โดนดีจนย้ายหนี
เรื่องรราวสยองเกิดขึ้น เมื่อตอนที่คุณโมทเพิ่งจะอายุได้ประมาณหกเดือน เมื่อสามสิบปีที่แล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่จังหวัดอุบลราชธานี คุณพ่อเป็นคนจังหวัดนครพนม แต่คุณแม่เป็นคนอุบลราชธานี
ปกติแล้วคุณพ่อคุณแม่จะอาศัยอยู่กับทางบ้านคุณแม่ พอมีลูกด้วยกัน ทางบ้านก็ให้แยกกันอยู่ ครั้นจะไปอยู่กับทางบ้านของพ่อก็ไม่ได้ เพราะทางนั้นก็มีญาติพี่น้องเยอะเช่นกัน คุณตาก็เลยบอกให้ไปอยู่ที่นา
ซึ่งห่างจากหมู่บ้านไม่ไกล จะมีเถียงนาโล่งๆ ที่พอจะสร้างที่พักได้ คุณพ่อกับคุณตาช่วยกันสร้างกระท่อมเล็กๆขึ้นมาหลังหนึ่ง เสร็จแล้วก็พาคุณแม่กับคุณโมท ที่ตอนนั้นยังอายุได้ไม่ถึงปีเข้าไปอยู่
คุณพ่อซึ่งเป็นคนต่างถิ่น ไม่รู้จักกับใครเลย แต่มีผู้ชายอยู่หนึ่งคน รู้จักกันตอนที่กำลังทำบ้าน เป็นเขยต่างถิ่นเหมือนกัน จึงสนิทกันได้เร็ว คุณพ่อชื่อว่าพล ส่วนผู้ชายที่เป็นเขยบ้านอื่นก็ชื่อว่าพลเหมือนกัน
เป็นคนร่างใหญ่ ใหญ่กว่าคุณพ่อมาก ไม่ค่อยชอบสวมใส่เสื้อ เนื้อตัวจะเหม็นสาบ เพราะไม่ค่อยอาบน้ำ เป็นคนชอบลุยๆ ตกเย็นมักจะชอบมานั่งดื่มกับคุณพ่อ ตอนกลางคืนจะชอบชวนออกไปหาจับกบ
ทางบ้านของคุณพลก็มีลูกอ่อนเหมือนกัน แต่ตกเย็น ภรรยาจะเอาลูกเข้าไปนอนในหมู่บ้าน ส่วนคุณพลจะนอนที่บ้านนาคนเดียว เถียงนาของคุณพลจะอยู่ห่างจากของคุณพ่อประมาณสามร้อยกว่าเมตร
ช่วงเย็นของวันนึง คุณพ่อนั่งตกปลาอยู่ในบ่อข้างๆเถียงนา เหลือบมองไปเห็นคุณพลยืนมองอยู่บนคันนา ลักษณะยืนมองมานิ่งๆ คุณพ่อก็เลยตะโกนถามออกไปว่า "ทำอะไร" คุณพลไม่ได้ตอบอะไร แต่กวักมือเรียกให้เข้าไปหา แล้วเดินเข้าไปในเถียงนาของตัวเอง
เถียงนาของคุณพลจะดูทึบๆ เพราะปลูกต้นไม้ไว้ลอมรอบ จนมันแผ่กิ่งก้านดูรกครึ้มไปทั่วบริเวณ คุณพ่อเดินตรงเข้าไป คิดว่าคุณพลน่าจะให้ไปช่วยผ่าฟืนเหมือนทุกครั้ง
เมื่อคุณพ่อเดินเข้าไปถึง สิ่งแรกที่เห็นคือ ภรรยาของคุณพลนอนคว่ำหน้าอยู่ใกล้ๆตัวบ้าน มีเลือดนองอยู่บนพื้นตรงบริเวณศีรษะ คุณพ่อรีบวิ่งเข้าไปจับร่างพลิกขึ้นมา เห็นว่าศีรษะมีรอยเหมือนโดนทุบด้วยของแข็ง
คุณพ่อตกใจ รีบเขย่าตัวให้ได้สติ แต่ก็เหมือนจะได้ผล ภรรยาของคุณพลลืมตาขึ้นมามอง จากสีหน้าสะลึมสะลือกลายเป็นสีหน้าตกใจ ร้องบอกคุณพ่อว่า "ช่วยผัวชั้นด้วยๆ" คุณพ่อรีบถามว่า "มันอยู่ไหน" ภรรยาของคุณพลชี้มือไปที่คอกวัว ที่อยู่เลยหลังบ้านไปไม่ไกล
คุณพ่อรีบวิ่งตรงไปที่คอกวัว ระยะห่างประมาณสิบก้าว เห็นเท้าคนโผล่ออกมาจากคอกวัว ทำให้คุณพ่อเริ่มใจไม่ดี รีบเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเท่าตัว ปรากฏว่าเห็นแค่ส่วนเท้าโผล่ออกมา ส่วนช่วงลำตัวและศีรษะถูกขี้วัวทับถมอยู่
หลังจากตำรวจเข้ามาถึง สภาพศพถูกจอบสับที่ศีรษะและลำตัวหลายแผล ผู้เป็นภรรยาเล่าว่า ตนเองกำลังทำกับข้าวอยู่บนบ้าน สักพักก็ได้ยินเสียงสามีร้องเสียงดังลั่น จึงรีบวิ่งออกมาดู
ปรากฏว่าเห็นสามีนอนคว่ำหน้าอยู่ ด้านข้างมีผู้ชายร่างเล็กๆผอมๆ ยืนถือจอบเตรียมจะฟาดซ้ำลงไปอีกครั้ง ตนจึงรีบวิ่งเข้าไปห้าม จนโดนผู้ชายคนนั้นเอาจอบตีเข้าที่ศีรษะจนสลบไป
จากการสืบสวนได้ความว่า ผู้ที่ลงมือฆ่า เป็นคนบ้าในหมู่บ้าน ลงมือทำเพราะความกลัว สาเหตุมาจากที่ชาวบ้านมักจะชอบพูดหยอกอยู่บ่อยๆว่า "เดี๋ยวจะเรียกไอ่พลมาจัดการนะ , เดี๋ยวจะให้มันมาฆ่านะ"
เพราะคุณพลเป็นคนร่างใหญ่กำยำที่สุดในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงใช้ชื่อคุณพลมาหยอก ในเวลาที่คนบ้าเดินเข้าไปหา เพื่อให้เกิดความกลัว จะได้เดินหนีไปที่อื่น ตอนนั้นมันประจวบเหมาะพอดี ที่คนบ้าเดินมาเห็นคุณพลกำลังนั่งหันหลังให้ จึงลงมือทันที
ศพของคุณพลถูกตั้งสวดที่เถียงนาหนึ่งคืน เพราะในหมู่บ้านไม่มีวัด และชาวบ้านไม่ให้นำศพตายโหงเข้าหมู่บ้าน คุณพ่อไปอยู่ช่วยงานศพทั้งวัน กลับมาถึงบ้านประมาณสองทุ่ม เตรียมตัวจะออกไปจับกบเหมือนเช่นทุกวัน แต่ในใจก็นึกหวั่นๆ กลัวว่าเพื่อนสนิทจะมาช่วยจับกบเหมือนคืนก่อนๆ แต่ก็ต้องทำ เพราะไม่มีเงินไปซื้อกับข้าวมาให้ครอบครัว
คุณพ่อคาดไฟฉายไว้ที่หน้าผาก เดินเลาะไปตามคันนา คอยสอดส่องหากบที่มักจะชอบแอบอยู่ตามซอกใต้โพงหญ้า จนเดินไปถึงปลายทุ่งนาแถวๆตีนเขา จมูกกลับได้กลิ่นที่คุ้ยเคยเหมือนทุกๆคืน
นั่นก็คือกลิ่นเหม็นสาบ ที่มักจะออกมาจากตัวของคุณพล คุณพ่อรู้สึกขนลุกตั้ง ในใจคิดว่าจะใช่มันจริงๆหรือเปล่า หรืออุปทานไปเอง แม้ว่าจะรู้สึกกลัวมาก แต่ก็กลัวลูกเมียไม่มีอะไรกินมากกว่า
พยายามข่มความกลัว ส่องไฟหากบอยู่ในทุ่มนามืดๆคนเดียว สักพัก คุณพ่อได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าคนเดินอยู่ข้างหลัง "สวบ..สวบ..สวบ" พร้อมๆกับกลิ่นสาบที่รุนแรงยิ่งขึ้น
คุณพ่อรีบหันควับไปดูทันที ถึงแม้ว่าจะเป็นคืนเดือนมืด แต่มันก็ยังพอมีแสงจันทร์ส่องลงมาบางๆ ปรากฏว่าเห็นลุงพลยืนนิ่งอยู่ในความมืด ไม่ใส่เสื้อ สะพายข้องจับกบ ในมือถือฉมวก เตรียมพร้อมจะช่วยจับกบเต็มที่ ห่างจากคุณพ่อประมาณสิบเมตร
ถึงแม้ว่าจะข่มความกลัวเอาไว้ได้มากแค่ไหน แต่ภาพที่เห็นทำให้คุณพ่อตกใจสุดขีด รู้สึกได้เลยว่าผมบนหัวมันกำลังชี้ตั้งขึ้น คุณพ่อรีบกระโดดลงไปในทุ่งนา วิ่งฝ่าต้นข้าวที่ยืนลำต้นสูงเท่าหัว ตรงดิ่งไปทางบ้านของตนเอง
ในจังหวะนั้น หูได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งตามหลังมาติดๆ "สวบๆๆๆ" คุณพ่อรีบหันกลับไปมองด้วยความตื่นตระหนก ภาพที่เห็นทำให้คุณพ่อแทบสติแตก ร่างกำยำดำทมึนวิ่งฝ่าดงข้าวตามหลังคุณพ่อมาติดๆ จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นสาบที่เหม็นชวนให้ฉุนจมูก
คุณพ่อร้องโวยวายลั่นทุ่งนา วิ่งสะเปะสะปะจนเกือบจะสะดุดคันนาล้มหน้าทิ่ม โยนของทุกอย่างบนตัวทิ้ง จนมาถึงเถียงนาที่บ้าน จังหวะนั้นเอง คุณพ่อรู้สึกเย็นวูบขึ้นที่สันหลัง เหมือนมีอะไรสักอย่าง เปียกๆเย็นๆ สัมผัสโดนที่ท้ายทอย
คุณพ่อไม่กล้าหันกลับไปมอง กลัวว่าจะเจอภาพที่มันรับไม่ได้ยิ่งกว่านี้ รีบกระโดดขึ้นบ้าน วิ่งเข้าไปนอนตัวสั่นอยู่ในมุ้ง คุณแม่ก็นอนกอดลูกอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่ได้ถามอะไร เพราะเหมือนว่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าคุณพ่อไปเจอเข้ากับอะไรมา
เช้าวันต่อมา ได้มีการย้ายศพไปที่ป้าช้า คุณพ่อได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ชาวบ้านฟัง แต่กลับไม่มีใครเชื่อเลยสักคน ก่อนจะฝังศพ ได้มีการเปิดโลง เอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ แต่ทุกคนก็ต้องตกตะลึง เพราะเท้าของศพเต็มไปด้วยดินโคลน เหมือนกับว่าศพลงไปเดินลุยโคลนมายังไงยังงั้น
ปกติคุณพ่อจะนั่งดื่มเหล้าอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้านทุกเย็น แต่วันนี้คุณพ่อไม่กล้านั่งอยู่คนเดียว ขึ้นไปนอนกับคุณแม่ตั้งแต่หัวค่ำ จนเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณพ่อได้ยินเสียงใครสักคน มายืนเรียกอยู่ที่หน้าเถียงนา "ไอ่พล...ไอ่พลโว้ย...ไปยังอะ"
คุณพ่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจกลัว ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง นอนตัวสั่นเหมือนคนจับไข้ พยายามข่มตาหลับให้ได้ แต่เสียงที่ได้ยินมันทำให้คุณพ่อหลอนจนตาค้าง เสียงเรียกมันอยู่แถวๆหน้าเถียงนา แต่บางครั้งเสียงมันก็มาอยู่ที่หน้าบ้าน สลับกันไปมา
คุณพ่อเริ่มทนไม่ไหว คว้าขวดเหล้าข้างตัวขึ้นมายกดื่ม เพื่อให้เหล้าเป็นตัวช่วยกล่อมให้หลับ เป็นแบบนี้อยู่สองคืน พอวันที่สาม คุณแม่บอกกับคุณพ่อว่าทนไม่ไหวแล้ว อยากจะขอเอาลูกเข้าไปนอนในหมู่บ้าน
ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะกลัวมาก แต่ก็จำเป็นต้องให้ไป เพราะลูกยังเล็กอยู่ ส่วนคุณพ่อจะต้องนอนเฝ้าที่เถียงนา ถ้าไม่เช่นนั้น พวกเป็ดไก่วัวที่เลี้ยงไว้คงไม่เหลือ ช่วงเย็นของวันนั้น หลังจากที่คุณพ่อทานข้าวเสร็จ ก็รีบยกเหล้าขึ้นกระดกทันที จนพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า คุณพ่อหิ้วขวดเหล้าขึ้นไปบนบ้าน จุดตะเกียงนั่งดื่มเหล้าต่อ ให้มันเมาหลับให้ได้
คุณพ่อมารู้สึกตัวตื่นประมาณหกโมงเช้า เพราะแสงแดดมันเริ่มแยงตา หัวหมุนติ้วเพราะพิษของสุราที่ดื่มเข้าไปเยอะจัด คุณพ่อมองไปรอบๆตัว ก็ต้องรู้สึกตาสว่างขึ้นมาทันที เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว พบว่าตอนนี้ตัวเองนอนอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน ข้างตัวมีขวดเหล้าอยู่หนึ่งขวด พร้อมแก้วเหล้าสองใบ คุณพ่อนั่งช็อคอยู่สักพักใหญ่ๆ สติถึงจะกลับมาเหมือนเดิม
คืนต่อมาคุณพ่อตัดสินใจไม่ดื่มเหล้า ทานข้าวเสร็จก็รีบขึ้นบ้านนอนทันที เปิดวิทยุกล่อมให้มันง่วง จนเวลาย่างเข้าช่วงดึกก็ปิดวิทยุนอน จังหวะที่กำลังเคลิ้มๆ หูได้ยินเสียงคนเดินมาตั้งแต่ไกล "แกร่บ..แกร่บ..แกร่บ" มาหยุดอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน
สักพักใหญ่ๆต่อมา ได้ยินเสียง "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด" เป็นเสียงที่คุณพ่อคุ้นหูมาก เพราะเสียงนี้จะได้ยินเฉพาะตอนที่นั่งเปลญวนใต้ถุนบ้าน คุณพ่อจึงตะโกนออกไปด้วยเสียงสั่นๆว่า "เฮ้ย ตายไปแล้วก็อยู่ใครอยู่มันสิวะ ข้ากลัวนะโว้ย"
สักพักเสียงเปลก็เงียบลง ทำให้คุณพ่อรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก แต่ก็ต้องสะดุ้งจนตัวโก่ง เพราะได้ยินเสียงเรียกชื่ออยู่ใต้ถุนบ้าน "ไปมั้ย..ไอ่พล" คุณพ่อรีบคว้าขวดเหล้าข้างตัวขึ้นมากระดกทันที คิดว่าถ้าพรุ่งนี้มันยังมาอีก จะขอไปตายเอาดาบหน้าที่กรุงเทพดีกว่า
ช่วงเย็นของวันต่อมา หลังทานข้าวเสร็จ คุณพ่อรีบขึ้นไปนอนบนบ้านเหมือนเดิม พระอาทิตย์พึ่งจะลับขอบฟ้าได้ไม่นาน เสียงเดินของใครคนหนึ่ง ดังขึ้นตั้งแต่ที่หน้าเถียงนา จนมาถึงที่ใต้ถุนบ้าน
แล้วนั่งลงที่เปลญวนเหมือนเดิม "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด" วันนี้คุณพ่อคิดว่าเป็นไงเป็นกัน ส่องลงไปดูใต้ถุนบ้าน ผ่านซี่ไม้กระดาน ปรากฏว่าเห็นลุงพล นอนหนุนมือตัวเองอยู่บนเปล แล้วจ้องขึ้นมามองคุณพ่อผ่านทางซี่ไม้กระดาน ตัวดำคล้ำกว่าปกติมาก เหมือนคนที่กรําแดดอยู่ทุกๆวัน หรือคล้ายๆกับผิวหนังที่ใกล้จะเน่าเต็มที ได้กลิ่นสาบรุนแรงลอยผ่านซี่ไม้กระดานขึ้นมา จนคุณพ่อต้องผงะลุกขึ้น แล้วกระโดดเข้าที่นอน
หูได้ยินเสียงของลุงพลตะโกนขึ้นมาว่า "ไอ้พล ข้าตายแล้ว เอ็งรังเกียจข้าเหรอ" พร้อมกับเสียงไกวเปลดัง "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด" คุณพ่อเอาแต่นอนตัวสั่น พนมมือไหว้สวดมนต์อยู่ใต้ผ้าห่ม จนเสียงค่อยๆเงียบหายไป
สักพักใหญ่ๆ คุณพ่ออยากรู้ว่าคุณพลไปหรือยัง ก็เลยไปส่องดูที่เดิม ปรากฏว่าเห็นใบหน้าของลุงพล แนบติดกับพื้นไม้กระดานฝั่งใต้ถุนบ้าน ลูกกะตาสีขาวขุ่นๆ จ้องมองขึ้นมาหาคุณพ่อ เหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้
คุณพ่อมารู้สึกตัวอีกทีประมาณสองโมงเช้า เพราะคุณแม่เข้ามาปลุก คุณพ่อมีอาการไข้ขึ้น จึงได้ให้คุณตาเอารถมารับเข้าหมู่บ้าน รักษาตัวอยู่ประมาณสองวัน จนอาการเริ่มดีขึ้น คุณพ่อกับคุณแม่เก็บเสื้อผ้าหนีเข้ากรุงเทพทันที และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
Post a Comment