วิญญาณ ..กับคราบน้ำตา.. และการจากลาที่พัทลุง


      เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง  นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "วิญญาณ ..กับคราบน้ำตา.. และการจากลาที่พัทลุง " เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องจริง!!!! ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย

**จริงๆบทสนทนาในเรื่องเล่าของดิฉันจะเป็นภาษาใต้ค่ะ แต่มีเพื่อนๆบอกว่าไม่เข้าใจในภาษา ดิฉันเลยขอแปลออกมาเป็นกลางเลยก็แล้วกัน  แต่ก็อาจมีบางคำที่หลุดไปบ้างค่ะ**

…..ในชีวิตของคนเรา ที่เกิดมาในช่วงชีวิตหนึ่งนั้น    คุณเคยทำให้ใครสักคน “ตาย” เพราะคุณไม๊
อาจจะด้วยตั้งใจ  หรือไม่ตั้งใจก็ตาม  ดิฉันเชื่อว่า  หากคุณเคยเป็นต้นเหตุให้ใครสักคนต้องจบชีวิตลง
มันจะติดอยู่เป็นปมในใจคุณไปตลอดชีวิต   ดิฉันเองก็เช่นกัน  แม้เวลามันจะผ่านมาหลายปีแล้ว
แต่เรื่องราวของคนๆนั้น  ยังคงติดอยู่ในใจของฉันอย่างชัดเจนเหมือนมันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน  และต่อไปนี้คือเรื่องราวนั้นค่ะ

....พ.ศ.2554  ดิฉันเข้าเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนสตรีพัทลุง   ดิฉันทุ่มเทกับการเรียนค่อนข้างมาก   เพราะโรงเรียนระดับจังหวัดมีการแข่งขันค่อนข้างสูง    แต่ดิฉันก็มีผู้ชายมาติดพันในช่วงนั้นหลายคน  ตั้งแต่เด็กผู้ชายในโรงเรียนสตรีพัทลุงเอง  หรือจากวิทยาลัยเทคนิคพัทลุงที่อยู่ติดกัน   วิทยาลัยสารพัดช่าง  และโรงเรียนพัทลุงเองก็มา  แต่ดิฉันก็ไม่เคยคิดจะมีแฟนในช่วงนั้นใดๆ  ถึงจะมีคนที่ตรงใจถูกใจมาจีบบ้าง  แต่อย่างมากก็แค่คุย  และตอบรับไมตรีด้วยการไปเที่ยว  ไปดูหนัง  หรือร้องคาราโอเกะ  แต่มีข้อแม้คือ  ดิฉันจะมีเพื่อนสองคนติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด  ไม่งั้นดิฉันไม่ยอมไป
......ความที่ดิฉัน ไม่คิดจะคบใครเป็นแฟนแบบจริงจัง  เพราะเป็นความหวังคนเดียวของครอบครัวที่จะเรียนให้สูง  เพราะพี่ชายทั้ง2คนของดิฉัน  ก็เรียนจบแค่  ปวช.และ ม.6 ก็ไมได้เรียนต่อ เพราะชิงมีเมียเสียก่อน    ดิฉันเลยอดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะมีแฟนเหมือนคนอื่นๆ 

...ม.4 ผ่านไป--ขึ้น ม.5 พ.ศ.2555 ดิฉันเริ่มแก่วิชา  และคุ้นเคยกับสถานที่ในเมืองพัทลุง   พอมีเวลาว่าง  เช่นเรียนครึ่งวัน  หรือทำกิจกรรมอะไรที่ทางโรงเรียนให้ไปร่วมกันทำเสร็จ  เวลาที่เหลือ มันก็คือเวลาเที่ยวของพวกเราชาวน้ำเงิน-ขาว  หลักๆเลยก็คือห้างโคลีเซี่ยม  ดูหนัง  ร้องคาราโอเกะ  เพราะมีแอร์มันเย็นดี  และตั้งแต่ดิฉันอยู่โรงเรียนสตรี  ก็กินฟรีเที่ยวฟรีตลอด
เพราะมีผู้ชายขอพาไปเลี้ยง  แลกกับการได้อยู่ใกล้ดิฉันในฐานะเพื่อน   จริงๆดิฉันก็ไม่อยากจะทำแบบนั้น  แต่เพื่อนดิฉันสองคนสมมุติว่าชื่อ   โบว์ และผัก   จะเป็นคนที่ชอบยุแหย่และใช้ดิฉันเป็นเครื่องมือในการให้ผู้ชายพาไปเลี้ยงไอติม  หนัง  คาราโอเกะ  เพราะถ้าจะขอพาดิฉันไปเที่ยว  ก็ต้องแพ๊ค3 เสมอ  พูดง่ายๆคือโบว์และผัก หลอกรับประทานนั่นเอง

.....แม้ดิฉันจะไม่เต็มใจ  แต่ก็ไม่อยากขัดเพื่อน  เลยปล่อยเลยตามเลย  อีกทั้งบรรดาผู้ชายเหล่านั้นก็ดูจะมีความสุข  ที่ได้ไปไหนมาไหนกับดิฉันและเพื่อนสาวอีก2คน  เพราะโบว์และผักเองก็จัดว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน  สวยน้อยกว่า แต่ความแรงนั้นเยอะกว่าดิฉันเป็นกระบุง  ภาษาทางการ..บ้านดิฉันคือ อ้อร้อ นั่นเอง  เป็นผู้หญิงที่มีลูกล่อลูกชนสูงในด้านการหลอกรับประทานหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เสมอมา

.....ผัก เป็นคนบ้านลำปำ  ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอเมือง  เลยขับมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียน  ผิดกับดิฉันและโบว์ ที่เป็นเด็กต่างอำเภอ  เลยนั่งรถ2แถวมาเรียน  ฉันเป็นคนป่าพะยอม  โบว์เป็นสาวกงหรา   เราเลยได้อาศัยรถของผักไปไหนมาไหนตลอด3ปีที่เรียนที่นั่น  นอกจากห้างโคลีเซี่ยมแล้ว  อีก2ที่  ที่เราชอบไปกันคือ  วัดถ้ำคูหาสวรรค์  ที่เป็นวัดที่มีบันไดขึ้นเขาและมีถ้ำ  ซึ่งอยู่ใกล้ๆโรงเรียน  ดิฉันชอบไปนั่งกันที่นั่นเพราะบรรยากาศเย็นดี  และมีฝูงลิงมาก  ดิฉันชอบซื้อกล้วยไปหยอกลิงเล่นกันค่ะ 

....อีกที่ก็คือหาดลำปำ  หลายๆคนอาจจะคิดว่า  จังหวัดในภาคใต้ที่ไม่ติดทะเล  คือ พัทลุง และยะลา  แต่จริงๆแล้วพัทลุงมีทะเลนะคะ  แต่เป็นทะเลสาบน้ำจืด   คนพัทลุงก็จะเรียกทะเลสาบนั้นว่า  ทะเลสาบลำปำ  บางคนก็เรียกทะเลสาบพัทลุง  แต่คนสงขลาก็จะเรียกของเขาว่าทะเลสาบสงขลา  เพราะจังหวัดที่มีอาณาเขตติดทะเลสาบนี้ ก็มีแค่ สงขลาและพัทลุง  ซึ่งจนเดี๋ยวนี้ดิฉันเองก็ยังงงๆ ว่าควรเรียกว่าอะไร

.....หาดลำปำ ก็เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของพัทลุงค่ะ  เพราะอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง  แต่เอาจริงๆมันไม่ควรเรียกว่าหาดหรอก  เพราะมันไม่มีชายหาดจริงๆสักหน่อย  น่าจะเรียกว่าจุดพักผ่อนริมน้ำเสียมากกว่า  เคยมีการพยายามเอาทรายมาถมเป็นหาด  แต่ไม่นานก็โดนทะเลกลืนลงไปหมด สูญงบประมาณไปเปล่าๆ   แถมลงเล่นน้ำก็ไม่ได้  ลงไปก็มีสาหร่ายและตะไคร่น้ำ ติดขึ้นมาเต็มตัวเขียวอี๋   แต่คนพัทลุงเขาก็ภูมิใจในหาดนี้นะ  ถ้าไม่นับร้านอาหารที่ราคาแพงๆ  จะไปนั่งชิวๆใต้ต้นสนก็ลมเย็นสบายดี  มีเกาะเทียมเกาะเล็กๆอยู่ด้วย   ให้เดินข้ามไป

.....และที่ลำปำนี้  ดิฉันชอบไปกับเพื่อน   เพราะอยู่ใกล้ๆบ้านของผัก  และเป็นจุดเริ่มของชะตานำพา  ให้ดิฉันได้มาพบกับ เด็กบ้านๆ  ขี่รถแต่งซิ่ง   เขามาจอดรถที่หาดลำปำกับเพื่อนอีก3คน  แล้วก็พากันมานั่งใกล้ๆพวกเรา3คนที่นั่งกินส้มตำอยู่ก่อนแล้ว  แล้วโบว์กับผัก  ที่สายตาไวในด้านผู้ชาย  ก็พยักหน้าใส่ดิฉัน
    “มืง  ลูกบ่าว4คนนั้นมองพวกเราแหนะ”
.....ดิฉันหันไปมอง  ก็เลยเห็นว่าพวกเขามองพวกเราจริงๆ  แต่ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย  เพราะพวกเขามีบุคลิกออกไปทางนักเลง  และไม่ได้หล่ออะไร  ดิฉันเลยเบือนหน้าหลบ  แล้วนั่งกินไก่ย่างต่อ  แต่โบว์กับผักนั้น  นางชำเลืองไปมองไม่หยุด แล้วก็เอามาคุยหัวเราะคิกคัก

    “กุว่า มันชอบพวกเราสักคนแน่ๆมองจัง”

    “แต่งรถด้วย  น่าว่าจะมีตัง”

    “จะเอาอีกแล้วหรือเมิง”

     “ไม่หล่อก็ไซ  ถ้ารวยก็ให้อภัย”

......ทั้งโบว์และผัก  นางพยายามหันไปมองกลุ่มเด็กชายนั้นแบบอ่อยแรง  แล้วก็ได้ผลจริงๆ  เพราะสักพักนึง  2คนใน4คนนั้นก็พากันเดินมาใกล้ๆ  ด้วยชุดพละสีน้ำเงินของพวกดิฉันมันฟ้องว่า พวกเราอยู่โรงเรียนอะไร  พอเขาเดินมาใกล้ๆ  พวกเขาก็เริ่มทักที

     “ดีครับเธอ”

....โบว์และผักก็ยิ้มกลับไป ทำท่าแบบเขินๆใส่  แต่ดิฉันนั่งนิ่ง  เพราะไม่รู้จะพูดอะไร  แล้วเขา2คนที่มาก็เริ่มพูดต่อ

    “ขอนั่งด้วยได้เปล่า “

    “นั่งต่ะ”  ผักตอบกลับ

พอพวกเขานั่งได้ก็เริ่มพูดจาซักถามทันที

   “นี่ชื่ออะไรมั่งล่ะ  เรียน ม.ไหนแล้ว บ้านอยู่ไหนมั่งเราชื่อโจ๊กนะ  นี้เพื่อนเราชื่อบ่าว”

    “เราชื่อโบว์  คนนี้ผัก  คนก้มหน้าอยู่นี้ชื่อหยก  เรียน ม.5แล้ว  เราอยู่กงหรา  ผักนี้คนลำปำนี้และ  หยกนั้นคนป่าพะยอม”

    “ม.5 เหอ  อ่ะรุ่นเดียวกันเลย   เราอายุ17ปีเหมือนกัน  เรียน กศน.แต่ว่า”

    “ว่าแต่หยกมีแฟนแล้วหม้ายล่ะ”

....ดิฉันถึงกับสะดุ้ง  เมื่อถูกคนชื่อโจ๊ก  ตั้งใจมาถามแบบนั้นทั้งๆที่นั่งกัน3คน  ก่อนจะตอบไปแบบนางเอกหนังไทยที่เรียบร้อยว่า   “ไม่มีค่ะ”

   “เราคนควนขนุน  ไม่ไกลกันเลย   จะว่าอะไรไม๊  ถ้าจะขอเบอร์ เผื่อได้ไปเที่ยวกันมั่ง”

ดิฉันมองหน้าผักกับโบว์  เพราะไม่สะดวกที่จะให้เบอร์โทร  เพราะกลัวพ่อรู้  จริงๆดิฉันก็มีโทรศัพท์  เลยอ้างบอกไปว่า

  “เราไม่มีโทรศัพท์หรอก  บ้านอยู่ในป่าโทรไม่ติด”

  “อ่ะละ  ทำไงดี  เราเห็นเธอก็ตกหลุมรักเลยนิ  ถึงเข้ามาคุย  มีทางติดต่อมั่งไม๊ล่ะ”

.....โบว์ก็เสนอหน้า บอกไปว่า  ....

  “เอาเบอร์เราไปก็ได้  เราเพื่อนสนิทกัน  เวลาอยู่โรงเรียน  ถ้าอยากเจอหยก ก็โทรมาหาเราได้ เดี๋ยวบอกให้”
.....โจ๊ก ก็เลยได้เบอร์ของโบว์ไปแทน  แล้วก็นั่งคุยกับพวกเราอยู่นาน  โจ๊ก พยายามเอ็นเตอร์เทนดิฉันมาก
แต่ใจดิฉันไม่รู้สึกชอบโจ๊กเลย  อาจจะเพราะดิฉันชอบคนยากอยู่แล้ว  บวกกับโจ๊กเป็นผู้ชายแนวที่ดิฉันไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่คือออกไปทางนักเลง เด็กแว้นซ์  ผิวคล้ำ หยาบกร้าน  มีรอยแผลเป็นหลายแห่ง  จริงๆดิฉัน  ไม่ได้ต้องการสานสัมพันธ์ใดๆกับเขาสักนิด   แต่เพราะทองเส้นโตๆมันล่อใจ  เลยทำให้โบว์เสนอหน้าให้เบอร์ตัวเองไป  ดิฉันก็รู้อยู่ในใจแล้วว่า  โบว์ คิดจะหลอกรับประทานโจ๊กแน่ๆ

.....พอดิฉันต้องกลับบ้าน  ผัก ขับมอเตอร์ไซค์ซ้อนพวกเรา  เพื่อจะมาส่งที่คิวรถสองแถวในตัวเมืองพัทลุง  พอเราออกตัวมา  พวกของโจ๊ก  ก็พากันขับรถตามเรามา4คน 2คัน  เสียงท่อรถพวกเขาดังมาก  จนดิฉันรำคาญ  แล้วก็ขับตามแซวในเชิงจีบดิฉันที่นั่งกลางตลอดทาง  ดิฉันก็ยิ้มให้แบบเจื่อนๆ  โจ๊กก็เอาไปดีใจตะโกนดังลั่นว่า

  “ไอ๊ย๊ะ ว่าที่แฟนเรายิ้มน่ารักจังเสีย”

ผักส่งดิฉันและโบว์ขึ้นรถสองแถว  ตอนแรกโจ๊กบอกจะไปส่งดิฉัน  เพราะโจ๊กคนควนขนุน  อำเภอติดกัน   แต่ดิฉันไม่เอา  แต่พอนั่งรถสองแถว  โจ๊กก็ขับมอเตอร์ไซค์ตามมาตลอดทาง  ดิฉันเริ่มกระอักกระอ่วนใจ  อยากตะโกนบอกโจ๊กไปว่า
อย่ามาวุ่นวายกับกุ ..ก็กลัวโจ๊กจะเสียหน้าเสียใจ  เลยได้แต่นั่งมุดหน้าอยู่แบบนั้น

.......โจ๊กไม่ยอมหยุดแค่อำเภอตัวเอง  เขาขับตามรถสองแถวที่ดิฉันนั่ง  มาจนเข้าเขต อ.ป่าพะยอม  ดิฉันเริ่มกังวลใจ  เพราะกลัวพ่อรู้ว่ามีผู้ชายมาตาม   กลัวพ่อจะไล่ทุบหรือด่าพวกโจ๊กนั่นแหละ  เพราะพ่อหวงดิฉันมาก   ดิฉันอาศัยจังหวะที่โจ๊กขับห่าง  แอบโทรบอกพี่ชายให้มารับที่แยกป่าพะยอม  พอรถไปถึง พี่ชายดิฉันยังมาไม่ทัน  เลยต้องลงรถรอที่ศาลาริมทาง  พวกโจ๊กก็มาจอดยิ้มแป้นแล้นใส่ดิฉัน  พยายามชวนคุยไปเรื่อย

....ดิฉันจึงต้องบอกพวกโจ๊กไปว่า  พ่อดิฉันดุมาก  และไม่ชอบแน่ๆหากพวกโจ๊กมาเกาะแกะให้เห็น  และพี่ชายดิฉันก็เป็นนักเลงป่าพะยอม  เคยไล่ทุบกับพวกนักเลงควนขนุนอยู่  ดิฉันขอให้โจ๊กกลับไป  เพราะไม่อยากมีปัญหาชีวิต
โจ๊ก ก็ลีลา แต่ก็ยอมถอยให้  แต่ไม่กลับ  แค่ขยับไปอยู่ห่างๆ  ทำทีเป็นนั่งคุยกับเพื่อน  ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าโจ๊กต้องการอะไร  พอพี่ชายดิฉันขับรถมารับ   ดิฉันเลยรู้

....เพราะโจ๊กขับรถตามมาห่างๆ  พอถึงบ้านพี่ชายเลี้ยวเข้าบ้าน พวกของโจ๊กก็ทำทีขี่ผ่านบ้านไป  แล้วก็วนกลับมาใหม่  ก่อนจะกลับไปเลย  ดิฉันกลัวจนแอบตำหนิตัวเอง  ว่านี่ดิฉันทำบ้าอะไรไป   ตามมาถึงบ้าน เอาแล้วไง

.....เพราะโจ๊กเรียน   กศน.และที่บ้านก็พอจะมีกิน  ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาบอกชัดว่าจะจีบดิฉัน  โจ๊กก็มีเวลาเหลือเฟือ  เพราะเขาเรียนเสาร์อาทิตย์  วันจันทร์ถึงศุกร์  ดิฉันจึงเจอโจ๊กมาดักที่หน้าโรงเรียนทุกวัน  ดิฉันกระอักกระอ่วนใจ  อยากจะบอกโจ๊กไปว่า ดิฉันไม่ได้ชอบเขาเลย  ก็กลัวจะทำให้เขาเสียใจ   ((ซึ่งนั้นเป็นความคิดที่ผิดมากๆ))
โจ๊กติดต่อกับดิฉันโดยผ่านโทรศัพท์ของโบว์เวลาอยู่โรงเรียน  ตอนแรกดิฉันก็พยายามจะถามคำตอบคำใส่โจ๊ก เพื่อให้เขาถอยไปเอง  แต่โจ๊กมาแบบจริงจังกับดิฉันมาก

....วันนึง ดิฉันเลิกเรียน เดินออกประตูหน้า  คิดว่าจะพากันไปนั่งกินไอติมส่วนโบว์ไปเอารถที่โรงจอดรถมารับ  พอออกประตูมา ก็เจอโจ๊กกับเพื่อนเต็มๆ

     “ดีครับหยก  คิดถึงจึงมาหา  ไม่ว่ากันนะ  วันนี้โจ๊กมีของมาฝาก”

     “อะไรหรอ”

....โจ๊ก ยื่นกล่องโทรศัพท์ยี่ห้อโนเกีย X6 มือหนึ่งมาให้ดิฉัน  ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะเป็นพวกขนม นมเนยก็จะรับเอาไว้  แต่เจอของหนักแบบนั้นดิฉันก็หดมือ  เพราะไม่อยากได้อะไรแบบนี้ แล้วจริงๆดิฉันก็มีโทรศัพท์อยู่แล้ว

      “ไม่เอาหรอกโจ๊ก  ถ้าจะซื้ออะไรให้ ขอเป็นขนมก็พอนะ แบบนี้แพงไป”

      “ไม่เป็นไรหรอก  โจ๊กอยากโทรหาหยก  ไม่อยากโทรผ่านเพื่อนหยก นะๆรับไปเหอะ  ซื้อซิมมาให้แล้วด้วย”

.....ดิฉันทำตัวไม่ถูกเลย  เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเจอใครทุ่มทุนสร้างแบบโจ๊ก  ผักสะกิดให้ดิฉันรับเอาไว้  แต่ดิฉันไม่เอา เพราะรู้ว่าโทรศัพท์รุ่นนั้น  ราคาไม่ใช่ถูกๆ  ดิฉันไม่ได้ชอบโจ๊ก  และถึงชอบก็คงไม่รับ  เพราะไม่อยากตอบคำถามพ่อแม่  และไม่อยากติดหนี้ใคร  ดิฉันยืนกรานไม่รับของจากโจ๊ก  โจ๊กเซ้าซี้  เข้ามาจับมือจับแขนดิฉันพยายามจะยัดมันใส่มือ  ดิฉันเริ่มเหวี่ยง  เพราะไม่ชอบการถูกเนื้อต้องตัวแบบนี้

     “โจ๊ก เราบอกไม่เอาก็คือไม่เอา เข้าใจป่ะ เราไม่ได้เป็นแฟนกัน อย่ามากนักเลย”

     “แต่โจ๊กรักหยกจริงๆนะ  ถึงอยากโทรหาหยกไง  เนี่ยโจ๊กตั้งใจจริงๆ”

.....สายตาและคำพูดของโจ๊ก มันไม่เหมาะกับบุคลิคนักเลงของเขาเลย  แต่น้ำเสียงโจ๊กบ่งบอกถึงความจริงใจอย่างมาก  จนดิฉันลังเล  โบว์ก็ตามมาสมทบแล้ว  นักเรียนคนอื่นเดินผ่านไปมาก็มอง  เพราะเราไปแอบคุยกันหน้าวิทยาลัยเทคนิคแทนหน้าโรงเรียนสตรี  โจ๊กยืนกรานจะให้ดิฉันรับโทรศัพท์ของโจ๊กไปให้ได้  จนดิฉันต้องบอกโจ๊กไปว่า..

”โจ๊ก..เรามีโทรศัพท์อยู่แล้ว  แค่ไม่อยากจะให้ “

  .... โจ๊กออกอาการดีใจ  และขอเบอร์จากดิฉันให้ได้  ถ้าดิฉันไม่ให้  เขาบอกเขาจะตะโกนบอกรักดิฉันตรงนั้นดังๆให้คนอื่นได้ยินกันทั่ว   ดิฉันไม่รู้จะทำยังไง  เลยต้องจำใจให้ไป   โจ๊กรีบโทรมาทันทีเพื่อเช็ค  พอได้ยินเสียงริงโทนโทรศัพท์ดิฉันดัง เขาก็ยิ้มจนเห็นฟันขาวตัดกับริมฝีปากที่ดำ

.......ตั้งแต่โจ๊กได้เบอร์ดิฉันไป  เขาก็จะโทรหรือส่งข้อความมาทุกวัน  ดิฉันก็ต้องคุยอย่างเสียมิได้    ดิฉันจะสั่งห้ามโจ๊กไว้เด็ดขาดว่า เวลาไหนห้ามโทร  เพราะดิฉันอยู่บ้าน  ดิฉันขู่โจ๊กว่า  เราไม่ได้เป็นแฟนกัน  เป็นแค่เพื่อนนะ  หากโจ๊กโทรมาแล้วพ่อดิฉันรู้เรื่องโจ๊ก  ดิฉันขู่โจ๊กว่า  จะไม่ยอมคุยกับโจ๊กอีกเด็ดขาด

.....โจ๊กมักจะโทรมาขอได้ยินเสียงดิฉัน  และบอกฝันดี..ดิฉันในเวลา 2ทุ่มของทุกวัน  กับคนอื่นโจ๊กบอกโจ๊กไม่เคยฟังใคร
เพราะโจ๊กค่อนข้างหัวแข็ง  และเป็นนักเลงหัวไม้  และเป็นคนที่มีปืนเถื่อนไว้ในครอบครอง  ทั้งๆที่อายุแค่17
ดิฉันไม่รู้เรื่องทางครอบครัวโจ๊กมากนัก  แต่โจ๊กจะฟังและยอมทุกอย่างที่ดิฉันบอก

.....ในช่วงนั้นเรา3คน  ชอบการขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวอยู่แล้ว  แต่ไม่กล้าไปไหนไกลๆ เพราะเป็นผู้หญิง  พอได้รู้จักกับโจ๊ก  แล้วเขามารู้เรื่องที่ดิฉันอยากขี่รถเที่ยวให้ทั่วพัทลุงจากโบว์และผัก  มันทำให้โจ๊ก มาชวนดิฉันไปขี่รถเที่ยวไปตามสถานที่ท่องเที่ยวของพัทลุง  โจ๊กบอก  มีโจ๊กกับเพื่อนไปด้วย  หยกไม่ต้องกลัวใครจะมารังแก  ถึงโจ๊กจะร้ายหรือเกเรกับใครๆ แต่กับดิฉันแล้ว  เขาหงอเหมือนลูกแมวเชื่องๆเท่านั้นเอง  โจ๊กเคยรำพันกับดิฉันว่า

   “โจ๊ก .. รู้นะว่าหยก ไม่ได้คิดกับโจ๊กแบบแฟน  แต่โจ๊กอยากให้หยกให้โอกาส  โจ๊กไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลย  ตั้งแต่ก่อนวันที่เจอหยกครั้งแรก  แล้วโจ๊กก็หวังว่าหยกจะรักโจ๊กได้สักวัน”

.....ดิฉันอึดอัด  ขึ้นเรื่อยๆ  กับการต้องพยายามรักษาระยะห่าง  กับโจ๊ก  ดิฉันอยากจะตัดสัมพันธ์นั้น  แต่ก็ไม่เคยกล้าทำ
ส่วนหนึ่งเพราะสงสารโจ๊ก   ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัว..ด้วยโจ๊กมีปืนเถื่อน   เลยปล่อยให้โจ๊กเอาแต่คิดไปเองฝ่ายเดียว
วันหนึ่งทั้งโบว์และผัก ก็คุยเรื่องโจ๊กขึ้นมา  ระหว่างนั่งพักคาบว่า

   “หยก  มืงน่าจะลองให้โอกาสไอ่โจ๊กเป็นแฟนมืงดูนะ ถึงมันรูปชั่วตัวดำ  แต่กับมืงมันรักมันทุ่มเทจังนะ”

   “มืงมาโยนใส่กุ  ทั้งๆที่รู้ว่ากุไม่ได้ชอบมันแบบคนรักเลย  ได้มาจากมันเท่าไหร่หึ”

    “บ้า...กุไม่ได้ไรจากมันสักบาท  แค่กุเห็นว่ามันน่ะทุ่มเทกับมืงมาก   ถ้าเป็นกุ กุยอมเป็นแฟนไปแล้ว”

    “มืง ก็ไปจีบมันต่ะ  แล้วบอกให้มันเลือกมั่วกับกุ  กุอยากจะบอกมันนะว่าอย่ามายุ่ง แต่บอกไม่ลง”

    “มันไม่เอากุหรอก  ก็มืงสวยกว่า “

    “กุควรทำไงดีวะโบว์  ผัก  บางทีกุก็เริ่มกลัวมันนะ  ไม่อยากให้มันถลำมากกว่านี้แล้ว กุไม่ได้รักมันเลย”

    “ไม่เห็นต้องทำไรเลย  ก็เป็นเพื่อนมันไปแบบนี้แหละ  แค่อย่าหลวมตัวไปเสียตัวก็พอ  มีเพื่อนเป็นพวกนักเลง  ก็ไม่มีใครกล้ารังแกเรา”

......และก็เหมือนจะจริงดังเพื่อนว่า  เพราะตั้งแต่มีโจ๊กโผล่เข้ามาตามจีบดิฉัน  พวกชายๆที่เคยแกล้ง หรือหยอกดิฉันหลังเลิกเรียน   พอรู้ว่ากลุ่มวัยรุ่นหน้าตาโหดๆที่มารอหน้าโรงเรียน  มาจีบดิฉัน  พวกนั้นก็ไม่กล้ามาหยอก มาแกล้งใดๆอีก  พวกนั้นเข้าใจว่าดิฉันเป็นแฟนกับใครคนไหนคนหนึ่งสักคนในกลุ่มแว้นนั้น  แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย

.....แล้วเรื่องมันก็เริ่มมายากตรงที่  โบว์  เพื่อนดิฉัน  ดันไปสนิทชิดเชื้อต้องใจกับบ่าว  เพื่อนของโจ๊ก  จนถึงขนาดแน่นแฟ้น
ขั้นได้เสียกัน  โบว์เข้าไปอยู่กับกลุ่มของโจ๊กกลายเป็นสก๊อยประจำกลุ่มเต็มตัว  และนั่นทำให้เราสองคนเริ่มมีทัศนคติที่ขัดใจกันมากขึ้น  เพราะถึงโบว์จะเป็นเพื่อนดิฉัน  แต่ก็กลายเป็นเมียของบ่าวโดยพฤติกรรมไปแล้ว  โบว์เริ่มแอบหนีเรียน  เพื่อไปอยู่กับบ่าวข้างนอกบ่อยครั้ง  แล้วก็รับเอาอิทธิพล ทางความคิดจากกลุ่มของโจ๊กกลับมา

.....โบว์ ชอบคอยมายุแหย่ มาเชียร์  ให้ดิฉันเปิดใจคบโจ๊กในฐานะแฟน  พอดิฉันปฏิเสธ  โบว์ก็ดูจะหงุดหงิด ผิดกับเมื่อก่อน  จนดิฉันงง  ว่าโบว์เป็นอะไรของเธอ  ดิฉันแอบไปคุยเรื่องนี้กับผัก  ผักก็บอกว่า  ถึงผักและโบว์ จะมีความอ้อร้อ  11รด คล้ายๆกัน  แต่ปลีกย่อยแล้วก็ไม่เหมือนกันทั้งหมดเสียทีเดียว   ผักบอกว่าเธออ้อร้อ  ชอบผู้ชายก็จริง
แต่ก็แค่หลอกกิน   ไม่ได้คลั่งไคล้อะไรเป็นพิเศษเหมือนโบว์   แต่โบว์นั้น  โบว์จะชอบผู้ชายที่ดูเจ๋งๆมีพวก  มีความอันตราย
เพราะมันท้าทาย  และโบว์เชื่อว่า  พวกนั้นจะปกป้องเธอได้

.......ผักบอกว่า  จริงๆโบว์เคยมาคุยกับผักนะว่าทีแรกโบว์เล็งไปที่โจ๊ก  เพราะดูเป็นหัวหน้ากลุ่มและดูมีฐานะ ทองเส้นนั้นมันบ่งบอกและการซื้อโทรศัพท์มาเปย์ดิฉันทันทีที่รู้ว่าดิฉันไม่มีโทรศัพท์ในตอนนั้น  ในใจลึกๆโบว์อยากได้โจ๊กมากกว่าบ่าว
แต่โจ๊กนั้นถึงรูปชั่วตัวดำ   แต่พอปักใจหลงรักดิฉันไปแล้ว  โจ๊กก็มุ่งมาที่ดิฉันคนเดียว  ไม่ได้สนใจโบว์
โบว์เลยหันไปเอาบ่าว  ที่มาสนใจโบว์เหมือนกัน   โชคดีที่ผักมีแฟนอยู่แล้ว  พวกนั้นเลยไม่ยุ่งผัก นอกจากแซวเล่นตอนเจอ

.....แต่เราก็ยังคบหากันเป็นเพื่อนไปแบบนั้น   พวกของโจ๊กช่วยทำให้ความคิดของดิฉันเป็นจริงนั่นคือการขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวไปตามสถานทีท่องเที่ยวต่างๆของพัทลุงแบบเช้าไปเย็นกลับ  มอเตอร์ไซค์3คัน ชาย4 หญิง3  โบว์จะนั่งกับบ่าว เพราะกลายเป็นแฟนกันไปแล้ว  ส่วนคันของโจ๊กจะบรรทุกคนถึง3คน  และรถของผัก ผักก็ขับเอง โดยมีดิฉันนั่งซ้อน
เราไปกันทั่วพัทลุง  ตามน้ำตกต่างๆ  จะไปเล่นน้ำ  นั่งกินอะไรกัน

......โชคดีที่โจ๊กเป็นคนที่เชื่อฟังดิฉันอย่างมาก  เขาไม่เคยล่วงเกินดิฉันในทางฉวยโอกาสเลย  และดิฉันก็บอกเสมอว่า
ดิฉันยังมองว่าโจ๊กเป็นแค่เพื่อนคนนึง  ซึ่งโจ๊กก็ยอมรับสถานะตรงนั้น  เขาบอกกับดิฉันว่า  แค่ได้ไปไหนมาไหนกับดิฉัน ถึงจะนั่งรถคนละคัน  ได้เท่านั้น  สถานะไหนเขาก็มีความสุขแล้ว  ดิฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโจ๊กเป็นคนที่โรแมนติกพอตัว ผิดกับรูปร่างภายนอกเขามาก  ดิฉันเองก็รู้สึกดีกับสิ่งที่โจ๊กทำ   หลังๆมา  มีหลายครั้งที่ดิฉันขอผัก  ให้โจ๊กมาขับรถของผัก  แล้วดิฉันนั่งกลาง  ผักนั่งท้าย

.......โจ๊กหลงดิฉันหัวปักหัวปำหนักขึ้นทุกวัน   แล้วมันก็เป็นช่องให้ผักและโบว์ใช้ดิฉันเป็นข้ออ้าง  ในการจะให้โจ๊กเลี้ยงข้าว  ขนม  ดูหนัง  ร้องเกะ  โดยอ้างว่าดิฉันต้องการมัน  ดิฉันไป  แต่ในใจไม่มีความสุขเลย  ที่ต้องแกล้งสะตอ  ว่ามีความสุขเวลาอยู่ต่อหน้าโจ๊ก  ดิฉันมีคำถามครุ่นคิดในใจว่า  นี่เรากำลังทำอะไรอยู่  ไม่รัก แต่หลอกใช้คนที่มาหลงเรา  เพื่อให้เพื่อนมีความสุขแบบนั้นหรือ   ดิฉันสงสารโจ๊กมากขึ้นทุกวันกับความทุ่มเท  เคยพยายามจะทำใจให้รักโจ๊กบ้าง  แต่ใจมันไม่ได้รักจริงๆ

......ช่วงนั้น  มีเด็กวิทยาลัยเทคนิค  เข้ามาติดพันดิฉันคนหนึ่ง  ชื่อเก่ง   เก่งเข้ามาทัก  เมื่อเขาเจอดิฉันนั่งรอรถคนเดียวในชุดนักเรียนที่คิวรถตรงข้ามวิทยาลัยเทคนิค  เก่ง  เป็นคนหน้าตาดี  รูปร่างแข็งแรงสมส่วน  เขานั่งรอรถข้างๆดิฉัน   เก่งแอบถ่ายรูปดิฉัน  ดิฉันหันไปเห็นพอดี  จึงลุกขึ้นไปถาม

    “นายถ่ายรูปเราทำไม มีอะไรหรือเปล่า”

  “เปล่าครับ  เราเห็นเธอน่ารักดี  เห็นเรียนสตรีข้างๆด้วย เลยอยากเก็บรูปไว้ดู”

  “อืม ..ม่ะ  ยืนให้ถ่าย  ถ่ายนะ”

.....เหมือนตอนนั้นดิฉันคิดอะไรไม่ทราบ    ยืนโพสต์ท่าให้เก่งถ่ายรูป  ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  พอดิฉันโพสต์ไป2รูป ดิฉันก็มานั่งรอรถต่อ  เก่งตามมานั่งใกล้ๆ

   “เธอๆชื่อไร  เราชื่อเก่งนะ”

   “ชื่อหยก มีอะไรหรอ”

    “ตรงๆนะเราชอบเธออ่ะ  ขอเบอร์ได้ป่าว”

   .......เพราะความรู้สึกถูกชะตากับเก่ง  เลยทำให้ดิฉันให้เบอร์กับเก่งไป  แต่ก็ไม่เคยโทรคุยกันสักครั้ง
ข้างโจ๊ก ก็ขยันมารอเจอดิฉันหน้าโรงเรียนเหมือนเดิม   ฉันก็คุยไปในฐานะเพื่อน  โจ๊กเสนอตลอดว่าจะขอไปส่งดิฉันใกล้ๆบ้าน  แต่ดิฉันไม่อนุญาต  เพราะกลัวคนแถวบ้านเห็น    ช่วงนั้น เก่งเริ่มโทรมาคุยกับดิฉันและเริ่มบ่อยขึ้น
แต่หากใครคิดว่า ดิฉัน จะหันไปคบกับเก่ง   เปล่าเลยค่ะ  เพราะคุยไปคุยมา  เก่งชอบดิฉันเพราะถูกชะตา และอยากเป็นแค่เพื่อนเฉยๆ เพราะเก่งเป็นเกย์

....ตอนนั้นดิฉันเริ่มพยายามตีตัวออกห่างจากโจ๊ก   โจ๊กเริ่มโทรมางอแงกับดิฉันมากขึ้น  ว่าดิฉันเปลี่ยนไป
ดิฉันบอกให้โจ๊กทบทวนสถานะของเราสองคน  ว่าเราตกลงกันเป็นแค่ไหน  แล้วจะมาบอกว่าดิฉันเปลี่ยนไปได้ยังไง

  “เพื่อน คือ เพื่อน เข้าใจนะโจ๊ก..เราไม่ได้รักโจ๊กแบบนั้นเลย”

.....โจ๊ก  ร้องไห้มาในสาย  เริ่มฟูมฟาย  ทวงถามว่าแล้วที่ผ่านมา  ดิฉันไปทำดีกับเขาทำไม  ดิฉันได้แต่บอกว่า  ดิฉันคิดว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้ ในแบบเพื่อนจริงๆ  ดิฉันขอโทษโจ๊กที่รักโจ๊กไม่ได้ในแบบแฟน  ขอให้เราเป็นแค่เพื่อนเถอะ
โจ๊กก็ยืนยันหนักแน่นว่า  จะไม่ยอมแพ้ เขาบอกว่า  ถ้าดิฉันจะทิ้งเขาไป  เขาจะไม่ขออยู่ เป็นคน

....ดิฉันเหนื่อยใจกับโจ๊กมากขึ้นทุกวัน  โจ๊กตื๊อและดื้อไม่เคยยอมแพ้  มันผิดที่หลายๆครั้งดิฉันใจอ่อน เพราะสงสารเขา  ยอมเจอเขา  ยอมไปนั่งคุย  โจ๊กบอก  เขาดีใจที่ได้เกิดมาเจอดิฉัน  ได้อยู่ใกล้ดิฉัน พร่ำเพ้อไปต่างๆนาๆ
แต่หากใครเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆดิฉัน  คุณคงเข้าใจหัวอกดิฉันได้เป็นอย่างดีนะว่า  คนไม่รัก ยังไงมันก็รักไม่ได้
ยิ่งพยายามฝืนมาตื๊อ มันจะยิ่งเหนื่อยและเบื่อหน่าย

.....โจ๊กไปร้องไห้กับเพื่อนๆและโบว์   จนโบว์มาบอกกับดิฉันว่า  โจ๊กร้องไห้เรื่องดิฉันหนักมาก  ถ้าไม่คิดจะรักโจ๊กจริงๆ ก็หาทางตัดขาดแบบเด็ดขาดเถอะ โจ๊กจะได้ไปจากชีวิตดิฉัน  พวกเพื่อนๆโจ๊กพากันสงสารโจ๊ก  จนขอให้มาคุยมาบอกดิฉัน
ดิฉันจึงบอกโบว์ว่า “ได้”

.....ดิฉันไปเล่าเรื่องนี้ให้เก่งฟัง  ตอนนั้นเก่งกลายมาเป็นเพื่อนเกย์ต่างสถาบันของดิฉันเต็มตัวแล้ว  พอดิฉันเล่าเรื่องโจ๊กให้ฟัง  เก่งก็อาสาช่วย  ด้วยการจะมาแสดงตัวหลอกๆว่าเป็นแฟนของดิฉันให้  แล้วเก่งก็ทำจริงๆ  หากจะให้ด่าว่าดิฉันไร้หัวใจและสาระเลวก็คงได้ในตอนนั้น  แต่ดิฉันแค่อยากหาทางออกสำหรับชีวิตที่ดีที่สุด  เก่งมารอรับดิฉันหน้าโรงเรียน
หากวันไหนโจ๊กไม่มา  เราก็จะเดินคุยกันแบบปกติ  เพราะเป็นแค่เพื่อนเกย์  ซึ่งคนอื่นๆทั่วไปจะไม่รู้    แม้แต่โบว์กับผัก  ต่างพากันบอกว่าเก่ง หล่ออ่ะ

…..จุดแตกหักมาถึง  วันนั้นโจ๊กมารอดิฉันหน้าโรงเรียน  ดิฉันโทรหาเก่ง   เก่งก็พาเพื่อนเทคนิคมาด้วย2คน  เพราะรู้จากดิฉันมาแล้วว่าโจ๊กไม่ธรรมดา   เก่งกับเพื่อนมายืนอยู่อีกฝั่งถนน   ดิฉันก็เดินออกมาพร้อมโบว์  เพราะบ่าวจะเป็นคนไปส่งโบว์   พอโบว์เห็นเก่งกับเพื่อนยืนอยู่อีกฝั่งถนน  โบว์ก็

   “เห้ย...หยก นั่นเก่งนี่  มืงเอาไง  โจ๊กมันก็มารอมืง  ตายๆๆ”

   “ยังไง กุฝากมืงกับเพื่อนช่วยปลอบใจโจ๊กด้วยนะ  กุไม่อยากให้มันจมอยู่กับกุ  มืงก็รู้ว่ากุไม่ได้รักมัน”

......วันนั้นดิฉันตั้งใจแล้วว่า  เป็นไงเป็นกัน  ต้องให้โจ๊กเห็น  พอเจอโจ๊ก  โจ๊กยิ้มให้  ดิฉันยิ้มกลับ  แต่ดิฉันไม่เดินเข้าไปหาโจ๊ก  แต่เดินข้ามถนนตรงไปหาพวกของเก่ง  ดิฉัน เข้าไปยิ้มหัวเราะกับเก่ง  เก่งก็รับบทได้ดี  เก่งยิ้มหัวกลับมา  ลูบหัวดิฉันแบบเอ็นดู  เพราะเก่งตัวสูง   เก่งจับมือดิฉันเดินเลาะกำแพงวิทยาลัยเทคนิคไป  ดิฉันหันไป  เห็นโจ๊กมองตามอย่างอึ้งๆ
ในใจดิฉันได้แต่บอกโจ๊กไปว่า

“ขอโทษนะที่ต้องทำแบบนี้”

.....โจ๊ก  ขี่รถตามมาจอดใกล้ๆดิฉันที่เดินจับมือกับเก่ง  แล้วเริ่มโวยวายที่หน้าเทคนิค  และมองหน้าเก่งแบบเอาเรื่อง
ดิฉันไม่อยากให้คนมอง  เพราะรู้นิสัยโจ๊ก คือไม่อายใคร  ไม่เกรงใคร  ดิฉันนัดโจ๊กบอกให้ไปรอที่สวนสาธารณะคูหาสวรรค์
ดิฉันกังวลใจมาก  บอกให้เก่งกลับบ้านไปดีกว่า  เดี๋ยวดิฉันไปเคลียร์กับโจ๊กเอง  เก่งก็ยืนยันว่าจะขอช่วยดิฉันให้ถึงที่สุด
เก่งไม่กลัว  เก่งบอกมีเรื่องก็มี  เด็กเทคนิคไม่กลัวใครอยู่แล้ว

......เพื่อนอีกคนของเก่ง ขับรถ พาดิฉันและเก่ง  ไปเจอพวกโจ๊กที่สวนสารณะคูหาสวรรค์  โบว์ก็อยู่กับบ่าว  ฝั่งโจ๊กมีผู้ชาย3คน  ส่วนเก่งมากับเพื่อนแค่คนเดียว  พอเพื่อนเก่งจอดรถ  โจ๊กก็ตรงเข้ามาหาเก่ง

     “พรืออ่ะเติ้ล  หยกแฟนผม  ไซรมาชิง”  ((ยังไงคุณ  หยกแฟนผม ทำไมมาชิง))

    “คุณคิดเองเออเองหรือเปล่า  ว่าหยกแฟนคุณ   หยกบอกผมว่าคุณเป็นแค่เพื่อนไม่ใช่หรือ”

    “ตามใจมืงอิแหลง  แต่หยกของกุ อย่ามามั่ว กุขอเตือนมืงนะ ถ้ายังไม่เลิกยุ่ง กุยิง”

    “อ่ะ ผมกลัวคุณจังเลย  ลองเลยก็ได้ครับตรงนี้เลย”

......โจ๊กโมโห  ที่เก่งท้าทาย  โจ๊กด่า “ยิ้ม”  แล้วพุ่งสาวหมัดใส่เก่ง   แต่เก่งนั้นสูงใหญ่กว่า  และเป็นมวย  เก่งหลบแบบถอย หมัดของโจ๊กเลยเหมือนต่อยลม ดีสุดแค่ถากๆ   เพื่อนของเก่งที่มาด้วยเป็นห่วงเก่ง ทำท่าขยับจะเข้าไปช่วย  แต่ดิฉันจับแขนไว้  แล้วบอกว่า “อย่า” แล้วใช้สายตาชี้ไปทางบ่าว กับเพื่อนโจ๊กอีกคนที่นั่งอยู่ที่รถ  เพราะถ้าเพื่อนของเก่งเข้าไปช่วย  ทั้งบ่าวและเพื่อนโจ๊กคงพุ่งใส่ทั้ง2คน แน่ๆ  ดิฉันบอกเก่งไม่แพ้หรอก  เพราะช่วงชกผิดกัน  โจ๊กน่ะเที่ยวไปวันๆ
แต่เก่งนั้นออกกำลังกายเสมอ จนร่างกายแข็งแรง


.....โจ๊กมีแรงแค้นเท่าไหร่ก็พยายามจะซัดทั้งเท้าและหมัดใส่เก่ง  จนคนอื่นๆที่อยู่แถวนั้นเริ่มมายืนดู  เก่งไม่ตอบโต้สักหมัด  เอาแต่ถอยแล้วหลบกับปัดป้องหมัดมั่วซั่วของโจ๊ก  อายุของโจ๊กกับเก่งพอๆกัน  แต่เหมือนยืนดูเด็ก  ประถม  ไล่ต่อยเด็ก
ม.ปลาย  เพราะความสูงและช่วงตัวคนละรุ่น  พอโจ๊กเริ่มจะหมดแรง  แต่ทำอะไรเก่งไม่ได้ แ ถมเก่งไมได้สวนกลับเลย  ก็ยิ่งแค้น  โจ๊กคว้าท่อนไม้แถวนั้นได้ตรงเข้าใส่เก่ง  เก่งเห็นท่าไม่ดี  พอโจ๊กเหวี่ยงไม้จะหวด เก่งหลบแล้วก็เตะสวนเข้าชายโครงทีเดียว จนโจ๊กลงไปนอนจุก

......เก่ง ก็ยืนหอบ แต่ยังมีฟอร์ม  บอกให้โจ๊กสำนึกตัวเอง..
.
  “คุณรู้หรือยังว่าสู้ผมไม่ได้   อย่าพยายามดีกว่านะ  หยกน่ะของผม  กลับบ้านไปซะนะ”

......คนอื่นๆเริ่มมาดูมากขึ้นดิฉันเลยรีบไปดึงแขนเก่ง ให้ออกไปจากตรงนั้น   พวกเพื่อนของโจ๊กก็มาประคองโจ๊กลุกขึ้น
โจ๊กลุกขึ้นมาได้ ก็ยังชี้นิ้วด่าเก่ง


    “มืงจำคำกุไว้นะ กุเอาคืนแน่ “


….ดิฉันพาเก่งออกมา  พากันไปนั่งที่คิวรถ  ดิฉันขอบคุณที่เก่ง เข้ามาช่วยในเรื่องนี้  หากไม่ทำแบบนี้  โจ๊กคงไม่มีทางถอนตัวจากดิฉันแน่ๆ เพราะโจ๊กรู้ไปถึงบ้านดิฉัน  และดิฉันก็อึดอัดเกินกว่าจะให้โจ๊กเข้าใจผิดไปแบบนี้

    “ไม่เป็นไรหรอก  เก่งเห็นเพื่อนมีปัญหา เก่งก็อยากช่วย”

    “แต่เก่งระวังตัวเองด้วยนะ  โจ๊กมีปืน เรากลัวเขาจะทำอะไรเก่ง”

    “ไม่ต้องห่วง  มันตามหาตัวเก่งไม่ได้ง่ายๆหรอก”

......โจ๊กหายไปจากชีวิตดิฉันหลายวัน   จนคืนหนึ่ง  โจ๊กโทรมาหาดิฉัน   ดิฉันก็ยอมรับสาย...

    “มีอะไรโจ๊ก  โทรมาทำไมอีก”

    “หยก  โจ๊กคิดถึงหยก  โจ๊กทำใจไม่ได้”

    “ขอบใจนะโจ๊ก  แต่เรามีแฟนแล้ว  อย่ามายุ่งกับเราเลย”

     “หยกรักมันมากหรอ  ถ้ามันตายหยกจะรักโจ๊กไม๊”

     “อย่าทำอะไรเปรตๆนะโจ๊ก  ไม่อย่างนั้น  เราจะไม่ให้อภัยนายเลย”

    “โจ๊กให้หยกได้ทุกอย่าง  แม้แต่ชีวิตนะ  ขอแค่หยกกลับมาหาโจ๊ก”

     “ไม่อ่ะโจ๊ก  เราไม่ได้ชอบเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  ที่ยอมคุยด้วยก็เพราะตามน้ำให้เพื่อน เราอยากเป็นแค่เพื่อนเข้าใจป่าว”

 
…..ดิฉันตัดสายหนี  แล้วปิดโทรศัพท์  โจ๊กเคยพยายามมาดักรอดิฉันหน้าโรงเรียน  แต่ดิฉันก็แอบหนีไปทางอื่น  จนอีกคืนหนึ่ง  โจ๊กก็โทรมาหาดิฉันกลางดึก  เสียงเมามาก


“โจ๊ก รักหยกนะ “

ตื๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด... โจ๊ก..วางสายไป  มาบอกแค่ประโยคเดียว  ดิฉันแปลกใจเลยรีบโทรกลับ   แต่โจ๊กปิดเครื่องหนีไปแล้ว   ดิฉันใจเสีย  ใจไม่อยู่กับตัว  ดิฉันโทรหาโบว์  ให้โบว์โทรบอกบ่าวให้ไปดูโจ๊ก   โบว์ประชุมสาย ดิฉันบอกบ่าวว่าโจ๊กโทรมาบอกรักแล้ววางสาย  ปิดเครื่องหนี  ดิฉันกังวล  ขอให้บ่าวไปดูให้หน่อย  บ่าวก็บอกว่าตอนนี้ดึกแล้ว  ตอนเช้าบ่าวจะแวะไปดูให้


.......รุ่งเช้า  บ่าวโทรมาที่โบว์  แล้วโบว์ก็มาบอกดิฉันสีหน้าตกใจ


  “หยก มืง  ไอ่โจ๊กยิงตัวตายเมื่อคืน”

  “ห๊า..........อะไรนะ”

......ดิฉันช๊อค  โบว์เล่าต่อว่า  โจ๊ก ใช้ปืนเถื่อนประจำตัว  จ่อยิงขมับตัวเองที่บ้าน ที่ควนขนุน   แต่ไม่ตายในทันที  ญาติพาไปโรงพยาบาล  แต่หมอช่วยไม่ได้   โจ๊กเลยเสียชีวิต  ดิฉันอึ้ง ตะลึง สับสน   ถึงไม่ได้รัก  แต่รู้สึกผิดไปหมด ที่เราทำให้โจ๊กฆ่าตัวตาย  ดิฉันน้ำตาไหล   เสียใจ  วันนั้นทั้งวันดิฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลย   วันเผาดิฉันขอให้โบว์บอกบ่าวให้มารับพาดิฉันไปงานศพโจ๊ก   ญาติๆเอาศพโจ๊ก ไปตั้งบำเพ็ญกุศลศพที่วัดโคกน้ำหัก  ที่ควนขนุน

......ดิฉันเอาเงินส่วนตัวไปทำบุญกับญาติของโจ๊ก  บอกว่าดิฉันเป็นเพื่อนกับโจ๊ก   ดิฉันไปไหว้ศพโจ๊ก  ขออโหสิกรรมในใจ
พอก้มลงไหว้ศพโจ๊ก  เงยหน้ามองโลงดิฉันก็ผงะ   ดิฉันเห็นโจ๊กโผล่หัวมามองดิฉันจากด้านบนของโลง   แบบโผล่มาแค่หัวเหมือนตอนมีชีวิตเลย  เห็นแว้บเดียว แล้วหัวของโจ๊กที่เห็นก็หายไป ดิฉันใจหายใจคว่ำ    ไม่รู้ว่าโจ๊กจะรับคำขออโหสิกรรมของดิฉันไม๊  ดิฉันอยู่ส่งโจ๊กจนเอาศพเข้าเตาเผา ก็กลับ


....กลับมาถึงบ้าน  ดิฉันไม่สบายใจ  นึกถึงแต่ภาพที่เห็นหัวของโจ๊ก  โผล่ขึ้นมามองจากด้านบนของโลงตลอด  เพราะตัวดิฉันเป็นคนสัมผัสผีได้  และมีวิญญาณของพี่สาวฝาแฝด ที่ตายไปตอนเด็กตามติดตัว  ดิฉันจึงพนมมือ  ขอให้วิญญาณของพี่สาวฝาแฝดช่วยปกป้องคุ้มครองดิฉันจากดวงวิญญาณของโจ๊กด้วย    เพราะกลัวโจ๊กจะตามมากวนดิฉัน
แล้วโจ๊กก็มาจริงๆ  ....คืนที่พึ่งเผาศพโจ๊กไป   ดิฉันไม่ได้เป็นคนกลัวผีอะไรมากมาย  ก็เลยนั่งทำการบ้าน  โดยเปิดหน้าต่างรับลม

.....ห้องนอนดิฉัน  ด้านหน้าต่าง จะหันข้างไปหาถนนที่ตัดผ่านหน้าบ้าน   ขณะที่ดิฉันตั้งใจทำการบ้านเงียบๆอยู่...

  “หยก”

เสียงขานเรียกชื่อดิฉัน  ดังลอยมา  แค่ทีเดียว  ดิฉันหันไปมองทางหน้าบ้าน  แต่มันมืดมาก  เพราะบ้านอยู่ในส่วนยาง  และแถวนั้นไม่มีบ้านใคร   ดิฉันสัมผัสความรู้สึกได้ว่า  โจ๊ก มายืนอยู่ที่หน้าบ้านดิฉัน  แต่เข้ามาไม่ได้  เพราะบ้านของดิฉันมีทั้งพระ  ทั้งศาลพระภูมิ  และวิญญาณ ปู่ย่า  รวมทั้งผีสาวฝาแฝดดิฉันอีก  พวกท่านเหล่านั้นยังอยู่  โจ๊กเลยได้แต่ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน

......ดิฉันเป็นคนที่สัมผัสเรื่องพวกนี้ได้  หาก นั่งนิ่งๆทำสมาธิแล้วเบิ่งตาไม่กระพริบ   ดิฉันอยากเห็นโจ๊กในตอนนี้
เลยนั่งหันหน้าไปทางหน้าบ้าน  แล้วเพ่งตามองไปนิ่งๆฝ่าความมืดออกไป มีแค่แสงไฟใต้ถุนบ้างส่องไปลางๆ
ภาพของโจ๊กเริ่มชัดขึ้น  ยิ่งเบิ่งตายิ่งเห็นชัดเป็นแค่เงาดำๆ ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน  ดิฉันไม่ได้มีความสามารถมากพอจะเพ่งจนมองเห็นร่างที่ชัดกว่านั้น  เลยหยุดทำแค่นั้น   แค่รู้ว่าที่หน้าบ้านเป็นโจ๊กแน่ๆเลยพอ….

…..ดิฉันไปโรงเรียน  พอเจอโบว์  เลยเล่าเรื่องที่เห็นโจ๊ก มาปรากฏตัวทั้งที่งานและตามมาที่บ้านให้ฟัง
โบว์กับผักฟังแล้วก็ขนลุก  โบว์บอกว่า  บ่าวแฟนโบว์เพื่อนโจ๊ก  ก็เจอโจ๊กมาตามหาถึงบ้าน  บ่าวกลัวก็เลยมาเล่าให้โบว์ฟัง
เพราะตอนยังอยู่  โจ๊กสนิทกับบ่าวมาก   โจ๊กโผล่มาตามบ่าวที่บ้านตั้งแต่คืนสวดศพคืนที่2แล้ว  แต่โบว์ไม่ได้เอามาเล่าให้ฟัง   บ่าวเล่าให้โบว์ฟังว่า

......วันนั้นทั้งวัน  บ่าวไปช่วยงานศพโจ๊กที่วัดทั้งวัน  พอตกค่ำเลยขอตัวกลับมาอาบน้ำนอนที่บ้าน   บ้านของบ่าว อยู่ไม่ไกลจากบ้านโจ๊กเท่าไหร่  ระยะเดินลัดสวนหมากหากันได้ทางหลังบ้าน   ตอนนั้นที่บ้านบ่าวไปงานสวดศพโจ๊กหมดบ้าน
บ่าวเลยอยู่คนเดียว   บ่าวก็อาบน้ำแล้วเข้านอน  พอนอนๆกำลังเคลิ้มๆ  มีเสียงเดินมาข้างบ้าน แบบ เหยียบใบไม้ลัดสวนมา      แซ่ก แซกกกก  แซ่ก  แซ่กกกกกกกก....

....ตอนนั้นบ่าวกำลังเคลิ้มๆ พอได้ยินเสียงเดินก็หูผึ่ง  เพราะทางนั้นโจ๊กชอบใช้เดินลัดมาหาบ่าวบ่อยๆ   บ่าวก็หูผึ่งนอนหนังหัวตึง  ขนลุก  เพราะบ้านของบ่าวเป็นบ้านปูนชั้นเดียว  บ่าวกลัวผีอยู่แล้ว ก็นอนนิ่งแบบแทบไม่หายใจ
สักพัก เสียงเดินนั้น ก็เดินไปมาเสียงดัง... แซ่ก.... แซก.....แซก

     “บ่าว”

.....”ฮื้ยยยยยยยย  ไอ้โจ๊ก กูกลัว  ตายแล้ว  อย่ามากวนกูเลย”....

บ่าวบอกโบว์ว่า  บ่าวได้ยินเสียงเรียกเต็ม2หูว่า “บ่าว”  เรียกชื่อแค่ทีเดียว  บ่าวก็แทบฉี่ราดไปเลย  เนื้อหนังเกร็งไปทั้งตัว  บ่าวบอกเขาจำเสียงได้ดี ว่านั่นเสียงของโจ๊ก  ไม่ใช่เสียงใครเลย   บ่าวก็กลัวมาก ร้องออกมาบอกผีโจ๊กไปว่า  โจ๊กตายไปแล้ว  อย่ามาหาบ่าว  บ่าวบอก บ่าวไม่ได้หูฝาด  ยืนยันว่าได้ยินจริงๆ  และฉี่แทบราด    พอร้องบอกไปแบบนั้น  ทุกอย่างก็เงียบไป    บ่าวก็รีบไปเอาพระพุทธรูปที่ห้องแม่มาตั้งในห้องตัวเอง

......บ่าวนั้น  เป็นคนที่ต้องผจญภัยกับวิญญาณของโจ๊กมากที่สุด  เพราะบ้านอยู่ใกล้  และเป็นเพื่อนที่สนิทกัน
หลังจากวันนั้นมา  โบว์ก็เอามาเล่าให้ดิฉันฟังอีกว่าโจ๊กมาหาบ่าวอีกแล้ว  คราวนี้หลังจากงานศพโจ๊กผ่านไป3วัน
แล้วหนนี้ ก็ทำให้บ่าวต้องหนีไปขออาศัยนอนที่บ้านเพื่อนที่อยู่อีกตำบลแทนบ้านตัวเอง  เพราะทนไม่ไหว
โบว์บอกว่า  พองานศพโจ๊กผ่านไป3วัน  บ่าวก็นอนอยู่บ้าน พอดูหนังเสร็จ    ก็เลยเข้านอน

....พอนอนๆไป  เสียงหมาเห่าหอน บรู๊วววววว  ดังมาแต่ทางบ้านโจ๊ก  แล้วก็ดังตามทางมาเรื่อยๆ  จนมาถึงหน้าบ้านของบ่าว   หมา2ตัวที่เลี้ยงไว้ของบ่าวก็หอน  เรียกว่าประสานเสียงหอนกันระงม  ไม่มีตัวไหนยอมหยุดเลย
บ่าวก็นอนคลุมโปงตัวสั่น พนมมือบอกไปเบาๆว่า

  “ไอ่โจ๊กเหอ อย่ามาหลอกมาหลอนกูเลย กูกลัวแล้ว”

.....พอเสียงเงียบ    บ่าวก็เลยข่มตาหลับไป  ทีนี้บ่าวปวดฉี่กลางดึก ก็ลุกเปิดไฟ  ไปฉี่  พอเดินกลับเข้าห้อง  ประตูห้องบ่าว  มันอยู่ตรงข้ามกับช่องลมของบ้าน  คือบ้านของบ่าว ยังไม่ได้ใส่ ฝ้าเพดาน  เลยเป็นช่องลมมองเห็นข้างนอก มืดๆ
บ่าวเงยหน้า  บ่าวก็ผงะ ร้องโอ๊ยยยยยยยย  ตูดทิ่มพื้นเลย  บ่าวว่า บ่าวเห็นใบหน้าของโจ๊ก  โผล่อยู่ตรงช่องลมบ้านพอดี
บ่าวนั่งได้ก็พนมมือ  ร้องไห้เลย

  “ไอ้โจ๊ก อย่าหลอกกู  กูกลัวขี้จะแตกแล้ว ไอ้โจ๊ก  ไปที่ชอบที่ชอบต่ะ  โอยยยยยยยยย”

พอบ่าวพูดจบ  หน้าของโจ๊กก็ลอยถอยหายไปเลย   พ่อแม่บ่าวได้ยินเสียงบ่าวก็ออกมาดูว่าบ่าวเป็นไร  บ่าวก็เล่าให้พ่อแม่ฟังตามที่เห็น  พอตอนเช้าพ่อแม่บ่าวก็พาบ่าวไปรดน้ำมนตร์  ทำบุญให้โจ๊ก  แกว่าสมัยเป็นๆ บ่าวกับโจ๊กเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็กๆ  พอตายไป ใจมันยังคิดถึงเพื่อน  โจ๊กเลยมาหา

.....บ่าวไม่กล้านอนบ้านแล้ว  เลยขอพ่อแม่ไปนอนบ้านเพื่อน  ที่อยู่ไกลอีกตำบลสักพัก  พ่อแม่ก็ให้ไป
พอไปอยู่บ้านเพื่อนอีกคนได้4-5วัน ก็เห็นว่าสงบใจ หายกลัวแล้ว เลยกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม  พอกลับมาบ้าน
พ่อแม่บ่าวก็เล่าให้ฟังว่า  ตอนบ่าวไปนอนบ้านเพื่อน  โจ๊กมาเข้าสิงป้าตัวเองที่บ้าน  ร้องไห้ฟูมฟายน่าเวทนามาก
โจ๊กในร่างป้า  บอกคนที่รุมล้อมตอนนั้นว่า  โจ๊กหนาว  โจ๊กหิว   โจ๊กคิดถึงเพื่อน  คิดถึงผู้หญิงชื่อหยก  แต่เข้าใกล้คนชื่อหยกไม่ได้  ไปหาบ่าว  บ่าวก็กลัว   ไปหาอีกทีบ่าวก็หายหัวไม่อยู่บ้าน

......บ่าวบอกว่าบ่าวเชื่อ  เพราะเห็นหน้าของโจ๊กเต็มๆ  ตอนโจ๊กมาหา  แล้วยังกล่าวถึงชื่อดิฉัน
เพราะโจ๊กผูกพันกับดิฉันอยู่  ก่อนที่จะยิงตัวตายประชดรัก   แล้วโจ๊กยังเคยมาหาดิฉันถึงบ้านทั้งที่เป็นวิญญาณ
ส่วนเรื่องที่เข้าใกล้ดิฉันไม่ได้  ก็คงเพราะดิฉันมีผีของพี่สาวฝาแฝดที่ตายไปตั้งแต่เด็กคอยคุ้มครองอยู่

......บ่าวยังเล่าอีกว่า  พ่อแม่โจ๊กเล่าว่า   หลังงานศพโจ๊ก  พ่อแม่โจ๊กรู้สึกได้ว่าโจ๊กยังไม่ได้ไปไหนหรอก   ตั้งแต่ยิงตัวตายคาห้องไป  ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งห้องนอนของโจ๊กเลย  แถมตอนกลางคืน  หมาที่โจ๊กเลี้ยงไว้ ก็ยังส่งเสียงแบบ
งื๊ดๆๆๆๆ  พ่อแม่โจ๊กก็รู้เลยว่านั่นเป็นโจ๊กแน่ๆ    แถมยังได้ยินเสียง  เหมือนเสียงใครขึ้นนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์ของโจ๊กอีก
ดังก่อกๆแก่กๆ  แล้วมีเพื่อนบ้านขับรถผ่าน  บอกเห็นโจ๊กเดินไปเดินมาท่าทางเป็นทุกข์อยู่รอบบ้าน

......แถมโจ๊กยังไปนั่งส่งเสียงร้องไห้    ฮือๆๆ ที่บ้านของเพื่อนในกลุ่มอีกคน   จนเพื่อนคนนั้นผวาอย่างมาก   เรียกว่าได้พบกับวิญญาณของโจ๊กกันถ้วนหน้า    ทั้งคนแถวนั้นและเพื่อนๆรวมทั้งตัวดิฉันเอง    แต่โจ๊กมารบกวนดิฉันแค่2ครั้ง  และก็ทำได้แค่เพียงมายืนอยู่หน้าบ้าน   ดิฉันสงสารโจ๊ก   ที่คงต้องทุกข์ทรมานอยู่ตรงนั้น   เพราะการคิดตื้นๆตัวเดียว
ดิฉันให้บ่าวพาดิฉันไปที่บ้านโจ๊ก   เจอพ่อแม่โจ๊กอยู่พอดี   ดิฉันบอกว่าดิฉันคือหยก   ที่วิญญาณของโจ๊กเอ่ยถึงตอนเข้าสิงญาติ     ดิฉันขอเข้าไปที่ห้องโจ๊ก   พ่อแม่ก็พาไป

......พอไปถึงห้อง    ข้าวของ...ของโจ๊กไม่มีใครไปยุ่ง   เว้นตรงจุดที่โจ๊กยิงตัวตาย   ที่พ่อแม่ล้างคราบเลือดไป
ดิฉันจึงเอ่ยเข้าไปลั่นห้องว่า

    “โจ๊ก  โจ๊กอย่าไปรบกวนคนอื่นเลยนะ  หยกขอโทษ   หยกมาหาแล้วนะ   โจ๊กอยู่ในที่ของโจ๊กเถอะนะ”

พอพูดเสร็จ   ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็สะดุ้งขนลุกกันหมด  เพราะ เสียงหมาด้านนอก   หอนรับ จนบ่าวถอยจะวิ่งหนีเพราะกลัว
ดิฉันชวนทุกคนที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับโจ๊ก  ไปทำบุญให้โจ๊ก   แล้วพ่อแม่ของโจ๊กก็ไปนิมนต์พระมาทำพิธีสวดที่บ้านด้วย
หลังจากวันนั้นมา  โจ๊กก็ไม่ไปตามกวนใครอีก   บ่าวมาเล่าให้ฟังว่า

........  พ่อแม่โจ๊กปิดตายห้องของโจ๊ก แล้วก็เอาโต๊ะหมู่บูชามาตั้งพระขวางประตูเข้าออกห้องของโจ๊กไว้   ปิดตายไปเลย   นั่นคงเป็นสาเหตุที่โจ๊กไปกวนใครไม่ได้อีก
ดิฉันคิดว่าโจ๊กเขายังอยู่ในห้องนั้นแหละ   แต่ออกมาไม่ได้   พ่อแม่โจ๊กขังเอาไว้   ตัวดิฉันเองก็เสียใจจนถึงตอนนี้    ที่เป็นเหตุให้โจ๊กยิงตัวตาย   นึกถึงโจ๊กทีไรก็ยังแอบน้ำตาไหลทุกที   ไม่รู้ตอนนี้วิญญาณของเขาจะเป็นยังไงบ้าง
และนี้คือเรื่องราวทั้งหมดที่ดิฉันเอามาเล่าสู่กันฟังค่ะ..สวัสดี

เรื่องจากพันทิป  วิญญาณ ..กับคราบน้ำตา.. และการจากลาที่พัทลุง
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624

ไม่มีความคิดเห็น