ขายข้าว...ให้ใคร
หลายคนกำลังคิดถึง คุณ ลอยชาย เจ้าชายแห่งการเล่าเรื่องผีแห่งพันทิป และเรื่อง"ขายข้าว...ให้ใคร"อีกหนึ่งเรื่องใหม่ที่ทำให้คุณอ่านแล้ววางไม่ลง ขอขอบคุณเรื่องราวสยองคุณภาพไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องบางเรื่องถ้าจะให้มาพูดมาแจกแจงกันมันก็คงเป็นเรื่องยากมากจริงๆที่จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน มันขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อ ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ต่างๆ นานาล้วนมีผลกับวิจารณญาณของเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
“โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากเนื้อหาใจความไม่ตรงใจหรือตรงจริตของท่าน โปรดอ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น”
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนเป็นช่วงที่ผมยังไม่ได้ทำงานจึงยังพอมีเวลาว่างให้ไปใช้ชีวิตไปเที่ยวเล่นอยู่บ่อยๆ กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ผมมักจะชอบทำเวลาว่าคือการ เดินสำรวจเส้นทางรอบๆ ที่พัก
การเดินสำรวจของผมนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายแค่เป็นไปเพื่อมองหาร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือไม่ก็ร้านขายของเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะจำเป็นในอนาคต เหมือนกับวันว่างๆ วันนั้นเช่นกัน
ผมเดินออกจากที่พักที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ได้ไม่กี่วันตรงผ่านตึกเก่าๆ ของชุมชนไปไม่กี่ช่วงตึกก็จะพบซอยตัดของทางแยกถนน ในนั้นดูครึกครื้นมีผู้คนมีเสียงเอะอะโวยวาย ผมจึงเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
รอบข้างถนนนั้นให้ความรู้สึกคล้ายบ้านเกิดเพราะเป็นชุมชนเล็กๆ ไม่แออัด ทุกคนยังคงเปิดร้านขายอาหารขายของกันในเขตบ้านของตนสลับกับขาจรที่เข็นรถมาขาย ไม่ก็เอาโต๊ะพับมาวางตั้งในช่วงเย็น
ผมใช้เวลาหลายวันเพื่อทดลองเข้าไปนั่งชิมอาหารในร้านตามสั่งของทั้งซอยจนในที่สุดก็ได้ร้านที่รู้สึกว่าถูกปากและตัดสินใจให้เป็นร้านประจำนับตั้งแต่ตอนนั้น
ผมแวะเวียนไปกินข้าวที่นั่นแทบทุกวัน บางวันก็นั่งกิน บางวันก็ห่อกลับ สลับกันไปแล้วแต่ความสะดวก แต่อย่างนึงที่สังเกตเห็นทุกครั้งที่มาซื้อข้าวที่นี่คือเจ้าของร้านจะวางถาดข้าวเล็กๆไว้ที่หน้าร้านตรงพื้นปูน จริงๆแล้วมันอาจดูไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะร้านขายอาหารที่ไหนๆ ก็มักจะทำอย่างนี้ให้เห็นกันทั่วไป แต่มันต่างกันตรงที่ปริมาณอาหารมันดูเยอะผิดปกติไปหน่อย
หลังจากที่ผมคิดได้อย่างนั้นก็กลายเป็นติดนิสัยว่าทุกครั้งที่มาผมจะแอบมองถาดข้าวนั้นแล้วคิดว่าวันนี้ ‘มีเมนูอะไร’
คิดไปคิดมาผมว่ามันก็แปลกเหมือนกันที่เราจะไปสนใจของอะไรอย่างนี้ แต่มันก็ติดเป็นนิสัยไปจนได้ มีครั้งหนึ่งผมยอมรับเลยว่าเคยมองอาหารในถาดนั้นแล้วรู้สึกว่า มันคือเมนูอะไรเนี่ย น่ากินจัง เพราะปกติผมสั่งแต่ผัดกะเพรา กับ หมูทอดกระเทียม
ผมเก็บเมนูนั้นไว้ในใจทิ้งช่วงไปสองสามวันแล้วลองสั่งตาม ปรากฏว่ามันก็อร่อยจริงๆ อร่อยมาก สุดท้ายก็ต้องสั่งซ้ำไปอีกหลายวันกับเมนูเดิมๆ ‘เห็ดเข็มทองผัดน้ำมันหอยใส่กะหล่ำกับเต้าหู้ทอด’
หลังจากนั้นจำไม่ได้แน่ชัดว่าห่างไปกี่วันแต่ผมผิดสังเกตไปเพราะอาหารในถาดถูกลดปริมาณลงจนเหลือเพียงข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยวางด้วยไข่ดาวเท่านั้น
ผมเห็นเมนูน้ำซ้ำกันอยู่หลายวันนจนเกิดคำถามในใจ แต่ผมก็ไม่ได้สนิทกับเจ้าของร้านมากพอที่จะไปถามเรื่องแบบนี้ อีกอย่างต่อให้สนิทก็คงไม่ใช่เรื่องที่ควรถามสักเท่าไหร่ แต่แล้วมันก็เหมือนกับคำตอบของคำคถามนี้มันวนกลับมาที่เราอย่างไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว
เย็นวันนั้นผมมีเวลาว่างช่วงเย็นมากกว่าปกตินิดหน่อย จึงสั่งอาหารนั่งกินที่ร้านไม่ได้ห่อกลับมากินที่ห้องเพราะขี้เกียจล้างจานและไม่อยากเพิ่มขยะที่ต้องเก็บกวาดในช่วงสุดสัปดาห์
อาหารในจานเซรามิกถูกนำมาวางตรงหน้าด้วยตัวเจ้าของร้านเอง นั่นทำให้ผมสังเกตว่า เด็กเสิร์ฟในร้านได้หายไปแล้ว ส่วนคนที่น่าจะเป็นสามีของเจ้าของร้านก็นั่งล้างจานอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปบ้างเว้นก็เพียงแต่ปริมาณอาหารและความอร่อยที่ไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย
เมื่อจัดการข้าวในจานเสร็จก่อนกลับผมแอบมองที่หน้าร้านอีกครั้ง บนถาดนั้นยังคงมีข้าวไข่ดาวเหมือนช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่แปลกตาจนผมเผลออุทานออกมาคือ ‘รถของเล่นคันเล็กๆ’
ผมหรี่ตามองของในถาดอีกครั้งและมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด ในนั้นมันมีของเล่นเด็กวางอยู่จริงๆ ข้างๆ กับข้าวไข่ดาว ซึ่งปกติการไหว้เจ้าที่ หรือเลี้ยงสัมภเวสีหน้าร้านตามความเชื่อของคนไทยนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงของเล่นเด็กเลยสักนิด หรือบางทีอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของคนบ้านนี้ก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ มันก็แปลกๆ อยู่ดี
วันถัดมาด้วยความคาใจผมจึงกินข้าวที่ร้านนั้นอีกครั้งเพื่อไปดู วันนี้ของเล่นหายไปแล้ว มีเพียงข้าวไข่ดาวเท่านั้น และวันนั้นคือวันที่เกิดเรื่องขึ้นจนทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวายไปอีกหลายวันนับจากนั้น
ผมนั่งกินข้าวในจานอย่างช้าๆ ด้วยความกดดันแปลกๆ เพราะทั้งร้านไม่มีใครเลยนอกจากผม ด้วยความอึดอัดจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดนั่นนี่ดูเลี่ยงการสบตากับเจ้าของร้านที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่โต๊ะข้างๆ (ไม่มีคนมากินข้าว เจ้าของร้านเลยว่างไม่ต้องทำอาหาร)
ผมเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยสลับกับตักข้าวเข้าปาก ช่วงนั้นคงเป็นช่วงที่เผลอๆ จนสติมันไม่ได้คิดอะไรวุ่นวายมากนัก หางตาผมเหลือบไปเห็นเงาร่างของเด็กคนหนึ่งยืนเกาะโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งไม้บรรทัด
“เฮ้ย!”
ผมเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว และตรงนั้นมันก็ใกล้มาก ผมตกใจจนเผลอลุกจากเก้าอี้พลาสติกที่นั่งอยู่อย่างลืมตัว
พอตั้งสติได้เงาร่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาคือผมลืมไปว่า ผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นคนเดียว เจ้าของร้านกับสามีหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ผมอายมากทำตัวไม่ถูก จึงตัดสินใจทิ้งข้าวที่เหลืออีกเกือบครึ่งจานแล้วเดินไปจ่ายเงินทันที
ผมไม่กล้ามองหน้าเจ้าของร้านได้แต่ก้มหน้ารอเงินทอน แต่มันก็นานแปลกๆ จนผมถูกเรียกด้วยเสียงที่คุ้นหู เสียงที่ถามผมทุกวันว่าวันนี้จะกินอะไรดี
“ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ น้องตกใจอะไรเหรอคะ” เจ้าของร้านถามผม
“เอ่อ แมลงสาปครับ” ผมคิดอะไรไม่ออกพูดไปอย่างนั้น แต่ก็ดันมาคิดได้หลังจากพูดไปแล้วว่าคำตอบนั้นอาจทำให้เจ้าของร้านไม่พอใจ หรือไม่ก็รู้สึกไม่ดีที่มีลูกค้ามาพูดอย่างนี้
“เหรอคะ…” นั่นไง ผมคิดไว้แล้ว เพราะเจ้าของร้านดูหน้าเสียไปนิดๆ
ผมรับเงินทอนมาแล้วก้มหน้าให้หนึ่งครั้ง คิดว่าสักวันคงจะต้องกลับมาหาทางขอโทษเขาสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้ ผมคิดอย่างนั้น
วันรุ่งขึ้นผมกลับมาที่ร้านอีกครั้ง วันนี้เป็นวันหยุดผมเลยตัดสินใจว่าจะมากินข้าวที่ร้านนี้ทั้ง เช้า กลางวัน และเย็น แทนคำขอโทษไปเลยแล้วกัน
สิ่งที่ผมทำและอาหารที่สั่งนั้นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมาแต่สิ่งที่ต่างไปวันนี้คือไม่มีถาดอาหารวางอยู่ที่หน้าร้านเหมือนในทุกๆ วัน ผมมองแล้วคงเผลอแสดงสีหน้าแปลกใจออกมากระมัง เจ้าของร้านจึงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติเหล่านั้น
วันนี้ก็ไม่มีใครมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนผมอีกแล้ว ผมเป็นโต๊ะเดียวในร้าน มองไปรอบๆ ร้านที่ว่างเปล่าก็รู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมไม่มากินกันนะ ออกจะอร่อยขนาดนี้
“กะเพราไก่ค่ะ” พี่เจ้าของร้านเอาอาหารมาหารมาวางบนโต๊ะ ผมพยักหน้ารับแล้วกำลังจะเริ่มกินอาหารในจาน
“น้องคะ น้องเห็นอะไรในร้านพี่รึเปล่าคะ” เจ้าของร้านถามผมขึ้นมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ผมที่ไม่ทันตั้งตัวก็เกือบจะสำลักน้ำที่กำลังดูดเข้าปาก
ผมยังคงพยายามปฏิเสธถึงสิ่งที่พี่เจ้าของร้านถามเพราะส่วนตัวผมการพูดหรือยอมรับเรื่องพวกนี้ออกมาตรงๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากใจเสมอมา แต่สุดท้ายก็จนมุมจนไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะผมไม่ใช่คนเดียวที่ช่างสังเกต
“พี่เห็นน้องชอบมองของไหว้พี่ที่หน้าร้านบ่อยๆ มองเหมือนคิดอะไร บางทีก็ยิ้มๆ วันนี้เลยลองไม่วางดูแล้วน้องก็ทำหน้าแปลกๆ แล้วเวลาน้องมากินพี่ก็ได้กลิ่นธูปติดตัวน้องมาตลอด บางทีพี่ก็เห็นน้องใส่แหวนใส่สร้อย อย่างน้อยถ้าน้องไม่เห็นอะไรก็น่าจะต้องมีความเชื่อพวกนี้อยู่บ้าง”
ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินไม่คิดว่าแม่ค้าร้านขายอาหารตามสั่งคนหนึ่งจะสนใจลูกค้าอีกคนหนึ่งได้มากมายขนาดนี้ ส่วนเรื่องกลิ่นธูปกลิ่นกำยานนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะที่พักของผมเป็นหอพักเวลาผมไหว้พระก็มักจะจุดในห้องเลยเสื้อผ้าของใช้ส่วนใหญ่ก็จะมีกลิ่นติดมาเป็นเรื่องปกติ (ผมโดนเพื่อนที่เรียน คนที่ทำงานทักประจำ)
เมื่อไม่สามารถปฏิเสธต่อไปได้ผมจึงได้แต่เงียบไม่พูดอะไรต่อ ให้เขารู้เท่าที่เขาคิดพอแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องไปสาธยายอะไรต่อ เว้นแต่เพียงว่าเธอมีเรื่องที่อัดอั้นคาใจอยู่เต็มไปหมด เธอถามผมออกมาตรงๆ อีกครั้ง และคำตอบของผมก็คือเงียบ แต่ก็ไม่ได้แสดงกริยาไม่พอใจออกไป ถึงคงเข้าใจเอาเองว่าผม โอเค เธอจึงเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาให้ผมฟัง
เรื่องจากตรงนี้ไปจะเป็นคำบอกเล่าของเจ้าของร้านที่ผมจะขอเรียกเธอและสามีว่า “พี่ตี” กับ “พี่แป๊ะ” โดยผมจะขอเล่าในคำพูดของผมเท่าที่ผมจำมาได้ ไม่ใช่คำพูดของคนทั้งสองแบบคำต่อคำ
ในครั้งแรกพี่ตีไม่ได้เล่าถึงภูมิหลังของตัวเองมากมายนักแค่บอกผมว่าเธอย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สักหนึ่งปีซึ่งก็ถือว่าไม่นานเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเพื่อนร้านค้ารอบๆ ช่วงมาใหม่ๆ ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็เกิดขายไม่ดีขึ้นมาเสียเฉยๆ
“น้องก็คิดดู ร้านอื่นคนแน่นไปหมด ร้านพี่มีแต่น้องคนเดียว” ผมมองตามมือของพี่ตีที่ชี้ไปยังร้านรอบๆ ก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างเช่นร้านฝั่งตรงข้ามมีเพียงถนนเส้นเล็กๆ ในซอยกั้น คนมานั่งรอคิวซื้ออาหารยาวจนล้นออกมานอกร้าน (ร้านนั้นผมก็เคยกิน ก็อร่อยดี แต่ถ้าพูดถึงแค่เรื่องรสชาติร้านพี่ตีก็ถือว่าไม่ห่างกันเลย)
ผมนั่งฟังเงียบๆ พร้อมกับกินข้าวในจานไปเรื่อยๆ ตอนนี้พี่แป๊ะที่ผมมักจะเห็นเขาล้างจานหั่นผักอยู่หลังร้านย้ายมานั่งข้างๆ แฟนของเขาแล้ว สายตาที่มองมาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ เขาไม่ได้มองมาที่ผมอย่างหวังประโยชน์ มันคล้ายกับสายตาของคนที่แค่อยากจะคุยกับใครสักคนเท่านั้น
“เฮ้ย!” อีกครั้งที่ผมไม่ทันตั้งตัวจนต้องอุทานออกมาเสียงดังหลังจากเห็นเงาร่างของเด็กคนหนึ่งวิ่งตัดหน้าโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ไปทางหลังร้าน เรียกว่าวิ่งผ่านหน้าพี่ตีไปอย่างเฉียดฉิว และคำอุทานนั้นเองที่ทำให้ทั้งสองคนเริ่มมั่นใจว่าผมต้องเห็นอะไรบางอย่างในบ้านหลังนี้เป็นแน่
แปลก ผมคิดอย่างนั้นในตอนนั้น อะไรๆ มันจะดูเหมาะเจาะไปรึเปล่า จะมาป่วนมากวนกันอะไรตอนที่กำลังมีคนนั่งมองอยู่ แล้วก็เลือกเวลาได้ถูกต้องเอาเสียด้วย ปกติถ้าเจอถ้าเห็นมันก็ตกใจอยู่หรอก แต่มันก็ไม่เท่าตอนเผลอๆ
ผมหันไปมองพี่ตีที่ทำหน้าหนักใจอยู่ไม่ไกลนัก เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าส่วนที่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อไป
หลังจากเธอมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนักเธอรู้สึกว่ามันเกิดเรื่องแปลกขึ้นภายในบ้าน พอพูดคำว่าภายในบ้านเธอเงียบไปแล้วเปลี่ยนคำพูดเป็น ‘แถวบ้าน’
สาเหตุที่เธอเลือกใช้คำใหม่นั้นเป็นเพราะในช่วงแรกเรื่องราวต่างๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นในตัวบ้าน หากแต่เป็นที่นอกบ้านเสียมากกว่า พี่ตีชี้มือไปที่ศาลเล็กๆ ตรงหัวมุมถนน ผมชะโงกหน้ามองก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่เพราะเดินผ่านอยู่ทุกวัน
และด้วยความที่ไม่ค่อยมีลูกค้าจะเข้ามาอยู่แล้ว พี่ตีกับพี่แป๊ะจึงพาผมเดินไปดูตรงศาลนั้นให้ชัดๆ ที่ตรงนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากศาลหัวมุมถนนทั่วไป แต่ถ้าสังเกตไม่ดีจะไม่เห็นเลยว่าด้านหลังของศาลมีตอไม้เก่าๆ ทอดตัวอยู่กับพื้น จากสภาพที่ดูแล้วผมคิดว่าตรงนี้น่าจะเคยเป็นต้นไม้ใหญ่มาก่อน มันคงถูกตัดเมื่อนานมาแล้วอาจเพื่อสร้างบ้านเรือนสร้างตึกไม่ก็สร้างถนน แต่สุดท้ายมันคงไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น ตอไม้ดังกล่าวจึงถูกทิ้งไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้รับการดูแล
“ตอนพี่มาอยู่ใหม่ๆ พวกเพื่อนบ้านเขาบอกให้มาไหว้ ตรงนี้เป็นเจ้าที่ใหญ่ เขาจะคอยดูแลเราให้ค้าขายดีขึ้น” ผมไม่ได้โต้เถียงอะไรกลับไปเพราะคิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน
พี่ตีแทรกตัวเดินเข้าไปที่หลังตอไม้ทำท่าก้มๆ เงยๆ เหมือนมองหาอะไรอยู่ ตรงนั้นมีเศษใบไม้แห้งเศษขยะปะปนจนบางทีก็เกิดความสงสัยว่า ถ้าศรัทธากันมากขนาดนั้นทำไมไม่ดูแลความสะอาดให้มันเรียบร้อย แต่เมื่อมองดูจากรอยแป้งรอยมีดตามตอไม้แล้วก็ได้คำตอบ คนแถวนี้คงจะศรัทธากันแค่วันต้นเดือนกับกลางเดือนเท่านั้น
พี่ตีใช้มือแหวกกองใบไม้ที่สุมๆ อยู่แถวนั้นออก พี่แป๊ะเดินตามเข้าไปช่วย ไม่นานสองคนก็เดินกลับออกมาจากช่องแคบๆ ตรงนั้น สิ่งที่ถืออยู่ในมือนับว่าแปลก และไม่น่าจะมีอยู่แถวนี้ได้ ผมคิดอย่างนั้น
“กระเบื้องอะไรครับ” ผมถามออกไปเพราะสภาพของมันแตกหักแล้ว แต่ก็พอจะดูออกว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน
“พี่เอามาทิ้งเองแหละ พี่ว่ามันเหมือนพวกกระเบื้องหลังคาวัดหลังคาโบสถ์” คำตอบของพี่ตีทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะดูไม่ทุกข์ร้อนและไม่กลัวสักเท่าไหร่ เธอถือมันไว้ ยื่นให้ผมดู เหมือนอยากจะให้ผมตอบคำถามอะไรบางอย่าง ที่คนถามไม่ยอมพูดออกมา
“พี่เจอมันเมื่อไหร่ครับ” ผมต้องเป็นฝ่ายถามแทน
“หลังจากที่คนเริ่มซาลง พี่เจอกระเบื้องนี่วางอยู่ตรงประตูเหล็กหน้าบ้าน พี่เจอตอนลงมาเปิดร้านตอนเช้า ก็เลยเอามาฝากวางไว้ตรงนี้เพราะไม่รู้จะทำยังไง พี่ก็ทำเท่าที่รู้ที่เคยได้ยินมา”
ความเชื่อทั่วไปของคนไทยส่วนมากถ้ามีของแปลกประหลาดน่ากลัวๆ ไมได้ไม่ดีอย่างไรก็ให้เอาไปวางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไปไว้ตามศาลบ้าง ทางสามแพร่งสี่แพร่งบ้างว่ากันไป บางครั้งมันก็ได้ผลจริง แต่ในหลายๆ ครั้งมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ซ้ำยังเป็นการเอาภาระไปฝากไปทิ้งไว้ให้คนอื่นเสียมากกว่า
ผมหยิบกระเบื้องชิ้นนั้นมาถือไว้ในมือพลิกไปมาเพื่อดูรอบๆ ไม่มีอะไรผิดปกติ มีแต่ความรู้สึกมึนหัวแปลกๆ ที่ติดมาด้วย นั่นคงเป็นคำตอบให้ได้ประมาณหนึ่ง ผมบอกวิธีจัดการกับกระเบื้องแผ่นนี้ให้พี่ทั้งสองแทนที่จะนำมันมาทิ้งไว้เฉยๆ ให้ทำบุญให้เขาดูก่อน มากรวดน้ำให้เขาสักเจ็ดวัน ขอให้เขาพบทางที่ควรจะเดินไป ไม่ต้องมาติดอยู่อย่างนี้ ผมบอกไปแค่นั้นไมได้อธิบายให้ฟังว่ามันคืออะไรกันแน่
เรากลับมาที่ร้านอีกครั้งเพื่อฟังเรื่องที่เธอจะเล่าต่อไป หลังจากคืนที่เธอพบกระเบื้องชิ้นนี้วางอยู่ที่หน้าบ้าน เรื่องแปลกๆ ก็เริ่มต้นขึ้น ปกติแล้วเธอจะตื่นประมาณตี 4 เพื่อออกไปซื้อของมาเตรียมเปิดร้านวันต่อวันเพราะร้านของพี่ตีนั้นเปิดแต่เช้าจนถึงประมาณ 1 ทุ่มของทุกๆ วัน
วันนั้นกิจวัตรของพี่ตีไม่ได้ต่างไปจากทุกวัน เธอขี่รถมอเตอร์ไซด์ที่มีพ่วงข้างไปจ่ายตลอดกับพี่แป๊ะ ทั้งสองคนกลับมาถึงหน้าร้านเวลาประมาณสักตีห้าครึ่งซึ่งเป็นเวลาประจำ
ก่อนที่รถมอเตอร์ไซด์ของทั้งสองคนจะเข้ามาจอดที่หน้าประตูม่านเหล็กหน้าร้านพี่แป๊ะที่เป็นคนขับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะมีอยู่ได้ในเวลานี้
ตรงหน้าม่านเหล็กของร้านมีคนแก่คนหนึ่งยืนอยู่ พี่แป๊ะที่เป็นคนเห็นบอกว่าค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นผู้ชาย อายุอานามให้กะเอาจากสายตาคาดว่าน่าจะร่วม 80 เพราะร่างกายนั้นผอมแห้ง หัวค่อนข้างล้านแทบไม่มีผมหลงเหลือแล้ว ที่สำคัญคือหลังที่ค้อมลงมาดูท่าทางน่าจะเดินลำบาก
“ร้านยังไม่เปิดครับตา!” พี่แป๊ะตะโกนผ่านความมืดไปยังชายชราตรงหน้า เพียงแค่แว้บเดียวเท่านั้นพี่แป๊ะบอกว่าคุณตาตรงนั้นหันมาสบตากับเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะมันมืดหรือว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรกจึงทำให้พี่แป๊ะไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดของใบหน้านั้นได้
และทันทีที่เงาร่างของชายชราหันมาสบตาเขาก็หันกลับไปอีกทางหนึ่งแล้วออกวิ่ง ท่าวิ่งนั้นเหมือนคนหนุ่มแต่พี่แป๊ะบอกว่ามันเร็วมาก ไม่ได้เร็วขนาดในหนังในละคร แต่อย่างน้อยๆ จะวิ่งได้เร็วขนาดนั้นก็ควรจะเป็นคนอายุสักยี่สิบประมาณนั้น ผมทีได้แค่ฟังก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่
“พี่อึ้งๆ ไปเหมือนกัน แต่ใจนึงมันก็คิดว่าอาจเป็นคนจริงๆ นี่แหละ ตียังพูดอยู่เลยว่ากลัวจะเป็นโจรมากกว่า” พี่ตีพยักหน้ารับสิ่งที่พี่แป๊ะพูด
“ก็อาจจะใช่นะครับ ถึงมันจะแปลกๆ แล้วยังไงครับ มีอะไรมากกว่านั้นอีกรึเปล่า” ผมถาม
“มีสิน้อง หลังจากนั้นมีเกือบทุกคืนเลย” พี่แป๊ะขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ สงสัยว่าคงจะอึดอัดมามากพอสมควร
เรื่องของชายชราคนนั้นยังไม่จบ เพราะในคืนถัดมาก่อนที่จะออกไปตลาดเหมือนทุกวัน พี่แป๊ะออกจากบ้านมาเดินเล่นในซอย เดินสูบบุหรี่ไปตามถนนเพราะว่าวันนั้นตื่นเร็วกว่าทุกที จริงๆ แล้วพี่แป๊ะไม่ได้เดินไปไกลมาก แต่จังหวะหนึ่งที่หันกลับมา พี่แป๊ะก็ได้เห็นเงาร่างนั้นอีกครั้ง
เงาร่างนั้นไม่ได้ยืนอยู่ แต่กลับนอนอยู่กับพื้น
“นอนอยู่กับพื้น?” ผมถามเพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นอนจริงๆน้อง นอนอยู่กลางถนนเลย เหมือนคนนอนตะแคง แล้วมันก็จ้องมาที่พี่” พี่แป๊ะยืนยันในสิ่งที่ตนได้ประสบ
ชายชราคนนั้นนอนอยู่กับพื้นจ้องหน้าพี่แป๊ะ ฝ่ายถูกจ้องขาแข็งรู้สึกแขนขาไร้เรี่ยวแรงแทบจะสิ้นสติลงไปตรงนั้น พี่แป๊ะกำลังพยายามใช้แรงที่เหลือคิดหาทางออกจะวิ่งฝ่าไป หรือหันหลังกลับ
โฮ่ง!
พี่แป๊ะสะดุ้งสุดตัวหันหลังกลับไปยังที่มาของเสียงเห่าอย่างลืมตัว ขาที่อ่อนแรงทำให้เขาล้มลงกับพื้นก้นกระแทกกับคอนกรีตแข็งๆ และตรงหน้าเขามีเพียงถนนอันว่างเปล่าของค่ำคืนเท่านั้น ไม่มีหมาสักตัวให้เห็น
อีกครั้งที่รูขุมขนของพี่แป๊ะเปิดกว้างเส้นขนลุกชูชันด้วยความกลัวสายตามองกวาดไปยังอากาศธาตุเบื้องหน้า แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าข้างหลังของเขาเองยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาควรจะกลัว
พี่แป๊ะหันหลังกลับไปหาชายชราทั้งที่ตัวเองยังอยู่กับพื้น และก็เช่นกัน ที่ตรงนั้นกลายเป็นที่โล่งว่างเปล่า ไม่มีใคร ไม่มีคน ไม่มีเงา ไม่มีแม้แต่ลมพัด ใบไม้ไม่ขยับ ทุกอย่างเงียบสนิท
“นั่นแหละน้อง พี่เลยเชื่อเลยว่าที่พี่เห็นที่หน้าบ้านวันนั้นต้องไม่ใช่คน เพราะมันเหมือนกันมาก เป็นผู้ชายแก่ๆ”
“คงใช่แล้วแหละพี่ ถ้ามันจะเจอกันขนาดนั้น”
“ไม่ใช่แค่พี่นะ ตีเขาก็เจอมาเยอะเหมือนกัน ทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะเห็นหรอกนะจิตแข็งจะตาย พี่นี่ยังต้องกลัวตีเลยบางที”
หันกลับมาที่ฝ่ายพี่ตีบ้าง พี่ตีเริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองได้ประสบให้ผมฟัง เอาจริงๆ ตอนนั้นผมยังไม่รู้สึกเลยว่าพวกเขาต้องการจะถามหรือขอความช่วยเหลืออะไร เหมือนแค่อยากเล่าอยากระบายเท่านั้น ส่วนผมเองนอกจากจะเป็นฝ่ายเล่าแล้วผมก็ชอบที่จะเป็นผู้ฟังด้วยเช่นกัน ก็เลยนั่งฟังอยู่อย่างนั้นไปยาวๆ
วันนั้นเป็นช่วงบ่ายวันธรรมดาซึ่งเป็นช่วงที่จะมีลูกค้าน้อยที่สุดตลอดวัน ผมคิดตามเอาเองน่าจะเป็นเพราะคนทำงานก็กลับออฟฟิศ คนรับจ้างก็พักผ่อน แม้แต่วินมอเตอร์ไซด์ก็คงจะงีบกันช่วงนี้ก่อนจะลุกมาทำงานต่อช่วงที่คนอื่นเขาเลิกงาน
พี่ตีเองก็เหมือนกัน พี่ตีบอกว่าเธอแค่ฟุบหน้าลงตรงโต๊ะเหล็กพับในร้านเอาหน้าซุกแขนกะว่าจะงีบเอาแรงสักหน่อย เธอหลับไปทั้งอย่างนั้น ส่วนพี่แป๊ะน่าจะออกไปธุระอะไรสักอย่างข้างนอก พี่ตีจึงอยู่เฝ้าร้านแค่คนเดียว
ระหว่างที่หลับอยู่นั้นเธอบอกว่าด้วยอากาศที่ร้อนและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งอาทิตย์ทำให้เธอค่อนข้างหลับสนิทพอสมควร แต่โดยนิสัยแล้วเธอเป็นคนตื่นง่าย ถ้ามีเสียงดังอะไรนิดหน่อยเธอจะตื่นขึ้นมาทันทีเหมือนอย่างในบ่ายวันนั้น
โครม!
พี่ตีสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคล้ายกับหม้อหรือไม่ก็เครื่องครัวอื่นๆ ที่หลังบ้านนั้นร่วงลงมากระจัดกระจายกับพื้น เธอวิ่งไปดูแล้วก็พบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หม้อต้มใบหนึ่งคว่ำอยู่กับพื้นห่างจากชั้นวางเล็กน้อย เธอมองไปทั่วห้องมองหาว่าเป็นฝีมือใคร หนูหรือแมวตัวไหนที่แอบเข้ามาในบ้านหลังนี้
แต่ห้องนั้นเป็นห้องปิด ทางเข้าออกมีแค่ประตูบานเดียวที่เป็นประตูไม้และมันก็ถูกปิดสนิทเสียด้วย ส่วนที่กำแพงด้านหลังแม้จะเป็นช่องปูนโล่งๆ อย่างที่ใช้กันทั่วไปตามบ้านทาวน์เฮ้าส์ แต่บ้านหลังนี้ก็ติดมุ้งลวดไว้ที่ช่องแล้ว ไม่มีทางที่ นกหนูแมลงหรือแมวจะลอดผ่านเข้ามาได้ และตอนที่พี่ตีเปิดประตูเข้าไปเธอก็มั่นใจว่าไม่มีตัวอะไรวิ่งสวนออกมา
“ตอนนั้นพี่เริ่มกลัวนะ ไม่รู้ทำไมแต่มันรู้สึกกลัวแปลกๆ พี่ก็พยายามคิดว่าคงเป็นหมาแมวสักตัว แต่ลึกๆ ในใจพี่มันบอกว่าไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แน่ๆ มันต้องเป็นอะไรที่มากกว่านั้น”
หลังจากจัดการเก็บข้าวของที่หลังบ้านเข้าที่แล้ว พี่ตีก็กลับมานั่งที่หน้าบ้านอีกครั้ง ตอนนั้นน่าจะยังเป็นช่วงใกล้ๆ บ่ายสาม ลูกค้ายังไม่มีทีท่าว่าจะมา เธอจึงฟุบลงที่โต๊ะตัวเดิมอีกรอบ ครั้งนี้ไม่แน่ใจว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แต่เธอก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะได้ยินเสียงเรียกดังมาจากหน้าร้าน
“ค่ะๆ มาแล้วค่ะ!” พี่ตีตะโกนตอบรับเสียงเรียกจากลูกค้าที่หน้าร้านโดยเงยหน้ามามองด้วยอาการงัวเงีย
“หิวข้าว” ลูกค้าผู้ชายที่ดูจะมีอายุมากแล้วพูดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเตาของพี่ตี
“รับอะไรดีคะ หนูมีทุกอย่างเลย สั่งมาได้เลยค่ะ”
พี่ตีพูดด้วยรอยยิ้มตามอัธยาศัยคนค้าขาย แต่คนตรงหน้ากลับมีสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่โต้ตอบและไม่บอกว่าจะสั่งอะไรกิน คล้ายกับต้องการจะให้พี่ตีเป็นฝ่ายเดาใจเอาเอง
“หิวข้าว” ชายชราพูประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง
“รับอะไรดีคะคุณตา ถ้าคิดไม่ออกเอาเป็นข้าวผัดไหมคะ ง่ายดีค่ะ” พี่ตีพยายามใจเย็นคุยกับคนตรงหน้า
“อะไรก็ได้”
ชายชราตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยๆ กับอีกประโยคสั้นๆ พี่ตีตกใจไม่คิดว่าจะมีคนมาสั่งอาหารแบบนี้ แต่ตอนนั้นเธอก็อยากที่จะรับลูกค้ามาก จึงทึกทักเอาเองว่าชายชราคนนี้คงจะเห็นด้วยกับเมนูที่เธอเพิ่งเสนอไปเมื่อสักครู่
“คุณตาเข้าไปนั่งข้างในเลยค่ะ”
พี่ตีผายมือให้ชายชราไปนั่งรอตรงเก้าอี้ตัวที่เธอเพิ่งลุกออกมา จากนั้นเธอก็หันกลับไปง่วนกับการเตรียมวัตถุดิบเพื่อปรุงอาหารให้พร้อมเสิร์ฟ
“ตีทำอะไรน่ะ มีลูกค้ามาสั่งใส่กล่องหรอ” พี่แป๊ะที่เพิ่งเดินกลับมาถึงถามทันทีที่ได้กลิ่นหอมๆ จากเตา
“ใส่กล่องอะไร คุณตาโต๊ะนั้นไง ไปตักน้ำมาให้เขาด้วย ข้าวจะเสร็จแล้ว” พี่ตีไมได้เงยหน้าขึ้นมามองพี่แป๊ะที่กำลังทำหน้างุนงงสุดขีด
“คุณตาไหนตี ในร้านไม่เห็นมีสักคน” พี่แป๊ะคงเริ่มใจไม่ดีเพราะย้อนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเจอมา
“จะมาเล่นอะไรเนี่ย ลูกค้ารอ ไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ”
พี่ตีหันมาค้อนใส่แฟนแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพี่แป๊ะเธอจึงจำเป็นต้องหันกลับไปมองคุณตาที่เธอเพิ่งจะผัดข้าวให้เสร็จหมาดๆ
ที่ตรงนั้นไม่มีใครอีกแล้ว มีเพียงเก้าอี้ว่างเปล่า ที่ยังวางอยู่ใต้โต๊ะ เพราะมันไม่ได้ถูกหยิบออกมาใช้งาน
พี่ตีใจหาย ขาอ่อนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น เธอถามพี่แป๊ะให้แน่ใจว่าตอนที่กลับเข้ามาในร้านไม่ได้สวนกับใครใช่หรือไม่ เพราะช่วงเวลาที่พี่แป๊ะเข้ามา กับที่ตัวเองเพิ่งรับคุณตาเข้าร้านมานั้นห่างกันเพียงไม่กี่นาที หากคุณตาเดินออกจากร้านไปจริงๆ อย่างน้อยพี่แป๊ะจะต้องเห็นบ้าง
“เมื่อกี้ยังมีอยู่เลยจริงๆ นะ” เธอพูดเสียงอ่อนยืนยันในสิ่งที่รับรู้
“คุณตาคนที่ตีว่า หน้าตายังไง”
พี่แป๊ะตั้งใจฟังในสิ่งที่พี่ตีกำลังพยายามอธิบายถึงรูปร่างลักษณะของชายชรา และแน่นอนว่ามันช่างคล้ายกับสิ่งที่พี่แป๊ะเจอเมื่อก่อนหน้านี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงเขาจะไม่ได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนก็เถอะ แต่เขาก็มั่นใจว่ามันต้องใช่แน่ๆ
ข้าวผัดในกระทะถูกทิ้งเอาไว้จนชืดเพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับมันดี จะเอาไปทิ้ง หรือจะเก็บไว้ขายต่อ หรือจะกินเอง ไม่ว่าทางไหนพี่ตีก็ดูจะไม่สบายใจไปเสียหมด
“ถ้าคุณตาเขาหิวจริง ก็ให้เขากินไปสิ เผื่อว่าหายหิวแล้วจะได้ไม่มากวนเราอีก” พี่แป๊ะเสนอความคิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
พี่ตีไม่มีหนทางอื่นในใจจึงตกลงทำตามคำแนะนำของสามีอย่างว่าง่ายในทันที เธอตักข้าวใส่จานกระดาษแยกไว้ข้างๆเตา วางมันไว้อย่างนั้นจนถึงช่วงเวลาปิดร้านที่มีลูกค้ามาเพิ่มเพียงแค่ไม่ถึง 5 คนเท่านั้น
หลังจากปิดร้านข้าวผัดชืดๆ ในจานกระดาษก็ถูกวางไว้ที่หน้าร้านในช่วงค่ำก่อนจะปิดประตูม่านเหล็กแล้วกลับเข้าไปพักผ่อนเด้านใน
“เพราะอย่างนี้ก็เลยมีถาดข้าวเลี้ยงหน้าร้านเยอะกว่าปกติใช่ไหมครับ” ผมถาม
“ส่วนหนึ่งนะจริงๆ มันก็มีเรื่องอื่นอีก”
ผมกำลังจะถามต่อแต่พี่แป๊ะกลับไปฝ่ายเล่าเรื่องต่อจากเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาทันที
ในคืนเดียวกันนั้นพี่แป๊ะเหมือนยังกังวลใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงทำให้เขานอนไม่หลับ ช่วงเวลาประมาณสักสี่ห้าทุ่มที่ปกติทั้งสองคนจะต้องหลับไปแล้วเพราะต้องตื่นแต่เช้า
พี่แป๊ะบอกกับผมว่าเขาออกมายืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านชั้นสอง ช่วงที่กำลังเหม่อๆ พี่แป๊ะก้มมองลงไปที่หน้าบ้านก็เห็นเงาตะคุ่มๆ เงาหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นแต่เห็นไม่ชัดเพราะมีกันสาดที่ชั้นล่างบังอยู่
เจ้าของบ้านวิ่งลงมายังชั้นหนึ่งพร้อมกับไม้ในมือกลัวว่าจะเป็นโจร เขาเลื่อนม่านเหล็กให้เปิดออกสิ่งที่เห็นทำให้พี่แป๊ะต้องขาแข็งอีกครั้ง เพราะนั่นคือชายชราที่ตนได้เจอเมื่อครั้งที่ผ่านมา ความกลัววิ่งไปทั่วร่างมือไม้อ่อนปล่อยไม้ที่มือร่วงลงกับพื้นตัวเองลงไปนั่งกับพื้น
แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ช่วงที่สติเผลอไปหรือหลับตาเพราะความกลัวนั้นก็ไม่แน่ใจ แต่เงาร่างของชายชราตรงหน้าได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
“พี่ไม่เคยเจอจังๆ อย่างนี้กับตัวเลย นึกว่ามันจะเหมือนในหนังที่แค่มาวูบๆ ผ่านไป พี่กลัวแทบตาย” พี่แป๊ะเสริม
“สมมติว่าที่พี่เห็นเป็นผีจริงๆ ทำไมไม่เลิกวางข้าววางเครื่องเซ่นไว้หน้าบ้านล่ะครับ เขาจะได้ไม่มาขอกิน” พี่แป๊ะทำท่าเหมือนจะตอบในสิ่งที่ผมถาม แต่พอเห็นสีหน้าพี่ตีเขาก็เงียบไม่พูดอะไรต่อ ผมก็ได้แต่สงสัยว่าอาจมีอะไรที่พวกเขาไม่อยากเล่าให้ฟังอยู่
“ผมว่าวันนี้ผมขอตัวก่อนดีกว่าครับ ไว้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกก็ลองมาคุยกันใหม่ก็ได้ครับ” ผมที่ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรในบรรยากาศอย่างนี้ก็เลือกที่จะถอยกลับดีกว่า
“น้อง อย่างน้อยพอจะมีวิธีทำให้ลูกค้าเข้าร้านพี่บ้างไหม เงินพี่จะหมดแล้ว ของสดก็ต้องเตรียมทุกวัน ขายไม่ได้บางทีก็เน่าทิ้งไปเฉยๆ เรื่องอื่นพี่ไม่รบกวนน้องก็ได้ มีอะไรให้พี่บูชาไหม ถ้าไม่แพงมากพี่ก็จ่ายนะ” พี่ตีร้อนใจแล้วพูดเรื่องเงินขึ้นมาอาจเป็นเพราะเธอเห็นว่าเราไม่ได้พูดเรื่องนี้กันเลยหรือเปล่า เลยคิดเอาเองว่าผมคงอยากได้ค่าตอบแทนอะไรสักอย่าง
“ถ้าเท่าที่ฟัง พวกพี่คิดว่าเป็นวิญญาณจากข้างนอกเข้ามาใช่ไหมครับ คืนนี้ลองเอาพระพุทธรูปตรงนั้นวางบนเก้าอี้แล้วหันหน้าออกไปทางประตูดูครับ แง้มประตูเหล็กหน้าร้านไว้นิดหนึ่ง พรุ่งนี้ถ้ามีหรือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงยังไง ค่อยว่ากันแล้วกันนะครับ ผมก็มากินเหมือนทุกๆ วันแหละครับ”
ผมชี้ไปที่พระพุทธรูปบนหลังตู้ไม้เก่าๆ หลังร้าน ทั้งสองคนพยักหน้าแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มั่นใจอาจคิดว่าผมแค่พูดไปอย่างนั้นหาทางชิ่งมากกว่า
ระหว่างทางกลับผมก็แอบคิดกับใจตัวเองเหมือนกันว่าจะกลับมาที่ร้านนี้อีกดีไหม ไม่ใช่ว่ากลัวจะวุ่นวายหรือลำบากอะไรแต่กลัวว่าเราจะแนะนำหรือช่วยเหลืออะไรเขาได้หรือเปล่ามากกว่า ผมกลัวทุกครั้งเวลาแนะนำอะไรใครไปแล้วมันจะได้ผลหรือไมได้ผล เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เชื่อตัวเองมากขนาดนั้น
ความลังเลมีอยู่เต็มหัวผมไปหมด แต่คืนนั้นก็มีเหตุให้ความลังเลที่มีทั้งหมดอันตธารหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะเรื่องราวง่ายๆ ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวผม
คืนนั้นผมใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะรู้สึกง่วง ผมนั่งเล่นคอมพิวเตอร์สลับกับอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาไปเรื่อยๆ จนเวลาน่าจะเกือบๆ ตีสอง ผมวางหนังสือปิดไฟบนเพดานห้อง เปิดเพลงเบาๆ เหมือนที่ทำบ่อยๆ นอนหลับตาคิดว่าจะพักผ่อนแล้วในคืนนี้
ตึก.... ตึก... ตึก...
ผมได้ยินเหมือนเสียงคนเดินดังมาจากทางเดินหน้าห้อง จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะหอพักมักจะมีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ทำให้ฉุกใจคือระยะห่างของก้าวแต่ละก้าวนั้นกว้างเกินไป ลองนึกตามนะครับ คงไม่มีใครที่ไหนก้าวครั้งแรกจนเกิดเสียงแล้วทิ้งช่วงอีกเกือบสามวินาทีก่อนจะก้าวถัดมา ต่อให้แบกของหนักมาเราก็มักจะพยายามเดินผ่านไปให้เร็วที่สุด ที่สำคัญคือ ช่องว่างระหว่างก้าวนั้น ห่างกันจนแทบจะพอดิบพอดี
ผมหลับตาแล้วก็จริงแต่ก็ยังเงี่ยหูฟังอยู่ เสียงก้าวเดินนั้นดังอยู่อีกหลายครั้ง หนักเบาตามระยะห่างที่น่าจะหมายถึงอาการเดินวนไปมาอยู่ที่ทางเดินหน้าห้องของผม
ผมตั้งใจฟังมันอยู่หลายครั้งก็เริ่มจะแน่ใจว่า เสียงก้าวเท้านั้นดังอยู่แค่เขตหน้าห้องผมเท่านั้น ผมช่างใจว่าจะทำอย่างไรดี ในใจตอนนั้นสับสนคิดไปว่าเป็น ผี หรือ โจร กันแน่
เมื่อคิดอะไรไม่ออกและเสียงฝีเท้าก็ยังไม่ยอมเงียบไป ผมจึงพลิกตัวกลับมานั่งคุกเข่าบนเตียงกราบลงบนหมอสามครั้งแล้วสวดมนต์ก่อนนอนแบบสั้นๆ อย่างที่ทำบ่อยๆ ตอนเด็กหวังว่าอะไรๆ ที่มันกำลังเกิดหรือกำลังจะเกิดนั้นผ่านไปด้วยดีทั้งหมด
มันได้ผล เสียงฝีเท้าเงียบไปแล้ว ผมกลับมานอนหลับตาอยู่บนเตียงห่มผ้าให้หน้า แต่ในใจก็ยังรู้สึกหวั่นอยู่ลึกๆ จึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมสูงกว่าปกติสักหน่อย ไออุ่นของลมหายใจใต้ผ้าห่มทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ผมเริ่มง่วงแล้ว และในที่สุดผมก็หลับไปได้ในคืนนั้น
แต่ในช่วงระหว่างที่หลับผมฝัน ในฝันนั้นผมเห็นตัวเองนั่งเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์อยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเดิม สีหน้าของผมดูสนุกสนานส่งเสียงโวยวายคุยกับเพื่อนผ่านหูฟังที่เสียบเอาไว้กับเครื่องคอมฯ ห้องทั้งห้องปิดไฟมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้าจอคอมที่ทำให้ผมเห็นภาพของตัวเองชัดขึ้น
ในฝันนั้นนอกจากเสียงโวยวายของตัวเองแล้วผมยังได้ยินอีกเสียงหนึ่งดังมาจากห้องน้ำ เสียงนั้นคล้ายกับก๊อกตรงอ่างล้างมือมันถูกเปิดค้างไว้ ผมเดินไปดู แต่ห้องน้ำก็มืดสนิท ผมชะโงกหน้าไปดูที่อ่างล้างมือ ก็ไม่มีน้ำไหลลงมาสักหยดเช่นกัน แต่ เสียงน้ำไหลนั้นดังอยู่ตรงหน้าผมอย่างชัดเจนในความฝัน
ผมกลัว ผมจำได้ว่ารู้สึกอย่างนั้น ผมหันหลังกลับไปหาตัวเองที่นั่งเล่นเกมส์อยู่ คิดไปคิดมาก็ตลกดีเหมือนกันที่ฝันเห็นตัวเองเล่นเกม
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะเมื่อผมหันไปมองตัวเองที่นั่งหันหลังให้กับตัวผมทื่ยืนอยู่ในความฝัน ที่ช่องว่างระหว่างขาข้างหนึ่งกับขาโต๊ะ พูดง่ายๆ คือช่องว่างใต้โต๊ะเขียนหนังสือนั่นแหละครับ ตรงนั้นมีเงาดำของเด็กคนหนึ่งแอบอยู่ ดวงตาสีขาวขุ่นคล้ายจะแวววาวในความมืดจ้องมองมาที่ผม
ความตกใจในตอนนั้นทำเอาผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจริงๆ
ผมหอบหายใจอยู่บนเตียงรู้สึกอึดอัดแน่นในหน้าอกหายใจไม่สะดวกเลยหยิบยาดมบนโต๊ะมาสูดเข้าปอดเฮือกใหญ่ ผมใช้เวลาอีกนิดหนึ่งในการปรับลมหายใจให้เข้าที่
หลังจากที่หายตกใจแล้วผมหยิบโทรศัพท์ตรงหัวนอนขึ้นมาดูเวลา ตอนนั้นน่าจะตี 4 ถ้าผมจำไม่ผิด แสงไฟข้างนอกที่พอมีอยู่บ้างจากไฟถนนพาดลงบนเสื้อผ้าที่ตากไว้บนราวดูน่าขนลุก ผมพยายามเบี่ยงสายตาของตัวเองออก เพื่อจะกลับมานอนอีกครั้ง
แต่ก่อนที่ผมจะละสายตาไปจากราวตากผ้านอกห้องได้ แวบเดียวเท่านั้นผมเห็นเงาร่างของชายคนหนึ่งยืนซ้อนอยู่กับเสื้อที่ผมตาก ถ้าให้นึกภาพตามก็เหมือนกับเวลาที่เราเห็นอะไรผ่านหางตาไปแวบๆ และเมื่อหันกลับมามองให้ดีก็ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
ภาพในความทรงจำผมแม้จะเพียงแวบเดียว แม้จะเป็นเพียงภาพที่หางตาเท่านั้น แต่รูปลักษณ์และรูปทรงนั้นผมมั่นใจว่าไม่ใช่เงาเสื้อของผมแน่ๆ มันเป็นเงาผอมแห้งของชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เห็นรายละเอียดอะไรไปมากกว่านั้น
ความง่วงหายไปจากใจผมทันที แต่ ผมรู้ดีว่าผมควรจะนอนและไม่ควรถ่างตาตื่นต่อไปทั้งอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอะไรหรือมีใครมาเยี่ยมผมก็ได้ถ้าเป็นอย่างนั้น
ผมใช้วิธีเดิมๆ เวลานอนไม่หลับ(รู้ครับว่าไม่ดีแต่ก็มีทำบ้าง)ก็คือการกินยาลดน้ำมูกกับยาแก้แพ้เพื่อให้ตัวเองง่วง แต่มันก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่งกว่ายาจะออกฤทธิ์
ระหว่างที่รอนั้นผมใช้วิธีเปิดเพลงให้ดังขึ้น เบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองด้วยหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ รอให้ตัวเองง่วงแล้วหลับไปในเวลานี้
ก๊อก... ก๊อก...
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องของผม ผมสะดุ้งอีกครั้งแต่ไม่กล้าเดินออกไปดู การนอนอยู่คนเดียวในหอพักก็เป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกันนะครับบางที อย่างน้อยหากมีเพื่อนอีกสักคนอาจทำให้ใจกล้าขึ้นมาบ้างก็ได้
ผมข่มตาหลับนอนฟังเสียงเคาะประตูที่ดังเป็นจังหวะอย่างนั้นอีกพักหนึ่ง ขอบคุณที่ยาเม็ดเล็กๆ นั้นทำให้ผมหลับไปในเวลาต่อมา
ผมหลับต่อจนถึงเช้าลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจอย่างงัวเงียรู้สึกมึนหัวเล็กน้อยอาจเป็นเพราะนอนดึกและมีการตื่นขึ้นมากลางดึก
สิ่งแรกที่ผมทำคือเดินเข้าไปในห้องน้ำกะว่าจะอาบน้ำให้สดชื่นแล้วอาจจะกลับมานอนต่อหรือหาอะไรดูรอให้ตัวเองหิว ประมาณนั้น
“เฮ้ย!”
ผมอุทานด้วยความตกใจมือข้างหนึ่งแหวกอากาศหาที่คว้าจับ ผมลื่นน้ำที่เจิ่งอยู่หน้าประตูห้องน้ำอย่างไม่ทันระวัง และแม้ว่ามือของผมจะคว้าลูกบิดประตูห้องน้ำไว้ได้แต่ประตูก็ไม่ใช่ของที่นิ่งอยู่กับที่ มันเคลื่อนตัวไปตามแรงที่มากระทบ ผมตั้งหลักไม่ได้ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นห้องอย่างดัง
น้ำที่นองอยู่กับพื้นมากพอที่จะทำให้กางเกงของผมเปียก ผมพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้น เอวมันเจ็บจี๊ด กับขาข้างที่ไถลไปคล้ายจะผิดท่า
แล้วเสียงที่ผมไม่ทันจะสังเกตในครั้งแรกที่ตื่นนอนก็ดังให้ผมได้ยินในตอนนี้ มันคือเสียงจากก๊อกน้ำอ่างล้างมือ มันไหลเอื่อยๆ แต่คงจะนานพอดีแล้วจึงนองล้นอ่างออกมานอกห้องน้ำอย่างนี้
ที่ก้นอ่างล้างมือมีของที่ยิ่งไม่น่ามีอยู่ในห้องนี้ปรากฏขึ้นอีกชิ้นคือ ใบไม้แห้งๆ ที่จุกอยู่ตรงก้นอ่างล้างมือจึงทำให้น้ำล้นเอ่อนองลงมาที่พื้น
ผมปิดน้ำ หยิบเอาใบไม้นั่นทิ้งลงในชักโครก แล้วก็เห็นว่าตรงบริเวณอาบน้ำเองก็มีเศษใบไม้พวกนี้อยู่อีกเช่นกัน จะว่ากลัวก็กลัวนะครับแต่มันหงุดหงิดมากกว่าที่ต้องมาปัดกวาดเช็ดถูห้องโดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำอย่างนี้
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จผมก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง อาบน้ำแต่งตัวกะจะออกไปหาที่นั่งเล่นให้สบายใจ
ผมเปิดประตูห้องออกมาซึ่งมันจะต้องใช้การดึงเข้าหาตัวถ้าจะออกจากห้อง ตอนที่ดึงประตูเข้ามานั้นทำให้เห็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ติดอยู่ตรงประตูด้วยเทปใส
“ถ้าคุณออกจากห้องแล้วมาหาป้าที่ร้านทำเล็บหน้าซอยหน่อยค่ะ” กระดาษที่น่าจะถูกฉีกออกมาจากกระกระดาษใช้แล้วสักอย่างลงท้ายไว้ด้วยชื่อที่ไม่จำเป็นต้องถามต่อ ‘แม่บ้าน’
ผมเดินไปที่ร้านทำเล็บทันทีเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าทำไมจึงมีจดหมายอย่างนี้ติดอยู่ที่หน้าห้องของผม ผมไปทำอะไรไว้หรือเปล่าหรือมันจะเป็นอย่างที่ผมคิด แต่คงไม่หรอก มันจะเกี่ยวกันได้ยังไง ผมคิดอย่างนั้น
ที่ร้านทำเล็บผมเดินเข้าไปแล้วถามหาคนที่น่าจะเป็นแม่บ้านของหอพักที่ผมเช่าอยู่ ในร้านนั้นมีคนรุ่นแม่อยู่ประมาณสองสามคนกำลังนั่งทำเล็บขัดเล็บอะไรสักอย่างอยู่บนโซฟาตัวเตี้ยๆ
“ผมมาหาป้าแม่บ้านครับ” ผมพูดแล้วชูกระดาษโน๊ตขึ้นมาแกว่งไปมาไม่ให้ใครอ่านใจความของมันทัน แล้วป้าคนที่นั่งอยู่ข้างในสุดก็ลุกขึ้นพูดเสียงดังจนแสบหู
“อ้อ! คุณนั่นเอง มานี่ๆ ตามป้ามาข้างหลังนี่” ป้าแดงพาผมเดินไปที่หลังร้านทำเล็บ กลิ่นอับของบ้านทาวน์เฮ้าที่ไม่ได้ถูกดูแลเท่าที่ควรชวนให้คลื่นไส้เล็กน้อย
พ้นห้องมืดเล็กที่ต่อไปสู่อีกห้องหลังร้านแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในห้องนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมายแต่ดูสะอาดตากว่าห้องตรงกลางที่มีทั้งไม้กวาด ไม้ถูพื้นรองเท้าตู้เย็น
ห้องนั้นมีประตูไม้อีกบานกั้นไว้ พอผมเข้าไปป้าแดงก็ปิดประตู ผายมือให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกแบบที่เห็นได้ทั่วไป โต๊ะเหล็กเบื้องหน้าถูกปูไว้ด้วยกำมะหยี่สีแดงสด กลิ่นอับของห้องยังคงมีอยู่แต่ถูกกลบด้วยกลิ่ยกำยานที่น่าจะใช้เพื่อดับกลิ่นมากกว่าการให้กลิ่นหอม
“ป้าจะดูดวงให้นะลูก” นั่นคือประโยคแรกที่ป้าแดงทักผม
“ยังไงนะครับ” ผมงงๆ นึกว่าตัวเองถูกหลอกให้มาดูดวงเสียแล้วจึงทำท่าจะลุกออกจากเก้าอี้
“ฟังป้าก่อนๆ คืออย่างนี้ เมื่อเช้ามืดป้าไปทำความสะอาดที่หอนั่นแหละ แล้วตอนป้าขึ้นบันไดไปถึงชั้นที่คุณพัก ป้าเห็นเด็กมานั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องคุณ ป้าเห็นเด็กมันเอาแต่เคาะ ป้าเลยไม่กล้าไปทำความสะอาด รอจนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็เลยเอากระดาษไปติดไว้นั่นแหละ”
จากตอนแรกที่ผมไม่คิดจะนั่งคุยกับป้าต่อแต่พอได้ยินคำว่า ‘เคาะประตู’ กับ ‘เด็ก’ ผมก็เปลี่ยนความคิดทันที ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมแทนคำตอบรับ
ป้าแดงหยิบไพ่ยิบซีเก่าๆ ออกมาสำหรับหนึ่งสับไปมาอยู่หลายครั้งก็ส่งให้ผมสับต่อ เมื่อเสร็จแล้วก็คลี่มันลงบนโต๊ะเป็นรูปพัดอย่างสวยงาม
“10 ใบค่ะ”
ไพ่สิบใบจากผมถูกส่งไปอยู่ในมือของป้าแดง เธอค่อยๆ วางมันลงบนโต๊ะตามตำแหน่ง เมื่อวางครบทั้งสิบใบแล้ว เธอก็หยิบถุงผ้าออกมาอีกใบหนึ่ง
เธอให้ผมล้วงเข้าไปในถุงผ้าขนาดประมาณครึ่งเอสี่ ในนั้นมีลูกแก้วหลากสีสันปนกันอยู่ เธอให้ผมหยิบขึ้นมาหนึ่งลูก และสีที่ได้นั้นคือสีดำสนิท
“คุณพระ!” ตอนนั้นบอกตามตรงว่าเกือบหลุดปากขำออกมาเหมือนกันเพราะป้าเล่นใหญ่พอสมควร แต่ก็คงทำให้เรื่องมันดูน่าเชื่อถือขึ้นมาบ้างกระมัง
ป้าแดงเริ่มอธิบายไพ่ทีละใบอย่างชำนาญ นิสัยเสียของผมเริ่มทำงานเพราะผมเองก็เคยดูไพ่ยิปซีมาบ้างเหมือนกัน แต่แล้วป้าก็อธิบายไพ่ได้ถูกต้องทั้งหมด เว้นแต่เพียงพอเป็นเรื่องของตัวเอง เหมือนสมองมันถูกตัด ผมไม่สามารถแปลความหมายให้ตัวเองเข้าใจได้ จึงได้แต่นั่งฟังป้าแดงต่อไป
“คุณมีวิญญาณตามอยู่นะคะ ดูเหมือนจะเอาเรื่องพอสมควรด้วย”
สีหน้าของป้าแดงเคร่งเครียดขึ้นมาประมาณหนึ่ง รอยยิ้มทีเล่นทีจริงที่เห็นเมื่อสักครู่หายไปหมดแล้ว ตอนนี้เธอพยายามอย่างหนักที่จะตีความหมายของไพ่แต่ละใบให้ออก พอเห็นความตั้งใจของป้าแก ความรู้สึกด้านลบที่มีต่อแกก็ค่อยๆ หายไปทีละนิด กลายเป็นความนับถือในน้ำใจขึ้นมาแทน
“ทำไมมันอ่านยากจัง ไพ่มันดูตีกันไปหมด อันนี้บอกทาง อีกอันบอกทาง”
ป้าแดงพูดกับตัวเอง และคงรู้สึกเหมือนเสียหน้าด้วยที่เกิดอาการไม่มั่นใจขึ้นมาต่อหน้าลูกค้าเอาดื้อๆ
‘ถ้าใครอยากบอกอะไรก็มาบอกนะ สงสารป้าเขา’
ผมคิดอย่างนั้นในใจคล้ายกับการบอกกล่าว ‘ใคร’ ก็ตามที่พยายามจะสื่อสารกับผมผ่านทางป้าแดง หรือแม้แต่พวกที่ไม่ประสงค์ดีทั้งหลาย อย่างน้อยก็พูดออกมาให้มันชัดๆ
เหมือนมันจะได้ผล จู่ๆ ป้าแดงก็เหมือนกับจะนึกอะไรบางอย่างออก เธอรีบร่ายเรื่องที่เธอตีความออกให้ผมฟัง หนึ่งในนั้นคือเรื่องของตัวผมที่เธอค่อนข้างจะพูดถูกแต่อาจจะไม่ละเอียดมากนัก “คุณมีคนดูแลอยู่นะ แต่ป้าดูไม่ออกว่าเป็นใคร”
หลังจากป้าร่ายยาวย้อนภูมิหลังเรื่องครอบครัวการศึกษาของผมแบบถูกบ้างไม่ถูกบ้างอยู่นานป้าก็วนกลับมาเข้าเรื่องที่แต้องการจะคุยกับผมในครั้งแรก
“คุณมีเด็กตามอยู่จริงๆ นะ เคยพาใครไปทำแท้งมารึเปล่า”
“ไม่มีครับป้า เรื่องนี้ผมสาบานได้เลย ไม่มีจริงๆ”
“งั้นเด็กนี่มาจากไหน ทำไมเขาตามติดคุณขนาดนี้”
ป้าแดงหลับตาเอากองไพ่ขึ้นมาถือไว้พนมมือจรดหัวขมุบขมิบปากเหมือนสวดมนต์บางอย่างแต่ผมไม่ได้ยิน เธอให้ผมหยิบไพ่เพิ่มอีกสามใบแล้ววางไว้ข้างๆ
“ตายแล้ว... นอกจากเด็กยังมีคนอื่นอีกเหรอเนี่ย”
“ยังไงนะครับป้า” ผมเริ่มสงสัยเพราะท่าทางป้าแดงแกเริ่มดูกลัวๆ ขึ้นมาชอบกล
“มีผีตามคุณมากกว่าหนึ่งตน นอกจากเด็กยังมีอีก...” ป้าแดงทำท่านับนิ้วแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
“ห้าค่ะ”
นั่นคือจำนวนวิญญาณที่ป้าแดงบอกว่ากำลังตามติดตัวผมอยู่ตอนนี้ เธอขอเวลาพักหายใจสักครู่หนึ่ง ดูเธอคงจะหนักใจจริงๆ เพราะเห็นเธอแอบดูดเบียร์ที่อยู่ในกระติกข้างนอกเข้าไปหลายอึก ก่อนจะกลับมานั่งคุยกับผมต่อ
ป้าแดงพยายามล้างไพ่และเปิดไพ่ใหม่อีกหลายครั้งเพื่อหาต้นตอที่มาของดวงวิญญาณเหล่านั้น แต่ความคิดอย่างหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมคือ ‘ทำไมผมจึงยังมองไม่เห็นพวกเขา’
“แล้วพวกเขามาทำไมครับ” ผมถามป้าแดง
“เหมือนคุณไปติดค้างอะไรเขาสักอย่าง” ป้าแดงทำท่าครุ่นคิด
“คุณไปหยิบไปขโมยของอะไรใครมาจากไหนรึเปล่า บอกป้าได้ ป้าจะช่วย ป้าสัญญาจะไม่บอกใคร”
ผมต้องปฏิเสธกันยกใหญ่ไม่อยากนั้นผมคงกลายเป็นหัวขโมยในสายตาป้าแดงแน่ๆ แต่ก็นั่นแหละ ผมค่อนข้างเชื่อว่าสิ่งที่ป้าแดงพูดมีมูลอยู่บ้าง
เราใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ อย่าง ไม่ได้ประโยชน์อะไร ผมได้แค่รู้ว่ามีคนตามอยู่ และเหมือนกับว่าผมไปเอาอะไรของเขาหรือทำอะไรให้เขาไม่พอใจสักอย่าง
ผมจ่ายเงินค่าครูให้ป้าแดงแล้วบอกลากันตรงนั้น
วันนั้นทั้งวันผมเลือกที่จะใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยวในตัวเมืองเพื่อคลายอารมณ์แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ตลอดเวลาว่าใครกันที่ติดตามผมและเริ่มที่จะก่อกวนผมในยามค่ำคืน
ถ้าถามว่าผีไม่หลอกในช่วงกลางวันหรือ ก็คงจะต้องตอบว่า เปล่า พวกเขาคงอยู่ตลอดเวลา(สำหรับคนที่เชื่อ) เขาไม่ได้กลัวแสงแดดแสงอาทิตย์หากแต่เพียงว่าในช่วงกลางวันคนเรามีสิ่งรบกวนสมาธิมาดึงความสนใจของเราไปมาก ทำให้การสัมผัสถึงพวกเขาเป็นไปได้ยากขึ้นมากกว่า กลางคืนที่ไม่ทำอะไรจิตมักจะว่าง และง่ายที่จะต่อติดกับพวกเขา
และแล้วยามค่ำคืนก็มาถึงจนได้ ผมกลับมาถึงหอพักในช่วงประมาณทุ่มโดยที่ไม่ได้แวะไปร้านของพี่ตี ในใจก็แอบรู้สึกผิดคิดว่าพี่ทั้งสองคนกร่นด่าผมอยู่พอสมควรที่ไม่ได้ไปตามนัด แต่วันนี้ผมว่าผมเจออะไรมามากพอแล้ว ขอเวลาให้ตัวเองพักบ้างก็ดี
“น้องครับๆ” ผมหันหลังกลับไปมองเสียงที่ดังมาจากห้องฝั่งตรงข้ามขณะที่ผมกำลังจะไขกุญแจเข้าไปในห้อง
“ครับ?” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันหลังจากเห็นหน้ากันผ่านๆ มาหลายครั้ง
เขาไม่ได้บอกชื่อและทำหน้าเลิกลั่กคล้ายกับระแวงอะไรบางอย่าง ชายร่างอวบก้าวออกจากห้องเข้ามายืนใกล้ๆ ผมกระซิบแล้วยื่นของในมือให้ผมอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย
“พี่ให้ครับ ไว้น้องย้ายออกแล้วค่อยคืนก็ได้”
ผมมองของที่อยู่ในมือ มันคือพระเครื่องชิ้นหนึ่ง ผมงงมาก แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามกลับ
“พี่ไม่รู้น้องเชื่อเรื่องผีไหม แต่เมื่อคืนพี่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องน้องทั้งคืนเลย พี่เลยแง้มประตูออกมาดู พี่ไม่เห็นอะไรเลย แต่เสียงมันดังมาจากห้องน้องจริงๆ”
พี่ชายร่างอวบคนนั้นพูดจบก็ทำท่าพยักเพยิดบังคับให้ผมรับไว้ด้วยความหวังดี แล้วกลับเข้าห้องตัวเองไป ผมตามไปเคาะประตูเพราะอยากจะคุยให้รู้เรื่องแต่เขาก็ไม่ยอมออกมาเปิดประตูให้
“หรือหอนี้ผีจะเยอะ” ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะเช้าห้องของตัวเอง
คืนนั้นผมนั่งเล่นเกมส์อยู่ แล้วก็ได้ยินเสียงคล้ายของในห้องขยับ ผมหันไปมองที่มุมห้อง ตรงนั้นเป็นตู้เสื้อผ้า ที่หลังตู้มีกล่องกระดาษหลายกล่องเอาไว้ใส่ของ กับของใช้สองสามอย่าง
ครืด...
เสียงคล้ายกับกระดาษจากกระครูดไปกับกล่องอีกใบ เสียงนั้นทำผมตกใจเป็นอย่างมาก ผมหันไปมอง จ้องอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร
“หนูมั้ง” ผมบอกกับตัวเอง ทั้งที่ถ้ามันใช่จริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้กัน
ผมหันความสนใจกลับมาที่เกมส์ใหม่อีกครั้ง
ปัง!
คราวนี้ผมสะดุ้งจนแทบตกเก้าอี้ มันเป็นเสียงคล้ายกับเนื้อไม้ของตู้เสื้อผ้าลั่นแตก เสียงของมันดังมากคล้ายกับว่าตู้เสื้อผ้าจะแตกออกเป็นชิ้นๆ
ผมเริ่มหายใจหนักขึ้น ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่จะให้ผมหนีไปทางไหนก็คงไม่ได้แล้วในเวลานี้
ผมจำได้ดีเพราะนั่งดูนาฬิกาอยู่แทบจะตลอด ในช่วงเวลาประมาณยี่สิบนาทีหลังจากได้ยินเสียงตู้ไม้ลั่นนั้นคือช่วงที่ดีที่สุด ไม่มีเสียง ไม่มีอะไรมารบกวนจนผมเผลอคิดไปเองว่ามันคงจบแล้ว
(เสียงนก)
ผมสะดุ้งอีกครั้งเพราะได้ยินเสียงนกกาเหว่าที่ดังมาจากไหนก็ไม่รู้ ผมรู้จักเสียงนกตัวนี้ดีเพราะที่บ้านผมมันมักจะมาเกาะชายคาร้องบ่อยๆ ตั้งแต่ตอนผมเป็นเด็ก แต่ถ้าไม่จำไม่ผิด ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เท่าที่จำได้ผมรู้สึกว่าจะเคยได้ยินเสียงมันแค่ในช่วงเช้าถึงสายเท่านั้น
เสียงร้องของมันไพเราะน่าฟังเพราะผมชอบมันเป็นทุนเดิมอยู่ แต่วันนี้ผมกับรู้สึกเหมือนเสียงมันแหบพร่าไม่น่าฟัง คล้ายกับคนที่กำลังเจ็บปวดทรมาน
กาเหว่าตัวนี้ไม่ได้ค่อยๆ ร้องเท่าที่มันจะร้องได้ มันคล้ายพยายามแผดเสียงให้ดังที่สุดเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือจะขอความช่วยเหลือก็ไม่อาจเข้าใจได้ แต่ความรู้สึกที่ได้ยินนั้นทำให้หดหู่อยู่ไม่น้อย
ผมต้องทนฟังเสียงนั้นต่ออีกพักใหญ่ๆ นานจนผมแอบคิดแทนมันว่ามันไม่เหนื่อยบ้างหรือ แต่เสียงนั้นก็ดังต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ สม่ำเสมอเสียจนน่ากลัวเลยทีเดียว
เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงนกที่ไม่เบาลงแม้แต่น้อย ผมตัดสินใจใส่หูฟังเปิดเพลงให้ดังพอที่จะกลับเสียงอันน่ารำคาญนั้นได้ ผมปิดไฟ เอาหมอนปิดหน้าเพราะรู้สึกล้าเหลือเกิน
เพลงที่ชอบ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ผมหลับลงได้ในเวลาต่อมา แต่แล้วผมก็ถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินอีกในคืนนี้
ก๊อก… ก๊อก…
เสียงเคาะประตูห้อดังมาจากที่เดิมอีกครั้ง ผมแปลกใจว่าทำไมเสียงเพลงจึงดับไปเลยคลำดูที่หูก็พบว่าหูฟังยังคงถูกใส่ไว้ที่เดิม แต่ก่อนนอนผมไม่ได้ดูว่าแบตโทรศัพท์เหลือเท่าไหร่ ตอนนี้โทรศัพท์ดับไปแล้วน่าจะเป็นเพราะแบตหมด ผมเลยได้ยินเสียงจากข้างนอกลอดเข้ามาข้างในได้
ไม่ใช่แค่เสียงเคาะประตู แต่เสียงนกกาเหว่าตัวเดิมยังคงดัอยู่ ผมขนลุกชันไปทั่วทั้งตัวไม่กล้าหยิบหมอนที่ปิดตาตัวเองอยู่ กลัวว่าจะมีอะไรโผล่มาตรงหน้าเหมือนอย่างในหนัง
ผมต้องนอนฟังเสียงเคาะประตู และเสียงนกนั้นต่ออีกครู่หนึ่งเพราะไม่สามารถหลับลงได้อีกแล้ว
ตึก!
จู่ๆ ก็มีเสียงคล้ายใครมาเตะหรือมีของแข็งบางอย่างมากระทบที่ขอบเตียงของผมซึ่งทำจากไม้ทั้งหมด ด้วยความตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวผมจึงเผลอลุกขึ้นมานั่งหันไปมองทางที่เสียงดังมาซึ่งก็คือข้างๆ ตัวผมเอง
แล้วผมก็ได้เห็นภาพที่ไม่คิดว่าจะปรากฏขึ้นในห้องนอนของตัวเองอย่างนี้ ตรงที่โล่งของห้องพักตอนนี้มีเงาร่างนั่งอยู่กับพื้นห่างออกไปประมาณสองสามเมตร
คนทั้งสามนั่งอยู่ในอิริยาบถที่แตกต่างกัน คนหนึ่งนั่งกอดเข่า คนหนึ่งนั่งยองๆ อีกคนหนึ่ง นอนราบไปกับพื้น แต่ทั้งหมดนั้นหันมองมาที่ผมอย่างเห็นได้ชัด
แค่ก… แค่ก…
เสียงที่สามเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกับที่ผมได้เห็นภาพเหล่านั้น ที่นอกระเบียงห้องของผมปรากฏเงาร่างของชายร่างผอมอีกหนึ่งคน ซึ่งเขายืนอยู่หลังราวตากผ้าเช่นเดียวกับในคืนที่ผ่านๆ มา ผมขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัว แต่ก็ต้องประคองสติเอาไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่น่ากลัวกว่าก็อาจจะเกิดขึ้น
เคยมีพระอาจารย์สอนผมไว้ว่าเวลาเราโดนผีหลอกมันจะเกิดบางสิ่งที่คล้ายกับสงครามทางจิตขึ้น หากใครจิตอ่อนกว่า แส่ส่ายหรือเผลอไป อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชนะ และผู้คนส่วนมากมักจะเป็นฝ่ายกลัวไปก่อนจึงทำให้พวกเขาเหล่านั้นดูมีอำนาจเพิ่มขึ้นอีกเท่าทวี แต่หากตั้งสติให้ดีแล้ว พวกเขาต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายกลัว เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้มีกายหยาบมาหักมาบีบคอเราได้ ในกรณีที่ไม่ได้มีกรรมร่วมกัน
คำสอนนั้นผมคิดว่าสอดคล้องกับความเชื่อโบราณหลายๆ อย่างเช่นการที่คนไทยชอบพูดว่าคนจิตแข็งมักไม่เห็นผีและไม่โดยผีหลอก จริงๆ แล้วคนจิตแข็งอาจหมายถึงคนที่มีสติ ควบคุมอารมณ์ได้ ไม่ขี้ตระหนก แต่บางครั้งคนก็ชอบเอามาเป็นข้ออ้างว่าเป็นคนจิตแข็งจึงอารมณ์ร้อนซึ่งผมคิดว่าไม่เกี่ยวกัน
อีกอันหนึ่งที่ผมคิดว่าค่อนข้างชัดเจนคือ เมื่อเจอผีให้สบถด่าด้วยคำหยาบคาย ให้สาปแช่งมันกลับ ไม่ก็ให้แก้ผ้าใส่ไปเลย ถ้าคิดดูให้ดีมันก็เป็นการรวบรวมสติทางหนึ่ง อาจไม่ใช่ทางที่ดีเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้เราดึงสติกลับมาได้เช่นกัน
พอพยายามรวบรวมสติก็ยิ่งแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด พวกเขาเหล่านั้นยังคงอยู่ แต่เสียงเคาะประตูนั้นเบาลงไปนิดหน่อย ต่างกับเสียงนกกาเหว่าข้างนอกห้องที่ดังขึ้น แหบขึ้น
สิ่งที่คิดออกในตอนนั้นคือการแผ่เมตตา ปู่ แม่ คนรอบตัวผมมักสอนไว้เสมอว่าไม่ว่าจะเจออะไรให้เอาเมตตานำก่อน อย่างน้อยเราก็แสดงความเป็นมิตรออกไป จากนั้นพวกเขาอาจจะอ่อนลงและยอมพูดคุยกับเราบ้าง
ผมไม่กล้าหลับตา กัดฟันมองพวกเขาในใจก็อุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาพบแต่สิ่งดีๆ พบทางที่ดี ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนอย่างทุกวันนี้
มันได้ผล แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม หญิงสาวคนหนึ่งที่เคยนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นหายไป แต่คนอื่นๆ ไม่ ผมกำลังคิดต่อว่าจะทำอย่างไรดี แต่แล้วผมก็ได้รู้ว่าผม คิดผิด
หญิงสาวคนนั้นไม่ได้หายไปไหน เธอแค่ย้ายที่เท่านั้น ผมรู้ตัวในเสี้ยววินาทีถัดมาว่า เธอย้ายมานั่งอยู่ข้างหลังผมเพราะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับเนื้อไม้หอมมาจากด้านหลัง
เมื่อเธอขยับเข้ามาใกล้ผมจึงได้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจน สิ่งที่ผมเห็นนั้นคือใบหน้าของหญิงชราคนหนึ่ง ใบหน้านั้นมีรอยเหี่ยวย่นที่เห็นได้ชัดแม้ว่าเธอจะก้มหน้าอยู่ก็ตาม แต่นส่วนอื่นๆ ทั้งสีของผมที่ดำสนิทแขนขาที่ไม่มีรอยย่นนั้นดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่
“เฮ้ย!”
ผมร้องดังแล้วกระโดดลงจากเตียง หันกลับไปมองอีกทีบนเตียงนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว
แค่ก… แค่ก…
เสียงไอแหบแห้งกับเสียงนกยังคงดังอยู่ ผมนั่งอยู่กับพื้นมองไปรอบห้องอีกครั้งไม่เห็นเงาร่างของใครอยู๋ในนั้นอีก แต่เสียงเหล่านั้นยังดังอยู่ ผมตัดสินใจวิ่งออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน แค่รู้สึกว่าต้องออกไป
ผมวิ่งลงมาถึงชั้นล่างทั้งที่ยังเท้าเปล่า น้ายามที่ควรจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงป้อมยามก็หายไปไหนไม่รู้ ผมเดินออกมาหาแสงสว่างข้างนอกจนมาถึงร้านซะดวกซื้อร้านหนึ่ง
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในที่ที่มีคนพลุกพล่านโดยไม่สนใจว่าพนักงานจะมองผมอย่างไรเพราะไม่ได้ใส่รองเท้ามา
“เอ๊ะ”
หางตาของผมเห็นเงาร่างเล็กๆ วิ่งผ่านไปตรงซอกทางเดินชั้นขายขนม ผมเดินกลับไปกลับมาหลายครั้งก็ไม่สามารถมองเห็นเงาร่างเล็กๆ นั้นได้อีก แต่ เงาร่างนั้นยังคงวิ่งไปวิ่งมาที่ช่องขนมตรงนั้น
ตุบ!
ถุงขนมขบเคี้ยวร่วงมาตกอยู่ที่พื้นตรงหน้าผม ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้แล้วเห็นเงาร่างเล็กๆ วิ่งผ่านหางตาไปอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่มันรู้สึกเหมือนกับว่า เงาร่างเล็กๆ หรือ เด็กคนนี้ น่าจะมาดี และเขาคงจะอยากกินขนมนี้ล่ะมั้ง
ผมควานหาเงินในกระเป๋ากางเกงนอน ดีที่มีเศษเหรียญติดอยู่บ้าง ผมหยิบขนมห่อนั้นเดินไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ พนักงานมองผมด้วยสายตาแปลก จริงๆ อาจเพราะเห็นผมเดินไปมาหลายนาทีแล้วก็ได้
ผมเดินพ้นประตูร้านค้าออกมาได้ยินเสียงประตูอัตโนมัติตามหลังมาครั้งหนึ่ง จากนั้นประตูก็ปิด แล้วเปิดออก เสียงอัตโนมัติดังขึ้นอีกครั้งทั้งที่ตัวผมเดินห่างออกมาจากตรงนั้นแล้วประมาณหนึ่ง
ตอนนี้แวดล้อมผมไม่มีอะไรมากไปกว่าหมาจรจัดที่นอนหลับอยู่หน้าร้านซะดวกซื้อและพนักงานขายของด้านใน ผมเดินห่างออกมาอีกนิดหน่อย ก็ฉีกซองขนมออกแล้วพูดเอาเองในใจ
“เอาสิ พี่ให้”
ลมหอบหนึ่งพัดผ่านไปพร้อมกับเงาร่างของเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งแอบมองผมอยู่หลังเสาไฟฟ้าที่อีกฟากของถนนเล็กๆ ในซอย ผมทำท่ายื่นซองขนมออกไปข้างหน้า เด็กน้อยไม่ขยับเข้ามา
ผมกำลังคิดจะถามว่าเขามาทำไม แต่เด็กน้อยคล้ายกับดักใจผมได้ เขายื่นแขนชี้นิ้วลึกเข้าไปในซอย ผมมองตาม แล้วก็ถึงบางอ้อทันที
ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าเรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจาก ที่ไหน เพียงแต่ยังไม่รู้ว่า เพราะอะไร
ผมเดินตรงเข้าไปในซอยโดยอาศัยแสงสว่างจากไฟถนน พอมาถึงช่วงกลางๆ ผมก็เห็นเงาร่างของคนที่ผมคงจะต้องมาพบในคืนนี้
“พี่แป๊ะ พี่ตี” ผมเรียกชื่อทั้งสองคนเบาๆ จากด้านหลังในขณะที่พวกเขาทำท่าเหมือนกำลังจะออกไปซื้อของเพื่อมาเปิดร้าน
สองคนหันมาหาผมก็มีท่าทีตกใจยกใหญ่รีบเข้ามาทักทายผมกลับทันที สีหน้าของพวกเขาดีขึ้นแต่ก็ยังดูอิดโรยและอมทุกข์อยู่ดี
พี่ตีหันไปคุยกับพี่แป๊ะอยู่สักครู่หนึ่งก็ขยับรถเข้ามาจอดไว้ที่เดิม เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปซื้อของด้วยกันทั้งคู่ พี่ตีใช้วิธีโทรหาสามล้อเจ้าประจำที่เคยใช้บริการ ฝากรายการซื้อของไปกับเขาและยอมเสียเงินเพิ่มอีกประมาณสองร้อยบาทเป็นค่าแรง
“เข้ามาข้างในก่อนสิ พี่มีเรื่องจะพูดดวย” พี่ตีชวนผมเข้าไปในบ้าน
และทันทีที่พี่ตีเปิดม่านเหล็กหน้าบ้าน ผมก็ตกใจจนต้องอุทานออกมาเพราะว่าที่หน้าประตูร้านด้านในนั้นมีพระพุทธรูปวางอยู่บนเก้าอี้พลาสติกเหมือนที่ผมบอกให้วางเอาไว้ ที่ผมตกใจก็เป็นเพราะว่าไม่คิดว่าทั้งสองคนจะเอามาวางไว้ทุกคนหลังจากวันที่ผมบอก
“ตั้งแต่วันที่น้องบอกพี่ก็ไม่ย้ายไปไหนเลย วางไว้อย่างนี้ทั้งกลางวันกลางคืน แต่วันนี้น้องไม่ได้มากิน ก็คิดแล้วว่าคงไม่รู้เรื่อง” พี่แป๊ะพูดเสริมเมื่อเห็นผมกำลังจะตั้งคำถาม
“พอคืนนั้นพี่เอาพระพุทธรูปมาตั้งไว้ตามที่น้องบอก วันรุ่งขึ้นพี่ก็ขายดีเลย คนกลับมาแน่นร้าน ต้องขอบคุณน้องนะ แต่พี่ว่าจะให้พี่วางตรงนี้ไปตลอดมันก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ น้องมีวิธีอื่นไหม”
ผมเริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาทีละนิด และการที่ทำแบบนี้แล้วมันได้ผลยิ่งทำให้แน่ใจเข้าไปอีกว่าการที่พวกพี่ตีขายของไม่ได้นั้นไม่ได้เกิดจากฝีมือของพี่ตีไม่ดี
ผมอธิบายให้ฟังว่าการที่ทำอย่างนี้แล้วได้ผล มันน่ากังวลเพียงใด พวกเขากลับมาหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง
“ช่วงนี้พี่ตีเจออะไรแปลกๆกันบ้างไหมครับ” ผมถาม
“พี่ไม่เจอ แต่แป๊ะเขาเจอ เขาบอกว่าได้ยินเสียงคนเดินที่ชั้นล่างทุกคืนเลย บางครั้งก็วิ่ง ใช่ไหมแป๊ะ” พี่ตีหันไปถามสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ
“อืมใช่ แต่มันมีอีกนะ เมื่อคืนพี่ได้ยินเสียงเหมือนเด็กไถรถของเล่นอยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่เจอผีนะ ส่วนคนแก่ที่พี่เคยเล่าให้ฟัง ไม่เจอแล้ว”
ผมพยายามถามข้อมูลอีกครั้ง และคราวนี้มันก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินอีกครั้ง
“กาเหว่าทำไมมาร้องตอนนี้”
พี่แป๊ะพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงประหลาด ผมชิงอธิบายและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมให้เขาฟังก่อน เพราะผมคิดว่าการที่ผมสั่งให้พี่ทั้งสองเอาพระพุทธรูปมาตั้งไว้ที่หน้าร้านนั้น น่าจะส่งผลกระทบอะไรบางอย่างจนมีใครบางคนไม่พอใจ
พี่ตีได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มกลัว เสียงกาเหว่าดังขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังมีเสียงฝีเท้าดังอยู่รอบๆ บ้าน พวกเรามองหน้ากันและเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ม่านเหล็กหน้าบ้านตอนนี้ถูกแง้มออกไว้เป็นช่องประมาณหนึ่งฝ่ามือ ผมมองลอดช่องนั้นออกไปเห็นเงาวูบไหวจำนวนหนึ่งเดินผ่านไปมา พี่ตีและพี่แป๊ะคงเห็นอย่างนั้นเหมือนกันจึงขยับเข้ามาให้ใกล้กันอีกนิด
(เสียงหมาหอน)
จู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้นมาจากหน้าม่านเหล็กอย่างกะทันหัน พวกเราผงะถอยหลังไป เพราะรู้สึกไม่ชอบมาพากล หมาตัวนั้นหอนกระแทกเสียงลอดผ่านช่องว่างของบานประตูเข้ามาอย่างจงใจ
เสียงหอนนั้นแสบหูมาก ผสมกับเสียงของนกกาเหว่าที่รุนแรงขึ้นทำให้พี่ตีเริ่มร้องไห้เพราะความกลัว พี่แป๊ะหันมามองหน้าผมแล้วพี่ตีไว้ใกล้ๆ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงลองขยับพระพุทธรูปที่วางอยู่บนเก้าอี้พลาสติกไปให้ชิดกับม่านเหล็กหน้าบ้าน
(เสียงขู่)
จากเสียงหอนโหยหวนเปลี่ยนเป็นเสียงขู่อย่างไม่เป็นมิตร ผมพนมมือขึ้นสวดมนต์ขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยช่วยปกป้องคุ้มครองเรา ส่วนพี่แป๊ะเหมือนจะนึกอะไรออกจึงผละไปจากพี่ตีวิ่งหายขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ก่อนจะวิ่งกลับลงมาด้วยเสียงตึงตังของคนที่ตัวหนาสักหน่อย
เอ๋ง!
พี่แป๊ะสาดน้ำที่อยู่ในขวดพลาสติกเล็กๆ ลอดผ่านช่องว่างนั้นออกไป และมันคงจะไปกระทบกับตัวหมาเข้าจนมาต้องร้องด้วยความเจ็บปวด
“เป็นไง! กลูมีของดีโว้ย!”
พี่แป๊ะโวยเสียงดังด้วยความโกรธ น้ำมนต์หลวงพ่ออะไรสักอย่างในมือหมดไปในการสาดทีเดียว เสียงร้องอันเจ็บปวดของหมาตัวนั้นดังต่ออีกหลายทีก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงขู่
ผมมองลอดช่องว่างนั้นออกไปเห็นหมาสีดำขนสั้นเตียนติดหนังหันหลังกลับเดินตรงไปนอนที่หน้าร้านขายข้าวฝั่งตรงข้าม มันนอนนิ่งเอาขาหน้าไขว้กันแล้วมองเข้ามาในร้าน
“ตีๆ เป็นอะไรตี”
จู่ๆพี่ตีก็ตาเหลือกตัวสั่นร่างกายแข็งเกร็ง เหมือนพี่ตีไม่สามารถควบคุมปากของตัวเองได้ เธออ้าปากค้างจนน้ำลายไหลเลอะเทอะไปทั่วพื้น
จากอาการเกร็งนั้นเปลี่ยนเป็นมือข้างหนึ่งชี้มาที่หน้าของผม ตาที่เหลือกลอยเองก็หันมามองโดยเห็นตาดำเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พี่แป๊ะพยายาส่งเสียงเรียกสติแฟนให้กลับมา
“จะเอาอะไร” ผมถามใครสักคนที่ผมเชื่อว่าไม่ใช่พี่ตีแน่ๆ
เธอไม่ตอบได้แต่ชี้หน้าผมอยู่อย่างนั้น พี่แป๊ะพยายามส่งเสียงช่วยคุยถามซ้ำๆ ว่าเป็นใคร มาทำไม เราใช้วิธีถามวนไปวนมาหลายคำถามก็ไม่ได้เรื่องอะไร จนผมเหลือบไปเห็นเด็กน้อยคนเดิมแอบอยู่ที่หลังตู้เก็บของในร้าน
เด็กน้อยมองหน้าผมแล้ววิ่งไปหลบที่ถังข้าวสารของพี่ตีที่เอาไว้ใช้หุงข้าวขาย ผมพยายามตีความและคิดตามสิ่งที่เด็กน้อยทำ ไม่รู้ว่ามันจะมีความหมายหรือไม่ หรือว่าผมแค่คิดมากไปเอง
“หิวใช่ไหม?”
โชคดีที่เหมือนผมจะถามได้ตรงประเด็น ร่างของพี่ตีหยุดสั่น เธอนั่งมองหน้าผมนิ่งๆ ผมมองหน้าพี่แป๊ะแล้วขอความเห็นผ่านสายตานั้นว่า ‘เราน่าจะมาถูกทางแล้ว’
ใครบางคนในร่างนั้นนิ่งเงียบ มองหน้าผมไม่วางตา ผมถามต่อไปเรื่อยๆ เช่น จะกินอะไรไหม มาทำไม เป็นใคร ต่างๆนานา แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ตลอดเวลาที่พูดคุยผมต้องหันไปมองหมาดำตัวเดิมอยู่เป็นระยะๆ และพบว่ามันยังนอนอยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายไปไหน
สุดท้ายเมื่อไม่มีการพูดคุยอะไรมากไปกว่านี้ ผมจึงหันไปหาพี่แป๊ะถามหาของอะไรก็ได้ที่น่าจะกินได้มาให้หน่อย แน่นอนว่าบ้านนี้เป็นร้านขายอาหารอยู่แล้วของกินมีอยู่เหลือเฟือ สิ่งที่แป๊ะนำออกมาวางไว้ตรงหน้าพวกเราตอนนี้คือ ข้าวเปล่าเย็นๆ ที่เก็บเอาไว้ในตู้เย็นเพื่อแยกเอาไว้ทำข้าวผัดโดยเฉพาะ
พอจานข้าววางลงตรงหน้าแล้วดวงตาที่เคยจ้องมองผมก็เปลี่ยนไปสนใจจานข้าวแทน แต่ เธอไม่ยอมกิน พี่แป๊ะเริ่มสับสนคิดจะลุกไปหาอย่างอื่นมาแทนข้าวเปล่าตรงหน้า แต่ผมห้ามเขาไว้ก่อน
“พี่แป๊ะครับ มันอาจจะไม่น่าดูสักหน่อย แต่ผมขอลองหน่อยได้ไหมครับ”
พี่แป๊ะพยักหน้ารับทั้งที่ยังไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรต่อไป เพราะถ้าเขารู้ก่อนเขาคงไม่ยอมให้ผมทำเป็นแน่ ผมหยิบข้าวเปล่าๆจานนั้นวางลงที่พื้นห่างจากเท้าเราประมาณหนึ่ง จากนั้นเดินไปหยิบธูปที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ขึ้นมาจุด
ธูปดอกหนึ่งปักลงกลางจานข้าวพร้อมกับคำอนุญาตง่ายๆ “เอ้า กินซะ”
และสิ่งที่ผมคาดว่าน่าจะเกิดเลยเตือนพี่แป๊ะไว้ตั้งแต่แรกก็เกิดขึ้น พี่ตีค่อยๆ กระเถิบตัวลงจากเก้าอี้โดยไม่ได้ลุก เมื่อเข่าของเธอแตะลงที่พื้น สองมือใช้ต่างเท้าหน้าค่อยๆ คลานไปยังจานข้าวตรงหน้า โดยที่ดวงตาคู่นั้นกลับมาจ้องมองผมอีกครั้ง
กริยาท่าทางนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้าและดูหวาดระแวง พี่แป๊ะน้ำตาไหลและลึกลงไปในใจอาจไม่พอใจผมมากนักที่ตนต้องมาทนเห็นภาพของภรรยาก้มหน้ากินข้าวในจานที่มีธูปปักอยู่กับพื้น ขนาดผมไม่ใช่ญาติยังไม่อยากที่จะมองเลย แต่ก็ต้องยอมให้เป็นไปตามนั้น เพราะผมรู้สึกแปลกๆ มาสักพักแล้ว
ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องปกติ มันดูคล้ายกับว่าตัวพี่ตีมีสัมพันธ์บางอย่างกับวิญญาณพวกนี้ ทำไมจึงเข้าออกกันได้ง่าย นั่นคือคำถามที่ผมมีอยู่ในใจ
ข้าวในจานจริงๆ แล้วถูกกินไปแค่คำสองคำเท่านั้นร่างของพี่ตีก็หยุดนิ่งนั่งอยู่กับพื้น จริงๆ แล้ววิญญาณไม่ได้ต้องการกินของหยาบเพื่อให้อิ่มท้องอย่างมนุษย์ ซึ่งคงต้องพูดว่ามันคล้ายกับเป็นสัญญาทางจิต ที่รับรู้ว่า ได้กิน จึง อิ่ม
“คุยกันได้หรือยัง” ผมถามหลังจากที่ร่างตรงหน้านิ่งสนิท
พี่ตีพยักหน้า แต่ไม่พูด มือข้างหนึ่งของพี่ตียกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันถูกชี้ออกไปข้างนอกผ่านช่องว่างของม่านเหล็กหน้าบ้าน
“จะออกไปข้างนอกเหรอ”
เธอส่ายหน้า
“ข้างนอกมีอะไร”
เธอพยักหน้า
“มาดีหรือมาร้าย”
เธอไม่ตอบ ไม่พยักหน้าและไม่ส่ายหน้า
“ข้างนอกนั่นมีพวกเธออีกใช่ไหม”
เธอพยักหน้า
“พวกเขาหิวไหม”
เธอพยักหน้าอีกครั้ง
“ถ้าเราให้กิน จะบอกวิธีแก้ไหม”
เธอพยักหน้า
ผมกับพี่แป๊ะเห็นตรงกันว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ผมไม่ได้เข้าไปช่วยพี่แป๊ะเพราะต้องนั่งเฝ้าพี่ตี ระหว่างที่พี่แป๊ะหายไปนั้น ก็ปรากฏเงาร่างของเด็กน้อยคนเดิม คนที่ผมค่อนข้างจะแน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันกับที่ผมเคยเจอข้างโต๊ะอาหาร
“มาจากไหน” ผมถาม แต่เด็กน้อยไม่ตอบ เธอแอบอยู่ข้างหลังของพี่ตี ใบหน้าดูเป็นกังวล
“นี่แม่เธอใช่ไหม” ผมชี้ไปที่พี่ตี เด็กน้อยยิ้มแทนคำตอบ
พี่แป๊ะออกมาพอดี ผมสองคนช่วยกันเอาถาดข้าวเปล่าที่พี่แป๊ะคงจะโรยน้ำปลามาด้วยออกมาวางไว้ที่หน้าบ้าน ผมเป็นคนจุดธูปเรียก ใครก็ตามที่สร้างเรื่องราวเหล่านี้ให้มารับทานในครั้งนี้
“สัมภเวสีผีตายโหงเจ้าที่เจ้าทาง ใครก็ตามที่มารบกวนบ้านนี้อยู่ ขอให้มารับเครื่องเซ่นสังเวยนี้ แล้วอย่าได้ก่อกรรมใดต่อกันอีก ขอจงรับรู้ในน้ำใจและจิตเมตตาของคนทั้งสอง ปล่อยพวกเขา เปิดทางให้เราแก้ไข แล้วพวกเธอเองจะได้พบทางที่ดีกว่าด้วยเช่นกัน”
นั่นเป็นการบอกกล่าวที่ผมมักใช้บ่อยๆ เวลาต้องพบเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ ผมเชื่อของผมเอาเองว่าไม่มีผีสางนางไม้ตนไหนหรอกที่อยากจะมาทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกที่น่าเบื่อใบนี้(แต่บางทีมันก็มี) เพราะฉะนั้นหากเราต้องการช่วยเหลือคนเป็นที่กำลังเดือดร้อน เราควรมองหาทางช่วยเหลือพวกเขาในอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน
ผมปักธูปลงบนเข้าสวยถาดนั้นหันหลังกลับเดินเข้าบ้าน ปิดประตูให้แน่นหนาแล้วนั่งรอ
ระหว่างที่รอเกิดเสียงกุกกักที่ม่านเหล็กหลายครั้งคล้ายมีบางอย่างมากระทบ บางครั้งคล้ายลมหอบหนึ่งวูบพัดมาปะทะ เสียงใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ที่ต้องลมข้างๆ บ้านทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างประหลาด
“ตี...”
พี่แป๊ะเรียกภรรยาเสียงอ่อนด้วยดวงตาที่แดงก่ำด้วยความรู้สึกทรมาน เขาพร้อมที่จะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้เขาต้องเข้มแข็งเพื่อพี่ตี
เวลาผ่านไปสักห้านาทีเห็นจะได้เสียงต่างๆ ก็เงียบลง พร้อมกับกลิ่นธูปที่จางหายไป ผมหันไปหาพี่ตี
“ไปกันแล้วใช่ไหม”
เธอพยักหน้า
“ต้องแก้ยังไง”
เธอยกมือขึ้นชี้ไปที่หน้าประตูแต่เยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย
บ่อยครั้งที่เวลาเกิดเรื่องแบบนี้คนเรามักจะควานหาทางออก โดยที่ไม่สนใจมองผู้ก่อให้เกิดเหตุเหล่านี้ หากใครคนหนึ่งในร่างของพี่ตีคือผู้สร้างเรื่อง เขานั่นแหละคือคนที่รู้ทางออกที่ดีที่สุด การหาทางเจรจากับพวกเขาเหล่านั้นจึงเป็นทางออกที่ผมเลือกใช้เสมอ
หลังจากที่เธอลดแขนลง พี่ตีหลับตาแล้วค่อยๆ นิ่งไป ใครบางคนในนั้นคงจากไปแล้ว พี่แป๊ะเข้าไปประคองพี่ตีให้นั่งลงบนแค่ไม้แล้วหาน้ำหวานยาดมมาดูแลเธอ
ผมเลื่อนม่านเหล็กของบ้านออก เดินออกไปข้างนอกเพื่อมองหาบางอย่างที่เขาเพิ่งชี้ให้เห็น สิ่งที่ผมเห็นไม่มีอะไรเลยนอกจากกระถางต้นไม้ต้นหนึ่ง
ธูปที่ปักอยู่บนข้าวดับไปแล้ว อาจเพราะลมที่พัดแรงธูปจึงมอดหมดในเวลาไม่นาน ผมก้มลงไปใกล้ๆ ถาดข้าว กลิ่นหอมของน้ำปลายังอยู่ แต่ผมสังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ
ข้าวสวยก้อนหนึ่งขนาดประมาณลูกแก้วที่เด็กๆ ชอบดีดเล่นกัน กระเด็นห่างออกไปจากถาดตกอยู่ตรงหน้ากระถางต้นไม้นั้น
“เจออะไรไหมน้อง” พี่แป๊ะที่ตามมาถามผม
“พี่แป๊ะมาช่วยผมดูตรงนี้หน่อย”
ผมกับพี่แป๊ะช่วยกันมองหาบางอย่างที่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไรจากกระถางต้นไม้ตรงนี้ ผมพลิกใบไม้ที่ย้อยลงมาปกคลุมก็ยังไม่เจออะไร จนเหลือเพียงอย่างเดียวที่ยังไม่ได้ทำ ‘ยก’
ผมกับพี่แป๊ะช่วยกันยกมันขึ้นและทันทีที่ยกออกเขาก็ต้องตกใจเหมือนที่ผมตกใจ
“เฮีย!”
คำอุทานนั้นเหมาะแล้วจริงๆเพราะสิ่งที่อยู่ข้างใต้กระถางต้นไม้คือของที่ไม่น่ามาอยู่ตรงนี้เป็นที่สุด
ตุ๊กตากุมาร ห่อผ้าดิบ ตุ๊กตานางรำ ไม้เนื้อหอมชิ้นเล็กๆ ในกรอบพลาสติก ถ้าเกิดคำถามว่ามันถูกวางอยู่อย่างไร คำตอบนั้นชวนให้โมโหเป็นที่สุดเพราะใต้กระถางต้นไม้ถูกเจาะจงแตกออกเป็นรู เอาดินบางส่วนออกแล้วยัดมันไว้ในนั้น นั่นหมายถึงมันคือการทำอย่าง จงใจ
พี่แป๊ะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรผมจึงต้องเป็นคนเดินไปหยิบของทั้งหมดนั้นใส่ถุงพลาสติกแล้วมัดไว้ ตอนที่ก้มลงไปเก็บผมจึงได้เห็นของที่ชวนให้โมโหมากขึ้นไปอีก นั่นคือเงิน คนที่มาทำไว้จงใจใส่เงินไว้แทนการทำเคล็ด ซื้อที่
ผมเก็บทุกอย่างใส่ถุงวางไว้หน้าบ้านแล้วกลับเข้ามาคุยกับพี่ทั้งสองถึงที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด
จากการพูดคุยระหว่างผม พี่ตี และพี่แป๊ะ เหตุการณ์แปลกๆ จริงๆ แล้วเริ่มตั้งแต่สัปดาห์แรกที่พวกเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ ลูกค้ามากบ้างน้อยบ้าง และเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ มาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดคือตอนลดปริมาณเครื่องเซ่นที่หน้าร้านลง นั่นคงเป็นเหตุให้พวกที่มาขอกินพวกนี้ไม่พอใจ เลยขัดขวางไม่ให้ใครมาเข้าร้าน และยิ่งช่วงสุดท้ายที่ผมให้เอาพระมาตั้งไว้หน้าบ้าน พวกนั้นคงจะทำอะไรไมได้ ก็เลยไปก่อกวนผมแทน หรือไม่ก็ไม่ใช่การก่อกวน แต่อาจเป็นการขอความช่วยเหลือ
“ทำไมพี่ถึงไหว้หน้าร้านเยอะขนาดนั้น” ผมถาม
“ก็.. เลี้ยงเจ้าที่ กลัวเขาไม่อิ่ม”
“ผมว่าไม่ใช่แน่ๆ มันมากกว่าปกติ”
“เอ่อ... คือว่า”
“พี่ให้ลูกชายพี่ใช่ไหมครับ”
พี่ทั้งสองคนตาโต ฝ่ายพี่ตีปิดหน้าร้องไห้โฮ พี่แป๊ะต้องปลอบกันยกใหญ่ พอเธอกลับมามีสติดีแล้วเราถึงได้คุยกันต่อ
สาเหตุที่พี่ตีย้ายมาอาศัยที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะต้องการหาทำเลเพื่อเปิดกิจการ แต่เป็นไปเพราะไม่สามารถทนอยู่ที่เดิมได้อีก
ที่บ้านหลังเก่าลูกชายของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต การที่เธอต้องตื่นมาเห็นถนนเส้นที่เด็กชายจากไปนั้นทรมานเกินกว่าที่ใจของเธอจะรับได้ การย้ายที่อยู่จึงเป็นตัวเลือกหนึ่ง
พอย้ายมาที่นี่ เธอเรียกให้ลูกชายมาอยู่ด้วยกัน แล้วคืนนั้นเธอก็ฝันเห็นลูกชาย เด็กน้อยวิ่งเล่นอยู่ที่หน้าร้านชวนให้พ่อกับแม่ออกไปหา แต่ไม่เข้ามาข้างใน
“พี่คิดว่าเขาอยู่ข้างนอกบ้าน เข้าบ้านไม่ได้ พี่เรียก เรียกแล้วเรียกอีก แต่พี่ฝันแค่คืนนั้นคืนเดียว ไม่รู้ว่าเขาได้เข้ามาไหม พี่เลยให้ข้าวเขากินตรงนั้นทุกวัน”
ผมเชื่อว่าคนอ่านบางคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเกิดคำถามและรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสักเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะ คนเรามีความรู้ความเชื่อไม่เหมือนกัน สิ่งที่พี่ตีทำก็มาจากความเชื่อของเธอ ซึ่งจะไปบอกว่าผิดหรือถูก ผมว่าอย่าดีกว่า
ในช่วงแรกเธอให้อาหารเยอะมากเพราะกลัวว่าลูกชายอาจจะไม่อิ่ม แต่พอช่วงหนึ่งที่ลูกค้าเริ่มน้อยลง เธอไม่มีเงินมากพอจะทำอย่างนั้นจึงต้องลดปริมาณลงเหลือไว้เพียงข้าวไข่ดาวที่เป็น เมนูโปรดของเด็กชายเท่านั้น
“วันนั้นผมเห็นของเล่น” ผมหลุดปากถามออกไป
“วันเกิดเขาค่ะ”
บ้านทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ ผมไม่น่าถามออกไปเลย มันคงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินไปสำหรับคืนนี้ สุดท้ายผมต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องอธิบายแทน
ผมคาดการณ์เอาเองว่าวิญญาณทั้งหลายที่มาก่อกวนนั้นต้องเป็น ‘ผีเลี้ยง’ แน่ๆ และเมื่อเจ้าของเขาเห็นว่าบ้านนี้ไหว้เครื่องเซ่นเยอะและเป็นประจำ เขาจึงคิดมักง่ายให้ผีของตนมาหากินที่บ้านนี้ เหมือนกับเลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้าน แต่ให้ไปขโมยกินข้าวบ้านอื่นแทน การซื้อที่ด้วยเงินก็เป็นเคล็ดอย่างหนึ่งในการขยายอาณาเขตของผีพวกนี้ ที่ผมมั่นใจเพราะ บ้านผมก็เคยโดน
“แล้วถ้าอย่างนี้ลูกพี่ได้กินข้าวรึเปล่า”
ผมดีใจมากเหลือเกินที่ความโกรธไม่ใช่ความรู้สึกแรกของพี่ตี เธอห่วงลูกชายมากกว่านั้นหลายเท่า ผมหันไปมองเด็กน้อยที่แอบอยู่ข้างหลังเธอ เขายิ้ม
“ได้รับครับ เขาได้จากที่พี่ใส่บาตรให้ทุกเช้า”
“เขาได้ใช่ไหมคะ” เธอร้องไห้อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ฟูมฟาย
เรื่องนี้จบลงแค่นั้น ผมแค่เตือนพี่ตีว่าอย่าทำอย่างนี้อีก การเลี้ยงผีหน้าบ้านสุ่มสี่สุ่มห้าบางครั้งก็อันตราย ส่วนของในถุงพลาสติกผมฝากให้พี่แป๊ะนำไปจัดการต่อ
“เราไม่ต้องเอาไปคืนเจ้าของเหรอน้อง” พี่แป๊ะถาม
“คืนใครล่ะครับพี่ ใครเอามาวางก็ไม่รู้(จริงๆก็เดาไม่ยาก) อีกอย่าง ผมว่าพวกเขาเองก็คงไม่อยากถูกเลี้ยงไว้แบบนี้หรอก”
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นพี่ตีกลับมาขายดีอีกครั้ง ผมกลายเป็นลูกค้าประจำเหมือนอย่างเคย เด็กน้อยคนนั้นยังคงวิ่งเล่นไปมาอยู่ในตัวบ้าน (เขาเข้าบ้านมาตามคำเรียกของพี่ตีตั้งแต่แรกแล้ว)
แต่สุดท้ายผมได้ข่าวว่าพี่ตีเลือกที่จะย้ายบ้านอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่กล้าอยู่ที่เดิมกลัวโดนอีก และรู้สึกไม่สบายใจ มองหน้าใครไม่สนิทใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ส่วนเรื่องศาลตรงตอไม้นั้นไม่ได้มีอะไร เป็นแค่เจ้าที่ที่คอยดูแล มีเครื่องเซ่นบ้าง พวกนี้ก็ลามไปขอกิน แค่พี่ตีเอากระเบื้องไปทิ้งไว้เท่านั้น
เรื่องนี้ไม่ได้น่ากลัวมากนักในความรู้สึกของผม แต่มันน่าหงุดหงิดกับความมักง่ายของคน ความคิดที่คอยเบียดเบียนคนอื่นโดยไม่คิดหน้าคิดหลังว่าผู้ถูกกระทำจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
“ทำไมผีมันเข้าแฟนพี่ได้” พี่แป๊ะถามในตอนที่ผมจะกลับ
“แฟนพี่จิตตกมากครับ เรื่องนั้นคงทำให้จิตใจของพี่ตีอ่อนแอมากจริงๆ ดูแลกันดีๆ นะครับ”
“ได้ครับ”
“เอ้อพี่แป๊ะ จริงๆ แล้วที่ผมมาที่บ้านพี่เพราะลูกพี่มาเรียกผมที่ห้องน่ะ”
ผมรู้แล้วว่าใครที่คอยมาเคาะประตูห้องผมตั้งแต่วันนั้น ลูกของทั้งสองคนคงเป็นห่วงและหาทางออกให้กับเรื่องนี้ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ ส่วนพวกที่ผมเห็นและตามมาก็เหมือนกับพวกไม่มีทางเลือก คนเดียวที่น่าโกรธในความรู้สึกผมมีแค่เจ้าของผีเลี้ยงพวกนั้นเท่านั้น
ส่วนสุดท้ายที่ผมไมได้อธิบายให้พี่ทั้งสองฟังคือ ทำไมอาหารสดในร้านของพวกพี่เขาเสียไวกว่าปกติ บางครั้งข้าวที่วางทิ้งไว้ก็ชืดสนิท บางครั้งลูกค้าก็บอกได้กลิ่นไม่ดีจากอาหารที่เพิ่งทำใหม่ๆ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะพวกเขาไม่มีอะไรกิน เลยถือวิสาสะเข้ามาหาอะไรกินในบ้าน ตามคำอนุญาตของผู้เลี้ยง ที่ไม่ใช่พี่ตี นั่นต่างหากคือสิ่งที่เลวร้ายมากจริงๆ
ลอยชาย.
.....................................................................................................................
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงตรงนี้
ตั้งแต่ต้น และตลอดมา
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากเรื่องราวดังกล่าวไม่ถูกจริตหรือทำให้ผู้อ่านขุ่นข้องหมองใจ
โปรดอ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
สามารถไปพูดคุยกันได้ที่ Facebook Page : ลอยชาย.
ขอบคุณครับ
จากพันทิป ขายข้าว...ให้ใคร
เรื่องโดย LoyChinE FB ลอยชาย
Post a Comment