กดติดวิญญาณกับสิ่งที่ตามมา


     จากประสบการณ์จริงของครูสาวที่ผ่านมากันไปแล้วเรื่อง เป็นเรื่องที่เหตุการณ์ต่อจากเรื่อง หนูขออยู่ด้วย เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเธอต้องการย้ายหอพัก แต่สิ่งที่เธอพบนั้นกลับกลายเป็นเรื่องหลอกหลอนที่เธอไม่ทันคิดและตั้งตัวด้วยซ้ำ ว่าแล้วเราไปติดตามกันเลยครับ

     เรื่องนี้ยังอยู่ในหอเดิม เพิ่มเติมคือกำลังจะย้ายหอใหม่ อย่างที่เล่าไปในเรื่องที่แล้วน่ะค่ะ พอมีอะไรหายไปเราเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะอยู่ห้อง คิดไปคิดมา เอาวะ!! ย้ายหอใหม่มันซะเลยแล้วกัน มหกรรมการหาหอก็เริ่มขึ้น

     ข้อจำกัดในการหาหอของเรามีไม่มากค่ะ ตอนนั้นยังโสด ก็ขอแค่ห้องสะอาด ตึกไม่เก่าจนเกินไป ระบบความปลอดภัยโอเค แต่นี้ก็ผ่านแล้วค่ะ เรื่องราคาเราตั้งงบไว้ไม่เกินห้าพันต่อเดือน ทีนี้เลยมีพี่ๆที่โรงเรียนแนะนำหอนึงตรงปากซอยให้ บางคนอาจจะเคยรู้จัก

หอนี้ตั้งอยู่บนถนนอ่อนนุชฝั่งสุขุมวิท ตัวตึกสูงประมาณสิบชั้น ด้านล่างเป็นสถานบันเทิงของเหล่าคุณชายที่จะมานั่งดื่มเหล้าเคล้านารี ร้องคาราโอเกะ ฯลฯ

ทีแรกพอได้ฟังว่าข้างล่างเป็นคาราโอเกะเราก็เริ่มไม่อยากเข้าไปดู แต่ติดที่เกรงใจพี่คนที่เค้าเป็นคนหาหอ เราเลยคิดว่าไปดูซะหน่อย ถ้าไม่โอเคค่อยบอกกันอีกที

พอเดินมาถึงที่หมาย ตรงเคาเตอร์ของผู้ดูแลด้านล่างหอมีผู้หญิงอายุประมาณสามสิบต้นๆนั่งอยู่ พอทักทายกันเรียบร้อยถึงได้รู้ว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียนในโรงเรียน เธอคนนี้เลยบอกว่า มีห้องว่างอยู่พอดีที่ชั้น ๖ เดี๋ยวจะพาไปดู

เราก็ยกขบวนเดินถามกันไป พอเปิดประตูห้องมา ความรู้สึกแรกที่พุ่งมาประทะคือ ห้องนี้อับ อับมาก อับเหมือนไม่มีคนอยู่มานานหลายปี แต่สภาพภายในห้องสวย เปิดประตูห้องไปจะเจอกับโซฟาเล็กๆสีดำอยู่ทางด้านขวามือตรงกับประตู ถัดจากโซฟาจะเป็นตู้เย็นขนาดกลาง และถัดไปอีกจะเป็นประตูห้องน้ำ ส่วนริมผนังฝั่งซ้ายถัดจากประตูทางเข้าเป็นเตียงเหล็กขนาดห้าฟุต เลยปลายเตียงไปจะมีโต๊ะแต่งตัวและตู้เสื้อผ้าหลังเล็กๆ ห้องนี้มีลักษณะค่อนข้างยาว เลยตู้เสื้อผ้าไปนิดนึงคือประตูระเบียงหลังห้องที่เป็นกระจกติดฟิล์มดำมืด มีผ้าม่านสีน้ำเงินกั้น อารมณ์เดียวกับผ้าม่านรถทัวร์เลยค่ะ

เสียงในใจตะโกนออกมาดังๆเลยว่า “ชั้นไม่ชอบห้องนี้”

“ห้องนี้ดีนะน้องบี อยู่ฝั่งถนนใหญ่ ได้ดูวิวกลางคืน แถมราคาก็ไม่แพง” พี่ที่โรงเรียนเริ่มกล่อม

“จริงค่ะอาจารย์ แล้วตอนนี้มีโปรโมชั่นนะคะ ถ้าเช่าภายในเดือนนี้ จะคิดค่าเช่าจากสองพันเป็นพันห้าค่ะ แถมที่จอดรถฟรีหนึ่งล็อคด้วยนะคะ”

“ว้าย เอาเลยๆ”

“เดี๋ยวหนูขอกลับไปตัดสินใจก่อนนะคะพี่” เราตอบไป แล้วกดถ่ายรูปมุมโน้นมุมนี้ของห้องเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ

คืนนั้นเราก็กลับมาคิด เอาดีไม่เอาดี ห้องเดิมที่อยู่ค่าเช่าเดือนละสามพันห้า ไม่มีแอร์ จอดรถเดือนละพันห้า กับห้องใหม่มีเฟอร์นิเจอร์ครบ ราคาพันห้าพร้อมที่จอด โถไม่เห็นต้องคิดยาก เอาสิคะ..รอไร

กำลังจะกดโทรหาพี่ที่โรงเรียนว่าจะเอาแน่ พี่แกก็ดันโทรมาซะก่อน

“ฮัลโหลน้องบี ตัดสินใจได้รึยัง”  เสียงแบบตื่นเต้นมาก ไอ้เราก็นึกว่าพี่แกตื่นเต้นเรื่องเราจะเอาหรือไม่เอา

“ว่าจะเอานะคะพี่ ห้องถูกมาก ถ้าไม่เอาก็เสียดาย”

“เฮ้ย คิดดีๆก่อนนะบี ตอนแรกพี่อยากให้เอา เพราะเห็นว่าหอที่น้องอยู่มันเขี้ยว แต่ว่าพอพี่ลองไปเสิร์ชหาประวัติหอแล้วพี่ไม่แนะนำเลยอ่ะ”

“อ้าว ทำไมคะพี่”

“ไม่บอกดีกว่า น้องไปเสิร์ชหาเองเถอะ” แล้วพี่เค้าก็กดวางสายไปดื้อๆ เราเองเลยคว้าโน๊ตบุคขึ้นมาเสิร์ชหาประวัติหอ เท่านั้นล่ะจ้า มาเต็ม!!!

หมอนวดประชดรัก
หญิงชราดิ่งตึกหนีโรคร้าย
ฯลฯ

ตายห่าแล้วอิชั้น ทำไมดวงสมพงษ์นักก็ไม่รู้ แล้วที่เด็ดไปกว่านั้นรู้มั้ยคะว่าอะไร???
ก็ไอ้ที่ตายๆกันไปน่ะ ชั้นหกทั้งนั้นเลยน่ะสิคะคุณขา

ยังไม่ทันที่จะหายตกใจ อยู่ๆไลน์ก็ดังขึ้นมา นึกตามนะคะ เสียงไลน์แบบเยือกเย็น  “ล้ายยยยย” โอ้ยยย หลอนมาก ปรากฏว่าเป็นพี่คนเดิมค่ะ

“น้องบี ส่งรูปหอลงไลน์กลุ่มหน่อย พี่เก๋เค้าอยากรู้”

“รอแป๊บค่ะพี่” พอรับปากเค้าเราก็กดหารูปแล้วส่งไปรัวๆเลย สมาชิกในกลุ่มก็เม้ามอยกันสนั่นลั่นทุ่ง พีคสุดคือพี่หญิง

พี่หญิงเป็นคนที่ชอบไปกินข้าวขาหมูหน้าปากซอยบ่อยๆ ซึ่งก็เคยได้ยินเจ้าของร้านเค้าเม้ากันว่าตึกนั้น (ตึกนั้นนั่นแหล่ะค่ะ) มีคนตายบ่อย เหมือนมีอาถรรพ์ คนไปอยู่ส่วนมากจะมีอาการซึมเศร้า อยากตาย (จริงไม่จริงไม่รู้ เค้าเล่ามาอีกที)

ซึ่งนั่นทำให้เราตัดสินใจได้เลยว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่เอาหอนั้นเด็ดขาด

สักพักพี่อีกคนกดรัวสติ๊กเกอร์รูปหน้าตกใจมาเลยค่ะ

“เฮ้ย ดูรูปกันดีๆ เห็นรูปที่ถ่ายตรงประตูระเบียงมั้ย ที่เป็นกระจกดำอ่ะ”

ทีนี้สมาชิกทั้งแปดคนก็รีบกดเข้าไปดูรูป ไอ้เรามองทีแรกก็ไม่เห็นอะไรนะคะ เห็นแค่เงาตัวเราเองถือกล้องโทรศัพท์สะท้อนกับประตู

“มีอะไร ขยายด่วน”

“ลองมองเงาสีขาวข้างๆน้องบีสิพี่”

ขุ่นพระ!!!! ไอ้เงาข้างๆเราที่เราไม่ได้สังเกตพอมองดีๆแล้วมันเหมือนมีหน้าผู้ชายรางๆอยู่ในรูป ตอนที่ไปดูหอไม่มีผู้ชายไปเลยค่ะ มีแต่หญิงล้วน แล้วเรามั่นใจเต็มร้อยว่าเราไม่ได้ถ่ายติดสมาชิกที่ไปด้วยกันแน่ๆ

“คิดเหมือนพี่มั้ยว่ามันเหมือนหน้าคน”

ยังไม่ทันที่เราจะตอบ พี่อีกคนก็ทักมาอีก

“เฮ้ยยยยยยยยยยย มองดีๆ รูปนี้ก็มี รอแป๊บ” แกส่งรูปกลับมา รูปนี้แกวงสีแดงเอาไว้ชัดเลย เป็นรูปที่เราถ่ายติดพี่ที่ไปด้วยกัน เค้าชูสองนิ้วยิ้มให้กล้อง แต่เงาที่สะท้อนกับกระจกข้างหลังพี่เค้ามันเหมือนมีผ้าขาวๆลอยอยู่ พอซูมไปใกล้ๆมันเหมือนกับเวลาที่เค้าห่อศพคนตายน่ะค่ะ ที่เอาผ้าขาวห่อ ไอ้เงานี้ก็เช่นกัน แต่เงานี้มองดีๆจะเห็นเส้นเชือกสีคล้ำพันอยู่รอบคอ โยงขึ้นไปผ่านแอร์ที่ติดอยู่เหนือกระจก มองแล้วเหมือนศพถูกแขวนเลยค่ะ แต่ถ้าไม่สังเกตดีๆก็ไม่เห็น

“บี!!! น้องอย่าย้ายไปอิหอนี้เด็ดขาดเลยนะ ย้ายไปผีหลอกหัวโกร๋นแน่ๆ”

“ไม่ย้ายแล้ว น่ากลัวอ่ะพี่ โคตรหลอนเลย คืนนี้พี่กุ๊กมานอนเป็นเพื่อนบีได้ป่าวคะ บีชักหวั่นๆแล้ว”

“เออ เดี๋ยวพี่ไปนอนเป็นเพื่อน แต่รอซักพักนะ พี่มาเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล ประมาณชั่วโมงนึง”

“เคค่ะ” พอจบบทสนทนาเราก็เก็บห้องให้สะอาดเรียบร้อย อาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งรอพี่กุ๊ก รอไปรอมาจนเคลิ้มหลับ เรามาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เคาะรัวจนเราตกใจ จังหวะนี้เสียงไลน์ของเราก็ดังขึ้นตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แต่เราไม่ได้สนใจ

ก๊อกๆๆๆ “บีเปิดประตู” เสียงพี่กุ๊ก

เราเอื้อมมือเปิดประตูแล้วยิ้มกว้างงง “เชิญค่าคุณพี่กุ๊ก” แล้วยิ้มเราก็ค้างค่ะ ค้างเพราะที่หน้าห้องเรามันไม่มีใครอยู่เลยซักกะคนเดียว

พอเปิดประตูออกมาแล้วไม่เจอใคร ยิ้มค้างสิคะงานนี้ มองซ้ายก็โล่ง มองขวาก็กำแพง ไม่มีทางที่คนปกติจะวิ่งไปแอบตรงบันไดได้เร็วขนาดนี้ คิดได้แบบนี้เราก็รีบเข้าห้องล็อกประตูเลยค่ะ

ไลน์ของเราส่งเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเสียงโทร

พี่กุ๊กค่ะ!!!

"หวัดดีค่ะพี่กุ๊ก"

"เออบี พี่จะบอกว่าตอนนี้รถติดมากเลย พี่เพิ่งถึงแถวพัฒนาการเอง จะไปถึงช้าหน่อยนะ"

เชรี่ย!!!!  พี่กุ๊กอยู่พัฒนาการแล้วใครมันเคาะห้องอิชั้นล่ะคะ

"พี่กุ๊กไม่ได้อำใช่ป่าว เมื่อมีคนเคาะห้องบี"

"ไม่ๆ ไม่ได้อำ นี่พี่อยู่บนถนน แกฟังเสียงรถสิ" จริงของพี่กุ๊ก เสียงรถดังมากเลย

"งั้นพี่กุ๊กไม้ต้องมาแล้วก็ได้ค่ะ บีอยู่ได้"

"แน่นะ"

"ค่ะพี่" เสียงสั่นมาก แต่ที่ไม่ให้มาเพราะสิ่งที่เรากลัวคือเราจะเปิดประตูรับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่กุ๊กน่ะสิคะ

ตอนนั้นจำได้ว่าเรานั่งตัวแข็งอยู่ในห้องเลย คุณเคยมีความรู้สึกแบบนี้มั้ยคะ ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เหมือนขนที่หัวมันลุกขึ้นมา คืนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นเลยค่ะ มันเหมือนที่ที่เราอยู่มันไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย เราพยายามห่อตัวไว้ในผ้าห่ม เก็บปลายขา สุดท้ายเลยไม่ปิดไฟมันทั้งคืน

ความรู้สึกครั้งนี้ของเรามันบอกว่าเค้าไม่ได้มาดี เรารู้สึกได้ว่าห้องเราบรรยากาศมันไม่เป็นมิตร ไม่เหมือนครั้งนั้น ครั้งที่น้องผีอยู่กับเรา ครั้งนี้มันเหมือนมีคนกำลังจ้องมองเราตลอดเวลา จ้องมองด้วยสายตาที่น่ากลัว

เช้าวันรุ่งขึ้นเราหอบสังขารที่ไร้เรี่ยวแรงไปทำงาน จะไม่ให้เพลียได้ไง มัวแต่กลัวผีกว่าจะได้หลับก็เกือบสว่าง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ สายๆหน่อยเรามีคาบว่างก็เลยมาจับกลุ่มเม้ามอยกะเพื่อนๆรุ่นพี่ในโรงเรียนค่ะ พี่กุ๊กเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นคนแรกเลย

"ไหนแกลองเล่าให้พี่ฟังที เมื่อคืนมันยังไง รึว่าได้ผู้มานอนเป็นเพื่อน"

"เปล่าพี่ เมื่อคืนบีโดน....." เราถ่ายทอดให้พี่ๆฟัง แต่ละคนเริ่มหน้าเสีย แต่คนที่หน้าซีดที่สุดคือพี่พีท

"แต่หอแกก็มีเจ้าที่นี่บี ผีที่ไหนมันจะเข้ามาได้ แกอาจจะคิดไปเองก็ได้มั้ง" พี่กุ๊กพูดขึ้น ซึ่งพี่พีทก็ขัดขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ

"พี่กุ๊ก พี่เคยได้ยินที่เค้าว่ากันว่าเวลาได้ยินเสียงใครเรียกตอนกลางคืนแล้วห้ามขานรับได้มั้ย พีทว่ามันทำนองเดียวกันนะ น้องบีเค้าไปขานรับเพราะนึกว่าเป็นพี่กุ๊กไง"

"แต่เค้าจะมาตามไอ้บีมันทำไม ไม่มีเหตุผลเลย"

"เป็นเพราะเราไปถ่ายรูปเค้ามารึเปล่าพี่ ถ่ายติดมา ก็เลยตามกลับมาด้วย"

พอฟังคำนี้ เรารีบหยิบโทรศัพท์มากดลบรูปทิ้งทันที คนอื่นๆก็รีบเข้าไปกดลบในไลน์ของตัวเอง

"ลบหมดแล้วหวังว่าคงจะเลิกตามกันซักที บีก็ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เค้าซะ แล้วอย่าลืมเอามาลัยไปไหว้ศาลที่หอ ขอเค้าว่าไม่ให้ใครเข้า"

จำได้มั้ยคะ?? ตอนต้นเรื่องเราเคยไหว้ขอไปแล้ว แต่ก็ยังโดนจนได้ แล้วความปลอดภัยทั้งกายและใจของเรามันอยู่ตรงไหนกัน

เย็นวันนั้นสิ่งที่เราทำคือรีบไปหาซื้อพวงมาลัย เราจำได้แม่นว่าวันนั้นคือวันโกน ปกติวันโกนจะต้องมีดอกไม้ พวงมาลัย ขายเยอะแยะไปหมดใช่มั้ยคะ แต่เปล่าค่ะ!!  เราขับรถหาทั้งเส้นอ่อนนุช  ไม่มีค่ะ!! ไม่มีเลยสักพวงเดียว เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่อยากให้เราไปไหว้ยังงั้นแหล่ะ

เราก็เลยกลับหอ คิดปลอบใจตัวเองว่าเอาไว้วันอื่นก็ได้ วันนี้วันโกน ดอกไม้อาจจะขายดีก็เลยหมดเร็ว พอเปิดประตูห้องเข้าไป มาเลยค่ะ!! ลมอับๆมันตีหน้า อารมณ์เดียวกับหนังผีเวลาเปิดประตูบ้านร้างหรือโรงแรมน่ะค่ะ เหมือนห้องนี้ไม่มีคนอยู่ทั้งๆที่เราเพิ่งออกไปเมื่อเช้า  ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ...

ข้าวของของเรากระจุยกระจายเหมือนโดนใครมารื้อค้น มีเศษดินทรายร่วงเต็มพื้นห้องและบนเตียง กระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งของเราร้าวเป็นทางยาว สภาพภายในห้องเหมือนโดนพายุถล่มมาหมาดๆเลยค่ะ ทั้งๆที่เราปิดประตูหลังและไม่ได้เปิดหน้าต่างเอาไว้เลย

พอเห็นห้องเป็นแบบนี้เราก็โทรหาพี่แม่บ้านนารีเลยค่ะ แกบอกว่านอกจากตัวแกเองแล้วก็ไม่มีใครเดินขึ้นชั้นสี่ปีกขวาเลยค่ะ (ปีกขวาของชั้นสี่มีเราอยู่แค่ห้องเดียว อีกห้าห้องที่เหลือเป็นห้องว่างค่ะ) แต่สิ่งที่เรากลัวคือขโมย เราเลยขอดูกล้องวงจรปิด แล้วก็จริงอย่างที่พี่นารีบอกค่ะ นอกจากตัวแกที่ขึ้นมาทำความสะอาดแล้วก็ไม่มีใครเลย

ทีนี้อิชั้นก็ของขึ้นสิคะคุณ โมโหผีค่ะ!! ตอนนั้นมั่นใจว่าต้องเป็นผีแน่ๆ คนที่ไหนมันจะปีนชั้นสี่ขึ้นมาได้

“ไอ้ผียิ้ม ตายห่าไปเป็นผีแล้วยังเสือXมารังควานคน ตามกุมาทำไม กุไปทำอะไรให้ แน่จริงออกมาเจอกับกุเลย คิดว่ากุกลัวหรอ ออกมาเลย ถ้าไม่ออกก็ไสหัวออกไปจากห้องกุเดี๋ยวนี้เลย ออกไป ไปนรกขุมไหนก็ไป!!!”

ที่จริงด่ามากกว่านี้ค่ะ อันนี้คือจำได้คร่าวๆ

พอด่าจบหูเราเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะค่ะ เป็นเสียงหัวเราะแหบๆต่ำๆ เหมือนเสียงผู้ชาย

“หึหึ”

“ยังจะหน้าด้านมาหัวเราะกุอีก รู้มั้ยว่ากุขี้เกียจมาเก็บกวาด ถ้าไม่ออกเดี๋ยวกุจะตามพ่อกุมาไล่ออกไปเอง”  (พ่อเราบวชเรียนมาหลายปีก่อนจะมาแต่งงานกับแม่ ท่านชอบในเรื่องการดูดวง และการดูพระ เลยค่อนข้างมีความรู้เรื่องอาถรรพ์ต่างๆพอสมควร)

แต่ในนาทีที่เรานึกถึงพ่อ เราก็นึกเลยไปถึงหุ่นพยนต์ที่พ่อเคยให้ไว้ เราเลยไปหยิบหุ่นนี้ออกมาจากลิ้นชักแล้วพนมมืออธิษฐาน

“พี่ๆคะ ตอนนี้น้องมั่นใจว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในห้องของน้อง ซึ่งน้องไม่ได้ต้อยรับและไม่มีความยินดีที่จะให้มันอยู่ หากพี่มีตัวตนจริงๆขอให้พี่ช่วยไล่มันออกไปจากอาณาเขตของน้อง ถ้ามันตายซ้ำอีกรอบได้ก็ฆ่ามันให้ตายเลยค่ะ”

สิ้นคำอธิษฐาน อยู่ดีๆเราก็มีความรู้สึกแว๊บขึ้นมาในหัวว่าเราต้องไปจุดธูปบอกศาลตายายที่หน้าหอ เราเลยเดินไปหยิบธูป ตอนนั้นตาก็มองหากลักไม้ขีด ซึ่งเราเจอมันวางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง (เรามีนิสัยชอบจุดเทียนหอมตอนค่ำๆค่ะ เลยมีไม้ขีดเก็บไว้) พอเดินไปหยิบธูปกลับมาปรากฏว่ากลักไม้ขีดที่วางอยู่มันอันตรธานหายไป

จุดนี้เราว่าเราไม่ได้หลอนเองแน่ๆ เพราะเรามองเห็นมันวางอยู่ แต่พอหันกลับมาอีกทีมันหายไปแล้ว แล้วเราก็หาไม้ขีดกลักนั้นไม่เจออีกเลย จนกระทั่งถึงวันที่เราย้ายหอ เราไปเจอมันวางอยู่ตรงขอบระเบียงหลังห้อง ซึ่งเป็นจุดที่เราไม่เคยเอาของออกมาวางแน่ๆ พอนึกแล้วเรายังแค้นใจไม่หายเลยค่ะ

เราค้นหาไม้ขีดอยู่พักใหญ่ๆ แต่ก็หาไม่เจอเลยตัดสินใจลงไปหาซื้อข้างล่าง เหมือนฟ้าเป็นใจให้ไอ้ผีบ้านั่น เราหาร้านซื้อไฟแช็กไม่ได้เลย ทุกร้านพร้อมใจกันปิดหมด เราเลยจุดคำว่าโมโหมาแล้ว เลยเดินกลับหอแล้วไปโวยวายที่ศาลตายายข้างหอ

“หนูตั้งใจจะมาไหว้ให้ช่วยเหลือคุ้มครอง แต่ก็เหมือนมีอะไรมาขัดขวางไม่ให้ได้ไหว้ งั้นหนูไหว้ปากเปล่าแล้วกัน ให้มันรู้ไปว่าร้านค้ามันจะปิดได้ทุกวัน วันหลังหนูจะเอาธูปมาไหว้นะคะ  ถ้าตายายไม่ช่วยปกปักรักษาหอแห่งนี้ งั้นหนูจะย้ายออกเองเพราะถือว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์ไม่คุ้มครอง”  พูดจบเราก็เอาธูปที่ไม่ได้จุดปักไว้ในกระถางเลย

พอกลับขึ้นห้องก็ต้องมารื้อห้องทำความสะอาดกันใหม่ แต่ครั้งนี้เราสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเดิมๆที่เราเคยอยู่ บรรยากาศที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอม

เฮ้ย!! ผีมันไปแล้วหว่ะ

เปล่าค่ะ มันไม่ได้ไป มันยังอยู่ แต่มันไม่ได้อยู่ในห้อง!!

คืนนั้นเรานอนหลับไปด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ รู้สึกเหมือนไม่ได้หลับเต็มอิ่มมานาน ทั้งๆที่จริงๆก็แค่ไม่กี่คืน พอตื่นเช้ามาก็ไปใส่บาตร และไม่ลืมที่จะกรวดน้ำให้คุณผีนิรนามตนนั้น วันนั้นทั้งวันทำงานด้วยความสุขเลยค่ะ จนกระทั่งเลิกงานกลับหอ

พอเรากำลังจะแตะคีย์การ์ดที่ประตูหน้า ก็ได้ยินเสียงแม่บ้านเรียก

“ครูบีขา เดี๋ยวห้องข้างๆครูบีจะมีคนมาอยู่ใหม่นะคะ เป็นผู้หญิงสองคน ครูบีจะได้ไม่เหงา”

“ค่ะพี่ แล้วย้ายเข้าเมื่อไหร่หรอคะ”

“อาทิตย์หน้าค่ะ”

พอถึงห้องเราก็จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน คืนนี้ทำอาหารง่ายๆกินเองที่หอเพราะขี้เกียจออกไป พอกินข้าวเสร็จเรียบร้อยเราก็หยิบหนังสือนิยายแปลขึ้นมานั่งอ่าน เราชอบอ่านนิยายสืบสวนของญี่ปุ่นค่ะ จุดที่เราอ่านหนังสือคือบนเตียง เรานั่งพิงหัวเตียงอ่านและที่อยู่ถัดจากหัวเราไปก็คือหน้าต่างบานเกล็ดค่ะ

กำลังเพลินได้ที่ก็มีเสียงเบาๆดังขึ้นข้างๆหู

แกรกกกกกกก แกรกกกกกกกกก

เหมือนเสียงเล็บขูดกับอะไรซักอย่าง เรากำลังมองหาที่มาที่ไปก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ

“น้องบีคะ พี่นารีเองค่ะ”

อารมณ์นี้เราไม่ไว้ใจอยู่แล้ว เราก็ออกไปส่องตาแมวมองหน้าห้อง ปากหุบไว้แน่นสนิท เห็นพี่นารียืนอยู่จริงๆ แต่ยังค่ะ ยังระแวงอยู่ โทรหาเลยชัวร์สุด

โป๊ะเชะ!! ปรากฏว่าพี่นารีออกไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย แล้วที่ห้องชั้นล่ะ พอเราส่องไปอีกทีก็ไม่มีใครแล้ว

ทีนี้เสียงแกรกกรากดังขึ้นมาอีกเหมือนเสียงนกพิราบเอากรงเล็บข่วนกับหน้าต่างน่ะค่ะ (เราเป็นโรคกลัวสัตว์ปีกขั้นรุนแรง ถ้าให้เลือกนอนกับผีหรือนอนกับนก เราเลือกนอนกับผีค่ะ) ใจเราก็คิดว่าคงเป็นนกพิราบแน่ๆ

แกรกกกกกกกกก แกรกกกกกกกกกก

ตามด้วยเสียงครางฮืออออ ฮือออออออออ ยาวๆ เหมือนเสียงคนหายใจไม่ถนัด แล้วมีเสียงเหมือนสำลักอากาศตามมาด้วยค่ะ  เราว่ามันชักแปลกๆเพราะนึกดีๆหน้าต่างฝั่งเรามันไม่มีชายคา แล้วนกที่ไหนมันจะมาอยู่ได้ มันคงกระพือปีกไว้ตลอดเวลาไม่ไหวแน่ๆ เราเลยโทรหาพี่กุ๊กค่ะ

“พี่กุ๊ก ช่วยบีฟังหน่อยได้ยินเสียงอะไรรึเปล่าคะ”

“เสียงอะไร ...เสียงเหมือนใครหายใจ นกรึเปล่าบี”

“ห้องบีมันไม่มีชายคา ถ้าเป็นนกต้องได้ยินเสียงกระพือปีก แต่นี้เสียงมันใกล้มากนะพี่ เหมือนห่างกันแค่มุ้งลวดกั้นเอง”

“หรือจะเป็นงูเลื้อยขึ้นมา”

“พี่กุ๊ก!! บีอยู่ชั้นสี่ มันเลื้อยไหวรึคะ”

“บีลงมาจากหอก่อน  เดี๋ยวพี่ไปรับ มันไม่น่าไว้ใจ”

เราปฏิเสธพี่กุ๊กแล้วบอกว่าจะอยู่บนห้อง อาจไม่มีอะไรน่ากลัว ตอนนั้นพี่กุ๊กก็กรี๊ดขึ้นมาแล้วละล่ำละลักบอกเรา

“บี พี่ได้ยินเสียงผู้ชายอ่ะแก มันบอกให้เปิดประตู ดังมาจากโทรศัพท์ฝั่งแกน่ะ”

“5555555 โอเคพี่กุ๊ก บีเข้าใจแล้ว เดี๋ยวบีจะไล่ผีให้ดู”

เราระเบิดหัวเราะดังลั่นแล้วกดวางสายจากพี่กุ๊ก แกคงจะงงๆ แต่เรารู้แล้ว ตลอดเวลาเสียงครางก็ยังดังแผ่วๆเป็นระยะๆ เรารู้แล้วว่ามันเข้าห้องเราไม่ได้มันเลยไปข่วนกำแพงข้างนอก

ผีกระจอก!!

หลังจากนั้นมันมาข่วนกับครางให้เราฟังอยู่เกือบอาทิตย์ค่ะ แต่เราทำเป็นไม่สนใจ เวลาได้ยินเสียงมันเราก็เปิดเพลงมอญร้องไห้ไม่ก็ธรณีกรรแสงกล่อมมันไป พอเราไม่สนใจมันก็เงียบหายไปเอง

     แต่เราก็ไม่ลืมที่จะไปทำบุญกรวดน้ำให้นะคะ ที่สำคัญเราไปจุดธูปไหว้ศาลตายายข้างล่างหอตามที่เคยพูดไว้ แล้วเราก็อยู่หอนี้อย่างสงบสุขจนกระทั่งเราย้ายหอเลยค่ะ เรื่องผีเรื่องที่สองก็คงต้องขอจบลงตรงนี้

ไม่มีความคิดเห็น