หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

HOME

27 ก.พ. 2562

งูผีจองเวร


     บางครั้งอาจเกิดขึ้นได้ เรื่องของแรงอาฆาตสุดแรงจากสัตว์เลื้อยคลาน เช่นงูเห่า งูจงอาง เป็นต้น แรงอาฆาตจากงูจงอาง ที่หากใครพรากลูกพรากเมียครอบครัวมันไป มันจะตามไปฆ่าล้างแค้น และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมันจะตามไปจนเจอ และจัดการตอนเผลอ เรื่องต่อไปนี้นะครับเป็นแรงอาฆาตจากงูครับ เล่นเอาเสียหลักกันไปเลย ลองไปติดตามชมกันเลยครับ

     สมัยหนุ่มผมอยู่บางนาใกล้ๆ วัดทุ่ง มีถนนขรุขระไปออกก้นซอยอุดมสุขได้ ใกล้กับซอยนั้นมีร้านอาหารป่าเป็นโรงเรือนชั้นเดียวโล่งๆ ด้านซ้ายตั้งโต๊ะเตี้ยๆ กลางแจ้งมีเสื่อปูให้ลูกค้านั่งล้อมวงดื่มกินกันอย่างสบายใจ

ร้านนี้มีทั้งงูเห่า เต่า ตะพาบ ไปถึงเก้ง กวาง แย้ผัดเผ็ดใส่เปราะหอมก็ขายดี บางวันมีเมนูพิสดารเป็นเนื้อเสือ เนื้อหมีด้วย หลายๆ คนก็อยากลองกินดู

ผมมีเพื่อนสนิทชื่อเจ้าหมั่น อาชีพขับรถกระบะรับจ้าง วันไหนกลับเร็วก็จะมาชวนผมไปกินเหล้า ผลัดกันเลี้ยง...ตอนนั้นมีแค่ 200-300 บาทก็ได้เมากันเต็มที่แล้วครับ

เจ้าหมั่นชอบชวนไปร้านอาหารป่าที่ว่าบ่อยกว่าที่อื่น มันบอกว่าถูกปากดี!

เราชอบนั่งกลางแจ้งมากกว่านั่งโต๊ะในร่ม สั่งเหล้าโซดาน้ำแข็ง...ที่ขาดไม่ได้คืองูเห่าผัดเผ็ด วันไหนเงินหนาก็จะสั่งเลือดและดีงูมากิน เจ้าหมั่นบอกว่าแก้หนาว นัยน์ตาดีเหมือนตางู...ข้อสำคัญคือเป็นยาโป๊วที่พวกผู้ชายชอบกินกัน

ตอนจะเข้าห้องน้ำเราต้องเดินผ่านกรงใส่งูเป็นๆ ทั้งน่ากลัวและน่าสงสารบอกไม่ถูก มีลูกค้าบางคนมาชี้ว่าจะเอาตัวนั้นตัวนี้ บางคนก็ดูเขาปาดคองูเอาแก้วรองเลือดแดงข้น... กินทั้งเลือดงูดีงูอย่างหน้าตาเฉย!

ผมไม่เคยกินทั้งสองอย่าง...มองเขาถลกหนังงูเห็นเนื้อขาวๆแต่มันยังไม่ตาย เพราะบิดไปมา จนผมต้องเดินหนี... นึกถึงตางูที่จ้องมองราวร่ำร้องว่ามนุษย์นี่ช่างใจร้ายสิ้นดี

วันหนึ่ง เจ้าหมั่นสั่งงูผัดเผ็ดตามเคย ผมสั่งยำกบกับแกงหอยขม มีแม่ค้ามาขายเมี่ยงคำเลยสั่งมารองท้อง รายการนี้ต้องจ่ายเงินก่อน...เจ้าหมั่นหายไปข้างในพักใหญ่ก็เดินสูบบุหรี่ ยิ้มกริ่มกลับมา...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันไปจัดการกับเลือดและดีงูมาเรียบ ร้อยแล้ว

เวลาผ่านไปจนมืดค่ำ...เจ้าหมั่นคุยฟุ้งถึงสรรพคุณดีงู แต่ผมนึกถึงพวกงูเห่าในกรงที่รอความตาย บางตัวแถกไถจนปากเปื้อนเลือดแล้วตันคอหอยจนไม่นึกอยากกิน

สามทุ่มกว่าลูกค้าก็บางตาลง รถราทยอยกันออกไป หนุ่มสาวบางคู่เดินคลอเคลียกันไปขึ้นรถยนต์ เลี้ยวขวาเข้าซอยอุดมสุข
...อาจจะมีบังกะโลสุขใจเป็นจุดหมายก็ได้?

เราลุกอืดอาดไปที่รถเจ้าหมั่นที่จอดแอบอยู่ริมทางด้านใน ตอนนั้นยังเป็นทุ่งหญ้าและป่าละเมาะค่อนข้างรก...ไม่ช้าก็ขับรถย้อนกลับทาง เดิมเพื่อกลับบ้าน

ผมเขม่นตาขวายิบๆ ใจนึกถึงแต่พวกงูที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในกรง...แสงไฟพวยพุ่งอยู่บนทางขรุขระ สองข้างทางเปล่าเปลี่ยวน่าใจหาย...จู่ๆ ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นกะทัน หัน ต่อหน้าต่อตาเราทั้งสองคน!

งูดำเมื่อมตัวหนึ่งกำลังเลื้อยปราดๆ จากพงหญ้าด้านซ้าย ตัดหน้ารถในระยะใกล้ ลำตัวขนาดใหญ่ราวต้นแขน ยาววาเศษ...หรือไม่ก็ราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุดลงเลย

"เฮ้ย! อะไรวะ..." เราตะโกนแทบพร้อมๆ กัน เจ้าหมั่นด่าตามเป็นชุดขณะที่ตะบึงรถแล่นทับงูตัวนั้นไป คิดว่าคงจะราวๆ กลางลำตัว ส่วนผมขนหัวลุก รู้สึกหนาวเยือกจากต้นคอลงไปตามแผ่นหลังเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง

เสียงรถเบรกเอี๊ยด เจ้าหมั่นเปิดประตูออกไปพร้อมกับคำราม

"ดีละ! กูจะเอามึงไปผัดเผ็ดกินพรุ่งนี้ซะเลย"

ผมนั่งตัวแข็งอยู่กับที่ แว่วเสียงเพื่อนบ่นอะไรพึมพำ ก่อนจะเดินมาบอกว่าไม่เห็นอะไรเลย! ขนาดรถทับมันกลางตัวเห็นๆ จนน่าจะขาดกลางแล้ว แต่ไม่รู้ว่างูตัวนั้นมันหายไปไหน? เจ้าหมั่นคว้าไฟฉายจากเก๊ะไปส่องดูให้แน่ใจ ไม่ช้าก็ผิดหวังกลับมาขึ้นรถ

"ไอ้ห่...งูผีหรือไงวะ? ตัวยาวเป็นวา โดนทับกลางตัวเสือกหายไปเฉยเลย"

คืนนั้นผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ฝันเห็นแต่งูในกรง ปากเปรอะเลือดส่งเสียงกรีดแหลม...ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดจนผมสะดุ้งตกใจ ตื่น ใจสั่น เหงื่อกาฬแตกซิก

วันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าเจ้าหมั่นเป็นไข้หนัก นอนซมอยู่กับบ้าน...ผมไปเยี่ยมก็เห็นมันหน้าซีดขาว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงพูดแหบแห้งเต็มที

"มันจะกินเลือดกู...มันจะกินดีกู! ไอ้งูผีเปรตนั่น...โอย..."

     ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว พูดจาปลอบโยนไปตามเรื่อง เมียมันเอายากับน้ำมาให้เจ้าหมั่นก็เอะอะว่าเป็นเลือดงูแดงสด... มันกินไม่ลง! เลือดงูผีตัวใหญ่ ยาวตั้งเกือบสองวา

กำหนดวันตาย


     เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรล้อเล่น ความคะนองของคนที่ชอบท้าทาย จากสิ่งที่มองไม่เห็น ชอบเล่นพิเรน บางครั้งเจอของจริงเข้า หรือสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ไม่ควรไปล้อเล่นนะครับ เพราะเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงกับการคะนอง ลองของล้อเล่น ลองไปติดตามกันเลยครับว่าจะสยองมากขนาดไหน

     คนเล่าเรื่องนี้เค้าชื่อคุณเบิร์ดนะครับ คือวันนึงเนี้ย

มีเพื่อนคุณเบิร์ดโทรมา

ให้ไปงานศพพ่อของเค้า
ที่วัดแถวๆเทเวศ
วัดนี้เค้าว่ากันว่าต้องมีเส้นมีสายพอ
สมควร
ถึงจะเอาศพมาตั้งได้
คุณเบิร์ดก็ได้ไปร่วมงานศพพร้อมกับเพื่อนๆกลุ่มนึง จนฟังสวดเสร็จ

แขกก็ทยอยกลับ
แต่คุณเบิร์ดกับเพื่อนๆยังคงนั่งคุยกับเพื่อนที่
เป็นลูกคนตายซักพัก

ระหว่างนั้นฝนก็ตกลงมาจนกลุ่มคุณเบิร์ดยังกลับบ้านไม่ได้

ระหว่างที่นั่งรอฝนหยุดอยู่นั้น กลุ่มเพื่อนๆคุณเบิร์ด ก็เกิดความคะนอง

มีคนนึง ชื่อเอก
พูดทำนองเล่นๆว่า " งานนี้ไม่ค่อยดีเลยเนอะ เลี้ยงแค่เอแคร์

ถ้าเป็นงาน ศพเรานะ
เราจะเลี้ยงเอสแอนด์พีเลย " หลังจากนั้นมีเพื่อนอีกคนนึง

มองไปเห็นกระดานหน้าศาลา(กระดานที่ไว้ใช้เขียนชื่อคนตาย เวลาสวด

ใครเป็นเจ้าภาพวันไหนฯลฯ)
ซึ่งคุณเบิร์ดเค้าลองให้ผู้ฟังและพี่ป๋องสังเกตดู
ว่าแทบทุกวัดกระดานพวกนี้จะไม่มีใครเค้าทิ้งชอร์คไว้เลย
ไม่มีแม้แต่เศษที่ตกตามพื้น
เวลาเขียนมักจะให้เจ้าหน้าที่ของวัดเท่านั้นเป็นผู้เขียน

และเขียนแล้วก็มักจะเก็บชอร์คไว้อย่างมิดชิด

แต่เพื่อนของคุณเบิร์ดคนนึง วิ่งหายไปซักพัก แล้วไปหามาได้

ซึ่งไม่รู้ไปหามาจากไหน
แล้วก็เอามาเขียนเล่น เป็นชื่อจริง นามสกุลจริง
ของคนชื่อเอก
แทนที่คนชื่อเอกจะโกรธ กลับบอกว่า " เฮ้ย!!!
มรึงเขียนนามสกุลกูผิด
จริงๆมันต้องแบบนี้
" แล้วเอกก็ไปแก้ชื่อให้ถูก ด้วยการลบตัวการรันต์

ด้วยความคะนองที่ยังไม่จบ เพื่อนคนนั้นก็เลยเขียนทั้งวันตาย วันเผา

เอกก็ให้ความร่วมมือด้วยการเล่นตอบ เอกบอกว่า " โห
ไม่เอา ไม่ตายวันนี้หรอก
(วันที่เพื่อนเขียน)กูตายวันนี้ เดี๋ยววันจันทร์พวกมรึงก็ไม่มางานกู
"
แล้วเอกก็เอาโทรศัพท์มาดูปฏิทินแล้วบอกต่อว่า
" เอาวันนี้ดีกว่า
วันที่ 14 ส.ค. 49 แล้วอีก 7
วันก็เผา วันที่ 20 ส.ค. 49"

ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ต่างคิดกันว่าเป็นเรื่องขำๆ แล้วก็

ได้เขียนตามที่เอกบอกจนครบ มีทั้งชื่อ นามสกุล วันตาย วันเผา ครบถ้วน

หลังจากนั้นผ่านมาได้ซักพัก คนชื่อเอกก็โทรมาหาคุณเบิร์ด เล่าให้ฟังว่า

ช่วงนี้เค้าเหนื่อยเหลือเกิน นอนไม่ค่อยหลับเลย แล้วก็ฝันแปลกๆบ่อยมาก

เค้าจะฝันทำนองว่า
จะมีคนมาพาเค้าไปที่ไหนไม่รู้ คล้ายๆกับวัดที่เคยไปงานศพพ่อเพื่อน

เค้าบอกว่าเค้าก็เดินตามคนๆนั้นไป เค้าบอกว่าเค้าได้เจอคนมากมาย

เค้าเข้าไปพูดด้วยแต่ก็ไม่มีใครคุยกับเค้าซักคน

เอกบอกว่าเอกฝันทำนองนี้หลายครั้ง คุณเบิร์ดก็บอกว่า

คงทำงานเหนื่อย
วันนี้ให้มานอนที่บ้าน เดี๋ยวจะเปิดแอร์ให้นอน
ตอนกลางคืนเอกก็มานอน
แล้วตอนเช้าเอกก็ปลุกคุณเบิร์ดตั้งแต่ 6 โมงเช้า

ทั้งๆที่เอกเป็นคนขี้เซาและตื่นสายมาก(คุณเบิร์ดบอก)

เอกเล่าให้ฟังว่า
ระหว่างที่นอนหลับ รู้สึกเหมือนฝันว่ามี
คนมาลากเค้าออกจากเตียงไป ไปคล้ายๆที่เดิม แล้วก็เหมือนเดิม

คือคุยกับใครก็ไม่มีใครคุยด้วย คราวนี้เค้าบอกว่าเค้ารู้สึกไม่ดี

เค้าเลยวิ่งหนีคนที่พาเค้าไปจนตื่น
ในระหว่างที่เล่าคุณเบิร์ดถามว่าแขนไปโดนอะไรมา
( คุณเบิร์ดเหลือบไปเห็นแผลที่แขนเอก)
เอกบอกว่าก็ล้มตอนที่วิ่งหนีมาเนี้ยแหละ
และตอนวิ่งมาก็ใส่โรงเท้าสีแดงของแฟนคุณเบิร์ดที่อยู่หน้าห้องไปด้วย

วิ่งจนรองเท้าขาด คุณเบิร์ดก็ยังไม่คิดอะไร นึกว่าเอกคงเพลีย

อยู่มาวันนึง
กลุ่มเพื่อนคุณเบิร์ดก็ได้ไปเที่ยวกัน
แถวๆรัชดา
ซึ่งในกลุ่มนั้นก็มีเอกอยู่ด้วย
ซึ่งก็ได้ตกลงกันระหว่างเบิร์ดกับเอก
แล้วว่า
คืนนี้เอกจะขับรถให้เบิร์ด แล้วก็จะไปนอนที่บ้านเบิร์ด
เพราะว่าเอกจะเป็นคนที่ไม่ค่อยดื่ม ระหว่างทางขากลับ

คุณเบิร์ดก็สังเกตเห็นว่าเอกเหมือนคนที่เหนื่อยมากๆ

ทั้งๆที่เวลาอยู่กับเพื่อนเอกจะเป็นคนที่เฮฮามาก

แล้วเอกก็ได้
บอกว่าวันนี้เค้าจะไปนอนกับแฟนดีกว่า
เพราะเค้ารู้สึกไม่ค่อยดี เบิร์ดก็ไม่ได้ว่าอะไร

จนถึงประมาณตี 4
ในคืนเดียวกัน
ก็มีโทรศัพท์จากแฟนเอกโทรมาหาเบิร์ด มาบอกว่า

เบิร์ดล้มที่หน้าห้อง
ตอนนี้อยู่ที่รพ.พระราม 9
เบิร์ดก็รีบไปในทันที
แต่ก็ไม่ทันแล้ว

เพราะเอกเสียแล้ว
หมอบอกว่าเอกมีอาการคือปอดแฟบไปข้างหนึ่ง
คือเป็นโรคอะไรซักอย่าง
แต่ที่น่าแปลกคือเอกก็ไม่ดื่มและไม่สูบบุหรี่
แล้วที่สำคัญ
วันนั้นมันคือวันที่ 13 ส.ค. 49 ก่อนวันที่เขียนในกระดานเพียง 1 วัน

แต่ตอนนั้นทุกคนก็ยังไม่คิดอะไร เพราะลืมเรื่องกระดานกันไปหมดแล้ว

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องการตายของเอก

ก็ไม่มีใครนึกถึงเรื่องกระดาน เพราะทุกคนต่างก็ลืมไปหมด

เบิร์ดก็กำลังติดต่อกับญาติของเอก เพราะตอนนี้พ่อ แม่เอกอยู่ที่

ออสเตรเลียหมด
เบิร์ดนึกขึ้นมาได้ว่าเอกมีป้าอยู่คนนึง อยู่แถวลาดพร้าว

เบิร์ดก็ได้ติดต่อไป
ในระหว่างนั้นเบิร์ดก็ได้หาวัดที่จะเอาศพเอกไปตั้งด้วย
แต่ที่แปลกก็คือ
เบิร์ดหาวัดไม่ได้เลยซักวัดเดียว!!!(เบิร์ดอยู่แถวห้วยขวาง)

วัดแถวห้วยขวางก็ไปดูมาหมด บางวัดเบิร์ดก็สนิทกับเจ้าอาวาส แต่ก็ยังไม่ได้

เต็มทุกวัน
ในระหว่างที่เบิร์ดกำลังเครียดอยู่ ก็มีโทรศัพท์โทรมาจากป้าเอก

บอกว่าหาวัดได้แล้ว
โดยเพื่อนของป้าเค้าหาให้ โดยใช้เส้นของเพื่อนป้า เบิร์ดก็ดีใจ

ที่หาวัดได้
ก็ถามว่าวัดไหน และที่ป้าบอกมาก็คือ
วัดเดียวกันกับพ่อเพื่อนที่ตาย!!!! และที่สำคัญ
ศาลาเดียวกัน!!!!(ศาลาที่ไปเขียนกระดานเล่น) ตอนนี้ทุกคนเริ่มคิด

ถึงเรื่องกระดานแล้ว
เพราะอะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้
เพื่อนทุกคนก็มางานศพของเอก ก็ได้มานั่งคุยกันถึงเรื่องของกระดาน

แล้วก็มีการกำหนดวันเผาของเอก ซึ่งก็เป็น
วันที่ 20 ส.ค. 49 ( วันที่เอกกำหนดไว้)
ตรงกับที่เขียนไว้เป๊ะ!!
เบิร์ดกับเพื่อนๆ
ก็ได้มีการ นำดวงของเอกไปดูหมอมากหลายที่
และแทบทุกที่ก็จะบอกคล้ายๆกัน คือ เอกยังไม่ตาย!!!

แต่ช่วงนี้จะต้องอยู่อย่างลำบาก จะทำอะไรก็ไม่ขึ้น

ในระหว่างนั้น
เบิร์ดเล่าว่า เอกมาเข้าฝันบ่อยมาก
บางทีก็มาเข้าฝันให้เพื่อนที่ยืมเงินเอาเงินมาคืน

เอากางเกงยีนมาคืน
บางทียามที่บริษัทเอกก็เห็นเอกทำงานจน
ถึง 4 ทุ่ม ทั้งๆที่เอกเป็นคนเช้าชามเย็นชาม
คือกลับ 5 โมงเป๊ะทุกทีและแฟนเบิร์ดก็ถามว่า
เบิร์ดเอารองเท้าสีแดงให้ใครใส่ไป
ทำไมรองเท้าถึงขาด(ที่เอกเคยเล่าให้
ฟังว่าใส่วิ่งหนีในความฝัน) เคยมีพระให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า

เอกอาจจะยังไม่ถึงที่ตาย แต่มาเขียนให้ตัวเองตาย

ก็เลยยังไม่ได้ไปไหน
ต้องชดใช้กรรมให้หมดก่อน
หรือถ้าอยากให้เอกไปดี
ก็ต้องใช้กุศลแรง
คือการบวช
เบิร์ดกับเพื่อนๆ ก็ได้รวมตัวกัน
ลาพักร้อน
     แล้วก็บวชให้เอก จนทุกวันนี้ก็มีบ้างที่เอกมาเข้าฝัน
แต่ก็น้อยกว่าเมื่อก่อนแล้ว

จอมขมังเวทย์


     เรื่องจริงประสบกาณร์จริง จ.นครนายก ว่าด้วยเรื่องของคนเล่นของ จอมขมังเวทย์ คนมีของ มีคาถาอาคม และการดำรงชีวิต เรื่องข้อห้ามต่างๆที่เคร่งครัดในการรักษาศีล เพื่อรักษาความขลัง เรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ลองไปติดตามเรื่องอันลี้ลับกันครับ ว่าด้วยเรื่องของสงครามไสยศาสตร์

     สมัยเด็กผมอยู่ อ.บ้านนา จ.นครนายก ได้พบเห็นเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ส่วนมากเกี่ยวกับอยู่ยงคงกระพัน บ้างก็มีพระห้อยคอ บ้างก็มีตะกรุดหรือผ้ายันต์ติดตัว ที่แน่ๆ คือผู้ชายจะสักยันต์ต่างๆ กันทุกคนไป

ชายชราอายุห้าสิบเศษชื่อลุงดั่น มีอาชีพทำสวนผักอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ลูกๆ แกเติบโตแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อยู่กับเมียชื่อป้าแววเพียงสองคนตายาย เป็นคนเล่าเรื่องของขลังต่างๆ ให้ผมฟังหลายครั้ง โดยเฉพาะความเชื่อถือในกฎเกณฑ์เก่าๆ อย่างเคร่งครัดแทบไม่น่าเชื่อ

ลุงดั่นบอกว่าคนเล่นของจะไม่ยอมไปกินอาหารในงานศพ ถ้าไปงานศพกลับมาต้องรีบล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ หรือน้ำแช่ใบทับทิม

ไม่กินผลไม้ เช่น มะเฟืองและละมุดเด็ดขาด เพราะถือว่าคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศของสตรี แม้แต่น้ำเต้าก็ไม่กิน เพราะทั้งชื่อและลักษณะเหมือนทรวงอกผู้หญิง

ไม่ลอดราวตากผ้า ไม่ลอดใต้บันได เพราะเชื่อว่าจะทำให้ของเสื่อม

ถ้าเข้าส้วม (หรือเว็จ) ข้างๆ บ้าน แล้วมีใครมาตะโกนเรียกก็จะไม่ยอมขานรับเลย จนกว่าจะโผล่ออกมาแล้ว

ลุงดั่นมีห้องพระเล็กๆ อยู่ข้างห้องนอน แกเคยพาผมเข้าไปดูครั้งหนึ่งก็เห็นบรรยากาศดูทึบทึมน่ากลัว มีพระ บูชากับเทวรูป ตุ๊กตาเด็กสูงราวหนึ่งศอก ปิดทองแทบทั้งตัว...แกบอกว่าเลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าบ้านด้วย

"ถ้ามีใครคิดร้ายบุกเข้ามา กุมารทองของข้าก็จะจัดการมันเอง" แกบอกผมพร้อมเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเหี้ยมเกรียมน่าขนลุก

พ่อผมเล่าว่า เมื่อหนุ่มๆ ลุงดั่นเป็นนักเลงใหญ่ ก่อศัตรูไว้มากมาย แม้ว่าต่อมาแกจะวางมือ หรือ "ถอดเขี้ยวถอดเล็บ" แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกศัตรูเก่าๆ ยังจะอาฆาตจองเวรอยู่หรือเปล่า? ด้วยเหตุนี้เอง ลุงดั่นจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ขู่คำราม ระคนกับเสียงเด็กแผดร้องโหยหวน ตามด้วยเสียงแช่งด่าของลุงดั่น...จนกระทั่งเสียงน่ากลัวต่างๆ เงียบหายไป พวกเราจึงจุดไฟออกไปดู

ภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน!

ลุงดั่นนุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว หน้าอกกับแผ่นหลังพราวด้วยลายสักยันต์ มือถือดาบยืนจังก้าอยู่ที่หัวบันได สายลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเกรียวกราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนอย่างเย้ยหยัน

"มาฆ่ากูซีวะ ไอ้เดนนรก! เมียกูไปทำอะไรให้มึง ไอ้หน้าตัวเมีย...รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้"

เพื่อนบ้านช่วยกันปลอบโยน ลุงดั่นโยนดาบทิ้ง นั่งซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นฮัก...เมื่อเข้าไปในห้องก็ผงะหน้าไปตามๆ กัน

ป้าแววนอนหงายลืมตาโพลง เลือดท่วมตัว ใบหน้าและทรวงอกมีริ้วรอยเหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ฉีกเหวอะหวะอย่างน่าสยอง...ใกล้ๆ กันนั้นมีร่างของตุ๊กตาที่เรียกกันว่ากุมารทอง คอขาด แขนขาหักรุ่งริ่งแทบกลายเป็นเศษดินด้วยซ้ำไป!

ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า ศัตรูเก่าของลุงดั่นตามมาอาฆาตจองเวรอย่างไม่ลดละ...แม้ว่าจะทำร้ายลุงดั่นไม่ได้ เมีย ของแกก็ต้องรับเคราะห์แทน

เมื่อเผาศพป้าแววแล้ว ลุงดั่นก็หาสายสิญจน์มาล้อมบ้านไว้ ตอนกลางคืนก็ถือดาบลงไปเดินวนเวียนรอบบ้าน ด้วยความหวาดระแวงว่าจะถูกศัตรูปองร้ายอีกครั้ง

     สิ่งที่ทำให้เพื่อนบ้านขนหัวลุกก็คือ ตอนดึกๆ เมื่อลุงดั่นขึ้นไปนอนแล้ว มักมีเสียงหมาหอนโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ...หลายๆ คนโผล่หน้าต่างดูก็เห็นป้าแววเดินเลาะอยู่ริมรั้วไม้ไผ่ที่มีสายสิญจน์ล้อมรอบ พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นก่อนจะเดินหายลับไปทางป่าช้า

     อีกราวเดือนเศษ ลุงดั่นก็นอนหลับไปตลอดกาล ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลใดๆ เลย คนลือกันว่าป้าแววหาโอกาสเข้าไปในบ้านจนได้ บางคนก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของศัตรูเก่า เข้าทำนอง "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" คนเล่นของอย่างลุงดั่นจึงปิดตำนานลงเพียงนี้เอง!

การตามมาของผีตายโหง


     การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ นั่นก็เรียกว่าวิญญาณตายโหงว่ากันว่า ผีตายโหงนี่แหละเฮี้ยนนัก เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่จากประสบการณ์จริงที่ ผีตายโหงนั้นตามาหลอกหลอนน่าขนลุกมาก ลองไปติดตามรับชมกันเลยครับรับรองว่า น่ากลัวสุดๆ

     ดิฉันอยู่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งแถวลาดพร้าว เสาร์อาทิตย์มักจะมีเพื่อนๆ ที่ทำงานแห่งเดียวกันแวะมาหาเสมอ ส่วนมากเป็นบ่ายวันเสาร์ค่ะ ซื้อของอร่อยๆ มากินกัน เม้าธ์เรื่องจิปาถะกันสนุกสนานตามประสาผู้หญิง

 เพื่อนที่ยังโสดก็มักมีปัญหาเรื่องแฟน! ถ้าความรักยังจี๋จ๋า สดชื่นหวานแหวว เธอก็คงไปหาแฟนหรือไปเที่ยวด้วยกันแล้วละ จริงมั้ยคะ?



เพื่อนที่แต่งงานแล้วก็มาปรับทุกข์เรื่องสามี ส่วนมากมักลงเอยกับดิฉันว่า อยู่เป็นโสดอย่างเธอดีกว่า ไม่ต้องเจอะเจอปัญหาน่าปวดหัว...มีผัวผิดคิดจนตัวตาย! เพื่อนๆ เคยแซวว่าสมัยนี้เขามีคติใหม่แล้ว...มีผัวผิดคิดหาผัวใหม่เจ๋งที่สุด!

 จนกระทั่งเสาร์หนึ่ง เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นตอนกลางวันแสกๆ



บ่ายนั้น ดิฉันกำลังปอกมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวานอยู่ในห้องรับแขกกับ แอ้ม และ จุ๋ม ที่นั่งรถมาหาด้วยกัน ไม่ช้าเพื่อนชื่อ เก๋ อยู่ถึงรามคำแหง 150 ก็โทร.มาหา บอกกลุ้มใจเรื่องแฟนที่อ้างว่านัดเพื่อนไว้ตอนเที่ยง แล้วรีบผลุนผลันออกจากบ้านไป...สงสัยจะนัดกิ๊กไว้มากกว่า



จุ๋มได้ยินแว่วๆ ก็ร้องแซวว่า อยากมีโผเร็วก็ต้องกลุ้มใจยังงี้แหละ! ว่าแต่สนมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวานมั้ย ล่ะ? แหม! อมเปรี้ยวกำลังดีเชียว ถ้าแพ้ท้องก็รีบบึ่งมาเลยนะ..หรือจะแวะซื้อมาเพิ่มก็ดี จะทำน้ำปลาหวานเผื่อไว้ให้

 เก๋ตอบตกลงทันที! แอ้มอดนินทาไม่ได้ว่า อยากได้แฟนหล่อๆ ก็ต้องช้ำใจไม่เสร็จ ยิ่งไม่รู้จักเสน่ห์ผัวหลง เดี๋ยวก็โดนคนอื่นงาบไปกินจนได้! จุ๋มเลยพยักหน้า...เธอรู้ดีนักทำไมไม่หาโผมาหลงเสน่ห์ซักคนล่ะ?



แซวกันเองดื้อๆ ซะงั้น



ราวหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เก๋ก็มากดออดประตู แอ้มลุกไปเปิดแล้วร้องถามว่า...พาแฟนใหม่มาด้วยเหรอ? เข้ามาซี่! เสียงเก๋วี้ดว้าย หยิกตีกันประสาเพื่อนฝูง...ดิฉันเห็นหน้าเก๋แล้วนึกเอะใจว่าทำไมดูซีดเซียวผิดปกติ...นั่นปะไรคะ!



เก๋ออกจากบ้านมาราว 15 นาทีก็มีมอเตอร์ไซค์สีแดงแล่นลิ่วราวลมพัด แซงวูบเดียวหายไปเลย...แต่พอมาอีกไม่ไกลก็เห็นคนมุงกันอยู่ข้างทาง ตำรวจกับรถมูลนิธิทำให้รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง รถติดจนเก๋ต้องเปิดประตูลงไปดู เห็นเลือดสดๆ แดงฉานแทบจะไหลนอง...

 ได้ยินเสียงพูดกันว่า มอเตอร์ไซค์สีแดงเสยท้ายรถตู้จนแหลกยับ



คนขี่จักรยานยนต์มรณะไม่ได้สวมหมวกนิรภัย นอก จากคอหักแล้วร่างกายยังแหลกเหลวยับเยิน...มองเห็นแวบเดียวก็ติดตาจนขนลุกขนพองไปหมด



พวกเราช่วยกันพูดปลอบใจจนเก๋หน้าชื่น...ไม่ช้าก็มาล้อมวงกันกินมะม่วงน้ำปลาหวานกันอย่างเอร็ด อร่อย จู่ๆ จุ๋มก็ถามแอ้มว่า...ทำไมทักเก๋ว่าพาแฟนใหม่มาด้วยเหรอ? แอ้มทำหน้าเหลอหลาก่อนจะนึกขึ้นได้



'อ๋อ! ตอนเปิดประตูฉันเห็นผู้ชายเดินตามหลังเก๋มานี่นา นุ่งยีนส์สวมแจ๊กเกตดำ หุ่นเท่เชียว หน้าตาก็แหม...หล่อซะ! แต่เอ...ดูเหมือนหน้าผากจะมีเลือดติดอยู่นะ ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา? หรือว่า...'



เสียงวี้ดว้ายดังระงมไปทั้งห้อง ดิฉันมองหน้าเก๋ก็เห็นขาวซีดลงตามเดิม ปากสั่นระริก หน้าตาใกล้จะร้องไห้เต็มที พึมพำว่า...เหมือนคนตายที่เก๋เห็น...



ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ



เสียงเคาะประตูดังขึ้นกะทันหัน เสียงร้องว้าย! ดังขึ้นพร้อมๆ กัน จุ๋มบอกให้แอ้มไปเปิดประตูดูซิว่าใครมา? แอ้มห่อไหล่ทำหน้าสยอง บอกว่าจะให้ฉันเจออีตาสุดหล่อคนนั้นอีกเรอะ? ไม่เอาแล้ว! ดิฉันเลยบอกให้เก๋เป็นคนไปเปิด โดยมีเหตุผลง่ายๆ ว่า...กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง กลางวันแสกๆ ไม่มีผีสางที่ไหนหรอก



เก๋กระเดือกน้ำลาย จำใจเดินช้าๆ ไปที่ประตู พวกเรามองตามพลางยักคิ้วหลิ่วตากันอย่างสนุก จนกระทั่งเห็นมือสั่นๆ เอื้อมไปจับลูกบิดดึงบานประตูเข้ามา...



เสียงหวีดร้องโหยหวนดังแสบแก้วหู...กรี๊ดๆๆ ไม่หยุดหย่อนจนพวกเราตกตะลึงไปตามๆ กัน ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องเรียกชื่อเพื่อน...เก๋ๆๆ เป็นไร? เป็นอะไรไป? แต่เก๋ไม่ตอบนอกจากร้องกรี๊ดๆ เหมือนคนสติแตก



     จนพวกเราต้องเผ่นเข้าไปหาแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากจะรู้สึกมีลมเย็นๆ พัดวูบมากระทบ ไม่รู้ว่าจู่ๆ ทำไมต้องพัดมาใส่เรา เล่นเอาหนาวสะท้านจนขนลุกซ่า หน้าตาซีดเซียวไปตามๆ กัน



     ปิดประตูลงกลอน เก๋ร้องไห้โฮลั่น น้ำตาไหลพราก ไม่ยอมพูดยอมจานอกจากร้องไห้อย่างเดียว...กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ก็เกือบสิบนาที

หลอนยกคณะ


     เรื่องจริงจากประสบการณ์จริงของหญิงสาวคนหนึ่ง จากเรื่องก่อนหน้านี้  หนูขออยู่ด้วย กดติดวิญญาณกับสิ่งที่ตามมา เด็ก2ท่อน และคู่สัญญาของเรา กลับมาครั้งนี้เรื่องราวของเธอโดนหลอกกันยกทีม เรียกได้ว่าการที่ได้รู้จักเธอนั้น ยิ่งทำให้ใกล้เรื่องผีๆมากขึ้น ราวกับว่าเธอนั้นเปิดตาที่ตามของคนใกล้ตัวได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ลองไปชมเรื่องต่อไปนี้เลยครับ

      เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เราเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เป็นช่วงรับน้องที่เราเคยบอกว่าเราไปหาเช่าบ้านอยู่น่ะค่ะ บ้านหลังนี้เป็นทาวเฮาส์สองชั้น มีสามห้องนอนกับสองห้องน้ำ ค่าเช่าบ้านเดือนละหกพัน แต่เราอยู่กันหกคนค่ะ เป็นรุ่นพี่คณะศิลปกรรม ๔ คน และเรากับเพื่อนเราอีก ๑ คน

ห้องนอนข้างล่างเป็นของพี่แม็ค (เกย์) และพี่เฟิร์น (ทอม) ห้องนอนข้างบนฝั่งด้านหน้ามีระเบียงกว้าง เป็นห้องของพี่จิ๊บกับแฟน และห้องนอนด้านหลังจะเป็นห้องของเรากับแทน (ตอนนั้นเราเข้าใจมาตลอดว่าอิคุณแทนเป็นผู้ชายนุ่มนวล แต่ปัจจุบันนางมีภรรยาที่เป็นผู้ชายไปเรียบร้อยแล้วค่ะ

บ้านหลังนี้มีจุดที่แปลกอยู่อย่างนึงคือ ตรงห้องโถงที่ใช้รับแขกจะมีเสาปูนต้นนึงตั้งอยู่ ซึ่งเราเข้าใจมาตลอดว่ามีเหมือนกันทุกบ้าน แต่เปล่าค่ะ มีแค่หลังนี้หลังเดียว และเมื่อบ้านทุกหลังดูจะพบว่าบ้านหลังนี้เป็นหลังตรงกลางพอดิบพอดี

ขอเริ่มจากเรื่องซอฟๆก่อนนะคะสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดในบ้านหลังนี้

เย็นวันหนึ่งหลังจากที่เรียนเสร็จ เราก็เก็บอุปกรณ์การเรียนแล้วรีบกลับบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสี่โมงเย็นค่ะ เราต้องรีบกลับมาเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อและกางเกงสีดำเพื่อไปเข้ารับน้องในเวลา ๕ โมง (พี่ว้ากคณะเราถือว่าดุเป็นอันดับที่สองรองจากคณะพยาบาลเลยค่ะ)

พอกลับมาถึงบ้าน กำลังไขกุญแจประตูรั้วก็ได้ยินเสียงทีวีดังมาจากข้างในบ้าน เราเลยส่งเสียงทักไปก่อน

"ใครเอ่ย กลับบ้านก่อนน้อง เปิดทีวีเสียงดังมาก" ปกติพี่ๆที่อยู่ในบ้านจะกลับเข้าบ้านช้ากว่าเรา ส่วนแทนเพื่อนของเรานางไม่ได้เรียนค่ะ นางทำงานแล้ว เวลางานของนางคือ บ่าย๓ ถึงตี๔

เงียบ!! ไม่มีเสียงตอบจากปลายทางค่ะ

พอเราเปิดประตูเข้าไปในบ้านเราก็เจอพี่แม็กกำลังนั่งดูทีวีอยู่ พี่แม็กใส่เสื้อยืดสีเข้มๆ จำไม่ได้ว่าสีน้ำเงิน หรือสีน้ำตาล แต่ไม่ใช่สีดำค่ะ แล้วก็นุ่งบ็อกเซอร์แค่ตัวเดียว

"พี่แม็ก ไม่มีเรียนหรอ" เราถามแบบไม่ต้องการคำตอบ แล้วเดินเลยไปทางครัวด้านในเพื่อดื่มน้ำ

เงียบอีกแล้วค่ะ พี่แม็กไม่ตอบ เราคิดว่าแกคงอารมณ์ไม่ดีเลยไม่เซ้าซี้กวนใจ เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ประมาณสิบนาทีเราก็เดินลงมาข้างล่าง พี่แม็กยังนั่งอยู่ในท่าเดิม เพิ่มเติมคือกินกระทิงแดง

แปลก!!  ปกติเคยเห็นแต่กินนมเปรี้ยว

"พี่แม็ก น้องไปแล้วนะ วันนี้มีรับน้องที่คณะ ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อนะคะเดี๋ยวกินที่นู่นเลย" สมาชิกบ้านหลังนี้จะลงขันกันเพื่อซื้อของสดมาทำกับข้าวและกับแกล้มค่ะ พี่ๆดูแลเราดีมาก

"อืม ไปดีมาดี" แกพูดแค่นั้นแล้วหันไปสนใจทีวีต่อ เราก็เดินออกมากำลังไขประตูรั้ว ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ค่ะ เสียงคุ้นๆ คุ้นเหมือนว่าจะเป็นรถพี่แม็ก เราถึงนึกได้ว่าในบ้านมันไม่มีรถพี่แม็กจอดอยู่

แล้วก็ชัดเลยค่ะ เมื่อรถมอเตอร์ไซค์มาจอดเทียบหน้าบ้าน!!!

พี่แม็กค่ะ ขี่รถมาโดยมีพี่เฟิร์นซ้อนท้าย ใส่ชุดนิสิตมา คือสภาพของพี่ๆด็รู้เลยว่าเพิ่งเลิกเรียนกลับมา เรางี้วิ่งกลับหลังหันเลยค่ะคุณขา...วิ่งหันกลับไปในบ้านเพื่อดู

เพราะถ้าไอ้คนพี่เพิ่งมาถึงมันพี่แม็ก แล้วไอ้คนที่อยู่ในบ้านมันใคร???

ผ่างงงงงงง!!!! ในบ้านว่างเปล่า ไม่มีแม้เงาของสิ่งมีชีวิตซักกะตัวเดียว ทีวีปิดชักปลั๊กเรียบร้อย

เราวิ่งไปหน้าบ้านอีกครั้งแล้วถามพี่แม็กแบบงงๆ

"กลับมานานยังพี่"

"อ้าว แกก็เห็นว่าเพิ่งมาเนี่ย แล้วเป็นอะไรทำหน้าตาตลก"

"เมื่อกี้พี่แม็กนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านไม่ใช่หรอ"

"แกจะบ้าหรอ แกก็เห็นว่าชั้นเพิ่งมาถึงเนี่ย พิลึกโว้ย" พี่แม็กพูดแล้วก็เดินเลี่ยงเข้าบ้านไป เหลือพี่เฟิร์นที่มองหน้าเราแล้วเกาหัว

"ไอ้บี แกอย่ากินเหล้าเยอะนะ เมาค้างแล้วเนี่ย"

...พี่เฟิร์นโว้ยยย ตรูม่ายกินเหล้า...

คือเรื่องนี้เราก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเราเจอกับใคร แต่เวลาห่างกันแค่เดินจากประตูบ้านมาประตูรั้วนะคะ ที่สำคัญบ้านหลังนี้ก็มีทางเข้าออกแค่ทางเดียว ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ชวนพิศวงงงงวยเอาเรื่องเลยทีเดียวค่ะ

พี่แม็กนั่งยัน นอนยัน ตะแคงยัน ว่าวันนั้นแกมีเรียนตั้งแต่เช้าแล้วเพิ่งกลับมาถึงบ้านตอนที่เราเจอกับแก แถมยังมีพี่เฟิร์นยืนยันหนักแน่น แล้วเพื่อนๆล่ะคะ คิดว่าคนคนนั้นคือใคร???

เริ่มจากเราที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่บนห้อง  อธิบายลักษณะของบ้านชั้นบนนิดนึงนะคะ พอขึ้นบันไดมา ตรงขวามือของบันไดจะเป็นห้องน้ำค่ะ เลยจากห้องน้ำไปจะเป็นห้องพี่จิ๊บกับแฟน ส่วนห้องของเรากับเพื่อนจะอยู่ตรงข้ามกันกับห้องพี่จิ๊บ

เหตุเกิดเมื่อเย็นวันจันทร์ ประมาณ ๘ - ๙ ปีที่แล้ว เรานั่งกินข้าวอยู่บนเตียงในห้อง ใส่ชุดนอนด้วยนะคะคุณผู้อ่าน ยังไม่ถึงครึ่งกล่องดีลมก็พัดตึงตัง หน้าต่างที่เป็นกระจกสั่นกราว มองไปบนฟ้าเห็นเมฆครึ้ม คือ...จุดนี้ไม่ต้องคิดเรื่องไปเก็บผ้าที่ตากไว้เลยค่ะ คุณฝนตกมาเหมือนฟ้ารั่ว ตกอย่างเดียวไม่พอ มีลมพัดรุนแรงแบบที่เราเพิ่งเคยเห็นปรากฏการณ์นี้เป็นครั้งแรกในชีวิต นั่นคือ...

ฝ้าเพดานค่ะ ฝ้าเพดานถูกลมพัดขึ้นไปจนมองเห็นแต่โพรงดำๆ พอลมพัดมาทีก็หอบฝ้ายกขึ้นไป ไอ้เรานั่งอยู่ก็กลัวสิคะ อารมณนั้นไม่ได้กลัวผีเลยค่ะคุณ กลัวฝ้าร่วงลงมาทับตาย ทีนี้เลยเผ่นออกจากห้อง ซักพักไฟดับ จะลงข้างล่างก็ไม่กล้าเพราะไม่มีคนอยู่ อยู่ในห้องก็กลัวฝ้าถล่มใส่ เราเลยเอากล่องข้าวมานั่งกินหน้าห้อง พิงประตูกินเลยค่ะ เปิดห้องไว้แล้วเอาตัวนั่งพิงประตู

พอข้าวหมดกล่องเราก็หยิบขวดน้ำมาดื่ม ตอนนี้แหล่ะค่ะ พี่จิ๊บเปิดประตูห้องออกมาพอดี และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่กล่องข้าวเราปลิวตามแรงลมไปเข้าห้องพี่จิ๊บ ตามสัญชาติญาณนะคะ เราถลาไปคว้ากล้องข้าวไว้ แล้วก็..

ปัง!!!!

ประตูห้องที่เรานั่งพิงไว้โดนลมตี พี่จิ๊บร้องกรี๊ดเบาๆเพราะตกใจ เรายืนคุยกับแกแป๊บๆแล้วก็จับลูกบิดหมุนจะเปิดประตู ผลปรากฏว่าติดล็อคค่ะ

ล็อคได้ไง ชั้นยังไม่ได้กดล็อคลูกบิดเลย เราหมุนๆประตูอยู่พักใหญ่ มีพี่จิ๊บยืนลุ้นอยู่ข้างๆ เรื่องกุญแจห้องไม่ต้องพูดถึงค่ะ อยู่บนเตียง!

"บีไม่ได้ล็อคห้องนะพี่จิ๊บ มันล็อคเองได้ไงวะ" พูดไปหมุนลูกบิดไป

"สงสัยล็อคมันอาจจะเสีย เมื่อกี้มันกระแทกแรงเลยนี่"

"เอาไงดีวะ เนี่ยแทนมันก็ออกไปทำงานแล้ว กุญแกห้องอีกชุดนึงอยู่กะมัน แต่ฝนตกแรงขนาดนี้จะไปที่ทำงานมันยังไง"

"เอางี้ พี่รู้จักช่างทำกุญแจตรงปากซอยสดใส เดี๋ยวเรากางร่มเดินไปกันก็ได้"

ตกลงกันได้สองสาวก็เดินกางร่มออกจากบ้านไป ถึงร้านทำกุญแจ ปิด!!! ปิดจ้าาาา

เรากลับมาที่บ้าน ตอนนั้นไฟมาแล้ว เจอพี่แม็ก พี่เฟิร์น และเพื่อนๆอีกสามสี่คนนั่งเปียกอยู่ตรงห้องโถง สอบถามดูคือพวกท่านทั้งหลายฝ่าฝนกลับมาตั้งหลักที่บ้าน เราเลยบอกเรื่องประตูห้องเรา พี่ๆเลยประชุมกัน แรกเลยตกลงว่ารอฝนซาแล้วค่อยไปเอากุญแจที่แทน ผลปรากฏว่ารอให้ฝนซาจนห้าทุ่ม ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลง

"อีกทางนึงนะ ต้องปีนฝ้า" ใครบางคนยื่นข้อเสนอ

"ปีนสิ ใครจะปีนก็ปีน บีไม่ปีนหรอก เดี๋ยวมันถล่มลงมาทับหัวเอา"

"ห้องแกนะเว้ย ถ้าแกไม่ปีนใครจะปีนให้ ชั้นเสียสละให้แกขี่คอชั้นขึ้นไป" พี่แม็กยื่นข้อเสนอ สมาชิกในบ้านช่วยกันกล่อมจนเรายอม ขณะที่กำลังทำใจให้กล้า คุณแทนก็เปิดประตูบ้านเข้ามา

"อ้าว ทำไรกัน นั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตา" พวกเราช่วยกันเล่าให้แทนฟังแล้วได้ข้อสรุปใหม่คือแทนตัวเล็กกว่าเรา ให้แทนปีนจะดีก่า แทนร้องขึ้นมา จะต้องปีนทำไม กุมีกุญแจเฟ้ยยยย

พอแทนที่เป็นแม่ทัพโดยมีพวกเราตามทัพอยู่ข้างหลังเดินขึ้นไปบนบ้าน สอดกุญแจเข้าไปในลูกบิด ก๊อกแก๊กๆๆ ไม่ออกค่ะ!! สงสัยพัง

"แทน มุงปีนเหอะนะ ปีนไปเอาเสื้อผ้าให้กุหน่อย พรุ่งนี้แปดโมงกุมีเรียนอิ๊ง ขาดไม่ได้ สายไม่ได้ ลาตายได้อย่างเดียว" ไม่รู้แทนมันรำคาญหรือว่าใจดี แต่มันยอมปีนให้เราค่ะ

เอาเก้าอี้มาต่อแต่แทนปีนไม่ถึง เลยยืมบ่าพี่แม็ค พอเปิดฝ้าแผ่นข้างนอกแล้วแทนมุดหัวขึ้นไป ไม่ถึงห้าวิมันก็รีบผลุบหัวกลับมา หน้าซีดมาก

"เป็นไรมุง มีอะไร" ตอนนั้นเราตื่นเต้นมากนะคะ เหงื่อออกจนชุ่มมือไปหมด

"ไม่มีอะไร มันมืด กุมองข้างในไม่เห็น" อมยิ้ม20

แล้วก็ก็ปีนขึ้นไปอีกรอบ ทีนี้แทนโหนตัวขึ้นไปบนคานปูนแล้วค่อยๆไต่ข้ามไปเปิดแผ่นฝ้าด้านในห้อง พอกระโดดลงไปด้านในห้องแทนก็ร้องอ้าวออกมาเบาๆ

"เฮ้ย คนข้างนอกลองเปิดประตูดิ๊ว่าได้รึเปล่า" พี่เฟิร์นเอื้อมมือไปหมุนลูกบิด ผลคือประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย ไม่มีเสียงล็อคด้วยแสดงว่าลูกบิดไม่ได้ติดล็อค

แทนยืนหน้าซีดเผือดแต่ไม่ได้พูดอะไร

พี่แม็กดี๊ด๊ากว่าเพื่อนตามประสาคนอารมณ์ดี

"เฮ้ยๆ ปิดฝ้าๆ เปิดเอาไง้เดี๋ยวมีตัวอะไรปีนลงมา"

"ไอ้พี่แม็ก!!!"

กรรมของไอ้แทนที่ต้องปีนขึ้นไปอีกรอบ เพราะตอนที่มันเปิดฝ้าจากด้านในแทนมันทิ้งฝ้าไม้บนคานปูน แทนมันบอกว่าให้คนอื่นปีนแทน มันไม่ไหวแล้ว พอเราเห็นหน้ามันเราตัดสินใจได้ทันทีว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงเราก็ไม่ปีน

เราเป็นเพื่อนกับมันมาตั้งเจ็ดปี หน้าแบบนี้ทำไมเราจะไม่รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่ตามประสาเพื่อนที่ดีค่ะ เราก็ดันหลังมันให้มันขึ้นไปปีนต่อ

แทนขึ้นไปแบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แผ่นแรกคือแผ่นด้านในปิดได้ไม่มีปัญหา แต่พอกำลังปิดแผ่นที่สองที่อยู่ด้านนอก (แทนขี่คอพี่แม็ก) ตอนนี้แหล่ะค่ะที่มันมีเสียงขูดเบาๆดังมาจากฝ้าด้านบน แทนหน้าซีด แต่ยังพยายามปิดฝ้าให้สำเร็จ ฝ้ามันก็ไม่ยอมสบกัน เหมือนว่าใส่ฝ้าผิดด้าน เพราะมันเหลือช่องว่างอีกประมาณสองนิ้วเอาไว้

เสียงขูดฝ้าดังมาอีกรอบพร้อมกับที่แทนลงมาจากตัวพี่แม็ก เหลืออิช่องสองนิ้วเอาไว้ดูต่างหน้า ทุกคนหน้าซีด

พี่แม็กเป็นคนแรกที่ร้องขึ้นมา คนอื่นหันไปตามสายตาพี่แม็กแล้วก็ประสานเสียงกันร้อง ตอนนั้นวิ่งแย่งกันลงบันได เราไม่เห็นอะไรแต่ก็วิ่งตามเค้าไป เค้าวิ่งเราก็วิ่ง สามัคคีดีออก

เรื่องสรุปหลังจากที่เราเริ่มลำดับเหตุการณ์กัน

๑. แทนบอกว่าตอนปีนขึ้นไปครั้งแรกที่หน้าซีดเพราะเห็นว่าข้างบนเป็นโพรงมืดๆใหญ่ๆ มองอะไรไม่เห็นเลย พอเอาไฟฉายส่องเลยเห็นว่าบ้านแต่ละหลังมันไม่มีอะไรกั้นเลย ซึ่งหมายความว่าในเวลาที่เราไม่อยู่บ้านอาจมีขโมยปีนเข้ามาได้ง่ายๆ แหม..ช่างคิดนะพ่อคุณ

๒. ตอนนี้ลงไปในห้องแล้ว แทนไม่ได้จับลูกบิดเลยเพราะเห็นว่ามันไม่ได้ล็อค แล้วพอพี่เฟิร์นเปิดเข้ามาได้ง่ายๆแทนเลยเริ่มกลัว เริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ (ก่อนหน้านี้เราแทบจะพังประตู แต่ก็เปิดไม่ออก เอากุญแจแทนมาไขก็ยังไม่ได้)

๓. ที่พี่แม็กร้องโวยวายเพราะว่าพี่แกเห็นมือคน ค่ะ!! มือคน!! ยื่นลงมาจากฝ้า เหมือนไขว่คว้าอะไรสักอย่าง

๔. แฟนพี่จิ๊บเห็นเหมือนกันกับพี่แม็ก แต่นอกนั้นไม่มีใครเห็น ทุกคนที่วิ่งลงมาคือตกใจเสียงพี่แม็ก

     วันรุ่งขึ้น...เราขนของออกจากบ้านนี้ ย้ายกลับไปอยู่บ้าน ปิดฉากชีวิตเด็กหอที่มีระยะเวลานานเกือบสองเดือน พอแล้วค่ะ!! สยอง

     และไม่ใช่แค่เราที่ย้ายนะคะ...หลังจากนั้นไม่นาน สมาชิกในบ้านก็ทยอยขนของย้ายกันออกมาเป็นแถว ใครจะอยู่ก็อยู่ไป พวกเราเข็ดแล้ว!!

26 ก.พ. 2562

คู่สัญญาของเรา


     เป็นเรื่องจริงของครูสาวคนเดิม จากเรื่อง หนูขออยู่ด้วย กดติดวิญญาณกับสิ่งที่ตามมา และ เด็ก2ท่อน เรื่องต่อไปเป็นเรื่องของ คู่สัญญา เมื่อแต่ชาติปางก่อน เรื่องราวเริ่มไปกันใหญ่เมื่อคู่สัญญามาทวงคำสัญญา เรื่องนี้ยังกล่าวถึงการถอนคำสัญญาอีกด้วย ลองไปฟังกันเลยครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องของพ่อเราค่ะ แต่มันค่อนข้างเกี่ยวพันกับเรา

     อย่างที่เคยบอกไว้ว่าพ่อเราเคยบวชเรียนมา ประกอบกับชอบศึกษาเรื่องโหราศาสตร์การดูดวง ท่านเลยตรวจดูดวงชะตาของลูกๆทุกคนค่ะ สิ่งที่พ่อเคยดูไว้เกี่ยวกับเราคือ

๑. เราจะได้รับราชการ (ถูกต้องค่ะ ตอนนี้เราเป็นครู)

๒. เราจะได้คู่ครองเป็นคนต่างชาติต่างภาษา หรือถ้าเป็นคนไทยจะเป็นคนที่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อนแล้ว (ถูกประมาณแปดสิบเปอเซนต์สำหรับตอนนี้ แฟนเราเป็นคนสิงคโปร์ค่ะ แพลนไว้ว่าจะแต่งกันปีหน้า)

๓. เราจะได้แต่งงานตอนอายุ ๒๗ แต่จะได้แต่งงานสองครั้ง (อันนี้เราค่อนข้างกลัว เพราะนอกจากพ่อก็เคยมีคนอื่นทักแบบนี้ เราจึงตั้งใจว่าจะแต่งงานสองครั้งเพื่อแก้เคล็ด ครั้งนึงที่ไทย อีกครั้งนึงที่สิงคโปร์)

๔. ดวงเราจะมีสิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครอง ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่เทวดา แต่เป็นผีค่ะ ประมาณว่าไปอยู่ที่ไหนถ้ามีผี มีคนตาย วิญญาณของคนเหล่านั้นก็จะเอ็นดูเรา ช่วยเหลือเรา บรื๋อออออ!! ข้อนี้ไม่ค่อยชอบเลยแฮะ

๕. ข้อนี้สำคัญ...เรามีคู่สัญญากันไว้ตั้งแต่อดีต แต่ชาติไหนพ่อก็บอกไม่ได้ พ่อบอกว่าคู่สัญญาของเราเค้าตามเรามา เค้าอยู่กับเรามาตลอด และจะอยู่กับเราไปตลอดถ้าเราไม่ไปถอนคำสัญญาที่เคยให้ไว้ เอ้า!! สัญญากันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะให้ไปถอนแล้วจะต้องทำยังไง พอเราถามวิธีการท่านก็อมยิ้มแล้วบอกว่า อยู่ด้วยกันต่อไปสักพักเถอะ เค้าคุ้มครองเรา ไม่เป็นอันตราย  ขอบพระคุณค่ะ!!!

ขอย้อนเวลากลับไปสักสิบกว่าปีที่แล้วนะคะ ตอนที่เราเรียนอยู่ชั้น ป.๔ จำได้แม่นเพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่เราแยกห้องมานอนคนเดียว เวลาที่เรานอนกลางคืนพ่อเค้าจะคล้องสายยูไว้ที่ประตูหน้าห้องค่ะ ไม่รู้กันเราหนีเที่ยวรึไง เด็ก ป.๔ นะคะ

คืนหนึ่งตอนหน้าหนาว จำได้รางๆว่าลมพัดแรงตึงตังมาก บ้านเราอยู่ไม่ไกลจากทะเลจะได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมอย่างชัดเจน คืนนั้นเรากลัวมาก ห้องนอนของเราตอนนั้นยังไม่มีฝ้าเพดาน มองขึ้นไปจะเจอคาน เจอขื่อ เรายิ่งกลัวจะเจอใครมานั่งยิ้มให้เราดู สุดท้ายเลยกล่อมตัวเองจนนอนหลับไป แล้วเราก็ฝันค่ะ

ในฝันเราเห็นผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่บนเตียงไม้ ใส่ชุดกระโปรงสีแดงเข้ม ผู้หญิงคนนี้ดัดผมหยิกเป็นลอน แต่งหน้าขาว คิ้วโก่งเข้ม ปากเคลือบสีแดงสด ดูรวมๆแล้วเป็นคนสวยมาก แต่สวยแบบโบราณ (ถ้านึกภาพไม่ออกลองนึกถึงพลอยตอนเล่นหนังเรื่องชั่วฟ้าดินสลายนะคะ) เธอคนนี้นั่งหัวเราะร่วนอยู่บนเตียง โดยกำลังคุยอะไรบางอย่างกับผู้ชายคนนึงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เราจำลักษณะของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ แต่จำได้ว่าเค้าไม่ได้ใส่เสื้อ

แล้วเราก็ตื่นค่ะ แม่เราไขกุญแจเข้ามาในห้องแล้วเขย่าตัวเราให้เราตื่นด้วยสีหน้าแปลกๆ

ภายหลังเราถามแม่ ท่านบอกว่าเราละเมอพูดออกมาเป็นภาษาอะไรไม่รู้ แม่ได้ยินเสียงเราพูดพึมพำอยู่คนเดียวเลยเปิดประตูเข้ามาดู ฟังไปฟังมาชักกลัวๆเรา ก็เลยปลุกเราขึ้นมาเนี่ยแหล่ะค่ะ

นั่นคือครั้งแรกที่เรารู้จักกับผู้หญิงคนนี้

เวลาผ่านไปอีกสองปีจนเราเรียนอยู่ชั้น ป.๖ เราฝันถึงเธอคนนี้อีกครั้ง ครั้งนี้เธออยู่ในห้องเดิม นั่งอยู่ตำแหน่งเดิม แต่เธอไม่ได้ยิ้มแล้วค่ะ เธอกำลังทะเลาะกับผู้ชายคนนั้น แล้วก็ถูกผู้ชายคนนั้นทำร้ายร่างกาย ทั้งตบ ทั้งต่อย ทั้งตี แล้วเธอก็โดนบีบคอ

ตายค่ะ!! ตอนที่เธอตายเธอสบตากับเราที่ตะลึงมองอยู่ แววตาของเธอน่าสงสารมากค่ะ เราได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นเรียกเธอ ตบแก้มเธอเบาๆ

“ฤทัย ฤทัย ตื่นสิ ฤทัย”

เราสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แม่เราหน้าตาตกใจเหมือนเดิม เพราะเราพูดพึมพำเป็นภาษาที่แม่ไม่เข้าใจอีกแล้ว หลังจากฝันครั้งนี้เราก็ไม่สบายค่ะ เป็นอีสุกอีใสอยู่เกือบครึ่งเดือน

เวลาผ่านไปจนเราเรียนอยู่ชั้น ม.๓ เราฝันเรื่องนี้อีกครั้ง ครั้งนี้เราเห็นผู้ชายคนเดิมกำลังเอาขวานสับข้อเท้าของเธออยู่ ข้อเท้าที่ใส่รองเท้าสีแดง ส่วนตัวของเธอเค้าแยกเป็นชิ้นๆแล้วเก็บใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เหลือไว้แต่เท้าเท่านั้น เท้าคู่นี้เค้าเก็บใส่กล่องไว้ เมื่อเคลียทุกอย่างเรียบร้อยเค้าก็ลากกระเป๋าและกล่องเดินไปขึ้นรถยนต์ เราเปิดประตูตามเค้าไปด้วย (เค้ามองไม่เห็นเรานะคะ)

ขับรถไปค่อนข้างไกลจนมาถึงที่รกร้าง เค้าก็เอาจอบที่อยู่ท้ายรถมาขุดดินแล้วฝังเท้าพร้อมรองเท้าคู่นั้นลงไป

“อย่าจองเวรผมเลยนะ  ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีเท้าแล้วก็อย่าตามผมมาอีกนะ”

แล้วเราก็ตื่นค่ะ ครั้งนี้เหงื่อแตกซิก ตื่นมาข้างวงไพ่ของแม่ ขาไพ่แม่ทักว่าเราไปเรียนภาษาเขมรมาจากไหน

จากตอนนั้นเราไม่ฝันถึงเธออีกเลยจนกระทั่งเราเรียนจบ ม.๖ และสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงสองเดือนแรกจะมีการรับน้องจากทางคณะทำให้เราต้องกลับบ้านดึก เราเลยเลือกที่จะไปหาบ้านพักใกล้ๆมหาลัย (บ้านหนังนี้เราก็โดนนะคะ)

ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราฝันเห็นผู้หญิงคนนี้แทบทุกคืน ทุกครั้งที่มาหาเธอจะใส่เดรสสีแดงเข้มลายดอกไม้สีดำ สวมรองเท้าส้นสูงสีแดงคาดดำ แต่งหน้าจัด ทุกครั้งที่ฝันคือเหมือนเราคุยกัน เล่นกัน เป็นเพื่อนกัน ประมาณนั้น

ความรู้สึกในฝัน เรารู้นะคะว่าเธอตายไปแล้ว แต่เราก็ไม่ได้กลัวเธอ

แต่พอเราย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเราก็แทบจะไม่ฝันถึงเธออีก

พอเราเรียนอยู่ปี ๓ พ่อเราแอบซุกอีหนูเอาไว้คน แม่เราจับได้เลยขอหย่า สรุปว่าพ่อแม่เราเลิกกันตั้งแต่วันนั้น ตัวเราเองก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไงทั้งสองคนก็ยังเป็นพ่อและแม่เหมือนเดิม

พ่อเราย้ายไปอยู่ภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา แล้วก็ไปได้เมียเพิ่มขึ้นมาอีกคน สรุปคืออยู่กันสามคนผัวเมีย แต่เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนพ่อเราตั้งแต่ได้เมียที่เป็นคนใต้ การงานก็เริ่มติดขัด จากที่เคยมีเงินใช้ไม่ขาดมือก็กลายเป็นหมุนเงินไม่ทัน ร้านอาหารก็เจ๊ง ขาดทุนเป็นล้าน สุดท้ายพ่อเราเลยชวนเมียๆทั้งสองย้ายมาอยู่ระยอง แต่ก็ไม่ดีขึ้นค่ะ ร้านที่เปิดใหม่ก็เจ๊งเหมือนเดิม จนเมียคนแรกหอบผ้าหนีกลับไปอยู่บ้านเดิมของตนเอง เหลือไว้แต่เมียที่เป็นคนใต้

จังหวะนี้ตรงกันกับช่วงที่เราทำงานใน กทม. แล้วนะคะ และเราย้ายหอจากหอแรกมาเป็นหอที่อยู่ปัจจุบันแล้วด้วย หอใหม่ของเราอยู่ใกล้ๆปากซอยอ่อนนุช 24 เป็นหอที่สร้างมาแล้วประมาณสามสิบปี

วันนึงพ่อเราโทรมาบอกว่าจะขอย้ายมาอยู่ด้วยสักระยะ เราตอบตกลงค่ะ แต่ไม่นึกเลยว่าพ่อจะพาเมียที่เป็นคนใต้มาอยู่ด้วย เธอคนนี้ชื่อติ๋ม อายุแก่กว่าเราแค่ไม่กี่ปี แต่ทำไงได้คะ รับปากท่านไปแล้ว

ห้องของเราขนาดค่อนข้างกว้าง มีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ๆกั้นห้องรับแขกและห้องนอน เราเลยให้พ่อกับเมียใหม่เอาที่นอนมากางนอนตรงส่วนรับแขกค่ะ แค่คืนแรกก็เกิดเรื่อง!!

ตามปกติก่อนนอนทุกคืนพ่อเราจะเปลี่ยนชุดเป็นชุดขาวเพื่อที่จะสวดมนต์และนั่งสมาธิ ทำเป็นประจำมาตั้งแต่สมัยที่อยู่กับแม่เรา คืนนี้ก็เช่นกันค่ะ เมื่อสวดมนต์เสร็จเราก็ดับไฟแล้วเข้านอน

ตัวเราเองกำลังหลับฝันหวาน มารู้สึกตัวตื่นเอาอีกทีตอนที่เห็นห้องเปิดไฟสว่างจ้าค่ะ เห็นพ่อกับน้าติ๋มนั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“บี มาอยู่ห้องนี้รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆบ้างรึเปล่าลูก”

“ไม่นี่ หนูอยู่มาราบรื่นดีนะ ทำไมรึคะ”

“ไม่มีอะไรลูก พ่อกับน้าติ๋มคงแปลกที่ก็เลยนอนไม่หลับ”

พอได้ฟังแบบนั้นเราเลยไม่ได้สนใจอะไรอีก ก็หลับไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว คืนต่อมาก็แบบนี้อีกค่ะ เราตื่นมากลางดึกเจอพ่อเปิดไฟสว่างจ้าและกำลังนั่งคุยกับน้าติ๋มด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนเดิม

“พ่อ ทำไมไม่นอน”

“ไม่มีอะไรลูก หนูนอนเถอะ” พูดจบพ่อก็เดินไปปิดไฟ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องนานเกือบเดือนค่ะ จนพ่อเราตาลึกโหล ร่างกายซูบผอม เราก็คิดว่าพ่อมีปัญหาเรื่องเงิน หรืออาจเครียดที่น้าเพ็ญเมียคนแรกหนีไป

“พ่อ บอกหนูมาตรงๆเถอะ มีปัญหาอะไร เห็นผอมลงไปทุกวันจนหนูชักห่วง เรื่องเงินหรือเรื่องน้าเพ็ญ”

“บี ไหว้เจ้าที่เจ้าทางบ้างรึเปล่าลูก ห้องหนูมันแปลกๆ”

“แปลก? แปลกยังไงคะ” แล้วเรื่องราวก็ถูกถ่ายทอด

คืนแรกที่พ่อมานอนห้องเรา พ่อฝันเห็นผู้หญิงชุดแดง ผมหยิก ใส่รองเท้าสีแดง นั่งอยู่บนโต๊ะทานข้าว เธอมองพ่อด้วยสายตาที่น่ากลัวแล้วชี้หน้าพ่อสลับกับประตูห้อง พ่อเราสะดุ้งตื่นขึ้นมา ใจคอไม่ค่อยปกติก็เลยสวดมนต์บทแผ่เมตตาไปให้ พอสวดเสร็จพ่อก็นอนต่อ

กำลังเคลิ้มหลับก็ฝันอีก ครั้งนี้เห็นผู้หญิงคนเดิมนั่งห้อยขาอยู่บนโต๊ะทานข้าว แต่ครั้งนี้เธอไม่มีข้อเท้า เธอกระโดดลงจากโต๊ะทานข้าวเสียงดังตึง!! แล้วใช้เข้าคลานมาหาพ่อ ตอนที่คลานมาก็ทิ้งรอยเลือดเอาไว้ที่พื้น พอเธอคลานมาถึงที่นอน เธอก็เอาหน้าแนบกับมุ้งตรงฝั่งที่พ่อนอน

“กูบอกให้ออกไป!!!”

แล้วพ่อเราก็สะดุ้งตื่นขึ้น มาเจอกับน้าติ๋มที่นั่งเอาผ้าห่มห่อตัวกอดเข่าแน่นท่าทางหวาดกลัวสุดขีด พ่อเราเลยลุกไปเปิดไฟ

น้าติ๋มเล่าว่า เธอฝันเห็นผู้หญิงใส่ชุดสีแดง ดัดผมหยิก หน้าตาสวยแต่แววตาดุ เธอนั่งตะไบเล็บอยู่บนโต๊ะทานข้าว พอรู้ว่าน้าติ๋มกำลังมอง เธอก็เดินเข้ามาหาน้าติ๋ม ระหว่างที่เดินมาก็ค่อยๆเปลื้องผ้าตัวเองออกทีละชิ้น ทีละชิ้น จนร่างกายเปลือยเปล่า เธอรูปซิปเปิดมุ้งแล้วเข้ามานอนกอดพ่อของเรา ในฝันของน้าติ๋มพ่อเรานอนนิ่งเหมือนคนเป็นอัมพาต ได้แค่กลอกตาไปมา

“กูจะสมสู่กับผัว แล้วกูจะเอามันไปอยู่ด้วย หึหึหึหึ”

“จริงหรอ?? หนูอยู่มาสักพักนึงแล้วไม่เคยมีอะไรมารบกวนเลยนะพ่อ พ่อบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางรึยัง”

“บอกแล้ว พ่อสวดมนต์แผ่เมตตาให้เค้าทุกคืน”

หลังจากสวนมนต์แผ่เมตตาไปให้ เธอก็มาอีกค่ะ

“สวดมนต์ไล่กูหรอ กูไม่กลัว!! คนมักมากหลายเมียอย่างมันแย่ยิ่งกว่าผีอย่างกูซะอีก อ้อ! แล้วไม่ต้องแผ่เมตตาให้กูหรอกนะ กูไม่ใช่ผีชั้นต่ำ” พูดจบเธอก็ลากข้อเท้าพ่อเราออกไปทางประตูห้อง พอพ่อเราสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็จริงอย่างในฝันเลยค่ะ ตัวพ่อทะลุมุ้งออกมา ขาชี้ไปทางประตูห้อง

ส่วนน้าติ๋ม...เธอฝันเห็นผู้หญิงชุดแดงคนนี้ทุกคืน ทุกคืนเธอจะกระโดดลงมาจากโต๊ะทานข้าวแล้วมามีอะไรกับพ่อเรา โดยที่พ่อเรามีสภาพโทรมขึ้นทุกวัน ตัวเหลือง ตาเหลือง ผอมซูบซีด (พ่อเราในฝันของน้าติ๋มนะคะ ตัวจริงแค่ดูอ่อนเพลียนิดหน่อยที่อดนอนเท่านั้น)

พอมีอะไรกับพ่อเราเสร็จเธอก็ชอบมายั่วน้าติ๋ม

“เป็นไงล่ะ ผัวมันรักกู ไม่เคยปฏิเสธกูเลยซักครั้ง จำไว้นะอีติ๋ม ถ้ามันทิ้งเมียมันมาอยู่กับได้ ต่อไปมันก็ทิ้งได้เหมือนกัน หึหึหึหึ”

เป็นแบบนี้แทบทุกคืน!!

เราเลยไปถามประวัติของตึกนี้จากผู้ดูแลที่อยู่ชั้น G เค้าบอกว่าไม่มีค่ะ ห้องเราไม่เคยมีประวัติ ก่อนที่เราจะย้ายมาก็มีผู้หญิงคนนึงอยู่ อยู่มาสิบกว่าปี จนย้ายออกไปเพราะซื้อบ้านแล้ว

เราเริ่มเอะใจ จึงถามพ่ออีกครั้งถึงลักษณะของผู้หญิงคนนี้

“พ่อ ผู้หญิงที่ฝันเห็นเค้าใส่ชุดสีแดง ไว้ผมหยิกๆ หน้าตาสวยๆใช่มั้ย”

“ใช่ สวยมาก แต่ไม่เป็นมิตรเลย”

“ไม่ใช่ประวัติห้องนี้หรอกพ่อ ถ้าเป็นคนชุดแดงหนูว่าเค้าน่าจะมากับหนู”   แล้วเราก็เล่าเรื่องของเราให้พ่อฟัง  พ่อเราเลยเริ่มจำไอ้ที่เคยดูดวงของเราไว้ได้

“หนูคงเคยสัญญาอะไรไว้ร่วมกัน แต่เค้าไม่ได้ร้ายกับหนูหรอก เค้าคงไม่ชอบที่พ่อมีเมียหลายคนแล้วทิ้งลูกมากกว่า”

     พ่อเราและน้าติ๋มเก็บข้าวของย้ายออกจากบ้านเราหลังจากมาอยู่กับเราได้ราวๆสองเดือน ก่อนไปพ่อจุดธูปไว้หนึ่งดอกเพื่อเป็นการกล่าวอำลาเธอคนนั้น และฝากฝังให้เธอช่วยดูแลเรา พ่อยังบอกวิธีถอดถอนคำสัญญาไว้ให้เราด้วย วิธีการคือให้เราหาพวงมาลัยดอกดาวเรืองที่ร้อยต่อกันหนึ่งร้อยดอก กับมะพร้าวลูกใหญ่ และให้หาโบสถ์เก่าที่มีอายุเกินร้อยปี เข้าไปไหว้พระประทานให้โบสถ์แล้วจุดธูปสามดอกปักบนมะพร้าว แล้วพูดถอนคำสัญญาต่อหน้าพระประทาน รอจนธูปหมดดอกแล้วให้นำน้ำมะพร้าวลูกนั้นมาล้างหน้า เนื้อมะพร้าวก็ให้กินให้หมด แต่เรายังไม่ได้ไปทำค่ะ

     ส่วนหนึ่งเพราะเค้าไม่เคยโผล่มาให้เราเห็นนอกจากในฝัน กับอีกส่วนหนึ่ง...เราคงใจหายพิลึก ถ้าอยู่ๆวันนึงเธอคนนั้นหายไป

เด็ก2ท่อน


     จากประสบการณ์จริงต่อเนื่องกับครูสาว เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากเรื่อง "หนูขออยู่ด้วย" และ "กดติดวิญญาณกับสิ่งที่ตามมา" กลับมาครั้งนี้เป็นเรื่องที่ทำงานของเธอโรงเรียนนั้นเอง เหตุการณ์ที่เธอเจอผีกลางวันแสกๆ จะเป็นอย่างไรนั้นลองไปติดตามกันเลยครับ

     ช่วงบ่ายวันนั้นเรามีคาบว่างต่อกันสองชั่วโมงจนโรงเรียนเลิก เราเลยเอาหนังสือการ์ตูนมาอ่านค่ะ  เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับผีญี่ปุ่น จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่นางเอกเป็นผีที่ตายตั้งแต่สมัยสงครามโลกค่ะ เนื้อหาไม่น่ากลัวแต่ออกจะเศร้าๆ เราอ่านไปได้สักพักก็เกิดอาการตาปรือ คล้ายๆจะเป็นโรคขี้เกียจค่ะ ว่าแล้วคุณครูก็ถือโอกาสเลื้อยนอนมันตรงโต๊ะนั่นแหล่ะค่ะ

หลังจากฟุบไปได้ไม่นานเริ่มหนักๆหัว อาการครึ่งหลับครึ่งตื่นคล้ายๆขยับตัวไม่ได้ เราไม่ได้นึกถึงผีนะคะ เพราะเราเป็นแบบนี้บ่อยๆ เหมือนเวลาที่สมองตื่นแล้วแต่ร่างกายยังไม่ตื่นน่ะค่ะ ประมาณนั้น

หูเราได้ยินเสียงอื้ออึง เราเลยคิดว่าเดี๋ยวนอนอีกสักแป๊บก็หาย แต่ไม่ใช่ค่ะ! มันมีเสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นเบาๆ เสียงเหมือนกระพรวนข้อเท้าเด็กค่ะ คล้ายๆมีเด็กวิ่งวนไปวนมาอยู่ในห้องเรียนของเรา เมื่อเราลืมตาขึ้นมาก็เห็นเป็นขาเด็กเล็กๆวิ่งวนอยู่ในห้องเรา แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะคะคุณผู้อ่านขา ไอ้ขาเด็กที่ว่าเนี่ย มันมีแค่ครึ่งตัว!!!

ใช่ค่ะ!! ครึ่งตัว ครึ่งตัวล่าง นุ่งโจงกระเบนสีเหลือง!!! เหนือโจงกระเบนขึ้นมามีคราบเลือดสีคล้ำๆ แต่ไม่มีตัว มาแค่ครึ่งตัวค่ะ????

ทายสิคะว่าเราทำไงต่อ???

เราสะลึมสะลือดุไปว่า “ไปเล่นข้างนอกไปลูกไป ครูจะนอน”

ขุ่นพระ!!! คือเราตอบไปแบบนั้นแล้วเราก็หลับไปยาวเลยค่ะ มาตื่นอีกทีตอนเสียงสัญญาณเลิกเรียนดังขึ้น เด็กๆขึ้นมาทำเวร เราเลยสรุปเอาว่าเราคงฝันไป

และเราเชื่อมาตลอดว่าเราฝันไป เพราะไม่ปรากฏว่าเราเห็นอะไรแบบนี้อีกเลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงปลายเทอมของเทอมสอง

มีเด็กผู้ชายคนนึงวิ่งตะโกนลงมาจากตึก ตะโกนเสียงดังเหมือนถูกผีหลอก ช่วงนั้นเด็กนักเรียนสอบเสร็จแล้ว แต่จะมีนักเรียนบางส่วนที่ยังมาโรงเรียนอยู่เพราะยังส่งงานไม่ครบ

“ครูบี ครูบีคร้าบบบบ” ตะโกนพลางหอบไปด้วย

“เป็นอะไรของแกเนี่ย วิ่งตึงตังเดี๋ยวชั้นจะตีให้น่องลาย”

“ครูบี ผมโดนผีหลอก”

“บ้า! แกไปโดนมาที่ไหนธนเดช”

“โดนที่ห้องครูนั่นแหล่ะ โคตรหลอนเลย”

“เอ้า เรื่องอะไรมาโดนที่ห้องชั้น ห้องชั้นไม่มีผี”

“มีสิครับ ก็ผมเพิ่งโดนหลอกมาเนี่ย”

“ผีอะไรของแก”

“มีเด็กอยู่ในห้องครับครู”

“แล้ว??”

“ผมเอางานของครูขึ้นไปส่งบนโต๊ะ แล้วพอจะเอางานไปวางไว้ผมเห็นเด็กจ้องหน้าผมครับครู เด็กผมจุก จ้องตาแป๋วเลย”

“แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นผี ผีที่ไหนจะมาหลอกกลางวัน”

“ครู...ไอ้เด็กคนนี้มันมีแค่ครึ่งตัวบนเองนะครับ” ใจเราหายวาบ นึกไปถึงวันที่เราเจอขาเด็กมาวิ่งอยู่ในห้อง แต่เราไม่ได้แสดงอาการอะไรให้เด็กรู้ตัวนะคะ เราก็ปลอบไปว่าคงจะตาฝาด ห้องครูมีพระองค์เบ้อเริ่มจะมีผีไปได้ยังไง

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นึกแล้วก็ยังเสียวสันหลังไม่หาย ยิ่งเวลาที่ต้องอยู่ในห้องเรียนคนเดียวก็ยังอดใจแป้วไม่ได้  ได้แต่พูดกับลมกับแล้งไปว่าอย่ามาแหย่กันเลย

จนวันนึงมีเหตุการณ์ที่ทำให้เรื่องมันกระจ่างขึ้น วันนั้นเรานั่งเตรียมงานอะไรซักอย่างกันจนเย็น พอแดดร่มลมตก บรรยากาศเป็นใจให้อยากเล่าเรื่องผี บรรดาครูหนุ่มๆสาวๆก็ล้อมวงกันเลยค่ะ พอถึงตาเราเราก็เล่าเรื่องนี้แหล่ะ พอเล่าจบก็มีพี่คนนึงเค้าควานหาถุงอะไรซักอย่างในกระเป๋าแล้วยื่นมาให้เราดู

ถุงนี้เป็นถุงผ้าสักหลาดสีแดง เหมือนถุงร้านทองค่ะ พอเปิดออกมาเราแทบกรี๊ด

     ข้างในมีตุ๊กตาปูนปั้นรูปเด็กผมจุก แต่มันหักเป็นสองท่อนตั้งแต่ช่วงเอวลงมา เหมือนสิ่งที่เราเจอในห้องเปี๊ยบเลยค่ะ

“ลูกพี่เองแหล่ะ พี่เลี้ยงเค้าไว้นานแล้ว แต่ไม่มีใครเคยเจอ สงสัยเค้าคงชอบหนูเค้าเลยไปเล่นด้วย

“เล่นแบบนี้ก็ไม่ไหวนะคะพี่กั้ง!!!”

กดติดวิญญาณกับสิ่งที่ตามมา


     จากประสบการณ์จริงของครูสาวที่ผ่านมากันไปแล้วเรื่อง เป็นเรื่องที่เหตุการณ์ต่อจากเรื่อง หนูขออยู่ด้วย เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเธอต้องการย้ายหอพัก แต่สิ่งที่เธอพบนั้นกลับกลายเป็นเรื่องหลอกหลอนที่เธอไม่ทันคิดและตั้งตัวด้วยซ้ำ ว่าแล้วเราไปติดตามกันเลยครับ

     เรื่องนี้ยังอยู่ในหอเดิม เพิ่มเติมคือกำลังจะย้ายหอใหม่ อย่างที่เล่าไปในเรื่องที่แล้วน่ะค่ะ พอมีอะไรหายไปเราเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะอยู่ห้อง คิดไปคิดมา เอาวะ!! ย้ายหอใหม่มันซะเลยแล้วกัน มหกรรมการหาหอก็เริ่มขึ้น

     ข้อจำกัดในการหาหอของเรามีไม่มากค่ะ ตอนนั้นยังโสด ก็ขอแค่ห้องสะอาด ตึกไม่เก่าจนเกินไป ระบบความปลอดภัยโอเค แต่นี้ก็ผ่านแล้วค่ะ เรื่องราคาเราตั้งงบไว้ไม่เกินห้าพันต่อเดือน ทีนี้เลยมีพี่ๆที่โรงเรียนแนะนำหอนึงตรงปากซอยให้ บางคนอาจจะเคยรู้จัก

หอนี้ตั้งอยู่บนถนนอ่อนนุชฝั่งสุขุมวิท ตัวตึกสูงประมาณสิบชั้น ด้านล่างเป็นสถานบันเทิงของเหล่าคุณชายที่จะมานั่งดื่มเหล้าเคล้านารี ร้องคาราโอเกะ ฯลฯ

ทีแรกพอได้ฟังว่าข้างล่างเป็นคาราโอเกะเราก็เริ่มไม่อยากเข้าไปดู แต่ติดที่เกรงใจพี่คนที่เค้าเป็นคนหาหอ เราเลยคิดว่าไปดูซะหน่อย ถ้าไม่โอเคค่อยบอกกันอีกที

พอเดินมาถึงที่หมาย ตรงเคาเตอร์ของผู้ดูแลด้านล่างหอมีผู้หญิงอายุประมาณสามสิบต้นๆนั่งอยู่ พอทักทายกันเรียบร้อยถึงได้รู้ว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียนในโรงเรียน เธอคนนี้เลยบอกว่า มีห้องว่างอยู่พอดีที่ชั้น ๖ เดี๋ยวจะพาไปดู

เราก็ยกขบวนเดินถามกันไป พอเปิดประตูห้องมา ความรู้สึกแรกที่พุ่งมาประทะคือ ห้องนี้อับ อับมาก อับเหมือนไม่มีคนอยู่มานานหลายปี แต่สภาพภายในห้องสวย เปิดประตูห้องไปจะเจอกับโซฟาเล็กๆสีดำอยู่ทางด้านขวามือตรงกับประตู ถัดจากโซฟาจะเป็นตู้เย็นขนาดกลาง และถัดไปอีกจะเป็นประตูห้องน้ำ ส่วนริมผนังฝั่งซ้ายถัดจากประตูทางเข้าเป็นเตียงเหล็กขนาดห้าฟุต เลยปลายเตียงไปจะมีโต๊ะแต่งตัวและตู้เสื้อผ้าหลังเล็กๆ ห้องนี้มีลักษณะค่อนข้างยาว เลยตู้เสื้อผ้าไปนิดนึงคือประตูระเบียงหลังห้องที่เป็นกระจกติดฟิล์มดำมืด มีผ้าม่านสีน้ำเงินกั้น อารมณ์เดียวกับผ้าม่านรถทัวร์เลยค่ะ

เสียงในใจตะโกนออกมาดังๆเลยว่า “ชั้นไม่ชอบห้องนี้”

“ห้องนี้ดีนะน้องบี อยู่ฝั่งถนนใหญ่ ได้ดูวิวกลางคืน แถมราคาก็ไม่แพง” พี่ที่โรงเรียนเริ่มกล่อม

“จริงค่ะอาจารย์ แล้วตอนนี้มีโปรโมชั่นนะคะ ถ้าเช่าภายในเดือนนี้ จะคิดค่าเช่าจากสองพันเป็นพันห้าค่ะ แถมที่จอดรถฟรีหนึ่งล็อคด้วยนะคะ”

“ว้าย เอาเลยๆ”

“เดี๋ยวหนูขอกลับไปตัดสินใจก่อนนะคะพี่” เราตอบไป แล้วกดถ่ายรูปมุมโน้นมุมนี้ของห้องเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ

คืนนั้นเราก็กลับมาคิด เอาดีไม่เอาดี ห้องเดิมที่อยู่ค่าเช่าเดือนละสามพันห้า ไม่มีแอร์ จอดรถเดือนละพันห้า กับห้องใหม่มีเฟอร์นิเจอร์ครบ ราคาพันห้าพร้อมที่จอด โถไม่เห็นต้องคิดยาก เอาสิคะ..รอไร

กำลังจะกดโทรหาพี่ที่โรงเรียนว่าจะเอาแน่ พี่แกก็ดันโทรมาซะก่อน

“ฮัลโหลน้องบี ตัดสินใจได้รึยัง”  เสียงแบบตื่นเต้นมาก ไอ้เราก็นึกว่าพี่แกตื่นเต้นเรื่องเราจะเอาหรือไม่เอา

“ว่าจะเอานะคะพี่ ห้องถูกมาก ถ้าไม่เอาก็เสียดาย”

“เฮ้ย คิดดีๆก่อนนะบี ตอนแรกพี่อยากให้เอา เพราะเห็นว่าหอที่น้องอยู่มันเขี้ยว แต่ว่าพอพี่ลองไปเสิร์ชหาประวัติหอแล้วพี่ไม่แนะนำเลยอ่ะ”

“อ้าว ทำไมคะพี่”

“ไม่บอกดีกว่า น้องไปเสิร์ชหาเองเถอะ” แล้วพี่เค้าก็กดวางสายไปดื้อๆ เราเองเลยคว้าโน๊ตบุคขึ้นมาเสิร์ชหาประวัติหอ เท่านั้นล่ะจ้า มาเต็ม!!!

หมอนวดประชดรัก
หญิงชราดิ่งตึกหนีโรคร้าย
ฯลฯ

ตายห่าแล้วอิชั้น ทำไมดวงสมพงษ์นักก็ไม่รู้ แล้วที่เด็ดไปกว่านั้นรู้มั้ยคะว่าอะไร???
ก็ไอ้ที่ตายๆกันไปน่ะ ชั้นหกทั้งนั้นเลยน่ะสิคะคุณขา

ยังไม่ทันที่จะหายตกใจ อยู่ๆไลน์ก็ดังขึ้นมา นึกตามนะคะ เสียงไลน์แบบเยือกเย็น  “ล้ายยยยย” โอ้ยยย หลอนมาก ปรากฏว่าเป็นพี่คนเดิมค่ะ

“น้องบี ส่งรูปหอลงไลน์กลุ่มหน่อย พี่เก๋เค้าอยากรู้”

“รอแป๊บค่ะพี่” พอรับปากเค้าเราก็กดหารูปแล้วส่งไปรัวๆเลย สมาชิกในกลุ่มก็เม้ามอยกันสนั่นลั่นทุ่ง พีคสุดคือพี่หญิง

พี่หญิงเป็นคนที่ชอบไปกินข้าวขาหมูหน้าปากซอยบ่อยๆ ซึ่งก็เคยได้ยินเจ้าของร้านเค้าเม้ากันว่าตึกนั้น (ตึกนั้นนั่นแหล่ะค่ะ) มีคนตายบ่อย เหมือนมีอาถรรพ์ คนไปอยู่ส่วนมากจะมีอาการซึมเศร้า อยากตาย (จริงไม่จริงไม่รู้ เค้าเล่ามาอีกที)

ซึ่งนั่นทำให้เราตัดสินใจได้เลยว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่เอาหอนั้นเด็ดขาด

สักพักพี่อีกคนกดรัวสติ๊กเกอร์รูปหน้าตกใจมาเลยค่ะ

“เฮ้ย ดูรูปกันดีๆ เห็นรูปที่ถ่ายตรงประตูระเบียงมั้ย ที่เป็นกระจกดำอ่ะ”

ทีนี้สมาชิกทั้งแปดคนก็รีบกดเข้าไปดูรูป ไอ้เรามองทีแรกก็ไม่เห็นอะไรนะคะ เห็นแค่เงาตัวเราเองถือกล้องโทรศัพท์สะท้อนกับประตู

“มีอะไร ขยายด่วน”

“ลองมองเงาสีขาวข้างๆน้องบีสิพี่”

ขุ่นพระ!!!! ไอ้เงาข้างๆเราที่เราไม่ได้สังเกตพอมองดีๆแล้วมันเหมือนมีหน้าผู้ชายรางๆอยู่ในรูป ตอนที่ไปดูหอไม่มีผู้ชายไปเลยค่ะ มีแต่หญิงล้วน แล้วเรามั่นใจเต็มร้อยว่าเราไม่ได้ถ่ายติดสมาชิกที่ไปด้วยกันแน่ๆ

“คิดเหมือนพี่มั้ยว่ามันเหมือนหน้าคน”

ยังไม่ทันที่เราจะตอบ พี่อีกคนก็ทักมาอีก

“เฮ้ยยยยยยยยยยย มองดีๆ รูปนี้ก็มี รอแป๊บ” แกส่งรูปกลับมา รูปนี้แกวงสีแดงเอาไว้ชัดเลย เป็นรูปที่เราถ่ายติดพี่ที่ไปด้วยกัน เค้าชูสองนิ้วยิ้มให้กล้อง แต่เงาที่สะท้อนกับกระจกข้างหลังพี่เค้ามันเหมือนมีผ้าขาวๆลอยอยู่ พอซูมไปใกล้ๆมันเหมือนกับเวลาที่เค้าห่อศพคนตายน่ะค่ะ ที่เอาผ้าขาวห่อ ไอ้เงานี้ก็เช่นกัน แต่เงานี้มองดีๆจะเห็นเส้นเชือกสีคล้ำพันอยู่รอบคอ โยงขึ้นไปผ่านแอร์ที่ติดอยู่เหนือกระจก มองแล้วเหมือนศพถูกแขวนเลยค่ะ แต่ถ้าไม่สังเกตดีๆก็ไม่เห็น

“บี!!! น้องอย่าย้ายไปอิหอนี้เด็ดขาดเลยนะ ย้ายไปผีหลอกหัวโกร๋นแน่ๆ”

“ไม่ย้ายแล้ว น่ากลัวอ่ะพี่ โคตรหลอนเลย คืนนี้พี่กุ๊กมานอนเป็นเพื่อนบีได้ป่าวคะ บีชักหวั่นๆแล้ว”

“เออ เดี๋ยวพี่ไปนอนเป็นเพื่อน แต่รอซักพักนะ พี่มาเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล ประมาณชั่วโมงนึง”

“เคค่ะ” พอจบบทสนทนาเราก็เก็บห้องให้สะอาดเรียบร้อย อาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งรอพี่กุ๊ก รอไปรอมาจนเคลิ้มหลับ เรามาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เคาะรัวจนเราตกใจ จังหวะนี้เสียงไลน์ของเราก็ดังขึ้นตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แต่เราไม่ได้สนใจ

ก๊อกๆๆๆ “บีเปิดประตู” เสียงพี่กุ๊ก

เราเอื้อมมือเปิดประตูแล้วยิ้มกว้างงง “เชิญค่าคุณพี่กุ๊ก” แล้วยิ้มเราก็ค้างค่ะ ค้างเพราะที่หน้าห้องเรามันไม่มีใครอยู่เลยซักกะคนเดียว

พอเปิดประตูออกมาแล้วไม่เจอใคร ยิ้มค้างสิคะงานนี้ มองซ้ายก็โล่ง มองขวาก็กำแพง ไม่มีทางที่คนปกติจะวิ่งไปแอบตรงบันไดได้เร็วขนาดนี้ คิดได้แบบนี้เราก็รีบเข้าห้องล็อกประตูเลยค่ะ

ไลน์ของเราส่งเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเสียงโทร

พี่กุ๊กค่ะ!!!

"หวัดดีค่ะพี่กุ๊ก"

"เออบี พี่จะบอกว่าตอนนี้รถติดมากเลย พี่เพิ่งถึงแถวพัฒนาการเอง จะไปถึงช้าหน่อยนะ"

เชรี่ย!!!!  พี่กุ๊กอยู่พัฒนาการแล้วใครมันเคาะห้องอิชั้นล่ะคะ

"พี่กุ๊กไม่ได้อำใช่ป่าว เมื่อมีคนเคาะห้องบี"

"ไม่ๆ ไม่ได้อำ นี่พี่อยู่บนถนน แกฟังเสียงรถสิ" จริงของพี่กุ๊ก เสียงรถดังมากเลย

"งั้นพี่กุ๊กไม้ต้องมาแล้วก็ได้ค่ะ บีอยู่ได้"

"แน่นะ"

"ค่ะพี่" เสียงสั่นมาก แต่ที่ไม่ให้มาเพราะสิ่งที่เรากลัวคือเราจะเปิดประตูรับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่กุ๊กน่ะสิคะ

ตอนนั้นจำได้ว่าเรานั่งตัวแข็งอยู่ในห้องเลย คุณเคยมีความรู้สึกแบบนี้มั้ยคะ ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เหมือนขนที่หัวมันลุกขึ้นมา คืนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นเลยค่ะ มันเหมือนที่ที่เราอยู่มันไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย เราพยายามห่อตัวไว้ในผ้าห่ม เก็บปลายขา สุดท้ายเลยไม่ปิดไฟมันทั้งคืน

ความรู้สึกครั้งนี้ของเรามันบอกว่าเค้าไม่ได้มาดี เรารู้สึกได้ว่าห้องเราบรรยากาศมันไม่เป็นมิตร ไม่เหมือนครั้งนั้น ครั้งที่น้องผีอยู่กับเรา ครั้งนี้มันเหมือนมีคนกำลังจ้องมองเราตลอดเวลา จ้องมองด้วยสายตาที่น่ากลัว

เช้าวันรุ่งขึ้นเราหอบสังขารที่ไร้เรี่ยวแรงไปทำงาน จะไม่ให้เพลียได้ไง มัวแต่กลัวผีกว่าจะได้หลับก็เกือบสว่าง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ สายๆหน่อยเรามีคาบว่างก็เลยมาจับกลุ่มเม้ามอยกะเพื่อนๆรุ่นพี่ในโรงเรียนค่ะ พี่กุ๊กเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นคนแรกเลย

"ไหนแกลองเล่าให้พี่ฟังที เมื่อคืนมันยังไง รึว่าได้ผู้มานอนเป็นเพื่อน"

"เปล่าพี่ เมื่อคืนบีโดน....." เราถ่ายทอดให้พี่ๆฟัง แต่ละคนเริ่มหน้าเสีย แต่คนที่หน้าซีดที่สุดคือพี่พีท

"แต่หอแกก็มีเจ้าที่นี่บี ผีที่ไหนมันจะเข้ามาได้ แกอาจจะคิดไปเองก็ได้มั้ง" พี่กุ๊กพูดขึ้น ซึ่งพี่พีทก็ขัดขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ

"พี่กุ๊ก พี่เคยได้ยินที่เค้าว่ากันว่าเวลาได้ยินเสียงใครเรียกตอนกลางคืนแล้วห้ามขานรับได้มั้ย พีทว่ามันทำนองเดียวกันนะ น้องบีเค้าไปขานรับเพราะนึกว่าเป็นพี่กุ๊กไง"

"แต่เค้าจะมาตามไอ้บีมันทำไม ไม่มีเหตุผลเลย"

"เป็นเพราะเราไปถ่ายรูปเค้ามารึเปล่าพี่ ถ่ายติดมา ก็เลยตามกลับมาด้วย"

พอฟังคำนี้ เรารีบหยิบโทรศัพท์มากดลบรูปทิ้งทันที คนอื่นๆก็รีบเข้าไปกดลบในไลน์ของตัวเอง

"ลบหมดแล้วหวังว่าคงจะเลิกตามกันซักที บีก็ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เค้าซะ แล้วอย่าลืมเอามาลัยไปไหว้ศาลที่หอ ขอเค้าว่าไม่ให้ใครเข้า"

จำได้มั้ยคะ?? ตอนต้นเรื่องเราเคยไหว้ขอไปแล้ว แต่ก็ยังโดนจนได้ แล้วความปลอดภัยทั้งกายและใจของเรามันอยู่ตรงไหนกัน

เย็นวันนั้นสิ่งที่เราทำคือรีบไปหาซื้อพวงมาลัย เราจำได้แม่นว่าวันนั้นคือวันโกน ปกติวันโกนจะต้องมีดอกไม้ พวงมาลัย ขายเยอะแยะไปหมดใช่มั้ยคะ แต่เปล่าค่ะ!!  เราขับรถหาทั้งเส้นอ่อนนุช  ไม่มีค่ะ!! ไม่มีเลยสักพวงเดียว เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่อยากให้เราไปไหว้ยังงั้นแหล่ะ

เราก็เลยกลับหอ คิดปลอบใจตัวเองว่าเอาไว้วันอื่นก็ได้ วันนี้วันโกน ดอกไม้อาจจะขายดีก็เลยหมดเร็ว พอเปิดประตูห้องเข้าไป มาเลยค่ะ!! ลมอับๆมันตีหน้า อารมณ์เดียวกับหนังผีเวลาเปิดประตูบ้านร้างหรือโรงแรมน่ะค่ะ เหมือนห้องนี้ไม่มีคนอยู่ทั้งๆที่เราเพิ่งออกไปเมื่อเช้า  ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ...

ข้าวของของเรากระจุยกระจายเหมือนโดนใครมารื้อค้น มีเศษดินทรายร่วงเต็มพื้นห้องและบนเตียง กระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งของเราร้าวเป็นทางยาว สภาพภายในห้องเหมือนโดนพายุถล่มมาหมาดๆเลยค่ะ ทั้งๆที่เราปิดประตูหลังและไม่ได้เปิดหน้าต่างเอาไว้เลย

พอเห็นห้องเป็นแบบนี้เราก็โทรหาพี่แม่บ้านนารีเลยค่ะ แกบอกว่านอกจากตัวแกเองแล้วก็ไม่มีใครเดินขึ้นชั้นสี่ปีกขวาเลยค่ะ (ปีกขวาของชั้นสี่มีเราอยู่แค่ห้องเดียว อีกห้าห้องที่เหลือเป็นห้องว่างค่ะ) แต่สิ่งที่เรากลัวคือขโมย เราเลยขอดูกล้องวงจรปิด แล้วก็จริงอย่างที่พี่นารีบอกค่ะ นอกจากตัวแกที่ขึ้นมาทำความสะอาดแล้วก็ไม่มีใครเลย

ทีนี้อิชั้นก็ของขึ้นสิคะคุณ โมโหผีค่ะ!! ตอนนั้นมั่นใจว่าต้องเป็นผีแน่ๆ คนที่ไหนมันจะปีนชั้นสี่ขึ้นมาได้

“ไอ้ผียิ้ม ตายห่าไปเป็นผีแล้วยังเสือXมารังควานคน ตามกุมาทำไม กุไปทำอะไรให้ แน่จริงออกมาเจอกับกุเลย คิดว่ากุกลัวหรอ ออกมาเลย ถ้าไม่ออกก็ไสหัวออกไปจากห้องกุเดี๋ยวนี้เลย ออกไป ไปนรกขุมไหนก็ไป!!!”

ที่จริงด่ามากกว่านี้ค่ะ อันนี้คือจำได้คร่าวๆ

พอด่าจบหูเราเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะค่ะ เป็นเสียงหัวเราะแหบๆต่ำๆ เหมือนเสียงผู้ชาย

“หึหึ”

“ยังจะหน้าด้านมาหัวเราะกุอีก รู้มั้ยว่ากุขี้เกียจมาเก็บกวาด ถ้าไม่ออกเดี๋ยวกุจะตามพ่อกุมาไล่ออกไปเอง”  (พ่อเราบวชเรียนมาหลายปีก่อนจะมาแต่งงานกับแม่ ท่านชอบในเรื่องการดูดวง และการดูพระ เลยค่อนข้างมีความรู้เรื่องอาถรรพ์ต่างๆพอสมควร)

แต่ในนาทีที่เรานึกถึงพ่อ เราก็นึกเลยไปถึงหุ่นพยนต์ที่พ่อเคยให้ไว้ เราเลยไปหยิบหุ่นนี้ออกมาจากลิ้นชักแล้วพนมมืออธิษฐาน

“พี่ๆคะ ตอนนี้น้องมั่นใจว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในห้องของน้อง ซึ่งน้องไม่ได้ต้อยรับและไม่มีความยินดีที่จะให้มันอยู่ หากพี่มีตัวตนจริงๆขอให้พี่ช่วยไล่มันออกไปจากอาณาเขตของน้อง ถ้ามันตายซ้ำอีกรอบได้ก็ฆ่ามันให้ตายเลยค่ะ”

สิ้นคำอธิษฐาน อยู่ดีๆเราก็มีความรู้สึกแว๊บขึ้นมาในหัวว่าเราต้องไปจุดธูปบอกศาลตายายที่หน้าหอ เราเลยเดินไปหยิบธูป ตอนนั้นตาก็มองหากลักไม้ขีด ซึ่งเราเจอมันวางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง (เรามีนิสัยชอบจุดเทียนหอมตอนค่ำๆค่ะ เลยมีไม้ขีดเก็บไว้) พอเดินไปหยิบธูปกลับมาปรากฏว่ากลักไม้ขีดที่วางอยู่มันอันตรธานหายไป

จุดนี้เราว่าเราไม่ได้หลอนเองแน่ๆ เพราะเรามองเห็นมันวางอยู่ แต่พอหันกลับมาอีกทีมันหายไปแล้ว แล้วเราก็หาไม้ขีดกลักนั้นไม่เจออีกเลย จนกระทั่งถึงวันที่เราย้ายหอ เราไปเจอมันวางอยู่ตรงขอบระเบียงหลังห้อง ซึ่งเป็นจุดที่เราไม่เคยเอาของออกมาวางแน่ๆ พอนึกแล้วเรายังแค้นใจไม่หายเลยค่ะ

เราค้นหาไม้ขีดอยู่พักใหญ่ๆ แต่ก็หาไม่เจอเลยตัดสินใจลงไปหาซื้อข้างล่าง เหมือนฟ้าเป็นใจให้ไอ้ผีบ้านั่น เราหาร้านซื้อไฟแช็กไม่ได้เลย ทุกร้านพร้อมใจกันปิดหมด เราเลยจุดคำว่าโมโหมาแล้ว เลยเดินกลับหอแล้วไปโวยวายที่ศาลตายายข้างหอ

“หนูตั้งใจจะมาไหว้ให้ช่วยเหลือคุ้มครอง แต่ก็เหมือนมีอะไรมาขัดขวางไม่ให้ได้ไหว้ งั้นหนูไหว้ปากเปล่าแล้วกัน ให้มันรู้ไปว่าร้านค้ามันจะปิดได้ทุกวัน วันหลังหนูจะเอาธูปมาไหว้นะคะ  ถ้าตายายไม่ช่วยปกปักรักษาหอแห่งนี้ งั้นหนูจะย้ายออกเองเพราะถือว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์ไม่คุ้มครอง”  พูดจบเราก็เอาธูปที่ไม่ได้จุดปักไว้ในกระถางเลย

พอกลับขึ้นห้องก็ต้องมารื้อห้องทำความสะอาดกันใหม่ แต่ครั้งนี้เราสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเดิมๆที่เราเคยอยู่ บรรยากาศที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอม

เฮ้ย!! ผีมันไปแล้วหว่ะ

เปล่าค่ะ มันไม่ได้ไป มันยังอยู่ แต่มันไม่ได้อยู่ในห้อง!!

คืนนั้นเรานอนหลับไปด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ รู้สึกเหมือนไม่ได้หลับเต็มอิ่มมานาน ทั้งๆที่จริงๆก็แค่ไม่กี่คืน พอตื่นเช้ามาก็ไปใส่บาตร และไม่ลืมที่จะกรวดน้ำให้คุณผีนิรนามตนนั้น วันนั้นทั้งวันทำงานด้วยความสุขเลยค่ะ จนกระทั่งเลิกงานกลับหอ

พอเรากำลังจะแตะคีย์การ์ดที่ประตูหน้า ก็ได้ยินเสียงแม่บ้านเรียก

“ครูบีขา เดี๋ยวห้องข้างๆครูบีจะมีคนมาอยู่ใหม่นะคะ เป็นผู้หญิงสองคน ครูบีจะได้ไม่เหงา”

“ค่ะพี่ แล้วย้ายเข้าเมื่อไหร่หรอคะ”

“อาทิตย์หน้าค่ะ”

พอถึงห้องเราก็จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน คืนนี้ทำอาหารง่ายๆกินเองที่หอเพราะขี้เกียจออกไป พอกินข้าวเสร็จเรียบร้อยเราก็หยิบหนังสือนิยายแปลขึ้นมานั่งอ่าน เราชอบอ่านนิยายสืบสวนของญี่ปุ่นค่ะ จุดที่เราอ่านหนังสือคือบนเตียง เรานั่งพิงหัวเตียงอ่านและที่อยู่ถัดจากหัวเราไปก็คือหน้าต่างบานเกล็ดค่ะ

กำลังเพลินได้ที่ก็มีเสียงเบาๆดังขึ้นข้างๆหู

แกรกกกกกกก แกรกกกกกกกกก

เหมือนเสียงเล็บขูดกับอะไรซักอย่าง เรากำลังมองหาที่มาที่ไปก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ

“น้องบีคะ พี่นารีเองค่ะ”

อารมณ์นี้เราไม่ไว้ใจอยู่แล้ว เราก็ออกไปส่องตาแมวมองหน้าห้อง ปากหุบไว้แน่นสนิท เห็นพี่นารียืนอยู่จริงๆ แต่ยังค่ะ ยังระแวงอยู่ โทรหาเลยชัวร์สุด

โป๊ะเชะ!! ปรากฏว่าพี่นารีออกไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย แล้วที่ห้องชั้นล่ะ พอเราส่องไปอีกทีก็ไม่มีใครแล้ว

ทีนี้เสียงแกรกกรากดังขึ้นมาอีกเหมือนเสียงนกพิราบเอากรงเล็บข่วนกับหน้าต่างน่ะค่ะ (เราเป็นโรคกลัวสัตว์ปีกขั้นรุนแรง ถ้าให้เลือกนอนกับผีหรือนอนกับนก เราเลือกนอนกับผีค่ะ) ใจเราก็คิดว่าคงเป็นนกพิราบแน่ๆ

แกรกกกกกกกกก แกรกกกกกกกกกก

ตามด้วยเสียงครางฮืออออ ฮือออออออออ ยาวๆ เหมือนเสียงคนหายใจไม่ถนัด แล้วมีเสียงเหมือนสำลักอากาศตามมาด้วยค่ะ  เราว่ามันชักแปลกๆเพราะนึกดีๆหน้าต่างฝั่งเรามันไม่มีชายคา แล้วนกที่ไหนมันจะมาอยู่ได้ มันคงกระพือปีกไว้ตลอดเวลาไม่ไหวแน่ๆ เราเลยโทรหาพี่กุ๊กค่ะ

“พี่กุ๊ก ช่วยบีฟังหน่อยได้ยินเสียงอะไรรึเปล่าคะ”

“เสียงอะไร ...เสียงเหมือนใครหายใจ นกรึเปล่าบี”

“ห้องบีมันไม่มีชายคา ถ้าเป็นนกต้องได้ยินเสียงกระพือปีก แต่นี้เสียงมันใกล้มากนะพี่ เหมือนห่างกันแค่มุ้งลวดกั้นเอง”

“หรือจะเป็นงูเลื้อยขึ้นมา”

“พี่กุ๊ก!! บีอยู่ชั้นสี่ มันเลื้อยไหวรึคะ”

“บีลงมาจากหอก่อน  เดี๋ยวพี่ไปรับ มันไม่น่าไว้ใจ”

เราปฏิเสธพี่กุ๊กแล้วบอกว่าจะอยู่บนห้อง อาจไม่มีอะไรน่ากลัว ตอนนั้นพี่กุ๊กก็กรี๊ดขึ้นมาแล้วละล่ำละลักบอกเรา

“บี พี่ได้ยินเสียงผู้ชายอ่ะแก มันบอกให้เปิดประตู ดังมาจากโทรศัพท์ฝั่งแกน่ะ”

“5555555 โอเคพี่กุ๊ก บีเข้าใจแล้ว เดี๋ยวบีจะไล่ผีให้ดู”

เราระเบิดหัวเราะดังลั่นแล้วกดวางสายจากพี่กุ๊ก แกคงจะงงๆ แต่เรารู้แล้ว ตลอดเวลาเสียงครางก็ยังดังแผ่วๆเป็นระยะๆ เรารู้แล้วว่ามันเข้าห้องเราไม่ได้มันเลยไปข่วนกำแพงข้างนอก

ผีกระจอก!!

หลังจากนั้นมันมาข่วนกับครางให้เราฟังอยู่เกือบอาทิตย์ค่ะ แต่เราทำเป็นไม่สนใจ เวลาได้ยินเสียงมันเราก็เปิดเพลงมอญร้องไห้ไม่ก็ธรณีกรรแสงกล่อมมันไป พอเราไม่สนใจมันก็เงียบหายไปเอง

     แต่เราก็ไม่ลืมที่จะไปทำบุญกรวดน้ำให้นะคะ ที่สำคัญเราไปจุดธูปไหว้ศาลตายายข้างล่างหอตามที่เคยพูดไว้ แล้วเราก็อยู่หอนี้อย่างสงบสุขจนกระทั่งเราย้ายหอเลยค่ะ เรื่องผีเรื่องที่สองก็คงต้องขอจบลงตรงนี้

หนูขออยู่ด้วย


     เรื่องจริงที่เกิดขึ้นประสบการณ์จริงกับครูสาวที่จำเป็นต้องย้ายมาอยู่ใน กทม เธอได้พักอาศัยอยู่ที่หอพักแห่งหนึ่ง เธอพบเหตุการณ์ประหลาดเร้นลับ ที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ แต่เธอนั้นรู้สึกได้ และเธอก็เชื่อและสามารถสัมผัสมันได้ ลองไปฟังเรื่องต่อไปนี้เลยครับ

      ย้อนหลังไปเมื่อประมาณปลายปี 56 เราสอบบรรจุข้าราชการ กทม ได้ ต่อมาในเดือนพฤษภา ปี 57 เราได้รับจดหมายเรียกรายงานตัว ซึ่งนั่นทำให้เราต้องเตรียมย้ายที่อยู่  เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ แต่ไม่ไกลจาก กทม นั่งรถแค่ชั่วโมงกว่าๆก็ถึง

     ลองนึกภาพตามดูนะคะ สาวน้อยวัยยี่สิบสามปีที่ไม่เคยห่างบ้าน ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองคนเดียวเลย แต่เพราะจดหมายฉบับเดียวที่ทำให้ชีวิตเราต้องพลิกไปขนาดนี้

     เมื่อรายงานตัวเรียบร้อยและได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่แถวๆอ่อนนุช เรากับพ่อแม่ก็ตัดสินใจที่จะไปหาหอพักในบ่ายวันนั้นเลย จนมาลงตัวที่หอพักแห่งหนึ่ง สภาพน่าอยู่มากค่ะ สะอาด มีคีย์การ์ด ในหอพักไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าพัก เนื่องจากต้องการความสงบทางเสียง ภายในหอไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าเข้าไป เราต้องถอดไว้ข้างนอก ถ้ากลัวหายจะหิ้วเข้าไปในห้องก็ได้ค่ะ ไม่ว่ากัน ที่สำคัญหอนี้อยู่ห่างจากที่ทำงานของเราแค่ไม่ถึงร้อยเมตร ลงตัวสุดๆเลยค่ะ

วันรุ่งขึ้นเราก็ขนข้าวของเครื่องใช้ใส่รถกระบะแล้วมุ่งหน้าสู่ กทม อย่างที่บอกว่าเป็นการอยู่คนเดียวครั้งแรกในชีวิต ของที่ขนมาจึงไม่เยอะ เพราะตั้งใจว่าไปตายเอาดาบหน้า

     เราได้ห้องพักอยู่ที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ห้องของเราคือ 401 ซึ่งเป็นห้องติดริมผนังฝั่งซ้ายมือถ้ามองจากหน้าหอ  เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปจะเห็นว่าประตูหน้าห้องและประตูระเบียงจะตรงกันเป๊ะพอดี ถัดจากประตูระเบียงมาทางขวามือจะเป็นห้องน้ำ ริมผนังฝั่งซ้ายมือจะเป็นที่วางเตียงห้าฟุต เหนือหัวเตียงขึ้นไปคือหน้าต่างบานเกล็ด ห้องนี้มีแสงสว่างเข้ามาเต็มๆในช่วงบ่าย เนื่องจากตรงหน้าต่างซ้ายมือคือทิศตะวันตก

เจ๋งใช่ป่ะ หัวหัวนอนไปทิศตะวันตกพอดีเบย

     ก่อนที่พ่อแม่เราจะกลับ ท่านก็สั่งนู่นนี่ตามประสาคนเป็นห่วง แต่พ่อเราเรียกเราไปหาค่ะ ท่านให้พระมาหลายองค์ องค์ที่เราห้อยติดคอไว้ตลอดคือพระปิดตาวัดเครือวัลย์ ส่วนที่พ่อให้เราเอาขึ้นหิ้งคือรูปหล่อพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค

     จุดพีคอยู่ที่หุ่นตัวเล็กๆสีดำนุ่งโจงกระเบนแดง พ่อเราเรียกหุ่นพยนต์ค่ะ เป็นวัตถุอาถรรพ์ที่พ่อบอกว่าจะช่วยคุ้มครองเรา (เมื่อก่อนเราเคยเอาหุ่นนี้ไว้ในรถซึ่งมีหลายคนที่รู้จักเราได้เจอเรื่องแปลกๆ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังทีหลังนะคะ)

     ก่อนพ่อจะกลับ ท่านให้เราไปจุดธูปไหว้ที่ศาลหน้าหอ เป็นศาลพระภูมิและศาลตายายค่ะ เราก็ไหว้ฝากเนื้อฝากตัวและขอให้ท่านคุ้มครอง

“...และสุดท้าย ลูกไม่ขอต้อนรับสิ่งแปลกปลอมใดๆที่ติดตามลูกมา ยกเว้นแต่ของที่ลูกนำติดตัวมาเท่านั้น สิ่งไม่ดีใดๆก็ตาม ถ้าลูกไม่อนุญาต ขออย่าให้เข้ามาในอาณาเขตของลูกได้”

แล้วเราก็อยู่หอนี้ด้วยความปกติสุขมาตลอด

     จนวันหนึ่งหลังเลิกงาน เราออกไปทานข้าวข้างนอกกับเพื่อนๆ พอกลับมาถึงห้องด้วยความเพลียจึงหลับไปโดยที่ไม่ได้อาบน้ำ
เราฝันค่ะ ในฝันคือมีคนมาเคาะประตูห้องเบาๆ แล้วเราเดินไปเปิดประตู เจอผู้หญิงคนนึง อายุน่าจะประมาณ 18-20 ปี หน้าตาสวย ไว้ผมบ๊อบสั้น ใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้น แต่งตัวเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่เธอกำลังร้องไห้ค่ะ ร้องแบบสะอึกสะอื้น เธอพูดกับเราว่า

“พี่คะ หนูไม่มีที่ไป หนูไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ขอหนูอยู่กับพี่สาวซักพักได้มั้ยคะ”

และตัวเราในฝันก็ตอบตกลงชวนเธอคนนั้นเข้ามาอยู่ในห้อง

แล้วเราก็สะดุ้งตื่นค่ะ เวรแท้ๆกรู

     เชื่อมั้ยคะ ตั้งแต่วันนั้นมาเราไม่เคยรู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวในห้องอีกเลย ปกติโดยนิสัยเราเป็นคนเลอะเทอะไร้ระเบียบพอสมควร แต่ห้องของเราสะอาดเนี๊ยบทุกวัน ไม่มีขี้ฝุ่นเลย ห้องน้ำไม่เคยขัดเป็นเดือนๆแต่ไม่มีคราบสกปรก คือความรู้สึกเรามันบอกชัดเลยว่ามีคนมาทำห้องให้ แต่ไม่ได้เห็นชัดๆคาหนังคาเขานะคะ เหมือนๆเรารู้สึกได้เอง

ช่วงนี้แหล่ะค่ะที่การแต่งตัวของเราเริ่มเปลี่ยนไป ตามปกติเราชอบใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนๆกับกระโปรงสีเข้ม กลายเป็นว่าหลังๆมาเราจะมีเดรสสีสันสดใสเต็มตู้ไปหมด สไตล์การแต่งหน้าก็เปลี่ยนไป เราแต่งหน้าสวยขึ้นมาก และจากที่เคยใช้อายไลเนอร์สีดำก็เปลี่ยนมาเป็นสีน้ำตาล ทั้งๆที่เราไม่ชอบเลย เรากลายมาเป็นคนชอบของกระจุกกระจิก คนแรกที่สังเกตเห็นคือแม่เรา

แม่บอกว่าเราเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนลูกแม่...แต่แม่ชอบนะคะ 555555

     หลังจากที่เราฝันเห็นเธอได้ประมาณ ๑ เดือน เราก็ไปตัดผมสั้นค่ะ!!! คุณขา เราไว้ผมยาวมาหลายปี รักผมมาก ดัดเป็นลอนยาว แต่เราไปตัดผม!!  ซึ่งในวันนั้นไม่รู้มีอะไรมาดลใจให้ตัด กลับมาบ้านมองกระจกแบบงงๆ “นี่ชั้นไปตัดผมบ๊อบเทมารึนี่ แถมเทสองข้างไม่เท่ากันเสียด้วย”

ตอนนั้นเราเริ่มทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น จนยอมรับกับตัวเองว่า เออเฮ้ย!!ทุกอย่างมันแปลกๆจริงๆนะ ตั้งแต่เราไปตกลงให้ยัยเด็กคนนั้นมาอยู่ด้วย นึกไปนึกมาจนฟิวขาด เราเลยตะโกนโวยวายในห้องเลยค่ะ

“แกจะอยู่ในห้องชั้น ชั้นไม่เคยว่า แต่แกอย่ามาเปลี่ยนชั้นสิโว้ย อย่ามายุ่งเกี่ยวกับร่างกายชั้น สมองชั้น ชีวิตประจำวันของชั้น ต่างคนต่างอยู่ ถ้าทำไม่ได้แกก็ออกไป รึถ้าแกไม่ออก ชั้นจะออกเอง!!”

พอตะโกนจนปุ๊บ ไฟในห้องดับปั๊บเลยค่ะ เราเลยยิ่งสวดใส่อิผีตนนั้นไม่หยุดเลย ด่าอะไรมี่นึกได้ด่าหมดเลย จนมีเสียงเคาะแรงๆที่หน้าประตู พอเปิดประตูห้องออกไปก็เจอกับแม่บ้านของหอ แม่ชื่อพี่นารี

“ครูบีคะ พี่เอาไฟฉายขึ้นมาให้ พอดีซอยเราไปดับทั้งซอย คุณลุง(เจ้าของหอ)แกไม่อยากให้จุดเทียน กลัวไฟไหม้ค่ะ”

“...ขอบคุณค่ะพี่” อ้อมแอ้มตอบเค้าไปเบาๆ แหม่! ดับทั้งซอย ขอโทษนะคะคุณผี ด่าไปซะเยอะเลย T^T

     หลังจากวันนั้นเรากับผีก็อยู่ดีมีความสุขกันมาเรื่อยๆ จะว่าไปมันก็เหมือนมีเพื่อนที่เรามองไม่เห็นมาอยู่ด้วยนะคะ หลายๆครั้งเราลืมนู่นลืมนี่ เธอก็จะส่งสัญญาณเตือนมาในรูปแบบต่างๆ เช่น

ครั้งนึงเราลืมถอดปลั๊กเตารีด แถมตัวเราก็กำลังจะกลับบ้านที่ ตจว กำลังจะล็อกห้องค่ะ เสียงโทรฯภายในก็ดัง พอเราไปยกหูรับสายก็มีเสียงผู้หญิงพูด พี่คะ พี่ลืมถอดปลั๊กค่ะ ตอนแรกนี่ถึงกับงงเลยค่ะ นึกว่าเจ้าของหอติดกล้องไว้ในห้องเรา พอนึกได้ก็ได้แต่ขนลุกซู่

      อยู่ด้วยกันมาเกือบปีค่ะ จนวันนึงหลังจากที่เราเลิกงานกลับมาที่หอ วันนี้เป็นวันที่เรามีอาการเพลียๆมากเป็นพิเศษ เหมือนจะเป็นไข้ เราเลยรีบอาบน้ำแล้วทานยาเข้านอน ช่วงที่กำลังสะลึมสะลือเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นมันเหมือนมีคนมาช่วยห่มผ้า คอยเช็ดตัวให้เรา เราเองก็ไม่แน่ใจว่าฝันไปรึเปล่า จนกระทั่งน็อคค่ะ...ร่างกายปิดสวิตซ์แล้วหลับไปเลย ทีนี้เลยฝัน

ในฝันเราฝันว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง ใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกับตอนนอนเลยค่ะ มีน้องผีคนเดิมนั่งอยู่ข้างล่างเตียงเอาคางเกยเตียงไว้แล้วมองมาทางเรา

“พี่ เดี๋ยวหนูต้องไปแล้วนะ ต่อไปก็ดูแลตัวเองดีๆ ขอบคุณพี่สาวมากเลยนะคะที่ให้หนูอาศัยอยู่ด้วย หนูไปแล้วก็คิดถึงกันด้วยเน้อ”
“จะไปไหนล่ะ ใครมารับ” ในฝันเราคิดว่าน้องเค้าเป็นคนนะคะ เหมือนญาติที่มาอาศัยอยู่ร่วมกัน ประมาณนั้น
“ไปที่ชอบที่ชอบน่ะสิ เร่ร่อนมานานแล้ว พี่สาวต้องดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าปล่อยให้ห้องรก ตอนเย็นก็กินข้าวด้วย กินแต่มาม่ามันไม่ดี ดีใจนะที่ได้มาอยู่ด้วยกัน”

ตอนนั้นตัวเราในฝันก็ยิ้มรับ น้องเค้าก็เข้ามากอดเราแล้วเราก็หลับไปในฝันเลยค่ะ ทีนี้พอตอนตื่นมาความรู้สึก ความทรงจำทุกอย่างมันค่อยๆประเดประดังกลับมา เคยเป็นมั้ยคะ เหมือนเวลาเราไปดูหนังแล้วอารมณ์มันยังค้างอยู่

เราเป็นค่ะ... ตอนตื่นมาเราร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร มีความรู้สึกเหมือนเราเสียเพื่อนไปคนนึง รู้สึกถึงบรรยากาศเหงาๆในห้อง ต่างจากเดิมที่เราจะรู้สึกอยากกลับหอ เพราะเหมือนมีใครรอเราอยู่ ก็กลายเป็นทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ยอมกลับบ้านช่อง เชื่อมั้ยคะ สุดท้ายเราเองกลับเป็นฝ่ายทนอยู่หอนี้ไม่ได้ เพราะมันเหมือนมีอะไรหายไป

ช่วงนั้นเราเครียดมากจนต้องไปพบแพทย์ เราคิดว่าเราอาจมีอาการประสาทหลอน แต่หมอไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นเลยค่ะ หมอให้คำแนะนำที่ดีมาก ให้หมั่นพบปะผู้คน เปลี่ยนบรรกาศบ้าง และแนะนำให้กลับบ้านบ่อยๆ เราเลยกลับบ้านที่ ตจว ทุกอาทิตย์

ช่วงที่กลับบ้านบ่อยๆนี้ล่ะ ทำให้เรื่องราวของเธอคนนั้นกระจ่างขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเราเหงา ไม่ใช่เพราะเราฟุ้งซ่านจากการอยู่คนเดียว ไม่ใช่เราประสาทหลอน แต่เป็นเพราะเธอมีตัวตนอยู่จริงๆ...

     ไม่รู้ด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไร ลูกพี่ลูกน้องของเราชวนเราไปทำบุญที่วัดในช่วงวันหยุด พอเราไหว้ถวายภัตตาหารเสร็จ กรวดน้ำเสร็จ ก็มีพระรูปหนึ่งทักขึ้นมา

“อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะโยม โยมอีกคนที่เคยอยู่ด้วยกันเค้าไปดีแล้ว” ลูกพี่ลูกน้องเรานี่งงเป็นไก่ตาแตก มันคิดว่าเราอยู่กะแฟน
“หลวงพ่อทราบด้วยหรอคะ”
“เค้ามีจริงๆนั่นแหล่ะ โยมไม่ได้จิตหลอนไปเองหรอก ถ้านึกถึงเค้าก็หมั่นไปทำบุญกรวดน้ำให้เค้า แล้วสักวันคงได้พบกันอีก”

     ด้วยประโยคนี้ของพระรูปนั้นจึงทำให้ตัวเราในวันนั้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สุดท้ายเราเลยกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ มีเพื่อนฝูง เฮฮาเข้าสังคม และหาแฟนได้ในที่สุดค่ะ 55555555555+

หอพักหลังห้าง


     กลับมาอีกครั้งสำหรับเรื่องยอดฮิตที่พบเจอกันประจำคือ ผีหอ หอพักเก่าๆอย่างแน่นอนต้องมีคนตาย วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ หลายยุคหลายสมัย เรื่องต่อไปนี้เราจะมานำเสนอเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เมื่อคนต่างจังหวัดจะต้องย้ายเข้ามาพักอาศัยในกทม. เค้าจะเจอเรื่องราวอะไรบ้างลองมาติดตามกันเลยครับ

     สวัสดีครับ ผมชื่อ ม ผมเขียนเรื่องนี้เป็นเรื่องเเรก ซึ่งเรื่องนี้เกิดกับตัวผมจริงๆ เมื่อเดือน เม.ย. 59 (2 ปีที่เเล้ว ) ทีเเรกผมไม่ได้ตั้งใจจะเล่า หรือถ่ายทอดประสบการณ์นี้ให้ใครฟัง  เเต่ผมก็กลัวว่าถ้าตอนนี้ที่หอนั้น มีคนที่เคยเห็นอะไรสักอย่างก็อยากจะบอกว่า เขาไม่ได้คิดไปเอง ผมก็เคยเจอเหมือนกัน
   
     ผมขอเข้าเรื่องเลยน่ะครับ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียนจบโรงเรียนชนบทในจังหวัดนครสวรรค์ เเต่ผมมาสอบติดที่ PIM เเถวเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะอ่ะครับ ผมมากับเพื่อนผู้หญิงชื่อ ว กับ จ ตั้งใจว่าจะหาหอพักเเถวที่เรียนต่อก็เลยเจอหออยู่หอหนึ่งครับ ซึ่งหอนี้อยู่ซอย 26 ครับเเถวๆ 7-11 ไม่ขอบอกชื่อหอน่ะครับ หอนี้จะอยู่ใกล้ๆคลองซึ่งดูจากภายนอกเเล้วมันไม่ได้เป็นหอเก่าครับ น่าอยู่ดี ผมเจอหอนี้เพราะเพื่อน ว บอกว่ามันถูกเเค่เดือนล่ะ 4800 บาท ซึ่งมันถูกมากสำหรับหอเเถวนั้น ผมอยู่กัน 3 คนครับคือ ผม เพื่อนผู้หญิงอีก 2 คน ผมเรียนการบิน ส่วนเพื่อน 2 คน เรียนธุรกิจสมัยใหม่ ซึ่ง PIM เปิดวันที่ 5 เม.ย. 59 ถ้าผมจำไม่ผิด
      ซึ่งผมต้องเดินทางไปหาหอประมาณช่วง ต้นเดือน มี.ค. 59 ซึ่งวันที่ผมไปดูผมไปกับเพื่อน ว เเต่เพื่อน จ ไม่ได้ไปด้วย เเต่อยู่ด้วยกันหมด 3 คนน่ะครับ ผมก็ลองไปดูหลายหอมาก มันก็ไม่โอเครเท่าไรเพราะหอเเถวนั้น ส่วนใหญ่ 5000 ขึ้นทั้งนั้น พอมาเจอหอนี้ผมกับเพื่อน ว ก็ว่าลองไปถามป้าเเม่บ้านดู ว่าหอนี้เท่าไรเเม่บ้านเลยบอกผมว่าห้องรู้สึกว่าจะว่างน่ะ เดียวพาขึ้นไปดูผมก็เลยว่าโอเครงั้นก็ขึ้นไปดูดีกว่า ( ตอนนั้นมันร้อนมากเเล้วผมต้องเดินทั้งวันเลยอยากให้เรื่องมันจบจบ) ป้าเเม่บ้านเลยไปถามเจ้าของหอว่ามีคนจะมาขอดูห้อง เเล้วเจ้าของหอก็คุยไรกับเเม่บ้านไม่รู้ เเล้วก็หยิบกุญเเจเก่าๆเลยอ่ะ เเบบมันสีเหมือนสนิมมาก เเล้วป้าเเม่บ้านเเกก็บอกว่า ชั้น 2 มีอยู่ห้องหนึ่ง เดียวเดินขึ้นบันไดก็ถึงเลย ( ในใจตอนนั้นดีใจมากเพราะผมอยากออกกำลังกายบ้างเเถวอยู่เเค่ชั้น 2 ) เเล้วป้าเเม่บ้านก็เดินพาผมกับ ว ไปชั้น 2 ( หอนั้นมีลิฟต์น่ะครับ มีทุกชั้น )เเล้วต้องเดินผ่านลิฟต์ 2 ตัวก่อนเเล้วมันจะเป็นทางเเยกทางซ้าย กับทางขวา เเต่ห้องผมอ่ะมันอยู่ตรงทางเเยกเลย เเบบเดินขึ้นตรงมาเเล้วเลี้ยวขวาอีกหน่วยก็เจอประตูเลย ห้องนั้นเป็นห้อง 110 ครับผมจำได้ขึ้นใจ เเล้วป้าเเม่บ้านก็บอกว่าให้ผมรอหน้าห้องนี้ก่อน เดียวป้าเข้าไปเปิดไฟให้ ผมก็รอกับเพื่อนอ่ะครับ เเล้วป้าเเม่บ้านก็บอกว่าห้องนี้มีพี่การบินเขาพึ่งเรียนจบพึ่งออกไปเอง ( ในใจผมคิดว่า เห้ยรุ่นพี่เรานี้หว่า ) เเต่ผมขอบรรยายสภาพห้องตอนนั้นก็น่ะครับ มันเป็ห้องที่เเบบมีเเต่ฝุ่น ถ้าเดินเข้าไป กระจกจะอยู่ซ้ายมือ ถัดไปอีกหน่อยเป็นตู้เสื้อผ้าใหญ่มากเเล้วดูเเบบเป็นตู้เสื้อผ้าที่มีอายุเลยอ่ะ เเล้วเตียงนอนอยู่กลางห้อง ด้านขวาเตียงนอนเป็นระเบียง ด้านซ้ายเป็นประตูทางเข้า  เเล้วประตูห้องน้ำตรงข้ามกับกระจก  เเล้วห้องนั้นเก่ามาก ( ความรู้สึกตอนนั้นผมเเบบไม่อยากอยู่อ่ะ ) เเต่ป้าเเม่บ้านเเกบอกว่า ห้องนี้พี่เขาพึ่งย้ายออกจริงๆน่ะ เเล้วตอนนี้ติดโปรโมชั้นด้วยเหลือเเค่ ห้องเดียว ( ในใจผมก็โอเคร อย่างน้อยก็เหลือจาก 5400 เป็น 4800 ) ผมก็เลยลองเดินสำรวจตัวห้อง ห้องน้ำ เเละระเบียง ส่วนเพื่อนวิวก็ถามว่า ถ้าจะเข้าอยู่เเล้วต้องทำอย่างไง ผมก็พอๆฟังผ่านมาว่า ป้าเเกบอกว่า จ่ายมัดจำ 4000 หรือ 6000  นี่เเหละเเล้วเข้าอยู่ได้เลย เเล้วห้องเขาจะมาทำสีให้ใหม่ ไม่ต้องกลัว ผมก็ฟังๆมาประมาณนี้ เเล้ว ว กับ ผมก็เลยบอก จ ว่าเอาไม เเจนก็บอกว่าอย่างไงก็ได้ เลยตกลงกันว่าจะเอา ก็เลยจ่ายค่าหมัดจำวันนั้นเลย เเค่ครึ่งเดียว เเล้ววันที่ 1 เม.ย 59 จะมาจ่ายใหม่ เจ้าของหอก็โอเครไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะก็จ่ายเขาไปเเล้วครึ่งหนึ่ง ( ในใจผมก็ว่าไมเหมือนอยากให้เช่า )ผมเลยบอกว่า ม ผมเปิดวันที่ 5 เม.ย. น่ะครับ เเต่ผมจะมาอยู่นี้วันที่ 1 เม.ย. เจ้าของหอเลยบอกว่าโอเคร เดี๋ยวจะรีบทำห้องให้ เเล้วผมก็กลับมาอยู่บ้านคลอง 3 ครับพอถึงวันที่ 1 เม.ย. 59 เพื่อน ว ก็ไปถึงห้องก่อนใครเลยเเล้วก็ขนของเข้าห้อง ส่วนผมไปตอนบ่ายๆ เเล้ววันนั้นมีผม กับ ว ส่วนเพื่อน จ จะมาวันที่ 4 ผมก็ขนทุกอย่างเข้าห้องเสร็จทีเเรกก็จะไปไหว้ศาลพระพรหมหน้าหอก่อน เเต่ ว บอกว่าให้รอเเจนมาก่อนดีกว่า เลยตกลงกันว่าจะไหว้วันที่ 4 เเล้วตอนเย็นผมกับ  ว ก็จะไปซื้อของกินกันครับ เลยคิดว่าจะเดินลงบันไดไป เเล้วอยู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ที่เพื่อน ว หน้าเสียไปพัก เพราะลิฟต์ 2 ตัวก็เลื่อนมาเปิดที่ชั้น 1 ทั้งคู่ตอนนั้นผมยืนอยู่หน้าลิฟต์กับ ว ก็มองเข้าไปในลิฟต์มันก็ไม่มีใครอยู่เลย เเล้วก็ไม่มีใครกดลิฟต์ด้านนอกด้วย ( ตอนนั้นด้วยความที่ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดไม่เคยขึ้นลิฟต์มาก่อน ผมนึกว่าลิฟต์มันมีระบบเซ็นเซอร์เเบบ ถ้าว่างเเล้วมันเห็นคนเดินผ่านมันจะลงเลื่อนมาเปิดเอง ) ผมจำหน้า ว ตอนนั้นได้เลย เเบบหน้ามันกลัวมากอ่ะ เเต่เราไม่รู้ไงเราก็เลยเฉยๆ เเล้วเรา 2 คนก็เดินลงไปบันไดไปหาอะไรกินกัน  เเล้วก็กลับเข้าห้อง เเล้วอยู่ๆ ว  ก็บอกว่ามอสเราว่าตอนเช้าไปซื้อพวงมาลัยมาไหว้ศาลพระพรหมกันเถอะ ผมก็เลยเเบบโอเครๆ ตอนเช้าเราก็ไปไหว้ศาลพระพรหมกัน เเล้วตั้งใจจะไหว้วันที่ 4 พร้อม จ อีกครั้ง เเล้วพอถึงวันที่ 4 เเจนก็มาเข้าหอวันเเรก เราก็ไปซื้อพวงมาลัยมาอีก เเต่คราวนี้เลยซื้อมา 4 พวง  3 พวง ไหว้ศาลพระพรหมข้างล่าง ส่วนอีก 1 พวง ว ห้อยไว้หน้ากระจกบนห้อง เเล้วคืนก่อน ม เปิดผมปวดท้องมาก เลยว่าจะไปชื้อยาที่ 7-11 เเถวๆหอ เลยไม่อยากปลุกเพื่อนเพราะเกรงใจมันเลยตัดสินใจ ไปคนเดียวเเล้วผมก็เอากุญเเจที่เป็นสนิมไปด้วย เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเข้าห้องเเล้วเพื่อนในห้องมันก็หลับสนิทมาก เลยล็อกห้อง เเล้วตอนนั้นวันเป็นเวลาประมาณตี 4 กว่าๆ ตอนที่ผมล๊อกประตู ผมก็ได้ยินเสียงเด็กขำ ผมเลยหาต้นตอของเสีย ว่าเป็นเด็กห้องไหน ตอนนั้นผมปวดท้องด้วยเลยเเบบไม่ได้สนใจอะไรมา ขำเเบบเสียงเด็กอ่ะ ผมก็เดินลงบันไดเพราะสะดวกกว่า เเล้วอยู่ๆผมก็เห็นเด็กคนนั้นครับเป็นเด็กผู้หญิงตัดผมเท้าติ้งหู หน้ากลมๆ เอาหัวยืนออกมาจากทางช่องเดินเเทบขวาครับ ตอนนั้นผมเองตกใจมากเเบบใจเต้นเเบบเเรงมาก ด้วยความที่เขามองเเบบไม่หลับตาด้วยเเล้วก็ยิ้มให้ด้วย เเล้วสักพักเขาก็วิ่งไปทางด้านซ้ายมือ ณ ตอนนั้นผมก็ไม่ทำไรก็เลยวิ่งตามไป เเล้วอยู่ๆผมก็หาน้องเขาไม่เจอ ตอนนั้นผมไม่ไปซื้อยาเลยครับ เข้าห้องหายปวดท้องเลย เเล้วพอตอนเช้าผมไม่ได้บอกเพื่อนไม่เคยเล่าให้ใครฟังเพราะกลัวเพื่อนไม่กล้าอยู่ห้อง ส่วนตั้งเเต่นั้นผมก็ไปนอนร้านเกม กลับอีกทีก็สายๆ เเทบทุกวันกลับมาก็อาบน้ำเเต่งชุดไปเรียน เพราะไม่กล้าเดินตรงช่องทางเดินตอนกลางคืน เเล้วผมขอบอกว่ากุญเเจผมเคยเอาไปปั๊มครับ 4 ครั้งเเล้วไม่เคยใช้ได้สักดอกเดียว  คือ 3 คนใช้ได้เเค่ดอกเดียวอ่ะครับคืออันเเรกที่เป็นสนิมที่เขาให้อ่ะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพื่อนบอกว่าร้านนี้ดี ผมไปปั๊มก็ยังไม่ได้ จนตัดสินใจว่าใครออกจากห้องไม่ต้องล็อกเเล้วน่ะ ปล่อยเเมร่งอย่างนั้นเเหละไม่มีใครเข้าหรอก เเล้วพอประมาณกลางเดือน พ.ค . เพื่อนวิวก็ก็ได้ชื้อพวงมาลัยมาเปลี่ยนที่ห้องเป็นพวงที่ 2 ของห้อง เเล้วก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกครั้ง เวลาประมาณ 3 ทุ่มผมเล่นเกมอยู่ร้านเน็ต เพื่อน จ ก็โทรมาบอกว่า ว ติดอยู่ในห้องน้ำให้ตามยามมาด้วย ผมก็เลยรีบกลับห้อง เเล้วยามก็จัดการเเต่ที่ผมสงสัยคือ ตอนก่อนผมไปเล่นเกมผมยังอาบน้ำอยู่เลย ลูกบิตก็ใช้งานได้ดี เเต่ทำไม ว เข้าเเล้วมันพัง เเต่ผมก็พยามไม่คิดมากคืนนั้นผมก็เลยนอนอยู่หอ ด้วยกัน เเล้วเหตุการณ์แปลกๆมันก็เกิดขึ้นครับ เเบบของว่างผิดที่อ่ะ ว ก็เคยได้ยินเสีย คนกีดตู้เสื้อผ้าตอนอยู่คนเดียว  เเล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งวันนั้น จ อยู่หอคนเดียวเเล้วอยู่ๆพวงมาลัยก็ตกเอง โดยไม่มีลมพัดอะไรน่ะ เเล้วพอตอนเช้าผมไปหาของกินเเล้วเห็นยายคนหนึ่งมาขายพวงมาลัย ผมเลยซื้อขึ้นไปเปลี่ยน เเล้วเเจนก็บอกว่ากำลังจะเปลี่ยนพอดีเพราะเมื่อคืนมันตกพื้น ผมเลยเปลี่ยนพวงมาลัยเป็นพวงที่ 3 ของห้องเเล้วเหตุการณ์เเปลกๆก็เกิดขึ้นบ่อยมาก เเบบกวาดห้องที ผมผู้หญิงเต็มห้องเลยเเบบเยอะมาก ซึ่ง ว ผมสั้น เเล้ว จ ผมยาวเเต่ผมมันไม่น่าร่วงขนาดนี้  ผมเลยเริ่มสงสัยจนบางทีเอาเส้นผมมาเทียบกับผมเเจน คือสีผมไม่เหมือนกันเลย ผม จ จะออกยาวเส้นบางสีเเดงๆ ส่วนผมที่ผมเทียบอ่ะเป็นเส้นสีดำ หนา เเละเเข็ง ต่อไปคือเหตุการณ์นี้เรา 3 คนได้เจอพร้อมกัน เจอด้วยกันประมาณปลายเดือน ส.ค.วันนั้นฝนตกเเรงมาก ผม วิว เเละเเจนเลยอยู่ในห้อง เเล้วไฟมันชอบตกอ่ะ เเบบติด 5 นาที ดับ 10 นาที ผมกับเเจนหิวขนมมากเลยว่าจะกางร่มไปซื้อที่ 7-11 เเล้ววิวไม่กินเลยจะขออยู่ห้อง เเต่ผมก็เป็นห่วงมันเลยบอกให้ไป 3 คนนี้เเหละ เเล้ว ว ก็โอเครไปกันหมดนี้เเหละ วิวเป็นคนเดินออกจากห้องไปก่อน เเล้วเเจนเป็นคนปิดไฟ ส่วนผมเป็นคนปิดประตู เเจนก็ปิดไฟทั้งหมดน่ะครับ คือผมรับประกันว่าปิดหมด เเล้วผมก็ปิดประตูห้องเเล้วก็ล็อกห้อง เเล้วก็ลงไปซื้อของกันเเล้วพอกลับขึ้นห้องผมก็เป็นคนเปิดห้องเเล้วเเบบทุกคนก็มองหน้ากันคือ สิ่งที่เห็นคือไฟเปิด โดยที่เเจนปิดเเล้ว ผมเองก็เป็นคนปิดประตู ซึ่งเเน่ใจ 100%  ว่ามันปิดหมด คืนนั้นก็เลยตกลงกันว่าอยู่ไม่ได้เเหละต้องไปนอนร้านเน็ตกัน 3 คน. เเล้วผมก็นอนไปนอนร้านเน็ตกันเเล้วพอสักพัก จ มันก็นึกขึ้นได้เลยให้เพื่อนที่สนิทกันไปดูในห้องให้หน่อยว่ามีใครอยู่ในห้องเเล้วเปิดไฟหรือเปล่า พอเพื่อนผู้ชายมาผมก็เลยไปดูกันว่ามีใครอยู่ในห้องหรือเปล่า ทุกอย่างก็ปกติหมดเลยครับ เเล้ววันต่อมา ว เลยทัก จ ว่าให้ซื้อพวงมาลัยมาเปลี่ยนบ้าง เเจนเลยชื้อมาเปลี่ยน เเล้วเหตุการณ์ก็เเบบหายไปพักจนก่อนวันที่ 5 ก.ย 59 เพื่อน ว กับ จ ต้องไปฝึกงานอีก 3 เดือนถึงจะกลับมาอยู่หอ ผมต้องอยู่หอคนเดียวตลอด 3 เดือน อีกใจผมก็อยากเปลี่ยนหอมากเเต่ก็อยากได้เงินมัดจำคืนเพราะมันจะได้คืนเเล้ว จ เลยบอกว่าต่อไปเดียวให้เพื่อนผู้ชายมานอนด้วย จะได้ไม่กลัว ผมก็โอเคร วันต่อมาผมอยู่ห้องคนเดียวเปิดประตูทุกอย่าง เเล้วผมก็ก้มกวาดใต้เตียงนอนเเล้วอยู่ๆผมก็รู้สึกว่ามีอะวิ่งผ่านจากระเบียงไปหน้าประตู ตอนนั้นผมชาไปทั้งตัว รู้สึกตัวอีกที่ก็ได้ยินเสียงเเอร์เปิดเอง ( รีโมทเเอร์อยู่ตรงประตูครับ ) ผมวิ่งออกจากห้องเเล้วลงมาบันได ร้องเท้าก็ไม่ได้ใส ประตูห้องก็ไม่ได้ปิด มานั้งทำใจพักหนึ่งเเล้วผมก็ขึ้นไปหยิบโทรศัพท์เเล้วโทรบอกเพื่อนที่เรียนการบิน ให้มาอยู่เป็นเพื่อนหน่อย เเต่ผมก็ยังอยู่ในห้องนั้นเลยน่ะ เเล้วเหตุการณ์ต่อมาก็รีดชุดการบินเเล้วห้อยไว้ที่ตู้เสื้อผ้าตอนนั้นปิดม่ามปิดกระจกเเล้วเปิดเเอร์ เเล้วอยู่ผมก็ได้ยินเสียงไม้เเขวนเสื้อโดนกับตู้เสื้อผ้า ผมจึงหันไปมอง ตอนนนั้นผมทำอะไรถูกเพราะยิ่งมองก็ยิ่งเกว่งหนักเรื่อยๆ ตอนนั้นผมเลยอัดคริปไว้ เเล้วส่งให้เพื่อนดู มันไม่มีลมไม่มีอะไรเลยอ่ะ จะให้ผมคิดอย่างไง วันนั้นเลยให้เพื่อน จ มานอนด้วยอีกวัน เเล้วพอตอนเช้าวันนั้นผมจำขึ้นใจว่าเป็นว่าที่ 5 ก.ย.59 เป็นเหตุการณ์ที่ผมกลัวมาก เพราะเช้าวันที่ 5 เพื่อนขอ จ เรียนช่วงเช้า แต่ผมเรียนช่วงบ่าย ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเช้าผมได้ยินเสียงเหมือนคนอาบน้ำ แต่ก็พอพอรู้ล่ะว่าน่าจะเป็ยเพื่อนของ จ พอผมลืมตาขึ้นก็ตกใจมาก เพราะผมเห็นผู้ชายร่างใหญ่มาก ไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย เห็นทุกอย่างหมด ( ในใจก็คิดว่าเพื่อนของ จ มันไม่รู้ออว่าเราเป็นเกย์ ) ผมก็เลยเขิลแล้วผลิกตัวเองไปทางกระจก แล้วพบว่าเพื่อนของ จ อยู่หน้ากระจกไม่ใช่อยู่หน้าห้องน้ำ ตอนนี้ผมนี้ไม่กลับหันกลับไปดูเพราะทำไรไม่ถูก กลัวมาก ตอนนั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบลุกไปเปิดม่านให้สว่าง แล้วก็รีบไปอยู่ห้องเพื่อนการบิน แล้วผมเลยตัดสินใจว่าไม่ไหวแล้ว เลยโทรไปบอกเพื่อนแล้วเล่าทุกอย่างให้ฟัง เพื่อนผมเลยตกลงกันว่าไม่ต้องเอาแล้วเงินหมัดจำ ออกมาเลย

     เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากตัวผมจริงๆ ถ้าใครอยารู้ว่าหอชื่อไรให้ทักมาถามผมได้เลย ผมยินดีตอบ เพราะไม่อยากให้ใครเจอแบบผมอีก

25 ก.พ. 2562

อพาร์ทเม้นท์ผี


     เรื่องราวของอพาร์ทเม้นท์แห่หนึ่งกับเรื่องเร้นลับ อย่างอธิบายไม่ได้ เป็นเรื่องจริงเค้าย้ายเข้ามาอยู่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ เหตุการณ์เริ่มบานปลายวุ่นวายมากขั้นจนเธอนั้นเริ่มสืบหาความจริง ลองไปฟังเรื่องราวของเธอกันเลยครับ

     เมื่อ 2 ปีที่แล้วเราเลิกกับแฟนค่ะ เพราะจับได้ว่าแฟนไปมีผู้หญิงคนอื่น เราเลยย้ายหนีเพราะเค้าไม่ยอมเลิก แต่ไม่คิดว่าหนีเสือจะมาเจอะผี.. เราย้ายไปอยู่หอพักในนิคมแห่งหนึ่งซึ่งมีหอพักมากมาย แบ่งเป็นซอยเล็กซอยน้อยพอสมควร เพื่อไม่ให้แฟนตามหาเราเจอได้ เราไปเช่าอยู่กับเพื่อนสาว 1 คน เพื่อนคนนี้ทำงานกะกลางวัน ส่วนเราทำกะกลางคืนค่ะ วันแรกที่ย้ายเข้าหอ เจอเจ้าของหอเป็นผู้หญิงสูงอายุ ดูยิ้มแย้มใจดีมาต้อนรับเรา เปิดห้องให้เราเลือก แต่ห้องก็มีให้เลือกแค่ 2 ห้องเท่านั้นเอง คือ 203 กับ 303 ทั้งที่เราสังเกตดูแล้วมันน่าจะว่างมากกว่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะอยากจะย้ายให้ไวที่สุด เราตกลงเลือกห้อง 303 โดยไม่ลังเล เพราะป้าแกบอกว่า ‘ถ้าเลือกห้องนี้ป้าจะแถมแอร์ให้ พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบ ในราคาห้องพัดลม’ เราก็ยังคิดอยู่ว่าป้าแกใจดีเนอะ

พอเราขนของจัดของจนเสร็จ ป้าเจ้าของหอก็เดินขึ้นมาหาเราอีกครั้ง เคาะห้องพร้อมกับบอกว่า ‘ขนของมาหมดแล้วใช่ไหม? ป้าขอเก็บเงินล่วงหน้าไว้เลย 1 เดือนนะ’ เราก็อ่อได้ค่ะ แล้วป้าก็บอกอีกว่า ‘ประตูห้องเนี่ย ห้ามติดยันต์หรืออะไรทั้งนั้นนะ ป้าว่ามันจะดูไม่สะอาด..’ เรากับเพื่อนก็มองหน้ากันแบบงงๆ ก่อนจะรับปากป้าแกไปว่า ‘ได้ค่ะ’ คือเราเริ่มสงสัยแต่ไม่พูดอะไร ในใจก็แอบกังวล เรานึกได้ว่ามีพระพุทธรูปที่ตั้งไว้บนตู้ เราเลยจุดธูปไหว้เพื่อความสบายใจ แล้วก็ลงไปไหว้ศาลตายาย และพระภูมิเจ้าที่เรียบร้อย เอาล่ะ..คงไม่น่ามีอะไรต้องกังวล

นอนคืนแรกก็ได้เรื่องเลยค่ะ ในขณะที่เพื่อนเรานั่งดูทีวีบนเตียง เราเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ อยู่ๆ เราก็สังเกตเห็นเหมือนเงาใครเดินผ่านช่องระบายด้านหลังซึ่งอยู่ระดับเหนือหัวเราเล็กน้อย เราจำได้ว่าด้านหลังช่องระบายของห้องน้ำมันเป็นระเบียง และคอมเพลสเซอร์แอร์ ซึ่งไม่น่าจะมีใครมาเดินได้ เลยคิดว่าตัวเองคงจะตาฝาด ก็อาบน้ำต่อ.. สักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนมาจ้องมองที่ช่องระบายนั้นอีก! เราเลยรีบเปิดประตูออกมาหาเพื่อน เพื่อนก็นั่งดูทีวีอยู่เหมือนเดิม ทำหน้างงใส่ ถามเราว่า ‘มีอะไร?’ เราเห็นดึกแล้ว เราเลยไม่พูด เพราะเพื่อนเป็นคนกลัวผีมากกกก กลัวจะนอนไม่หลับ.. จนเช้าเพื่อนออกไปทำงาน เราต้องอยู่ห้องต่อ ตอนบ่ายเราเก็บของจนเพลียหลับไป เราฝันเห็นชายแก่ผิวคล้ำไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงจีน รูปร่างผอมโซ นั่งยองๆ กินอาหารเหมือนของเซ่นไหว้ที่อยู่ในกระทง แล้วแกหันมามองเรา เราเลยตกใจตื่น คิดว่าฝันกลางวันช่างมันเถอะ.. เรานั่งเก็บของต่อ ก็ได้ยินเสียงเหมือนเด็กวิ่งเล่นที่ทางเดินหน้าห้อง เสียงสนุกสนานกันเลยทีเดียว เราก็เลยเปิดประตูดู แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเลย ว่างเปล่า.. เราก็ยังคิดในแง่บวกว่าเราคงหูแว่ว หรืออาจจะมีใครเปิดทีวีเสียงดังล่ะมั้ง พอเราอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ก็เจออีก คือเหมือนมีใครจ้องอยู่ผ่านทางช่องระบายอากาศ แต่พอมองไปก็ไม่มีอะไร แล้วเราก็ออกไปทำงานจนเช้าถึงกลับมา.. เราเจออะไรแบบนี้อยู่เกือบ 7 วัน เราสังเกตตอนกลางวันห้องชั้น 3 เกือบทุกห้องล็อกแม่กุญแจไว้หมด เค้าน่าจะออกไปทำงานกัน เราเคยบอกเพื่อนว่า ‘แกช่วยดูหน่อยนะว่าเพื่อนร่วมชั้นทั้ง 12 ห้องนี้ เต็มหมดอย่างที่ป้าว่าไหม?’

จนวันต่อมาเป็นวันพระ เราใส่บาตรทุกวันพระเลยจำได้ เพื่อนเราคนหนึ่งมาจากชลบุรีมานอนค้าง วันนั้นเป็นวันหยุดเราพอดี ก็ออกไปเดินซื้อของที่ตลาดนัดกัน เสร็จก็เข้าห้องนอนกัน 3 คน นอนเตียงเดียวกัน อาบน้ำเสร็จคุยเล่นกัน กว่าจะได้นอนก็ 5 ทุ่มกว่า.. หลับไปสักพัก เพื่อนก็ปวดฉี่ลุกไปเข้าห้องน้ำ เราเลยตื่นมองตามเพื่อนไป เพื่อนเปิดไฟในห้องน้ำ แสงมันส่องออกมาที่ประตูจะออกไประเบียง เราเห็นเป็นผู้หญิงผมยาว ใส่เสื้อสีขาว หน้าตาดีแต่ดูเศร้าๆ เธอยืนอยู่นิ่งๆ ตรงประตู เราเห็นแบบนั้นเรานิ่งไปเลย สักพักเค้าก็หายไปต่อหน้าต่อตา เราก็พูดอะไรไม่ออก เกรงใจเพื่อน ก็เลยหันไปสวดมนต์แล้วนอนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับเพื่อนเลย.. แล้วพอเราหลับตาลง เราก็เห็นป้ายหน้างานศพของผู้ชายคนหนึ่ง ดูเป็นคนจีนขาว หน้าตาดูใจดี เค้ามองจ้องเรา และบอกว่า ‘หนูอย่าอยู่ที่นี่เลยนะ.. หนูอย่าอยู่ที่นี่เลยนะ..’

จนตอนเช้า เราเริ่มทนไม่ไหวละ เจอมาเยอะ เราเลยเล่าให้เพื่อนฟังทั้งหมด เพื่อนเราก็เลยสารภาพว่าโดนเหมือนกัน แต่ไม่กล้าบอก กลัวเราจะกลัว ส่วนเพื่อนที่มาจากชลบุรีก็บอกว่า ‘เมื่อคืน หลังจากที่เข้าห้องน้ำเสร็จก็ล้มตัวนอน สักพัก ก็รู้สึกเหมือนใครเอามือมาสัมผัสที่ปลายเท้า ก็เลยลืมตาดู เห็นเป็นผู้หญิงลักษณะแบบเดียวกันกับที่เราเจอเลย เท่านั้นล่ะ ตัดสินใจนาทีนั้นยังไงก็ต้องย้ายออก อยู่ไม่ได้แน่นอน เราอยู่ไปแค่ 7 วันยังเจอขนาดนี้ หลอนขนาดนี้.. เราตัดสินใจไปแจ้งเจ้าของหอเพื่อย้ายของออกวันนั้นเลย ในขณะที่ขนของ เราก็สังเกตเห็นแม่บ้านพม่าที่มาทำความสะอาดชั้น 2 เราเลยถามว่า ‘ที่ชั้น 3 มีคนอยู่กี่ห้อง?’ คำตอบช็อคมากค่ะ ไม่มี!! มีห้องเราห้องเดียวที่อยู่ชั้น 3 ป้าโกหก ทำไม!?

     พอย้ายของทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย เราก็เอากุญแจไปคืน เจอป้าเจ้าของหอเราก็เล่าให้แกฟัง แกฟังแล้วก็บอกว่าเราคิดมากไปเอง ที่นี่ไม่มีอะไรนะ เราก็บอกว่าหนูแค่เล่าสู่กันฟังค่ะป้า ป้าบอกว่า ถึงอยู่แค่ 7 วัน แต่ค่าเช่าล่วงหน้าที่เก็บมาเกือบ 4,000 ป้าไม่คืนนะ ถือว่าเราผิดสัญญาเอง เราก็บอกว่าไม่เป็นไรค่ะ.. ในขณะที่กำลังเดินออกมา เราก็เห็นรูปที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องของป้า เป็นรูปของลุงคนจีนที่เราฝันเห็น เราเลยถามว่าเค้าคือใคร? ป้าบอกสามีป้าเอง เป็นคนเชื้อสายไต้หวัน ตายไปหลายปีแล้ว เราเลยบอกเล่าถึงความฝันให้ฟัง เท่านั้นล่ะ ป้าแกร้องไห้โฮออกมาเลย แล้วบอกว่า พวกเธอไปได้แล้ว.. เราก็ไม่รอช้ารีบออกจากที่นั่นทันที ระหว่างที่นั่งรถก็คุยกันไปตลอดทาง ว่าทั้งหมดที่พวกเราเจอคืออะไร? ผู้หญิงคนนั้น เสียงเด็กๆ คนแก่ และสามีของป้า.. ทุกวันนี้เรายังผ่านหอนี้อยู่บ่อยๆ และหน้าหอจะติดประกาศว่ามีห้องว่างตลอด ห้องกว้าง ติดแอร์ เฟอร์ครบ มีของแถมด้วย.. สำหรับเรานี่คือเข็ดยาวๆ เลยค่ะ

เจ้าของเดิมอยากพาไปอยู่ด้วย


     เรื่องราวเฮี้ยนๆของวิญญาณตายโหงสิงอยู่ในร้าน ไม่ยอมไปผุดไปเกิด เรื่องราวสร้างจากเรื่องจริง เมื่อมีคนไปเช่าร้านต่อเกิดเรื่องราวสุดหลอนมากมาย กับแรงอาฆาตจากผีตายโหงนี้ รับรองครับว่าเรื่องราวเข้มข้นแน่นอน

เรื่องนี้เกิดขึ้นราว 4-5 ปีที่แล้วครับ โดยเหตุการณ์จะแบ่งเป็น 2 ช่วงครับ

ช่วงแรก :
ร้านเกมที่ว่านี้เปิดขึ้นในช่วงที่ร้านเกมกำลังบูม ร้านตั้งอยู่ใจกลางเมืองจังหวัดเลย เจ้าของร้านชื่อ อู๊ด เป็นชายวัย 30 กว่าๆ ลักษณะเป็นคนยิ้มง่าย ตัวเล็กผอมบาง ดูไม่มีพิษภัย อู๊ดมีเมียสาววัย 20 ต้น หน้าตาสะสวย แต่ชื่ออะไรอันนี้ผมก็ไม่รู้ เพราะเคยคุยกับอู๊ดบ้างตอนเป็นวัยรุ่น แต่โตมาก็ไม่ได้คุยกันเท่าไหร่ เพราะไม่ได้อยู่ในกลุ่มก๊วนที่ไปเที่ยวเล่นเดียวกัน อย่างมากเห็นหน้าก็ยิ้มแย้มทักทายกันตามประสา.. ผมไม่รู้หรอกว่าชีวิตครอบครัวของอู๊ดเป็นยังไง เพราะไม่ใช่เพื่อนสนิท แค่คนเคยรู้จักกัน รู้แต่อู๊ดเปิดร้านเกม จนกระทั่งได้ยินข่าวว่าอู๊ดผูกคอตายในร้านตัวเอง!!

มีคนเล่าให้ผมฟังว่า คืนนั้นราวเที่ยงคืนร้านเกมของอู๊ดก็เปิดดึกตามปกติเหมือนๆ ร้านเกม (ที่จ่ายส่วย) ทั่วไป อู๊ดบอกเด็กในร้านว่าจะขึ้นไปทำธุระบนบ้าน ฝากหน้าร้านด้วย เด็กก็พยักหน้ารับแล้วก็เล่นเกมไปเรื่อย จนเวลาจะตี 2 เด็กอยากกลับบ้าน เลยขึ้นไปตามอู๊ด แต่สิ่งที่เห็นคือ อู๊ดผูกคอตายแน่นิ่งไปแล้ว.. เด็กวิ่งหนีกระเจิงกันทั้งร้านเลย..

จากคำบอกเล่าของเด็กในร้านกับคนในละแวกนั้นพอทราบได้ว่า ช่วงหลังมาอู๊ดทะเลาะกับเมียแทบทุกวัน สาเหตุเพราะเมียอู๊ดติดเที่ยว ไม่สนใจลูกผัว อู๊ดเองก็ไม่ใช่หนุ่มหน้าตาดี แต่ดันได้เมียสวย ด้วยความหึง ความน้อยใจ อีกทั้งเงินเก็บทั้งหมดที่เคยให้ไป จากหนุ่มอนาคตดีผันตัวมาเป็นเจ้าของร้านเกมเล็กๆ อู๊ดจึงสะสมความเครียด จากคนร่าเริงกลายเป็นคนเก็บตัว สุดท้ายลั่นคำกับเมียไปว่า ‘ถ้าจะเลิกกัน พี่ขอตายดีกว่า!’ เมียสาวบอก ‘อยากตายก็ตายไปคนเดียวเถอะ!’

และอู๊ดทำตามที่เมียบอก..
ร้านเกมของอู๊ดเป็นบ้านเช่า ลักษณะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น พออู๊ดตายบ้านก็ว่างลง ส่วนหนึ่งที่ว่างเพราะคำร่ำลือเรื่องความเฮี้ยนของผีอู๊ด เช่นที่ฝั่งตรงข้ามร้านเกมอู๊ดจะเป็นร้านเหล้าเล็กๆ ว่ากันว่าเจ้าของร้าน พนักงานที่สนิทคุ้นเคยกับอู๊ด ยังคงเห็นอู๊ดมายืนเล่นหน้าบ้านบ่อยๆ เหมือนกำลังรอคอยใครสักคน คนมากินเหล้าก็เคยเจอ เรื่องนี้ดังจนบ้านหลังนี้ไม่มีใครกล้ามาเช่าต่ออีกเลย จนกระทั่ง..

ช่วงที่ 2 :
กบ ซึ่งเป็นเพื่อนผมที่ย้ายมาจากจังหวัดอุดรธานี กบเลิกกับเมียเก่าแล้วย้ายมากับเมียใหม่ชื่อ ปริน เป็นสาวเชียร์เบียร์หน้าตาดีหุ่นแซ่บเลยทีเดียว วันหนึ่ง กบก็มาหาผมที่ร้านแล้วบอกกับผมว่า มันกำลังจะเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรเยาวราช ผมก็ยินดีด้วย แล้วถามว่าจะเปิดที่ไหนล่ะ? กบบอก ร้านที่เคยเป็นร้านเกมเก่าของคนที่ชื่ออู๊ด!! ผมก็อึ้งไปเล็กน้อย แล้วถามกบว่า เคยรู้ประวัติร้านนั้นมาก่อนไหม? กบบอกรู้ ผมเลยถามย้ำว่า รู้แล้วทำไมยังจะเช่าอีก? กบบอกว่า วันแรกที่ไปดูร้านมีคนมาสะกิดแล้วบอกว่า ที่นี่เคยมีคนผูกคอตาย เฮี้ยนด้วย ตอนแรกก็กลัว แต่เพราะอยากเปิดร้านมาก ไปเรียนสูตรมาก็แพง ตอนเดินดูในร้านก็รู้สึกว่าอุดอู้อึดอัด แต่ตอนนั้นไม่รู้คิดอะไร เลยเผลออธิษฐานในใจไปว่า ‘ถ้าวิญญาณของอู๊ดยินดีให้ตนกับเมียมาอยู่ที่นี่ ก็ให้มาบอกกล่าวกัน..’ ผมล่ะยอมใจกับความคิดมันเลยครับ

กบเล่าต่อว่า พอคืนนั้นมันก็ฝันเลย ฝันว่ามีผู้ชายรูปร่างผอมบางมาหา บอกว่า ‘ให้ย้ายเข้ามาอยู่ได้เลย จะช่วย..’ กบเลยไปถามลักษณะของอู๊ดจากคนแถวนั้น ก็มั่นใจว่าคนในฝันคืออู๊ดแน่ๆ เลยตกลงเช่า เพราะคิดว่า ลองมีผีมาช่วย งานนี้รุ่งแน่นอน.. ผมนี่อึ้งเลยสิครับ

วันแรกที่กบเปิดร้าน ผมมีโอกาสแวะไปกิน ยังนึกขำในใจว่ากบที่บอกว่าไม่กลัวๆ แต่ดันติดรูปพระเกจิรอบบ้าน ยังกับร้านเช่าพระ แต่กบมันบอกว่าขายดี! แล้วผมก็ไม่ได้เจอกบอยู่พักหนึ่ง จนกบแวะมาหาผมที่ร้าน บอกว่าเลิกขายก๋วยเตี๋ยวแล้ว ผมก็งง ถามมันว่า ไหนบอกขายดี..แล้วทำไมเลิกขาย? กบบอกโดนผีอู๊ดเล่นเข้าให้แล้ว..

กบเล่าว่า หลังจากอยู่ไปได้ระยะหนึ่ง จากที่ขายดีก็เริ่มซบเซา ปริน แฟนของกบก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่ร่าเริง คุยเก่ง ก็กลับมานิ่งๆ ไม่ค่อยพูด นิสัยเริ่มเปลี่ยน ตาขวาง หน้าหมองคล้ำ ชอบแอบขึ้นไปนอนบนบ้าน แถมไปนอนในห้องที่อู๊ดผูกคอตาย ซึ่งปกติจะปิดไว้ และไปนอนอีกห้อง เท่านั้นยังไม่พอ ปริน ยังชอบหาเรื่องทะเลาะ ไม่ทำงานทำการ จนกบต้องไปหาเด็กแถวบ้านมาช่วยงาน.. วันหนึ่ง ลูกน้องกบมาเล่าให้ฟัง บอกว่าเห็นปรินแอบกินเนื้อดิบ เนื้อเน่า กินแล้วก็ปวดท้อง กบต้องพาไปโรงพยาบาลบ่อยๆ จนกระทั่งกบเริ่มทนไม่ไหว เลยแอบไปหาพระที่ตัวเองนับถือ พระท่านบอกว่า ‘เจ้าของร้านคนเก่ามันเหงา มันอยากได้เมียเอ็งไปอยู่ด้วย..’ พระท่านแนะนำกบให้รีบพาปรินไปหาแม่หมอแถวๆ นั้น ท่านบอกว่าท่านพอจะมองเห็น แต่ท่านไม่รับไล่ผี

พอกบกลับมา เห็นคนงานยืนออกันอยู่หน้าร้าน บอกว่าตอนนี้คนที่อยู่ในร้านน่าจะไม่ใช่ปริน!! กบรีบเข้าไปดู เห็นปรินนั่งเอามีดอีโต้สับหมูเล่น ก่อนจะถามกบว่า ‘ทำไมในร้านไม่มีเชือก? อยากได้เชือก..’ กบเห็นแววตาปรินก็รู้ว่ามันไม่ใช่จริงๆ กบเลยออกอุบายชวนปรินออกไปขับรถเที่ยว บอกว่าย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งนาน ยังไม่เคยได้พาไปไหน ไปขับรถเล่นรอบๆ เมืองดีไหม? อยู่แต่ในบ้านน่าเบื่อออก แล้วเดี๋ยวขากลับค่อยแวะซื้อเชือก ปรินตบปากรับคำยอมขึ้นรถ กบขับ ปรินนั่งหลังโดยมีลูกน้องนั่งประกบ

กบขับไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านแม่หมอ คำแรกที่แม่หมอทักคือ ‘มากันแล้วเหรอ?’ แม่หมอบอกกบว่า ให้พาปรินขึ้นไปบนบ้าน ตอนแรกปรินไม่ยอมลงจากรถ แต่ไม่รู้ว่าแม่หมอเข้าไปพูดอะไร ปรินถึงยอมขึ้นไปบนบ้าน ถึงตรงนี้กบเล่าว่า แม่หมอเหมือนจะรู้เรื่องหมดแล้ว ไม่รู้ว่ารู้เอง หรือพระที่แนะนำท่านเล่าเรื่องให้แม่หมอฟัง ในขณะที่ผีเข้าปริน ในส่วนนี้กบจะเป็นคนเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟังนะครับ มันเล่าว่า..

พอพาปรินขึ้นไปบนบ้าน แม่หมอเริ่มจากการพูดด้วยดีๆ แต่ปรินไม่พูดด้วย เอาแต่ก้มหน้า บางครั้งก็ด่ากลับ เมื่อเห็นว่าคุยกันดีๆ ไม่ได้ แม่หมอก็ใช้น้ำมนต์พรมใส่ กับเอามีดอาคมค่อยๆ จี้ จี้ไม่แรงนะ แต่ปรินกลับร้องเหมือนเจ็บปวดราวกับโดนแทงแรงๆ เข้าตามตัว จนสุดท้ายปรินยอมเปิดปากบอกว่าตัวเองคืออู๊ด!!

ผีอู๊ดบอกว่า เห็นปรินครั้งแรกตอนมาดูบ้านเช่ากับกบ แล้วก็เกิดรู้สึกชอบ เลยไปเข้าฝัน บอกให้กบย้ายมาอยู่เลย ตัวเองจะช่วย แต่เจตนาจริงๆ คือหลอกให้สองผัวเมียเข้ามาอยู่ เพื่อตัวเองจะเข้าสิงร่างของปริน และจะดลใจให้ปรินผูกคอตายเหมือนตัวเอง จะได้มาอยู่ด้วยกัน!! กบเล่าว่า ตอนนั้นตัวเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพราะรู้สึกโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้น ขายของก็ไม่ดี เงินที่มีก็เริ่มร่อยหรอ ใจหนึ่งมันโกรธปรินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยคิดว่าอาจจะกำลังสร้างเรื่อง เพราะขี้เกียจทำงาน มันเลยเผลอหลุดปากด่าออกไป ‘มึงเป็นผีจริงหรือผีปลอม เป็นผีไอ้อู๊ดหรือผีห่าตัวไหนกูไม่รู้ แต่อย่ามาเสือกกับเมียกู มึงรีบๆ ออกไปเลย ไอ้ผีเหี้ย!!’ กบเล่าต่อว่า พอด่าออกไป ปรินก็หันมามองหน้า ทำตาขวาง แล้วตัวเองก็รู้สึกเหมือนมีใครมาถีบเข้าที่ยอดอกอย่างแรง แรงจนจุก จนสลบไป ไม่รู้สึกตัวอีกเลย..

แต่จริงๆ คือผีอู๊ดออกจากร่างปรินแล้วมาเข้าร่างกบแทน ในช่วงที่ผีมาสิงร่างของกบแล้ว ปรินที่มาด้วยเลยเป็นคนเล่าต่อให้ผมฟัง แปลกดีไหมครับ? ปรินเล่าว่า..

พอตัวเองรู้สึกตัวขึ้นมา ก็งงๆ ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านแม่หมอ ตอนนั้นก็เห็นกบนั่งอยู่ ตัวสั่น ท่าทางเปลี่ยนไป บางทีก็หัวเราะลั่น บางทีก็โกรธ หน้าตาดูดำคล้ำ ตาขวาง เนื้อตัวเปียกชุ่มไปหมดเพราะโดนน้ำมนต์ กบชี้หน้ามาที่ตน แล้วก็เอาแต่พูดว่า ‘กูชอบอีนี่ กูจะเอามันไปอยู่ด้วยให้ได้!’ ตัวเองก็แปลกใจว่าเป็นผัวเมียกัน อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว จะพาตัวเองไปอยู่ไหนอีก? ตอนนั้นแม่หมอก็พูดขึ้นมาว่า ‘จะไปพรากผัวพรากเมียเขาทำไม ถ้าอยากได้เมีย เดี๋ยวจะหาให้!’ ปรินเล่าต่อว่า เห็นแม่หมอเอาหุ่นขี้ผึ้งเป็นรูปผู้ชายตัวหนึ่งผู้หญิงตัวหนึ่ง มามัดด้วยสายสิญจน์ติดกัน ก่อนจะเอาไปทำพิธี ตอนนั้นกบก็ยังไม่หยุดพูดก่นด่าต่างๆ นานา สักพัก พอแม่หมอทำพิธีเสร็จ ก็ให้คนเอาหุ่นไปลอยในหนองน้ำ จู่ๆ กบก็หมดสติไป พอฟื้นมาก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น.. โดนผีเข้าทั้งผัวทั้งเมียเลยไหมล่ะ?

กบเล่าต่อว่า แม่หมอกับพระพูดเหมือนกันเลย ว่าตอนนี้สามารถเข้าไปอยู่ที่บ้านนั้นได้แล้ว รับรองว่าผีอู๊ดจะไม่มายุ่งอีก แต่ทั้งกบและปรินต่างหลอนเกินจะกลับไปอยู่อีก เลยยกเลิกสัญญาเช่า แล้วย้ายไปเปิดร้านที่อื่น.. แต่ก่อนกลับ กบมันถามแม่หมอว่า ตอนที่มาถึงแม่หมอพูดอะไร ปรินถึงยอมขึ้นบ้าน? แม่หมอเลยบอกว่า ก็พูดแค่ว่า ‘อยากได้เมียก็ให้ขึ้นบ้าน ไม่อย่างงั้นจะไม่ช่วยนะ..’ ผมนี่งงในงง ผีก็อยากมีเมีย แบบนี้ก็ได้เหรอ? ..ปัจจุบันนี้ ที่บ้านหลังนั้นก็มีคนมาอยู่แล้ว ผ่านมาหลายปี ก็ยังอยู่ปกติดี สงสัยอู๊ดคงจะได้เมียใหม่สมใจแล้วจริงๆ ถึงได้ไม่มารบกวนใครแล้ว.. เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงแค่นี้ครับ..