เรื่องการเล่นผีปากกา และประสบการณ์ ที่ยากลืมในชีวิต
ผีปากกา หรือ เรียกว่า angel วิธีการเล่นก็คือ ทำกระดาษคล้ายผีถ้วยแก้ว จะเขียนทั้งอักษรไทย ทั้งอังกฤษก็ได้ มี option yes กับ no แต่ใช้ปากกาแทน เล่นกันแค่สองคน จับปากกา แล้วพูดพร้อมกันว่าถ้า angel มีอยู่จริง มาเล่นกับพวกเราหน่อย ถ้าเล่นเสร็จจนพอใจแล้ว ก็เชิญให้ออก แล้วก็ฉีกกระดาษทำลายซะ ที่น่ากลัวที่สุดก็แค่ ปากกามันวนไปวนมาที่ตัวอักษรเดียวไม่ยอมหยุด "เรื่องการเล่นผีปากกา. และประสบการณ์ ที่ยากลืมในชีวิต" ประสบการณ์จริงจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2929173 ขอขอบคุณเรื่องราวหลอนๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ก่อนอื่น เราขอออกตัวก่อนว่าเป็นกระทู้แรกของเรา และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ตอนนี้เราอายุ29ปี ย้อนไป15ปีที่แล้ว เด็กสาวอายุ14วัยแรกรุ่น กับรักป๊อปปี้เลิฟ เรามีแฟนคนแรกตอนเรียนมัธยม ปีที่2. แฟนของเราในสมัยนั้น คือทำการบ้านด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน วันวาเลนไทน์ วันเกิด มีของขวัญให้กัน จับมือกัน โอ้ย สมัยนั้นคทอสวีทสุดแล้วคะ เราคบกับแฟนเราตอนนั้นตั้งแต่ ม.2 จนจบม.3. แฟนเราก็ไปเรียนต่อที่โรงเรียนเทคนิค ที่นึง แล้วเราไม่นาน ก็มีคนบอกมาบอกว่าแฟนเรา มีคนคุยด้วยใหม่ ตอนนั้นเราโกรธแฟนมากค่ะ ก็เลิกกัน
(และต่อไปนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้น ขอรับรองว่าจริงทุกอย่างค่ะ) ผ่านไป2เดือน ใกล้ถึงวันเกิดแฟนเก่าเรา เราเอาของที่แฟนเราเคยให้ ทุกชิ้น ไปเผาค่ะ แล้วสาปแช่งแฟนเรา ขอให้วันเกิดเค้า เป็นวันที่เค้าเจ๊บปวดไม่มีความสุข เราสาปแช่งให้เค้าตาย!!
เราทำไปด้วยความรู้สึกโกรธ ทำไปเพราะเราแค่อายุ15เราไม่คิดว่า...
คืนวันที่ 30กันยา เรานอนหลับค่ะ เราฝัน ในฝันคือเรายืนส่องกระจกในห้องนอนของเรา และหยิบหวีจึ้นมาหวีผม เรามองดูตัวเองในกระจกหวีผม ค่อยๆหวี แล้วเลือดก็ค่อยๆไหลออกมาที่จมูกข้างขวาเรา และเราก็สะดุ้งตื่นค่ะ เพราะเสียงพี่ชายมาเคาะประตู เรายังตกใจฝัน แต่ก็งัวเงียไปเปิดประตูพี่ชายเราบอกว่าเมื่อคืนขับรถไปเจออุบัติเหตุมา พี่ชายเราเลยลงไปช่วย พาคนเจ๊บไปส่งโรงพยาบาล คนๆนั้นคือแฟนเก่าเรา เราเลยบอกว่าไม่ใช่หลอก ไม่จริง จนเราโทรไปถามเพื่อนอีกคนที่รู้จักแฟนเก่าเรา ยืนยันว่าใช้ แฟนเก่าเรานอนอยู่โรงพยาบาล หมอบอก50/50
เพื่อนชวนเราไปเยี่ยม แต่เราปฏิเสธ เราคิดว่าคงไม่เป็นไร จนประมาณบ่าย2เราเลยตัดสินใจจะไปโรงพยาบาลค่ะ แล้วเพื่อนเราก็โทรมาบอกว่าเเฟนเก่าเรา เสียชีวิตแล้ว ....
ตอนนั้นเราช๊อคไปเลยค่ะ ร้องไห้แบบเสียใจมาก
เหมือนคนโดนมีดมาแทงๆที่อกเลยค่ะ
หลังจากแฟนเก่าเราตายไป1ปี เรากลายเป็นคนปิดโลกไปเลยค่ะ เป็นคนชอบอยู่เงียบ เป็นคนไม่ค่อยร่าเริง ในใจเราคิดถึงเค้าตลอด ลึกๆก็ไม่ได้โทษตัวเองนะคะ ที่ไปแช่ง เราคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ที่สำคัญเราไม่ใช่คนกลัวผี ไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้เลย
บังเอิญตอนนั้นเราไปดูรายการผี รายการนึงค่ะ เค้าเล่นผีปากกากัน เราเคยเห็นหรือได้ยินแต่ผีถ้วยแก้ว เราคิดว่ามันแปลกดี วิธีเล่นก็คล้ายๆผีถ้วยแก้ว แค่เปลี่ยนจากแก้วเป็นปากกา เราจำคาถาเรียกวิญญาน หรือผีได้ดี
แต่ขอไม่พิมพ์นะคะ หลอนกับคาถานี้ จนไม่อยากบอกหรือให้ใครลอง
เราด้วยความคึกคะนองของเด็ก เลยชวนน้อง(ลูกชายของอา)มาเล่นค่ะ ตอนที่เราเล่นกับน้อง. เราก็สวดคาถา3จบ แล้ว เอ่ยกล่าว ว่า "หากมีวิญาณหรือผีตนใด อยู่ตรงนี้ ช่วยเข้ามาในปากกา เรามีเรื่องอยากถาม"
ตอนนั้นปากกาก็เดินตามที่เราถามนะคะ
ในใจก็คิดว่าน้องแกล้งแน่ๆ ก็ขำๆไปค่ะ
ยังไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดกับตัวเอง
พอตกค่ำเราเข้าห้องนอน อย่างที่บอกเรากล่ายเป็นคนโรคส่วนตัวสูง ชอบอยู่คนเดียว แม่ก็จะรู้ จะคอยเรียกให้กินข้าว อาบน้ำอะไรทำนองนี้
เราเข้ามาในห้อง แล้วอะไรดลใจไม่รู้ค่ะ เอากระดาษA4ที่ไว้ทำรายงาน มาเขียน ก-ฮ เขียนสระ. และเลข. และมีช่อง ใช่ กับ ไม่ใช่ แล้วเอาปากกามา. ท่องคาถา เรียกแฟนเก่าเราที่ตายไปค่ะ เราบอกว่าถ้าแกได้ยินหรือรับรู้ ให้มาเข้าปากกาด้ามนี้ เรามีเรื่องอยากถาม จากนั้นปากกาเราก็เริ่มเดินค่ะ. เดินวนๆๆๆ เราเลยเริ่มถาม ใช่ Rใช่มั้ย .... ปากกาหยุด แล้วค่อยๆเดินไปที่ คำว่า ไม่ใช่!!! เราถามว่า "ถ้าไม่ใช่ คุณชื่ออะไร " ปากกาเดินไปที่เลข 5. เดินออก แล้วเดินไปที่เลข 5. เดินออก เดินกลับไป ที่เลข5. เรายังคิดในใจ ผีตัวนี้. กวนตีนจัง!!
จากนั้นเราก็ถามว่าเป็นอะไรตาย ปากกาหยุด เดินวนๆๆๆๆ แล้วเดินไปที่ตัว "ฆ" เราเริ่มรู้สึกไม่โอเค ก็เลย ไม่อยากเลย แต่เราไม่ได้เชิญเค้าออก เราวางปากกาลง ไม่ได้คิดอะไร แล้วนอน....
หลังจากวันนั้น เราเลิกเรียนมา เรามานั่งเล่นผีปากกาทุกวันเลยค่ะ เราเล่นเหมือนเราคุยกับใครก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกที คือเราเขียนโต้ตอบกับใครซักคนบนกระดาษไปแล้ว เราเริ่มได้ยินเสียงคนมาคุยหรือพูดกับเราในหู พูดว่า"ต่อไปนี้ไม่ต้องเขียนแล้วนะ เราคุยกันแบบนี้ดีกว่า "ตอนนั้นเราตกใจแล้วก็แปลกใจนะคะ แต่ก็ไม่กลัว คนในหัวเรา คุยกับเราตลอดเวลาเลยค่ะ จนบางครั้งเราเหมือนคนพูดคนเดียว เพื่อนเราคิดว่าเราป่วย คนที่อ่านอยู่ก็คงคิดว่าเราบ้า แต่เรามั่นใจว่าเราไม่ได้บ้าค่ะ เราคุยกับคนในหัวเราทุกวัน ตลอดเวลา จนผ่านไปเรื่อย ๆ เค้าเริ่มทำให้เรากลัว พูดใส่หูเราให้เราทำนั้นนี้ เช่น เรานั่งรถเมล์ ก็บอกให้เรากระโดดลงไปเลยค่ะ บอกเราว่ามีคนจะทำร้าย บอกว่าคนนั้นนี้จะฆ่าเรา จนเราไม่อยากไปโรงเรียน เรากลัวเพื่อน เราไม่อยากเจอใคร
จนในที่สุดวันนึง เรานอนอยู่บนห้อง พ่อแม่ พี่ชายเรา นั่งทานข้าวอยู่ข้างล่าง. คนในหัวบอกเราให้เดินลงไป เดินลงไปเดี๋ยวนี้ เราก็เดินลงไป แล้วเราก็ไปยืนข้างแม่ที่นั่งกินข้าว "ตบหนูสิ!!" แม่และทุกคนบนโต๊ะกินจ้าวหันมามองเราเป็นสายตาเดียวกับ เราเริ่มตะโกน "ตบหนู บอกให้ตบ!!" พี่ชายเราลุกขึ้นมาตบหน้าเรา แรงมาก เราร่วงไปกองที่พื้น ตอนนั้นเหมือนสติมา แม่กับพ่อเราด่าพี่ชาย แล้วมากอดเรา เป็นอะไรลูก!! หนูเป็นอะไร เราร้องไห้ "มันบอกให้หนูพูด" แม่เราถามใครลูก เราตอบแม่ไม่ได้ ย่าเราอายุ80กว่าปี เดินมากอดเรา แล้วพาเราไปนอนที่เตียงท่าน ย่าเราลูบหัวเรา แล้วถาม "เป็นใคร" เราเงียบ "มาอยู่กับหลานย่า มาทำร้ายหลานย่าทำไม ไปเถอะนะ"
เสียงในหัวเราตอบ ไม่ไป!!!
เราร้องไห้ พูดกับย่า "เค้าไม่ไป"
พอสิ้นเสียงที่ตอบย่า ว่าเค้าไม่ไป
ย่าเราก็เดินไปคุยกับพ่อแม่ เราไม่ค่อยได้ยินเสียงที่เค้าคุยกันหลอกนะคะ
เราลืมบอกว่า. บ้านเราเป็นอิสลาม
ซักพักย่าเราให้พี่ชายเราโทรหาใครไม่รู้
ทุกคนมีท่าที่ร้อนรน แม่เราพูดประมาณว่าเราต้องกินยาอะไร ยาลดความอ้วนหรือเล่นยาอะไรซักอย่างถึงมีอาการแบบนี้ แต่ย่าเราโบกมือเป็นสัญญาณให้ไม่ต้องพูด เหมือนย่าเรารู้อะไรบางอย่าง เราได้แต่นอนตัวสั่น
เสียงในหัว หัวเราะชอบใจ "ไม่มีใครช่วยได้หลอก ไปอยู่ด้วยกันเถอะ เรารรักกันไม่ใช่หรอ"
ตอนนั้นเราไม่ไหวแล้ว เรามองไปหัวเตียงของย่า มีสร้อยเป็นลูกประคำของอิสลามที่ย่าเราได้มาจากซาอุดิอาระเบียตอนไปประกอบพิธีฮัจย์ เป็นพิธีสำคัญของศาสนาอิสลาม ที่ครั้งนึงในชีวิตต้องไปซักครั้ง
เราเามือจับสร้อยเส้นนั้นมากอด เหมือนสร้อยเป็นแม่เหล็กอะไรซักอย่างค่ะ มันดูดตัวเรา แบบแรงๆตึบๆ เจ๊บปวดแต่รู้สึกดี เราเอาสร้อยไปไว้ที่หน้าผากกดมันไว้แบบนั้น เสียงในหัวเงียบ เราดีใจมากเลยค่ะ แต่เราเจ๊บมาก มันดูดที่หน้าเราตุ๊บๆ
ซักพักย่าเราเดินมาหาเราที่เตียงยื่นโทรศัพท์มาให้เรา บอกว่าคุยกับลุงเค้าหน่อยนะลูก เรารับโทรศัพท์แนบหู "ฮัลโหลจ่ะ" เสียงปลายสายเป็นเสียงผู้ชายสำเนียงมลายู เป็นแขกที่เราฟังเค้าพูดไม่ค่อยชัด ถามเราว่าเป็นยังไงบ้าง เราตอบเค้าไปว่า"ปวดหัวจ่ะ" เค้าเงียบ!! แล้วบอกเราว่า เอาโทรศัพท์ให้ย่าหน่อย. เรายื่นโทรศัพท์ไปให้ย่า ย่ารับไปคุย เราไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน แต่ซักพักพ่อเราก็ไปสตาจรถ และย่าก็มาพยุงเราขึ้นค่ะ แต่ไม่บอกว่าจะพาเราไปไหน....
พอเราขึ้นรถ มีพ่อ แม่ ย่า เรา และพี่ชาย
เสียงในหัวเรามาอีกแล้วค่ะ ทั้งๆที่เราสร้อยลูกประคำกดไว้ที่หน้าผาก "ไม่มีใครช่วยได้หลอก" จำได้ว่าภาพที่เรามองทางข้างหน้าคือพ่อเราขับรถวนๆอยู่ตรงจุดๆนึงที่เดิม เสียงในหัวเราพูด "เดี๋ยวกูจะทำให้รถคว่ำตายกันทั้งคัน!!!" เราร้องไห้กอดย่า "หนูกลัว"
เวลาเดินทางประมาณ40นาที รถก็จอดอยู่บ้านไม้เก่าๆหลังใหญ่หลังนึง ทุกคนพาเราลงรถเดินเข้าไปในบ้าน เดินขึ้นบรรไดไม้หน้าบ้านขึ้นไปบนบ้าน ที่เป็นกระชานโล่งมีหลังคา มีผู้ชายคนนึง อายุราว50กว่าๆ ใส่เสื้อสีขาว ผ้าโสร่ง ใส่หมวกอิสลาม นั่งรออยู่. เราจำได้ว่าเค้านั่งก้มหน้า พันหมากพลู ทำอะไรจุกจิกๆของเค้า แต่ไม่เงยหน้ามองเราเลยค่ะ แต่ส่งสลามให้ย่า พ่อแม่และพี่ชายเรา ย่าจับให้เรานั่งตรงหน้าเค้า. เรานั่งท่าพื้น ยกขาข้างนึง ท่าเหมือนนักเลงนั่งคุยกันอะคะ ท่าประหลาดๆที่เราก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงนั่งท่านั้น และยังจ้องไปที่ลุงหมอ ยิ้มเย็นๆใส่เค้าอีกด้วย แม่เราดุเราให้นั่งดีๆ เหมือนไม่สำรวม แต่เราก็ไม่เชื่อ คือเรารู้ตัวเราหมดนะคะ แต่เราต่อต้านตัวเองไม่ได้เลย
ลุงหมอคุยกับทุกคนยกเว้นเราค่ะ เราแปลกใจว่านี้เค้าจะช่วยเราจริงๆหรอ ทำไมไม่เห็นทำอะไรกับเราเลย เค้าก็นั่งม้วนๆหมากพลู อยู่อย่างนั้น แล้วก็หยิบแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมจตุรัสออกมา1แผ่น เอาเดินสอเขียนอะไรซักอย่าง จังหวะทุกคนไม่มีใครสนใจเราเลย เราก็เริ่มเหม่อค่ะ รู้ตัวอีกที มีคนมายืนด้านหลังเราแล้วเอามือวางบนหัว ลุงหมอนั้นเองค่ะ งงมากว่าเค้าเดินมาหลังเราตอนไหน เค้ากดที่หัวเรา มันดูดที่หัวเราตุ๊บๆอีกแล้วค่ะ แล้วเค้าเอามือกดที่หลังศรีษะเราดึงขึ้นเหมือนถอนหัวเราเลยตอนนั้น เหมือนยกอะไรออกไปซักอย่าง ความรู้สึกเราโล่งและรู้สึกดีมาก แล้วเราก็นอนลงไปเลยค่ะ นอนยาวๆเอามือกอดอก. ลุงหมอลงไปที่ชั้นล่าง
ซัก10นาทีแล้วขึ้นมา ตอนนั้นเรารู้สึกตัวเองว่าตัวเบามากเลยค่ะ แล้วลุงหมอก็นั่งที่เดิม แต่ตอนนี้ลุงหมอสบตาเราแล้ว พร้อมทั้งยิ้มให้ เค้าบอกย่าเราว่า โดนเยอะนะ. โดนของ3อย่าง ไม่ตายก็โชคดีแล้ว ย่าเราถามว่าโดนอะไรบ้าง
ลุงหมอบอก ของผีตายโหง/ของคนแกล้ง/ของเสน่ห์ เราก็ตกใจ อันสุดท้าย ใครจะมาทำเราว่ะ ของเสน่ห์เนี่ย หลังจากนั้นลุงหมอ ยื่นแผ่นเหล็กเล็กที่เค้าเขียนอะไรซักอย่าง ยื่นมาให้เรา "ติดตัวไว้นะ ฝากพี่ชายดูแลแล้ว" เราหันไปมองพี่ชายเรา พี่ชายทำหน้างงๆ แล้วห้ามเดินรอดใต้ต้นมะม่วงมะยมซักพัก เราก็พยักหน้ารับที่ลุงหมอสั่ง จากนั้นก็ให้เราลงไปชั้นล่าง ให้ไปอาบน้ำมนต์ ที่ใส่กระป๋องใบใหญ่ไว้ แล้วสั่งให้เราไปอีก2วัน รวม3วันที่ต้องอาบน้ำ
คืนนั้นเรารู้สึกปรกติมาก เสียงในหัวยังได้ยินอยู่ แต่ไม่ใช่คนเดิม!!! คืนนั้นเราฝันเห็นผู้ชายคนึงใส่ชุดสีขาว ทัดใบไม้สีเขียวเดินมาหาเราแล้วยิ้มให้ เราตื่นเช้ามาทุกอย่างปรกติ เสียงในหัวเราทักทายเราเป้นใครอีกคนที่เราไม่รู้จัก แต่เค้าดีกับเรา เราอุ่นใจ อาเราบอกแม่ว่า เมื่อคืนหลานเราวัย3เดือนเศษไม่นอนเลย ร้องทั้งคืน ย่าเราบอกว่าเค้าคงพยายามตามกลับมา และเราได้ยินย่าบอกอาว่า เมื่อคืนตอนลุงหมอคุยกับเราในโทรศัพท์ ไม่ได้ยินเสียงเราพูดเลย เป็นเสียงคนอื่น เลยรีบให้ย่าพาไปหา บอกย่าว่าแย่แล้ว พี่ชายเราเอากระดาษที่เราเขียนในห้อง ไปเผาหมดเลยค่ะ เราพึ่งสารภาพกับย่าว่าเราไปเห็นเค้าเล่นผีปากกามา เลยมาลองเล่นบ้าง ย่าบอกของผีตายโหงคือ ผีที่เราเรียกเค้ามาคุยด้วยแล้วเราเล่นผิดวิธีคือไม่เชิญเค้าออกค่ะ ของเลยเข้าตัว ของคนแกล้ง มาจากลมเพลมพัด ที่เราไปเรียกเหล่าวิญญานสิ่งไม่ดีทั้งหลายเลยมาเข้าตัว ของเสน่ห์คือจิตที่เราคิดสาปแช่งแฟนเก่าเราให้ตาย ถึงแม้เค้าจะตายตามอายุขัย แต่ด้วยการคิดไม่ดี คิดอยากได้เค้า ความเสน่หา มันเลยสะท้อนกลับตัวเอง
เจ๊บปวดและเกือบตาย ถ้าเรากระโดดลงจากรถ กระโดดอาคารเรียน หรือทำอะไรตามที่เสียงในหัวบอก เราคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ ตอนนี้เชื่อสนิทใจเลยค่ะ. ว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นมันมีอยู่จริงๆ แต่เราก็ไม่ใช่คนกลัวผีเหมือนเดิม แต่จะไม่ลบหลู่. อยู่ในที่ทางของเรา
เวลาผ่านไป เสียงในหัวเราค่อยๆ หายไปเอง โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวว่าเมื่อไหร่ และพี่ชายที่ลุงหมอบอกฝากดูเเล ก็ได้รู้ว่าไม่ใช่พี่ชายเราหลอกค่ะ คงเป็นพี่ชาบที่ลุงหมอเค้าให้มาดูแลเราอีกที
ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตปรกติค่ะ มีบ้างที่เจอเรื่องแปลกๆ เช่นมีคนทักว่า เห็นผู้ชายสูงๆจาวๆเดินตามเรา. ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าเค้าคือใคร เพราะลักษณะที่บอกก็เหมือนแฟนเก่าเราที่ตายไป เราไม่รู้ว่าคำสาปแช่งของเรายังทำให้เค้าติดบ่วงที่เรา หรือว่าเป็นพี่ชายที่ลุงหมอฝากให้ดูแล. เรื่องราวของเราก็จบลงแค่นี้ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านนะคะ
จากพันทิป เรื่องการเล่นผีปากกา และประสบการณ์ ที่ยากลืมในชีวิต
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 2929173
Post a Comment