วิญญาณผู้ร่วมเรือน


     บ้านที่คุณอาศัยอยู่ทุกวันนั้น คุณเคยเจอเรื่องแปลกบ้างไหม ในตอนที่คุณหลับฝันเจอบ้างไหม ของที่วางไว้เคยหายไปหาไม่เจอบ้างไหม ของนั้นกลับมาที่เดิมแปลกไหม อยู่คนเดียวเจอรู้สึกบ้างไหมว่ามีคนอยู่ด้วย ได้ยินเสียงบางอย่างไหมเวลาคนอยู่คนเดียว มีใครบ้างไหมที่เรียกคุณแต่มีเจอใคร รู้สึกว่าใครสัมผัสคุณไหมในตอนที่คุณอยู่คนเดียว ได้กลิ่นแปลกๆบ้างไหม แล้วคุณเห็นใครบางคนไหมทั้งๆที่คุณอยู่คนเดียว ลองไปฟังเรื่องนี้กันเลยครับ

     คนเรานั้นชอบเรื่องลึกลับ ในโลกนี้เองก็มีเรื่องลึกลับอยู่มากมาย แม้กลัวก็ยังอยากฟัง แม้ไม่อยากเห็นแต่ก็ยังอยากรับรู้ แม้ไม่แน่ใจว่าหลังประตูทะมึนบานนั้นจะมีอะไร แต่อสุรกายในใจก็ยังร่ำร้องที่จะเปิดมันออก

    อาจจะเพราะว่ามันยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ อาจจะเพราะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ความอยากรู้อยากเห็นอยากพิสูจน์จึงถูกกระตุ้นขึ้น

    สิ่งที่ผมกำลังจะเล่าต่อจากนี้ก็เป็นหนึ่งในอีกนับไม่ถ้วนที่ตัวผมเองไม่สามารถหาข้อพิสูจน์หรือเหตุผลมาอธิบายมันได้ แต่สิ่งที่สามารถพูดได้เต็มปากคือมันเป็นเรื่องจริงที่ผมเองได้ประสบพบเจอมาทั้งสิ้น

    ห้องแถวสองชั้นขนาดสิบสองตารางวาที่ปลูกเรียงรายหนาแน่นอยู่ในซอกหลืบหนึ่งของมหานคร ลักษณะห้องแถวเป็นไปตามแบบฉบับห้องเช่าโบราณ ผนังด้านหนึ่งเป็นปูนในขณะที่ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นไม้ หลังคาถูกมุงด้วยสังกะสี ประตูเป็นแบบซี่บานเหล็กเลื่อนออกทั้งสองข้าง ภาพห้องแถวนั้นไม่ค่อยจะน่าดูนักเนื่องจากถูกปลูกมานานมากแล้ว

    ผมอาศัยอยู่ที่นั่นตั้งแต่ลืมตาดูโลก หลายสิบปีที่ดำเนินชีวิตโดยปราศจากเรื่องราวน่าตื่นเต้นใดๆ จนกระทั่งวันหนึ่งในอีกสิบเจ็ดปีต่อมาเหตุการณ์สยองขวัญก็เกิดขึ้นที่นี่

    วันนั้นเป็นหนึ่งวันในช่วงวันหยุดปิดภาคเรียนฤดูร้อน ซึ่งมันก็คงจะเหมือนกับวันหยุดปิดภาคเรียนวันอื่นๆ หากไม่เพียงว่าผมต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อไปรับรู้ผลของความพากเพียรจากการเรียนในปีที่เพิ่งผ่านพ้นไป

    หลังยืนเคารพธงชาติและตามด้วยกิจกรรมอีกเล็กน้อยตามปกติของทางโรงเรียน ผมและเพื่อนก็ได้รับสมุดรายงานผลการเรียนจากอาจารย์ประจำชั้นก่อนที่ทางโรงเรียนจะปล่อยให้นักเรียนทยอยกันกลับบ้าน

    บางกลุ่มก็กลับบ้านทันที บางกลุ่มก็แวะเดินเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า แต่ผมและเพื่อนๆ เลือกที่จะนั่งคุยกันที่ร้านน้ำแข็งไสเจ้าประจำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไป

    วันนี้คงจะเหมือนกับวันอื่นๆ อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นหากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น

    บ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้น อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก ใช้เวลาเดินเท้าประมาณสิบห้าถึงยี่สิบนาทีเท่านั้น รถประจำทางหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้างจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับผมแม้แต่น้อย

    ด้วยความที่นอนดึกและตื่นสายจนเคยชินในช่วงปิดเทอม เมื่อกลับถึงบ้านความง่วงก็เข้าถาโถมทันที ผมจัดแจงล๊อคประตูบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้า และล้มตัวลงนอนทันที

    ปกติผมเป็นคนที่ชอบนอนกับพื้นบ้านที่เป็นปูนมาก เพราะพื้นปูนจะเย็นสบายทำให้สามารถนอนในช่วงกลางวันได้สบายกว่านอนบนเตียง โดยลักษณะการนอนนั้นจะตะแคงหันหลังเข้าฝาบ้าน ซึ่งก็น่าจะเป็นท่านอนปกติของคนกลัวผีที่มักจะจินตนาการว่าถ้านอนเอาหลังออกจะมีอะไรมานอนอยู่ด้านหลัง

    ไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน อากาศที่ร้อนอบอ้าวจนผิดปกติทำให้ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นความร้อนแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เหมือนกับมันจะร้อนมาจากข้างในตัวผมมากกว่า ร้อนขนาดที่ตัวผมเองรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะทนหลับตานอนต่อไปได้

    ในใจคิดว่าจะลุกขึ้นอาบน้ำดีกว่า แต่ทว่าก่อนที่ผมจะลืมตาขึ้น โสตประสาทกลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

    เอ๊ะ เสียงใครคุยกัน ใครเดินอยู่ที่ด้านหลังของผม

    ขณะนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนอนอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่บ้าน ความรู้สึกเหมือนอยู่ในงานเลี้ยงค๊อกเทล คือมีเสียงคนเดินไปเดินมา เสียงคนคุยกันดังไปหมดจนจับใจความไม่ได้ไม่ว่าจะพยายามฟังสักแค่ไหน เหมือนกับที่เราไปอยู่ในงานเลี้ยงที่ต่างคนต่างพูดจนเราจับใจความไม่ได้

    ด้วยความที่เป็นคนไม่เคยเจอเรื่องแปลกพิสดารอะไรมาก่อนเลยในชีวิต ผมจึงตกใจและกลัวมากจนรีบลืมตาขึ้นมาเพื่อที่จะได้หลุดออกจากบรรยากาศแปลกๆ นี้

    ผมยังคงนอนอยู่ในบ้านหลังเดิมที่คุ้นเคย ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่นเหมือนในความรู้สึกเมื่อสักครู่ แต่ทว่าท่าทางนอนผมเปลี่ยนไป ตอนนี้ผมนอนตะแคงโดยหันหน้าเข้าหากำแพงแทน

    เมื่อเป็นดังนั้น ผมจึงพยายามหันกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ทว่ากลับขยับตัวไม่ได้ เสียงคนเดินคนคุยกันยังคงดังอย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่ในระยะสายตาที่มองเห็นไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว เหงื่อที่หลังและใบหน้าผุดขึ้นจนเหมือนกับมีใครเอาน้ำมาสาด เสื้อที่ใส่อยู่เปียกไปหมด

    ตอนนี้นอกจากความรู้สึกร้อนแล้ว ความรู้สึกกลัวกำลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

    ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ต้องทนนอนฟังเสียงแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น แต่สำหรับผมมันช่างนานแสนนานเสียจริงๆ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ความกลัวที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงส่งให้สมองคิดหาทางออก

    พอคิดได้ดังนั้น สายตาก็เริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง ผมพยายามเหลือกตาไปมาเพื่อหาอะไรหรือใครก็ได้ในบริเวณนั้นที่จะสามารถช่วยผมได้

    แล้วในที่สุดสายตาก็ไปสะดุดอยู่กับเงาร่างหนึ่ง มีคนนอนอยู่ด้านหลังของผม ในขณะนั้นผมที่เกิดอาการกลัวมากคิดไปเองว่าเงานั้นคือแม่ของตัวเอง ผมพยายามมองให้ชัดว่าใช่หรือไม่แต่ก็มองไม่ถนัดเพราะร่างกายยังขยับไม่ได้

    สายตาพยายามกลอกไปด้านหลังให้ได้มากที่สุดแต่ก็เห็นแค่เป็นเงาร่างคนเหมือนเดิม เงานั้นนอนตะแคงอยู่ด้านหลังในลักษณะเดียวกับผม และห่างจากตัวผมไปเพียงประมาณหนึ่งฟุตในความรู้สึก

    ผมพยายามเรียกผู้ที่ผมเข้าใจว่าเป็นแม่ให้ตื่นและมาช่วยผม แต่เสียงที่คิดว่าได้ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงกลับอยู่เพียงในลำคอ มันไม่ยอมออกมาอย่างที่ใจคิด

    เมื่อไม่สามารถเปล่งเสียงได้ผมจึงพยายามยื่นแขนซ้ายไปสะกิดเงาที่อยู่ด้านหลัง ทั้งๆ ที่ห่างเพียงแค่ฟุตเดียวแต่กลับรู้สึกว่าการยื่นมือไปให้ถึงนั้นต้องใช้เรี่ยวแรงมากมายมหาศาลเหลือเกิน

    แปะ

    เสียงมือกระทบกับพื้นบ้าน ผมยกมือขึ้นและลองอีกครั้ง

    แปะ

    และอีกครั้งที่เสียงมือกระทบพื้นบ้าน ทั้งๆ ที่คิดว่าน่าจะสะกิดโดน แต่มือที่ยื่นออกไปนั้นกลับผ่านเงาดำไปเฉยๆ เหมือนกับวาดมือไปในอากาศ

    จนถึงตอนนี้ผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว จำได้เพียงว่าตอนนั้นรู้สึกสับสนทำอะไรไม่ถูก รู้สึกแต่ว่าร้อนมาก ร้อนจนอยู่ไม่ได้แล้ว สมองมึนงง สับสน

    ต้องหนีแล้ว ร้อน อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องหนี ต้องหนี

    ความคิดสุดท้ายวูบขึ้นมา แล้วผมก็ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างกับติดสปริง

    ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่ได้เกิดขึ้น ผมเปียกโชกไปทั้งตัวด้วยเหงื่อ สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาติดผนังแบบลูกตุ้มโบราณ พร้อมๆ กันกับที่เสียงบอกเวลาดังขึ้น

    เที่ยงตรงพอดิบพอดี

    ผมนั่งงุนงงฟังเสียงบอกเวลาดังจนครบสิบสองครั้งก่อนจะลุกขึ้นตัวเบาโหวง เดินไปเปิดประตูและออกมานอกบ้าน แสงแดดที่ส่องมากระทบตาทำให้ผมรับรู้ว่าได้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงอันแสนปกติแล้ว

    และทันใดนั้นผมก็นึกอะไรบางอย่างออก ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะลืมแท้ๆ แต่ผมก็กลับลืมไปเสียสนิท

    วันนี้ทุกคนในบ้านไปต่างจังหวัดกันหมดตั้งแต่เช้ามืด ไม่มีทางที่จะมีใครอื่นในบ้านได้นอกจากผม แล้วคนที่นอนอยู่ด้านหลังเมื่อสักครู่เป็นใคร

    เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำเอาผมถึงกับเซื่องซึมและกลายเป็นคนเงียบผิดปกติไปหลายเดือน ผมไม่กล้านอนตรงบริเวณนั้นของบ้านแม้เวลานั้นจะมีคนอยู่เต็มบ้านไปหมด

    ช่างเป็นประสบการณ์สยองขวัญครั้งแรกในชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง และที่สำคัญต้องมาเกิดในบ้านของตัวเองที่คิดจะหนีก็ทำไม่ได้เสียด้วย

    หลังเหตุการณ์นี้ผ่านไปหลายเดือนผมตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้คนในบ้านฟัง

    “เห็นแล้วเหรอ”

    ประโยคเดียวสั้นๆ แบบเรียบเฉยของพ่อทำเอาผมถึงกับงง มันหมายความว่ายังไง หรือว่าพ่อของผมเห็นเขาคนนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว หรือว่าทุกคนในบ้านนอกจากผมเคยเห็นเขาคนนั้นอยู่แล้ว

    หรือว่าเขาคนนั้นอยู่ที่นี่มานานแล้ว เขา ผู้อาศัยอีกคนในบ้านหลังนี้ที่ผมไม่เคยรู้จัก

    และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมพบกับประสบการณ์ที่ทุกวันนี้ผมเองก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นผมมักเจออะไรแปลกๆ แบบนี้เสมอๆ

    บางครั้งก็เป็นเหตุการณ์ที่รู้สึกดี แต่หลายครั้งกลับน่ากลัวมากๆ และแน่นอนว่าทุกครั้งที่เกิดขึ้นผมก็ยังคงไม่รู้ว่ามันคืออะไร และทำไมถึงเกิดขึ้นกับผม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตั้งสิบเจ็ดปีผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย

    แต่ถ้าประสบการณ์ครั้งนี้สามารถสรุปได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีแล้วจริงๆ ล่ะก็ อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์อะไรได้อย่างหนึ่งว่า

    มันไม่ได้มาแค่ตอนกลางคืนอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ไม่มีความคิดเห็น