คู่สัญญาของเรา
เป็นเรื่องจริงของครูสาวคนเดิม จากเรื่อง หนูขออยู่ด้วย กดติดวิญญาณกับสิ่งที่ตามมา และ เด็ก2ท่อน เรื่องต่อไปเป็นเรื่องของ คู่สัญญา เมื่อแต่ชาติปางก่อน เรื่องราวเริ่มไปกันใหญ่เมื่อคู่สัญญามาทวงคำสัญญา เรื่องนี้ยังกล่าวถึงการถอนคำสัญญาอีกด้วย ลองไปฟังกันเลยครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของพ่อเราค่ะ แต่มันค่อนข้างเกี่ยวพันกับเรา
อย่างที่เคยบอกไว้ว่าพ่อเราเคยบวชเรียนมา ประกอบกับชอบศึกษาเรื่องโหราศาสตร์การดูดวง ท่านเลยตรวจดูดวงชะตาของลูกๆทุกคนค่ะ สิ่งที่พ่อเคยดูไว้เกี่ยวกับเราคือ
๑. เราจะได้รับราชการ (ถูกต้องค่ะ ตอนนี้เราเป็นครู)
๒. เราจะได้คู่ครองเป็นคนต่างชาติต่างภาษา หรือถ้าเป็นคนไทยจะเป็นคนที่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อนแล้ว (ถูกประมาณแปดสิบเปอเซนต์สำหรับตอนนี้ แฟนเราเป็นคนสิงคโปร์ค่ะ แพลนไว้ว่าจะแต่งกันปีหน้า)
๓. เราจะได้แต่งงานตอนอายุ ๒๗ แต่จะได้แต่งงานสองครั้ง (อันนี้เราค่อนข้างกลัว เพราะนอกจากพ่อก็เคยมีคนอื่นทักแบบนี้ เราจึงตั้งใจว่าจะแต่งงานสองครั้งเพื่อแก้เคล็ด ครั้งนึงที่ไทย อีกครั้งนึงที่สิงคโปร์)
๔. ดวงเราจะมีสิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครอง ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่เทวดา แต่เป็นผีค่ะ ประมาณว่าไปอยู่ที่ไหนถ้ามีผี มีคนตาย วิญญาณของคนเหล่านั้นก็จะเอ็นดูเรา ช่วยเหลือเรา บรื๋อออออ!! ข้อนี้ไม่ค่อยชอบเลยแฮะ
๕. ข้อนี้สำคัญ...เรามีคู่สัญญากันไว้ตั้งแต่อดีต แต่ชาติไหนพ่อก็บอกไม่ได้ พ่อบอกว่าคู่สัญญาของเราเค้าตามเรามา เค้าอยู่กับเรามาตลอด และจะอยู่กับเราไปตลอดถ้าเราไม่ไปถอนคำสัญญาที่เคยให้ไว้ เอ้า!! สัญญากันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะให้ไปถอนแล้วจะต้องทำยังไง พอเราถามวิธีการท่านก็อมยิ้มแล้วบอกว่า อยู่ด้วยกันต่อไปสักพักเถอะ เค้าคุ้มครองเรา ไม่เป็นอันตราย ขอบพระคุณค่ะ!!!
ขอย้อนเวลากลับไปสักสิบกว่าปีที่แล้วนะคะ ตอนที่เราเรียนอยู่ชั้น ป.๔ จำได้แม่นเพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่เราแยกห้องมานอนคนเดียว เวลาที่เรานอนกลางคืนพ่อเค้าจะคล้องสายยูไว้ที่ประตูหน้าห้องค่ะ ไม่รู้กันเราหนีเที่ยวรึไง เด็ก ป.๔ นะคะ
คืนหนึ่งตอนหน้าหนาว จำได้รางๆว่าลมพัดแรงตึงตังมาก บ้านเราอยู่ไม่ไกลจากทะเลจะได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมอย่างชัดเจน คืนนั้นเรากลัวมาก ห้องนอนของเราตอนนั้นยังไม่มีฝ้าเพดาน มองขึ้นไปจะเจอคาน เจอขื่อ เรายิ่งกลัวจะเจอใครมานั่งยิ้มให้เราดู สุดท้ายเลยกล่อมตัวเองจนนอนหลับไป แล้วเราก็ฝันค่ะ
ในฝันเราเห็นผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่บนเตียงไม้ ใส่ชุดกระโปรงสีแดงเข้ม ผู้หญิงคนนี้ดัดผมหยิกเป็นลอน แต่งหน้าขาว คิ้วโก่งเข้ม ปากเคลือบสีแดงสด ดูรวมๆแล้วเป็นคนสวยมาก แต่สวยแบบโบราณ (ถ้านึกภาพไม่ออกลองนึกถึงพลอยตอนเล่นหนังเรื่องชั่วฟ้าดินสลายนะคะ) เธอคนนี้นั่งหัวเราะร่วนอยู่บนเตียง โดยกำลังคุยอะไรบางอย่างกับผู้ชายคนนึงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เราจำลักษณะของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ แต่จำได้ว่าเค้าไม่ได้ใส่เสื้อ
แล้วเราก็ตื่นค่ะ แม่เราไขกุญแจเข้ามาในห้องแล้วเขย่าตัวเราให้เราตื่นด้วยสีหน้าแปลกๆ
ภายหลังเราถามแม่ ท่านบอกว่าเราละเมอพูดออกมาเป็นภาษาอะไรไม่รู้ แม่ได้ยินเสียงเราพูดพึมพำอยู่คนเดียวเลยเปิดประตูเข้ามาดู ฟังไปฟังมาชักกลัวๆเรา ก็เลยปลุกเราขึ้นมาเนี่ยแหล่ะค่ะ
นั่นคือครั้งแรกที่เรารู้จักกับผู้หญิงคนนี้
เวลาผ่านไปอีกสองปีจนเราเรียนอยู่ชั้น ป.๖ เราฝันถึงเธอคนนี้อีกครั้ง ครั้งนี้เธออยู่ในห้องเดิม นั่งอยู่ตำแหน่งเดิม แต่เธอไม่ได้ยิ้มแล้วค่ะ เธอกำลังทะเลาะกับผู้ชายคนนั้น แล้วก็ถูกผู้ชายคนนั้นทำร้ายร่างกาย ทั้งตบ ทั้งต่อย ทั้งตี แล้วเธอก็โดนบีบคอ
ตายค่ะ!! ตอนที่เธอตายเธอสบตากับเราที่ตะลึงมองอยู่ แววตาของเธอน่าสงสารมากค่ะ เราได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นเรียกเธอ ตบแก้มเธอเบาๆ
“ฤทัย ฤทัย ตื่นสิ ฤทัย”
เราสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แม่เราหน้าตาตกใจเหมือนเดิม เพราะเราพูดพึมพำเป็นภาษาที่แม่ไม่เข้าใจอีกแล้ว หลังจากฝันครั้งนี้เราก็ไม่สบายค่ะ เป็นอีสุกอีใสอยู่เกือบครึ่งเดือน
เวลาผ่านไปจนเราเรียนอยู่ชั้น ม.๓ เราฝันเรื่องนี้อีกครั้ง ครั้งนี้เราเห็นผู้ชายคนเดิมกำลังเอาขวานสับข้อเท้าของเธออยู่ ข้อเท้าที่ใส่รองเท้าสีแดง ส่วนตัวของเธอเค้าแยกเป็นชิ้นๆแล้วเก็บใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เหลือไว้แต่เท้าเท่านั้น เท้าคู่นี้เค้าเก็บใส่กล่องไว้ เมื่อเคลียทุกอย่างเรียบร้อยเค้าก็ลากกระเป๋าและกล่องเดินไปขึ้นรถยนต์ เราเปิดประตูตามเค้าไปด้วย (เค้ามองไม่เห็นเรานะคะ)
ขับรถไปค่อนข้างไกลจนมาถึงที่รกร้าง เค้าก็เอาจอบที่อยู่ท้ายรถมาขุดดินแล้วฝังเท้าพร้อมรองเท้าคู่นั้นลงไป
“อย่าจองเวรผมเลยนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีเท้าแล้วก็อย่าตามผมมาอีกนะ”
แล้วเราก็ตื่นค่ะ ครั้งนี้เหงื่อแตกซิก ตื่นมาข้างวงไพ่ของแม่ ขาไพ่แม่ทักว่าเราไปเรียนภาษาเขมรมาจากไหน
จากตอนนั้นเราไม่ฝันถึงเธออีกเลยจนกระทั่งเราเรียนจบ ม.๖ และสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงสองเดือนแรกจะมีการรับน้องจากทางคณะทำให้เราต้องกลับบ้านดึก เราเลยเลือกที่จะไปหาบ้านพักใกล้ๆมหาลัย (บ้านหนังนี้เราก็โดนนะคะ)
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราฝันเห็นผู้หญิงคนนี้แทบทุกคืน ทุกครั้งที่มาหาเธอจะใส่เดรสสีแดงเข้มลายดอกไม้สีดำ สวมรองเท้าส้นสูงสีแดงคาดดำ แต่งหน้าจัด ทุกครั้งที่ฝันคือเหมือนเราคุยกัน เล่นกัน เป็นเพื่อนกัน ประมาณนั้น
ความรู้สึกในฝัน เรารู้นะคะว่าเธอตายไปแล้ว แต่เราก็ไม่ได้กลัวเธอ
แต่พอเราย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเราก็แทบจะไม่ฝันถึงเธออีก
พอเราเรียนอยู่ปี ๓ พ่อเราแอบซุกอีหนูเอาไว้คน แม่เราจับได้เลยขอหย่า สรุปว่าพ่อแม่เราเลิกกันตั้งแต่วันนั้น ตัวเราเองก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไงทั้งสองคนก็ยังเป็นพ่อและแม่เหมือนเดิม
พ่อเราย้ายไปอยู่ภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา แล้วก็ไปได้เมียเพิ่มขึ้นมาอีกคน สรุปคืออยู่กันสามคนผัวเมีย แต่เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนพ่อเราตั้งแต่ได้เมียที่เป็นคนใต้ การงานก็เริ่มติดขัด จากที่เคยมีเงินใช้ไม่ขาดมือก็กลายเป็นหมุนเงินไม่ทัน ร้านอาหารก็เจ๊ง ขาดทุนเป็นล้าน สุดท้ายพ่อเราเลยชวนเมียๆทั้งสองย้ายมาอยู่ระยอง แต่ก็ไม่ดีขึ้นค่ะ ร้านที่เปิดใหม่ก็เจ๊งเหมือนเดิม จนเมียคนแรกหอบผ้าหนีกลับไปอยู่บ้านเดิมของตนเอง เหลือไว้แต่เมียที่เป็นคนใต้
จังหวะนี้ตรงกันกับช่วงที่เราทำงานใน กทม. แล้วนะคะ และเราย้ายหอจากหอแรกมาเป็นหอที่อยู่ปัจจุบันแล้วด้วย หอใหม่ของเราอยู่ใกล้ๆปากซอยอ่อนนุช 24 เป็นหอที่สร้างมาแล้วประมาณสามสิบปี
วันนึงพ่อเราโทรมาบอกว่าจะขอย้ายมาอยู่ด้วยสักระยะ เราตอบตกลงค่ะ แต่ไม่นึกเลยว่าพ่อจะพาเมียที่เป็นคนใต้มาอยู่ด้วย เธอคนนี้ชื่อติ๋ม อายุแก่กว่าเราแค่ไม่กี่ปี แต่ทำไงได้คะ รับปากท่านไปแล้ว
ห้องของเราขนาดค่อนข้างกว้าง มีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ๆกั้นห้องรับแขกและห้องนอน เราเลยให้พ่อกับเมียใหม่เอาที่นอนมากางนอนตรงส่วนรับแขกค่ะ แค่คืนแรกก็เกิดเรื่อง!!
ตามปกติก่อนนอนทุกคืนพ่อเราจะเปลี่ยนชุดเป็นชุดขาวเพื่อที่จะสวดมนต์และนั่งสมาธิ ทำเป็นประจำมาตั้งแต่สมัยที่อยู่กับแม่เรา คืนนี้ก็เช่นกันค่ะ เมื่อสวดมนต์เสร็จเราก็ดับไฟแล้วเข้านอน
ตัวเราเองกำลังหลับฝันหวาน มารู้สึกตัวตื่นเอาอีกทีตอนที่เห็นห้องเปิดไฟสว่างจ้าค่ะ เห็นพ่อกับน้าติ๋มนั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“บี มาอยู่ห้องนี้รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆบ้างรึเปล่าลูก”
“ไม่นี่ หนูอยู่มาราบรื่นดีนะ ทำไมรึคะ”
“ไม่มีอะไรลูก พ่อกับน้าติ๋มคงแปลกที่ก็เลยนอนไม่หลับ”
พอได้ฟังแบบนั้นเราเลยไม่ได้สนใจอะไรอีก ก็หลับไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว คืนต่อมาก็แบบนี้อีกค่ะ เราตื่นมากลางดึกเจอพ่อเปิดไฟสว่างจ้าและกำลังนั่งคุยกับน้าติ๋มด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนเดิม
“พ่อ ทำไมไม่นอน”
“ไม่มีอะไรลูก หนูนอนเถอะ” พูดจบพ่อก็เดินไปปิดไฟ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องนานเกือบเดือนค่ะ จนพ่อเราตาลึกโหล ร่างกายซูบผอม เราก็คิดว่าพ่อมีปัญหาเรื่องเงิน หรืออาจเครียดที่น้าเพ็ญเมียคนแรกหนีไป
“พ่อ บอกหนูมาตรงๆเถอะ มีปัญหาอะไร เห็นผอมลงไปทุกวันจนหนูชักห่วง เรื่องเงินหรือเรื่องน้าเพ็ญ”
“บี ไหว้เจ้าที่เจ้าทางบ้างรึเปล่าลูก ห้องหนูมันแปลกๆ”
“แปลก? แปลกยังไงคะ” แล้วเรื่องราวก็ถูกถ่ายทอด
คืนแรกที่พ่อมานอนห้องเรา พ่อฝันเห็นผู้หญิงชุดแดง ผมหยิก ใส่รองเท้าสีแดง นั่งอยู่บนโต๊ะทานข้าว เธอมองพ่อด้วยสายตาที่น่ากลัวแล้วชี้หน้าพ่อสลับกับประตูห้อง พ่อเราสะดุ้งตื่นขึ้นมา ใจคอไม่ค่อยปกติก็เลยสวดมนต์บทแผ่เมตตาไปให้ พอสวดเสร็จพ่อก็นอนต่อ
กำลังเคลิ้มหลับก็ฝันอีก ครั้งนี้เห็นผู้หญิงคนเดิมนั่งห้อยขาอยู่บนโต๊ะทานข้าว แต่ครั้งนี้เธอไม่มีข้อเท้า เธอกระโดดลงจากโต๊ะทานข้าวเสียงดังตึง!! แล้วใช้เข้าคลานมาหาพ่อ ตอนที่คลานมาก็ทิ้งรอยเลือดเอาไว้ที่พื้น พอเธอคลานมาถึงที่นอน เธอก็เอาหน้าแนบกับมุ้งตรงฝั่งที่พ่อนอน
“กูบอกให้ออกไป!!!”
แล้วพ่อเราก็สะดุ้งตื่นขึ้น มาเจอกับน้าติ๋มที่นั่งเอาผ้าห่มห่อตัวกอดเข่าแน่นท่าทางหวาดกลัวสุดขีด พ่อเราเลยลุกไปเปิดไฟ
น้าติ๋มเล่าว่า เธอฝันเห็นผู้หญิงใส่ชุดสีแดง ดัดผมหยิก หน้าตาสวยแต่แววตาดุ เธอนั่งตะไบเล็บอยู่บนโต๊ะทานข้าว พอรู้ว่าน้าติ๋มกำลังมอง เธอก็เดินเข้ามาหาน้าติ๋ม ระหว่างที่เดินมาก็ค่อยๆเปลื้องผ้าตัวเองออกทีละชิ้น ทีละชิ้น จนร่างกายเปลือยเปล่า เธอรูปซิปเปิดมุ้งแล้วเข้ามานอนกอดพ่อของเรา ในฝันของน้าติ๋มพ่อเรานอนนิ่งเหมือนคนเป็นอัมพาต ได้แค่กลอกตาไปมา
“กูจะสมสู่กับผัว แล้วกูจะเอามันไปอยู่ด้วย หึหึหึหึ”
“จริงหรอ?? หนูอยู่มาสักพักนึงแล้วไม่เคยมีอะไรมารบกวนเลยนะพ่อ พ่อบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางรึยัง”
“บอกแล้ว พ่อสวดมนต์แผ่เมตตาให้เค้าทุกคืน”
หลังจากสวนมนต์แผ่เมตตาไปให้ เธอก็มาอีกค่ะ
“สวดมนต์ไล่กูหรอ กูไม่กลัว!! คนมักมากหลายเมียอย่างมันแย่ยิ่งกว่าผีอย่างกูซะอีก อ้อ! แล้วไม่ต้องแผ่เมตตาให้กูหรอกนะ กูไม่ใช่ผีชั้นต่ำ” พูดจบเธอก็ลากข้อเท้าพ่อเราออกไปทางประตูห้อง พอพ่อเราสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็จริงอย่างในฝันเลยค่ะ ตัวพ่อทะลุมุ้งออกมา ขาชี้ไปทางประตูห้อง
ส่วนน้าติ๋ม...เธอฝันเห็นผู้หญิงชุดแดงคนนี้ทุกคืน ทุกคืนเธอจะกระโดดลงมาจากโต๊ะทานข้าวแล้วมามีอะไรกับพ่อเรา โดยที่พ่อเรามีสภาพโทรมขึ้นทุกวัน ตัวเหลือง ตาเหลือง ผอมซูบซีด (พ่อเราในฝันของน้าติ๋มนะคะ ตัวจริงแค่ดูอ่อนเพลียนิดหน่อยที่อดนอนเท่านั้น)
พอมีอะไรกับพ่อเราเสร็จเธอก็ชอบมายั่วน้าติ๋ม
“เป็นไงล่ะ ผัวมันรักกู ไม่เคยปฏิเสธกูเลยซักครั้ง จำไว้นะอีติ๋ม ถ้ามันทิ้งเมียมันมาอยู่กับได้ ต่อไปมันก็ทิ้งได้เหมือนกัน หึหึหึหึ”
เป็นแบบนี้แทบทุกคืน!!
เราเลยไปถามประวัติของตึกนี้จากผู้ดูแลที่อยู่ชั้น G เค้าบอกว่าไม่มีค่ะ ห้องเราไม่เคยมีประวัติ ก่อนที่เราจะย้ายมาก็มีผู้หญิงคนนึงอยู่ อยู่มาสิบกว่าปี จนย้ายออกไปเพราะซื้อบ้านแล้ว
เราเริ่มเอะใจ จึงถามพ่ออีกครั้งถึงลักษณะของผู้หญิงคนนี้
“พ่อ ผู้หญิงที่ฝันเห็นเค้าใส่ชุดสีแดง ไว้ผมหยิกๆ หน้าตาสวยๆใช่มั้ย”
“ใช่ สวยมาก แต่ไม่เป็นมิตรเลย”
“ไม่ใช่ประวัติห้องนี้หรอกพ่อ ถ้าเป็นคนชุดแดงหนูว่าเค้าน่าจะมากับหนู” แล้วเราก็เล่าเรื่องของเราให้พ่อฟัง พ่อเราเลยเริ่มจำไอ้ที่เคยดูดวงของเราไว้ได้
“หนูคงเคยสัญญาอะไรไว้ร่วมกัน แต่เค้าไม่ได้ร้ายกับหนูหรอก เค้าคงไม่ชอบที่พ่อมีเมียหลายคนแล้วทิ้งลูกมากกว่า”
พ่อเราและน้าติ๋มเก็บข้าวของย้ายออกจากบ้านเราหลังจากมาอยู่กับเราได้ราวๆสองเดือน ก่อนไปพ่อจุดธูปไว้หนึ่งดอกเพื่อเป็นการกล่าวอำลาเธอคนนั้น และฝากฝังให้เธอช่วยดูแลเรา พ่อยังบอกวิธีถอดถอนคำสัญญาไว้ให้เราด้วย วิธีการคือให้เราหาพวงมาลัยดอกดาวเรืองที่ร้อยต่อกันหนึ่งร้อยดอก กับมะพร้าวลูกใหญ่ และให้หาโบสถ์เก่าที่มีอายุเกินร้อยปี เข้าไปไหว้พระประทานให้โบสถ์แล้วจุดธูปสามดอกปักบนมะพร้าว แล้วพูดถอนคำสัญญาต่อหน้าพระประทาน รอจนธูปหมดดอกแล้วให้นำน้ำมะพร้าวลูกนั้นมาล้างหน้า เนื้อมะพร้าวก็ให้กินให้หมด แต่เรายังไม่ได้ไปทำค่ะ
ส่วนหนึ่งเพราะเค้าไม่เคยโผล่มาให้เราเห็นนอกจากในฝัน กับอีกส่วนหนึ่ง...เราคงใจหายพิลึก ถ้าอยู่ๆวันนึงเธอคนนั้นหายไป
Post a Comment