ลุงสีผีนักเลง
เป็นเรื่องสุดสยองของคุณปาง เมื่อประมาณสิบก่อน เรื่องราวเกิดขึ้นที่จังหวัดมหาสารคาม ในสมัยที่นักเลงกำลังระบาด ทุกหมู่บ้านมักจะมีนักเลงประจำหมู่บ้าน ลุงสีนักเลงโตประจำหมู่บ้าน ซึ่งก็เป็นเพื่อนรักกันกับคุณพ่อของคุณปาง ชื่อลุงสี
ลุงสีเป็นคนที่นิสัยนักเลงมาก ถ้าคนต่างถิ่นมองหน้าเป็นต้องมีเรื่องกันตลอด ตีไปทั่ว ลุยเดี่ยวก็เคย ติดคุกติดตารางเป็นว่าเล่น
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ลุงสีตัดสินใจบวช แต่อยู่วัดได้ไม่นาน ก็ลงแดงเหล้า เผลอให้เด็กไปซื้อเหล้ามานั่งดื่มในกุฏิ พอเมาได้ที่แล้วก็ออกอาละวาด ชี้หน้าด่าพระไปทั่ว เลยโดนจับสึก
หลังจากลุงสีสึกออกมาได้เกือบๆสองปี อยู่ๆแกก็หายตัวไป ชาวบ้านไม่ได้สนใจกันมากนัก เพราะคิดว่าคงจะไปมีเรื่อง แล้วโดนตำรวจจับเหมือนเคย ช่วงเช้าของวันนึง มีสองตายายที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน มักจะออกไปตลาดกันแต่เช้าทุกวัน
ในระหว่างที่ขี่รถไปตลาด ซึ่งอยู่หน้าปากซอย ก่อนจะถึงตลาด ขวามือจะเป็นหนองน้ำเรียบไปกับถนน สองตายายมองไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใส่เสื้อ ก้มๆเงยๆอยู่ริมหนองน้ำ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
คุณตาก็พูดกับคุณยายว่า "ไอ่นี่มันมาขโมยปลาของคนอื่นหรือเปล่าวะ" คุณตาจึงจอดรถ ตะโกนเรียกไปทางคนที่อยู่ริมน้ำว่า "เฮ้ย ไอ้หนุ่ม เอ็งทำอะไรอ่ะ ไปขโมยปลาเค้าเหรอวะ"
คุณตายังไม่ทันจะก้าวลงจากรถ ผู้ชายคนนั้นก็ยืดตัวตรงแล้วหันตัวมาทางคุณตา ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นคือ ผู้ชายคนนั้นไม่มีหัว มีแค่หลอดลมที่โผล่พ้นช่วงลำคอออกมาเส้นหนึ่ง คุณตาตกใจกลัวสุดขีด ยืนขาตายสนิท มีอาการหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม
มาได้สติก็ตอนที่ได้ยินเสียงยายร้องโวยวายว่า "ผี ผีหลอก" คุณตารีบบิดคันเร่งจนมิด รถมอเตอร์ไซค์พุ่งทะยานออกไปข้างหน้า จนเกือบจะเสียหลักลงข้างทาง เมื่อไปถึงที่ตลาด สองตายายก็เล่าเรื่องที่พบเจอมาให้ชาวบ้านฟังจนทั่วตลาด แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครเชื่อสนิทใจนัก
วันต่อมา มีแม่ค้าเหมารถกระบะ เพื่อที่จะไปซื้อของที่ตลาดตอนเช้า ไปกันประมาณสี่ห้าคน ไปเห็นเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใส่เสื้อ นั่งกอดเข่าอยู่ริมหนองน้ำ ชาวบ้านที่สงสัยก็พูดว่า "ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นอะไร มานั่งตากหมอกอะไรแถวนี้ เสื้อก็ไม่ใส่ จอดรถถามมันหน่อยซิ"
พอรถวิ่งเข้าไปจอดข้างๆ ชาวบ้านก็ตะโกนถามออกไปว่า "หนุ่ม ไปนั่งอะไรตรงนั้น มันหนาว เสื้อก็ไม่ใส่ เดี๋ยวเอ็งก็ไม่สบายหรอก" ผู้ชายคนนั้นค่อยๆยืนขึ้นแล้วหันกลับมา ก็เห็นในลักษณะของคนไม่มีหัวอีกเหมือนเดิม
แต่ครั้งนี้มีชาวบ้านที่ตาไว สังเกตได้ว่า ผู้ชายคนนี้มีรอยสักที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ซึ่งสักคำว่าพ่อกับแม่ ชาวบ้านกลุ่มนี้ก็ได้เอาเรื่องที่เจอมา ไปเล่าให้คนอื่นๆในตลาดฟัง ชาวบ้านต่างคาดเดากันไปต่างๆนาๆ ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่
ช่วงดึกของวันเดียวกันนั้นเอง หลวงพี่ที่วัด ฝันว่ามีคนมาร้องไห้ที่หน้ากุฏิ จนสะดุ้งตื่น แต่เสียงร้องไห้ยังไม่หายไปไหน มันยังคงดังมาจากหน้ากุฏิ ท่านจึงเดินออกมาดู ปรากฏว่าเห็นผู้ชายไม่มีหัว นั่งคุเข่าพนมมือไหว้อยู่หน้ากุฏิ มีเสียงร้องไห้โหยหวนดังมาจากรอบๆทิศทาง
หลวงพี่มองดูด้วยความเวทนา แล้วพูดว่า "อืม จะหาให้" แล้วท่านก็หันหลังเดินเข้ากุฏิ รุ่งเช้าท่านก็ให้เด็กวัดไปบอกแม่ของลุงสี เพราะท่านคิดว่าคงจะเป็นโยมสีแน่นอน
เด็กวัดเล่าเรื่องที่หลวงพี่พบมาให้แม่ของลุงสีฟัง ยิ่งช่วงนั้นมีชาวบ้านพูดคุยเรื่องผีหัวขาดกันจนทั่วหมู่บ้าน แม่ของลุงสีจึงได้ไปถามเรื่องราวจากพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ว่าไปเจอผู้ชายหัวขาดตรงจุดไหน จากนั้นก็พากันลงไปงม แต่ไม่นานก็พบศพลุงสี ติดอยู่ในอวนหาปลา แต่ไม่พบส่วนของศีรษะ
จากการชันสูตร พบว่ามีรอยโดนมีดฟันที่ลำคอ แต่ไม่รู้ว่าศีรษะขาดตอนนั้นเลยหรือเปล่า หรือว่าจะขาดตอนที่ศพอยู่ในน้ำ เพราะอาจมีปลามาตอดกิน จนทำให้ส่วนศีรษะขาดลอยตามน้ำไปที่อื่น ทางคุณแม่ของลุงสีก็ได้เอาศพไปไว้ในวัด โดยการใส่ไว้ในโลงศพที่ก่อขึ้นมาจากปูน เป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อที่จะรอฌาปนกิจ
หลังจากนั้นประมาณสองวัน ชาวบ้านที่ขี่รถผ่านวัดในเวลากลางคืน จะได้ยินเสียงผู้ชายตะคอกว่า " ฆ่ากูเหรอ" ชาวบ้านคิดว่าขี้เมาที่ไหนมาร้องโวยวาย จึงหันกลับไปมองข้างหลัง
แม้ว่าถนนจะมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่จะได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งมาแต่ไกล "ตึกๆๆๆ" ถ้าลองมองฝ่าความมืดดูดีๆ จะเห็นเป็นผู้ชายหัวขาดไม่ใส่เสื้อ วิ่งอยู่ในความมืด ตามหลังรถใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนต้องบิดมอเตอร์ไซต์กันหัวตั้ง
ที่ร้ายไปกว่านั้น ชาวบ้านที่ออกไปส่องกบในทุ่งนาหลังวัดตอนกลางดึก จะได้ยินเสียงคนวิ่งลัดทุ่งนามาแต่ไกล เสียงน้ำกระฉอกดัง "ซูมๆๆๆ" พร้อมกับเสียงตะคอกว่า "ใช่มั้ยที่ฆ่ากู" พอฉายไฟไปทางต้นเสียง ปรากฏว่าเห็นผู้ชายไม่มีหัว วิ่งตรงดิ่งเข้ามาหา ยกมือทั้งสองข้างมาข้างหน้า เหมือนกับว่าจะวิ่งเข้ามาบีบคอให้ตาย
จนชาวบ้านทนไม่ไหว หลวงพี่และหมอธรรมจึงเอาศพของลุงสี ไปฝังไว้ในป่าช้าหมู่บ้านอื่น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นลุงสีอีกเลย แต่ถ้ามีชาวบ้านสัญจรผ่านถนนหน้าวัดในเวลากลางดึก มักจะได้ยินเสียงผู้ชายตะคอกมาทางด้านหลังว่า "ฆ่ากูเหรอ" พร้อมกับเสียงคล้ายๆคนกำลังวิ่งเข้ามาหา "ตึกๆๆๆ" แต่จะได้ยินเพียงแค่เสียงเท่านั้น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
Post a Comment