เรื่องเล่าที่วัดป่า


     วิญญาณกับวัดถือเป็นของคู่กันเพราะชีวิตคนเรา สุดท้ายก็ต้องไปลงเอยกับวัด ชีวิตหลังความตายนั้นไม่สามารถบอกได้ แต่เราสามารถสัมผัสได้จากวิญญาณที่คอยที่จะร่วมแชร์ความรู้สึกนั้นได้ คนเราอยู่กันเยอะๆย่อมเกิดความคะนองที่จะลองทดสอบ อยากรู้อยากเห็นนั้นล้วนเป็นธรรมชาติของมนุษย์โลก เช่น การเล่นผีถ้วยแก้วในวัด ต้องลองไปฟังเรื่องจริงนี้กันเลยจากคุณฟง

     ฟงได้ไปฝึกงานที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี เพราะฟงเรียนช่างสำรวจ แล้วหลวงพ่ออยากสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ในวัด แล้วในหมู่บ้าน วันเดินทางนักศึกษาไปกัน 5 กลุ่ม  กลุ่มละ 7-8 คน มีช่างเทคนิคกลุ่มละคน แล้วมีลูกหาบช่วยแบกของอีกหนึ่งคน ที่วัดป่า อาจารย์และผู้หญิงจะนอนบนศาลาวัดมีห้องน้ำในตัว มีพัดลม สะดวกสบาย แต่ผู้ชายกลางเต๊นท์นอนหลังวัดใกล้ๆที่เก็บกระดูกคนตาย ก่อนนอนหลวงพ่อก็บอกให้แผ่เมตตา จะได้ไม่มีสัตว์ร้ายมาทำอันตรายได้

     เริ่มงานวันแรก ทุกคนคึกคักมาก ออกเดินทางไปสำรวจพิ้นที่แต่เช้า แต่ตอนขากลับ เพื่อนคนหนึ่งเกิดตกเขา ดีที่ตัวไปติดกับต้นไม้ ไม่หล่นไปข้างล่าง ทุกคนก็ดึงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เนื้อตัวถลอกปอกเปิกเลือดอาบเลยทีเดียว พอมาทำแผลเสร็จเพื่อนก็ถามว่าตกลงไปได้ไง เดินอยู่ดีดี เพื่อนก็บอกว่าไม่รู้ใครผลักกระเด็นกลิ้งลงไปเลย แล้วกลุ่มอื่นๆก็เจอเหตุการณ์แปลกๆเหมือนกัน บางคนโดนผึ้งต่อย บางกลุ่มหลงป่า จไม่ได้งานกันก็มี วันต่อมา ก็ไปทำงานปกติ กลางคืนก็กลับมาเขียนแผนที่ เวลาสอ
ทุ่มไฟจะปิดหมดเพราะไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ใช้เครื่องปั่นไฟยามจำเป็นเท่านั้น ก็เลยต้องพากันจุดเทียนพรรษาเพื่อเขียนแผนที่ (เดี๋ยวนะ ไฟตัด แล้วอิจฉาผู้หญิงทำไมที่ได้ใช้พัดลม แอบสงสัย 555) พอเขียนแผนที่เสร็จก็ประมาณเที่ยงคืน มีพวกชอบลองดีได้นัดเพื่อนๆไปเล่นผีถ้วยแก้วที่หลังเต๊นท์สุดท้าย ฟงก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ไปดูด้วย เพื่อนหัวโจกก็เล่าประวัติว่ารู้หรือเปล่าว่าห่างจากวัดป่านี้ไปไม่กี่กิโล เป็นที่ฝังศพของ เชอรี่แอน (เชอรี่แอนเป็นคดีฆาตกรรมที่ดังมากในอดีต ) แล้วหัวโจกก็ดันเชิญเชอรี่แอนมาลงถ้วยซะงั้น พวกมันก็ถามกันไปเรื่อย แก้วก็เลื่อนๆไป แต่ฟงก็คิดว่าพวกมันนั่นแหละที่ดันแก้วกันเอง ฟงนั่งดูสักพักจนเริ่มง่วง เลยลุกกลับเต๊นท์ไปนอน พอเคลิ้มๆจะหลับ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายลั่น ฟงเลยรีบลุกออกจากเต๊นท์ เห็นเพื่อนคนหนึ่งนอนบิดตัวอยู่กับพื้น ดื้นไปดิ้นมาพูดจาไม่รู้เรื่อง พวกที่เล่นด้วยกันก็พยายามจับแขนขา พอดีว่าอาจารย์ตามมาสมทบ แกบอกให้เอาผ้าขนหนูยัดปาก เพราะคิดว่าเป็นลมบ้าหมู แล้วหามขึ้นรถส่งโรงพยาบาลทันที
หลังจากวันนั้น ฝนหลงฤดูตกลงมากระหน่ำอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  ออกไปสำรวจก็ไม่ได้ งานหยุดชะงัก พอออกไปทำงานเครื่องมือก็ดันพัง กล้องอินฟราเรดสามตัวใช้งานไม่ได้ ต้องใช้กล้องธรรมดามาส่องซึ่งมันเสียเวลามาก อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นทุกวันแบบไม่มีสาเหตุ เสียการเสียงานหมด งานไม่คืบหน้า ทุกคนก็ต้องทำงานกันหนักขึ้น แล้วแต่ละกลุ่มก็เหลือคนน้อยลง เพราะไปนอนอยู่ในโรงพยาบาลกันหมด เพราะอาการป่วยแปลกๆนั่น   แต่โชคดีที่หลวงพ่อของบได้ ทางจังหวัดจะลงมาทำงานเอง ให้ส่งแค่แผนที่ให้ ทุกคนดีใจใหญ่ แล้วอาจารย์ก็เลี้ยงอาหารกันทั้งแคมป์ ทุกคนกินอย่างสนุกสนาน จนลืมเรื่องทั้งหมดไป พอสี่ทุ่มทุกคนก็เข้านอน แล้วฝนมาจากไหนไม่รู้ตกลงมาอย่างหนักจนเต็นท์ปลิว น้ำจากเขาก็เทลงมาจนดินเปียกชุ่ม เลยต้องไปนอนรวมกันบนศาลา บางส่วนก็กระจายไปนอนกุฏิ บางส่วนก็นอนโรงทาย ฟงและรุ่นพี่สองสามคนต้องไปนอนในถ้ำ ที่ใช้เก็บเทียนพรรษา และของใช้ ก็เอาเก้าอี้มาต่อกันนอนตามมีตามเกิด อากาศในถ้ำหนาวยะเยือก แล้วฟงก็เผลอหลับไป แต่ต้องตื่นมาเพราะเสียงหัวเราะก้องถ้ำไปหมด แสงไฟจากเทียนที่จุดไว้หลายเล่มทำให้มองเห็นอะไรๆได้ชัดเจน ฟงมองไปที่ผนังถ้ำตรงหัว เห็นเป็นหน้าคนคล้ายสลักหินแต่ไม่ใช่ มันดันค่อยๆยื่นออกมาจนใกล้หน้าฟง แล้วหัวเราะใส่หน้าฟงอย่างดัง ฟงดีดตัวสุดแรงลุกมานั่งหอบ มองซ้ายขวาเห็นทุกคนนั่งเหมือนกันหมด แล้วถามกันว่าเห็นเหมือนกันไหม เท่านั้นแหละ ทุกคนก็สิ่งฝ่าฝนไปนั่งเบียดกันที่ศาลา นั่งสัปหงกจนถึงเช้า

     พอเช้าวันสุดท้ายที่ถึงกำหนดกลับ หลวงพ่อบอกความลับว่า ก่อนจะสร้างวัดที่นี่เป็นสุสานไร้ญาติมาก่อน  มีศพอยู่บริเวณนี้มากมาย ตอนบุกเบิกก็เห็นหมาไปคาบกระดูกมาแทะเล่น บางทีก็เห็นคนหัวขาดเดินไปเดินมา หลังจากนั้นก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ทุกคนขึ้นรถบัสที่มารับเรียบร้อยแล้ว กำลังรอคนขับ แต่จู่ๆ รถบัสที่จอดใส่เบรคมือไว้ก็ไหล ซึ่งมันเป็นทางลาดลงเขาซะด้วย ทุกคนต่างรีบกระโดดลงรถหนีตายกัน โชคดีมีรุ่นพี่คนนึงมีสติ แกกระโดดไปนั่งที่คนขับแล้วเหยียบเบรคไว้ได้ทัน รถจึงหยุดได้ เกือบตายกันหมดเลยทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น