ศึกมนต์ดํามหาเสน่ห์


     เกิดเป็นคนหน้าตาดีก็มีผู้หญิงมาพัวพันทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยทางโลกและทางไสยศาสตร์มนต์ดําคาถาอาคม ดูเหมือนว่าการแย่งชิงของผู้หญิงนั้นมันเป็นสงครามที่ไม่มีวันจบ และต้องมีสักข้างที่จะต้องเจ็บตัวหรือแม้กระทั่งต้องเจ็บไปทั้งสองฝ่าย และไม่สนด้วยว่าผลที่ไม่ดีจะตามมาก็ตาม จะขอยกตัวอย่างเรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงและไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

     สวัสดีครับ เรื่องที่จะเล่าในวันนี้เป็นหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ก็เรียกได้ว่านานพอสมควรแต่ช่างใจมาตลอดว่า ‘จะไม่เล่า’ เพราะว่าเนื้อหาบางส่วนนั้นค่อนข้าง รุนแรง แล้วก็เหมือนเป็นตัวอย่างได้เนืองๆ แต่กลายเป็นว่าผมไปได้เจอกับเรื่องราวหนึ่งที่เกิดจาก ความเข้าใจผิด ของบุคคลเลยทำให้ ถูกหลอก ในหลายๆด้าน ก็เลยเปลี่ยนใจว่าจะเล่าเรื่องนี้ก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นผมขอ ปล. ตัวใหญ่ๆเลยว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างสูง และอย่าทำตาม เพราะมันอันตรายมาก
ปล.สอง เรื่องนี้อาจจะยาวสักหน่อย อย่างไรก็ขอบคุณครับ ปล.สุดท้าย เตือนแล้วนะครับว่า อย่าทำตาม
               เรื่องนี้มันเริ่มจากชายหญิงคู่หนึ่งที่เป็นคู่รักกันมานาน ทั้งสองคนรู้จักผมผ่านคนอื่นมาอีกทีแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร เขาทั้งสองติดต่อมาที่ตัวผมโดยตรงเพื่อขอนัดเจอและมีเรื่องอยากให้ช่วย ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธไป
               ในเวลาช่วงบ่ายๆแก่ของวันหยุดในสัปดาห์หนึ่งของภาคเรียน ผมมานั่งรอที่ม้านั่งหน้าตึกภาควิชาที่เดิมที่นี่เป็นที่ที่ผมมักจะให้คนที่นัดเจอมาเจอกันตรงนี้ ผมนั่งรอเพียงไม่นานชายหญิงคู่หนึ่งก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่โรงจอดรถด้านข้าง
               ชายหญิงอายุราวๆสามสิบต้นๆเดินลงมาจากรถหรูที่จอดอยู่ในโรงจอดรถ ทั้งสองเดินตรงมายังมโดยไม่ต้องถามก็รู้เพราะว่าวันนี้มีผมอยู่เพียงคนเดียวทั้งลานโล่งๆนี้
               เราทักทายกันแค่พอสมควรเพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลามากนัก พีทั้งสองคนนั้นจัดได้ว่าหน้าตาดีไปทางหน้าตาดีมาก ซึ่งดูจากรถที่ขับแล้วก็คงจะเป็นคนมีตังค์พอสมควร แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร เรามาเข้าสู่เรื่องที่เป็นประเด็นกันเลยดีกว่า ตรงนี้ผมจะขอเล่าเรื่องทีได้ฟังมาด้วยคำพูดของผมนะครับ อาจจะไม่เป๊ะมาก
               เริ่มจากผมขอเรียกพี่ทั้งสองคนนี้ว่าพี่บี กับพี่ทอป นะครับ พี่บีกับพี่ทอปคบกันมาได้นานแล้วประมาณสามสี่ปี ทั้งสองคนมีงานมีการของตัวเองทำอย่างมั่นคงทำให้ทั้งสองคนสามารถสร้างฐานะตัวเองได้รวดเร็วมาก ชีวิตของทั้งสองคนดูจะไม่มีอะไรให้น่าหนักใจเลยจนวันหนึ่งเรื่องแปลกๆก็เกิดขึ้นกับเขาทั้งสองคน
              จากคำบอกเล่าพี่ยียอกว่ามันเริ่มจากวันหนึ่งที่ทั้งสองคนไปสังสรรค์กับเพื่อนมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในวันนั้นก็มีคนมาร่วมงานมากหน้าหลายตาไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่พวกพี่เขารู้จัก เพราะเหมือนจะมีคนจากที่ทำงานด้วยจึงมีหลายๆคนที่พวกพี่เขาไม่รู้จัก และหนึ่งในนั้นก็เหมือนจะมีคนที่สนใจพี่ทอป
             จากสายตาของพี่บีที่เป็นผู้หญิงและท่าทางของคนที่เข้ามายุ่มย่ามกับพี่ทอปนั้นทำให้สังเกตได้ไม่ยากว่าเขาสนใจในตัวแฟนของเธอขนาดไหน แม้ว่าพี่บีจะกีดขวางอย่างไรก็ยังจำเป็นต้องมีมารยาททางสังคมปล่อยให้เขาได้คุยทำความรู้จักและชนแก้วกันบ้างเพื่อหน้าตาทางสังคมและหน้าที่การงาน
             ในคืนนั้นงานเลี้ยงเลิกไม่ดึกสักเท่าไหร่เพราะจัดขึ้นในวันธรรมดา ทั้งสองคนขับรถกลับมาด้วยบรรยากาศที่คุกรุ่นเพราะความหึงหวงของฝ่ายหญิง ฝ่ายชายที่เป็นคนขับนั้นไม่ว่าจะพยายามปลอบอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่มีผลในตอนนี้
    รถคันหรูเลี้ยงเข้ามาจอดในบ้านหลังใหญ่ที่มีบริเวณหน้าบ้านพอให้จัดเป็นสวนอย่างสวยงาม ทั้งสองคนเดินเข้าไปในบ้านของฝ่ายชายโดยที่ฝ่ายหญิงเดินตรงขึ้นไปด้านบนโดยไม่รอฝ่ายชายแม้แต่น้อย
‘โกรธอะไรกันมาล่ะลูก’ แม่ของฝ่ายชายที่ดูละครอยู่ที่ห้องนั่งเล่นถามแทนการทักทาย
‘ไร้สาระน่ะแม่’ ฝ่ายชายตอบปัดไปอย่างรำคาญ
                พี่ทอปใช้เวลานั่งคุยเป็นเพื่อนแม่จนละครจบลง และในตอนที่กำลังจะแยกย้ายกันไปนอนนั้นแม่ของพี่ทอปได้ออกไปที่ลานหน้าบ้านเพื่อไปเรียกสุนัขตัวโปรดที่ปกติจะปล่อยให้วิ่งเล่นอยู่ตรงสวนจนกว่าจะถึงเวลานอน
                พี่ทอปเดินไปตรงห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่มก่อนที่จะขึ้นไปยังห้องนอนด้านบน แต่ก็ต้องเดินถอยหลังกลับมาเมื่อเห็นแม่ทำท่าทำทางเหมือนพยายามสอดส่องอะไรบางอย่าง
‘มองอะไรน่ะแม่ หาไอ้แวนไม่เจอหรอ’ พี่ทอปคิดว่าแม่กำลังมองหาสุขนัขตัวแสบของแม่อยู่
‘ทอปลืมเพื่อนไว้ในรถรึเปล่าน่ะ’ แม่หันมาบอกพี่ทอปด้วยสีหน้าจริงจัง
                พี่ทอปตกใจกับสิ่งที่ได้ยินแต่สีหน้าของคนเป็นแม่ก็จริงจังเกินกว่าจะคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น พี่ทอปตอบปฏิเสธไปอย่างมั่นใจว่าไม่ได้เอาใครกลับมาด้วย กลับมากันสองคนจริงๆ แต่แม่ดูเหมือนจะเชื่อสาจตาของตัวเองมากกว่าคำบอกเล่าของลูกชาย
                แม่เดินตรงไปยังรถใช้มือบังแสงจากไฟนีออนเพื่อสอดส่องเข้าไปที่เบาะหลังของตัวรถ แม่ทำท่ามองหาอย่างจริงจังจนพี่ทอปต้องเดินตามแม่ลงไปเพราะคิดว่าแม่คงจะมั่นใจจริงๆ
                สองแม่ลูกช่วยกันสอดส่องภายในรถอันว่างเปล่าไม่มีเงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ เมื่อพี่ทอปหันมาเรียกให้แม่เข้าบ้านได้แล้ว แม่คงจะตาฝาดไปเอง แต่แม่ยังคงยืนยันว่าแม่เห็นจริงๆนะ แต่ภาพตรงหน้าก็เป็นสิ่งยืนยันที่ดีจริงๆว่ามันไม่มีอะไร แม่จึงยอมเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับไอ้อ้วนหมาตัวแสบของแม่
               พี่ทอปไม่ได้เก็บเอาเรื่องในคืนนั้นมาใส่ใจมากนักเพราะดูแล้วอาการงอนของแฟนสาวน่าจะเป็นประเด็นที่ใหญ่กว่ามาก พี่ทอปขึ้นห้องไปในทันทีด้วยความตั้งใจที่จะง้อแฟนสาวให้หายในคืนนี้
              ในคืนนั้นทุกๆอย่างดูจะไม่มีอะไรผิดปกติ จนในวันรุ่งขึ้นพี่บีตื่นมาในตอนเช้าก่อนพี่ทอป เรียกให้พี่ทอปไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะได้ไม่ไปทำงานสาย และในตอนนี้ที่กำลังออกแรงสะกิดเรียกพี่ทอปนั้นสายตาของพี่บีก็ไปเห็นเส้นผมยาวสลวยเส้นหนึ่งที่ติดอยู่บนเสื้อของพี่ทอป
‘ทอป ผมใครเนี่ย เมื่อคืนไปใกล้กันขนาดนั้นเลยหรอ’ พี่บีเริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมาอีกครั้ง
‘จะบ้ารึไงบี นี่มันชุดนอนนะ ทอปอาบน้ำก่อนนอนด้วย ผมคุณเองนั่นแหละ’ พี่ทอปลุกขึ้นมาตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
               พี่บีเถียงไม่ออกเพราะเหตุผลที่พี่ทอปให้มานั้นมันสมเหตุสมผลมาก เพราะชุดนี้ก็เป็นชุดนอนไม่ใช่ชุดที่ใส่ไปงานมาเมื่อคืน ก่อนนอนก็อาบน้ำ ความเป็นไปได้ก็คงมีแต่มของเธอเองเท่านั้น แต่เส้นผมในมือนั้นกลับมีสีที่ต่างไปจากผมของเธอ
               เส้นผมสีดำสนิทในมือเธอนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่เศษผ้าหรือเศษผงที่ไหน แต่สีของเส้นผมนั้นมันผิดกับผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอที่เพิ่งไปย้อมมาได้ไม่นานนี้ มันจะเป็นไปได้เชียวหรือที่ผมทั้งหัวของเธอจะถูกย้อมไม่หมดเพียงหนึ่งเส้น และก็ดันเป็นเส้นที่หลุดร่วงลงมาด้วย
               เธอคิดทบทวนพยายามหาคำตอบอยู่นานเพราะเธอนั้นเป็นคนที่หวงแรงมาก นิดๆหน่อยๆก็ไม่ยอมกันแล้ว แต่เรื่องครางนี้มันก็ดูไม่มีมูลจริงๆ ‘สงสัยจะติดมากับร้านซักรีด’ นั่นคือสิ่งที่เธอคิดในตอนนั้น
              เวลาผ่านไปได้ไม่กี่วันก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นรอบตัวของพวกเขา เมื่อพี่ทอปเริ่มมีอาการแปลกๆดูกระสับกระส่ายเวลากลับบ้านและดูไม่ค่อยสนใจพี่บีเท่าที่ควรจนพี่บีเองเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นแล้วไหนยังจะเรื่องที่ช่วงนี้ชอบพกโทรศัพท์ติดตัวมากเป็นพิเศษทั้งที่ปกติแล้วพี่บีแทบจะต้องเก็บเอาไว้ให้
              ด้วยความสงสัยพี่บีจึงขอให้พี่ทอปเอาโทรศัพท์มาค้นตามประสาของคนขี้หวง แต่ไม่ว่าจะค้นหรือเช็คอะไรมันก็ไม่มีอะไรที่ส่อแววว่าพี่ทอปกำลังนอกใจหรือว่าคุยกับคนอื่นเลย แต่กระนั้นพี่บีก็ยังคงไม่วางใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
              และในคืนนั้นเองในขณะที่พี่ทอปกับพี่บีกำลังนอนพักผ่อนดูละครกันอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอนจึงรีบลุกไปดูก็เห็นว่าเป็นแม่นั่นเองที่เป็นคนมาเคาะห้อง แม่มีท่าทางกังวลหันซ้ายหันขวาชอบกล
‘ทอปลูก ลงไปดูที่หน้าบ้านให้หน่อยสิ ไอ้อ้วนมันเห่าใครไม่รู้มาพักนึงแล้ว แม่กลัว’
              พี่ทอปเดินลงมาชั้นล่างด้านความเร่งรีบเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างก็ได้บยินเสียงขู่สลับกับเสียงเห่าของสุนัขตัวเดียวในบ้าน โดยที่มันจ้องออกไปยังหน้าประตูด้วยท่าทางเอาเรื่อง
              พี่ทอปหยิบเอาไม้กวาดที่อยู่ใกล้ๆมือไปด้วยแล้วเปิดไฟหน้าบ้านให้สว่างเพื่อดูว่าเป็นใครกันที่มาวุ่นวายที่ส่วนบุคคลในเวลาดึกดื่นเช่นนี้
              พี่ทอปเดินไปที่หน้าบ้านด้วยความรู้สึกกล้าๆกลัวๆ แต่อย่างน้องไอ้อ้วนก็น่าจะช่วยอะไรได้บ้างในเวลาเช่นนี้ เสียงเห่าอย่างเอาเป็นเอาตายของมันทำให้คนเป็นนายใจชื้นขึ้นมาบ้าง พี่ทอปเดินมาจนถึงประตูบ้านแล้ว แต่กลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
              ถนนในหมู่บ้านตอนนี้มีเพียงความว่างเปล่าที่แม้แต่หมาข้างถนนยังไม่มีให้เห็นพี่ทอปพยายามสอดส่องไปรอบๆผ่านรั้วบ้านแต่ก็ไม่เห็นเงาของใครทั้งสิ้น เมื่อหันมามองที่ไอ้อวนก็พบว่ามันยังคงไม่หยุดเห่าและสายตาของมันก็จ้องไปที่จุดจุดเดียวเหมือนมันกำลังมองอะไรอยู่

พี่ทอปเลื่อนประตูรั้วหน้าบ้านให้เปิดออกเพื่อที่จะออกไปดูข้างนอกให้ถนัดตาช่วงนี้ข่าวคราวโจรขึ้นบ้านเยอะเหลือเกินไม่ระวังไว้ก็คงจะไม่ได้ พี่ทอปเดินออกมาที่หน้าบ้านหันซ้ายขวาไปรอบๆตัวเพื่อความแน่ใจแต่ก็ไม่เห็นใครเลย แต่ไอ้อ้วนก็ยังไม่ยอมหยุดเห่า
             พี่ทอปไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงตัดสินใจเดินเข้าบ้านมา และในตอนที่กำลังจะเอื้อมมือไปปิดประตูรั้วนั้นทันทีที่มือของพี่ทอปยึดเอารั้วเหล็กได้ พี่ทอปก็รู้สึกได้ถึงความเย็นๆจากสัมผัสคล้ายมือของใครไม่รู้ที่มาแตะเอาตรงปลายนิ้วของพี่ทอป
             ด้วยความตกใจพี่ทอปจึงเผลอปล่อยมืออกจากรั้วทันทีและพยายามมองออกไปที่นอกรั้วอีกครั้งแต่ก็ไม่พบกับใครอีกเช่นเคย แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือท่าทางของไอ้อ้วน ตอนนี้มันหยุดเห่าแล้วแต่กลายเป็นว่าเหมือนมันระแวงอะไรอยู่และที่แย่ไปกว่านั้นคือสายตาของมันที่เปลี่ยนจากรั้วบ้านมาเป็นด้านหลังของพี่ทอปเอง
            พี่ทอปเลื่อนรั้วปิดอย่างรวดเร็วเพราะกลัวท่าทางของไอ้อ้วน พี่ทอปเดินเข้าไปใกล้ๆไอ้อ้วนเพื่อจะลูบตัวมันแต่มันกลับร้องเอ๋งเสียงดังเหมือนตกใจกลัวแล้ววิ่งด้วยความเร็วเท่าที่มันจะทำได้ไปหาแม่ที่ยืนรออยู่กับพี่บีข้างในบ้าน
           พี่ทอปเดินกลับเข้าบ้านมาด้วยความรู้สึกระแวงหลังและความขนลุกที่ไม่รู้ที่มา พี่ทอปรีบชวนให้ทุกคนขึ้นห้องไปนอนกันเพราะว่าเริ่มกลัวแล้ว ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดนี้
          พี่ทอปกับพี่บีขึ้นมาที่ห้องของตัวเองแล้วในตอนนี้โดยที่แม่นั้นจะนอนกับไอ้อ้วนเป็นประจำ พี่ทอปกับพี่ยีพยายามข่มตาให้หลับในคืนนั้นแม้ว่ามันจะยากก็ตามแต่ทั้งสองคนก็หลับลงไปในที่สุด
แก่กๆๆๆๆๆๆๆ
           พี่ทอปสะดุ้งตื่นมาในตอนเช้ามืดเพราะเสียงดังกุกกักๆมาจากทางหน้าประตู เสียงนั้นมาจากไอ้อ้วนตัวดีนั่นเองมันมาตะกุยห้องนอนเหมือนพยายามจะเรียกให้คนมาเปิดประตู พี่ทอปเดินไปเปิดประตูปละพยายามกันไม่ให้มันเข้าไปในห้องนอน เพราะพี่บียังนอนอยู่ เวลานี้เป็นเวลาที่แม่มักจะตื่นมาทำกับข้าว พี่ทอปจึงลงไปหาแม่ในทันที
           พี่ทอปเดินลงมาข้างล่างโดยพยายามต้อนไอ้อ้วนที่ตะเกียกตะกายจะเข้าไปในห้องให้ได้ลงมาด้วย พี่ทอปนั่งเล่นนั่งคุยกับแม่ที่กำลังทำกับข้าวได้อยู่แค่สักครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตูมตามมาจากชั้นบน พร้อมกับที่พี่บีวิ่งลงมาด้วยความเร็ว
           หน้าตาของพี่บีบ่งบอกว่ากำลังตื่นกลัวอย่างมาก พี่บีลงมานั่งตัวสั่นอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยที่มีแม่และพี่ทอปช่วยกันปลอบใจ หลังจากเวลาผ่านไปได้พักใหญ่พี่บีก็เริ่มที่จะใจเย็นลงและเป้นโอกาสให้พี่ทอปกับแม่ได้ถามไถ่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
           พี่บีกระชอบอ้อมแขนกอดแม่ไว้แน่นเหมือนพยายามหาที่พึ่งทางใจก่อนจะค่อยๆเล่าด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักลนลานด้วยความกลัว
           พี่บีเล่าว่าพี่บีได้ยินเสียงกุกกักมาจากทางประตูอยู่สักพักหนึ่งพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นพี่ทอปกำลังเดินไปทางประตูพอดีแล้วก็เห็นว่าเป็นไอ้อ้วนจึงไม่ได้คิดอะไรเลยกะว่าจะหลับต่อในทันทีแต่หลังจากที่พี่ทอปออกจากห้องไปแล้วพี่บีก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังขึ้นมาอีก เสียงนั้นดังมาจากทางข้างเตียงฝั่งที่พี่ทอปนอน เสียงนั้นเป็นเสียงแหบแห้งคล้ายคนหัวเราะ
            พี่บียังไม่ได้หันไปมองในทันทีเพราะความง่วงที่ยังมีอยู่มากบวกกับเสียงนั้นก็ไม่ได้ดังมากอย่างชัดเจน แต่ก็มากพอจะสร้างความรำคาญให้ไม่สามารถนอนต่อได้ เมื่อพี่บีลองตั้งใจฟังก็ยิ่งชัดเจนว่ามันเป็นเสียงหัวเราะแน่ๆ แต่มันบบ่างแหบแห้งน่าขนลุกยังไงไม่รู้
             พี่บีเริ่มกลัวกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ธรรมชาติของคนเรายิ่งกลัวก็จะยิ่งต้องหันหน้าไปมองมัน แล้วพี่บีก็ตัดสินใจกลั้นใจหันกลับไปมองทางด้านที่มีเสียงแปลกๆดังขึ้นมา
             ทันทีที่พี่บีลืมตามองไปยังที่ว่างตรงข้างๆเตียงใจของพี่บีก็หล่นวูบเหมือนจะเป็นลมไปในทันที ที่ตรงช่องว่างในความมืดนั้นปรากฏเป็นร่างของหญิงสาวในชุดเสื้อยืดนั่งกอดเข่าอยู่กับพื้น ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไม่ได้รูป ดวงตากลมโตที่ไม่มีตาดำให้เห็นแม้แต่น้อยฉายแววเยาะเย้ย ปากที่ฉีกกว้างหัวเราะด้วยความสะใจเสียงอันแหบพร่าบวกกับรอยยิ้มกว้างที่ไม่มีฟันนั้นทำให้คนเห็นสติแทบจะไม่อยู่กับตัว
              ปากสีแดงสดนั้นยังคงยิ้มกว้างและส่งเสียงหัวเราะมายังพี่บีด้วยความสะใจอย่างไร้สาเหตุพี่บีหลับตาลงในทันทีด้วยความกลัวพร้อมๆกับที่เสียงหัวเราะนั้นเงียบไปเหมือนถูกปิดเทป พี่บีใช้เวลาสักครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้าเงยหน้ามามองภาพตรงหน้าอีกครั้ง
              ผู้หญิงตรงหน้าหายไปแล้ว พี่บีจึงรีบลุกวิ่งลงจากเตียงมาในทันที หลังจากที่พี่บีเล่าจบแม่ก็รีบเดินไปจัดชุดกับข้าวในทันทีเพราะตอนนี้ได้เวลาที่พระท่านจะมาบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านพอดี
              ทั้งสามคนพร้อมกับหมาอีกหนึ่งตัวเดินมารอพระที่หน้าบ้าน หลังจากที่ใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็ดูจะสบายใจขึ้นบ้าง แต่ในตอนที่กำลังรับพรจากพระนั้นทั้งสามคนก็ต้องใจหายและกลับมาสู่ห้วงของความกลัวอีกครั้ง
‘ขอให้โยมสามคนและคนในบ้านที่ไม่ได้ออกมาใส่บาตรร่วมอนุโมทนาด้วยกันนะ แกด้วยเจ้าหมาน้อย’

หลังจากการให้พรของหลวงพ่อเสร็จท่านก็จากไปโดยที่ทั้งสามคนไม่ได้ถามอะไรท่านต่อจากนั้น คนเป็นแม่พูดขึ้นมาเหมือนพยายามจะปลอบลูกทั้งสองว่า ท่านก็คงจะพูดไปอย่างนั้นเองเผื่อเอาไว้ล่ะมั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเมื่อกี้ทำให้สิ่งที่แม่พูดออกมานั้นดูไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
              ทั้งสามคนกลับเข้ามาในบ้านด้วยความวิตกกังวล แม่เห็นสีหน้าของลูกทั้งสองไม่สู้ดีนักจึงเอ่ยปากชวนว่าพอจะลางานสักครึ่งวันหรือว่าเข้าสายสักหน่อยได้ไหม ไปทำบุญที่วัดกันเผื่อใครเขาตามมาขอส่วนบุญก็จะได้ให้เขาไปให้หมด ลูกทั้งสองเห็นด้วยกับความคิดนี้จึงรีบส่งอีเมลล์ไปลางานล่วงหน้าไว้ก่อน
              ในตอนสายทุกคนทำธุระส่วนตัวพร้อมหมดแล้วจึงรีบออกจากบ้านไปกันทั้งสามคนโดยแวะซื้อข้าวของที่อยากนำไปทำบุญจากร้านสะดวกซื้อและร้านสังฆทานใกล้ๆบ้าน
               ทั้งสามคนมาจนถึงวัดที่แม่ชอบมาทำบุญอยู่เป็นประจำทั้งสามตรงเข้าไปที่กุฏิของเจ้าอาวาสเพื่อเล่าเรื่องราวและแจ้งความจำนงที่จะมาทำบุญในครั้งนี้อย่างชัดเจนเผื่อว่าท่านจะมีทางออกความช่วยเหลือใดๆมากกว่าการทำบุญ ข้าวของทั้งหมดถูกส่งถวายแก่ท่านเจ้าอาวาสและเผื่อแผ่ไปยังเด็กวัดและผู้ยากไร้ใกล้เคียง
               เพื่อความสบายใจของทั้งสามคนหลวงพ่อจึงทำน้ำมนต์พรมให้ทั้งหมด และยังแบ่งให้เอากลับไปอาบที่บ้านอีกด้วย ด้วยความสนิทของญาติโยมบ้านนี้ที่มาทำบุญอยู่เป็นประจำ ท่านจึงถามเอาชื่อและวันเดือนปีเกิดของคู่รักทั้งสองนั้นไปเพื่อตรวจดวงชะตา
               หลวงพ่อหยิบเอากระดาษใกล้ๆมือมาขีดๆเขียนๆพลางยกมือขึ้นมานับนิ้วโดยที่ทั้งสามคนก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ท่านทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนจะลำบากใจที่จะพูด ท่านวางปากกาและกระดาษในมือแล้วหันมามองหน้าทั้งสามคนพลางถอนหายใจ
‘ดวงตกนะเรา ทั้งคู่เลย แล้วไปพลาดอะไรมาล่ะเนี่ย โดยเขาทำเสน่ห์ใส่มา’
               ทันทีที่พูดจบพี่บีก็คิดได้ทันทีว่าต้องเป็น ผู้หญิงคนนั้น แน่ๆ ท่าทางพี่บีดูเริ่มมีอารมณ์โกรธพร้อมกันหันไปหาแฟนตัวเองด้วยความไม่พอใจคิดว่าต้องปิดบังอะไรไว้แน่ๆ
‘โยมผู้ชายมีอาการอะไรแปลกๆไหม เผื่ออาตมาจะช่วยอะไรได้บ้าง’ หลวงพ่อถมเอาความด้วยความเป็นห่วง
‘จริงๆมันก็มีบ้างครับ ผมรู้สึกติดใจแปลกๆ ไม่ได้อยากคุยนะครับ แต่มันเหมือนๆจะนึกถึงเขาบ่อย’ พี่ทอปเล่าให้ฟัง
‘โยมใจเย็นก่อน ให้เขาเล่าให้จบก่อน’ หลวงพ่อหันไปปรามไม่ให้พี่บีอาละวาดในตอนนี้
‘ครับ ก็ประมาณว่า ไม่ถึงกับคิดถึง แต่นึกถึงหน้าเขา แล้วก็มีเขาส่งข้อความมาแต่ผมไม่ได้ตอบนะ ไม่อยากทะเลาะกับแฟน’
‘อืม นั่นแหละ เขาส่งพรายมาเป่าหูเราให้คิดถึงเขา นี่ถ้าได้ไปเจอกันอีกรอบคงจะใส่มาหนักกว่านี้’
               พี่บีแสดงท่าทีไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้อาละวาดอะไรเพราะพี่ทอปก็ไม่ได้ไปพบเจอหรือทำอะไรที่มันไม่น่าให้อภัย คนเป็นแม่ขอร้องให้หลวงพ่อช่วยหาทางออกให้กับลูกชายของตน หลวงพ่อรับปากจะช่วยเพราะมันไม่ได้หนักหนาอะไรมากนัก ยังพอที่ท่านจะยื่นมือเข้าไปยุ่งได้
               หลวงพ่อเรียกให้เด็กวัดที่วิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆนั้นไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้พี่ทอป โดยเป็นชุดขาวทั้งชุดโดยชุดนี้เป็นชุดใหม่แกะจากถุงที่นานๆทีจะได้ใช้ประโยชน์ เพราะปกติคนเขาจะเตรียมมากันเอง หลวงพ่อใช้ให้เด็กวัดไปเตรียมข้าวของเพื่อทำการอาบน้ำมนต์
               พี่ทอปถูกจัดให้นั่งอยู่กลางแดดเปรี้ยงแต่แดดในตอนสายนั้นไม่ร้อนทรมานเท่าไหร่นักจึงยังพอทนได้ หลวงพ่อเดินออกมาจากกุฏิพร้อมกับถังพลาสติกใหญ่ประมาณถังสังฆทาน ในนั้นมีน้ำใส่จนเต็มปริ่มลอยไว้ด้วยดอกเทียนและใบไม้หลายชนิดคาดว่าคงจะเป็นว่านมงคล
               หลวงพ่อบอกให้พี่ทอปทำใจนิ่งๆ แล้วนึกถึงแต่สิ่งดีๆขอให้บารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ปัดเป่าสิ่งไมดีให้หายไปกับสายน้ำ หลวงพ่อเริ่มสวดมนต์และตักน้ำมนต์ในถังราดลงไปตามตัวของพี่ทอป พี่ทอปบอกว่ามันเย็นมาก เย็นเหมือนน้ำใส่น้ำแข็ง ทำเอาสั่นไปทั้งตัว
               พี่ทอปนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นพยายามอดทนกับความเย็นของน้ำที่เริ่มทำให้หนาวจนตัวสั่น หลวงพ่อใช้มือแตะลงบนหัว ไล่ลงมาที่ไหล่ทั้งสองข้าง มาจนถึงกลางหลัง ‘ถ้ามันจะอ้วกยังไงก็อ้วกไปเลยนะ’
               พี่ทอปได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับและปล่อยให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์ให้ตนต่อ หลวงพ่อราดน้ำมนต์จนหมดถังก็หยิบเอาใบว่านที่ติดตามตัวพี่ทอปมารวมเป็นทรงกราย แปะไว้ตรงหน้าผากพร้อมกับสวดมนต์ พี่ทอปบอกว่ารู้สึกเวียนหัวนิดๆแต่ไม่ถึงกับอยากอ้วก
              เมื่อเสร็จพิธีแล้วหลวงพ่อก็ไล่ให้พี่ทอปไปเปลี่ยนเสื้อกลับโดยกำชับให้นำเอาชุดขาวนี้ออกมาด้วย หลวงพ่อนั่งรออยู่ตรงม้าหินแถวๆนั้นเอง
             หลังจากพี่ทอปเปลี่ยนเสื้อผ้าเส็จแล้วก็รีบเดินกลับมาหาหลวงพ่อ จึงเห็นว่าหลวงพ่อกำลังนั่งเขี่ยกองไฟที่ใช้เผาใบไม้อยู่ตรงม้าหินใกล้ๆ
‘เอาชุดนั้นใส่ลงไปเลย’ หลวงพอชี้ไปยังกองไฟตรงหน้าพร้อมบอกพี่ทอป
              พี่ทอปทำตามที่หลวงพ่อสั่งโดยที่ในใจก็คิดสงสัยว่าเสื้อเปียกน้ำชุ่มขนาดนี้มันจะไม่ทำให้ไฟดับเสียเองหรือ แต่มันก็ไม่ได้เป้นอย่างนั้น ไฟในกองใบไม้นั้นยังคงคุกรุ่นส่งเสียงแตกลั่นเปรี๊ยะ พร้อมกับเผลวไฟที่ลุกขึ้นมาห่มคลุมเสื้อสีขาวจนเริ่มมีรอยไหม้เป็นสีดำๆ
‘เอ้า จบนะแค่นี้แหละ’ หลวงพ่อพูดพร้อมลุกขึ้นเดินนำเข้าไปที่กุฏิ
               ทั้งสามคนเดินตามหลวงพ่อเข้ามาในกุฏิ หลวงพ่อบอกให้พี่ทอปนอนลงจะทำการสะเดาะเคราะห์ให้ด้วยบังศกุลเป็นบังศกุลตายโดยจัดให้พี่ทอปนอนลงบนพื้นเอาผ้าขาวนั้นมาคลุมตัวเหมือนคลุมศพแล้วก็เริ่มพิธี
               พี่ทอปเล่าว่าระหว่างพิธีจะมีการใช้ของเหมือนผ้าหรืออะไรไม่รู้มาแตะที่หัวพร้อมสวดมนต์ซึ่งตัวเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ในขั้นตอนสุดท้ายนั้นหลวงจากที่หลวงพ่อสวดมนต์เสร็จพี่ทอปก็รู้สึกคลื่นไส้เป้นอย่างมากจึงรีบวิ่งออกไปหน้ากุฏิแล้วก็อ้วกออกมากองโต
               พี่ทอปกลับเข้ามาด้วยท่าทางหมดแรง หลวงพ่อยิ้มให้คนทั้งสองแล้วบอกว่า หมดแล้วล่ะเขาเพิ่งจะส่งมาได้นิดเดียวหายหมดแล้ว ทั้งสามกราบขอบคุณท่านด้วยความสุขใจก่อนที่จะจำเป็นต้องขอตัวลาไปทำงานต่อเสียก่อน ท่านให้พรเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพูดไล่ตามหลังทั้งสามคนมา
‘กรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องใช้นะ’
               ทั้งสามคนคิดว่าคงเป็นเพียงการปลอบใจจากเรื่องราวร้ายๆเท่านั้นจึงไม่ได้ถามเอาความอะไรจากท่านอีกเพราะเท่านี้ก็รบกวนท่านมากเหลือเกิน
‘เราน่าจะขอของขลังท่านมาหน่อยเนอะ ลืมเลย’ แม่พูดขึ้นมาระหว่างทางไปส่งแม่ที่บ้าน
‘นั่นน่ะสิคะ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนคนเขาทำเสน่ห์ใส่’ พี่บีหันไปสมทบกับแม่
‘คนมันหล่อก็อย่างนี้แหละ 55’ พี่ทอปพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีหยอกล้อกับคนรักทั้งสอง
               เหตุการณ์ผ่านมาได้สองสามวันโดยที่ไม่มีเหตุผิดปกติใดๆจนทั้งสามคนคิดว่าเรื่องร้ายๆมันคงผ่านพ้นไปหมดแล้ว จนในคืนหนึ่งมันก็มีเรื่องเกิดขึ้นอีกจนได้ เมื่อในขณะที่พี่บีกับพี่ทอปนั้นนอนหลับอยู่ในห้องนอนห้องเดิมของทั้งสองคน พี่บีที่ตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางดึกระหว่างที่เดินกลับมาที่เตียง แสงไฟสลัวจากถนนนอกบ้านทำให้พอเห็นเตียงอย่างลางๆ
               ที่บนเตียงนั้นมีร่างของพี่ทอปนอนอยู่ตามปกติแต่มันกลับมีเงาเหมือนกับเงาของผู้หญิงนอนอยู่ข้างๆคนรักของเธอ เธอตกใจมากแต่เมื่อได้สติที่ตรงหน้าก็เหลือเพียงร่างของพี่ทอปเท่านั้น เธอคิดว่าเธอคงจะตาฝาดไปเอง
              ในตอนเช้าเธอก็ไม่ได้เล่าเรื่องราวอะไรให้พี่ทอปกับแม่ฟังเพราะมันดูจะไม่มีสาระอะไรนอกจากความงัวเงียของเธอเอง แต่หลังจากนั้นเรื่องมันก็เริ่มแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะทุกคืนที่เธอมักจะตาฝาดหรือไม่ก็เห็นตรงหางตาว่ามีเงาของหญิงสาวเดินผ่านไปมาไม่ก็คอยอยู่ใกล้ๆกับตัวของพี่ทอป
               ด้วยความกังวลที่สะสมขึ้นมาวันละนิดพี่บีจึงตัดสินใจเล่าให้แม่ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ว่าเธอนั้นจะยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ แม่ได้ฟังอย่างนั้นจึงเก็บไว้ไม่ได้บอกพพี่ทอปเองเพราะกลัวว่าพี่เขาจะกังวลเพิ่งจะผ่านเรื่องเก่ามาไม่เท่าไหร่ เรื่องใหม่มาอีกแล้ว

ในสุดสัปดาห์นั้นแม่ชวนให้พี่ทอปและพี่บีไปทำบุญงานทอดกฐินที่จังหวัดใกล้เคียงโดยที่แม่เป็นเจ้าภาพเองหนึ่งกอง ทั้งสองคนไม่อยากขัดใจคนเป็นแม่จึงตามไปด้วยดี โดยที่พี่บีนั้นรู้อยู่แล้วว่าแม่คงต้องการจะช่วยเหลือพี่ทอปนั่นเอง
                งานทอดกฐินนั้นเป้นไปด้วยความสนุกสนาน ในวันมีผู้คนมากมายมีวงดนตรีพื้นบ้านที่มาร่วมงาน ทุกอย่างดูดีไม่มีอะไรให้กังวลใจเว้นก็เพียงแต่ตัวพี่ทอปที่รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกร้อนๆหนาวๆชอบกลเหมือนคนจะเป็นไข้
                พี่ทอปพยายามหาน้ำเย็นๆมาดื่มเพื่อดับอาการที่เป็นแต่มันก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลย และในที่สุดตอนที่พระทั้งวัดเริ่มสวดมนต์ให้พรแก่ญาติโยมที่เข้ามาร่วมงาน พี่ทอปก็รู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัวจนสุดท้ายก็เป็นลมหมดสติไปกลางงาน
                พี่ทอปถูกหามโดยชาวบ้านแถวๆนั้นไปยังหน้าหลวงพ่อที่เหมือนจะเป็นเจ้าอาวาส ท่านเอาน้ำมนต์พรมให้พี่ทอป พอพี่ทอปรู้สึกตัวขึ้นมา พี่ทอปก็ดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด หลวงพ่อบอกให้พวกเขากลับไปได้เลย อาการพี่ทอปไม่สู้ดีนัก วันะรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่ ไม่ต้องห่วงเรื่องกฐินจะจัดการให้เอง
                พี่บีเปลี่ยนมาขับรถให้แทนเพราะตอนนี้พี่ทอปไม่สามารถจะขับได้อีกแล้ว ทั้งสามคนมุ่งตรงกลับมายังบ้านทันทีโดยตลอดทางนั้นก็ปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรดี แม่โทรไปหามัคทายกวัดก็ทราบเรื่องว่าหลวงพ่อท่านเดิมนั้นไม่อยู่ มีกิจนิมนต์ต่างจังหวัด
                ทั้งสามคนจึงตัดสินใจว่าจะกลับมาที่วัดนี้อีกในวันรุ่งขึ้นแต่ตอนนี้กลับไปพักผ่อนที่บ้านของตัวเองให้สบายใจเสียก่อน
                ในคืนนั้นทั้งสามคนเข้านอนตั้งแต่หัววันโดยที่พี่ยีนั้นนั่งเฝ้าพี่ทอปอยู่จนดึกดื่น และในกลางดึกคืนนั้นก็เป็นอีกครั้งที่เกิดเรื่องราวแปลกๆขึ้นกับทั้งสองคน เมื่อพี่บีนั้นเป็นกังวลเรื่องอาการของพี่ทอปจนทำให้หลับๆตื่นๆทั้งคืน และในตอนกลางดึกที่เธอสะลึมสะลือนั้นเธอหันไปมองคนรักที่นอนอยู่ข้างๆเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งคร่อมแฟนเธออยู่ ใบหน้านั้นหันมาจ้องเธอด้วยความอาฆาต หน้าตานั้นน่าเกลียดน่ากลัวจนเธอไม่สามารถจะทนมองอยู่ได้
                 พี่บีหลับหูหลับตาส่งเสียงร้องแต่กลับไม่มีเสียงใดผ่านหลอดลมของเธอออกมาเลย และในขณะที่เธอกำลังพยายามส่งเสียงนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนลมหายใจมันขาดตอนไป เธอลืมตามาด้วยความตกใจก็พบว่าหญิงสาวหน้าตาน่าเกลียดนั้นมานั่งคร่อมตัวเธอแทนและออกแรงบีบคอเธออย่างแรง เธอพยายามดิ้นๆพร้อมกับที่ร่างนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอ
                 ใบหน้านั้นยื่นเข้ามาใกล้จนเธอสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนใบหน้านี้เป็นคนละคนกับที่เธอเคยเจอมาก่อนหน้านี้ ดวงตาโปนสีขาวไรแววของสิ่งมีชีวิต ใบหน้าที่บวมเหมือนขึ้นอืดและลิ้นที่จุดปากแลบออกมาทำให้เธอกลัวจนแทบสิ้นสติ
‘บีๆ บีตื่น’
               พี่บีตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกของพี่ทอป พี่บีโผกอดพี่ทอปร้องไห้ยกใหญ่ด้วยความกลัว พี่บีเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ทอปฟัง พี่ทอปมีสีหน้าตกใจแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรในตอนนั้น พี่ทั้งสองติดต่อไปหาเพื่อนที่เคยเล่าเรื่องของผมให้ฟัง จึงนัดมาเจอกันในวันนี้
               ผมถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนโดยพี่ทอปเล่าออกมาเป็นครั้งแรกว่าเมื่อคืนพี่ทอปฝัน น่าจะเป็นช่วงเดียวกับที่บีเขาโดนผีหลอกเพราะพี่ทอปก็ตื่นมาด้วยเสียงอู้อี้ในลำคอของพี่บีเช่นกัน
               ในฝันนั้นพี่ทอปบอกว่าพี่ทอปได้เจอกับหญิงสาวคนหนึ่ง พี่ทอปไม่เห็นหน้าของเธอ แต่พี่ทออปรู้ว่าเธอสวย รู้สึกรักเธอคิดถึงเธอ แล้วภาพก็ตัดไปกลายมาเป็นร่างเปลี่ยนของสาวสวยคนนั้นมานั่งคร่อมตัวพี่ทอปอยู่ แล้วความรู้สึกมันเหมือนกับตอนที่เราได้มีอะไรกับใครจริงๆ พี่เขาจำความรู้สึกนั้นได้จริงๆ มันเหมือนจริงมากๆ เหมือนกำลังโดนผู้หญิงคร่อมอยู่จริงๆ(ขอโทษที่อาจจะเกินเลยไปนิดนะครับ)
               แล้วในตอนที่ฝันอยู่นั้นเองความรู้สึกก็ขาดไปแล้วก็กลายเป็นเสียงอู้อี้ของพี่บีที่ปลุกพี่ทอปให้ตื่นขึ้นมาเอง ผมกำลังขอรายละเอียดของทั้งสองคนก็คือวันเดือนปีเกิดนั่นเอง ในตอนนี้โทรศัพท์ของพี่บีก็ดังขึ้นมาพี่บีจึงขอตัวไปคุยโทรศัพท์
              เพียงไม่ถึงนาทีพี่บีก็รีบวิ่งกลับมาบอกว่าที่ทำงานมีเรื่องด่วนมากๆต้องเข้าไปเดี๋ยวนี้ ผมจึงบอกหพวกพี่เขากลับไปก่อนค่อยมาเจอกันใหม่ก็ได้ พวกพี่เขารีบขอตัวลากลับทันที
‘เออน้องพี่ปวดฉี่มากเลย ห้องน้ำอยู่ไหนหรอ’
             ผมเดินนำพี่ทอปเข้าไปในตึกเพื่อไปหาห้องน้ำโดยที่พี่บีไปสตาร์ทรถรอ แต่พอเดินพ้นประตูเข้ามาพี่ทอปก็ดึงผมไปข้างทางโดยไม่ได้ไปห้องน้ำอย่างที่ต้องการ
‘น้องครับ คืนนี้พี่แอบมาพบน้องได้ไหม พี่ว่าพี่โดนแฟนพี่ทำของใส่’

‘อะไรนะครับ’ ผมรู้สึกตกใจกับสิ่งที่พี่ทอปพูด
‘ไว้ค่อยคุยกันนะ เอาเป็นว่าดึกๆพี่อาจจะขอรบกวนนะ ตอนนี้พี่ต้องไปแล้ว’
                 พี่ทอปเดินจากไปอย่างเร่งรีบโดยที่ยังไม่ได้เล่าอะไรต่อจากนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้แต่ทำไมเจ้าตัวถึงเป็นคนพูดขึ้นมาเอง มันคงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาคิดอย่างนั้น
                 ผมเฝ้าแต่คิดถึงเรื่องเล่าของพี่สองคนนั้นโดยที่ไม่สามารถจะเดาได้เลยว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นมันคืออะไรกันแน่ ได้แต่ต้องรอให้พี่เขาเป็นคนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้จบเสียก่อน
                 ผมนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องพักตั้งแต่ช่วงค่ำๆยาวไปจนดึกเพื่อรอการติดต่อมาของพี่ทอปนอกจากจะกังวลใจแล้ว ผมก็อยากรู้ด้วย แล้วโทรศัพท์ของผมก็ส่งเสียงเตือนดังขึ้นมา มันเป็นเสียงข้อความ sms เข้ามา ผมรีบหยิบมันขึ้นมาดูเพราะคงจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่ทอปที่จะส่งเป็น sms มา
‘คืนนี้พี่ไม่สะดวกครับ ต้องขอโทษด้วย จะรีบติดต่อกลับไปให้เร็วที่สุดครับ ไม่ต้องตอบนะครับ’
                  ผมอ่านข้อความในโทรศัพท์แล้วก็รู้สึกผิดหวังในใจเล็กๆ แต่การจะตอบกลับไปหรือโทรกลับไปเองก็คงไม่ควรในเมื่อพี่เขากำชับขนาดนั้นว่าไม่ให้ตอบกลับไป
                  ผมหันไปเล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์ฆ่าเวลาเพื่อรอให้ตัวเองง่วง จนเวลาเลยไปค่อนข้างดึกในที่สุดความง่วงก็เข้ามาทักทายจนผมตัดสินใจไปนอน
                  ผมหลับไปได้นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่คิดว่าน่าจะนานพอสมควรเพราะในตอนที่ผมลืมตาขึ้นมานั้นนอกหน้าต่างหอพักที่ปกติจะมองเห็นถนนใหญ่เลียบคลองข้างมหาวิทยาลัยจะมีรถวิ่งตลอดเวลาแต่ในตอนนั้นมันเงียบไม่มีแม้แต่มอเตอร์ไซด์สักคัน
ฟู่....
ฟู่......
                  ผมได้ยินเหมือนเสียงลมพัดผ่านช่องเล็กๆซึ่งมันเบามากและปกติแล้วผมเป็นคนที่ขี้เซามากค่อนข้างจะตื่นยาก แต่คราวนี้ผมกลับรู้สึกตัวด้วยเสียงเบาๆเท่านั้น
                  ผมพยายามเงี่ยหูฟังต่ออีกหน่อยก่อนที่จะหันไปยังทิศทางที่มีเสียงนั้นดังมา หลังจากที่ฟังจนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่เสียงของ ลมพัด แต่มันเหมือนเป็นเสียงของคนที่พ่นลมผ่านจมูกและช่องปาก มันไม่ใช่เสียงลมตามธรรมชาติ หรือเสียงที่เกิดจากพัดลมใดๆ
                 เมื่อผมเริ่มได้สติจากความง่วงที่ลดลงไปมากผมจึงคิดได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่อง ปกติ อีกแล้ว เพราะห้องนี้ผมนอนของผมอยู่คนเดียวไม่ได้มีรูมเมทหรือใครที่จะมาช่วยแชร์ห้อง ในใจผมคิดไปว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับ พี่ทอปพี่บีหรือเปล่า
‘อืม’ กระแสเสียงที่คุ้นเคยดังก้องอยู่ในหัวเหมือนเป็นคำตอบให้กับความสงสัยของผม
                  ผมกลั้นใจหันหลังกลับไปทางที่เสียงนั้นดังมา เมื่อหันกลับไปผมกะสะอึกไปครู่หนึ่งเพราะภาพตรงหน้ามันไม่น่ามองเอาเสียเลย ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเสื้อยืดกับผ้าถุง หน้าตาที่บวมจนเสียรูปลิ้นอันโตที่จุกปากล้นออกมาข้างนอก ดวงตาปูดโปนไร้แววใดๆ
                  ร่างอันน่าสยดสยองนั้นพยายามพ่นลมออกจากปากและจมูกเหมือนจะส่งเสียงเรียก ผมมองเธอนิ่งๆเพราะไม่กล้าขยับไปไหน หลังจากที่เธอรู้ตัวว่าผมตื่นแล้วเธอจึงหยุดส่งเสียงพ่นลมแปลกๆ เปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางร้องไห้แทน เธอเอาแต่ส่ายหัวไปมาโดยไม่มีคำพูดอะไรออกมาด้วย เธอร้องไห้อยู่อย่างนั้น เสียงครวญครางอันโหยหวนทำให้ผมรู้สึกกลัวจนขนลุกไปทั่วทั้งตัว
‘สัพพี ติโย...’
                  ผมสะดุ้งไปกับเสียงสวดให้พรของพระที่มาบิณฑบาตใกล้ๆหอพัก จึงหันไปตามเสียงนั้นถึงรู้สึกตัวว่ามันค่อนแจ้งแล้วได้เวลาที่พระท่านจะมาบิณฑบาต ผมรีบกันกลับมายังอีกด้านของห้องเพื่อมองหา เธอ คนเดิม แต่กลับไม่มีเงาของใครปรากฏอยู่ตรงนั้นเลย
                  ในตอนสายๆวันต่อมาผมไปเรียน พอเจอเพื่อนที่อยู่หอเดียวกันเพื่อนก็ถามผมว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรไหม เสียงเหมือนคนร้องไห้เลย ห้องตรงข้ามมันตีกันอีกแล้วรึเปล่า เพราะปกติห้องตรงข้ามผมจะส่งเสียงดังอยู่บ่อยๆ ผมก็ยิ้มแหยๆตอบไปว่าคงจะใช่แหละ
                  ในตอนบ่ายๆผมได้รับข้อความจากพี่ทอปอีกครั้งว่าขอเวลาผมสักชั่วโมงนึงได้ไหม พอดีกับที่ผมว่างอยู่จึงตอบรับคำเชิญของพี่ทอปทันที
                  เรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟข้างๆมหาลัยเพราะวันธรรมดาแบบนี้หน้าภาคจะมีคนผ่านไปผ่านมาเยอะไม่เหมาะกับการสนทนาเรื่องส่วนตัวแบบนี้ เราเข้าเรื่องกันโดยไม่ปล่อยให้เสียเวลาเพราะว่าพี่เขาแอบพี่บีออกมาได้แค่ไม่นานโดยอ้างว่ามาพบลูกค้า
                  ผมยิงคำถามไปตรงๆเลยว่าทำไมถึงสงสัยในตัวของแฟนตัวเองขนาดนั้น พี่ทอปถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าในสิ่งที่ผมก็คาดไม่ถึง
                  พี่ทอปเล่าว่าช่วงหลังๆมานี้พี่ทอปรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของตัวเอง ปกตอตัวเองจะชอบทำบุญไปเที่ยววัดแต่ช่วงนี้เวลาไปทำบุญมันจะรู้สึกไม่สบายตัวเลย ที่หนักสุดก็คือมีอยู่วันหนึ่งพี่รู้สึกคันๆตามตัวตอนนอนก็คิดไปว่าผ้าปูที่นอนคงจะฝุ่นเยอะไปแล้ว เลยกะว่าจะเปลี่ยน แต่ในตอนที่ยกเตียงออกพี่ไปเจอตุ๊กตาดินนี้
                  พี่ทอปหยิบตุ๊กตาดินเหนียวที่ปั้นอย่างลวกออกมาจากกระเป๋าถือของตัวเองโดยเอากระเป๋าบังๆไว้ไม่ให้คนในร้านเห็น ผมยืนยันให้พี่ทอปฟังว่ามันเป็นศาสตร์หนึ่งในการทำ เสน่ห์ ซึ่งมันค่อนข้างจะได้ผลจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นว่าทำไมพี่ทอปถึงคิดว่าเป็นแฟนของตัวเอง
                  พี่ทอปเอาด้ายที่พันหุ่นอยู่ออกอย่างง่ายดายเหมือนเคยผ่านการแกะมาก่อนแล้ว เมื่อแยกหุ่นสองตัวออกจากกันของในมีเส้นผมของคนสองคนเพราะจุกหนึ่งสั้นจุดหนึ่งยาว แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นก็คือ
‘น้องดูนี่นี่ครับ นี่เป็นเศษเสื้อตัวเก่งของพี่ นี่คือเสื้อที่พี่ซื้อให้บี แล้วไอ้เสื้อตัวนี้ บีบอกว่าเอาไปส่งซักแล้วมันไม่ได้คืนมา’
                  ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่ทอปถึงสงสัยคนที่เป็นแฟนของตัวเองได้มากขนาดนี้ ผมฟังเรื่องเล่าของพี่ทอปต่อไปซึ่งมันยังไม่ได้หมดแค่นั้นเมื่อวันหนึ่งที่พี่ทอปนอนกลางวันอยู่ในวันหยุด พี่ทอปตื่นขึ้นมาจะเข้าห้องน้ำ วันนั้นพี่บีบอกว่าอยากทำกับข้าวหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน พี่ทอปกะว่าจะแอบไปแกล้งเล่นเสียหน่อย
                  แต่พอพี่ทอปเดินไปตรงด้านหลังบ้านที่กะว่าจะแอบอ้อมเข้าไปที่ครัวเพื่อแกล้งพี่บี พี่ทอปกลับเห็นพี่บีในชุดกระโปรงยืนลับๆล่อๆอยู่ที่หลังบ้านหันซ้ายหันขวา ก่อนจะเดินไปคร่อมหม้อหุงข้าวที่มีข้าวสุกอยู่เต็มหม้อ พี่บีถกให้กระโปรงบานขึ้นมาจนครอบได้ทั้งบริเวณของหม้อ
                  พี่ทอปตกใจมากจนเผลอส่งเสียงก็เลยรีบเดินกลับไปที่ห้องนอนแล้วทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่วันนั้นพี่ทอปก็สามารถคะยั้นคะยอให้พี่บีไปทานข้าวนอกบ้านได้แม้ว่าจะทำให้พี่บีงอนก็ตาม นอกจากนี้เวลาพี่ทอปอยากไปวัดพี่บีก็ดูจะมีข้ออ้างอยู่เรื่อยๆ ซึ่งพี่ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม แล้วเวลาที่มีอะไรกันพี่บีจะขออยู่ข้างบนเกือบทุกครั้ง ทั้งที่ปกติไม่ได้เป็นแบบนี้
                  จากที่ฟังมาทั้งหมดนั้นผมไม่สามารถปฏิเสธหรือปลอบใจพี่ทอปได้เลยว่ามันไม่ใช่อย่างที่พี่ทอปคิด ทุกๆอย่างนั้นเป็นสิ่งที่เรารู้จักกันในเรื่องของการทำ เสน่ห์ สีหน้าพี่ทอปดูวิตกกังวลและสับสนมาก เพราะพี่ทอปก็ไม่รู้เลยว่า พี่บีทำอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เพิ่งจะเป็นช่วงนี้ หรือตลอดเวลาตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา
                  พี่ทอปมาดูนาฬิกาแล้วเร่งให้ผมช่วยคิดหาทางออกเพราะมันใกล้จะหมดเวลาที่พี่ทอปมีแล้ว ผมถอดเอาสร้อยที่ตัวเองใส่เป็นประจำไว้ให้พี่เขาก่อน แล้วย้ำว่าอย่าให้พี่บีรู้ แล้วพยายามหาโอกาสพาทั้งสองคนมาหาผมอีกครั้งให้ได้เร็วที่สุด
                  พี่ทอปกขับรถออกไปแล้วในตอนนี้ทิ้งให้ผมนั่งคิดหาทางออกด้วยตัวเองอยู่ที่ร้านกาแฟร้านนั้นอีกเป็นชั่วโมง
                  ในตอนเย็นๆผมนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางที่แวะกินกันเป็นประจำผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ทอป ผมแปลกใจเพราะว่าปกติพี่เขาจะส่งเป็นข้อความส่งมาถามก่อนว่าสะดวกไหม
‘น้องครับ ว่างไหมครับ พี่มีเรื่องด่วนมาก’ พี่ทอปดูร้อนรนมากกว่าปกติ
‘ก็ได้อยู่ครับ’ ผมตอบไปตามตรง
‘งั้นพี่ไปรับที่หอนะครับ กรี๊ดดดดด’ พี่ทอปตอบกลับมาพร้อมกับเสีงกรีดร้องของผู้หญิงก่อนจะตัดสายไป

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในรถของพี่ทอปที่กำลังมุ่งตรงไปยังบ้านของพี่เขาซึ่งไกลพอสมควร ผมถามพี่ทอปว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงดูร้อนใจอย่างนี้ พี่ทอปบอกว่าพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เย็นนี้พี่กำลังจะทานข้าวกันแล้วอยู่ดีๆบีเขาก็มีอาการแปลกๆ ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็เอาแต่กรี๊ดๆ อย่างที่น้องได้ยินนั่นแหละ ตอนนี้ก็มีแม่กับเพื่อนพี่ที่อยู่บ้านใกล้ๆกันมาช่วยเฝ้าไว้ให้
                    พอเราเข้ามาถึงบ้านของพี่ทอป สถาพพี่บีตอนนี้ไม่เหลือความสวยเหมือนที่เจอกันในวันแรกเลย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงจากการที่ขยี้และจิกหัวตัวเอง โต๊ะอาหารและตู้เก็บของใกล้เคียงมีของร่วงกระจัดกระจายไปทั่วบ่งบอกถึงการอาละวาดของผู้หญิงคนนี้ แต่ตอนนี้เธอทำได้แค่นั่งหอบอยู่กับพื้น
'บี น้องมาแล้ว' พี่ทอปเรียกพี่บีอยู่ห่างๆเพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่าพี่บีจะอาละวาดขึ้นมาอีกไหม
‘ฮือ....’ พี่บีเริ่มร้องไห้อย่างไร้สาเหตุ
                   ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกถึง วิญญาณ ของใครเลยในที่นี้ มันไม่น่าจะเกิดจากอาการผีเข้าหรืออะไรทำนองนั้นแน่ๆ และด้วยความสงสัยผมจึงนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
‘พี่ทอป หุ่นอยู่ไหนครับ’
                   พี่ทอปเหือนเข้าใจว่าผมไม่ได้แค่ถามถึงเฉยๆ พี่ทอปวิ่งไปที่ห้องนอนแล้วยื่นเอาหุ่นตัวนั้นมาให้ผม ผมเอาหุ่นนั้นมาถือไว้แล้วสิ่งที่ผมคิดไว้มันก็ถูกจริงๆ พี่บีร้องไห้ด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม ผมอยากยืนยันความคิดของผมอีกครั้ง
                   ไฟแช๊กที่ผมขอมาจากพี่ทอปถูกจุดขึ้นแล้วรนไปที่หุ่นนั้นทันที แล้วคำตอบทุกอย่างก็ปรากฏให้เราเห็น เมื่อพี่บีกรีดร้องด้วยเสียงทั้งหมดที่ตัวเองมี เอาแต่ตะโกนว่าร้อนสลับกับร้องไห้ ผมแน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่ผีเข้าแต่ ของมันเข้าตัวคนทำ
                    ผมบอกให้พี่ทอปกับเพื่อนล้อกพี่บีไว้โดยมีแม่ยืนดูอยู่ห่างๆด้วยความกลัว ผมขอสร้อยทีให้พี่ทอปไว้คืนมาแล้วคล้องไปยังคอของพี่บีแทน อีกครั้งที่พี่บีกรีดร้องออกมาสุดเสียงดูทรมานอย่างมาก จนคนเป็นแม่ต้องขอร้องให้หยุดก่อนได้ไหม
‘ทำไมเข้าไปอยู่ในนั้นได้’ ผมถามถึงใครบางคนที่อยู่ในนั้น
‘ฮือ... เจ็บ...’ แต่กลับได้มาเพียงเสียงร้องไห้เท่านั้น
‘ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปใช่ไหม อยากออกไปไหม’ ร่างหญิงสาวตรงหน้าพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
‘เธอมากับอะไร หุ่นนี่หรือเปล่า’ ผมยื่นหุ่นในมือให้เธอมอง แต่เธอส่ายหัวปฏิเสธ
‘แล้วตัวเธออยู่ที่ไหน’ ผมถามเสียงแข็งจนเธอร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง
                    ผมคิดว่าคงไม่สามารถจะคุยกันได้รู้เรื่องไปมากกว่านี้แล้ว ผมบอกให้แม่ช่วยค้นของที่พี่บีพกติดตัวให้หน่อย เพราะพี่อีกสองคนยังต้องจับตัวพี่บีเอาไว้ แม่พยายามค้นข้าวของทั้งลิ้นชักโต๊ะทำงานและในรถ จนสุดท้ายคือ กระเป๋าถือใบแพงของเธอ
                   แม่เดินมาหาผมพร้อมกับขวดเล็กๆในมือข้างในมีน้ำใสๆสีเหลืองอ่อนๆอยู่ในนั้น ผมตกใจมากเพราะมันไม่น่าจะหาได้ง่ายขนาดนี้ ผมหยิบเอาขวดนั้นมาถือไว้ในมือ พร้อมๆกับที่ร่างของพี่บีหยุดร้องครวญครางแต่หันมาจ้องผมด้วยสายตาเอาเรื่อง
                  ผมชูขวดในมือไปมาพร้อมกับสายตาของพี่บีที่จับจ้องไปที่ขวด สายตานั้นฉายแววหวาดระแวง ผมเปลี่ยนเป็นเอามือข้างที่มีแหวนที่ใช้เป็นสื่อถึง ท่าน นั้นมาถือแทนแล้วมันก็ได้ผลจริงๆ
‘อึงจะทำอะไร!!! เอามา!!!’
                   ร่างของพี่บีพยายามจะกระโจนเข้ามาหาผมดีที่พี่ทั้งสองคนสามารถล๊อกไว้ได้ทันเวลา ร่างนั้นร้องโวยวายส่งเสียงขู่ตลอดเวลา เอาแต่บอกให้ปล่อย บอกให้เอาขวดนั้นคืนไปให้เธอ แต่ผมไม่อยากฟังอะไรจากเธออีกแล้วด้วยท่าทางที่ไม่มีทีท่าว่าจะฟังดันแต่อย่างใด
                  ผมขอให้แม่หาถังที่ไม่ใช้แล้วหรือปี๊บอะไรก็ได้ให้ผมหน่อยพร้อมกับน้ำมนต์ที่ได้มาจากหลวงพ่อ ผมโยนเอาของทุกอย่างลงไปในปี๊บที่แม่ใช้เป็นถังขยะนอกบ้านทันที ผมเปิดขวดน้ำมนต์ราดลงไปบนหุ่น และขวดน้ำมันพรายนั้นโดยตรง
‘หยุด!!!! หยุด!!!!’ ร่างนั้นส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อนอย่างน่ากลัว
                  ผมจุดไฟแช็กใส่กระดาษจนไหม้ไฟแล้วใส่มันลงไปข้างในพร้อมราดน้ำมันตามไปด้วย ร่างตรงหน้ายังคงส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวผลัดกับร้องไห้อย่างน่าสงสารจนคนที่ล๊อกเธอไว้ใจอ่อนเผลอคลายมือลง จนทำให้เธอลงกระโจนมาทางผมได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ไวไปกว่าพี่ผู้ชายทั้งสองคนที่ตะครุบเธอไว้ได้อีกครั้ง
‘สัพเพ สัตตา ไปดีนะลูกนะ’ แม่ที่ยืนอยู่ข้างๆผมพยายามแผ่เมตตาให้ใครก็ตามที่เข้ามาทำร้ายครอบครัวของเธอ
‘กลับไปเถอะ ไปทางของเธอ เราปลดให้เธอแล้ว ไปตามทางของเธอเถอะ’ ผมบอกให้เธอปล่อยเรื่องราวครั้งนี้ไป
                   เงาร่างของหญิงสาวน่าตาเละเหวอะหวะในสภาพตายทั้งกลมปรากฏให้ผมและแม่ได้เห็น ร่างนั้นยังคงกรีดร้องจนร่างของเธอหายไปในอากาศ ผมต้องรีบหันมาประคองแม่ที่เหมือนจะเป็นลมลงไปกับสิ่งที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็น
                    ตอนนี้พี่บีสงบลงแล้ว กลับมาเป็นปกติเพียงแต่อ่อนแรงเป็นอย่างมาก พี่ทอปหันมาสนใจแม่โดยไม่สนใจพี่บีเลยคงเป็นเพราะความกลัวและความโกรธสงสารก็แต่เพื่อนของพี่ทอปที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแต่ต้องมารับรู้ไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดได้จนพูดออกมาทำให้พี่ทอปก็ติดใจเหมือนกัน
‘วิญญาณที่เห็นเมื่อกี้ ทำไมไม่ใช่คนเดียวกับที่ผมเห็นที่ห้อง กับที่พี่บีเห็น’
                     วิญญาณที่เพิ่งจากเราไปนั้นรูปร่างที่ปรากฏต่างจากวิญญาณที่มาหาผมที่หอพัก และที่พี่บีเห็นมาคร่อมพี่ทอปโดนสิ้นเชิง แต่สิ่งที่ผมกับพี่บีเห็นนั้นตรงกัน ผมยังรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกับเรื่องนี้มันยังมาไม่ถึงบทสรุปของมัน
‘ทำไมบีทำแบบนี้’ พี่ทอปถามพี่บีที่นั่งห่างออกไป
‘บีรักทอปนะ’ พี่บีตอบอยู่แค่ประโยคเดียวโดยไม่สนใจคำถามของพี่ทอปเลย
                     ผมอึดอัดกับสถานการณ์เกิดขึ้น แต่แล้วสถานการณ์มันก็เลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อวิญญาณที่เราถามหานั้นมาปรากฏตัวในบ้านโดยคราวนี้ไม่ใช่ผมคนเดียวที่เห็น แต่เป็นพี่บีที่เห็นเหมือนกับผมอีกคน ผมเริ่มสงสัยว่าทำไมวิญญาณดวงนี้ถึงจงใจให้พี่บีเห็นอยู่คนเดียว
                     ร่างของหญิงสาวใบหน้าบวมอืด ลิ้นใหญ่โตล้นออกมาจากแกตอนนี้กำลังยืนจ้องพี่บีอยู่ห่างๆ ร่างนั้นค่อยๆเดินเข้าไปหาพี่บีทีละนิดจนพี่บีต้องร้องไห้เหมือนคนเสียสติ คนอื่นๆดูงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครเห็น
                     ผมตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนลืมว่าต้องทำอะไร จนตอนนี้วิญญาณดวงนั้นหายไปแล้ว หายเข้าไปในตัวของพี่บี ใช่ครับ พี่บีโดนสิงอีกแล้ว
                     ทันทีที่พี่บีโดนสงอีกครั้งพี่บีก็นิ่งเงียบไป ไม่มีท่าทีจะร้องไห้โวยวายอะไรอีก พี่บีค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหาพี่ทอป ซบลงตรงตักอยู่อย่างนั้นเงียบๆ ไม่ได้ส่งเสียงร้องหรือท่าทางน่ากลัวอะไร แต่พี่ทอปนั้นยังคงกลัวอย่างเห็นได้ชัด
                     ผมเดินไปหาพี่บีใกล้ๆ แตะมือลงบนตัวของพี่เขาซึ่งไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวผมเหมือนอย่างเธอคนเมื่อกี้ ผมพยายามแผ่เมตตาให้เธอเผื่อเธอจะมีแรงสื่อสารกับพวกเราบ้าง
‘คิดถึง...’ พี่บีพูดออกมาเบาๆ แต่กลับได้ผลเหลือเชื่อ เพราะน้ำตาของพี่ทอปไหลออกมาอบแก้มในทันที
‘พิม พิมใข่ไหม’ พี่ทอปหันไปเขย่าตัวพี่บีด้วยความตกใจ
                     ร่างนั้นไม่ได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า พี่ทอปเหมือนจะเป็นคนเดียวที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอคนนี้ ผมแทรกบทสนทนาขึ้นมาก่อน ‘ยังไงก็ถอยไปก่อนไหม แล้วจะช่วยคุยให้ สงสารร่างผู้หญิง’
‘ไม่!!!’ ร่างนั้นหันมาตลวาดอย่างเกรี้ยวกราดใส่ผม ไม่เหลือรอยยิ้มให้เห็นอีกแล้ว
                     เราทุกคนตกใจกันอีกครั้งละเริ่มงงว่าจะทำอย่างไร จนเราต้องคุยต่อรองกันอยู่พักใหญ่และแน่นอนว่ามีเพียงพี่ทอปที่เขายอมฟัง เขาจะยอมถอยออกไปแต่มีข้อแม้ว่า ‘พี่บีจะต้องสารภาพทุกอย่างด้วยตัวเอง’
                     ตอนนี้พี่บีกลับมาแล้ว พี่บีนั่งกินน้ำเพื่อบรรเทาความอ่อนล้าจากสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่มีวิญญาณของ เธอคนนั้น นั่งเฝ้าไม่ห่างตัว แต่คงมีเพียงผมและพี่บีเท่านั้นที่เห็น ร่างอันน่ากลัวนั้นจ้องพี่บีอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วพี่บีก็เริ่มเล่าเรื่องของเธอ
                     ก่อนที่พี่บีกับพี่ทอปนั้นจะรู้จักกัน พี่ทอปมีแฟนอยู่แล้ว พี่บีชอบพี่ทอปมาก ทั้งหน้าตาและนิสัย แต่พี่ทอปที่มีแฟนอยู่แล้วก็ไม่ได้สนใจเธอเลย จนเธอตัดสินใจพึ่ง ไสยศาสตร์ เธอไปทำเสน่ห์ให้ตัวเองจนพี่ทอปเริ่มหันมาสนใจ และเขาก็ได้พี่ทอปมาสมใจ แต่ฝ่ายแฟนเก่านั้นก็ไม่ได้ยอม ด้วยความเสียใจจนขาดสติ ทางนั้นก็เพิ่งไสยศาสตร์เช่นกัน ทำเสน่กลับให้ไปรักตน

ทั้งสองฝ่ายต่างทำเสน่ห์ใส่ฝฝ่ายชายอยู่คนเดียวจนสุขภาพของผู้ชาย แย่ลง ทางนั้นคงจะรู้ถึงผลกระทบอันนี้เป็นอย่างดี แต่กลับเป็นทางนี้เอง ที่ไม่สนใจถึงผลกระทบนั้นเลยละยังคงทำใส่พี่ทอปต่อมา จนเวลาผ่านไปเป็นปี ทางนั้นก็ขาดการติดต่อไป พี่บีก็หยุดที่จะใช้ข้าวของพวกนี้อีก
                      จนเรื่องล่าสุดที่มีสาวจากปาร์ตี้มาทำของใส่พี่ทอป พี่บีเกิดความไม่มั่นคงในใจจนสุดท้ายก็เลือกที่จะกลับไปใช้ วิธีเดิม เพื่อผูกมัดแฟนตัวเองเอาไว้ แต่ซ้ำร้ายที่มันไม่ใช่จังหวะของเธอ เธอสะเพร่าจนทำพลาดให้ของนั้นเข้าตัว จนเกิดเป็นเรื่องร้ายอย่างที่เห็น บวกกับ แฟนเก่า คนนี้ที่ตามมาคุ้มครองคนรักของเธอ
                      มาถึงตรงนี้ทุกอย่างก็เริ่มที่จะกระจ่างแล้วว่าทำไมมีเพียงแค่พี่บีเท่านั้นที่เห็นสภาพอันน่ากลัวของเธอ แต่พี่ทอปนั้นเห็นเป็นหญิงสาวสวย และรู้สึกผูกพัน
                      พี่ทอปร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง เช่นเดียวกับพี่บีที่กลัวว่าความสุขที่เคยมีมันจะจบลง แต่อย่างไรเสียก่อนที่เราจะหาทางออกต่อไปเราคงต้องทำอะไรสักอย่างกับ พิม เสียก่อน
                       พี่ทอปขอให้ผมสื่อสารกับวิญญาณดวงนั้น ซึ่งผมจะไม่พูดถึงในนี้นะครับ แต่สิ่งที่จะเล่าได้ก็คงมีเพียงแค่เรื่องราวของเธอ หลังจากเธอเสียคนรักไปเธอก็เสียใจจนคิดทำอะไรโง่ๆลงไป และด้วยผลกรรมที่เธอเข้าไปยุ่งกับไสยศาสตร์นั้นทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพอันน่ารังเกียจแบบนี้ และไม่สามารถไปสู่สุขคติได้ ได้แต่วนเวียนอยู่รอบๆชายหญิงสองคนนี้มาตลอด
                       วันนี้ทุกๆอย่างจบลงแต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆอย่าง พี่ทอปขอให้ผมไม่ส่งเธอไปไหน และแน่นอนว่าถึงต้องการก็ไม่สามารถส่งเธอไปไหนได้ ด้วยผลกรรมที่มัดเธอไว้ เธอจะยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวๆทั้งสองคน แต่อาจจะไม่สามารถปรากฏตัวให้ได้เห็นอีก ถ้าพี่บีไม่เข้าไปยุ่งกับสิ่งเลวร้ายนั้น และแน่นอนว่าวันนึง พี่บีก็อาจจะต้องทรมานเหมือนกับผู้หญิงคนนี้
                      หลังจากนั้นผมทราบว่าพี่ทอปไปบวชให้กับเธอทั้งสองคนอยู่พักใหญ่ๆก่อนจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทั้งสองคนไม่ได้เลิกกันเพราะเวลาท่อยู่ด้วยกันมาสิ่งๆดีที่มีก็ทำให้มันเกิดเป็น ความรัก ของจริงขึ้นมา แต่ก็คงต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อใจกันอีกสักพัก
.............................................................................................
ปล.ขอเตือนอีกครั้ง ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร การเข้าไปยุ่งกับ เรื่องพวกนี้ ไม่มีใครที่จบสวยหรอกนะครับ
ปล.2 ขอเตือนอีกครั้งอย่างชัดเจนว่า อย่าเข้าไปยุ่ง กับเรื่องพวกนี้เป็นอันขาด มันไม่คุ้มหรอกครับ ทั้งตอนนี้ และหลังจากนี้

ไม่มีความคิดเห็น