เรื่องเล่าจากเครื่องบินตก2534


     เป็นเรื่องเล่าจากนักข่าว ในเหตุการณ์สยองในที่เกิดเหตุเครื่องบินเลาด้าแอร์ตกที่อุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี และเรื่องราวหลอนๆเมื่อเค้าเก็บสิ่งของจากที่เกิดเหตุมา เรื่องราวที่เกิดเหตุ และบรรยากาศ ลองไปฟังกันเลยครับ

     เหตุการณ์ที่ผมขอสารภาพเป็นธรรมทานนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพ.ค.2534 หลังจากสายการบินเลาด้าแอร์ บินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 6 นาที ก็หายไปจากจอเรด้า หอบังคับการวิทยุแจ้งทุกหน่วยงานว่าสงสัยเครื่องบินจะตก ในรัศมีประมาณจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี หรือประเทศพม่า เหยี่ยวข่าวอย่างผมได้รับคำสั่งจากกองบรรณาธิการให้เดินทางไปทำข่าวทันทีที่ได้รับวิทยุ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบเป้าหมายที่แน่ชัด ช่วงนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ต้องขับรถแข่งกับสื่อมวลชนแขนงอื่นๆ ทั่งวิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์ และมูลนิธิที่ต้องไปเก็บศพ  ด้วยความคึกคะนองของช่วงวัยรุ่นที่กล้าได้กล้าเสียแบบไม่กลัวตาย แต่กว่าจะไปถึงจุดที่เครื่องตกเวลานั้นก็ประมาณตี 5 เคยวาดภาพว่าจังหวัดสุพรรณบุรีมีแต่ทุ่งนานั้นผิดถนัด เพราะจังหวัดสุพรรณฯจุดที่เครื่องบินตกเป็น ต.ห้วยป่าขี อ.ด่านช้าง พื้นที่ติดต่อกับอ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จึงเต็มไปด้วยป่าเขา ต้องขับรถปีนขึ้นไปบนภูเขา เห็นแต่แสงไฟลุกไหม้ป่า


  สภาพที่ไปถึงใหม่ๆ ได้กลิ่นเหม็นไหม้ของซากศพ ช่วงนั้นทุกคนทำอะไรไม่ได้ ต้องนอนพักผ่อนในรถใครรถมันด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นขึ้นมาช่วงเช้าเดินไปถ่ายรูปสัมผัสกับบรรยากาศสุสานคนตาย ซึ่งเกิดจากกรรมอะไรไม่ทราบที่ต้องมาจบชีวิตรวมกันถึง 223 ศพ ไม่มีรอดแม้แต่คนเดียว 1 ในผู้เสียชีวิตมีนายไพรัช เตชะริน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นรวมอยู่ด้วย

  กลิ่นคาวเลือด กลิ่นไหม้คลุ้งทั่วภูเขา สภาพศพแต่ละท่านช่างน่าอนาถนัก บางคนแขนขาด ขาขาด หัวขาด ไส้ทะลัก  อันเกิดจากแรงกระแทกที่หนักหน่วง เหมือนลูกแตงโมที่ตกจากที่สูง จุดที่พบศพผู้โดยสารที่เคราะห์ร้ายมากที่สุดคือตรงกลางลำประมาณ 80 ศพ  กระจัดกระจายเกลื่อน ลักษณะมือกำไว้แน่น เกร็ง เหมือนจะรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะตก สภาพศพคนไทยหรือคนเอเซีย เจ้าหน้าที่มูลนิธิใช้ผ้าขาวเพียงผืนเดียวก็ห่อศพ ส่วนศพฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ อ้วน ต้องใช้ผ้าขาวห่อศพถึง 2-3 ผืน

ผมมีหน้าที่ทำข่าว รายงานข่าวสดๆ จากจุดเกิดเหตุกลับกรุงเทพฯอย่างเร่งด่วนด้วยเครื่องโทรศัพท์ฮอทไลน์กระเป๋าหิ้ว เครื่องประมาณ 2 แสน ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นโทรศัพท์ที่ทันสมัยที่สุด ไม่มีไอโฟนหรือสมาร์ทโฟนเหมือนปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตไม่มี ต้องใช้โทรศัพท์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนภาพถ่ายเป็นฟิล์มต้องนำมาส่งรถทัวร์ในตลาดด่านช้าง เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาล้างตีพิมพฺ์

ช่วงเช้าของวันนั้นหลังจากข่าวแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีไทยมุง ชาวเขามุง(มีกะเหรี่ยง ชาวเขาอยู่ด้วย) เดินทางมายังตีนเขาแน่นไปหมด แม้กำลังตำรวจ อาสาสมัครนับ 100 ก็ห้ามไม่อยู่ ลักษณะของเครื่องบินมันตกในป่า ลำตัวเครื่อง หัวเครื่อง ท้ายเครื่องห่างกันเป็น 2-3 กิโลเมตร แล้วกระจายเกลื่อนป่า ยากต่อการเก็บศพและลำเลียงมารวมกัน เพราะยังเป็นป่าที่สมบูรณ์มาก จะเดินหรือติดต่อกันต้องใช้วิทยุ(วอ)สั่งการเท่านั้น

  สายการบินเลาด้าแอร์เที่ยวนั้นกำลังจะบินไปยุโรป ที่ประเทศออสเตรีย เพื่อจะพาคุณหญิง คุณนายหรือผู้มีอันจะกินไปดูโอเปล่า ที่กรุงเวียนนา ทุกคนต่างแต่งตัวสวย ด้วยเครื่องประดับล้ำค่า แหวนเพชร นาฬิกา สร้อยคอต่างหู หรูหรา พกเงินเป็นฟ่อน และเป็นที่แน่นอนทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นก็จะถูกเก็บ ถูกฉกไปจากที่พวกเราเรียกว่าแร้งทึ้ง มีทั้งเจ้าหน้าที่เก็บศพ ชาวบ้าน พราน ชาวป่า ถึงขนาดว่ามีนายทุนมารับแลกเงินดอลล่าร์กันที่ตีนเขา ช่วงปีนั้น 1 ดอลล่าร์ราคาแลก 25 บาท นายทุนมาแลก 10-15 บาท พวกแร้งทึ้งก็ยอม

  เจ้าหน้าที่มูลนิธีฯต้องใช้เวลาเก็บศพอยู่ประมาณ 4-5 วันถึงลำเลียงศพออกมาชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ได้เกือบหมด มีหลงเหลือบ้างก็เป็นพวกชิ้นเนื้อ กระดูก ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่หมาป่า สัตว์ร้ายแทะเอาไปกิน หลังจากส่งข่าวแล้ว ผมจะกลับมานอนที่โรงแรมใน อ.ด่านช้าง เมื่อมาถึงโรงแรมหรือไปนั่งในร้านอาหาร สาวเสิร์ฟมักจะถามว่าพี่ไปเก็บศพมาหรือ เพราะกลิ่นศพจะติดมากับเสื้อผ้า บางครั้งซักแล้ว และซื้อตัวใหม่ แต่กลิ่นศพก็ยังติดตัว ผมก็จะภาวนาว่า มาทำข่าวตามหน้าที่นะ เราไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกัน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้วิญญาณแต่ละดวงอยู่ห่างๆ เราไว้ อย่าตามมาหลอกหลอนเลย พร้อมๆ กับนิมนต์พระวัดใกล้ๆ ไปสวดบังสุกุลให้

   ด้วยภาระกิจที่ต่อเนื่องผมต้องอยู่ทำข่าวเกือบครึ่งเดือน รอทำข่าวญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตบินมาจากต่างประเทศ เพื่อมาเรียกวิญญาณกลับ ได้เห็นพิธีกรรมแต่ละชาติศาสนา เรียกวิญญาณ เชิญวิญญาณแตกต่างกันไป รอสัมภาษณ์ "นิกิ เลาด้า"  นักแข่งรถสูตร 1 (ในอดีตดังมาก) เป็นเจ้าของสายการบินเลาด้าแอร์ บินจากกรุงเวึยนนา มาดูเครื่องบินไอพ่นชะตาขาดของตัวเอง และรอทำข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ที่ฉกทรัพย์ แร้งทึ้งทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตมาทำแผน ประกอบคำรับสารภาพ มีผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก  มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิเก็บศพรวมอยู่ด้วย

  สำหรับตัวกระผมเอง วันนั้นจำได้ว่าเดินทางไปกับตำรวจ 3-4 นาย เพื่อไปถ่ายภาพและทำข่าวที่ห้องนักบิน หรือกัปตัน ซึ่งห้องดังกล่าวกระจายห่างออกไป 2 กิโลเมตร สภาพห้องกัปตันโดนไฟไหม้เกือบหมด มีเอกสารกระจัดกระเกลื่อน ผมไปเห็นหนังสือสมบูรณ์อยู่เล่มหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ อ่านพอจับใจความได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการนำร่องของนักบิน วิธีการขับเครื่องบิน ผมก็เก็บนำมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปด้วยกัน ตำรวจบอกว่าเก็บไว้ที่น้องก็ได้ ไม่ใช่เป็นหลักฐานทางคดี หรือน้องจะเอาไปอ่านประกอบการทำข่าวก็ได้  ผมจึงนำมาเก็บไว้ที่รถทำข่าว และก็นำติดตัวกลับมากรุงเทพฯ  มานั่งอ่านก็ไม่ค่อยเกี่ยวหรือมีเนื้อหาพอจะมาทำข่าวได้ จึงเก็บไปไว้ที่อพาร์ตเม้นท์แถวหน้ารามฯ  ปรากฎกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่หลายวัน มีอะไรคอยติดตามมา หน้าผมจะดำมากช่วงนั้น ถามแฟนที่อยู่ด้วยกัน เขาก็บอกว่าไม่สบายใจ แต่สรุปฯแล้วต้องย้ายออกจากอพาร์ตเม้นหลังนั้น ผมย้ายไปพักอยู่แถวสุทธิสารพร้อมหนังสือเล่มนั้น แล้วก็ลืมๆ ไป นึกขึ้นได้ก็หาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอแล้ว จะเอาไปคืนก็หาไม่เจอ สิ่งที่ผมกระทำไป รู้สึกผิด ที่หาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอ และไม่ได้นำไปคืนที่เดิม จึงขอสารภาพบาปที่ได้กระทำไป บุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ขออุทิศให้วิญาณทั้ง 223 ดวง และเจ้าของหนังสือเล่มนั้นด้วย สาธุ

ไม่มีความคิดเห็น