วนหนึ่งเพื่อทำเป็นห้องพระ มีทั้งพระพุทธรูป
รูปปั้นเทพที่นับถือ และเครื่องรางเกี่ยวกับการค้าขาย อาทิ เจ้าแม่นางกวัก นกสาริกา พญาเต่างอยฯลฯ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้งมงาย แต่แม่นอกจากจะเป็นแม่บ้านแล้ว ก็ยังเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ใครที่ค้าขายก็จะ
ต้องมีท่านเหล่านี้ไว้บูชา
ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เรากับพ่อจะกลับมาบ้านที่ปทุม และเราก็ไม่เคยแยกออกไปนอนห้องเราคนเดียว
เรามักจะนอนห้องเดียวกับพ่อแม่จนถึงปัจจุบัน พ่อกับแม่นอนบนเตียง ส่วนเราจะปูที่นอนปิคนิคนอนหน้า
ห้องพระ เพราะมันเหลือพื้นที่แค่บริเวณนั้นที่สามารถปูที่นอนได้ ส่วนน้องชายนางได้อภิสิทธิ์นางได้นอน
บนเตียงกับพ่อแม่ตลอด (บ้านเราจนถึงทุกวันนี้ เรากับน้องชายก็โตมากแล้ว แต่ก็ยังไม่แยกห้องนอนเลย)
ทุกครั้งที่มานอน เราก็จะปูที่นอนนอนหน้าห้องพระ ทำกิจวัตรแบบนี้มาเป็นระยะเวลาหลายปีแต่...ก็ไม่เข็ด...
ครั้งแรกของที่มา "ขวางที่ขวางทาง"
"แม่จัดห้องพระเสร็จแล้ว วางท่าน ๆ ไว้ตรงนี้ก็ดีนะ เวลาเข้ามาไหว้ก็สะดวกดี" แม่พูดพลางยกมือไหว้และ
ถวายน้ำและดอกไม้สำหรับการจัดหิ้งใหม่
"โหแม่ หิ้งใหญ่เลยนะ ตรงนี้ดูขลังไปเลย" เราบอก
"อ้าว ไม่ได้หรอก นอกจากจะทำให้สมเกียรติแล้ว เจ้าบ้านก็ต้องสวดมนต์ด้วยนะ มือถือสากปากถือศีลไม่ได้
ท่านไม่ชอบ"
ก็อย่างที่บอกไปว่าแม่เราค้าขาย ต้องพูดคุยกับลูกค้าบางทีก็ต้องไปประมูลชุดฟอร์มพยาบาลหรือชุดสูทบ้าง
ดังนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับการค้าขายก็ต้องบูชาเป็นเรื่องธรรมดา
"อ้าวแม่ แล้วแบบนี้หนูจะมานอนห้องแม่ยังไงล่ะ แบ่งห้องตรงนี้เป็นห้องพระ แล้วหนูจะนอนตรงไหน?"
"ก็ปูที่นอนหน้าห้องพระก็ได้ แม่ทำฉากกั้นไว้ แต่อย่านอนดิ้นไปถีบฉากล่ะ" แม่พูด
ดังนั้น หน้าห้องพระจึงเป็นที่ประจำของเราไปโดยปริยาย
เมื่อถึงเวลาเข้านอน แม่พาเราและน้องชายสวดมนต์ คืนนั้นพ่อไม่อยู่ไปราชการต่างจังหวัดเช่นเดิม เมื่อสวดจบ
แม่ก็เตือนเราอีกทีก่อนนอนว่าอย่านอนดิ้นไปถีบฉากกั้นนะ เดี๋ยวจะล้มมาทับตัวเอง เราตกลงหลับตาห่มผ้า
แล้วคล้อยหลับไป ตื่นเช้ามาเก็บที่นอนพับผ้าห่ม กำลังจะเปิดประตูห้องออกไปเข้าห้องน้ำ แม่ไม่อยู่ที่เตียง
น้องชายยังคงนอนอยู่ แต่นางนอนลืมตาจ้องมองมาที่เรา เราเลยถามว่า
"ไม่รีบตื่นไปดูโดราเอมอนหรอ นอนแช่เตียงทำไม"
"ดูพี่สนุกกว่า อิ อิ"
"ทำไมดูพี่ต้องสนุกด้วย นี่ใครเนี่ย น้องหรอ?"
น้องชายไม่ตอบแล้วก็รีบลุกจากเตียงเปิดประตูห้องวิ่งลงไปข้างล่างทันที ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าในคำตอบ
แต่เราไม่คิดอะไรมาก เพราะน้องชายตอนนั้นก็วัยประถมต้น คงพูดอะไรล้อเล่นเรื่อยเปื่อย เราจึงเดินตามลงไป
เมื่อลงไปข้างล่างเห็นน้องชายยืนอ้อนแม่กอดแม่อยู่ เราจึงวิ่งไปกอดแม่เพื่อแหย่เล่นบ้าง แม่ก็กอดเรากลับ
"โอ๊ย!!!" เราร้องออกมาหลังจากแม่กอด
"เป็นอะไร?" แม่เราถาม
"เจ็บแขนอะแม่ ไม่รู้เป็นไร"
เมื่อพูดจบเราก็เอามือคลำ ๆ บริเวณแขนที่เจ็บแล้วถกแขนเสื้อขึ้น ปรากฏว่าที่แขน
เป็นรอยนิ้วมือและผิวช้ำสีม่วงเขียว เป็นจ้ำ ๆ เรากับแม่ตกใจมากและหันไปมองหน้าน้องชาย เหมือนน้องชาย
จะรู้ว่าที่มองหน้าเพื่อต้องการคำตอบ แต่น้องชายกลับทำเป็นไม่สนใจวิ่งไปเปิดทีวีช่อง9 โมเดิร์นไนการ์ตูน TT
รอยนิ้วมือที่มาพร้อมกับรอยช้ำบนต้นแขนเราสร้างความงุนงงให้เราและแม่เป็นอย่างมาก ถ้าหากเรานอนดิ้น
หรือเอามือไปฟาดฉากกั้นห้องก็ไม่น่าจะเป็นรอยแบบนี้ แต่นี่กลับเป็นรอยนิ้วมือเรียว ๆ เห็นได้ชัด เราเดินไป
คาดคั้นกับน้องชายว่ารู้เรื่องหรือไม่ที่แขนเราเป็นแบบนี้ น้องชายก็บ่ายเบี่ยงบอกปัดไม่รู้ เราเลยบอกให้น้อง
มาลงได้ไหม บอกแม่ให้จุดธูปเชิญน้องมาลงเพื่อถามได้ไหม แต่น้องชายบอกว่า
"ไม่เอา ไม่ให้ใครมาลงทั้งนั้น หนูจะดูการ์ตูน"
แม่เลยบอกให้เราใจเย็น ๆ ถ้าน้องจะมาน้องก็จะมาเอง แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจมา แล้วเราไปยื้อเขา คนที่เดือดร้อน
ก็คือน้องชายนะ เราจึงสงบสติลงได้ เวลาผ่านพ้นสุดสัปดาห์ไป เราก็ต้องเตรียมตัวกลับมาบ้านพักที่ทำงานพ่อ
เหมือนเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบ รอยช้ำที่แขนก็ค่อย ๆ จาง จนหายไป และแล้วก็เข้าสู่
สุดสัปดาห์ต่อมา...
เรายังคงปูที่นอนนอนหน้าห้องพระเหมือนเดิม เพราะรู้สึกอุ่นใจที่นอนใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่าเราเข้ามาใกล้
บางสิ่งมากจนเกินไป...
ก่อนนอนเราสวดมนต์ตามปกติ เอนหลังหลับตาห่มผ้าคล้อยหลับไป สะดุ้งตื่นอีกทีไม่รู้เวลาแน่ชัด แต่รู้ว่าคงดึกมากแล้ว
เรานอนหงายแต่รู้สึกว่าหนักตัวอยากจะพลิกตะแคงซ้ายก็พลิกไม่ได้ ตะแคงขวาก็พลิกไม้ได้ ทำได้แค่นอนลืมตามองเพดาน
คิดว่าเป็นตะคริวหรือนอนทับเส้นหรือเปล่านะ จึงลองนอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น เผื่อเส้นจะคลายแล้วพลิกได้ ผ่านไประยะหนึ่ง
ร่างกายเหมือนคนเป็นอัมพาต คือนอนหงายหายใจทิ้ง ลืมตาปริบ ๆ แต่พลิกตัวขยับไม่ได้ และด้วยความมืดของห้องผสานกับ
ความเงียบยามค่ำคืน จิตเริ่มฟุ้งซ่าน เมื่อคนเราตกอยู่ในสภาวะที่เงียบและวังเวง จิตมักจะคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ทั้งเรื่องดีและไม่ดี
คนเรามักจะห้ามความไม่ได้ เมื่อจิตเริ่มกลัว คิดว่าเราเป็นอะไร หรือเราตายแล้ว หรือตอนนี้เราคือวิญญาน ก็เริ่มดิ้น ขยับแขน
ขยับขา แต่มันหนักไปหมด หนักอึ้งแบบไม่เคยเจอมาก่อน หัวก็ขยับไม่ได้ จึงชำเลืองมองไปที่เตียงแม่ เอ้อ พ่อ แม่ น้องชายอยู่
แล้วเราเป็นอะไรนี่?
ระหว่างที่ชำเลืองมองไปที่เตียงที่ทุกคนนอนอยู่นั้น น้องชายเราซึ่งนอนอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ ก็ลุกขึ้นมานั่ง เราพยายาม
อ้าปากเพื่อเรียกน้องชาย แต่ทำไม่ได้ เราจึงมองจ้องไปและคิดในใจว่า
"เจ้อยู่นี่ ช่วยเจ้ด้วยยย"
ได้ผลค่ะ น้องชายลุกขึ้น
คลานออกจากเตียง
ลงจากเตียง
แล้วเปิดประตูออกไป แป่ว...
โอยจะลุกมาเข้าห้องน้ำอะไรตอนนี้ ช่วยมาสนใจกันก่อนได้ไหม๊ อึดอัดจะตายอยู่แล้วววว...
เมื่อน้องชายออกไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินกลับมา นางก็คลานขึ้นเตียงแทรกตัวระหว่างพ่อ แม่ แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ ปล่อยให้เรานอนมองตาปริบ ๆ ขอความช่วยเหลือ ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ความเหนื่อยคืบคลานทำให้เราผล็อยหลับไป ตื่นมาอีกตอนเช้าขยับแข้งขาได้ รีบกระเด้งตัวเองออกจากที่นอนแล้ววิ่งลงข้างล่างทันที
"เมื่อคืนหนูตื่นกลางดึกแต่ขยับตัวไม่ได้เลย หนูถูกผีอำหรือเปล่า?" เราเปิดประเด็น
"เป็นไปได้ไงผีอำ บ้านนี้ใครก็เข้ามาไม่ได้ทั้งนั้นถ้าแม่ไม่อนุญาต"
"แต่เมื่อคืนนี้หนูเจอจริง ๆ นะแม่ ขยับได้แต่ลูกตา ออกแรงจนเหนื่อยเหงื่อท่วมตัวก็ยังขยับไม่ได้เลย"
"แปลกนะ แล้วเห็นอะไรหรือเปล่าล่ะ?" แม่ถามต่อ
"ไม่เห็น เห็นแต่น้องชายตื่นไปเข้าห้องน้ำ"
พูดจบประโยค น้องชายตัวดีก็หันขวับมามองแล้วยิ้มแหย ๆ แต่ไม่พูดอะไร ใจเราตอนนั้นอยากจะให้น้องมาใจจะขาด เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อเขาไม่เต็มใจมาเราก็ไม่บังคับ รอเขาพร้อมเขาก็จะมาเอง
เวลาเรามานอนที่บ้านก็มักจะเกิดเหตุการณ์วนซ้ำแบบนี้ คือ บางคืนสะดุ้งตื่นกลางดึกแล้วอึดอัดขยับตัวไม่ได้บ้าง
หรือเช้ามามีรอยช้ำ แต่รอยช้ำเนี่ยเราเชื่อว่าคนอื่นน่าจะเคยเป็น ที่ตื่นนอนมาแล้วจะพบหน้าแข้งหรือต้นขามีรอยช้ำ
แต่รอยของเรามักจะเป็นรอยช้ำเรียว ๆ เหมือนนิ้วมือ ซึ่งสร้างความงุนงงให้เราและแม่อย่างมาก ที่สำคัญยังสร้างความ
รำคาญให้เราอีกด้วย ถ้าเหตุการณ์แบบนี้นานทีเกิดจะไม่เป็นอะไรเลย แต่นี่เกิดทุกครั้งที่เรามานอน ทำให้เรานอนไม่อิ่ม
มันหงุดหงิดมาก จนกระทั่งคืนหนึ่ง
เราสวดมนต์เสร็จแล้ว และนึกในใจขึ้นมาทำนองว่ารำคาญ มากวนใจให้นอนไม่หลับ สงสัยจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ซะแล้ว
นึกจบก็หัวเราะชอบใจ ประมาณว่าขู่ไปงั้นแหละ ขู่ใครก็ยังไม่รู้เลย พูดลอย ๆ ไปงั้น พอถึงเวลานอนก็จัดแจงที่นอน
ห่มผ้านอนหลับ รู้สึกตัวอีกทีคือนอนหงายแล้วเจ็บหน้าขาทั้งสองข้าง เจ็บแบบปวดกระดูก เราพยายามที่จะลุกมานั่ง
แต่ก็ลุกไม่ได้ รู้สึกเหมือนคืนนั้นอีกแล้ว แต่คราวนี้เราเจ็บต้นขาเหลือเกิน เราจึงตะโกนออกมา
"แม่ แม่..." เราตะโกนเรียกแม่ แต่คนที่ตื่นกลับเป็นน้องเรา
"พี่ปวดขา ลุกมาดูพี่หน่อย" เราเรียกน้องชาย น้องชายลุกขึ้นนั่งแต่ไม่ลุกมาหาเรา
"ปวดขามากเลย มาดูพี่หน่อย" เราเรียกอีกครั้งแต่น้องก็ยังไม่ลุกมา ได้แต่นั่งจ้องเรา
จากความเจ็บปวดที่ขาเริ่มเปลี่ยนเป็นความโมโห เราเลยโพร่งออกมา
"โอ๊ย อะไรนักหนา เจ็บอยู่นั่นแหละ ใครทำว ะ?"
พูดจบประโยคแค่นั้น น้องชายก็เริ่มร้องไห้ แม่จึงตื่นมาแล้วรีบปลอบน้อง เราเลยบอกให้มาดูเรานี่ น้องชายไม่เป็นไรหรอก
คนที่เป็นน่ะคือหนู แม่จึงลงจากเตียงมาหาแล้วดูว่าเราเป็นอะไร ปรากฏว่าพอแม่มาดู อาการเจ็บหน้าขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง
เราเลยเล่าให้แม่ฟัง แม่จึงหันไปหาน้องชายแล้วถามว่าร้องไห้ทำไม น้องชายชี้ไปที่ห้องพระแล้วบอกว่า
"หนูเห็นผู้หญิงยืนเหยียบขาพี่อยู่ เขายืนบนขาพี่เลย" ตอนนี้เรารู้แล้วว่าไม่ใช่น้องชาย แต่เป็นน้องที่มาแฝง
"หนูเห็นตั้งแต่คืนแรกแล้ว เขาไม่พอใจที่พี่มานอนขวางหน้าห้อง แล้วพี่ก็นอนไม่เรียบร้อย เขาเลยมาบีบแขนพี่
แต่ตอนนั้นเขาไม่ให้หนูบอก เขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก"
"ที่พี่ตื่นมาคืนนั้นแล้วอึดอัดขยับตัวไม่ได้ เขาก็มายืนทับพี่อยู่ หนูเห็นพี่แล้วแต่เขาไม่ให้เข้าไป เขาบอกว่านอนไม่เรียบร้อย
กางแข้งกางขาฉันจะไม่ให้มานอน"
อ้าวมีงี้ด้วยหรอ ตอนนั้นกลัวก็กลัว ไม่รู้หรอก เขา ที่ว่านี้คือใคร แต่คงจะใหญ่มากเหมือนกันน้องเราถึงไม่กล้า แต่ความกลัว
ก็มาพร้อมกับความหงุดหงิด (หงุดหงิดอีกแล้วววว) หงุดหงิดที่ว่าในนี้ก็บ้านเราแต่ทำไมเราจะนอนตรงนี้ไม่ได้ แล้วคนหลับ
จะรู้ได้ยังไงว่าท่านอนจะเรียบร้อยไหม แต่เรายอมรับเลยว่าเราเป็นคนนอนดิ้นมาก ขนาดว่าใส่ชุดนอนแบบกระโปรงไม่ได้เลย
เพราะตื่นเช้ามามันจะถกมารวมกันอยู่ที่คอ T T
"ไม่น่าทำกันแรงขนาดนี้ ลูกหลานกันเองน่าจะมาเตือนดี ๆ " แม่กล่าว ทันใดนั้นน้องเราก็พูดสวนมา "พี่ไปท้าทายเขานี่"
เราเลยบอกว่าก็พูดลอย ๆ มันโมโห ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่พูดถึงจะมีอานุภาพขนาดนี้ คืนนั้นก็จบลงด้วยการไหว้ขอขมา
และที่สำคัญไม่ลืมที่จะขอขึ้นไปนอนบนเตียงกับแม่.
ปอลิง: สิ่งที่น้องเห็นก็คือ รูปปั้นผู้หญิงที่คนค้าขายมักจะบูชา เพื่อให้ค้าขายคล่อง เจรจาไพเราะ
ปอลิง 2: เรานอนดิ้นมาก ๆ ถึงขนาดที่ว่า นอนเป็นท่าขัดสมาธิได้ หรือบางทีนอนหัวไปอยู่ปลายเท้า เท้ามาอยู่หัวก็มี
ปอลิง 3: ทุกวันนี้ก็ยังคงนอนดิ้น และก็ยังปูที่นอนนอนหน้าห้องพระเหมือนเดิม แต่ไม่เจออะไรแล้ว เพราะก่อนนอน
เราจะตั้งจิตบอกว่า "ก่อนนอนหนูจะพยายามนอนให้เรียบร้อยที่สุดนะคะ แต่ถ้าหลับลึกไปแล้วหนูขอไม่รับผิดชอบ
กับการกระทำของหนูนะคะ ถือว่าหนูหลับแล้ว หนูไม่รู้เรื่องละกัน"
จบค่ะ