คุณเคยเชื่อเรื่องคนตายแล้วฟื้นไม๊คะ


      เรื่องจริงที่เกิดขึ้นตายแล้วฟื้นเกิดขึ้นกับสมาชิกพันทิป Rabbitizz เจ้าของกระทู้ "คุณเคยเชื่อเรื่องคนตายแล้วฟื้นไม๊คะ" เชิญสัมผัสประสบการณ์ตายแล้วฟื้นกันเลย ขอขอบคุณประสบการณ์สยอง ไว้ ณ ที่นี้ด้วย


สวัสดีค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เราเคยเล่าเรื่องนี้ให้พี่ที่เรานับถือมาอยู่ครั้งนึง แต่ว่า เรากลับไม่เคยคิดจะเล่าลงใน Pantip เลย จนวันนึง พี่เค้าได้บอกกับเราว่า ลองเล่าเถอะ ถึงแม้ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ แต่อย่างน้อย ก็อาจจะทำให้ใครหลายๆคนคิดได้ หรือ ไม่ก็เป็นวิทยาทานแทน เราก็เลยคิดว่าจะเล่า จริงๆแล้ว เราพิมพ์ไปหลายรอบนะ และเราก็ลบทิ้งไปหลายรอบเช่นกัน วันนี้เลยดึงความกล้าของตัวเอง เพื่อที่จะมาเล่าให้ใครหลายๆคน ได้คิดว่า บุญ และ บาป มีจริง

ขอบอกก่อนนะคะ เรื่องนี้ก็อยู่ที่ดุลยพินิจ และ วิจารณญาณ สำหรับ บุคคล เราจะไม่ว่า ไม่ก้าวก่ายนะคะ ขอความกรุณา งดดราม่านะคะ เราพิมพ์ในมือถือ อาจจะมีผิดตกหล่น หรือ ไม่กระชับ ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ

PART 1


ย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 เราคนนึงที่มีโรคประจำตัวรุมเร้ามาตลอด และ ยากต่อการที่จะรักษาให้หายได้ โรคที่เราเป็น เกือบคร่าชีวิตเรามาถึง 2 ครั้งแล้วค่ะ
โรคหัวใจ ใช่ค่ะ เราเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่กำเนิด เป็นทั้งตีบ รั่ว โต ล้มเหลว รวมทั้งไต ผ่าตัด ทำบอลลูน ฉีดสี ใสเสต๊นท์ มารวมๆ9รอบแล้ว

วันนึงขนะที่เรานั่งเรีนนอยู่นั้น เพื่อนเราคนนึง เดินมาถามเราว่า แก...กลางวันจะกินอะไรอ่ะ เราก็หันตัวไปทางด้านข้างของเก้าอี้ และบอกว่า เอาเหมือนเดิมนะ มันก็ อ่อๆ เคๆ.... สักพัก เราเจ็บหัวใจมาก เจ็บเหมือนโดนเข็มแทง แล้วปักเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนเราตั้งตัวไม่ทัน เราเจ็บปั๊ป เราจับแขนเพื่อนเรา สักพัก เราก็ค่อยๆ ปล่อยมือที่เราจับแขนมันมา เพื่อนถามเราว่า โอป่ะเนี่ย เราก็อืมๆ หายแล้ว แต่ยังไม่สิ้นสุดเสียงค่ะ
ตัวเราล้มไปด้านหลัง เพื่อนที่นั่งข้างๆเรา ด้วยความตกใจ มันเอาเท้าหลบค่ะ ช่างแสนดีจริงๆ เราพยามๆ คว้าโต๊ะเรียน แต่ตัวเราหนักมาก 70โลแหนะในเวลานั้นนะคะ

หลังจากนั้น โต๊ะเรียนแบบโต๊ะไม้อ่ะค่ะ ที่เปิดลิ้นชักสูงๆขึ้นมาได้ มือเราพยามคว้า แต่ไม่ได้ช่วยเลย กลับเป็นว่า เราเอาโต๊ะ มากองอยู่กับตัวเราทั้ง 2 ข้าง และนั้นเอง ทำให้เราเกิดอาการกำเริบ ช๊อค ค่ะ เพื่อนๆ และ อาจารย์ พาเราส่งรพ. แต่แค่กลัวไปไม่ทัน เลยเอากระบะ โรงเรียนไปส่งรพ. แทน ระหว่างเพื่อนๆตัวผ๊อมผอมกันมาก กำลังแบกอีโอ่งอยู่ คนที่ไม่เคยอุ้มก็ไม่รู้จะทำไงเนอะๆ ก็ทำได้แค่ว่า แบกหาม คนนึงแขน คนนึงขา เถียงกันไม่จบ ยัดๆเราเข้าไปในรถกระบะ เจ้ากรรมแต่ใดมา หัวฟาดกับประตูกระบะอีกรอบค่ะ ทำให้เราแน่นิ่งไปในบัดดล

Part2....

ระหว่างทางที่อยู่บนรถกระบะ ตอนนั้นแทบจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ จำได้แค่ว่า ถึงโรงพยาบาลแล้ว ระยะทางทำไมมันไกลจังเลยนะ กว่าจะถึงโรงพยาบาลได้ พอบุรุษพยาบาล มารับขึ้นเตียง จำได้คำเดียวที่ตะโกนออกไป ว่าเจ็บ เจ็บมาก แล้วหลังจากนั้น เราเองก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยค่ะ

ช่วงเวลานั้น ถามว่าเรารู้สึก รู้ตัวไม๊ เราตอบได้ว่า ถ้าภายในโรงพยาบาลนั้น ไม่ค่ะ เราไม่ได้รับรู้กับความเจ็บปวด ความทรมาณอะไรเลย ทุกๆคนบอกเราว่า ภาวะหัวใจเราหยุดเต้นไปแล้ว หมอกับพยาบาลต้องปั๊มไปเรื่อยๆ จนถึง CCU ค่ะ (คำบอกเล่านะคะในระหว่างทาง)
ใช่ค่ะ ระหว่างทาง เราคือคนที่เป็น เราไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้ว่ามีใครอยู่รอบนอก รอเราอยู่ ไม่รู้ชะตาชีวิตจะเกิดอะไรขึ้น จิตเราได้ปล่อยไป ปล่อยออกไปเรื่อยๆ จนมาหยุด ณ ที่แห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้ เราจำได้ดี และแน่นอน มันไม่ใช่ความฝัน ถ้าหากว่าไม่เป็นความฝันจริงๆ มันก็เป็นอะไรที่เหลือเชื่อค่ะ เพราะทุกๆอย่างที่เราได้พบ ได้เจอ มันทำให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนละคนค่ะ

PART3....

ระหว่างที่เราสลบไป หมอได้ออกมาบอกกับ คุณพ่อคุณแม่ว่า น้องหัวใจหยุดเต้นไปแล้วนะ ต้องให้ผู้ปกครองยินยอม เพื่อที่จะชาร์ตน้อง แต่โอกาส มีครึ่งๆ เท่านั้น พ่อแม่เราได้ยินก็เซ็นต์ยินยอมค่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่เนอะ คงไม่อยากให้ลูกตายไปทั้งคนหรอกค่ะ ท่านก็รักษาเราเท่าที่ท่านจะทำได้ แต่เรานี่สิ กลับไม่คิดอย่างนั้น...

ระหว่างที่คุณหมอได้พยายาม ชาร์ตให้เรา เราเคย บายพาส มาแล้ว 2-3รอบ แน่ๆคือ ซี่โครงเรามีโอกาสเสี่ยงที่จะแตกได้ง่าย เพราะ เราก็ต้องดามมาก่อน คุณหมอได้ทำการลงมือชาร์ตเรา รอบแรก..... ชีพจรยังนิ่ง

รอบสอง.......เริ่มกลับมา เบาๆ แล้วก็หยุดไป

หมอเลยตัดสินใจ ชาร์ต อีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิมค่ะ

คุณหมอได้บอกกับคุณพ่อว่า : ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ หากยิ่งทำไป ความเสี่ยงของน้องก็จะยิ่งสูงขึ้น
พ่อเรา เมื่อได้ยินจากหมอแบบนั้น แน่นอนค่ะ เป็นใคร ใครก็คงตั้งสติไม่อยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อเราทำได้คือ

คุณพ่อ : หมอครับ ผมขออีกสักครั้งได้ไม๊ครับ ผมไม่อยากจะเสียลูกสาวคนนี้ไป
คุณหมอ : ผมได้บอกคุณไปแล้วว่าอัตราการเสี่ยงมันสูงมากนะ ถึงจะฟื้นหรือไม่ คุณก็ต้องทำใจ
คุณพ่อ : ลูกผมทั้งคน นะครับ ผมจะปล่อยให้เค้าตายต่อหน้าต่อตาผมหรอครับ หมอมีลูกไม๊ครับ ถ้าเป็นหมอ จะทิ้งลูกไม๊ !?!

ปล. ที่เรารู้ เพราะว่า คำพูดของคนรอบๆข้างที่จากไปแล้ว

หมอ : ได้ครับ ในเมื่อคุณพ่อยืนยันตรงจุดๆนั้น ผมก็จะทำอะไรมากไม่ได้ นอกจาก คำยินยอมของญาติ

คุณหมอเลยเดินกลับ เข้าไปที่ห้องอีกรอบ

ในเวลานั้น สิ่งที่เราจำได้ดี คือ เราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ แต่เราได้ลงไปยืน งง อยู่ข้างล่าง ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนถึงยืนต่อแถวเยอะแยะ ทำไมเสียงหลังประตู ถึงโหยหวน ทำไมถึงมีเสียงหวีดร้องลอดออกมาจากประตูบานนั้นนะ

คำถามที่มันวนเวียนอยู่ในหัว ถามว่ากลัวไม๊ ตอนนั้น คือ ความสงสัยที่มันเต็มอยู่ในหัว แน่นอยู่ในอก แต่ที่แปลก คนทุกๆคน พูดภาษาเดียวกัน ไม่ต้องอ้าปากพูด ไม่ว่าจะคนไทย จีน ฝรั่ง พูดภาษาเดียวกันหมด คือไรอ่ะ งง!?!

นั่นคือ เด็กคนนึงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ได้แต่ยืนงง หันซ้ายที ขวาที และความกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำ.....

PART4 .....

ระหว่างที่เรายังยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ไม่มีใครสามารถบอก หรือ คุยกับเราได้ว่า ที่นี่ที่ไหน มาได้ยังไง คืออะไรกันแน่!?! ทุกๆคนต่างเดินผ่านเราไป เรายืนอยู่ตรงกลางสะพาน ทางที่หลายๆคนเค้าต่อแถวกัน เสียงคนพูด อยู่ด้านหน้า ดังมาก เสียงดังก้อง ตัวใหญ่มาก ใหญ่แบบที่ว่าเราไม่เคยพบเจอมาก่อน เราเริ่มนิ่ง น้ำตาเริ่มคลอ แต่ใจเราไม่ได้เรียกร้องหาใครเลย แค่ตกใจ ว่า มันเป็นบ้าอะไรวะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทุกๆอย่างมันดูหมุน หมุน หมุนวนไปวนมา คนเริ่มหันมามอง และมีเสียงดุดัน เรียกเรา แต่แล้ว... ก็มีเสียงที่ฟังแล้ว เงียบสงบ ฟังแล้วสุขใจ ฟังแล้วอิ่ม เราไม่รู้นะเวลาตอนนั้นควรหาคำไหนมาพูด แต่แค่รู้ว่า เสียงนั้น ทำให้เราคลายจากความกลัว ความกังวล

เราหันไปเห็นชายผ้าเหลืองค่ะ พระท่านเดินมาได้อย่างสุขุม เรียบๆ แล้วท่านได้บอกกับคนที่ตัวใหญ่ๆว่า อาตมาขอเวลาสักประเดี๋ยวนะท่าน ..... คนๆนั้น พยักหน้าให้หลวงพ่อ แล้วเสียงก็เริ่มเงียบลง ไม่ใช่ว่าฟังที่หลวงพ่อกำลังจะเทศน์อะไรนะคะ แต่เป็นอารมณ์ที่ว่าเกรงใจ เคารพ ต่อผู้หลักผู้ใหญ่

หลวงพ่อท่านยิ้มให้กับเรา.... เรานึกขึ้นได้ สติตัวเองเริ่มกลับมา ว่าอยู่ต่อหน้าพระสงฆ์ควรทำตัวยังไง

เราค่อยๆลงไปคุกเข่า แล้วค่อยๆกราบเท้าท่าน 3ที....ทุกๆอย่างเป็นไปอย่างอัตโนมัติค่ะ.....

หลังจากนั้น หลวงพ่อได้บอกกับเราว่า...... เจริญพรโยม......
เราก็ได้แต่สาธุเจ้าค่ะหลวงพ่อ ตอนนั้นคำถามที่วนเวียนอยู่ในสมองเรา เราอยากจะถามท่านมากมาย ว่าที่นี่คือที่ไหน หนูมาได้ยังไง เกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนพระท่านพอจะเดาออก หรือ ทราบว่า เราคงอยากรู้แน่ๆค่ะ

ท่านได้บอกกับเราว่า โยม.......(ขอเว้นชื่อนะคะ)
โยมยังไม่ถึงเวลานะ

แค่คำๆเดียวที่หลวงพ่อท่านได้บอกว่า ยังไม่ถึงเวลา ทำให้ใจเราตกลงไปที่ตาตุ่มเลย น้ำตาไหล นองหน้า

เราจึงถามกับหลวงพ่อท่านว่า แล้วโยมควรทำอะไรได้บ้างเจ้าคะ???

คำถามที่หลวงพ่อยิงมารอบที่ 2 ทำเราเงียบค่ะ
หลวงพ่อได้บอกกับเราว่า....... โยมอยากกลับไปหรือไม่ ไหนลองบอกหลวงพ่อที....

เชื่อไม๊คะ สำหรับใครหลายๆคน คงลุกลี้ลุกลน จะกลับไปให้ได้ แต่แล้วภาพหลายๆภาพ มันเริ่มเข้ามาในหัวเรา

หากจะบอกว่า ตอนนั้น เราเลวก็ได้นะ เรารู้ตัวดีเลย
เราไม่ได้ไปแช่งใครให้ตาย แต่เราบอกว่า เราอยากจะตาย ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว อยู่ไป ก็ไม่มีใครรัก อยู่ไปก็เหมือนกับตัวประหลาดที่ใครๆก็ไม่ต้องการ

ใช่ค่ะ เราคิดแบบนั้นนะ เพราะว่า... ชีวิตเรา ตั้งแต่ประถม จนถึง มัธยม 3 เราแทบจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เราเลย

ลืมบอกไป บ้านเราเป็นคนจีน เราเป็นผู้หญิงคนกลาง และ มีพี่สาวที่เป็นคนโตของตระกูลทั้ง ฝั่งแม่กับพ่อ  และน้องชายที่เป็นลูกหลง ห่างกับเราเกือบ 10ปี

เราเลยได้บอกกับหลวงพ่อว่า ไม่ค่ะ หนูไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตที่ทรมาณ โดนใครๆกดขี่ข่มเห็ง โดนแม่เอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คำๆนึงที่เราจำได้ฝังใจตั้งแต่ปี 49-50 ที่ผ่านมา แม่บอกว่า เค้ากลัวตอนแก่ จะไม่มีใครเลี้ยงเค้า และเราต้องรับผิดชอบหนี้ที่เราผ่าตัดไป .....

ขออนุญาติไปพักก่อนนะคะ ขอต่อพรุ่งนี้นะคะ ตอนนี้ตามึนๆเบลอๆแล้วค่ะ และยังมีอีก หลายๆอย่างที่คุณไม่มีวันรู้ หากคุณไม่ได้ออกไปเผชิญกับความเป็นจริงค่ะ

PART 5.....

ความคิดของเราต่างๆ มันเริ่มผุดขึ้นมาทีละเล็กๆ น้อยๆ แล้วเราก็เริ่มร้องไห้ เสียใจ ทำไมต้องมาเป็นเรา ทุกๆอย่าง มันเป็นภาพที่อยู่ภายในใจของเราที่เราจำได้ พ่อแม่ไม่รักเรา ทอดทิ้งเรา ให้ป้าเลี้ยง หาข้าวปลาอาหารเอง ทำทุกๆอย่างเอง มันทำให้เรารู้สึกว่า กลับไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น ถ้าตายไป ก็คงสบายใจกว่า ไม่ต้องมารับรู้อะไรเลย ไม่แน่เค้าอาจจะดีใจด้วยซ้ำไป ที่ไม่มีเรา เพราะเราก็คงเป็นภาระให้เค้ามาตลอด....

แต่ความคิดของเรา มันเป็นจิตที่พูดออกมาเองโดยเราไม่รู้

หลวงพ่อถามเราว่า รู้สึกเช่นนั้นหรือ???
เราได้พนมมือแล้วตอบกลับไป สั้นๆว่า "ค่ะ"
หลวงพ่อบอกกับเราว่า โยมอยากรู้ไหมว่า ท่านทั้งคู่ไม่รักโยมจริงๆหรือ หรือว่าโยมปิดกั้นใจตัวเอง ปากของโยมบอกว่า รังเกลียด บุพการี แล้วทำไม
โยมมักเป็นห่วงท่านทั้งคู่ตลอดเวลาล่ะ โยมต้องรีบกลับบ้านมาเพื่ออะไร (ตอนนั้นเราอยู่ ม.ปลาย แล้วค่ะ กลับมาอยู่บ้านแล้วค่ะ) โยมคิดดีๆเสียนะ
เราก็ฟังตามหลวงพ่อไป คิดตามท่านไป  หลวงพ่อบอกว่า มีเวลาอีกไม่นานนะ เราต้องตัดสินใจได้แล้ว ก่อนที่ทุกๆอย่างจะสายไป....

สิ้นเสียงคำพูดที่หลวงพ่อได้บอก เราคิดนะ ถ้าไม่มีเรา พ่อแม่ก็ไม่ต้องมาหาเงินเพื่อมารักษาเราหรอก ไม่ต้องมาเสียเงินค่ายา ค่าเทอม ค่าจิปาถะ แต่ว่า.......

              เรายังไม่ได้ทดแทนบุญคุณท่านเลย

หลวงพ่อได้แต่ยิ้มมุมปาก แล้วบอกว่า เจริญพรโยม โยมคิดถูกแล้ว ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐไปกว่า การที่ลูกนั้นได้เกิดมา แล้วได้เลี้ยงดูท่าน ได้ทดแทนบุญคุณท่าน ถึงแม้ว่าจะทดแทนได้ไม่หมด เท่าที่ท่านให้เราเกิดมา.....

น้ำตาเราไหลหนักมาก กลัวมากว่าจะเป็นยังไง กลัวมากว่าจะได้กลับไปจริงๆไม๊

หลวงพ่อได้บอกเราอีกอย่างนึงว่า .....

          จำคำพูดของหลวงพ่อไว้นะ เมื่อโยมกลับไป ทุกๆอย่างจะไม่เหมือนเดิม เราจะต้องช่วยเหลือกับสิ่งที่เค้าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เราต้องตั้งมั่นในความดี แล้วเราจะได้รู้ว่าข้างล่างและข้างบนต่างกันอย่างไร โยมจำสิ่งที่อาตมาบอกไว้นะ....

PART 6......

หลังจากนั้น เราก็ตัดสินใจที่จะกลับไป โดยหลวงพ่อท่านเป็นคนนำทาง ตอนนั้นเอง ทุกอย่างมันรวดเร็วหมด แต่หลวงพ่อท่านเองก็ยังคอยกำชับไว้ว่า
จำคำพูดของอาตมาให้ดี คนส่วนน้อยที่จะได้พบเจอเรื่องแบบนี้ และ ส่วนมาก ก็ใช่ว่าจะเชื่อเรื่องพวกนี้

ขอย้อนกลับไป PART 3 .... นะคะ ที่คุณพ่อคุยกับคุณหมอ
หลังจากที่คุณพ่อเซ็นต์ยินยอมในการรักษา ทุกๆอย่างแล้ว คุณหมอเองก็เดินเข้าไปในห้องเพื่อที่จะ ชาร์ต เราอีกครั้ง คุณหมอบอกกับคุณพ่อว่า เสียงกับซี่โครงหน้าจะร้าวนะ เพราะเราเคยผ่าตัดลิ้นหัวใจมาก่อนแล้ว

คุณพ่อก็ได้พยักหน้า ว่ายังไงก็ยังดีกว่า เสียลูกไปตลอดชีวิต อย่างที่จะไม่ได้เจอกันอีกเลย

คุณหมอก็เลยตกลง และ นั่นคือ จุดเริ่มต้น หลังจากที่ตัดสินใจว่า จะกลับมาโดยมี พระรูปนึง นำทางมาให้

คุณหมอได้ทำการชารต์ อีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 ......
หลังจากที่ได้ชารต์ไปแล้ว ชีพจรค่อยกระเตื้องขึ้นมา และ จากที่พยาบาลเล่าว่า ชาร์ตรอบที่ 4 นั้น ตาเราไม่กระพริบเลย คือ ตาเราเบิกโพรง ประมาณ เกือบ 5 นาที คุณหมอเลยให้พยาบาลเอาน้ำตาเทียมมาหล่อไว้ที่ตาเราตลอด เพื่อไม่ให้ตาเราแห้ง และเป็นต้อค่ะ

หลังจากที่เรากลับมา ผลกระทบของจากการหมดสติ หัวฟาดลงไปกับพื้น บวกกับ ฟาดกับ ประตูกระบะอีกรอบ ทำให้เราลืมอะไรไปในอดีต....
และนั่นคือ จุดเริ่มต้นแห่งการไม่รู้ว่า คนนี้คือ คน หรือ วิญญาณ

หลังจากที่เรากลับมา เราจำอะไรไม่ได้ จำใครต่อใครไม่ได้ แม้กระทั่ง พ่อ แม่ ของเราเอง
ทุกๆคนค่อยช่วยกันฟื้นความจำเราทีละเล็ก ทีละน้อย จะมี พ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้า น้า อา แวะเวียน หรือผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมค่ะ

แต่จะมีคนๆนึงอยู่ ที่มาเยี่ยมเรา ตลอดในเวลาที่ไม่มีใครอยู่ในห้อง และ จะออกไปในช่วงที่มีใครใกล้จะกลับเข้ามาดูแลเรา

ซึ่ง เค้าคนนี้ได้ บอกเราว่าเป็นอา เป็นน้องชายคุณพ่อ เราก็เชื่อนะคะ

ในเวลานั้น ความทรงจำอะไรต่างๆของเราหาย เราอยากจะจำมันได้ทั้งหมดค่ะ เราก็ยินดีรับฟังทุกๆคน ว่าใครเป็นใคร แฟนเราคนไหน เรามีพี่น้องกี่คน มีญาติกี่คน ประวัติเราเป็นมายังไง คือ เราไม่รู้อะไรเลย นอกจากรูปถ่าย และ เรื่องเล่าจากปาก

อาของเรา ได้มาเยี่ยมเราทุกๆวันค่ะ ชวนเราคุยเยอะแยะไปหมด จนมีอยู่วันนึง เราเลยถามอาว่า อาเป็นอะไรกับคนที่บ้าน อาเลยบอกว่า อาเป็นน้องชายคุณพ่อเรา เราก็เลยถามว่า ถ้าเป็นน้องชาย หรือ ญาติเรา ทำไมถึงไม่มาพร้อมกับคนที่บ้านบ้าง และ ทำไมถึงต้องกลับไปก่อนเวลาที่จะมีคนเข้ามา ทำไมถึงรู้ว่า จะมีใครเข้ามาในห้อง คือเรา ไม่เข้าใจจริงๆค่ะ ในเวลานั้น

พอเรายิงคำถามต่างๆนานากับอาของเรา เราได้เพียงคำตอบเดียวว่า อาเราไม่ถูกกับคนที่บ้าน อาเรามีปัญหากับคนที่บ้านอยู่ เลยไม่อยากเจอ เพราะกลัวว่า จะต้องมีการทะเลาะกันเกิดขึ้น ไม่อยากให้มีปัญหาในเวลาที่หลานยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

อาบอกว่า อีกไม่นาน เราก็จะรู้เอง...... งง ค่ะ รู้อะไรอ่ะ??  คือ ตอนนั้นบอกตามตรง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า อะไร ยังไง เราก็ยื้อสิคะ ยื้อเลย ว่า รู้อะไร ทำไมมีปัญหา ถ้ามีก็ต้องปรับความเข้าใจกัน ใช่ไม๊คะ คือ เราเข้าใจแบบนั้น

อาบอกว่า ต้องไปแล้ว เดี๋ยวคนที่บ้านจะเข้ามาแล้ว เดี๋ยวแม่เรากำลังจะมาแล้ว
เราได้แต่ งง ว่ารู้ได้ไง ว่าคุณแม่จะมา มาตอนไห เวลาไหน กี่โมง เราก็บอกว่า รู้ได้ไง โกหกเราหรอ ว่าแม่จะมา อาเราเลยบอกว่า

อาต้องไปจริงๆแล้วนะ อาอยู่ไม่ได้หรอกเดี๋ยวจะเป็นปัญหา เราก็ไม่ยอม อยู่ท่าเดียวค่ะ....
ทั้งยื้อ และ รั้งไว้ เหมือนฟิว คนรักจะไปจากเรา แต่จริงๆคือ เราอยากให้เค้าคุยกับคนในบ้าน เผื่อเราจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง

แต่แล้ว ลูกอ้อนของเรา ก็ไม่สามารถ ยื้อได้ เค้าบอกว่า เดี๋ยวค่อยมาใหม่นะ อาต้องไปแล้ว และ ระหว่างที่อาเดินออกไป เป็นจังหวะที่ คุณแม่เราเปิดประตูห้องเข้ามา แต่ทำไม อากับแม่ ของเราไม่พูดไม่จากันเลยนะ ไม่มีการทักทาย หรืออะไรๆทั้งสิ้น เดินเข้ามา แล้วอีกคนก็เดินสวนออกไป แปลกจัง

พอคุณแม่ เข้ามาในห้อง เอาของเก็บเข้าตู้ ก็ถามว่า คุยกับใครอยู่หรอ???

เกิดความ งง ขึ้นมาสิคะท่าน.......

เราเลยถามคุณแม่ไปว่า แล้วแม่คิดว่าหนูคุยกับใคร แม่ก็เดินสวนกันเมื่อตอนเปิดประตูหนิหน่า
แม่เรากลับตอบว่า แม่ไม่ได้เดินสวนกับใคร แต่ได้ยินเสียงเราคุยกับใครสักคน แต่แค่ไม่ได้ยินเสียง คนอีกคนที่เราคุยด้วยค่ะ.....

ขออนุญาติ ไปพักผ่อนก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะมาเล่าให้จบค่ะ และ จะพยามขึ้นกระทู้ใหม่ๆหลังจากที่เจออะไรมาบ้างนะคะ


PART 7......

ระหว่างที่คุณแม่รอคำตอบว่าเราคุยกับใคร เราก็เลยถามว่า แม่อำหนูหรอคะ??? แม่เดินเข้ามา อีกคนเดินสวนออกไป ทำไมจะไม่เห็นกัน
แม่ก็ได้แต่บอกว่า แม่ไม่ได้เดินสวนกับใคร ก่อนเข้ามาได้ยินเสียงเราคุยกับใครอยู่เนี่ยล่ะ เราก็บอกว่า ตลกแล้ว

แต่ว่า......สีหน้าของคุณแม่เราในขณะนั้น บ่งบอกถึงความไม่ตลกเอาซะเท่าไหร่
เราเลยทำซึมเลย..... แม่ก็เลยบอกว่า........

เอางี๊ละกัน เมื่อกี๊เราคุยกับใคร ไหนบอกแม่หน่อย เผื่ออาจจะไม่ใช่ญาติเราก็เป็นได้
เค้าเคยมากับคนในบ้านบ้างไม๊ หรือว่า มีใครมาเป็นเพื่อนแล้วบอกเป็นญาติเราไม๊

เราก็งง...กับคำถาม คือเวลานั้น สมองเราประมวลช้ามาก เลยต้องให้แม่พูดช้าๆ เราถึงเข้าใจ เพราะแค่คนมาเยี่ยมเรา เอาจริงๆ เวลานั้น เราก็จำใครไม่ได้ และ แทบไม่รู้จักกับใครเลย

เราก็เลยบอกไปว่า คนที่มาหาเรา ไม่เคยเข้ามาพร้อมๆกับคนในบ้านเลย เค้ามาคนเดียวทุกๆครั้งเลยค่ะ
แม่เราก็เอ็ดเราเลย แล้วทำไมไม่บอกแม่ ว่ามีคนเข้ามาคนเดียว ญาติหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครก็ไม่รู้ เรารู้จักหรือไง หรือว่าเราจำได้แล้ว บลาๆๆ......

คือเวลานั้นเราปวดหัวมาก คำพูดของแม่เราทำเราสับสนไปหมด หรือว่าเค้าไม่ใช่ญาติ เค้ามาทำไม เค้าต้องการอะไร

แม่เราเองก็ร้อนใจจะเอาคำตอบให้ได้ เราก็บอกว่า หนูขอนอนพักก่อนนะคะ ปวดหัวมาก เหมือนจะอาเจียนเลยในเวลานั้น

เราจึงกดเรียกพยาบาล...... แม่เราก็ใส่กับพยาบาลอีกระรอกนึง.....

ในที่สุดพยาบาลบอกว่าให้คนป่วยพักก่อนนะคะ แล้วก็ให้ยานอนหลับเราไป

หลังจากที่ คุณพยาบาลให้ยานอนหลับเราไป

ระหว่างนั้น เราไม่รู้ว่าจะเรียกว่า กึ่งความฝัน หรือ กึ่งความเป็นจริง แต่สิ่งที่เราเห็นคือ วันวานในวัยเด็ก

ทุกๆอย่างเริ่มต้นตั้งแต่ เราเริ่มต้นเข้าอนุบาล ตัดภาพมาวันที่พ่อแม่เราพาเราไปอยู่กับป้า เรียนชั้นประถม ย้ายโรงเรียนเข้ามัธยมต้น และก็ย้ายโรงเรียนเข้ามัธยมปลาย ทุกๆอย่างเริ่มเคลื่อนไปอย่างช้าๆ เพื่อให้เราจำความได้ตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน หลังจากที่เรากลับสู่วังวนที่อยู่ในอดีต พระรูปหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเรา ซึ่งเราคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เราคุกเข้า และ กราบท่าน

หลวงพ่อได้บอกกับเราว่า เจริญพรโยม เราไม่ได้พูดอะไรเลย รอที่จะรับฟังกับหลวงพ่อ ท่านได้บอกเราว่า เราได้เจอ บททดสอบมาแล้ว บทนึง เราจำได้หรือไม่

เราพยักหน้าให้กับหลวงพ่อ และเราก็งง ว่านี่เราอยู่ในความฝัน หรือว่าความเป็นจริงกันแน่ แต่แล้วเราก็นึกขึ้นได้ถึงอาของเรา ทำให้เราตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อไม่นานมานี้ เรามองไปด้านหลังหลวงพ่อ เราเห็นอาของเรา นั่งคุกเข่าอยู่หลัง หลวงพ่อ

อาของเราค่อยๆบรรจงกราบท่าน และ มองมาที่เรา ความอึดอัดในใจเรา มันทำให้น้ำตาเราไหลออกมาอย่างไม่หยุด เราร้องไห้หนักมาก เราร้องจนเราสะอื้นออกมา และ เราก็บอกกับอาว่า ทำไม....ถึงทำแบบนี้ รู้ไหมว่าหนูคิดถึง หนูรักอานะ ทำไมต้องทิ้งหนูไป.....

อาเราเงียบ....และบอกกับเราว่า จำได้ไม๊ ว่าเราพูดอะไรในวันที่อาจากไป.....

เราเงียบ และ เราก็ค่อยๆ รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำให้อาของเราติดบ่วงอยู่กับเรา โดยที่ตัวเราไม่เคยรู้ตัวแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงแค่คำพูดของเด็กคนๆนึง ที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่กลับทำให้คนๆนึง ไม่ได้ไปในที่ๆควรจะไป

วันนั้น เป็นวันเผาของอาเรา เราได้บอกกับที่บ้านว่า เราขอวางดอกไม้จันทน์เป็นคนสุดท้าย เรารอให้แขกทุกๆคนวางจนครบ และ หลังจากนั้น เราถึงจะวาง แต่ว่า ก่อนที่เราจะวางนั้น เราโกรธอาเรามาก ทั้งโกรธ ทั้งแค้นใจ ไม่ใช่ว่าเพราะอะไรนะ แต่เรารักอาเรามาก เค้าเองดูแลเราตั้งแต่เด็ก พาเราไปทุกๆที่ ที่เราอยากจะไป จนวันนึง คุณหมอได้สั่งห้ามเราไว้อย่างนึง อาเราเลยบอกกับเราว่า ถ้าวันนึงเราหาย อาจะเป็นคนพาไปนะ ซึ่งคำสัญญาของอาเรา จนถึงวันนั้น เราไม่เคยที่จะไปเลย ถึงแม้ว่า เราจะมีโอกาสได้ไป หรือทำได้ด้วยตัวเอง แต่เราก็ยังรออาของเรา

ระหว่างที่เราจะวางดอกไม้จันทน์เข้าเมรุ เราตะโกนด่าอาเราว่า ใครอนุญาติให้ไปตาย ( ว ะ ) ขอกันยังห๊ะ!!! ทำไมสัญญาแล้วทำไม่ได้ จะมาสัญญาทำไม ไม่รู้หรอไงว่า เด็กคนนึงยิ้ม เชื่อฟัง ทั้งๆที่มีโอกาสที่จะทำ แต่เพราะคุณเองนะ ที่ผิดสัญญา แล้ว เ สื อก หนีไปตายห่ า ก่อน

หลังจากนั้น เราไม่ได้วางดอกไม้นะคะ แต่เราเขวี้ยงเข้าไปเลย โดยอารมณ์ที่มันโมโห และ ขาดสติ

พอหลังจากที่เราทบทวนทุกๆอย่างได้แล้ว เราอึ้งกับสิ่งที่เราทำ มันเลวร้ายมากสำหรับคนๆนึงที่ติดพันธะ หรือ บ่วงพันธนาการเอาไว้ ทำให้เค้าไม่ได้ไปไหน

เราเอ่ยปากกับอาว่า....... หนูขอโทษ หนูขอโทษ เราพูดเป็นอยู่แค่นี้ ตอนนั้นเรารู้สึกผิดมาก จนถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก

จนหลวงพ่อท่านได้บอกกับเราว่า ใจเย็นๆก่อน แล้วค่อยดึงสติตัวเรากลับมานะ เรานิ่ง และ หายใจเข้าอย่างช้าๆ และให้ลึกที่สุด เพื่อที่จะเอาสติของเรากลับมา และ เรียบเรียงคำพูดของเรา

เรายกมือไหว้อา และบอกว่า อาหนูขอโทษ หนูขออโหสิกรรม ที่หนูได้ล่วงเกินอาไป โดยที่หนูไม่ได้คาดคิด เพราะเพียงคำพูด คำพูดนึง ที่ไร้สาระ ที่เห็นแก่ตัว ทำให้อาไม่ได้ไปไหน หนูอยากจะบอกกับอาว่า ทุกๆอย่างในอดีตที่ผ่านมานั้น หนูอโหสิกรรมให้กับอานะคะ ขอให้อาได้โปรด อโหสิกรรมให้กับหลานคนนี้ คนที่ไม่ได้เรื่อง คนที่เอาความโกรธเข้ามาครอบงำจนทุกๆอย่างมันขาดสติ เพียงแค่นี้หนูก็ทำให้อาทรมาณ มานานแล้ว อโหสิกรรมให้หนูด้วยนะคะ

หลังจากนั้น อาของเราก็ได้พยักหน้า และ คำพูดของเราที่ได้ติดเป็นบ่วงพันธะกับอาไว้ ค่อยๆหลุดออก อาของเรา เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมานิดนึง แต่แล้วหน้าเราก็ต้องเปลี่ยนไปในทันทีทันใด

เมื่อหลวงพ่อได้บอกว่า ถึงเวลาที่สมควรแก่การจากลา กรรมที่ทำไว้ ยังไงก็ต้องรับไปตามกฏแห่งกรรมเช่นนั้นนะ อาเราไม่ได้พูดอะไร นอกจากพยักหน้า....และผู้ชายใส่โจงกระเบนเดินเข้ามาด้านหลังอา เราอึ้งกับสิ่งที่มันอยู่ตรงหน้า มันไม่ได้ต่างไปจากหนังที่เราเคยดู หรือ เรื่องเล่าต่างๆที่เราเคยฟังเลย ผู้ชายที่นุ่งโจงกระเบน เดินเข้ามากราบหลวงพ่อ และ ขออนุญาติพาอาเราไป

เวลานั้น เราแทบจะขาดใจตายให้ได้อีกรอบ เราต้องเสียคนที่เรารักไปอีกแล้ว แต่ว่าเราเห็นอาเรายังยิ้มให้เรา และบอกให้เราเข้มแข็งไว้ เราปาดน้ำมูกน้ำตาออก แล้วพยักหน้า มันคือสิ่งที่เราทำได้เท่านั้น

หลังจากนั้น เราได้คุยกับหลวงพ่อ ว่าสิ่งที่หลวงพ่อย้ำนั้น คือ สิ่งๆนี่หรอ
หลวงพ่อได้บอกเราว่า มันยังมีมากกว่านี้ ให้เรามีสติ ตั้งอยู่ในศีลในธรรม อยู่ในความดี และสิ่งที่เรากลัว เราก็จะไม่กลัว สิ่งที่เราไม่เชื่อ มันจะทำให้เราเชื่อ สิ่งที่เราไม่เห็น มันจะทำให้เราเห็น

เราเองเข้าใจในคำพูดของหลวงพ่อรูปนี้ เพราะ ตั้งแต่เด็ก เราชอบเข้าวัดมาก และ ช่วงประถมแม่เรามีโอกาสพาเราไปบวชชีพราหมณ์ หลังจากนั้น เราก็ได้ไปบวชอยู่เรื่อยๆ จนบางที โรงเรียนเราอยู่ใกล้วัดที่เราเคยบวช เราไม่อยากเรียน เราแอบหนีเรียนไปอยู่วัด ไปนั่งสมาธิบ้าง ไปสวดมนต์บ้าง เพราะอย่างนี้ ถึงทำให้เราค่อยๆซึมซับในธรรมมะไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มากก็ตาม

หลวงพ่อท่านได้บอกกับเราว่า เมื่อถึงเวลา เรากับเค้าก็จะได้เจอกัน เค้าก็จะคอยช่วยเรา เค้ารอเรามานานมากแล้ว เพียงแต่ว่า กาลเวลามันยังไม่ถึง แต่อีกไม่นาน ท่านองค์นั้น จะมาอยู่กับเรา และ จำไว้ว่า ต้องเป็นคนดีที่มีศีลมีธรรม ช่วยได้ในสิ่งที่สมควร อย่าไปทำให้เค้าต้องจมอยู่กับความทุกข์ แค่นั้นเอง

หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆตื่น มันเป็นอาการที่เหมือนจะนอนไม่พอ ทั้งๆที่หลับไปยาวมาก เราตื่นขึ้นมางัวเงีย แล้วหันซ้ายที หันขวาที แล้วก็ถอนหายใจ ทำไมทุกๆอย่างมันช่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้นะ

สักพักแม่เราออกมาจากห้องน้ำ ถามเราว่าตื่นแล้วหรอ แล้วคืนนี้จะนอนหลับไม๊เนี่ย???

เรามองไปที่นาฬิกา สี่ทุ่มกว่าห้าทุ่มแล้ว แล้วเราก็บอกว่า คงหลับแหละม๊า แม่เรายืนอึ้งไปสักพัก ไม่ใช่เพราะอะไร ตั้งแต่เกิดเรื่องมา จนถึงตอนนี้เราไม่ได้เรียกเราว่า ม๊าเลย เรียกว่า แม่มาตลอด ซึ่งมันขัดหูมากกับคนที่บ้านเรา

ม๊าน้ำตาไหล เราเลยบอกว่า ม๊า หนูจำได้ทุกๆอย่างแล้วนะ แม่เราเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อเต็มร้อย เลยตั้งคำถามว่า เราชื่อจริง นามสกุลอะไร
เราก็ตอบไป แล้วก็ถามคำถามในอดีต จนแม่เราแน่ใจ สักพักแม่เราโทรไปปลุกพ่อเรา พ่อเรานอนที่บ้าน เพราะพี่สาวกับน้องเราอยู่บ้าน
พ่อเราขอคุยสายกับเรา เราก็บอกกับพ่อว่า

ป๊าหนูคิดถึงจัง หนูขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ หนูจะไม่ไปไหนแล้ว หนูสัญญา แล้วก็คุยกับป๊าไปสักพักนึงจึงขอตัวให้ป๊าได้พัก เพราะเดี๋ยวตอนเช้าป๊าต้องทำงานต่อ

เราก็เลยบอกม๊าว่า ม๊ามีอะไรที่ไม่ได้เล่าให้หนูฟังไม๊ ในวันที่หนูเกิดมา

แม่เราอึ้ง เพราะไม่คิดว่า เราจะถามคำถามนี้ และ เรื่องนี้ก็ผ่านมานานมากแล้วจนแม่เราแทบจะลืมไปเลยว่า จะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเรา

แม่เราได้แต่บอกว่า เอาเป็นว่า นอนก่อนนะคืนนี้ พักให้เต็มที่ รอหมอมาบอกว่าออกจากโรงพยาบาลได้ตอนไหน ค่อยว่ากัน แล้วแม่ก็บอกกับพยาบาลว่าน้องตื่นแล้ว ต้องทานยาอะไรไม๊ แต่เปล่าเลย เรากลับนอนไม่หลับ คิดว่า ตัวเองจะเจออะไรบ้างในอนาคต จะดีหรือร้าย นะ

พอคิดได้ เราก็สวดมนต์ทั้งๆที่นอนอยู่บนเตียงเงียบๆคนเดียวเพราะกลัวแม่ตื่น แล้วเราก็หลับไป

ปล. เรื่องนี้ เราขอยืนยันด้วยตัวเราเองว่าทุกๆเรื่อง คือความจริง และ เหตุการณ์ทุกๆเหตุการณ์นั้น ก็เป็นความจริง ที่เราพิมพ์ช้า เพราะว่าเราต้องเรียบเรียงทีละเล็กละน้อยเพื่อเอาอดีต มาพิมพ์ให้เป็นตัวอักษร ซึ่งมันยากมากๆสำหรับเรา หากใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราไม่ได้ว่ากันนะคะ แต่ใช้วิจารณญาณในการอ่าน และ ตอบคอมเมนต์อย่างมีสติหน่อยนะคะ เราเองไม่คิดว่าจะมีการแชร์มากขนาดนี้ แอบตกใจเล็กๆน้อย เราไม่ได้ดึงเรื่องให้ช้า แต่เราต้องรอบครอบกับคำพูดของๆเรา เพราะจะมีบุคคลที่ชอบทาน มาม่า มาจับผิดมากมาย
ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่าน หรือ ติดตามเรานะคะ

พรุ่งนี้หลังจากเคลียงานเสร็จ อาจจะดึกๆหน่อย เราจะพิมพ์ให้จบหลังจากที่ได้คุยกับม๊า ว่าเราได้เจอะเจออะไรมาบ้าง และ ได้ความจริงอะไรจากม๊าเราบ้าง

ขอบคุณมากๆนะคะ

ขอต่อตอนเช้านี้นะคะ อาจจะนิดๆหน่อยๆ แต่เราก็พยามอย่างมาก เราไม่อยากจะดึงกระทู้ไว้ แต่ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมันผ่านมานานมากแล้ว ผ่านมาเป็นสิบปี เราไม่ได้ลืมเลย แต่ต้องค่อยๆเอาจากคำพูด หรือ ความคิดมาเรียบเรียงให้เป็นตัวอักษรนะคะ ยังไงก็ตาม ก็ต้องขอบคุณทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่าน จะเชื่อหรือไม่ก็ตามค่ะ แต่สิ่งที่เราสื่อไปคือ นรกมีจริง สวรรค์มีจริง กฏแห่งกรรมมีจริง  กรรมที่ใครก็ตามไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ก็ต้องรับตามกรรมไปแบบนั้น เผื่อใครที่เข้ามาอ่าน แล้วเคยกระทำผิด บางคนอาจจะคิดได้บ้างก็ยังดีค่ะ


หลังจากคืนนั้นทั้งคืนเราไม่ได้หลับ มาหลับอีกทีก็เกือบตอนเช้า รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พยาบาลเข้ามาวัดความดัน วัดไข้ ด้วยความที่เราเพลียอย่างมาก
พยาบาลเลยถามว่า น้องทำได้ยังไงกันคะ รู้ไม๊ว่า น้อยคนนะที่ชาร์ตขนาดนี้ แล้วหายเร็วมาก เราได้แต่ยิ้ม และก็บอกกับพี่เค้าว่า สงสัยว่ายังไม่ถึงเวลามั้งคะ พี่เค้าเองก็ขำๆ บอกว่าดีแล้ว หายไวๆนะ จะได้รีบกลับบ้าน

เรามองหาแม่ ก็ไม่เจอ ใจนึงอยากจะลุกออกมาเดินบ้าง แต่ก็ทำได้แต่นอนอยู่กับที่ เพราะเราเจ็บซี่โครงอยู่เลย นึกถึงอา ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เราก็เลย สวดมนต์สักนิดหน่อย และก็แผ่เมตตาให้เค้า สักพัก เราลืมตา เราเห็นคนแก่อยู่ในห้อง ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากไหน งง มาก.... คุณตาท่านนี้หน้าตาไม่ได้ดุ แต่ก็ไม่ได้ดูใจดีเท่าไหร่นัก เราก็มองเค้า แล้วเค้าก็เดินมาหาเรา บอกว่า ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก ดีนะที่ท่านคุ้มครองเรา ไม่งั้นอาจจะมีแฝงมาแทนเราก็ได้ เรานี่อึ้งไปเลยค่ะ แล้วคุณตาก็บอกว่า สักพักก็คงได้ออกแล้วล่ะ ท่าทางดีขึ้นซะขนาดนี้ เราก็ขอบคุณ คุณตาไป แล้วคุณตาบอกว่า ให้เอากระจกใบเล็กๆไว้ใต้เตียง หันกระจกออกไปทางหน้าประตูนะ เราก็ถามว่าทำไมต้องทำ คุณตาก็ยิ้มๆ แล้วก็เดินออกไป เรารู้เลยว่าคุณตาไม่ใช่คนแน่นอน ขนาดเสียงเท้าเดินยังไม่มีเลย มารู้อีกที นึกๆอยู่ อ่อ.....เจ้าที่ ที่นี่เอง

แม่เรากลับมาจากไปหาอะไรลงท้องในมื้อเช้า แล้วก็เอาข้าวเอาน้ำมาให้เรา เราก็ทานเองได้แล้ว บอกแม่ว่า ไม่เป็นไร หนูทานได้ ไม่ต้องห่วง แต่สีหน้าแม่ในเวลานั้น เค้าก็คง ยังห่วงๆเราอยู่แหละ จากจิตใตสำนึกของเรานะ เรากับแม่ต่างคนต่างไม่พูดอะไรกันเลย ทุกๆอย่างเงียบ จนเราทานมื้อเช้าเสร็จ แม่ก็ถามว่า เป็นไง นอนหลับไม๊ เจออะไรมาบ้าง เราก็งง เจออะไรอ่ะ!?!

แม่เราก็บอกว่าเปล่า ไม่มีอะไรหรอก เราก็ถามแม่ว่า แม่มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกเราอีกบ้าง
แม่เราก็ถอนหายใจหนักเลย เหมือนแม่กำลังหนักใจอยู่ที่จะบอกเรา เราก็เลยบอกว่า
ถ้าแม่พร้อมจะบอกหนูก็บอกนะ แม่พักบ้างก็ดีนะ เหนื่อยกับหนูมาหลายวันแล้ว
แม่บอกว่า เดี๋ยวแม่ขอทำธุระก่อนละกัน แล้วรอว่างๆ หลังจากคุณหมอมาตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยว่ากัน

เราพยักหน้า แล้วก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย

หลังจากที่คุณหมอได้มาตรวจร่างกายเสร็จแล้ว อีก 2-3วันก็กลับบ้านได้ หลังจากอยู่รพ. มานานมาก คุณหมอบอกว่าให้ฝืนเดินหน่อย ถึงจะเหนื่อยก็ตามนะ เราก็โอเค เพราะไม่อยากอยู่แต่บนเตียง พอหมออกไปเท่านั้น แม่เราก็เดินออกไปเฉยเลย อ่าว.... ไหนบอกว่า หมอไปค่อยคุยกัน
แต่ก็ช่างเหอะ เดี๋ยวแม่ก็คงมา เราก็เลยลองเดินๆจากเตียงไปห้องน้ำ โอโห...มันไกลมาก คือเดินแล้วเหนื่อย  ถอนหายใจเฮือกใหญ่เดินกลับมาที่เตียงอีกรอบ หากใครเคยนอนรพ.นานๆ แล้วไม่ได้ลุกเลย จะรู้สึกว่าขาตัวเองไม่มีแรงมากๆ เรารู้ซึ้งเลย ฟิวนี้

พอเดินกลับถึงเตียงได้ ดีใจเว่อ เหมือนตัวเองพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสไปแล้วววว เม่าดี๊ด๊า
สักพักนึง แม่ก็เข้ามาค่ะ เรานี่บ่นเลย แอบหนีเที่ยวอีกแล้วสินะม๊า
ม๊าก็บอกว่า จะคุยไม๊ เรานี่ดีดตัวเองทันทีทันใดเลย
ม๊าบอกว่า ตอนที่เราเกิด ม๊าได้คุยกับพระรูปนึง วันนั้นมีญาติโยมนิมนต์ท่านมา เพื่อให้ญาติปลง และจากไปอย่างสงบ แล้วหลวงพ่อท่านก็ได้เดินมาหาญาติโยมอีกห้องนึงซึ่งน่าจะเป็นลูกศิษย์ท่านมั๊ง
พอหลวงพ่อท่านกิจนิมนต์เสร็จแล้วก็ผ่านมาห้องม๊าเรา ตอนนั้นม๊าเราร้องไห้อยู่ เนื่องจาก หมอมาบอกว่า เราเป็นโรคหัวใจ แต่ด้วยความเด็กมาก เลยไม่สามารถผ่าตัดได้ ม๊าเราเครียดมาก ท่านเห็นแม่อุ้มเด็กเล็ก ด้วยความสงสารที่เห็นแม่เราร้องไห้หรือยังไงก็ไม่ทราบนะคะ แม่เราเองก็บอกว่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเวลานั้นมันตื้อไปหมด

สักพักหลวงพ่อท่านได้เดินเข้ามา และบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกโยม เด็กคนนี้เมื่อถึงเวลา เค้าเองจะแตกต่างจากคนทั้วๆไป เค้าโดนลิขิตมาแล้วให้เป็นแบบนี้ สักวันนึง เด็กคนนี้จะเหมือนตัวเองได้ตายแล้ว และกลับมา ซึ่งแน่นอน เค้าจะเป็นเด็กที่พิเศษ และ ไม่ตายง่ายๆหรอก

เวลานั้น แม่เราโกรธที่ทำไมพระมาพูดแบบนี้ แต่ก็เงียบ หลวงพ่อท่านเองก็พอจะทราบว่าแม่เราไม่พอใจหาว่าลูกเค้า
หลวงพ่อเลยบอกแม่ว่า หลังจากนี้เด็กคนนี้จะได้รับสิ่งที่คนอื่นไม่มีตามมา เพราะฉะนั้น พยามหมั่นพาเด็กคนนี้ไปในทางที่ดี เดินทางในสายธรรม และเค้าเองจะปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ แม่เราฟังตอนนั้นน้ำตาไหล ถึงตอนที่แม่เราเล่าให้เราฟัง แม่เราเองน้ำตาก็ซึมๆนิดนึง

เราก็บอกกับแม่ว่า ม๊าไม่เปนไรหรอก ในเมื่อชีวิตเราถูกลิขิตมาแบบนี้ เราก็ต้องเจอแบบนี้ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้ หรือ หนีมันไม่ได้ ก็ปล่อยให้มันเป็นไป 

แม่เราเองก็กลัวว่าเราจะรับไม่ได้ แต่แม่ก็บอกว่า เราน่ะมีแววสัมผัสพิเศษมาตั้งแต่วัยเด็กๆ อย่างเช่น วันตรุษ วันไหว้บรรพบุรุษ เราเองก็มักจะไปคุยกับน้องชายของพ่อ ซึ่งคนละคนกับอาเรานะ น้องชายพ่อเราเสียตั้งแต่เด็ก เพราะปอดบวม แม่บอกว่า เราชอบไปคุยคนเดียว หรือเล่น ไม่ก็ไปขอขนม ซึ่งพอหันมาอีกที ขนมมาอยู่ที่เรา ทั้งๆที่เก้าอี้ตัวก็สูง เราปีนเองเป็นไปไม่ได้แน่ๆ  เลยสังเกตุเห็นครั้งนึง คือ แอปเปิ้ลเลื่อนเอง หรือย้ายที่จากที่ตั้งไหว้ไว้
ประมาณนี้ค่ะ แม่บอกว่า ลืมถามหลวงพ่อ ว่าช่วงวันไหนที่จะเป็น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะผ่านมาหลายปีมากก็คิดว่า ทุกๆอย่างคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนลืม และมาเจอเรื่องราวที่เกือบจะเสียเราไปจนมาคิดได้

แต่ถือว่าโชคดี ที่พ่อแม่เรา พาเราเข้าวัดทำบุญตั้งแต่เด็กๆ
พ่อกับแม่เรา แปลกใจมากในช่วงวัย 4ขวบ เราสามารถสวดบทชินบัญชรได้ตั้งแต่ต้น จนจบ
โดยที่ป๊าม๊าเราเองตกใจมาก อยู่ๆก็สวดมนต์เป็นเอง

เราขอจบเรื่องนี้ไว้ตรงนี้นะคะ เห็นหลายๆคนบ่นไม่จบสักที เดี๋ยวอีกไม่นานเราจะขึ้นกระทู้ใหม่ นะคะ เป็นเรื่องราวที่เรานั่งสมาธิ และ ได้ไปหาอาเรา ข้างบน และ ข้างล่างเป็นยังไงบ้าง เราก็อยากจะเผยแพร่ให้ทุกๆคนได้รับรู้

ถึงแม้ว่ากระทู้นี้ในความคิดหลายๆคนจะคิดว่าจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เราไม่ถือสาค่ะ แต่ก็ขึ้นอยู่ที่วิจารณญาณส่วนบุคคล
ขอให้กระทู้นี้เป็นกระทู้เตือนใจหลายๆคน อย่าคิดว่าชีวิตคนเราอยู่บนความไม่ประมาทนะคะ เพราะ ว่าคนเราเองก็ไม่มีอะไรแน่นอน ว่าคนเราจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ ใช้ชีวิตที่อยู่บนทางที่ดี และ ใช้ชีวิตอย่างมีสตินะคะ อ่อ....ลืมบอกว่า ไว้จะมาเล่า ว่าใครที่รอเราอยู่ และมาอยู่ด้วยกันได้ยังไง ทุกวันนี้ท่านก็ยังอยู่กับเรา และ คอยเตือน คอยสอนเราตลอดค่ะ

ขอบคุณทุกๆคนมากๆนะคะ ที่ติดตามนะคะ

สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า ขอบคุณพี่สาวที่ได้คอยสนับสนุนเราเป็นอย่างมาก ช่วยรับฟังเรื่องราวของเรา และ ทำให้เราได้กล้าที่จะออกมาเล่าประสบการณ์นี้ โดยที่เราคิดเองว่า มันอาจจะไร้สาระสำหรับใครบางคนก็เป็นได้ แต่เราก็ยังมีพี่สาวคนนี้ที่คอยให้กำลังใจเราอยู่ ขอบคุณมากๆนะคะ

หลังจากวันที่เราตื่นขึ้นมา ทุกๆอย่างเริ่มเปลี่ยนไป แน่ๆคือ บางสิ่งบางอย่าง ก็ยากจะอธิบายให้ใครต่อใครเข้าใจได้
แต่สิ่งๆหนึ่งที่ คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ จะรู้ดี คือเรื่อง "กรรม"

วันนั้น เราได้ไปถือศีล วิปัสนา อยู่ที่ สถานปฏิบัติธรรม แถวๆแก่งกระจาน ที่นี่ยอมรับว่า สงบมาก และ แตกต่างจากหลายๆที่
ไม่มีการเก็บคชจ. อยู่อย่างครอบครัว

วันนั้นเราไปถึงช่วงเย็นของวันเสาร์ เราก็รีบจัดแจงตัวของเราเองค่ะ เพื่อที่จะมาทำวัตรเย็นกัน
ในระหว่างนั้น เราก็สวดมนต์ไปตามปกติ แต่สิ่งที่เราเห็นคือ เค้ามาขอส่วนบุญกันมากหน้าหลายตา แต่ละรูป บางคนก็ดูดี บางคนก็แย่หน่อย มีทุกรูปแบบ
ตั้งแต่ เทวดา จนถึง จำพวกไม่มีญาติ

หลังจากที่เราสวดมนต์เสร็จนั้น ก็ค่อยๆกำหนดจิต เข้าสู่สมาธิ ระหว่างที่เราอยู่ในห้วงของสมาธิ แรกเริ่มจิตยังไม่นิ่งหรอกค่ะ แต่ค่อยๆกำหนดลมหายใจ ทีละนิด ตั้งมั้นในสติ และแล้ว จิตเราก็พาไปถึงที่ๆเรายังไม่คุ้นเคย คือประตูด้านหลังที่เราสงสัยมานานแล้ว

เราได้เห็นอะไรที่มันมากกว่าในหนังที่เราเคยดู มากกว่าที่เราเคยได้ยิน
และจิตเราได้กำหนดไปถึงอาของเรา สักพัก จิตของๆเรา เคลื่อนไปเร็วมาก เรียกง่ายๆว่า วาฟ ได้มั้งคะ
อาของเราที่เรารัก เค้าไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีพอ แต่เราขอไม่บอกเรื่องกรรมที่เค้าทำมานะ แต่เรื่องอื่นๆ เราจะบอก ผลกรรมที่เจอมาว่าแต่ละคนเจอะเจออะไรบ้าง

เมื่อเราไปเห็นอา บอกตามตรงว่า ยืนอึ้ง ทำใจไม่ได้ แต่ใจแข็ง เพราะเราก็กลัวจิตเราหลุดค่ะ
เรายินห่างจากอาไกลอยุ่มาก เหมือน เราอยู่บนเขาลูกนึง และอา อยุ่ตรงกลางเขา ที่เป็นแอ่งกระทะ ค่ะ

ให้ลองนึกภาพตามนะคะ ไม้เสียบหนวดปลาหมึก แต่ ที่เราเห็นคือมันไม่ใช่ไม้สิ มันเป็นเหล็กทั้งท่อน ใหญ่ๆ ข้างล่างเป็นเปลวเพลิง ที่เหมือนจะไม่มีวันดับแน่ๆค่ะ

อาของเรามองมาที่เรา น้ำตาของอาเราไหลและร้องออกมาอย่างทรมาน เพราะว่าตัวของอาเรานั้น ถูกเสียบและขด เหมือนหนวดของปลาหมึก แท่งเหล็กก็ร้อนมาก จากที่เราเห็นคือ.... แท่งเหล็กสีแดง แบบ เหล็กรนไฟ และมีอีกาตัวใหญ่มาก ปากเป็นเหล็ก ตัวขนดำมันมาก บินวนรอบๆที่แท่งเหล็กนั้น

แต่ว่า ไม่ใช่อาขอเราคนเดียวนะคะที่โดนรับกรรมในจุดๆนั้น ยังมีอีกหลายคนที่โดนแทง เสียบและขดในสภาพนั้นนะคะ

สิ่งที่เราทำได้ในเวลานั้น คือ แผ่เมตตา อุทิศให้แก่ดวงวิญญาณทั้งหลายที่รับผลกรรมนั้น บอกเลย บางคนได้รับ แต่บางคนยังไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะได้
สภาพหน้าของอาเราค่อยๆดีขี้นแต่ยังอยู่ในความทรมานเช่นเดิม สักพัก เราก็ต้องกลับไปเพื่อถอนสมาธิ หลังจากที่ออกจากสมาธิ น้ำตาของเรา ค่อยๆไหลออกมา และ ร้องไห้หนักมาก เหมือนตัวเราเองไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

จนแม่มาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เราเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าเมื่อกรรมที่เคยก่อไว้ ยังไงก็ตาม ผลของกรรมก็จะส่งถึงตัวเค้าเอง ไม่ช้าก็เร็ว.....

ปล. เรื่องอาของเรามีแค่นี้ แต่ที่แน่ๆ มีมากกว่านี้ ในเรื่องราว มือถือสาก ปากถือศีล สุดท้าย สนองกลับกลายเป็นเปรต ไว้พรุ่งนี้จะขอมาเล่าต่อนะคะ

ปล. เรื่องทุกเรื่องคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ เพียงแต่ขอให่ใช้วิจารณญาณในตัวบุคคล หากคิดว่าไม่เห็นด้วย เราขออนุญาติข้ามกระทู้นี้ไป
เรื่องราวนี้บอกต่อเพื่อเป็นธรรมทานเท่านั้นนะคะ

เรื่องทุกๆเรื่องที่เราเล่ามา อาจจะใช้เวลาหน่อยในการเรียบเรียง ไม่มีเจตนาในการดึงกระทู้ไว้ ว่างๆเมื่อไหร่ ก็ค่อยกล้บมาอ่านนะคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

ขอโทษด้วยนะคร้าาา.....แอบมาดึกเลยเม่าตกใจ
ว่าได้นะ แต่อย่าแรงนะคะ กลัวเสียใจค่ะ

สิ่งที่เราจะเล่าเรื่องๆนึงให้ได้อ่านกัน คือ พวกมือถือสากปากถือศีล เราเองได้เจอมากับตัว
วันนั้น เราได้ไปบวชชีพารหมณ์ ที่วัดป่า จ.ชลบุรี

จำได้เลยว่าวันนั้น ฟ้าอึมครึ้มมากค่ะ และภายในวัดอยู่อย่างเงียบสงบ ยิ่งเวลาหลังทำวัตรเย็นเสร็จก็จะไปจัดแจงสัมภาระเพื่อเตรียมตัวนอนค่ะ
คืนนั้น เรานอนอยู่คนเดียว ซึ่งห้องนอนใหญ่มาก คือนอนรวมได้เป็นสิบคนเลย แต่มียายแก่ๆคนนึงนอนอยู่อีกห้องนึง และ แม่ของเราซึ่งนอนแยกฝั่ง
กับเราค่ะ

ช่วงนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนแล้ว เรายังไม่ง่วงเลย ก็เลยนึกในใจว่า ยังไงก็ยังไม่หลับ ออกมาเดินจงกรม สักหน่อย แต่เพื่อไม่ให้เสียงดัง เราเองก็เลยออกมาเดินข้างนอกจากที่พัก ก่อนที่เราจะเริ่มเดิน เราได้ค่อยๆกำหนดจิตของเรา และ เดินไปอย่างช้าๆ จนผ่านไปครึ่งชม. ได้แล้ว เราก็ไม่ง่วงอีก
คราวนี้เราเองก็กลับมาที่พักของเรา เพื่อจะมาเข้าสมาธิ ระหว่างที่เราอยู่ในสมาธินั้น จิตเราไม่ได้นิ่งดีพอ เราเลยค่อยๆกำหนดลมหายใจอย่างช้าๆอีกครั้ง คราวนี้จิตเริ่มสงบ กายรู้ ใจรู้ จิตรู้ กำหนดไว้ตรงไหน

เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพัก เราเริ่มได้ยินเสียงหมาหอน หอนดังมาก หอนระงมไปทั้วๆวัดเลย และเราก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่นอกอาคารที่พัก เสียงใบไม้สีๆกัน เราเลยออกจากสมาธิตอนนั้น และ แผ่เมตตา ระหว่างที่เราได้แผ่เมตตานั้นได้ยินเสียงหวีดร้องอีกครั้ง ปนเสียงร้องไห้สะอื้น อยู่

ด้วยความสงสัยค่ะ พอแผ่เมตตาเสร็จ เราก็ไปดูมีใครออกมาทำอะไรไม๊น๊าาา..... ดึกดื่นป่านนี้ ไม่กลัวผีหรอไงนะ
เออ....ในใจตอนนี้คิดว่า ทำไปได้ไง ใครมันบ้าอยู่วัดแล้วเดินเล่นกันตอนกลางคืน

เราเดินออกไปข้างหน้า หันซ้ายที ขวาที ไม่เจอใคร เริ่มงง แต่ไม่สนใจ กลับห้องดีกว่า เริ่มง่วงละ
พอเรากำลังจะเดินกลับเข้าไปข้างใน เราเห็นเงาทอดตัวลงมา แบบยาวมาคือเงาที่เห็น ไม่ใช่แค่ต้นไม้สิ ต้นไม้อะไรจะมามีแขน เริ่มหวั่นเล็กๆ
สักพักคิดว่าเผ่นตัวเองเข้าห้องดีกว่า.... รีบหันตัวแทบไม่ทัน มือหนึ่ง ยาวๆใหญ่ๆยืดออกมาจะแตะถึงตัวเราแล้ว เรายังหันหลังอยู่ดูจากเงานะคะ

เราก็เลยบอกว่า เราไม่ได้ทำอะไรให้ เราแผ่เมตตาไปได้รับไม๊ แล้วเราก็หันกลับมา แต่ที่แน่ๆ เวลานั้น....

บอกเลยค่า ไม่น่าหันกลับไปเลย น่าจะหันหลังคุยกับเค้าดีกว่า หึยิ้ม.....
สิ่งที่เราหันไปเห็นคือ เปรต ตัวยาวๆ ท้องใหญ่ มือใหญ่ๆ เท้าโตๆ ปากนี่ห้อยลิ้นก็ห้อย ตัวก็เฉอะแฉะ กลิ่นสาปเรื่มโชยมาแล้ว.....
เรากำลังจะพูดสิ่งๆหนึ่งกับเค้า แต่เค้าบอกว่า...อนุโมทนาด้วยนะหนู ป้านี่ทรมาณมาก เราอยากรู้ว่ากรรมใดหนอที่ทำให้ป้ามาเป็นเปรตได้????

เราก็มองเค้าไปที่นัยตาของป้าเค้า และเราเองก็อึ้งมาก กับสิ่งที่เค้าทำ!!!

แวะมาให้ลองคิดดูนะคะ กรรมอันใด ที่ป้าเค้าได้เกิดมาเป็นเปรต???


มาต่อแล้วนะคะ ต้องขอโทษทุกๆท่านด้วยนะคะ ใครจะเชื่อหนือไม่ บอกแล้วค่ะว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล เมื่อวันนึงที่คุณเจอกับตัวเอง คุณจะเข้าใจค่ะ

กรรม...กรรมที่ไม่สามารถแบ่งแยก เพศ ชนชั้น สีผิว ใครทำดีก็ได้ดีไป ใครทำชั่วก็ได้รับกรรมตามนั้น เวรกรรมของคนเรา ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงก็จะต้องเจอค่ะ

เรามองไปนัยตาของป้าผู้นี้ ใจเราสงสาร แต่เราทำได้เพียงแค่ แผ่เมตตาให้เค้าหรอ!?! มันคือคำถามในใจเรา เด็กมัธยมปลาย คนๆนึง ที่เคยไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ ว่าบาปบุญคุณโทษมีจริงไม๊ วันนี้เป็นอีกครั้ง ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เราทราบ

ป้าเค้าไม่ได้พูดอะไรกับเรามาก นอกจากจะพยามเอามือใหญ่ยกมือไหว้รับส่วนบุญที่มีคนได้แผ่ให้ แต่เรากลับไปเห็นอดีตของป้าเค้า คือ การอยู่วัด กินข้าววัด และ ไม่ใส่ใจอาหารที่จะทำให้พระฉัน ทุกๆอย่างทำไปลวกๆ เพื่อให้เสร็จไปวันนึง ต่อหน้าผู้อื่น ป้าช่างดูเป็นคนดีเสียเหลือเกินแต่ว่า มือถือสาก ปากถือศีลนั้นเอง

ปากพร่ำว่าตัวเองคอยภาวนา สวดมนต์ แผ่เมตตา แต่เพราะความละโมบโลภมากของป้าเค้า เห็นจะไม่ใช่เรื่องราวที่ดีแน่ๆ เราค่อยๆดึงลมหายใจเข้าไปลึกๆเพื่อให้จิตเราไม่ฟุ้งไปกว่านี้ปลาในบ่อของวัด หากตกเย็น ป้าจะมาตก และทุบหัวเป็นๆ ใครที่นับถือคนอื่นมากกว่าป้า ป้าจะคอยใส่ร้ายป้ายสี รวมกระทั่งเจ้าอาวาส ที่ท่านเมตตากับป้าแก่ๆ1คน แต่คุณค่าของคนหรือพระกลับไม่เหลืออะไรเลย

จนวันนึง ป้าเค้าเองเริ่มไม่สบาย  หัวนี่ปวดตลอด ได้ยินเสียงคนคุยกันจนแกต้องตะโกนให่เงียบ แต่ในที่นั้น มันเป็นบ้านของป้าเค้าที่อยู่คนเดียว และเวลาร่วงเลยผ่านไป ลูกหลาน ที่ตัวเองรักนักหนานั้น กลับเป็นเพียง มโนภาพ ที่แกเห็น ป้าแก เป็นคนที่งกมาก แม้กระทำชำระหนี้สงฆ์ก็ยังไม่เคย

สุดท้าย ลมหายใจของแกค่อยๆหมดไป แกมานั่งสำนึกผิด ร้องไห้โหยหวน มันก็สายไปเสียแล้ว เวลานั้น ใกล้ตี4 ได้ เจ้าอาวาสท่านเห็นอยู่ว่าความเป็นมายังไง ท่านถามป้าว่า ทรมานไม๊ เราอยู่ในชั้นไหนบุญมีแต่กรรมบัง ต่อแต่นี้ ขอให้ป้าไปสู่สุขคติเทอญ ป้านั้นได้กราบหลวงพ่อและ มองเราว่าเราเป็นเด็ก ทำไมถึง งงงายขนาดนี้แต่คำตอบของเรา กลับทำให้ป้าคิดได้ และต่อไปเค้าคงหมดเวรกรรม เสียที

พรุ่งนี้จะมาต่อนะคะ เรื่องคนที่ไม่ศรัธธาในวัด และ พระ ผลสุดท้ายกรรมนี้จะเป็นยังไง

ขอบคุณนะคะ

เรื่องจากพันทิป คุณเคยเชื่อเรื่องคนตายแล้วฟื้นไม๊คะ
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป Rabbitizz

ไม่มีความคิดเห็น