โรงเรียนเด็กอนุบาลเก่า
เมื่อครอบครัวหนึ่งกำลังตกอยู่ช่วงลำบากเป็นขาลงของชีวิต พวกเขาเหล่านั้นต้องเผชิญกับมรสุมชีวิต ต้องย้ายครอบครัวมาสู่บ้านแห่งหนึง ซึ่งพวกเขาได้พบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากกมายในช่วงที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ในบ้านแห่งนี้ ซึ่งพวกเขามารู้ภายหลังว่า บ้านที่เขาอยู่เคยเป็น โรงเรียนเด็กอนุบาลเก่ามาก่อนไปติดตามกันเลยครับว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงหลอนขนาดไหน
ขอเล่าย้อนไปเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 41 ผมอายุประมาณ 10 ขวบ ตอนนั้นครอบครัวของผมลำบากมากๆ เพราะเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ ธุรกิจของพ่อและแม่ก็ล้มละลาย จนพ่อแม่ได้พาผมและน้องสาวย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดเพราะต้องดิ้นรนหางานทำเพื่อเลี้ยงดูปากท้อง ช่วงที่ย้ายมาใหม่พ่อและ
แม่ได้กลับไปทำอาชีพเป็นตัวแทนขายประกัน เพราะก่อนหน้านั้นเคยเป็นตัวแทนขายประกันของอีกบริษัทหนึ่งมาก่อน หัวหน้าเก่าจึงเรียกตัวกลับ ให้ไปช่วยทีมงานใหม่ ตอนนั้นเงินติดตัวแทบจะไม่มีเลยครับ แต่ยังโชคดีที่หัวหน้าเก่าของพ่อและแม่ช่วยออกเงินค่าเช่าบ้านเช่ารถให้ใช้ในช่วงแรก เนื่องจากจะย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดโดยที่ไม่ค่อยมีเงิน พ่อและแม่จึงต้องไปหาบ้านเช่าที่ราคาถูกมากๆ จนไปเจอบ้านหลังหนึ่งติดประกาศไว้จึงขอเข้าไปดู ลักษณะเมื่อเดินเข้าประตูรั้วไป ด้านหน้าบ้านเป็นลานดินกว้างๆระยะจากรั้วถึงตัวบ้านน่าจะประมาณ 50 เมตรได้ ซึ่งถ้ามองจากถนนเข้าไป ตัวบ้านจะอยู่ต่ำมากๆ ลานดินกว้างๆจึงลาดเอียงลงไปจนถึงตัวบ้าน ตัวบ้านเป็นบ้านไม้ชั้นครึ่ง ด้านซ้ายมือเป็นโรงจอดรถถัดไปจะเป็นใต้ถุนโล่งๆ
ด้านขวาเป็นเฉลียงหน้าบ้านซึ่งกว้างพอสมควร เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านเข้าไป จะเจอกับห้องโถงกว้างๆ เพดานสูงจรดไปถึงด้านบน ประมาณเกือบ 6 เมตรได้ ห้องน้ำจะแบ่งเป็น 2 ห้อง อยู่ด้านขวามือ ห้องหนึ่งเป็นห้องอาบน้ำ ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นห้องส้วม เมื่อมองจากห้องโถงจะเห็นบันไดขึ้นด้านบน และมีทางเดินผ่ากลางห้องนอนทั้ง 2 ห้อง ห้องนอนใหญ่จะอยู่ฝั่งซ้าย (พวกเรา 4 คน นอนรวมกันในห้องนี้) ห้องนอนเล็กจะอยู่ฝั่งขวา (ห้องนี้เอาไว้เก็บของและเปลี่ยนเสื้อผ้า) เมื่อเดินผ่านทางเดินกลางบ้านเข้าไป จะเจอกับห้องครัวขนาดใหญ่มีประตูไม้เชื่อมกับส่วนระเบียงหลังบ้าน ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องเก็บของอีกห้องหนึ่งและมีประตูออกจากตัวบ้านได้
ส่วนบริเวณรอบๆบ้านทั้งสามด้านกว้างพอสมควร ด้านซ้ายจะติดกับบ้านหนึ่งหลัง ส่วนด้านขวาเป็นที่ดินเปล่าซึ่งมีหญ้าขึ้นรกร้าง ที่น่าแปลกคือรั้วสังกีสีด้านหลังบ้านสูงประมาณ 2 เมตร และมีประตูบานไม่เล็กไม่ใหญ่ 1 บาน สามารถเปิดแล้วเดินออกไปด้านหลังได้ ด้านหลังหากเดินออกไปจะเป็นป่าทึบ มีหญ้าขึ้นรก และมีต้นไม้ใหญ่แซมด้วยต้นมะพร้าวสูงๆ อยู่หลายต้น ชาวบ้านบอกว่าถัดจากบริเวณที่เป็นป่าออกไปจะเป็นแม่น้ำสายใหญ่ (แม่น้ำปิง) ในบริเวณหลังบ้านถ้าเป็นในช่วงกลางคืนจะมืดมาก เรื่องมันเกิดในวันแรกที่พวกเราเข้าไปอยู่ ในความเชื่อของพ่อและแม่ เมื่อเข้าไปอยู่ที่ใหม่ ก็จะมีการจุดธูปขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางขอให้อยู่แบบปลอดภัยไม่มีสิ่งใดรบกวน ในช่วงตอนกลางวันพวกเราทั้ง 4 คน ได้ช่วยกันจัดข้าวของในส่วนที่พอจะจัดได้ พอตกดึกพ่อเดินไปปิดประตูรั้วหน้าบ้านพร้อมกับเดินเข้าบ้านมาปิดประตูหน้าบ้าน ปิดไฟจนหมด เราทั้ง 4 คน นอนกางมุ้งอยู่ในห้องนอนใหญ่รวมกัน นอนไปได้ซักพักก็มีเสียง ‘กริ่ง’ ดังขึ้น 2 ครั้ง เหมือนมีคนกดเรียกอยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน พ่อเปิดไฟออกไปดู ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้านเลย จึงกลับมาเล่าให้ฟังและเข้านอนตามปกติ แต่ในใจของทุกคนรู้ว่ามันไม่ปกติแล้ว ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที เสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้ดังรัวๆ “กริ่ง กริ่ง กริ่งงง” พร้อมกับมีเสียงไฟช็อตภายในบ้าน ‘ แปล๊บ แปล๊บ ‘ ดังขึ้นหลายๆครั้ง จู่ๆหลอดไฟตรงทางเดินก็กระพริบ ติดๆดับๆ ขึ้นมาเอง ซึ่งก่อนหน้านั้นพ่อได้เดินไปปิดไฟทั่วบ้านแล้วก่อนที่จะเข้ามุ้งมานอน เสียงกริ่ง เสียงไฟฟ้าช็อต และอาการกระพริบของหลอดไฟ
ยังคงเป็นแบบนั้นอย่างต่อเนื่อง แม่ลุกไปเปิดไฟในห้องนอน เราทั้ง 4 คน ต่างมองหน้ากัน น้องสาวผมซึ่งจู่ๆ ก็ฟุบหน้าลงไปกับหมอนและมีท่าทางหวาดกลัว แม่อดทนกับอาการที่เป็นแบบนี้ไม่ไหว จึงตะโกนออกไปว่า “อย่ามาหลอกกันแบบนี้เลย อยากได้อะไรเดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำบุญไปให้” หลังจากนั้นเสียงกริ่ง เสียงไฟฟ้าช็อต ก็หายไป ไฟตรงทางเดินดับปกติ มีแต่เพียงไฟในห้องนอนที่แม่เปิดค้างไว้เท่านั้น พ่อและแม่ตัดสินใจที่จะเปิดไฟนอนในคืนแรก พอรุ่งเช้าของอีกวันขณะที่พวกเราก็ช่วยกันทำความสะอาดเหมือนเดิม ก็มีเพื่อนบ้านใกล้ๆ เข้ามาทักทายอยู่ตรงประตูรั้วบ้านและถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง แม่ก็เราให้เขาฟัง เขาบอกว่าเมื่อก่อนบ้านหลังนี้เคยเป็นโรงเรียนเด็กอนุบาลมาก่อนและก็ปิดตัวไปหลังจากนั้นก็มีคนทยอยมาเช่าอยู่เรื่อยๆแต่ก็ทนอยู่ได้ไม่นานก็ต้องจำใจย้ายออกไป เขาบอกว่าที่ดินผืนนี้แรงเพราะเป็นเหมือนทางผีผ่าน
เพราะตั้งแต่ประตูรั้วหน้าบ้านผ่านทะลุประตูเข้าบ้านและตรงทางเดินที่ผ่านระหว่างห้องนอนและประตูรั้วข้างหลังเชื่อมออกไปเป็นป่า บางครั้งมีคนเห็นเหมือนมีเปรตเดินอยู่ในป่าหลังบ้านในตอนกลางคืน ถ้าอยู่ได้ก็อยู่นะ แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ต้องรีบบอกเจ้าของบ้าน เขาจะได้คืนเงินมัดจำให้ แต่ด้วยการที่ครอบครัวเราไม่มีทางเลือกมากนัก ครอบครัวเราจึงต้องอยู่บ้านเช่าหลังนี้ไปก่อน ตลอดเวลาที่อยู่บ้านเช่าหลังนี้ครอบครัวของเราป่วยเข้าโรงพยาบาลทุกคน เริ่มจากพ่อ ตกรถข้อมือเกือบหัก ผมจู่ๆเป็นโรคลมชักโดยที่หมอเอ็กซเรย์สมองแล้วไม่พบสาเหตุ น้องป่วยจนต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาล แม่ถูกรถชน จนครอบครัวเราอยู่ได้ 1 ปี พ่อและแม่ตัดสินใจย้ายไปต่างจังหวัดใหม่อีกครั้ง เพื่อนบ้านก็ต่างมาถามว่า อยู่กันได้ยังไง ทั้งๆที่ ที่ดินผืนนี้แรงและผีดุมาก แม่ผมได้แต่บอกไปว่า แม่หมั่นสวดมนต์ ทำบุญตลอด เลยผ่านไปได้
หลังจากที่เราได้ย้ายออกจากบ้านเช่าหลังนั้น แม่ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นคืนแรกได้ ก็หันไปถามน้องว่า คืนนั้นเป็นอะไรรึเปล่า ถึงได้นอนเอาหน้าฟุบหมอนขนาดนั้น น้องเล่าว่าก็ตอนที่ไฟตรงทางเดินกระพริบๆอยู่นั้น น้องได้เห็นร่างผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว ใส่ชุดไทย มายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนแล้วจ้องมาทางครอบครัวเรา ตอนนั้นน้องกลัวมากจึงฟุบหน้าลงไปกับหมอนแล้วไม่อยากหันกลับไปดู จนกระทั่งแม่ตะโกนออกไป ทุกอย่างเลยกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
Post a Comment