เกือบไม่รอด


     ผมเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ กลางคืนผมก็จะเล่นดนตรีหารายได้พิเศษด้วย ตัวผมเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะเคยเจอกับตัวเองบ้างหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี จนมีเหตุการณ์หนึ่งในคืนฤดูร้อน ที่ทำให้ผมเถียงไม่ออกเลยจริงๆ ครับ

     คืนนั้นเป็นคืนที่ผมไปเล่นดนตรีตามปกติ พอเสร็จงานก็จะขี่มอเตอร์ไซค์กลับหอ แต่คืนนั้นผมมีนัดดื่มต่อกับเพื่อนที่หอใหม่ของมัน เวลาตอนนั้นประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ ผมจัดแจงเก็บข้าวของจากที่ร้านเสร็จ ก็โทรถามทางเพื่อนแล้วขี่รถไป ระหว่างทางจะต้องผ่านเขตหน้าวัดซึ่งเป็นป่ารก ระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตรได้ แล้วเวลานั้นคือทั้งมืด และเปลี่ยวมาก ไม่มีรถวิ่งเลย เสาไฟข้างทางสักต้นก็ไม่มี ต้องอาศัยแค่ไฟจากหน้ารถมองทางเท่านั้น

    พอขี่มาถึงตรงหน้าวัด จู่ๆ ก็มีลมที่เย็นเหมือนออกมาจากตู้แช่แข็งพัดมาปะทะผม ผมตกใจขนลุกวาบจนเกือบคุมรถไม่อยู่ ตอนนั้นคิดว่า ต่อให้เป็นเขตป่า ลมก็ไม่น่าจะเย็นได้ขนาดนี้ แล้วนี่ฤดูร้อนนะ.. แล้วเสียงลมที่พัดเข้ามาในหูมันจะดัง ‘ฟิ๊วววว~’ ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจหรอก แต่ว่าเสียงลมที่ได้ยินตอนนั้นที่เข้ามาในหูผม มันดังราวกับมีเสียงคนหลายๆ คนหวีดร้องดัง ‘วู้ๆๆ’ ผสมกับเสียงคนตะโกนเป็นภาษาอะไรสักอย่างพร้อมกันหลายๆ คน..

     ผมเริ่มกลัว แต่ในใจก็คิดว่า อาจเพราะผมมาทางนี้ครั้งแรก บวกกับบรรยากาศ ก็เลยกลัวและหลอนไปเองมากกว่า ผมควบคุมสติไม่ให้ตัวเองขี่เร็วมากนัก เพราะทางค่อนข้างมืด และมีโค้งเยอะ ผมปลุกใจตัวเองให้หายกลัวด้วยการตะโกนออกไปว่า ‘พวกมึงจะเป็นเหี้ยอะไรกันนักหนา!’

    แต่ดูเหมือนว่า การตัดสินใจตะโกนออกไปนั้น กลับทำให้ผมกลัวยิ่งขึ้น กลัวจนมือสั่น กลัวแบบไม่มีเหตุผล แล้วเสียงพวกนั้นก็ยิ่งดังมากกว่าเดิม ผมไม่คิดอะไรแล้วตอนนั้น ผมเปิดไฟสูงแล้วบิดเต็มที่ ทันใดนั้นเอง ระยะของไฟสูงมันทำให้ผมเห็นว่าถนนข้างหน้าผมมีอะไรบางอย่างขวางอยู่ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งชัด ว่ามันคือกลุ่มคนนับสิบยืนจังก้าเรียงแถวขวางถนนอยู่! ด้วยความเร็วที่บิดมา ผมไม่สามารถหักหลบได้แล้ว เลยตัดสินใจพุ่งเข้าใส่.. เชื่อไหมครับ ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรบนถนนทั้งนั้น ผมมองกระจกหลังกลับไปก็ไม่มีใครเลย.. จนเขตที่เริ่มมีเสาไฟ เสียงก็หายไป ลมก็เย็นๆ ก็หายไปกลายเป็นลมอุ่นๆ จากหน้าร้อนตามปกติ.. ผมจอดรถตรงหน้าหอเพื่อน ซึ่งมันก็ยืนรออยู่กับเพื่อนอีกคน เพื่อนตกใจมากที่เห็นผมหน้าซีด มันบอกว่าเห็นมาช้า โทรหาก็โทรไม่ติด คิดว่าเป็นอะไร..

ระหว่างที่ดื่มกัน ผมก็เล่าเหตุการณ์ให้มันฟัง มันถึงกับเงียบไปเลย มันบอกผมว่า ‘แถวนั้นเคยเป็นเมืองพม่าเก่า เป็นสุสานด้วย..’ ผมถึงกับช็อค แต่ก็เออออไป คิดในใจแบบ ‘ไม่น่าล่ะ..’ คืนนั้นเพื่อนมันบอกให้ผมค้างที่นั่น เพราะจะกลับก็คงอันตราย.. พอตอนเช้า ผมก็ต้องกลับทางเดิม ผมขับไปจนถึงตรงที่ที่ผมเริ่มได้ยินเสียงคนหวีดร้องตะโกนไม่เป็นภาษาเมื่อคืน ผมนี่ถึงกับขนลุกเลยครับ เพราะในป่าข้างทางนั้นมีศาลพระภูมิเล็กใหญ่ สภาพดีบ้างผุพังบ้าง เรียงรายเป็นทางยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาเลยครับ.. ผมยังคิดอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่า ถ้าคืนนั้นผมหักรถหลบ ผมจะมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ได้ไหม?

ไม่มีความคิดเห็น