หนูขออยู่ด้วย


     เรื่องจริงที่เกิดขึ้นประสบการณ์จริงกับครูสาวที่จำเป็นต้องย้ายมาอยู่ใน กทม เธอได้พักอาศัยอยู่ที่หอพักแห่งหนึ่ง เธอพบเหตุการณ์ประหลาดเร้นลับ ที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ แต่เธอนั้นรู้สึกได้ และเธอก็เชื่อและสามารถสัมผัสมันได้ ลองไปฟังเรื่องต่อไปนี้เลยครับ

      ย้อนหลังไปเมื่อประมาณปลายปี 56 เราสอบบรรจุข้าราชการ กทม ได้ ต่อมาในเดือนพฤษภา ปี 57 เราได้รับจดหมายเรียกรายงานตัว ซึ่งนั่นทำให้เราต้องเตรียมย้ายที่อยู่  เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ แต่ไม่ไกลจาก กทม นั่งรถแค่ชั่วโมงกว่าๆก็ถึง

     ลองนึกภาพตามดูนะคะ สาวน้อยวัยยี่สิบสามปีที่ไม่เคยห่างบ้าน ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองคนเดียวเลย แต่เพราะจดหมายฉบับเดียวที่ทำให้ชีวิตเราต้องพลิกไปขนาดนี้

     เมื่อรายงานตัวเรียบร้อยและได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่แถวๆอ่อนนุช เรากับพ่อแม่ก็ตัดสินใจที่จะไปหาหอพักในบ่ายวันนั้นเลย จนมาลงตัวที่หอพักแห่งหนึ่ง สภาพน่าอยู่มากค่ะ สะอาด มีคีย์การ์ด ในหอพักไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าพัก เนื่องจากต้องการความสงบทางเสียง ภายในหอไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าเข้าไป เราต้องถอดไว้ข้างนอก ถ้ากลัวหายจะหิ้วเข้าไปในห้องก็ได้ค่ะ ไม่ว่ากัน ที่สำคัญหอนี้อยู่ห่างจากที่ทำงานของเราแค่ไม่ถึงร้อยเมตร ลงตัวสุดๆเลยค่ะ

วันรุ่งขึ้นเราก็ขนข้าวของเครื่องใช้ใส่รถกระบะแล้วมุ่งหน้าสู่ กทม อย่างที่บอกว่าเป็นการอยู่คนเดียวครั้งแรกในชีวิต ของที่ขนมาจึงไม่เยอะ เพราะตั้งใจว่าไปตายเอาดาบหน้า

     เราได้ห้องพักอยู่ที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ห้องของเราคือ 401 ซึ่งเป็นห้องติดริมผนังฝั่งซ้ายมือถ้ามองจากหน้าหอ  เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปจะเห็นว่าประตูหน้าห้องและประตูระเบียงจะตรงกันเป๊ะพอดี ถัดจากประตูระเบียงมาทางขวามือจะเป็นห้องน้ำ ริมผนังฝั่งซ้ายมือจะเป็นที่วางเตียงห้าฟุต เหนือหัวเตียงขึ้นไปคือหน้าต่างบานเกล็ด ห้องนี้มีแสงสว่างเข้ามาเต็มๆในช่วงบ่าย เนื่องจากตรงหน้าต่างซ้ายมือคือทิศตะวันตก

เจ๋งใช่ป่ะ หัวหัวนอนไปทิศตะวันตกพอดีเบย

     ก่อนที่พ่อแม่เราจะกลับ ท่านก็สั่งนู่นนี่ตามประสาคนเป็นห่วง แต่พ่อเราเรียกเราไปหาค่ะ ท่านให้พระมาหลายองค์ องค์ที่เราห้อยติดคอไว้ตลอดคือพระปิดตาวัดเครือวัลย์ ส่วนที่พ่อให้เราเอาขึ้นหิ้งคือรูปหล่อพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค

     จุดพีคอยู่ที่หุ่นตัวเล็กๆสีดำนุ่งโจงกระเบนแดง พ่อเราเรียกหุ่นพยนต์ค่ะ เป็นวัตถุอาถรรพ์ที่พ่อบอกว่าจะช่วยคุ้มครองเรา (เมื่อก่อนเราเคยเอาหุ่นนี้ไว้ในรถซึ่งมีหลายคนที่รู้จักเราได้เจอเรื่องแปลกๆ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังทีหลังนะคะ)

     ก่อนพ่อจะกลับ ท่านให้เราไปจุดธูปไหว้ที่ศาลหน้าหอ เป็นศาลพระภูมิและศาลตายายค่ะ เราก็ไหว้ฝากเนื้อฝากตัวและขอให้ท่านคุ้มครอง

“...และสุดท้าย ลูกไม่ขอต้อนรับสิ่งแปลกปลอมใดๆที่ติดตามลูกมา ยกเว้นแต่ของที่ลูกนำติดตัวมาเท่านั้น สิ่งไม่ดีใดๆก็ตาม ถ้าลูกไม่อนุญาต ขออย่าให้เข้ามาในอาณาเขตของลูกได้”

แล้วเราก็อยู่หอนี้ด้วยความปกติสุขมาตลอด

     จนวันหนึ่งหลังเลิกงาน เราออกไปทานข้าวข้างนอกกับเพื่อนๆ พอกลับมาถึงห้องด้วยความเพลียจึงหลับไปโดยที่ไม่ได้อาบน้ำ
เราฝันค่ะ ในฝันคือมีคนมาเคาะประตูห้องเบาๆ แล้วเราเดินไปเปิดประตู เจอผู้หญิงคนนึง อายุน่าจะประมาณ 18-20 ปี หน้าตาสวย ไว้ผมบ๊อบสั้น ใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้น แต่งตัวเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่เธอกำลังร้องไห้ค่ะ ร้องแบบสะอึกสะอื้น เธอพูดกับเราว่า

“พี่คะ หนูไม่มีที่ไป หนูไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ขอหนูอยู่กับพี่สาวซักพักได้มั้ยคะ”

และตัวเราในฝันก็ตอบตกลงชวนเธอคนนั้นเข้ามาอยู่ในห้อง

แล้วเราก็สะดุ้งตื่นค่ะ เวรแท้ๆกรู

     เชื่อมั้ยคะ ตั้งแต่วันนั้นมาเราไม่เคยรู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวในห้องอีกเลย ปกติโดยนิสัยเราเป็นคนเลอะเทอะไร้ระเบียบพอสมควร แต่ห้องของเราสะอาดเนี๊ยบทุกวัน ไม่มีขี้ฝุ่นเลย ห้องน้ำไม่เคยขัดเป็นเดือนๆแต่ไม่มีคราบสกปรก คือความรู้สึกเรามันบอกชัดเลยว่ามีคนมาทำห้องให้ แต่ไม่ได้เห็นชัดๆคาหนังคาเขานะคะ เหมือนๆเรารู้สึกได้เอง

ช่วงนี้แหล่ะค่ะที่การแต่งตัวของเราเริ่มเปลี่ยนไป ตามปกติเราชอบใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนๆกับกระโปรงสีเข้ม กลายเป็นว่าหลังๆมาเราจะมีเดรสสีสันสดใสเต็มตู้ไปหมด สไตล์การแต่งหน้าก็เปลี่ยนไป เราแต่งหน้าสวยขึ้นมาก และจากที่เคยใช้อายไลเนอร์สีดำก็เปลี่ยนมาเป็นสีน้ำตาล ทั้งๆที่เราไม่ชอบเลย เรากลายมาเป็นคนชอบของกระจุกกระจิก คนแรกที่สังเกตเห็นคือแม่เรา

แม่บอกว่าเราเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนลูกแม่...แต่แม่ชอบนะคะ 555555

     หลังจากที่เราฝันเห็นเธอได้ประมาณ ๑ เดือน เราก็ไปตัดผมสั้นค่ะ!!! คุณขา เราไว้ผมยาวมาหลายปี รักผมมาก ดัดเป็นลอนยาว แต่เราไปตัดผม!!  ซึ่งในวันนั้นไม่รู้มีอะไรมาดลใจให้ตัด กลับมาบ้านมองกระจกแบบงงๆ “นี่ชั้นไปตัดผมบ๊อบเทมารึนี่ แถมเทสองข้างไม่เท่ากันเสียด้วย”

ตอนนั้นเราเริ่มทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น จนยอมรับกับตัวเองว่า เออเฮ้ย!!ทุกอย่างมันแปลกๆจริงๆนะ ตั้งแต่เราไปตกลงให้ยัยเด็กคนนั้นมาอยู่ด้วย นึกไปนึกมาจนฟิวขาด เราเลยตะโกนโวยวายในห้องเลยค่ะ

“แกจะอยู่ในห้องชั้น ชั้นไม่เคยว่า แต่แกอย่ามาเปลี่ยนชั้นสิโว้ย อย่ามายุ่งเกี่ยวกับร่างกายชั้น สมองชั้น ชีวิตประจำวันของชั้น ต่างคนต่างอยู่ ถ้าทำไม่ได้แกก็ออกไป รึถ้าแกไม่ออก ชั้นจะออกเอง!!”

พอตะโกนจนปุ๊บ ไฟในห้องดับปั๊บเลยค่ะ เราเลยยิ่งสวดใส่อิผีตนนั้นไม่หยุดเลย ด่าอะไรมี่นึกได้ด่าหมดเลย จนมีเสียงเคาะแรงๆที่หน้าประตู พอเปิดประตูห้องออกไปก็เจอกับแม่บ้านของหอ แม่ชื่อพี่นารี

“ครูบีคะ พี่เอาไฟฉายขึ้นมาให้ พอดีซอยเราไปดับทั้งซอย คุณลุง(เจ้าของหอ)แกไม่อยากให้จุดเทียน กลัวไฟไหม้ค่ะ”

“...ขอบคุณค่ะพี่” อ้อมแอ้มตอบเค้าไปเบาๆ แหม่! ดับทั้งซอย ขอโทษนะคะคุณผี ด่าไปซะเยอะเลย T^T

     หลังจากวันนั้นเรากับผีก็อยู่ดีมีความสุขกันมาเรื่อยๆ จะว่าไปมันก็เหมือนมีเพื่อนที่เรามองไม่เห็นมาอยู่ด้วยนะคะ หลายๆครั้งเราลืมนู่นลืมนี่ เธอก็จะส่งสัญญาณเตือนมาในรูปแบบต่างๆ เช่น

ครั้งนึงเราลืมถอดปลั๊กเตารีด แถมตัวเราก็กำลังจะกลับบ้านที่ ตจว กำลังจะล็อกห้องค่ะ เสียงโทรฯภายในก็ดัง พอเราไปยกหูรับสายก็มีเสียงผู้หญิงพูด พี่คะ พี่ลืมถอดปลั๊กค่ะ ตอนแรกนี่ถึงกับงงเลยค่ะ นึกว่าเจ้าของหอติดกล้องไว้ในห้องเรา พอนึกได้ก็ได้แต่ขนลุกซู่

      อยู่ด้วยกันมาเกือบปีค่ะ จนวันนึงหลังจากที่เราเลิกงานกลับมาที่หอ วันนี้เป็นวันที่เรามีอาการเพลียๆมากเป็นพิเศษ เหมือนจะเป็นไข้ เราเลยรีบอาบน้ำแล้วทานยาเข้านอน ช่วงที่กำลังสะลึมสะลือเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นมันเหมือนมีคนมาช่วยห่มผ้า คอยเช็ดตัวให้เรา เราเองก็ไม่แน่ใจว่าฝันไปรึเปล่า จนกระทั่งน็อคค่ะ...ร่างกายปิดสวิตซ์แล้วหลับไปเลย ทีนี้เลยฝัน

ในฝันเราฝันว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง ใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกับตอนนอนเลยค่ะ มีน้องผีคนเดิมนั่งอยู่ข้างล่างเตียงเอาคางเกยเตียงไว้แล้วมองมาทางเรา

“พี่ เดี๋ยวหนูต้องไปแล้วนะ ต่อไปก็ดูแลตัวเองดีๆ ขอบคุณพี่สาวมากเลยนะคะที่ให้หนูอาศัยอยู่ด้วย หนูไปแล้วก็คิดถึงกันด้วยเน้อ”
“จะไปไหนล่ะ ใครมารับ” ในฝันเราคิดว่าน้องเค้าเป็นคนนะคะ เหมือนญาติที่มาอาศัยอยู่ร่วมกัน ประมาณนั้น
“ไปที่ชอบที่ชอบน่ะสิ เร่ร่อนมานานแล้ว พี่สาวต้องดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าปล่อยให้ห้องรก ตอนเย็นก็กินข้าวด้วย กินแต่มาม่ามันไม่ดี ดีใจนะที่ได้มาอยู่ด้วยกัน”

ตอนนั้นตัวเราในฝันก็ยิ้มรับ น้องเค้าก็เข้ามากอดเราแล้วเราก็หลับไปในฝันเลยค่ะ ทีนี้พอตอนตื่นมาความรู้สึก ความทรงจำทุกอย่างมันค่อยๆประเดประดังกลับมา เคยเป็นมั้ยคะ เหมือนเวลาเราไปดูหนังแล้วอารมณ์มันยังค้างอยู่

เราเป็นค่ะ... ตอนตื่นมาเราร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร มีความรู้สึกเหมือนเราเสียเพื่อนไปคนนึง รู้สึกถึงบรรยากาศเหงาๆในห้อง ต่างจากเดิมที่เราจะรู้สึกอยากกลับหอ เพราะเหมือนมีใครรอเราอยู่ ก็กลายเป็นทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ยอมกลับบ้านช่อง เชื่อมั้ยคะ สุดท้ายเราเองกลับเป็นฝ่ายทนอยู่หอนี้ไม่ได้ เพราะมันเหมือนมีอะไรหายไป

ช่วงนั้นเราเครียดมากจนต้องไปพบแพทย์ เราคิดว่าเราอาจมีอาการประสาทหลอน แต่หมอไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นเลยค่ะ หมอให้คำแนะนำที่ดีมาก ให้หมั่นพบปะผู้คน เปลี่ยนบรรกาศบ้าง และแนะนำให้กลับบ้านบ่อยๆ เราเลยกลับบ้านที่ ตจว ทุกอาทิตย์

ช่วงที่กลับบ้านบ่อยๆนี้ล่ะ ทำให้เรื่องราวของเธอคนนั้นกระจ่างขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเราเหงา ไม่ใช่เพราะเราฟุ้งซ่านจากการอยู่คนเดียว ไม่ใช่เราประสาทหลอน แต่เป็นเพราะเธอมีตัวตนอยู่จริงๆ...

     ไม่รู้ด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไร ลูกพี่ลูกน้องของเราชวนเราไปทำบุญที่วัดในช่วงวันหยุด พอเราไหว้ถวายภัตตาหารเสร็จ กรวดน้ำเสร็จ ก็มีพระรูปหนึ่งทักขึ้นมา

“อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะโยม โยมอีกคนที่เคยอยู่ด้วยกันเค้าไปดีแล้ว” ลูกพี่ลูกน้องเรานี่งงเป็นไก่ตาแตก มันคิดว่าเราอยู่กะแฟน
“หลวงพ่อทราบด้วยหรอคะ”
“เค้ามีจริงๆนั่นแหล่ะ โยมไม่ได้จิตหลอนไปเองหรอก ถ้านึกถึงเค้าก็หมั่นไปทำบุญกรวดน้ำให้เค้า แล้วสักวันคงได้พบกันอีก”

     ด้วยประโยคนี้ของพระรูปนั้นจึงทำให้ตัวเราในวันนั้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สุดท้ายเราเลยกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ มีเพื่อนฝูง เฮฮาเข้าสังคม และหาแฟนได้ในที่สุดค่ะ 55555555555+

ไม่มีความคิดเห็น