คนขายโลง


     "คนขายโลง"ผลงานคุณภาพจากคุณลอยชาย เจ้าชายนักเล่าแห่งพันทิปผู้ฝากผลงานหลอนๆไว้หลายเรื่อง ผีสยองหนองกระจาย ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ และคติเตือนใจให้คนคิดดีทำดี ไม่ไปเล่นกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นซึ่งมันนำพาเรื่องไม่ดีมาสู้ตนเอง คนใกล้ชิด ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

           ห่างหายไปนานเหมือนกันหลังจากเรื่องที่แล้ว วันนี้มีโอกาสได้กลับมาเล่าอะไรให้ฟังกันอีกครั้งรู้สึกตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้คงจะไม่ได้เกริ่นนำอะไรเยอะแยะ คงจะขอพูดไว้สั้นๆเหมือนอย่างในทุกๆครั้งเผื่อใครที่เพิ่งผ่านมาอ่านเจอเป็นครั้งแรกนะครับ
          “เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังนั้นเป็น ความเชื่อส่วนบุคคล นั่นหมายถึงไม่มีหลักฐานยืนยันหรือพิสูจน์ให้ชัดแจ้งแก่ใจได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน จะเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิ์ของผู้อ่าน และหากเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังในครั้งนี้ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ หรือรบกวนจิตใจของท่าน ผมต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ขอบคุณครับ”
…………………………………………………………………………….
          เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วเหมือนกันด้วยความบังเอิญเหมือนกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมา วันนั้นผมกำลังเดินอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพราะมีธุระนิดหน่อย หลังจากได้พบปะกับคนที่ต้องการพบแล้วเวลายังเหลืออยู่อีกประมาณหนึ่งก่อนจะถึงคาบถัดไป
          ตามทางเดินของโรงพยาบาลคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนกับทุกครั้งที่ได้มาเยือน ผมมองหาร้านกาแฟที่จำได้ลางๆว่าเคยมานั่งกินกับเพื่อนเมื่อหลายเดือนก่อน โดยที่ตัวเองก็จำได้ไม่ชัดเจนมากนักว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของโรงพยาบาลเพราะในนั้นมีร้านกาแฟตั้งอยู่มากกว่าสามร้าน ถ้าผมจำไม่ผิด
          ผมเดินออกมาไกลจนเห็นทางเดินที่ทอดตัวไปสู่ที่จอดรถด้านข้างก็รู้ตัวว่าผมหลงเข้าให้แล้ว ผมหันซ้ายหันขวาหาทางเดินไปต่อ
“เฮ้ยๆๆ!”
           ผมได้ยินเสียงเรียกดังมาจากทางที่จอดรถเลยหันไปมอง ผมต้องหยีตามองนิดหน่อยเพราะเขาอยู่ห่างไปประมาณหนึ่งเลยแต่เท่าที่เห็นได้ลางๆก็จำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนของผมเอง ผมเดินไปหาเพื่อนตามเสียงเรียก เราไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้วจึงรู้สึกพอใจกับความบังเอิญในครั้งนั้น
          เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่า ‘ต๋อง’ กำลังนั่งคุยกับคนอื่นอยู่ผมก้มหัวยกมือไหว้คนตรงหน้าเพราะดูแล้วน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบแน่ๆ ตอนที่เดินมาผมมองไม่เห็นเพราะเขานั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะที่มันมีต้นไม้บังพอดี ผมคิดว่าจะแค่เดินเข้าไปทักแล้วไม่รบกวนเวลาของคนทั้งสามจะดีกว่า
          ด้วยความตั้งใจนั้นผมจึงยิ้มให้ทักทายเล็กน้อยตบไหล่เพื่อนเบาๆ “ไว้เจอกันเพื่อน” ผมพูดแค่นั้นแล้วรีบปลีกตัวออกมา แต่เพื่อนกลับดึงแขนผมฉุดให้นั่งลง
“เล่าต่อเลยครับ”
          ผมทำตาโตมองเพื่อนในชุดของมูลนิธิที่เพื่อนคนนั้นไปร่วมงานด้วยอยู่(ไม่รู้ว่าเรียกถูกไหมนะครับ) ด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ต้องนั่งต่อเพราะเพื่อนจับข้อมือไว้ไม่ปล่อยไปไหน คุณลุงที่นั่งอยู่บนม้าหินตัวเดียวกันก็เริ่มเล่าเรื่องที่น่าจะผ่านมาได้เกินครึ่งทางแล้วให้ต๋องฟังต่อ
“ฮึก…”
          ผมสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงสะอึกของคุณป้าที่นั่งอยู่ติดๆกัน เธอทำท่าเหมือนจะอาเจียนแต่แล้วก็เงียบไป เสียงสะอึกกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆ สุดท้ายน้ำตาของเธอก็หยดลงมาบนโต๊ะม้าหินทำเอาพวกเราทุกคนตกใจทำตัวไม่ถูกเว้นก็แต่ ‘ลุงขวัญ’ ที่มีสีหน้าเรียบเฉยเอื้อมมือไปโอบ ‘ป้าสวย’ ภรรยาด้วยความเป็นห่วง
          ผมกับต๋องไม่ได้พูดอะไร เพราะคิดว่าลุงขวัญยังมีอะไรที่ยังอยากเล่าค้างไว้อยู่ เขาถอนหายใจช้าๆ เริ่มเล่าต่อโดยที่ผมยังไม่ได้ฟังเรื่องราวก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย เท่าที่จับใจความได้คือ “ป้าสวยมีอาการผีเข้ามาได้พักใหญ่แล้ว” ต๋องมองหน้าผมเหมือนกับพยายามจะถ่ายทอดสิ่งที่คิดอยู่ในใจให้ผมได้ยินผ่านสีหน้า “นี่แหละที่กลูเรียกมลึงมา”
          เสียงร้องไห้ของป้าสวยดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับสายตาของคนที่สัญจรผ่านไปมาจนทำให้ผมรู้สึกประหม่าเหมือนกับลุงขวัญที่เริ่มกระวนกระวาย แต่ป้าสวยเหมือนไม่เข้าใจในความรู้สึกของพวกเราเลย เธอร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งตัว พอเห็นดังนั้นพวกเรายิ่งลนลานไปกันใหญ่
          “ลุงกลับดีกว่า”
          ลุงขวัญลุกขึ้นจากโต๊ะม้าหินพยายามพยุงป้าสวยให้ลุกขึ้นตามมาทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ ผมจำสายตาคู่นั้นได้ดี ป้าสวยไม่ได้พูดอะไรเลยแต่เธอจ้องตาผมอยู่ตลอด ตาที่แดงจากการร้อไห้อย่างหนักเหมือนพยายามจะบอกอะไรผม มันดูน่าขนลุกในเวลานั้นแต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยปากทักหรือรั้งคนทั้งสองไว้ ปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไปแค่เท่านั้น
          “มลึงคิดว่าไง” เพื่อนที่ไม่ได้พบกันนานถามเหมือนเราไม่เคยได้ห่างกัน ผมเงียบไม่รู้จะตอบว่าอะไร ไม่รู้แม้แต่ว่าเรื่องของเรื่องนี้มันคืออะไรกันแน่ ต๋องคนสังเกตได้จึงเป็นฝ่ายเล่าให้ผมฟังโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากขอ
          ใจความเท่าที่รู้คือคุณลุงคุณป้าทั้งสองคนนั้นมีอาชีพขายโลงศพ เลยมีโอกาสได้มารู้จักกับต๋องที่ไปทำงานอาสาสมัครได้อย่างไรไม่รู้ผมก็ยังไม่เคยถามเพื่อนเหมือนกัน เอาเป็นว่าเขารู้จักกัน ผมคิดแค่นั้น
           อาจเพราะด้วยความเป็นเด็กลุงป้าทั้งสองจึงเอ็นดูต๋องชวนคุยทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อนผมเองก็อัธยาศัยดีเลยคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง จนวันหนึ่งป้าสวยก็เกิดอาการผิดปกติที่ลุงขวัญเชื่อว่าเกิดมาจากอาการผีเข้าต่อหน้าต่อตาของต๋อง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ลุงขวัญเริ่มมาปรึกษาเพื่อนของผมเพราะคิดว่าคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงนี้น่าจะพอรู้จักคนที่ช่วยได้ หรือไม่ก็เคยพบเจอเรื่องราวประมาณนี้มาบ้าง
          แล้วความบังเอิญก็ทำให้พวกเราได้มาพบกัน สรุปแล้วก็คือต๋องไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าผมเลยแค่รู้ก่อนเท่านั้นมันเลยไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ แต่มันก็เท่านั้นอีกนั่นแหละ เพราะผมคงไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอะไรด้วยอีก หากว่าคืนนั้นต๋องมันไม่ตามลุงป้าไปที่ร้านของทั้งสองคน แล้วบอกให้มาคุยกับผมอีกครั้ง
          น่าจะราวๆสัปดาห์หรือสองสัปดาห์หลังจากนั้น ผมได้รับโทรศัพท์จากต๋องด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆในการหาเรื่องหาราวมาให้ผมซึ่งเป็นนิสัยห่ามๆของเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วข้อดีของมันคือความจริงใจที่มีมากจนเกินไปนี่แหละ
          “ว่างวันไหน กลูไปรับ” นั่นคือสิ่งที่ต๋องพูดกับผมทันทีที่ทักทายกันเสร็จ ผมถอนหายใจโวยวายมันไปชุดหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ใส่ใจแต่อย่างใด หลังจากเถียงกับเพื่อนรักอยู่นานก็พบว่าไม่มีหนทางให้ผมปฏิเสธเพราะต๋องได้ไปรับป้ากับทางลุงขวัญไว้แล้วว่า ‘ผมจะไป’
          วันนั้นเป็นช่วงเย็นท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มแล้วเพราะบ้านของลุงขวัญอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงแต่ก็เป็นอำเภอรอบนอกจึงไม่ไกลจากตัวเมืองของจังหวัดที่ผมอยู่มากนัก ผมเดินเข้าไปในบ้านที่ดูใหญ่โตกว่าที่คิดไว้มาก
          พื้นที่หน้าบ้านแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือส่วนที่มีรั้วเหล็กกั้นเอาไว้นั่นคือส่วนที่เป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัย ถัดมาทางด้านขวาเป็นบ้านปูนที่รายละเอียดน้อยกว่าข้างในมีโลงศพหาหลายขนาดหลายหลายลวดลายวางตั้งอยู่มีทั้งแบบที่หุ้มพลาสติกและไม่หุ้ม
          “ขออนุญาตนั่งคุยกันตรงนี้นะลูก” ลุงขวัญยิ้มต้อนรับเมื่อพวกผมเดินมาจากที่จอดรถซึ่งห่างออกไปอีกนิด สาเหตุที่ลุงแกพูดอย่างนั้นเพราะเขาไม่ได้เชิญเราเข้าไปในบ้านตั้งแต่ครั้งแรก แต่ขอให้เรานั่งคุยกันตรงโต๊ะไม้ที่วางอยู่หน้าร้านของลุงขวัญเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยในเวลานี้ทำให้แกจำเป็นต้องเฝ้าหน้าร้านไปพร้อมๆกับการพูดคุยกับพวกเรา
          “บ้านหลังใหญ่อยู่กันแค่สองคนเหรอครับ” ผมชวนคุยเพื่อให้ตัวเองรู้สึกไม่ประหม่า ลุงขวัญหัวเราะพร้อมบอกว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด บ้านหลังนี้มีประชากรทั้งหมดห้าคน ได้แก่ ลุงขวัญ ป้าสวย ลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายอีกหนึ่งคน ผมถามต่อไปอีกว่าพวกเขาไปไหนกันหมด ผมคิดแค่ว่ามันคือคำถามตามมารยาทแต่เมื่อลุงขวัญได้ยิน เขากลับมีสีหน้าที่ดูหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
          ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไปถึงกับสะอึกไม่กล้าพูดอะไรต่อ ลุงขวัญถอนหายใจเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด แล้วเรื่องทุกอย่างก็ค่อยๆถูกเล่าโดยละเอียดอีกครั้งผ่านเจ้าของร้านขายโลงศพที่ชื่อว่า ลุงขวัญ
          ระหว่างที่นั่งฟังเรามีเพียงน้ำคนละแก้ววางอยู่บนโต๊ะ แม้ท้องจะรู้สึกหิวแต่ก็ตั้งใจฟังใจความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ ลุงขวัญเป็นเจ้าของร้านของโลงศพนี้มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เรียกได้ว่าสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากกิจการนี้เลยก็ว่าได้ เขายึดอาชีพนี้มาโดยตลอดจนแต่งงานมีภรรยามีครอบครัว ลูกชายเองจริงๆแล้วก็ได้เรียนจนสูง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกลับมาทำกิจการของที่บ้านต่อโดยมีร้านอาหารเล็กๆของตัวเองอยู่อีกที่หนึ่งประกอบไปด้วย
          ลุงขวัญไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่เพราะตลอดเวลาที่ทำอาชีพนี้มามันมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้เข้ามาโดยตลอดจนไม่กล้าที่จะปักธงว่าเรื่องไหนคือสาเหตุกันแน่
          ผมไม่แน่ใจว่าในสมัยนี้จะยังพอมีคนเคยได้ยินเรื่องเล่าหรือความเชื่อเกี่ยวกับโลงศพอยู่บ้างไหม เรื่องหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆแล้วมาได้ยินซ้ำอีกครั้งจากปากของลุงขวัญคือ ‘โลงทุกโลงมีเจ้าของ’
          คำว่า ‘เจ้าของ’ ไม่ได้หมายถึงคนที่มาซื้อหรือมาจ่ายเงินจองไว้ แต่มันคือความเชื่อว่าโลงโลงหนึ่งเมื่อถูกสร้างขึ้นมาแล้วถ้าไม่ใช่เจ้าของ หรือ คนที่จะมานอนในโลงนี้จริงๆ โลงนั้นจะขายไม่ออก หลายต่อหลายครั้งที่ลุงขวัญบอกว่าได้ยินเสียง ‘โลงลั่น’ เสียงของมันคล้ายกับเสียงไม้แตก(ถ้าใครเคยได้ยินหรือเคยฟันไม้อาจจะพอนึกออก) บางครั้งก็เป็นเสียงเหมือนกับโลงที่ว่านั้นร่วงลงจากชั้นวางเหมือนของตกอะไรประมาณนั้น ลุงขวัญบอกว่าถ้าได้ยินเสียงพวกนี้จะพอรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะขายโลงออก
          เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะกับเจ้าของร้านคนนี้แต่น่าจะเกิดขึ้นกับใครหลายๆคนที่ประกอบอาชีพนี้(ไม่ใช่ทุกคน) เพราะลุงขวัญเองก็ได้ยินมาจากอาจารย์ที่สอนการประกอบโลงให้กับลุงขวัญมาอีกทีหนึ่งก่อนที่จะได้ประสบด้วยตัวเอง
          “เป็นไปได้ไหมว่าพวกที่มารอโลงเขาเข้ามารบกวนคนในบ้าน” นั่นคือข้อสันนิษฐานแรกของลุงขวัญเพราะมีครั้งหนึ่งแกไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงที่ดังมาจากสินค้าในร้าน แต่ลุงขวัญได้เห็นวิญญาณดวงหนึ่งมาเดินวนไปวนมาอยู่ที่โลงไม้ในร้านอยู่หลายครั้งคือในชุดเดิมๆใบหน้าเดิมๆ จนผ่านไปสัปดาห์หนึ่งโลงนั้นก็ถูกซื้อไปจริงๆ ลุงไม่ได้ตามไปดูในงานว่าใบหน้าเหมือนกับที่แกเห็นหรือเปล่า แต่อย่างหนึ่งที่แกคิดคือ วิญญาณพวกนั้นเข้ามาในบ้านของแกได้งั้นเหรอ?
          ลุงขวัญเล่าต่อถึงสาเหตุอื่นๆที่แกพอจะนึกออกในตอนนั้น เรื่องของความเชื่อนั้นเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากมากและหลากหลาย แม้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่บางครั้งก็เชื่อไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ ผมไม่แน่ใจว่าผมเคยได้ยินมาหรือเปล่าแต่มันคุ้นๆหูจนมาได้ยินลุงขวัญเล่าให้ฟังอีกครั้ง

‘คนทำโลงศพคือคนดวงแข็ง’ ผมคิดว่าความเชื่อนี้น่าจะทำนองเดียวกันกับเรื่องของสัปเหร่อที่เชื่อกันว่าถ้าจิตไม่แข็งดวงไม่แข็งจริงจะทำอาชีพนี้ไม่ได้เพราะต้องเจอกับผีสางนางไม้อยู่ตลอดเวลา มันเลยเป็นที่มาเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้นกับลุงขวัญ
          ผมเชื่อว่าถ้าเป็นคนไทยต้องเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการสะเดาะเคราะห์ พวกทำกระทงหรือหักคอตุ๊กตาแล้วไปโยนตามทางสามแพร่งสี่แพร่งมาบ้าง หนักไปกว่านั้นก็จะเป็นการลอยของลอยคุณไสยไว้ตามสถานที่อาถรรพ์ดังกล่าวเพราะเชื่อว่าสถานที่เหล่านั้นจะรับของไม่ดีไปแทนตน ฟังดูก็ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนมากเท่าไหร่หากผู้คนไม่ได้คิดว่าร้านขายโลงศพก็เป็นหนึ่งในสถานที่ทำนองนั้น
          ลุงขวัญลุงจากโต๊ะกวักมือให้เราเดินตามไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆกับหน้าร้าน ผมจำไม่ได้ว่ามันเป็นต้นอะไรแต่มันสูงจนใบของมันท่วมหลังคาชั้นหนึ่งของบ้าน มีชิงชาที่ทำจากยางรถยนต์ห้อยไว้ในนั่งเล่นได้สบาย ลุงขวัญเดินอ้อมไปด้านหลังต้นไม้เป็นมุมอับลับสายตาพอสมควร ที่ตรงนั้นมีกองใบไม้แห้งสุมกันอยู่สูงเกือบถึงเข่าของผม
          ผมกับต๋องยืนมองลุงแกใช้มือค่อยๆโกยใบไม้แห้งออกช้าๆ เราทำท่าจะเข้าไปช่วยแต่แกก็ห้ามไว้ พอใบไม้แห้งถูกหอบมากองไว้ตรงที่ดินข้างๆพวกเราก็ได้เห็นของที่อยู่ข้างใต้ มันคือห่อผ้าดิบสีขาวที่ยังดูใหม่มากถ้าไม่นับเศษดินเศษใบไม้และคราบน้ำโคลนที่เปรอะเปื้อนอยู่จนทั่ว
          “ดูสิมีคนเอาของพวกนี้มาทิ้งไว้ที่หน้าร้านลุงอีกแล้ว ลุงเจออย่างนี้มาตลอด” ความหมายของลุงขวัญคือของพวกนี้เป็นเหมือนกับวัตถุอาถรรพ์บางครั้งก็เป็นของขลังหรืออะไรเทือกๆนั้นที่ผู้คนไม่อยากดูแลแล้วเอามาโยนทิ้งไว้คิดเอาเองอย่างมักง่ายว่าสถานที่หรือคนอื่นๆเหล่านี้จะดูแลมันได้หรือไม่ได้รับผลกระทบจากมัน เหมือนกับการที่คนชอบเอาพุทธรูปแตกหัก ศาลเก่า ของขลังทั้งหลายไปวางทิ้งไว้ตามใต้ต้นไม้ใหญ่ วัดบ้าง ข้างทางบ้าง คิดแค่ว่าเอาออกไปให้พ้นตัว ไม่ได้คิดว่าหากมันตกไปอยู่ในมือของคนอื่น หรือใครคนอื่นที่ผ่านทางมาเจอมันโดยบังเอิญจะได้รับผลกระทบอะไรจากมันบ้างหรือเปล่า
          วิธีที่ลุงขวัญถูกสอนมาจากอาจารย์คือให้เอามันไว้อย่างนั้นอย่าจับอย่าเคลื่อนย้าย ตักบาตรกรวดน้ำให้ของเหล่านั้นจนครบเจ็ดวันเสียก่อนแล้วจึงเอาไปเผาหรือลอยน้ำไปของจะได้ไม่เข้าตัว ห่อผ้านี้ก็เช่นกันมันถูกทิ้งไว้อย่างนี้ก็เข้าวันที่สามแล้ว แต่เรื่องทั้งหมดไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดมาจากห่อผ้าห่อนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ลุงแกเองก็จำไม่ได้แล้วว่าพบเจอกับของพวกนี้มากี่ครั้ง แม้ว่าจะจัดการไปแล้วตามคำบอกเล่าของอาจารย์แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่าอาจจะยังมีของไม่ดีหรือผีร้ายตนใดตกค้างอยู่ภายในรั้วบ้านของตน
          “ข้างในใส่อะไรไว้ครับ” ผมถาม ลุงขวัญส่ายหน้า เขาไม่เคยจับหรือแตะต้องมันเลย แค่เอาใบไม้มากลบไว้ไม่ให้มันดูโจ่งแจ้งแล้วกรวดน้ำให้มันเท่านั้น ผมขออนุญาตลุงขวัญจับมันเพื่อที่จะเอามาเปิดดู สีหน้าของแกดูไม่สบายใจเท่าไหร่ แต่ผมก็ยืนยันว่าจะทำ และเพราะอย่างนั้นลุงขวัญจึงปล่อยให้ผมทำตามใจโดยที่ตัวเองจะไม่ขอหยิบจับอะไรแม้แต่น้อย
          ผมรับข้อเสนอหยิบเอาห่อผ้าดิบสีขาวสกปรกขึ้นมาถือไว้ในมือเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะไม้พร้อมกับคนอื่นๆ น้ำหนักของมันค่อนข้างเบาแต่รู้สึกว่าแข็ง คาดว่าคงจะมีของอยู่ข้างในแค่ไม่กี่ชิ้น เบาในที่นี้ก็ไม่ใช่ว่าเบาจงถึงขนาดไม่มีน้ำหนัก แต่มันเบาพอที่จะหยิบมันขึ้นมาได้ด้วยสองนิ้ว
           ผมค่อยๆคลี่ห่อผ้านั้นออกมาดูข้างใน สิ่งที่ใส่เอาไว้ไม่ได้หนีไปจากการคาดการณ์ของตัวผมเท่าไหร่ วัตถุสีดำมีความโค้งมนเล็กน้อยทำให้นึกถึงสภาพสมบูรณ์ของมันก่อนที่จะแตกเป็นชิ้นเล็กๆออกมาได้ ผมหยิบเศษบาตรพระที่แตกแล้วขึ้นมาดู ด้านในของมันมีหมึกสีขาวถูกเขียนเอาไว้ด้านหนึ่ง สิ่งที่ถูกเขียนนั้นน่าจะเป็นยันต์บางอย่างที่ผมไม่รู้จัก
           ลุงขวัญเห็นก็ตกใจเพราะคนรุ่นเก่าต้องคุ้นเคยดีว่าบาตรแตกมันเป็นของที่ไม่ควรมาอยู่ในรั้วบ้านโดยเด็ดขาด แต่ก็มีคนบางส่วนที่เก็บมันไว้เพราะเชื่อว่ามันเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่ขลังและหายาก ผมเคยได้ยินว่าบางคนซื้อขายกันเป็นหมื่นๆก็มี
           ความตกใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของลุงขวัญได้ไม่นานก็จางหายไปเปลี่ยนเป็นสีหน้าของความเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงลุงแกถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายหน้าเบาๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงที่เดิมไม่พูดจา ผมเก็บของที่ว่ากลับเข้าไปในห่อผ้าวางมันลงที่เดิมเพราะอย่างนั้นลุงขวัญคงจะสบายใจมากกว่า
           เรายังไม่ได้คุยอะไรกันต่อ ผมกับต๋องมองหน้ากันพยายามคิดหาบทสนทนาใหม่ๆขึ้นมาแต่มันก็ไม่จำเป็นแล้วเพราะตอนนี้มีเสียงของรถกระบะคันหนึ่งแล่นเข้ามาเทียบที่หน้าประตูร้าน ลุงขวัญลุกขึ้นยืนรีบเดินตรงไปยังรถคันนั้นทันที ตอนนั้นผมคิดว่าคงเป็นเรื่องปกติเวลาที่มีลูกค้ามาแต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะคนที่ลงมาจากรถเป็นคนแรกคือ ลูกชายของลุงขวัญ ทั้งสองคนกุลีกุจอช่วยกันเปิดประตูรถรับอีกสามคนลงมาด้วยท่าทางที่ดูเป็นกังวล
          ผมกับเพื่อนนั่งเงียบๆอยู่บนโต๊ะไม้ตัวเดิมมองภาพครอบครัวที่ช่วยกันส่งเด็กน้อยในอ้อมกอดของคนเป็นแม่หรือคือลูกสะใภ้ของลุงขวัญมากอดไว้อย่างอ่อนโยน ป้าสวย และลูกสะใภ้ค่อยๆก้าวลงจากรถด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่ต่างจากคนป่วยเท่าไหร่
          “นั่นแหละ คนอื่นเขาเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลกัน” ลุงขวัญย้อนกลับไปตอบคำถามแรกของผมแล้วค่อยๆเล่ารายละเอียดให้ฟังระหว่างที่ลูกชายกำลังเก็บป้ายและข้าวของหลายชิ้นกลับเข้าไปในร้าน ประตูเหล็กถูกเลื่อนปิดทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาปิดตามปกติ
          ผมเห็นอย่างนั้นก็เอื้อมมือไปสะกิดต๋องที่ยังนั่งตั้งใจฟัง จริงๆแล้วผมว่ามันออกจะดูสนุกเสียด้วยซ้ำ ผมสะกิดเรียกเพราะดูท่าแล้วน่าจะได้เวลาที่จะต้องปลีกตัวให้ลุงขวัญได้อยู่กับครอบครัวคงจะดีกว่า แต่เดชะบุญ เพื่อนรักกลับไม่เข้าใจในสัญญาณที่ผมส่งไป มันหันมามองหน้าผมแล้วถามอย่างรำคาญว่า “อะไรของมลึงเนี่ย สะกิดอยู่ได้ พูดมาดิ”
          “ไม่ต้องรีบกลับหรอก ยังไงลุงก็ตั้งใจจะให้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนอยู่แล้ว นี่ป้าแกก็กำลังไปทำอาหารอยู่ นั่งคุยกันตรงนี้ไปก่อนแล้วกันนะ” ลุงขวัญยิ้มอย่างอบอุ่นพลางหัวเราะกับท่าทางของผมสองคน
          กลับเข้ามาที่ประเด็นภายในบ้านหลังนี้ ลุงขวัญเล่าถึงสาเหตุที่วันนี้มีลุงขวัญเฝ้าร้านอยู่คนเดียว นั่นเป็นเพราะลุงเขาตั้งใจรอพวกเราอยู่ จริงๆคนอื่นๆก็อยู่รอด้วยเช่นกัน แต่ว่า ‘เจ้ากล้วย’ หลานชายของลุงขวัญเกิดป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหันจนต้องพาไปโรงพยาบาลกันวุ่นวาย
          ผมสังเกตเห็นสีหน้าที่ดูหนักใจมากกว่าเป็นห่วงของลุงขวัญ นั่นเป็นเพราะทุกคนในบ้านเชื่อว่าสาเหตุการป่วยของเจ้าตัวเล็กนั้นไม่ได้มาจากเรื่องทางการหรือโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ทุกคนเชื่อว่ามันมีสาเหตุมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งรบกวนต่างๆมากมายที่ถูกนำมาทิ้งไว้ภายในบริเวณบ้าน วิญญาณที่มาจับจองโลงศพ หรืออะไรก็ตามพวกนั้น และนี่คือเหตุผลที่สองนอกจากเรื่องของป้าสวยที่ลุงขวัญอยากหาใครสักคนมาช่วยหาคำตอบให้กับเรื่องราวในครั้งนี้
           “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับลุง” ผมถาม แล้วเรื่องที่เราได้ฟังหลังจากนั้นก็ทำให้พวกเราต้องเงียบยิ่งกว่าที่เคย สีหน้าที่ดูสนุกตื่นเต้นของต๋องก็เปลี่ยนเป็นความหนักใจ แม้แต่ผมเองยังไม่คิดเลยว่าเรื่องมากมายขนาดนี้จะเกิดขึ้นกับครอบครัวเล็กๆที่ดูสงบสุขนี้ได้







          กล้วยมีอายุยังไม่ถึงขวบทำให้การสื่อสารด้วยคำพูดให้เข้าใจนั้นเป็นเรื่องยากนอกจากเสียงร้องไห้แล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น กล้วยสามารถออกเสียงเป็นคำได้บ้าง แต่ยังไม่เคยพูดออกมาเป็นใจความให้เข้าใจแต่กลับมีการแสดงออกในด้านอื่นๆที่ดูโตมากกว่าสิ่งที่ควรจะเป็นของเด็กในวัยนั้น(ความคิดเห็นของคนในครอบครัว)
          เรื่องที่เกิดขึ้นหลายๆเรื่องอาจไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมหรือคนอ่านทุกท่านเคยได้ยิน เพราะเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นซ้ำๆกันในหลายหลากพื้นที่หลากหลายครอบครัวมาโดยตลอด กล้วยมักจะไม่หลับในเวลากลางคืน ฟังดูอาจไม่แปลกเท่าไหร่ถ้าการตื่นของกล้วยนั้นไม่ได้ประกอบด้วยเสียงร้องไห้ ลุงขวัญบอกว่ากล้วยจะตื่นลืมตาอยู่ในเปลโดยไม่ยอมหลับ และไม่ร้องหาแม่หรือขอกินนม
          เด็กน้อยจะแค่ลืมตามองเพดานบ้าน หันไปมาบ้างเท่าที่ร่างกายของเขาจะทำได้ แน่นอนว่ามีคนนอนเฝ้าเขาตลอดเวลาทุกครั้งที่ได้เห็นภาพนั้นคนที่นอนเฝ้าไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือปู่กับย่าก็อดไม่ได้ที่จะอุ้มเด็กน้อยมานอนกอดไว้หวังว่าเขาจะอุ่นใจและหลับได้ลง แต่ก็เปล่า คืนแล้วคืนเล่าที่คนเฝ้าเผลอหลับไปจนรู้สึกตัวอีกทีเด็กน้อยก็ยังลืมตาอยู่ นั่นคือความกังวลแรกๆที่เกิดขึ้น
          “ข้าวเสร็จแล้วครับพ่อ” พี่ดิน เดินมาเรียกพวกเราให้เข้าไปในบ้าน ผมยกมือไหว้ทักทายชายหนุ่มร่างผอมบางที่ยิ้มจนมองไม่เห็นตาดำ แว่นที่เขาใส่ทำให้ดูอบอุ่นอย่างประหลาด แว่นกลมๆแบบที่ไม่สนใจกระแสแฟชั่นรับกับใบหน้าที่ขาวจนเกือบซีด พี่ดินทักทายเราอย่างเป็นกันเองถามไถ่ชื่อแซ่เสร็จแล้วก็เดินนำเราเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้ถามเลยสักนิดว่าพวกเราเป็นใครและมาทำไม นั่นทำให้พวกเราแน่ใจมากขึ้นไปอีกขั้นว่า ทุกคนในบ้านล้วนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้อยู่แล้วจริงๆ
          อาหารบนโต๊ะกับข้าวไม่ได้พิเศษอะไร เป็นข้าวขาวที่ต้มแบบข้นๆน้ำไม่เยอะ กินกับอาหารรสอ่อนให้เข้ากับเด็กและคนสูงอายุในบ้าน เรากินกันไปได้สักพักหนึ่งจนเริ่มอิ่มลุงขวัญจึงวนเข้าเรื่องที่ต้องการจะคุยพร้อมกันจริงๆสักที
           ทุกคนเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบ ผมแอบได้ยิน ‘พี่น้ำ’ ลูกสะใภ้ของบ้านกระซิบกับพี่ดินสามีว่าผมจะสามารถเชื่อถือได้จริงหรือไม่ ผมทำเป็นไม่ได้ยินเพราะไม่ได้ต้องการให้ใครมาคาดหวังอะไรกับตัวเองมากนักอยู่แล้ว เพียงแค่ถ้าพอคุยพอช่วยกันได้ผมก็จะลองดู นั่นคือสิ่งที่คิดมาโดยตลอด
          พี่น้ำอุ้มน้องกล้วยออกไปจากโต๊ะอาหารคงไม่อยากให้เขาได้ยินสิ่งที่จะคุยกันโดยไม่สนว่าน้องจะเข้าใจหรือไม่ คนที่เหลือบตามองผมอย่างกระสับกระส่ายหลายครั้งคือป้าสวย เพราะครั้งที่แล้วที่เราเจอกันมันเกิดเรื่องที่ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่
          ลุงขวัญยังคงทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวพาพวกเราเข้าสู่บทสนทนาที่จริงจังมากขึ้น เราไม่ได้ทบทวนสาเหตุกันเพราะลุงขวัญได้คุยกับพวกเราไว้ก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ฟังหลังจากนี้จะเป็นเหตุการณ์จากคนในครอบครัวที่พบเจอมาตลอดเท่าที่จะจำไว้ได้หมด
          คนแรกที่เริ่มเล่าคือพี่ดิน เขาออกตัวว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่เป็นทุนเดิมมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เพราะเขาได้เห็นพิธีกรรมต่างๆจากผู้เป็นพ่อในการต่อโลงประกอบโลงมานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีลูกค้าหรือคนที่มาซื้อโลงเองก็จะมีพิธีกรรมต่างๆที่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียวให้พบเห็นอยู่เรื่อยๆ
          พี่ดินบอกว่าครั้งแรกที่ ได้เห็น สิ่งที่ตนเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ หรือ ผี คือในช่วง ม.ปลาย ช่วงที่ตนเริ่มเข้ามาเรียนรู้การต่อโลงศพด้วยมืออย่างจริงจัง
          เนื้อหาใจความตรงนี้ผมไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูกตามหลักไหมอย่างไรนะครับ เพียงแค่ได้ยินมาอย่างนั้นตามความเคยชินและความรู้ของคนในบ้านนั้น

ลุงขวัญนั้นถือคติว่าการจะเป็นคนขายโลงศพที่ดีได้นั้นจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างของโลงเสียก่อนไม่ใช่แค่รับมาวางแล้วขายไป โลงประกอบขึ้นจากอะไร ต้องมีอะไรบ้าง ทั้งหมดต้องถูกบันทึกไว้ในหัวอย่างถูกต้อง แม้กระทั่งการเลือกวัสดุมาทำนั้นก็ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจและทำได้จริง
          พี่ดินถูกสอนให้ต่อโลงด้วยวิธีการแบบโบราณอย่างที่ลุงขวัญได้ร่ำเรียนมานั่นคือทุกชิ้นจะประกอบด้วยมือ เมื่อทำได้จนชำนาญแล้วจึงจะสอนการใช้เครื่องทุ่นแรงอื่นๆเข้ามาช่วย ส่วนก่อนหน้านั้นจะต้องมีการไหว้ครูและฝึกจิตประกอบไปด้วยเพื่อให้เข้าใจในศาสตร์ที่ตนกำลังจะเรียนรู้
          ผมขนลุกทุกครั้งเวลาที่ได้ยินได้ฟังถึงจิตวิญญาณของคนที่เข้าใจในศาสตร์ที่ตนกระทำอย่างลึกซึ้งไม่ใช่แค่การค้าขาย หากแต่เขาเข้าใจและเคารพในสิ่งที่ตัวเองใช้ทำมาหากินด้วยแนวคิดที่น่ายกย่องในความรู้สึกของผม “ในเมื่อความรู้นี้ช่วยให้เรามีเงินกินข้าว แล้วทำไมเราจะเคารพมันไม่ได้”
          พี่ดินบอกว่ามันอาจจะเป็นผลจากการฝึกสมาธิตรงนั้น การครอบครู แม้แต่การฝึกปรือฝีมือที่ช่วยให้เกิดสมาธิอย่างยิ่งยวดนั้นทำให้ตนได้พบเห็นวิญญาณอยู่หลายครั้ง แต่การพบเจอสิ่งเหล่านี้ตามสถานที่ต่างๆไม่ได้สร้างความกังวลใจให้กับเขาเท่ากับการที่เขาได้เห็นมันในบ้านของตน
          “ครั้งแรกตอนนั้น พี่เห็นผีตนหนึ่งในโรงไม้ด้านหลัง” พี่ดินชี้นิ้วไปทางหลังบ้านที่บอกว่ามีโรงไม้ไว้สำหรับทำงานไม้อยู่ด้านหลัง คืนนั้นพี่ดินลืมโทรศัพท์ไว้ที่นั่นหลังจากการฝึกกับพ่อเสร็จสิ้น ตอนนั้นดึกมากแล้วแต่จำไม่ได้ว่ากี่โมง ด้วยความเคยชินพื้นที่บ้านของตัวเองพี่ดินจึงสามารถเดินภายในโรงไม้ได้โดยไม่ต้องใช้แสงไฟช่วย
          แสงไฟจากถนนใกล้ๆที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างและช่องว่างของแผ่นไม้ที่ใช้เป็นกำแพงทำให้คนชำนาญทางเดินได้โดยไม่ติดขัด ตอนนั้นพี่ดินไม่ได้ยินเสียงอะไรแต่เหมือนกลับเห็นอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหว้ผ่านไปในช่องหลืบที่เก็บของ พี่ดินรู้สึกขนลุกเพราะความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคือคำว่า ผี
          พี่ดินเร่งฝีเท้าหยิบโทรศัพท์ตั้งใจจะกลับออกไปข้างนอกให้เร็วที่สุด แต่ยิ่งกลัวเราก็จะยิ่งมองไปตรงนั้นว่ามีอะไรหรือใครอยู่หรือไม่ สิ่งที่เขาเห็นคือกลุ่มควันสีขาวล่องลอยแต่เกาะกลุ่มกันคล้ายโครงร่างของมนุษย์ ภาพนั้นไม่แน่ใจว่าจะอธิบายให้ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร มันคล้ายกับภาพของคนที่เดินอยู่ แต่มันก็คล้ายกับกลุ่มควันที่เพียงแค่เลื่อนลอยไปเฉยๆ
          กลุ่มควันนั้นเดินวนเวียนไปมาอยู่รอบๆโลงที่วางอยู่กลางโรงไม้ โลงนั้นยังต่อไม่เสร็จดีเพราะมันคือชิ้นที่พี่ดินใช้ฝึกมือนั่นเอง ภาพนั้นติดตามาจนถึงทุกวันนี้
          “มันแปลกตรงไหนรู้ไหม? สุดท้ายโลงนั้นคือโลงแรกที่ขายออกด้วยฝีมือพี่” เขาเล่าย้อนไปอีกว่าหลังจากคืนนั้นอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์มีคนเข้ามาติดต่อขอซื้อโลงในราคาถูก ถึงขนาดว่าจะขอซื้อโลงที่ไม่สมบูรณ์ก็ได้ ไม่เอาลวดลาย ไม่เอาแม้แต่สีที่ใช้ทาเคลือบ พูดง่ายๆว่าขอแค่เป็นโลงที่ประกอบจากแผ่นไม้เฉยๆก็เอา เพราะคนที่มาขอซื้อนั้นไม่มีเงิน
          “9 บาท พี่จำได้แม่นเลย” วันนั้นลุงขวัญตัดสินใจขายโลงฝีมือลูกชายด้วยข้ออ้างว่าเป็นของสำหรับฝึกมือจะขายแพงไม่ได้ ลูกชายเพิ่งหัดทำ จริงๆจะให้ฟรีเพราะสงสารแต่คนที่มาซื้อนั้นร้องไห้บอกว่าตัวเองเป็นคนจนแต่ขอให้ได้ใช้เงินของตัวเองที่มีน้อยนิดนั้นในการซื้อ อย่างน้อยเขาก็อยากซื้อมันให้กับคนสำคัญในวาระสุดท้าย ลุงขวัญจึงตัดสินใจขายไปในราคานั้นขอเป็นค่าครูก็พอ
          เรื่องนี้ทำให้ความเชื่อที่ว่าโลงศพทุกโลงที่ต่อขึ้นมาจะมีเจ้าของจับจองอยู่ก่อนแล้วนั้นน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกระดับ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการจะหาทางออกเพียงแค่อยากบอกให้ผมเข้าใจว่า มีวิญญาณของใครก็ไม่รู้เข้าออกบ้านนี้อยู่บ่อยๆ
           “ใจเย็นๆ” เสียงของลุงขวัญเรียกผมกลับมาจากภวังค์ความคิดที่มีให้กับเรื่องเล่าของพี่ดิน ตอนนี้ป้าสวยเริ่มมีอาการแปลกๆอีกครั้งโดยมีลุงขวัญกุมมือไว้แน่น พี่ดินเอาแขนทั้งสองข้างตั้งบนโต๊ะอาหารปลายนิ้วกดที่ขมับอย่างหนักใจ
          มากกว่าสามปีแล้วที่ป้าสวยมีอาการแปลกๆอย่างนี้ บ่อยครั้งที่ร่างกายนั้นจะเกิดอาการเกร็งปากเม้มสนิทแต่เหมือนพยายามจะส่งเสียงออกมา น้ำตาไหล ตัวสั่นน่าสงสารเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าครอบครัวเองก็ไม่ได้นิ่งดูดาย ทุกคนพาป้าสวยไปรักษาทั้งทางการแพทย์และทางอื่นๆ
          หลากหลายตำหนักร่างทรงบอกว่าป้าสวยนั้นผีเข้า มีวิญญาณตามติดจ้องมาทำร้าย บ้างก็ลามไปบอกว่าเป็นองค์เทพจะมาจับร่างอยากให้เป็นร่างทรงรักษาคน หมดเงินไปเป็นหมื่นเพื่อรักษาให้หาย แต่ก็ไม่หาย ส่วนทางการแพทย์นั้นก็มีข้อวินิจฉัยออกมาเหมือนกัน ได้ยามากินเพื่อรักษาอาการและมีการบำบัดอื่นๆเพื่อช่วยเหลือ แต่คนในครอบครัวก็รู้สึกว่ายังไม่ดีขึ้นมากนัก ประกอบกับเหตุการณ์อื่นๆหลายอย่างจึงคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องพวกนี้มากกว่าการเป็นโรค(ความคิดเห็นส่วนบุคคล)
          อาการของป้าสวยไม่ได้หนักขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เกิด แต่มันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว หลังจากอาการดังกล่าวผ่านพ้นไปเมื่อถามเอาความจากป้าสวยแล้วเธอบอกว่ารู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างเข้ามาอยู่ในตัว มันมวลท้องแน่นหน้าอก คลื่นไส้อยากอาเจียน ร่างกายอึดอัดเกร็งจนรู้สึกทรมานคล้ายกับการถูกบีบอยู่ในที่แคบๆ มันอึดอัดมากจนต้องร้องไห้ออกมา
          หลายต่อหลายครั้งที่เธอฝันเห็นใครบางคนเดินไปมาอยู่ในบ้าน บ้างก็มานั่งมานอนอยู่ใกล้ๆเธอ บางครั้งก็ไม่ใช่ฝัน ครั้งหนึ่งป้าสวยเล่าให้ฟังว่าเธอกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน ตอนนั้นยังใช้การซักมือเพราะยังไม่ได้ซื้อเครื่องซักผ้า เธอนั่งบนเก้าอี้ไม้เตี้ยๆวางกะละมังน้ำไว้บนพื้นซักติดกันน่าจะเกือบๆสองชั่วโมงตอนที่ลุกนั้นเร็วไปหน่อยทำให้เธอหน้ามืดทรุดลงไปกับพื้น
          ด้วยร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วเธอจึงล้มลงไปนอนกับพื้นทั้งอย่างนั้น พยายามส่งเสียงเรียกให้คนมาช่วยแต่ก็ไม่มีแรงได้แต่นอนอยู่กับพื้น ในตอนนั้นเองที่เธอสังเกตเห็นเงาตะคุ่มที่แอบอยู่หลังมุมกำแพงด้านนอกของตัวบ้าน ป้าสวยจำได้ดีว่ามันคล้ายกับเงาของคนแก่ที่ผอมแห้งมากๆจนแทบจะเป็นหนังหุ้มกระดูกสีผิวนั้นแห้งจนเกือบดำ ตาโปนผิดธรรมชาติ เงานั้นนั่งยองๆอยู่กับพื้นโผล่พ้นขอบปูนมาครึ่งใบหน้าให้เห็นดวงตาที่กลมโปนเพียงข้างเดียว มือเหี่ยวแห้งนั้นเกาะกุมอยู่ที่ขอบปูน ดวงตาของมันจดจ้องมายังป้าสวยอย่างตั้งใจ
          ป้าสวยเป็นลมไปทั้งอย่างนั้นไม่รู้ว่าเพราะความกลัว ความตกใจ หรือเพราะอาการหน้ามืดจากการซักผ้ากันแน่ แต่ที่แน่ๆ ภาพในวันนั้นจำได้ชัดเจนเช่นเดียวกับเหตุการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในบ้านหลังนี้
          กลับมาที่โต๊ะอาหาร ป้าสวยตัวสั่นร้องไห้เหมือนกับสิ่งที่ได้ยินมา เธอจ้องตาผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ได้ดุร้าย แต่ดูน่าสงสาร และทรมาน ผมยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนอื่นๆในบ้านก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าผมให้เข้าใจได้อย่างไร
          “ต๋อง มลึงแผ่เมตตาหน่อยดิ” ผมสะกิดเรียกเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
          “เฮ้ย! ทำไมต้องกลูวะ” ต๋องลนลานทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
          ช่วงนั้นเท่าที่ผมจำได้ผมน่าจะห่างหายจากการทำบุญไปพอสมควร ส่วนเพื่อนผมคนนี้นั้นสร้างบุญอยู่ในทุกๆค่ำคืนจากการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุกับทีมงานที่ได้เล่าให้ฟังแล้วข้างต้น นั่นคือเหตุผลที่ผมอยากให้ต๋องเป็นคนทำมากกว่าผม และอีกใจก็รู้สึกลึกๆว่าคนบ้านนี้น่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับต๋องอีกด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มารู้จักกันถึงขั้นนี้
          ต๋องหลับตาพนมมือพยายามแผ่เมตตาเท่าที่ตัวเองจะทำได้ การแผ่เมตตานั้นไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำหรือใช้บทสวดในภาษาบาลีก็ได้ การกล่าวเป็นภาษาไทยด้วยจิตที่เต็มไปด้วยความตั้งใจเองก็ทำให้เกิดผลได้ไม่ต่างกัน
          แปลก แต่ก็คงต้องยอมรับว่ามันได้ผล ป้าสวยค่อยๆหายใจช้าลงจนกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ ร่างกายที่เกร็งค่อยๆคลายลงจนสุดท้ายป้าสวยก็อ้าปากนั่งหอบอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมโดยมีลุงขวัญกุมมือไว้ไม่ห่าง
          เราพยายามถามป้าสวยถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่ดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยเกินกว่าที่จะพูดมันออกมาในตอนนี้ ทุกคนปล่อยให้เธอได้พักหายใจ หัวข้อการสนทนาจึงเปลี่ยนไปที่เรื่องของเด็กชายกล้วยที่ตอนนี้นั่งดูการ์ตูนอยู่กับพี่น้ำในห้องนั่งเล่นใกล้ๆ

          อย่างที่ได้เล่าไปแล้วข้างต้น ท่าทีแปลกๆของกล้วยนั้นเกิดขึ้นบ่อยจนน่ากังวล ยามกลางคืนคนในบ้านไม่ถูกรบกวนด้วยความซนหรือเสียงร้องไห้ แต่เป็นความเงียบที่น่าพลั่นพลึงผ่านสายตาของเด็กวัยไม่ถึงขวบดี
          ไม่มีใครรู้ว่าดวงตาคู่นั้นมองเห็นอะไร หูของเด็กคนนั้นได้ยินอะไร แต่ทั้งหมดนั้นถูกแสดงออกผ่านทางกายอื่นๆ หลายครั้งที่ร่างกายของเด็กชายกล้วยมีรอยแดงคล้ายถูกแรงบีบ บางครั้งมากจนเกิดเป็นรวยข่วนเล็กๆปรากฏตามร่างกาย วันนี้เองก็เช่นกัน เด็กชายกล้วยต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลเพราะจู่ๆก็มีอาการไข้สูงผิดปกติซึ่งนับว่าน่ากังวลมากในเด็กวัยนี้
          นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทุกคนพากล้วยไปโรงพยาบาลแล้วกลับพบว่าอาการทุกอย่างจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเด็กน้อยถูกส่งถึงมือหมอ ไม่มีไข้ ไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย เหมือนเด็กปกติทั่วไป สิ่งนี้น่าหนักใจมากสำหรับคนในครอบครัว แม้ว่าจะพยายามขอยาหรือให้หมอช่วยดูอาการโดยละเอียดแล้วแต่ก็ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าเด็กชายกำลังป่วย
          “เคยพากันไปค้างที่อื่นแล้วครับ น้องไม่เป็นอะไรเลย อีกทั้งยังดูสดใสมากกว่าอยู่บ้านด้วย”
          เหมือนพี่ดินรู้ทันว่าผมจะถามอะไร มันคือหลักการง่ายๆที่เราจะใช้ในการคัดแยกสาเหตุที่เกิดขึ้น คนทั้งบ้านปักใจเชื่อด้วยอะไรหลายๆอย่างแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงแค่ภายในบ้านหลังนี้ เมื่อไปอยู่ที่อื่นจะไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
          “มันเป็นเพราะป้าใช่ไหมลูก ป้าไม่ควรอยู่ที่นี่ใช่ไหม” ป้าสวยพูดขึ้นด้วยอาการหอบทันทีที่พอจะมีแรง เธอก้มหน้าไม่กล้าสบตาใคร ตอนนั้นผมจึงได้รู้ว่าเธอโทษและคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองมาโดยตลอด ลุงขวัญกับพี่ดินพยายามปลอบให้เธอคลายใจแต่ผมเชื่อว่ามันไม่ได้ช่วยมากเท่าไหร่
          ประโยคนั้นเต็มไปด้วยความกังวลและความรู้สึกผิด แต่สิ่งที่ควรถามคือทำไมป้าสวยจึงคิดอย่างนั้น ทำไมจึงไม่คิดว่าตนเป็นหนึ่งในคนที่ถูกกระทำหรือได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับเด็กชายกล้วย ประโยคคำถามของผมถูกถามออกไปในทันทีแม้รู้ว่ามันอาจจะดูกระทบใจไปบ้าง แต่การทบทวนถึงที่มาที่ไปนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ
          “ทำไมถึงคิดว่าเป็นเพราะป้าสวยล่ะครับ” ผมเห็นท่าทีของพี่ดินที่ตกใจและพยายามจะห้ามแต่ป้าสวยก็เป็นคนตอบขึ้นมาก่อนด้วยตัวเองพร้อมกับพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
          ก่อนหน้านี้นานมากแล้วช่วงที่เธอเริ่มมีอาการผิดปกติคนในบ้านพยายามพาป้าสวยไปรักษาและหาทางออกอื่นๆอย่างที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้น และมีหนึ่งในนั้นที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดในบ้านหลังนี้
          วันนั้นเธอไปยังตำหนักแห่งหนึ่งตามคำแนะนำของคนรู้จัก ป้าสวยและคนในบ้านมีความหวังทุกครั้งว่าทุกอย่างมันจะผ่านพ้นไปสักวันหนึ่ง
          ‘ผีเข้า มีเทพมารอใช้ร่าง ต้องการให้เป็นร่างทำงานให้ท่าน แต่ไม่ยอมทำตาม ท่านเลยส่งผีมาทำร้ายเพื่อลงโทษ’ นั่นคือสิ่งที่เจ้าของตำหนักพูดกับเธอในวันนั้น ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ก็คิดได้ว่าควรจะฟังป้าสวยให้จบก่อน
          ไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูกอย่างไรแต่คนไม่รู้ก็คือไม่รู้ ป้าสวยเลือกที่จะทำตามคำแนะนำของเขาผู้นั้นด้วยความไม่รู้บวกกับความกลัว ขันธ์ที่เธอรับมานั้นเป็นบายศรีใบตองสีสันสวยงามประดับประดาด้วยดอกไม้พวงมาลัยส่งกลิ่นหอม เธอไม่ได้เล่าให้ผมฟังว่าพิธีในวันนั้นเป็นอย่างไร แต่หลังจากรับขันธ์มาเธอบอกว่าอาการเธอดีขึ้นจริงๆ ไม่มีอาการคล้ายผีเข้าเกิดขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่แลกกับข้อแม้ข้อหนึ่งที่ห้ามบิดพลิ้วโดยเด็ดขาด

“ต้องถวายอาหารคาวหวานไว้ที่หน้าขันธ์ทุกวันเช้าเย็น” ใช่ครับ ผมคิดเหมือนคนอ่านนั้นแหละว่ามันใช่หรือ แต่ป้าสวยก็ทำอย่างนั้นอยู่ช่วงหนึ่งแต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจหยุดการกระทำดังกล่าวลงหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เธอจำฝังใจจนวันนี้
          วันนั้นเป็นช่วงเย็น เธอเผลอหลับไปตามปกติที่ไม่ค่อยมีอะไรทำในช่วงที่ลุงขวัญและลูกชายไปช่วยกันปิดร้าน เธอเดินออกจากห้องนั่งเล่นเข้าไปในห้องนอนที่มีขันธ์ของเธอวางอยู่บนโต๊ะแยก ตอนนั้นคือช่วงเวลาที่เพิ่งถวายอาหารในรอบเย็นเสร็จ เธอเปิดประตูเข้าห้องนอนไปคิดว่าจะนอนต่ออีกหน่อยเพราะยังรู้สึกเพลีย
          ป้าสวยหลับไปบนเตียงนอนของตัวเอง ตอนนั้นเธอยังหลับไม่สนิทเธอได้ยินเสียงเรียกของลูกชายบอกว่าอาหารเย็นเสร็จแล้ว เธอพยายามลืมตาและลุกขึ้นทันทีแต่รู้สึกว่าร่างกายมันหนักผิดปกติคล้ายคนที่นอนผิดท่านานจนเกินไป ป้าสวยยันตัวขึ้นมานั่งได้แค่ครึ่งเดียวสายตาของเธอก็เห็นเงาร่างจำนวนมากกำลังนั่งรุมกินถาดอาหารคาวหวานของเธออยู่ในห้องนอนของตัวเอง
          พี่ดินพยักหน้ารับบอกว่าเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของป้าสวยจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนเห็นเธอนั่งปิดตาด้วยความกลัว ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบ
          หลังจากวันนั้นทุกคนในบ้านเลือกที่จะไม่กระทำสิ่งที่ได้รับปากมาต่อไปและนำขันธ์นั้นไปโยนทิ้งน้ำตามความเชื่อของลุงขวัญ เรื่องในครั้งนั้นทำให้ป้าสวยคิดว่าตนเป็นคนนำพาวิญญาณน่ากลัวเหล่านั้นเข้ามาในบ้านด้วยการเลี้ยงเครื่องเซ่นหรือเปล่า เพราะหลังจากหยุดให้เครื่องเซ่นไปเธอก็เริ่มมีอาการเดิมๆกลับมาอีกครั้งและรุนแรงมากกว่าเดิม และกล้วยเองก็เริ่มโดนรบกวนจากเรื่องเหล่านี้
           หลายๆครั้งที่คนในบ้านพยายามถามกล้วยว่ากลัวอะไรหรือเห็นอะไร เด็กชายไม่ตอบแต่มักจะชี้นิ้วไปยังพื้นที่ว่างเปล่าทั่วๆบ้าน มีครั้งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกมากคือ ปลายนิ้วที่เด็กชายชี้ไปไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เด็กน้อยชี้นิ้วไปที่มุมชั้นหนังสือของบ้าน แล้วขยับแขนไปมาคล้ายกับอะไรบางอย่างตรงนั้นกำลังเคลื่อนที่ ปลายนิ้วนั้นเลื่อนไปเรื่อยๆจุดสุดท้ายเด็กชายก็วนนิ้วกลับมาชี้ที่ ‘ตัวเอง’
          บนโต๊ะอาหารเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรต่อเพราะความอึดอัด มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของคนเป็นย่าที่โทษตัวเองอย่างหนัก ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป ผมยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะช่วยอะไรพวกเขาได้หรือไม่ ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงการรับฟังเท่านั้น
          พี่ดินเปลี่ยนบรรยากาศของโต๊ะอาหารที่ไม่มีใครกินลงอีกแล้วด้วยการอาสาพาผมออกไปเดินดูรอบๆบ้าน ผมลุกตามไปอย่างว่าง่ายเพราะทำตัวไม่ถูก
          บ้านหลังนี้น่าอยู่มากในสายตาของผม มันไม่ได้ใหญ่มากพื้นที่ส่วนมากเป็นที่โล่งไว้สำหรับใช้สอย มีต้นไม้ร่มรื่น ส่วนที่ใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นโรงไม้ด้านหลังที่พี่ดินกำลังไขกุญแจเพื่อพาเราเข้าไปด้านใน
          ภายในโรงไม้หลังนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากชั้นวางข้าวของเครื่องมือ แผ่นไม้ ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่เกี่ยวข้องกับการต่อโลง บรรยากาศภายในนี้ไม่น่าอึดอัดอย่างที่คิดไว้ในครั้งแรก มันโปร่ง กลิ่นไม้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอาจจะหายใจลำบากนิดหนึ่งเพราะมีฝุ่นอยู่เยอะแต่ก็เป็นสถานที่ที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าโรงไม้แห่งนี้ยังดูน่าอยู่กว่าตัวบ้านเสียอีก
          “ที่นี่มีอะไรไหมครับ” พี่ดินถาม
          “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ”
          “พ่อเขาสงสัยอยู่ลึกๆน่ะ ว่ามันเป็นเพราะอาชีพของเขาหรือเปล่าที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้”
          “ค้าขายเนี่ยนะครับ” ผมถามเพราะไม่เข้าใจ
          “ขายโลง(พี่ดินย้ำเสียงต่ำ) โลงศพใครๆเขาก็คิดว่ามันน่ากลัวเป็นอาชีพที่หากินกับคนตาย มันก็ทำให้หนักใจไม่น้อยนะครับ เพื่อนๆพี่ยังไม่ค่อยมาหาพี่ที่บ้านเลยบอกว่าบ้านขายโลง กลัวผีหลอก พี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงกับพวกมันดี”
          พอได้ยินสิ่งที่พี่ดินเล่าก็รู้สึกคล้อยตาม ทำไมกันนะทั้งที่มันก็เป็นอาชีพสุจริตอีกทั้งยังเป็นงานฝีมือที่เรียกได้ว่ายากกว่าการค้าขายบางชนิดด้วยซ้ำ ทำไมคนถึงมองมันไม่ค่อยดี ไม่ค่อยกล้าเข้าไปยุ่ง ทำไมจึงคิดว่าที่อย่างนี้จะมีผี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ไปเปลี่ยนความคิดของใครไม่ได้ ผมได้แต่คิดในใจและนับถือในใจที่ยังมั่นคงของคนในบ้านหลังนี้
          ภายในโรงไม้หลังนี้มีโลงหนึ่งที่ยังต่อไม่เสร็จ หน้าตาของมันเรียบง่าย ไม่มีลวดลายแต่ก็ดูประณีต ผมมองจากเครื่องมือที่วางอยู่ใกล้ๆส่วนมากเป็นชิ้นเล็กๆพอให้ถือในมือได้ไม่ใช่เครื่องใหญ่ที่น่าจะทุ่นแรงได้มากกว่า
          ผมถามเพราะอยากรู้ พี่ดินยิ้มเล็กๆออกมาแล้วเล่าด้วยความภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด ปกติแล้วงานที่ขายส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือช่วยประกอบเพราะง่ายและเร็วกว่ามาก แต่จะมีโลงที่ลุงขวัญกับพี่ดินจะต่อกันเองด้วยมือเท่าที่พอจะมีเวลาทำในทุกๆเดือนเพื่อบริจาคให้กับวัดบ้าง มูลนิธิบ้าง เป็นการทำบุญในแบบของพวกเขา จริงๆแล้วพี่ดินบอกว่าที่ทำอย่างนี้ก็เป็นส่วนมาจากเรื่องโลงแรกที่ตัวเองได้ขายไป ต๋องพยักหน้าเพราะมันเองก็ได้รู้จักกับคนบ้านนี้ตอนที่พวกเขาเอาโลงมาบริจาคเช่นกัน
          เรานั่งคุยกันอยู่ในโรงไม้นานสองนานจนลุงขวัญเดินเข้ามาเพิ่มอีกคนหนึ่ง พ่อลูกช่วยกันเล่าถึงสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ซึ่งผมคงจะถ่ายทอดให้ฟังได้ไม่หมดมันเยอะมากจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ลุงขวัญพูดขึ้นมานั้นแปลก และทำให้พวกเรากลัวเป็นอย่างมาก
          “วันนี้แปลก บ้านมันดูเงียบๆโล่งๆผิดปกติ สงสัยเป็นเพราะเอ็งมา ลุงเลยไปจุดธูปไหว้มาแล้ว มันจะได้จบๆไปเสียที”
          “จุดธูปอะไรพ่อ?”
          “ก็จุดธูปเรียกพวกมันมาให้หมดนั่นแหละ ให้มันจบไปเลยวันนี้จะหมู่จะจ่าก็ว่ากันวันนี้แหละ!”
          ลุงขวัญกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิดคงเพราะได้เห็นป้าสวยกับกล้วยที่ตกทรมานกับเรื่องนี้มานานจึงทนไม่ไหว พี่ดินลนลานถามไม่หยุดจนพวกเราถูกลากให้ไปดูธูปที่ลุงขวัญแกจุดปักเอาไว้ที่นอกโรงไม้
          ที่ดินโล่งๆผมเพิ่งเดินผ่านและชมไว้เมื่อสักครู่ตอนนี้กลับมีธูปกำมือหนึ่งปักอยู่บนดินท้าแสงจันทร์ของค่ำคืน ผมขนลุกเกรียวรู้สึกไม่ดีเอามากๆ ตอนนี้ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองแต่บรรยากาศของตัวบ้านตอนนี้ต่างจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าอากาศในช่วงนี้จะเย็นอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันกลับเย็นกว่า มันไม่ใช่ความเย็นเหมือนเวลาที่มีลมหนาวมาปะทะ มันเป็นไอความเย็นนิ่งๆที่ไม่เคลื่อนไหว สัตว์น้อยใหญ่ที่ควรจะส่งเสียงรบกวนในเวลาอย่างนี้กลับเงียบเหมือนกับพยายามซ่อนตัวจากอะไรบางอย่าง
           “ตอนปักธูป ลุงทำยังไงบ้างครับ” ผมถามเพื่อความเข้าใจที่มากกว่า
          “ก็พูดไปตรงๆนั่นแหละ สัมภเวสีผีตายโหงเจ้าที่เจ้าทางใครก็ตามที่วนเวียนอยู่ที่นี่ให้ออกมาให้หมด คืนนี้”
          ผมขนลุกอีกรอบเมื่อได้ยินสิ่งที่ลุงขวัญพูดเช่นเดียวกับพี่ดินที่ตอนนี้ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นอย่างอ่อนใจ ผมทัดทานพยายามถามว่าทำไมจึงทำอย่างนั้นทั้งที่ลุงขวัญเองก็ควรที่จะรู้อยู่แล้วว่าการทำแบบนี้มันเป็นการท้าทายและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเอามากๆ คนที่มีพื้นฐานความรู้เรื่องพวกนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะทำลงไปด้วยความไม่รู้
          “ก็เพราะรู้นี่แหละ! มันทนไม่ไหวแล้ว เป็นปีๆที่ต้องมาทนมาประนีประนอมกับพวกนี้แล้วมันก็มีแต่แย่ลงไม่มีอะไรดีขึ้นเลย วันนี้จะได้ให้มันจบๆไปสักที ถ้าจะตายก็ตายมันวันนี้แหละ!” ผมรู้ดีว่ามันเป็นประโยคประชดประชันแต่อารมณ์ที่ผู้พูดถ่ายทอดออกมานั้นทำให้รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
          สุดท้ายแล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้อีก เมื่อลุงขวัญได้กระทำการอย่างนั้นลงไปแล้ว การแก้ไขในตอนนี้ถือว่าช้าไปมากๆ ในขณะที่ผมพยายามจะคิดหาทางออกเท่าที่ตัวเองพอจะมีความรู้อยู่บ้างเราทั้งสี่คนก็ได้ยินเสียงที่ทุกคนต้องรีบวิ่งไปดูด้วยความกังวลขอให้อย่าเป็นไปอย่างที่คิดเลย
          เสียงร้องไห้ของเด็กชายกล้วยดังไปทั่วบ้านพวกเราที่เข้ามาถึงห้องนั่งเล่นห้องเดิมเห็นพี่น้ำพยายามกอดปลอบให้เด็กน้อยเงียบลง ป้าสวยกำลังชงนมอย่างรีบร้อนเพราะคิดว่ามันจะช่วยได้ ลุงขวัญขาอ่อนแทบล้มลงไปจนพี่ดินต้องเข้ามาประคองไว้
          “เพราะพ่อจุดธูปใช่ไหม” ลุงขวัญพูดเบาๆกับพี่ดิน อีกครั้งที่คนในบ้านเริ่มกล่าวโทษตัวเองเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับกล้วย ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญแต่จังหวะเวลามันประจวบเหมาะกันจนเกินไปแม้แต่ผมเองยังไม่กล้าพูดปลอบใจอะไรออกไปเลยสักนิด
          พี่ดินพาทุกคนมานั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ผมที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับเด็กมากนักทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเขากำลังร้องไห้อย่างสุดชีวิตอยู่ตรงหน้าผมยิ่งตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองหน้าต๋องที่ดูจะหนักใจไม่ต่างจากผมเท่าไหร่
          “มีอะไรตามลูกพี่หรือเปล่าคะ” พี่น้ำพูดขึ้นมาเพราะคิดว่ามันคงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้จริงๆ ผมยังไม่มีคำตอบใดเพราะผมยังไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย บ้านยังคงเป็นบ้านที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งรบกวนปรากฏกายให้เห็น สิ่งที่ผมทำลงไปด้วยความไม่เข้าใจของตัวเองตอนนั้นคือการเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของกล้วย
          ผิวของกล้วยนุ่มนิ่มอย่างที่เด็กควรจะเป็นผมลงน้ำหนักไปอีกนิดหวังว่ามันจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง อย่างน้อยก็อาจจะอุ่นใจขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมตกใจจนแทบจะชักมือกลับเพราะกล้วยร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม เด็กน้อยร้องเหมือนกับจะขาดใจ ผมน้ำตาคลอไปทั่วด้วยความรู้สึกปั่นป่วน ผมกลัว ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ท่าทีของเด็กที่ดูทรมานอย่างสาหัสสากรรณ์นั้นกำลังทำร้ายจิตใจผมอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับคนอื่นๆในครอบครัวที่ตาแดงเรื่อไม่ต่างกัน
          ผมตั้งใจจะดึงมือออก แต่กลับถูกมือเล็กๆนั้นคว้านิ้วก้อยเอาไว้ แม้ว่าแรงของเด็กน้อยจะไม่ได้มากพอจนทำให้รู้สึกเจ็บแต่มันก็มากพอที่จะทำให้รู้สึกว่าเขาใช้แรงทั้งหมดเท่าที่เขาจะมีในการบีบนิ้วของผมเอาไว้ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไร มีเพียงเสียงร้องไห้นั้นที่ดังอยู่ในหูจนรู้สึกเวียนหัว
          ‘แม่ธรณีเจ้าขา จงปกปักษ์อย่าให้ใครได้กล้ำกราย พระพายเอยจงปัดเป่าเอามลทินให้จางไป…’ จู่ๆผมก็นึกถึงคำพูดของปู่ที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วในการประกอบพิธีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ตัวเองได้ตามไปเป็นลูกมือ แม้จะไม่แจ่มชัด แต่มันก็เพียงพอที่จะช่วยให้มันดีขึ้นมาบ้าง
          กล้วยเงียบเสียงลงบ้างแต่ยังหอบอยู่ ทุกคนคลายใจลงเปราะหนึ่งแต่มันก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยาวนานนัก ตอนนี้กล้วยลืมตามองพวกเราแล้วจ้องไปยังที่ว่างหนึ่งใกล้กับตู้เย็นในห้องครัวที่อยู่ถัดไป สายตานั้นแน่วแน่ซึ่งไม่น่าจะพบเห็นได้มากนักในเด็กวัยนี้
          “ตรงนั้นมีอะไรเหรอครับลูก” พี่น้ำถามเสียงสั่นด้วยความกลัว เด็กน้อยไม่ตอบแต่พยักหน้า ผมที่กำลังจะลุกไปนั้นช้ากว่าลุงขวัญ แกเดินเดินตรงเข้าไปในครัวคว้าเอาข้าวสารที่อยู่ในถังมากำไว้ในมือ บริกรรมคาถาที่ผมไม่ได้ยินแล้วขว้างมันลงพื้นที่ตรงนั้นอย่างใส่อารมณ์ ภาพที่เห็นนั้นทำให้ทุกคนอึ้งไปตามๆกัน แต่มันได้ผลกล้วยละสายตาจากตรงนั้นแล้ว เด็กน้อยหัวหน้ามาซุกอกแม่เหมือนอย่างทุกที เขายังหอบอยู่แต่ก็ดูเหมือนกำลังจะหลับไปในไม่ช้า

พี่ดินให้พี่น้ำพากล้วยเข้าไปนอนก่อนและให้เฝ้าอยู่ในนั้นไม่ต้องออกมา พี่น้ำยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น และเมื่อทั้งสองคนลับสายตาไปแล้วผมก็หันมาที่ลุงขวัญสอบถามในสิ่งที่คาใจอยู่มาตั้งแต่แรกเห็น
          “ลุงครับ ลุงเรียนเรื่องต่อโลงมาจากใครกันแน่ แล้วเรียนมาแค่การต่อโลงจริงๆเหรอ?”
          ลุงขวัญเงียบไม่ปฏิเสธ พี่ดินดูตกใจ แต่ป้าสวยกลับไม่เป็นอย่างนั้น ลุงขวัญถอนหายใจแล้วขอตัวไปอาบน้ำแล้วจะกลับมาคุยด้วยใหม่อีกครั้ง
          ผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่แล้วก็มีสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เราต้องพูดคุยกันเพราะในตอนนี้มีเสียงอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นในตัวบ้าน เสียงหมาที่หอนรับกันไปมาอยู่ด้านนอกทำให้รู้สึกกลัวและขนลุก แต่เสียงที่น่ากลัวกว่านั้นคือเสียงแสกที่แหกคอร้องอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่เหนือหลังคาบ้าน
          เสียงกุกกักดังไปมาอยู่รอบตัวบ้านพร้อมกับเสียงฝนที่เริ่มตกลงมาทั้งที่ไม่มีทีท่าอะไรเลยก่อนหน้านี้ พี่ดินกลัวอยู่ลึกๆแต่ก็พยายามทำใจให้สงบลง ส่วนป้าสวยนั้นพยายามกำหนดลมหายใจให้เป็นปกติ เพราะกลัวว่าตัวเองจะเกิดอาการผีเข้าขึ้นมาอีก แต่ตอนนั้นผมกลับแอบคิดในใจว่าถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆมันก็อาจจะดีกว่า มันอาจจะง่ายกว่าในการจัดการเรื่องราวทั้งหมดนี้
          “มาคุยกันในนี้มา” ลุงขวัญที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จส่งเสียงเรียกให้พวกเราเข้าไปในห้องพระของบ้าน ตอนนี้ลุงแกใส่ชุดขาวทั้งตัวสีหน้าดูหนักใจไม่น้อย
          ห้องพระของบ้านหลังนี้ใหญ่กว่าบ้านอื่นๆที่ผมเคยไปมาอาจเป็นเพราะอาชีพและความเชื่อของคนในบ้านที่ยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในใจ พวกเรากราบพระกันตามระเบียบ ลุงขวัญนั่งเงียบมองหน้าพวกเราเหมือนรอให้ผมถามออกไปอีกครั้ง
          “ลุงขวัญไม่ได้เรียนมาแค่วิชาต่อโลงใช่ไหมครับ” ผมถามออกไปอย่างนั้น ลุงขวัญพยักหน้ายอมรับ พี่ดินที่เหมือนจะทำใจไว้ก่อนแล้วไม่ดูตกใจมากนัก เสียงลมเสียงฟ้าและเสียงนกแสกทำให้ความกลัวค่อยๆชัดเจนขึ้นทีละนิด บวกกับเสียงเคาะที่ดังอยู่เนืองๆ
กึก..
           พวกเราสะดุ้งกับเสียงที่ดังมาจากหน้าประตูห้องพระ เสียงนั้นคล้ายกับฝีเท้าของใครบางคนมาหยุดยืนที่หน้าประตู เสียงนั้นชัดมาก เสียงชัดจนคิดว่าอาจเป็นเสียงของพี่น้ำ ผมไม่คิดเลยว่าจะมีคนคิดเหมือนกันกับผมจนถึงขั้นเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ อาจเพราะด้วยความเป็นห่วงกล้วยที่อยู่กับพี่น้ำ
           “น้ำเหรอลูก กล้วยเป็นอะไรรึเปล่า” ป้าสวยตะโกนทักโดยที่ไม่มีใครได้ตั้งตัว ลุงขวัญที่ห้ามไม่ทันเอื้อมมือไปจับแขนภรรยาไว้แต่ก็สายไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
          เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่องไม่หยุดทิ้งช่วงห่างกันเป็นจังหวะคล้ายเสียงนาฬิกา คราวนี้ไม่มีคำถาม ไม่มีความสงสัยใดเพราะคงไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคาะประตูห้องแบบนี้
แกร๊ก…
          เสียงกลอนประตูถูกเปิดออก ประตูห้องแง้มออกช้าๆ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ครั้งนี้ดีหน่อยที่เพื่อนที่มากับผมเป็นต๋อง มันค่อนข้างมีภูมิต้านทานเรื่องพวกนี้จากงานที่มันทำเลยไม่โวยวายนัก ลุงขวัญพนมมือสวดมนต์หรือบริกรรมคาถาอะไรสักอย่างแต่ ส่วนผมจ้องที่บานประตูนั้นว่าจะมีอะไรโผล่มาหรือไม่
          บานประตูนั้นแง้มออกไม่ถึงเซ็น ไม่มีใครปรากฏ แต่กลับมาลมเย็นๆที่ลอดผ่านช่องเล็กๆนั้นเข้ามาในห้องพร้อมกับกลิ่นเหม็นที่ผมเพิ่งเคยได้กลิ่นมันชัดๆเป็นครั้งแรก แต่คนที่รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นกลิ่นของอะไรคือลุงขวัญ แต่ก็ไม่มีช่องว่างให้เราได้พูดคุยกัน ตอนนี้ป้าสวยเริ่มมีอาการเดิมกลับมาอีกแล้ว
          เสียงกัดฟันของป้าสวยดังจนผมกลัวว่าฟันมันจะแตกออกมาไหม มือเท้าเกร็งลมหายใจหอบหนัก ลุงขวัญที่มีวิชาความรู้แต่เมื่อเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวขนาดนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะตั้งสติใดๆได้ เรานั่งมองหญิงมากวัยที่พยายามขัดขืนด้วยความกลัว เสียงเคี้ยวกรามยังดังอยู่ผสมกับเสียงอู้อี้ในลำคอน้ำตาที่ไหลนองหน้า ภาพนั้นยังติดตาและคงจะไม่ลืมไปอีกนาน
          ‘ปล่อย ให้เขามาพูด’ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวคล้ายการออกคำสั่งแต่เป็นเหมือนคำแนะนำมากกว่า
          “ป้าสวย อย่าฝืนเขาครับ จะทรมาน ปล่อยเขาเลย ปล่อยเลย”
          ประโยคนั้นของผมทำเอาคนทั้งบ้านหันมามองหน้าผมอย่างเอาเรื่องเหมือนกับจะต่อว่า จะมีใครบ้างที่อยากให้คนใกล้ตัวผีเข้า โดยเฉพาะลุงขวัญที่ถลึงตามองผม แต่ผมก็ยืนกรานว่าให้ทำอย่างนั้น ด้วยสภาพการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ทำให้พวกเรามีความเห็นไม่ตรงกัน แต่แล้วมันก็เกิดเป็นความโชคดีในโชคร้าย ป้าสวยไม่สามารถสู้รบปรบมือกับอะไรบางอย่างที่พยายามแทรกแซงความคิดของตัวเองได้ สุดท้ายจึงปล่อยให้ใครก็ตามที่กำลังพยายามอยู่ควบคุมร่างของตัวเองได้โดยสมบูรณ์
          ครั้งสุดท้ายของการขัดขืนคือการกระตุกของร่างที่รุนแรง มือข้างหนึ่งที่กุมมือของลุงขวัญเอาไว้จิกลงไปบนผิวแห้งเหี่ยวนั้นจนมีเลือดซิบออกมา เสียงเคี้ยวกรามเงียบไป ลมหายใจที่เคยหอบสงบนิ่ง เบาบางจนแทบไม่เหลือความเคลื่อนไหวให้สังเกต
          ป้าสวยนั่งนิ่งในท่ายืดขาอยู่กับพื้น ดวงตาเหม่อลอยเงยหน้ามองเพดานบ้าน เธอหันไปมองที่หิ้งพระด้วยดวงตาแข็งกร้าวราวกับโกรธแค้นอะไรบางอย่าง เธอจ้องมองพระพุทธรูปบนหิ้งนั้นเหมือนอยากจะจับเอาลงมาขว้างลงกับพื้น ยังไม่ทันที่เราจะได้คุยกัน ลุงขวัญก็ลุกขึ้นถอดเอาประคำที่ตัวเองคล้องอยู่คล้องลงไปบนคอของป้าสวย
          “มลึงเป็นใคร มลึงออกไปจากตัวเมียกลูเดี๋ยวนี้!” ลุงขวัญที่สติแตกกำสร้อยประคำแน่นปากก็สวดบริกรรมคาถาไม่หยุด พี่ดินเห็นภาพนั้นทนไม่ได้เข้าไปยื้อยุดพ่อให้ลงมานั่งกับพื้นด้วยแรงของคนหนุ่มจึงทำได้สำเร็จ ลุงขวัญอยู่ในอ้อมแขนของลูกชาย ส่วนใครบางคนในร่างของป้าสวยนั้นจ้องลุงขวัญไม่วางตาด้วยสายตาที่ไม่คิดว่าคนรักกันจะมองกันแบบนี้
          ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นแปลกจนผมตกใจ ใครบางคนที่เราคิดว่าเป็นผีในร่างของป้าสวยกำลังบรรจงถอดประคำนั้นออกจากคออย่างไม่เกรงกลัว คนที่ตกใจที่สุดคือลุงขวัญ ใครจะคิดว่าของขลังของศักดิ์สิทธิ์ที่คิดกันว่าผีจะต้องกลัวจะถูกจับต้องได้อย่างง่ายดายปานนั้น
          ประคำที่ถูกถอดออกนั้นเขาบรรจงวางมันลงบนหมอนที่ใช้กราบพระอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็กราบลงสามครั้งอย่างช้าๆด้วยความเคารพ ภาพนั้นแปลกจนเกินกว่าที่ผมจะบรรยายได้จริงๆ ทำไมตอนนี้เขาจึงกราบด้วยท่าทางเรียบร้อยทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังถลึงตาใส่อย่างดุร้ายอยู่เลย
          ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ เสียงนกแสกที่เคยดังก็เงียบไป เสียงหมาหอนเองก็ไม่อยู่แล้ว เสียงสายฝนยังคงกระหน่ำอยู่  เสียงหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาต่างหากที่ทำให้เรากลัว เสียงคล้ายกับคนหลายคนคร่ำครวญในลำคอ หากไม่ตั้งใจฟังอาจคิดว่าเป็นเสียงลมเสียงฟ้าที่พัดผ่านช่องแคบของบานหน้าต่างและตัวบ้าน แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆจะพอจับได้ว่ามันไม่ใช่ เสียงเหล่านั้นคล้ายรออะไรบางอย่างอยู่ และสิ่งที่ตอกย้ำความคิดนั้นคือกลิ่นธูปที่คละคลุ้งไปมาอยู่ทั่วบ้านนั่นเอง
          ป้าสวยหันมาจ้องหน้าผมด้วยสายตาที่มีคำถาม ผมไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่อาจจะหลีกหนีเอาตัวรอดไปได้ ผมหันไปกราบพระอีกครั้ง ใช้เวลาสั้นๆในการสวดมนต์ขอพุทธคุณปกปักษ์รักษาบันดาลปัญญาให้เกิดในจิตเพื่อหาทางออกในครั้งนี้เช่นเดียวกับหลายๆครั้งที่ผ่านมา
          “อยากคุยเหรอ” ผมถามใครบางคนตรงหน้า เขาพยักหน้าช้าๆ ดวงตาสุกใสราวกับเด็ก
          “ใช่ป้าสวยไหม” เขาส่ายหน้า
          “เธอมาจากไหน” เขาส่ายหน้าอีกครั้ง
          “หมายความว่าเธออยู่ในบ้านหลังนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วงั้นเหรอ” เขาพยักหน้าช้าๆ คำตอบนั้นทำเอาทุกคนเย็นสันหลังวาบไปตามๆกัน
          “เธออยู่ที่นี่มาก่อนพวกเขาอีกใช่ไหม” ผมถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ แต่เขากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
          “ถ้าไม่ได้อยู่ที่นี่มาก่อนพวกเขา แสดงว่ามีคนมาเธอเข้ามาที่นี่งั้นเหรอ” ข้อมูลต่างๆมันขัดแย้งกันอยู่นิดหน่อย แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้นชัดเจนจนยากปฏิเสธ ใครคนนั้นในร่างของป้าสวยพยักหน้าไม่หยุดกับคำถามของผม และต่อมาคือคำถามสุดท้ายที่จะคลี่คลายเรื่องราวทุกอย่างให้ทุกคนได้เข้าใจ
          “ใคร?” ผมถามสั้นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือป้าสวยชี้นิ้วไปยังลุงขวัญผู้เป็นสามี สายตาที่จ้องมองนั้นดุดันต่างจากที่สบตาผมเมื่อสักครู่ ลุงขวัญสบตากับป้าสวยแล้วก็เผลอถอยไปพิงลูกชายที่นั่งอยู่เบื้องหลัง
          ผมหันไปทางเจ้าของบ้านรอให้เขาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลุงขวัญก็คิดไม่ออก เอาแต่ปฏิเสธว่าตนไม่ได้ทำอะไร สิ่งที่ทำมีแค่การประกอบอาชีพโดยสุจริตเท่านั้น ถ้ามันจะมีก็คงมีแต่ข้าวของคุณไสยที่มีคนเอามาวางไว้หน้าบ้านนั่นแหละที่จะติดตัวตามเขาเข้ามาเพราะลุงขวัญเป็นคนคนเดียวที่แตะต้องและจัดการกับของพวกนั้น
          พอฟังอย่างนั้นผมก็ค่อนข้างจะเห็นด้วย มันอาจเป็นไปได้ที่ของพวกนั้นจะติดตัวลุงขวัญเข้ามา แต่มันก็ยังแปลกที่ทำไมมันจึงเกิดผลกับป้าสวยมากกว่าลุงขวัญ แต่ไม่ต้องรอให้เราถามอะไรเพิ่ม ใครบางคนในร่างของป้าสวยกำลังจะให้คำตอบกับเราด้วยตัวเอง
          ใครบางคนในร่างนั้นเริ่มบังคับให้ป้าสวยขยับตัวตามสิ่งที่ตนคิด ขาที่เคยเหยียดยาวค่อยๆงอเข้าหาลำตัวอย่างช้าๆ จนสุดท้ายกลายเป็นท่ากอดเข่า ป้าสวยกอดเข่าจนชิดลำตัวก้มหน้าลงเล็กน้อยเอียงคอมองลุงขวัญอย่างตั้งใจ ดวงตานั้นดุร้ายราวกับกำลังต่อว่า ลุงขวัญที่เห็นอย่างนั้นก็น้ำตาไหลออกมาเพราะคิดออกแล้วว่าใครบางคนที่อยู่ในร่างนั้นคือใคร
          “ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นใคร ฉันขอโทษ แต่ตอนนี้ช่วยออกไปก่อนได้ไหม สงสารเมียฉันเถอะ” ลุงขวัญก้มกราบขอร้อง แต่ร่างนั้นไม่ปราณี เขาส่ายหัวช้าๆแทนคำตอบ แววตานั้นเย็นชาไร้ความเมตตาโดยสิ้นเชิง
          “ขอโทษ ฉันขอโทษ” ลุงขวัญกล่าวคำขอโทษซ้ำไปมา ผมจึงหันไปถามลุงขวัญว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ลุงขวัญไม่กล้าตอบ แต่หันไปคุยกับใครบางคนในร่างของป้าสวยแทน
          “ฉันจะปล่อยเธอไป ต้องการอย่างนั้นใช่ไหม” ป้าสวยพยักหน้าช้าๆ แล้วลุกขึ้นยืนก้าวเท้าเดินออกจากห้องพระให้เราเดินตามไป ผมเป็นคนแรกที่เดินตามหลังป้าสวยเพราะอยู่ใกล้ประตูที่สุด ทันทีที่พ้นประตูออกมาผมตกใจมาก เพราะที่หน้าประตูนั้นมีพี่น้ำกับกล้วยนั่งอยู่กับพื้น พี่น้ำมองหน้าผมด้วยความกลัว เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรามารู้ภายหลังว่าเธอตั้งใจจะตามเราเข้ามาในนี้แต่ได้ยินเสียงโวยวายของคนข้างใน พอมองผ่านช่องว่างของประตูสิ่งที่เกิดขึ้นก็น่ากลัวเกินกว่าที่ตัวเองจะเข้าภายใน

อีกครั้งที่ภาพแปลกๆเกิดขึ้นในเรื่องราวครั้งนี้ ผมเชื่อว่าคนที่ทำอย่างนั้นคือใครบางคนในร่างของป้าสวย เขามองไปยังกล้วยที่นั่งอยู่บนตักของแม่ เด็กชายกล้วยไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมาแต่ยกมือโบกไปมาราวกับเพื่อนที่กำลังบอกลากัน ใครในร่างของป้าสวยยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้งให้กับเด็กน้อยแล้วก้าวเดินต่อไปในตัวบ้าน
             ผมยังคงงุนงงกับภาพที่เห็นแต่ก็ต้องออกเดินไปตามทางที่ป้าสวยเดินไป ลุงขวัญที่เคยเดินอยู่ข้างหลังก็วิ่งแซงพวกเราไปหยิบกุญแจมาไขประตูไว้ล่วงหน้าเพราะแกรู้อยู่แล้วว่าปลายทางที่ป้าสวยจะเดินไปคือที่ใด
          ที่ที่ป้าสวยเดินเข้าไปนั้นคือส่วนที่เป็นหน้าร้านขายโลงศพ ด้านในตอนนี้มืดสนิทมีโลงไม้หลากหลายลวดลายวางตั้งไว้เต็มไปหมด ถ้ามาคนเดียวมันก็คงจะน่ากลัวไม่ใช่น้อย ป้าสวยเดินไปหยุดอยู่หน้าหิ้งพระเล็กๆแบบที่ใช้เจาะฝาผนังและตอกติดเอา
          ลุงขวัญลนลานเอาบันไดมาต่อขาปีนขึ้นไปข้างบนหยิบกล่องไม้เล็กๆลงมากล่องหนึ่ง ลักษณะของมันคล้ายกับ กระป๋องที่พ่อค้าแม่ขายชอบเอามาใช้เป็นที่เก็บเงินเวลาขายของได้ อันนี้เป็นเหมือนกัน แต่จะเล็กกว่าหน่อย และมันมีด้ายสีแดงพันอยู่รอบทั้งอัน
          ลุงขวัญหยิบมันลงมาถือไว้แล้วยื่นให้กับป้าสวยอย่างกล้าๆกลัว ใครบางคนในร่างนั้นรับไปถือไว้แล้วเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน เดินตรงไปยังห้องพระอีกครั้งโดยที่ตอนนี้กล้วยกับพี่น้ำเข้ามานั่งรออยู่ภายในห้องแล้ว เด็กน้อยกับใครคนนั้นมองตากัน เขาส่งรอยยิ้มให้กล้วยอย่างอ่อนโยนจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันงั้นเหรอ
          ป้าสวยมองกล่องไม้นั้นแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา ลุงขวัญเองก็มองมันไม่ต่างกัน ใครคนนั้นมองตาผมสลับกับกล่องไม้แล้วร้องไห้ไม่หยุด ผมรับมันมาถือไว้ ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้จากการสัมผัสกับตัวกล่องไม้คือความคลื่นไส้ อยากอาเจียน ผสมกับความอึดอัดคล้ายกับเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องแคบๆ
          ผมพยายามออกแรงดึงด้ายสีแดงที่พันกันเป็นก้อนจนหนาออกแต่ก็ทำไม่ได้เพราะจับมันไม่ถนัด ผมมองหาของมีคมในห้องนั้นแต่ก็หาไม่เจอจึงหันไปถามลุงขวัญว่าถ้าหากมันพังจะเป็นอะไรหรือไม่ เมื่อเจ้าของอนุญาตแล้วผมจึงใช้ไฟแช็กที่วางอยู่ตรงกระถางธูปเผาด้ายให้มันขาดออกจากกัน
          ด้ายที่ค่อยๆขาดนั้นทำให้ป้าสวยร้องไห้ออกมาอย่างโหยหวน ตอนแรกผมนึกว่าเขาเจ็บ แต่เปล่า มันคล้ายกับความเสียใจที่ล้นทะลักออกมามากกว่า เมื่อเส้นด้ายหายไปหมดแล้วผมจึงออกแรงเปิดกล่องไม้นั้นแต่มันกลับยังเปิดไม่ออกอีกอยู่ดี ผมหันไปหาลุงขวัญแกรับไปถือไว้แล้วเอียงมันเล็กน้อยใช้ไฟรนผ่านช่องว่างแคบๆระหว่างฝาและตัวกล่องอยู่สักครู่หนึ่งแล้วออกแรงกระชากจนฝามันเปิดออก
          ป้าสวยร้องไห้โหยหวนกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน ผมรับกล่องนั้นมาถือไว้อีกครั้ง ข้างในมีถุงพลาสติกอยู่ถุงหนึ่ง ผมคลี่มันออก คราวนี้ผมได้อาเจียนออกมาจริงๆเพราะกลิ่นเน่าที่เหม็นอับลอยเข้ามาปะทะจมูกอย่างจัง สติที่เหลืออยู่น้อยนิดยังพอเอื้อมมือไปคว้าเอาถังขยะเล็กๆในห้องพระมารองเศษอาหารไว้ได้ กลิ่นนั้นคลุ้งอยู่ทั่วห้อง ผมอาเจียนไม่หยุดเพราะกลิ่นที่ปะทะเข้ามา
          ลุงขวัญเปิดประตูให้กว้าง เปิดพัดลมแรงเพื่อระบายอากาศ ธูปถูกจุดเพื่อใช้เป็นเครื่องดับกลิ่นแทนการสักการะในเวลานี้ กลิ่นค่อยๆจางลงตามอากาศที่ถ่ายเทมากขึ้น ผมเอาผ้าปิดจมูก คลี่ถุงพลาสติกออกดูอีกครั้ง ด้านในถุงมีห่อผ้าขาวที่เป็นต้นตอของกลิ่นที่พวกเราได้รับ มันมีคราบสกปรกที่ลุงขวัญบอกกับเราในภายหลังว่ามันคือคราบน้ำเหลืองของศพที่ฝังดิน
          ภายในห่อผ้านั้นมีบางอย่างบรรจุอยู่ ผมมือไม้อ่อนไม่กล้าจับขึ้นมาดูหลังจากได้เห็นมันด้วยสองตา ผมเลื่อนมันกลับไปหาป้าสวย เอามือปิดปากปิดจมูกไม่กล้ามองสิ่งนั้นโดยตรง ลุงขวัญจึงเป็นคนหยิบมันขึ้นมาแทน และส่งมันให้กับป้าสวยที่ร้องไห้หนักกว่าที่เคยเจอมาทั้งหมด สิ่งที่พวกเราได้เห็นคือ ลูกกรอก แบบที่เคยได้ยินคำร่ำรือมานาน
          ใครบางคนในร่างของป้าสวยหยิบร่างเล็กๆนั้นมาถือไว้ในมือทำท่าประคองคล้ายการอุ้มแล้วร้องไห้โหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน ยังไม่ทันทีเราจะได้กระทำการใดกันต่อไป ป้าสวยที่ร่างกายคงจะอ่อนเพลียมากแล้วก็ล้มพับลงไปนอนนิ่งทั้งอย่างนั้น เหลือเพียงพวกเราที่ทำอะไรไม่ถูก
          พี่ดินเข้ามาจัดท่าทางของป้าสวยให้นอนลงกับพื้น มีพี่น้ำคอยบบีบนวดให้ยาดม ลุงขวัญดูแลกล้วย ปล่อยให้ผมกับต๋องดูแลกล่องไม้และเด็กคนนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
           ป้าสวยลืมตาแล้วแต่ยังไม่พูดจาอะไรกับเรา ลุงขวัญวางกล้วยลงกับพื้นเดินเข้ามาหาผมแล้วถามว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี คำตอบของผมมีเพียงสิ่งเดียวสั้นๆ คำพูดเดิมๆที่พูดกับใครหลายคน คำพูดที่ผมไม่อยากจะพูดมันอีกเพราะไม่อยากให้มันเกิดขึ้น “ปล่อยเขาไปเถอะครับ”
          ลุงขวัญพยักหน้าสะกิดผมให้เดินตามออกมาข้างนอกห้องพระโดยมีต๋องตามมาด้วย สิ่งที่ชายชราคนนี้ไม่กล้าพูดต่อหน้าคนในครอบครัวคือสิ่งที่ตนถือครองเอาไว้กับตัวเอง
          “คนที่สอนเรื่องโลงให้กับลุงเขาเป็นสัปเหร่อ เขาไม่ได้สอนแค่อาชีพ แต่เขาสอนวิชาให้กับลุงด้วย วิชาของสัปเหร่อที่เขาร่ำเรียนต่อๆกันมา ไม่ใช่แค่เรียน แต่มีทั้งของขลังของวิชาหลายเช่น เหมือนกับเด็กคนนั้น ทั้งหมดอยู่ในห้องพระ ลุงควรทิ้งมันไปทั้งหมดใช่ไหม”
          ผมไม่ตอบ จ้องหน้าลุงนิ่งๆเพราะคนตรงหน้าผมรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ เขาต้องเอาชนะความเสียดายให้ได้ ประโยคสั้นๆแต่ทำได้ยาก ผมเข้าใจ แต่เขาก็ต้องทำ เพราะมันกำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับหลายชีวิตนอกจากตัวเอง
          เราทั้งหมดเดินกลับเข้าไปในห้องพระ ป้าสวยพอจะลุกนั่งได้แล้วแต่ยังไม่มีแรงจะพูด กล้วยเองก็หลับไปแล้วเช่นกัน พี่ดินนั่งมองกล่องไม้ที่มีเด็กน้อยนอนนิ่งอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาอาจเพราะเขาเพิ่งจะมีลูกน้อยเป็นของตัวเองเลยทำให้สะเทือนใจมากกว่าคนอื่นๆ
          ลุงขวัญปีนหิ้งพระขึ้นไปที่โต๊ะตัวบนสุดหยิบเอากล่องไม้เก่าๆที่ซุกไว้ข้างใต้ออกมาวางไว้ที่พื้น กล่องนั้นมีมีแม่กุญแจล็อกเอาไว้ กล่องนั้นทุกคนเคยเห็นแต่ไม่เคยเปิดออกเพราะลุงขวัญบอกว่าเป็นของส่วนตัว กล่องไม้นั้นวางอยู่กับพื้นตรงหน้าพวกเรา กุญแจเก่าๆถูกไขเปิดได้อย่างง่ายดายผิดกับคราบสนิมที่เกรอะกรังอยู่ทั่วทั้งอัน
          ข้างในนั้นมีข้าวของมากมายอย่างที่ลุงขวัญพูด มีทั้งมีดหมอ เศษกระดูก ตะปูเก่า เศษผ้าเศษด้าย ผ้ายันต์ต่างๆมากมาย แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ สมุดเก่าๆเล่มหนึ่ง สมุดที่ปกของมันคุ้นตา มันเป็นสมุดที่มีชื่อโรงเรียนเขียนเอาไว้อยู่ สมุดที่น่าจะเป็นของแจกหรือของที่ไม่มีราคาค่างวดสักเท่าไหร่ แต่มันดึงดูดสายตาผมเหลือเกิน
          ผมเอื้อมมือไปหยิบเอาสมุดเล่มนั้นมาเปิดดูก็รู้สึกขนลุก ข้างในนั้นถูกเขียนด้วยลายมืออย่างคนสมัยก่อนทั้งเรียบร้อยและอ่านง่ายตัวหนังสือส่วนมากมีหางดูสวยงาม แต่เนื้อหาใจความนั้นน่ากลัวเอาเรื่อง เพราะมันบันทึกเอาไว้ทั้งคาถาอาคมและการประกอบพิธีอาถรรพ์ต่างๆรวมถึงการจัดการศพที่แบ่งออกเป็นหลากหลายชนิด เช่น ตายจมน้ำ ผูกคอตาย รถคว่ำตาย คุณจะเคยรู้ไหมว่าสัปเหร่อโบราณมีวิธีจัดการกับศพเหล่านี้แตกต่างกัน โดยเฉพาะกับศพตายทั้งกลม

          ผมไล่อ่านทุกอย่างที่บันทึกเอาไว้อย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจ ผมรู้สึกว่าสมุดเล่มนี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ เมื่อแน่ใจอย่างนั้นผมจึงพูดมันออกไป ลุงขวัญขมวดคิ้วสงสัย
          “มันเป็นสมุดธรรมดาๆที่อาจารย์ของลุงเขาเขียนให้นะ มันจะขลังขนาดนั้นเลยเชียวหรือ ไม่ใช่สมุดใบข่อยใบลานอะไรสักหน่อยนี่นา ลุงเสียดายคิดถึงอาจารย์ก็เลยเก็บไว้” ลุงขวัญอธิบาย
          “วัสดุรูปร่างหน้าตามันไม่เกี่ยวอะไรหรอกครับ มันอยู่ที่คนเขียน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขียนและประจุเข้าไปมากกว่า ผมเชื่อว่าคนเขียนเขียนมันด้วยความตั้งใจ มันเต็มไปด้วยความหวังดี จิตที่แน่วแน่ตรงนั้นต่างหากที่ทำให้มันมีกำลังเข้มขลังอย่างนี้ แต่แย่หน่อยที่สิ่งที่มันเขียนอยู่ในนี้มันเป็นไสย มันเลยมีผลดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาด้วยได้ บวกกับข้าวของพวกนั้นที่ลุงเก็บไว้นั่นแหละครับ”
          “ก็คงจะจริง สมัยนั้นลุงไม่มีอนาคต ไม่รู้จะทำมาหากินอะไรเงินทองก็ไม่ค่อยมี อาจารย์เขาเอ็นดูลุง เขาเลยสอนทุกอย่างให้ หวังว่าลุงจะเอามันไปทำอาชีพได้ ท่านให้ชีวิตใหม่กับลุงเลย”
          ผมไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้นเพราะกลัวว่ามันจะกลายเป็นการว่าร้ายผู้มีพระคุณของลุงขวัญ ผมตัดบทด้วยการบอกให้ลุงขวัญเอาของพวกนี้ไปจัดการเสีย จะลอยน้ำ จะเผาไฟก็แล้วแต่ศาสตร์แต่ความเชื่อของลุง แต่อย่างน้อยก็อย่าเก็บของพวกนี้ไว้กับตัวจะดีกว่า ถ้ายังเป็นห่วงกล้วยอยู่
          ลุงขวัญพยักหน้าจุดธูปสิบหกดอกปักลงในกระถางใช้เวลาอีกพอสมควรในการกราบพระและบริกรรมคาถาที่ลุงอธิบายให้ฟังทีหลังว่าเป็นการวางวิชาคืนครู ผมไม่ได้เข้าใจมากนักแต่ตอนที่ลุงขวัญบริกรรมคาถาปลุกของผมเห็นตามเนื้อตัวของลุงขวัญแดงเรื่อขึ้นมาเป็นจุดๆ เมื่อตั้งใจมองก็จะเห็นว่ารอยเหล่านั้นมีเป็นยันต์รูปต่างๆที่ลุงขวัญเคยสักน้ำมันไว้นั่นเอง
          ข้าวของทุกชิ้นถูกหยิบใส่ในกล่องไม้แล้วรับปากว่าจะนำทุกๆชิ้นไปจัดการในวันพรุ่งนี้ทันทีที่รุ่งสางมาถึง ส่วนเด็กน้อยนั้นผมขอลุงขวัญนำมาถือไว้ครู่หนึ่ง น้ำมนต์ที่ทำเอาอย่างง่ายๆในห้องพระและบทแผ่เมตตาที่ทุกคนคุ้นเคย ผมใช้มันต่างบทคาถาหรูหราที่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเข้าใจ ผมเลือกที่จะใช้ภาษาที่สื่อความรู้สึกได้มากกว่าสิ่งเหล่านั้นในเวลานี้
          น้ำมนต์ไม่กี่หยดประพรมลงบนผิวแห้งๆของเด็กน้อยแล้วจึงวางเขาลงในกล่องตามเดิม ป้าสวยร้องไห้สะอึกสะอื้น ครั้งนี้ป้าสวยไม่ได้ถูกแทรก แต่เธอบอกว่าเธอยังรับรู้ถึงความรู้สึกของคนที่มาใช้ร่างเธอเมื่อสักครู่ได้อยู่ มันคือความรู้สึกรักอันโหยหาที่ผ่านเวลามานานแสนนาน
          ลุงขวัญสารภาพให้พวกเราฟังอีกครั้งว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นหนึ่งในของที่อาจารย์ให้เขามาในวันที่ตั้งใจจะเปิดกิจการขายโลงศพ จุดประสงค์นั้นเหมือนกับการเลี้ยงกุมารและนางกวักไม่มีผิด ลูกกรอกนอกจากใช้เป็นอาวุธอาคมแล้ว ยังเป็นตัวแทนของโชคลาภค้าขายที่รู้จักกันในวงกว้าง
          เด็กน้อยถูกกักขังและใช้งานมาอย่างยาวนานพร้อมกับวิญญาณอันอ่อนแรงของคนเป็นแม่ที่คงจะถูกกำราบด้วยอาคมรุนแรงมารุ่นสู่รุ่น เฝ้ารอเวลา รอวันที่อาคมพันธนาการรอบลูกน้อยจะผ่อนกำลังลง รอวันที่ดวงของผู้ถือครองจะร่วงลงต่ำเพราะปัจจัยภายนอก เมื่อนั้นเธอคงจะได้เวลาจะทวงถามถึงความยุติธรรมที่ถูกมองข้าม
          “ลุงบอกว่าลุงบริจาคโลง เป็นการทำบุญ ลุงมีวิชา ลุงเข้าใจหลักการของไสยศาสตร์ ลุงรู้ว่าต้องจัดการกับศพ กับวิญญาณยังไง แต่ทำไมลุงถึงเก็บเขาไว้อย่างนั้น” ข้อเสียของผมคือผมมักจะหงุดหงิดมากเวลาเจอกับเรื่องแบบนี้

“ใช่ ลุงรู้ แต่ลุงคิดว่ามันจะช่วยให้ลุงค้าขายดีขึ้น ถ้าลุงอยู่ได้แล้วลุงจะปล่อยเขา แต่ลุงก็ลืมไป ลุงรู้ว่ามันผิดที่ลืม”
          “ไม่ใช่เพราะลืม แต่ลุงไม่ควรใช้เขาแต่แรก ลุงสงสารคนอื่น แต่ลุงกลับเอาเขามาใช้เป็นเครื่องมือแบบนี้ ลุงเอาสิทธิ์อะไรไปเลือกให้เขา เขาทำอะไรผิดถึงต้องมาอยู่อย่างนี้ ไอ้คนให้มันก็ส่วนคนให้เถอะ แต่ลุงรับมาลุงก็ทิ้งได้แต่ลุงก็เลือกที่จะใช้งานเขา เอ่อ... ขอโทษครับ”
          ทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองแสดงอาการก้าวร้าวใส่คนที่มีอายุต่างจากตนมากๆจึงต้องรีบขอโทษที่เสียมารยาท แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆที่เขาเลือกจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ดีที่ลุงขวัญไม่ถือโทษโกรธผมและเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะพูด ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เรียกให้ลุงขวัญกับพี่ดินลุกออกจากห้องพระไปจัดการเรื่องสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
          ทุกคนอาจจะลืมไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านหลังนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้ แต่ยังมีพวกที่ลุงขวัญจุดธูปเรียกมาและพวกที่ตกค้างผ่านเข้ามาในตัวบ้านอีกมากมาย ไอ้ผิดมันก็ส่วนผิดว่ากันไป แต่ส่วนที่พวกเขาเดือดร้อนก็ต้องยอมรับว่ามันจริง และช่วยกันหาทางออก
          ในสายตาของผมตอนนี้รอบบ้านยังคงเต็มไปด้วยเงาร่างของผู้คนมากมายที่ดูสมประกอบบ้างไม่สมประกอบบ้าง บ้างก็นั่ง บ้างก็ยืน บ้างก็พยายามชะโงกหน้าเข้ามาในบ้านแต่ก็ทำไม่ได้ ภาพนั้นน่าขนลุก เสียงกุกกักที่เราไม่ได้สนใจยังดังอยู่ตลอด ลมฟ้าลมฝนภายนอกก็ยังคงโหมกระหน่ำ เสียงนกแสกที่หายไปกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ตอนนี้ภาพที่น่าขนลุกที่สุดในสายตาของผมคือ หมาจรจัดจำนวนมากที่นั่งอยู่หน้ารั้วบ้านของลุงขวัญ
          พวกมันนั่งมองเข้ามาภายในบ้านเป็นตาเดียว ไม่หอน แต่ก็ไม่ขยับทั้งที่ฝนก็เทลงมาหนักขนาดนั้น ผมวางข้าวของที่มันจะเสียหายได้ไว้ในบ้านเดินออกไปกลางสายฝนโดยมีพี่ดิน ลุงขวัญ และต๋องตามมาติดๆ ผมใช้มีดหมอที่หยิบมาจากกล่องไม้ของลุงขวัญปักลงที่พื้นเป็นจุดๆให้ครบทั้งแปดทิศตามความเชื่อ วิธีนี้ผมจำมาจากปู่ที่ใช้ในงานหนึ่ง
          แต่ละจุดที่ปักมีดลงไปเราจะเชิญแม่ธรณี พระเพลิง พระพาย แม่คงคามาปกปักษ์ ปัดเป่าสิ่งไม่ได้ให้หายไปจนสิ้น จากนั้นลุงขวัญจะใช้กิ่งของต้นธรณีสารที่ผมบอกให้แกไปหามาอย่างเร่งด่วนเพราะผมเห็นตอนที่เดินดูรอบๆบ้านแล้วว่ามีอยู่ปักลงแทนที่รอยมีดนั้น พี่ดินจะทำหน้าที่โปรยข้าวสารแทนการให้ทานเลี้ยงสัมภเวสีเหล่านั้นให้จากไป ตามด้วยต๋องที่จะโรยเถ้าธูปจากกระถางในห้องพระเป็นกรอบวงกลมรอบบ้านคล้ายการขีดอาณาเขต วิธีเหล่านี้ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเอง ผมจำมาจากปู่ผสมกับความรู้ที่พอจะมีอยู่บ้าง และผมก็เคยเห็นคนอื่นประกอบพิธีคล้ายๆกันอย่างนี้อยู่บ้าง
          เราเดินวนจนรอบตัวบ้านกลับมาที่จุดเริ่มต้นคือหน้าประตูบ้าน หมาจรจัดที่นั่งมองอยู่ค่อยๆสลายตัวไปพร้อมกับความรู้สึกปลอดโปร่งของตัวบ้านที่มากขึ้น ผมถอนหายใจออกอย่างช้าๆ ความเย็นจากสายฝนกำลังจะทำให้ผมเป็นไข้ เราทุกคนเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านด้วยสภาพเนื้อตัวที่เปียกโชก ทุกอย่างจบลงแล้วในคืนนี้ พี่ดินเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาให้ผมเปลี่ยน แล้วผมก็ขอตัวหลับไปที่โซฟาทั้งอย่างนั้น
          ในวันรุ่งขึ้นผมไม่ได้ตามคนอื่นๆไปที่วัดเพื่อจัดการเผาข้าวของและส่งเด็กน้อยคนนั้นไปตามทาง ผมนอนเล่นอยู่ที่บ้านของลุงขวัญกับต๋องเพราะเหนื่อยมาก เราเก็บของแต่งตัวเตรียมกลับ ทันทีที่ทุกคนกลับมาเราได้พูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อยที่ผมจะขอสรุปให้ฟังสั้นๆไว้ตรงนี้
          เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นมันผสมปนเปกันไปหมดจนต้องค่อยๆอธิบายให้กันและกันฟังบนโต๊ะอาหารกลางวัน อย่างแรก อาชีพการขายโลงนั้นน่ายกย่อง และไม่ได้นำมาซึ่งความวิบัติแต่อย่างใด ของที่ลุงขวัญเก็บไว้ต่างหากที่ดึงดูดสิ่งไม่ดีให้เข้ามาหาคนในบ้าน นั่นคือข้อแรก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมป้าสวยจึงเป็นคนรับเคราะห์ เพราะลุงขวัญมีวิชา ดูแลตัวเองได้ คนที่เป็นภรรยาดวงอ่อนกว่าจะได้รับผลนั้นไปแทน เหตุการณ์คล้ายๆกันอย่างนี้เกิดขึ้นกับคนรู้จักผมหลายคน ที่สามีเป็นคนเล่นของ แล้วฝ่ายภรรยาได้รับเคราะห์แทน
          ทุกอย่างเกิดขึ้นไม่รุนแรงมาก แต่มันถูกซ้ำเติมด้วยความมักง่ายของคนอื่น นั่นคือของที่คนชอบเอามาทิ้งไว้ในบริเวณบ้านหลังนี้นั่นแหละ อาถรรพ์ของต่ำต่างๆที่ผู้คนเอามาทิ้งค่อยๆหลั่งไหลเข้าไปในตัวบ้าน คนในบ้านที่มาหยิบจับมันก็ได้รับผลกระทบไปทีละน้อย ประจวบกับที่บ้านนี้มีกล้วยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
          คนมีลูกใหม่ๆน่าจะรู้ดีว่าการที่มีเด็กน้อยเพิ่งเกิดนั้นเป็นเรื่องน่ายินดีแต่ก็ตามมาด้วยความหนักใจมากมายถ้าพูดกันตามตรง ไหนจะเรื่องการดูแล สุขภาพ เงินทอง เวลาพักผ่อนที่หายไป ยิ่งเด็กน้อยมาอยู่ในบ้านที่มีกระแสลบอบอวลอย่างนี้ไม่แปลกที่จะป่วยไม่เว้นวัน ความหนักใจของญาติๆ คือกระแสลบ ทุกอย่างมันผสมและผลักดันกันจนเกิดเป็นสิ่งที่ทุกคนได้เจอ พูดง่ายๆว่าคนทั้งบ้านดวงตกพร้อมๆกันจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน
          เหตุผลโดยรวมคืออย่างนั้น และพอถามจากป้าสวยเธอบอกว่าตอนนี้ไม่รู้สึกอึดอัดอีกแล้ว แต่ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เธอยอมรับว่าเธอพอจะแยกแยะความรู้สึกเหล่านั้นได้อยู่ เธอบอกว่าเธอรู้ว่านั่นไม่ใช่แค่ หนึ่ง แต่มีหลายคนที่พยายามจะเข้ามาใช้ร่างของเธอ ตอนแรกมันไม่ง่าย แต่หลังจากที่เธอไปรับขันธ์มา นั่นคือการเปิดจิตให้ทุกอย่างผ่านเข้ามาง่ายมากขึ้น ผสมกับการให้อาหารเลี้ยงสัมภเวสีในบ้านเข้าไปอีก คราวนี้ทุกอย่างก็ล้นเต็มบ้านไปหมด นอกจากเธอที่เป็นแม่ของเด็กน้อยคนนั้น เธอคนนั้นรอเวลาที่เหมาะสม ต่างจากพวกข้างทางอื่นๆ แต่การที่พวกนั้นเข้ามาในบ้านได้นั้นผมว่ามันเกิดขึ้นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแต่มันก็บ่อยกว่าบ้านอื่นๆเพราะในบ้านหลังนี้มีสื่ออยู่ก่อนแล้ว พวกของที่คนนำมาทิ้งไว้เองก็เป็นสื่อชั้นดี ไม่ใช่แค่วัตถุแต่มันมีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะมีวิญญาณติดมากับข้าวของเหล่านั้น ตัวป้าสวยเองก็ไม่ได้อยู่ในบ้านตลอดเวลามีการออกไปนั่นไปนี่ ตัวเองที่เป็นสื่อ ไหนจะเลี้ยงให้อาหาร คงไม่แปลกที่จะถูกเกาะมาขนาดนี้ แต่คืนนั้นมันวุ่นวายเพราะเจ้าบ้านอย่างลุงขวัญที่ไปจุดธูปเรียกพวกนั้นให้เข้ามานั่นแหละ
          ส่วนกล้วยนั้นผมยังไม่มีคำอธิบายมากนัก รู้แต่เพียงว่ามันเกิดขึ้นจริงกับตัวน้อง แต่น้องดูมีอะไรที่มันมากกว่านั้น พิเศษกว่านั้น แต่คงต้องอาศัยเวลาในการทำความเข้าใจ อย่างน้อยตอนนี้บ้านหลังนี้ก็ไม่เหลืออะไรที่เลวร้ายอีกต่อไป เด็กน้อยคงไม่ถูกรบกวนอีก
          จริง ที่บ้านหลังนี้เป็นผู้ถือครองวิชาและใช้มันในทางที่ผิด แต่ก็จริงที่เขามีเมตตาและสร้างบุญด้วยใจบริสุทธิ์ แต่สิ่งที่ทำก็คือทำ จะเอาความดีมาอ้างไม่ได้ เมื่อใช้วิชาในทางลบแล้วก็ต้องรับผล และก็จริงอีกเช่นกันที่บ้านหลังนี้เป็นเหยื่อของความมักง่ายจากบุคคลภายนอก ทุกวันนี้ก็ยังคงต้องเจอเรื่องเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาไม่มีวันหมด ลุงขวัญก็ทำได้แค่กรวดน้ำและเอาของต่ำเหล่านั้นไปกำจัดทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า
          “สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด เรารู้ดี แต่เรามักจะหาข้ออ้างมาเข้าข้างตัวเอง เพื่อใช้ประโยชน์มันแล้วหลอกตัวเองว่ามันไม่ผิด เสียมากกว่า”
.............................................................................................


เรื่องราวครั้งนี้จบลงโดยมีทั้งเรื่องที่เข้าใจและไม่เข้าใจ ทั้งรู้ที่มาแต่ไม่รู้ที่ไป ส่วนบางเรื่องเองก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่ก็ไม่ได้กลับไปติดต่ออะไรกันอีก
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ครับ สามารถตามไปพูดคุยหรือติดตามเรื่องราวต่างๆได้ใน Facebook Page : ลอยชาย. ครับ

ขอบคุณอีกครั้ง และ ขอย้ำอีกครั้งว่า
เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียง "ความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน"
ลอยชาย.

จากพันทิป คนขายโลง
เรื่องโดย  LoyChinE
FACEBOOK ลอยชาย

ไม่มีความคิดเห็น