ประสบการณ์หลอนตุงแดง
พี่ใหญ่กับแฟนออกจากบ้านในช่วงเวลาโพ้เพ้ มุ่งหน้าสู้จังหวัดเชียงใหม่ ในระหว่างอำเภอห้างฉัตร ถึงอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน สองข้างทางจะมีแต่ป่าและเขา ยาวสุดลูกหูลูกตา
ถ้าผ่านถนนเส้นนี้ในตอนกลางวัน จะเป็นถนนเส้นที่สวยงามมาก แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืน จะเป็นคนละเรื่องกันเลย ทั้งมืดและเปลี่ยว ดูน่ากลัวและวังเวงพอสมควร
พี่ใหญ่ขับรถไปตามถนนมืดๆ ที่ถูกต้นไม้ใหญ่ขนาบไปทั้งสองข้างทาง จนใกล้จะเข้าเขตอำเภอแม่ทา ตาของพี่ใหญ่เหมือนจะเห็นเข้ากับอะไรบางอย่าง สีแดงๆ อยู่ข้างถนนฝั่งขวามือ
พอขับรถเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดสีแดง ยืนอยู่ในความมืด ใต้ต้นประดู่ยักษ์ ลักษณะเหมือนกำลังยืนรอรถ ที่น่าแปลกก็คือ บริเวณนั้นไม่มีป้ายรอรถอะไรอยู่เลย เป็นแค่เนินเขาเตี้ยๆกลางป่าทึบ มันไม่ใช่ที่ที่สมควรจะมายืนรอรถ
แต่พี่ใหญ่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ หรือผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว จึงขับรถต่อไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ แวะกินแวะเที่ยวจนดึก ถึงได้ไปส่งแฟนทำธุระ แล้วพี่ใหญ่ก็ขอตัวกลับ
เวลาประมาณห้าทุ่มกว่าๆ พี่ใหญ่ขับรถออกจากเชียงใหม่ มาถึงลำพูน จนเข้ามาถึงถนนช่วงที่เห็นผู้หญิงใส่ชุดแดงยืนอยู่ พี่ใหญ่ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะยังเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับตัวไปไหนแม้แต่นิดเดียว
ลักษณะยืนก้มหน้านิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนตัว พี่ใหญ่เห็นแบบนั้นก็ค่อยๆชลอรถเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พอแสงไฟหน้ารถสาดเข้าไปโดนตัวของผู้หญิงคนนั้นจังๆ ภาพที่เห็นทำให้พี่ใหญ่ตกใจ รีบหักหัวรถกลับเข้าเลนทันที
เพราะเสื้อสีแดงที่ผู้หญิงคนนั้นสวมอยู่ ถ้าดูดีๆแล้วมันคือตุงแดงผืนใหญ่ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นเอาตุงแดงมาพันตัวไว้ ใช้ห่มเหมือนเป็นเสื้อผ้า และในจังหวะที่พี่ใหญ่หักรถออกมา เพื่อที่จะกลับเข้าเลน อยู่ๆผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งเข้ามากระโจนใส่หน้ารถทันที
จนรถพุ่งชนร่างเข้าอย่างจัง เสียงดัง "ตุ๊บ!!" พี่ใหญ่สะดุ้งจนตาสว่าง รีบจอดรถแล้ววิ่งลงไปดู ใจเต้นรัวเหมือนกลอง คิดว่าตายห่าแน่ ถ้าเกิดชนคนตายมาจริงๆ แต่เมื่อพี่ใหญ่ลงมาดูแถวหน้ารถ กลับไม่เห็นร่างของใครเลยสักคน ลองก้มลงดูที่ใต้รถก็ไม่พบอะไร
ไม่มีแม้แต่รอยบุบของกระจังหน้ารถ พี่ใหญ่หันไปมองรอบๆตัว ซึ่งก็มีแต่ต้นไม้ใหญ่ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิต มีเพียงแค่เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มอยู่กลางป่าทึบ
ในใจคิดทบทวนถึงสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ถ้างั้นแล้ว เมื่อกี้รถไปชนเข้ากับอะไร อยู่ๆพี่ใหญ่ก็รู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ ขนลุกตั้งไปทั้งตัว รีบเดินกลับเข้ารถ แล้วเหยียบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะรู้สึกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยกับตัวเองแล้ว
ในระหว่างที่พี่ใหญ่กำลังขับรถอยู่ จมูกรับรู้ได้ถึงกลิ่นเหม็นของอะไรสักอย่าง ลักษณะเหมือนกลิ่นของซากหนูตาย ที่สำคัญคือกลิ่นมันไม่ได้โชยเข้ามาในรถ แต่เหมือนกับว่าเจ้าของกลิ่นมันอยู่ภายในรถ กลิ่นมันตลบอบอวลเหมือนกับเอาซากหนูเน่าเข้ามาไว้ในรถ
พี่ใหญ่คิดอยู่ในใจว่า มันจะเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า แต่กลิ่นมันรุนแรงเกินที่จะทนไหว จนต้องลดกระจกลง เพื่อระบายกลิ่นในรถ ระหว่างนั้นก็พยายามเร่งความเร็วรถขึ้น เพื่อจะได้ถึงบ้านเร็วๆ และคอยมองกระจกส่องหลัง เพื่อมองหาเพื่อนร่วมทาง จะได้รู้สึกอุ่นใจขึ้นบาง
แต่พี่ใหญ่เพิ่งมาสังเกตได้ว่า ตั้งแต่ที่ขับรถเข้ามาในเขตป่า ยังไม่เห็นผู้ร่วมทางคนอื่นๆเลยแม้แต่คันเดียว เป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก ซึ่งมันควรจะมีรถบรรทุกซักคันสองคัน วิ่งสวนทางมาบ้าง แต่นี่มันเหมือนกับว่ากำลังขับรถอยู่ในป่าใหญ่คนเดียวโดดๆ
และทั้งๆที่เปิดกระจกรถไว้นานพอสมควร แต่กลิ่นเหม็นเน่ามันกลับรุงแรงขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร พี่ใหญ่พยายามเหยียบคันเร่ง เพื่อที่จะได้ออกพ้นป่าแห่งนี้ไวๆ
จังหวะที่พี่ใหญ่เอามือไปจับคันเกียร์ ปรากฏว่าไปกุมโดนมือของใครสักคน ลักษณะอุ่นๆผอมๆ พี่ใหญ่ใจหายวาบ ความกลัววิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย รู้สึกหูอื้อตัวชา เหมือนคนจะเป็นลม มือนั้นค่อยๆขยับตอบ เหมือนต้องการให้พี่ใหญ่รู้ว่ากำลังจับมือเค้าอยู่
พี่ใหญ่สะดุ้งสุดตัว รีบชักมือกลับทันที และเพราะความตกใจ ทำให้รถเสียหลักเล็กน้อย พี่ใหญ่จึงค่อยๆประคองรถไปจอดที่ข้างทาง แล้วรีบเปิดไฟในรถ เพื่อให้มันสว่างไว้ก่อน มองสำรวจภายในรถอยู่นาน แต่ก็ไม่พบอะไรที่มันผิดปกติ
ในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่า นี่มันไม่ได้เป็นการคิดไปเองแน่นอน เพราะยังจำความรู้สึกที่สัมผัสโดนมือของใครสักคนได้แม่น พี่ใหญ่คิดได้แค่ว่า ในรถไม่มีพระเลยสักองค์ แล้วตอนนี้กำลังอยู่กลางป่า ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรีบขับรถออกไปให้พ้นเขตป่าก่อน
พี่ใหญ่พยายามรวบรวมสติ ขับรถไปบนถนนมืดๆ กลางป่าใหญ่ และคอยมองกระจกส่องหลังเป็นระยะๆ เพื่อหาเพื่อนร่วมทางสักคน จะเป็นใครก็ได้ แต่ในจังหวะที่กำลังมองกระจกส่องหลัง พี่ใหญ่เห็นเข้ากับผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง นั่งอยู่เบาะหลัง ฝั่งคนขับ
เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่เอาตุงแดงมาพันตัวไว้ มีกรวยใบตองเล็กๆ ที่มีดอกเข็มอยู่ข้างใน ทัดไว้ที่หูข้างหนึ่ง นั่งก้มหน้านิ่ง โยนตัวเล็กน้อย ตามการกระเทือนของรถ พี่ใหญ่รู้สึกบิดมวนที่ท้องน้อย จนอยากจะอาเจียน น้ำลายไหลยืดอาบลงบนหน้าอก
ตอนนั้นพี่ใหญ่ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ขับรถไปตามถนนเรื่อยๆ เหมือนคนสติหลุดออกไปจากร่างยังไงยังงั้น แต่ในขณะนั้นเอง พี่ใหญ่มีความรู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่นั่งอยู่บนเบาะหลังกำลังลุกขึ้น เพราะมีเสียงเหมือนเบาะหนังกำลังหดตัวกลับเข้าสภาพเดิมดัง "อึดๆๆๆ" แล้วมาแอบอยู่หลังเบาะคนขับ
เพราะพี่ใหญ่รู้สึกเหมือนมีนิ้วมือมาสะกิดโดนที่ไหล่เบาๆ ซึ่งพี่ใหญ่รู้สึกได้เลย ว่ามีอะไรสักอย่างเกาะอยู่ที่ด้านหลังเบาะ ลักษณะเหมือนคนเอามือทั้งสองข้างจับเบาะ จนเกิดเสียงดัง "กึดๆๆ" แล้วเอาหน้าแนบติดไว้ที่ด้านหลังของเบาะคนขับ ได้ยินแม้กระทั้งเสียงหายใจเข้าออกเบาๆ กลิ่นเหม็นเน่ายังคงโชยเข้าจมูกอย่างไม่ขาดสาย
พี่ใหญ่รู้สึกขนลุกหูอื้อ จนได้ยินแต่เสียงวิ้งๆอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะนั้นเอง กลับมีเสียงของผู้หญิง พูดแทรกเข้ามาว่า "เห็นกูเหรอ" พี่ใหญ่ช็อคจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ประคองรถไปเรื่อยๆ
แต่นับว่ายังโชคดี ที่พอขับพ้นโค้งข้างหน้ามา ก็เห็นเข้ากับศาลเจ้าพ่อขุนตาล ซึ่งเป็นศาลที่ใหญ่พอสมควร พี่ใหญ่รู้สึกใจชึ้นขึ้นมาเป็นกอง รีบขับรถเสียบเข้าข้างทาง เปิดประตูรถวิ่งข้ามถนนลงไปก้มกราบทันที
แค่ไม่ถึงนาที พี่ใหญ่ได้ยินเสียงรถบรรทุกคันใหญ่ ขับผ่านถนนที่มืดทึบ และมีรถคันอื่นๆ ขับสวนทางมาอีกประมาณสองถึงสามคัน และไม่ถึงห้านาทีต่อมา มีรถเก๋งคันหนึ่ง ขับเข้ามาจอดใกล้ๆรถของพี่ใหญ่
พี่ใหญ่จึงเดินข้ามถนนกลับไปที่รถ ผู้ร่วมทางคนนั้นก็ถามกับพี่ใหญ่ว่า เป็นอะไรหรือเปล่า แต่พี่ใหญ่ก็บอกแค่ขอบคุณ แล้วขับรถไปนอนที่บ้านของเพื่อน เพราะไม่กล้ากลับเข้าบ้าน
ตอนเช้า พี่ใหญ่เข้ามาสำรวจในรถ ปรากฏว่าเจอเข้ากับดอกเข็มเล็กๆ ตกอยู่บนเบาะหลัง พี่ใหญ่ขับรถเข้าวัดทันที โดยขอให้เพื่อนตามไปส่งที่วัดด้วย
หลังจากนั้น พี่ใหญ่ลองไปถามตำรวจทางหลวง ว่าที่แถวๆนั้นเคยเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหรือเปล่า ตำรวจตอบกลับมาว่า "น้อง มันไม่ได้มีแค่นี้ ถนนเส้นนี้มันมีอุบัตติเหตุอยู่ตลอด วันดีคืนดี ก็มีคนหัวขาด ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปก็มี เงาดำๆวิ่งตามหลังรถก็มีคนเจออยู่บ่อยๆ เรื่องที่น้องเจอ มันเป็นเรื่องปกติ" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
Post a Comment