ผู้หญิงผมยาวชุดนอนยาวสีขาว


     บ้านบางหลังคนเป็นๆอยู่ไม่ได้จริงๆ บางหลังเฮี้ยนสุดๆ ไม่ยอมให้คนเป็นๆอยู่เลย บ้านหลังหนึ่งที่เรากำลังจะเล่าพูดถึงนั้นเฮี้ยนสุดๆ เรื่องราวบ้านร้างที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่อาศัยจะเป็นอย่างไรนั้นลองไปติดตามรับฟังเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นจริงได้เลยครับ

    ก่อนที่ผมจะเริ่มลงมือเขียนเล่าประสบการณ์สยองขวัญเรื่องที่สองของตัวเอง ก็ให้บังเอิญว่าผมกลับนึกถึงเรื่องๆ หนึ่งเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาได้

    มันเป็นเรื่องของหนึ่งในบ้านเช่า ซึ่งห่างจากบ้านเช่าของผมไปทางต้นซอยเพียงห้าล็อคเท่านั้น บ้านที่เกิดเหตุหลังนี้เป็นบ้านที่ทุกคนในซอยและละแวกใกล้เคียงรู้จักกันเป็นอย่างดี ในนาม ‘บ้านเจ้า’ ซึ่งมาจาก ‘บ้านเจ้าที่’ นั่นเอง

    เรื่องนี้ต้องย้อนเวลากลับไปจากเรื่องเล่าเรื่องแรกอีกประมาณสองถึงสามปี ในเวลานั้นผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง เหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับผมแต่อย่างใด หากแต่บังเอิญว่าผมเป็นคนแรกๆ ในซอยที่ได้รับรู้เรื่องราวอันสุดแสนจะน่าขนลุกนี้

    บ้านที่ถูกเรียกว่า ‘บ้านเจ้า’ ไม่ใช่บ้านของคนทรงเจ้าเข้าผี หรือเจ้าขุนมูลนายที่ไหน เพราะอย่างที่เกริ่นไปในตอนแรกแล้วว่า คำนี้มาจาก ‘บ้านเจ้าที่’ มันเป็นบ้านที่ใช้สำหรับเก็บของ เครื่องมือเครื่องไม้ เครื่องเรือน และเครื่องประดับต่างๆ ของศาลเจ้าประจำซอยที่ผมอาศัยอยู่นั่นเองครับ

    หากคุณเคยอยู่ในชุมชน ซึ่งเป็นซอยเล็กๆ หรือเป็นกลุ่มคนเชื้อสายจีน ผมเชื่อว่าในซอยหรือชุมชนนั้นๆ น่าจะมีศาลเจ้าประจำซอยตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งอย่างแน่นอน ศาลเจ้านั้นเปรียบเสมือนศูนย์รวมใจของชาวชุมชน ทำให้ชาวชุมชนสามัคคีและเชื่อว่าท่านจะดลบันดาลความสงบสุขมาให้

    สิ่งที่ชาวชุมชนจะทำก็คือ จัดพิธีไหว้ศาลเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ปีละสองครั้งในช่วงต้นปีและท้ายปี การจัดในช่วงต้นปี เพื่อเป็นการขอพรจากท่านว่า ปีนี้ขอให้ท่านดูแลชาวชุมชนให้อยู่ดีมีสุขไปตลอดทั้งปี ส่วนการจัดในช่วงท้ายปี ก็เพื่อเป็นการขอบคุณที่ท่านช่วยดูแลพวกเรามาตลอดทั้งปีนั่นเอง

    ในระหว่างพิธีจะมีการจัดประดับประดาบริเวณหน้าศาลเจ้าจนดูอลังการและงดงามเป็นพิเศษ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือจำนวนมาก จำพวก โต๊ะ เก้าอี้ หลอดไฟ แล้วก็พวกชุดกระดาษที่เก็บไว้ในบ้านเจ้าก็จะถูกนำมาใช้ในงานนี้

    ในวันนั้นจะมีการจ้างหนังกางแปลงให้เข้ามาฉายในซอย อีกทั้งยังมีการจัดประมูลพวกของใช้และผลไม้ต่างๆ เพื่อให้นำของศาลเจ้ากลับไปกินไปใช้ ให้เป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง และก็เพื่อที่จะนำเงินที่ได้จากการประมูล มาใช้ทำนุบำรุงศาลเจ้า และจัดงานครั้งต่อไป

    ตอนยังเด็ก ผมชื่นชอบและตื่นตากับงานไหว้ศาลเจ้ามาก เพราะทั่วทั้งซอยที่เคยอึมครึมน่ากลัว จะสว่างไสวไปด้วยแสงจากหลอดไฟฟ้า ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่ไปหมด พ่อค้าแม่ค้าต่างถิ่นก็นำของกิน ของเล่นมาขายกันเต็มไปหมดจนกว่างานจะเลิก ซึ่งก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนไปแล้ว

    คนมากมายจากซอยอื่น และชุมชนอื่น จะเดินทางมาดูหนังกางแปลง ซอยทั้งซอยที่เคยโล่งโจ้งจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนจนแทบเดินไม่ได้กันเลยทีเดียว

    ในสมัยนั้น ตัวผมเองก็มีความสงสัยอยู่ไม่น้อย ว่าเหตุใดบ้านที่ถูกเรียกว่า ‘บ้านเจ้า’ หลังนี้ จึงไม่มีผู้เข้ามาอยู่อาศัยแบบถาวรเหมือนบ้านหลังอื่นๆ อีกทั้งแม้จะมีผู้เช่าเข้ามาอยู่ ก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน และหลายๆ ราย อยู่เพียงไม่กี่วันก็เห็นย้ายออกไปเสียดื้อๆ

    และการที่บ้านถูกเปลี่ยนมือบ่อย ทำให้มันขาดการดูแล ทำนุบำรุง อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นบ้านใกล้เรือนเคียง หรือแม้แต่คนที่ได้เดินผ่าน ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่า บ้านหลังนี้ดูทรุดโทรม และถูกทาทับด้วยบรรยากาศอึมครึมแปลกๆ กว่าบ้านหลังอื่น

    หลายๆ ครั้ง ในเวลากลางคืนที่ผมต้องเดินผ่านบ้านเจ้าหลังนี้เพื่อออกไปปากซอย ผมอดไม่ได้ที่จะลอบชำเลืองมองผ่านม่านประตูเหล็กเลื่อนที่ซี่เหล็กถูกกัดกร่อนโดยสนิมจนเสียสภาพไปมากแล้ว

    ภายในบ้านนั้นมืดมิด ความรู้สึกอับชื้นชวนอึดอัดแผ่พุ่งออกมาจนรู้สึกไม่ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าในบ้านปราศจากเงาร่างสิ่งมีชีวิต แต่ผมก็กลับขนลุกให้กับความว่างเปล่านั้น

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ญาติของผมเป็นผู้เข้ามาเช่าบ้านเจ้าหลังนี้ โชคดีที่เขาไม่ได้อยู่เอง เพราะเช่าให้เหล่าบรรดาคนงานของเขาอยู่

    เมื่อคนงานเริ่มย้ายเข้ามาในบ้านเจ้าหลังนี้ อุปกรณ์การทำงานต่างๆ ก็เริ่มทะยอยถูกขนเข้ามาจัดเก็บไว้ ดังนั้น อุปกรณ์ของศาลเจ้า ซึ่งแต่เดิมจะถูกเก็บไว้ในหีบเหล็กที่มีลักษณะคล้ายโลงศพ แต่น่าจะใหญ่กว่าอย่างน้อยสองเท่า ที่เคยวางไว้อยู่บริเวณชั้นล่างก็ถูกย้ายขึ้นไปไว้บนชั้นสองแทน

    เป็นที่รู้กันว่าคนงานเหล่านี้ จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเจ้าหลังนี้แต่เพียงชั้นล่างเท่านั้น ไม่ว่าจะกิน นอน ทำงาน หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการจะทำ โดยพวกเขาจะปล่อยให้ชั้นสองร้างผู้คนไปอย่างนั้น

    เช้ามืดวันหนึ่งในฤดูหนาว ท้องฟ้าที่เคยมืดสลัวเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเริ่มมีแสงให้เห็นรำไรบ้างแล้ว อากาศในวันนั้นหนาวเย็นจับใจจนต้องใส่เสื้อกันหนาวไปโรงเรียน ผมเดินผ่านบ้านเจ้าหลังนี้เพื่อไปเรียนตามปกติดังเช่นทุกวัน

    และมันก็คงจะเหมือนทุกวันจริงๆ ถ้าไม่เพียงแต่ว่าวันนี้ ผมกลับเห็นคนงานคนหนึ่งของญาติผมนั่งอยู่ที่หน้าบ้านเจ้า สภาพของเขาคนนั้น ไม่ต้องสังเกตอะไรเลยก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรไม่ปกติเกิดขึ้น

    ทั้งๆ ที่อากาศหนาวเย็น แต่เขากลับใส่เพียงแค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว ร่างกายเปลือยเปล่าท่อนบนถูกห่มด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเพื่อนข้างบ้านเอามาให้ห่มในภายหลัง

    เขานั่งกอดอก หน้าซีด ตัวสั่น และที่สำคัญ เส้นผมบนหัวของเขาชี้ตั้งเด่ไม่ต่างไปจากหนังผีที่ผมเคยดูมาก่อนเลย

    ในเวลานั้น ประตูซี่เหล็กของบ้านเจ้าถูกปิดงับไว้ ภายในบ้านยังมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าลอดออกมาให้เห็นอยู่

    ผมนึกแปลกใจที่เห็นเขามีสภาพแปลกๆ และในขณะที่กำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็บังเอิญว่าเพื่อนของผมซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน และอยู่บ้านหลังที่ติดกับบ้านเจ้าหลังนี้ออกมาพอดี

    ในระหว่างที่พวกเราเดินเท้าไปโรงเรียนด้วยกัน ทุกข้อสงสัยก็เฉลยออกจากปากของเจ้าเพื่อนผมคนนี้นี่เอง เขาเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเหล่าคนงานในบ้านเจ้าจริงๆ

    เมื่อคืนที่ผ่านมา...

    แม้จะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว แต่เหล่าคนงานทั้งห้าคนก็ยังทำงานกันอยู่ งานงวดนี้เป็นงานด่วน และพวกเขาต้องเร่งมือเพื่อให้ทันส่งของในวันพรุ่งนี้ ไม่มีใครหยุดมือ ต่างคนต่างตัดสินใจว่าต้องทำจนกว่าจะเสร็จ แม้จะต้องอยู่กันจนรุ่งสางก็ตามที

    ประตูบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ เสียงตอกโป๊กเป๊กดังเป็นระยะ ไม่มีใครคุยเล่นกับใครสักเท่าไหร่นัก ต่างคนต่างก้มหน้าทำงานของตัวเองอย่างจดจ่อจนกระทั่งหลงลืมเวลา ในขณะนั้น จู่ๆ แสงสว่างในบ้านจากหลอดไฟฟ้าก็ดับพรึ่บลงพร้อมๆ กัน

    ทุกคนในนั้นต่างตกใจ และหยุดมือกับงานตรงหน้าพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย มองซ้ายขวาเลิกลั่กด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ไม่ได้ปิดประตูบ้าน แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจึงยังพอทำให้มองเห็นอะไรๆ ในความมืดสลัวได้บ้าง

    สักพักหนึ่ง เมื่อสายตาเริ่มปรับสภาพให้เคยชินกับความมืดได้แล้ว แต่ละคนจึงเริ่มขยับตัวควานหาอะไรก็ตามที่พอจะให้แสงสว่างได้บ้าง จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งจุดเทียนไขได้สำเร็จ

    แสงสีเหลืองนวลตา ที่บางครั้งก็จุดเพื่อเพิ่มความโรแมนติกให้กับบรรยากาศ แต่สำหรับครั้งนี้มันไม่ใช่ เปลวไฟวูบไหว ก่อให้เกิดการกระเพื่อมเคลื่อนไหวของเงายักษ์ที่ทอดตัวไปตามพื้นและกำแพงบ้าน

    คนงานคนหนึ่ง ซึ่งก็คือคนที่นั่งอยู่หน้าบ้านในตอนเช้ามืดที่ผมเห็น เป็นคนที่นั่งอยู่ที่ด้านในสุดของตัวบ้าน และเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับบันไดไม้ขึ้นไปบนชั้นสองที่สุด เขาสอดส่ายสายตาสำรวจไปมา และในจังหวะหนึ่งเขาก็บังเอิญเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล

    ที่เห็นนั้นคือชายผ้าสีขาว โบกสะบัดพลิ้วไหวอยู่บริเวณที่พักบันได ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาก็กลับเลื่อนสายตาไล่มอง และยิ่งเพ่งฝ่าไปในความมืดเพื่อให้มั่นใจขึ้น และนั่นเอง ทำให้เขาพบว่าผ้าสีขาวที่เห็นคือชุดนอนยาว และผู้ที่สวมใส่มันอยู่เป็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง

    หญิงปริศนาจากชั้นสองคนนั้น กำลังหันมองมายังพวกเขาที่กำลังนั่งตัวแข็งกันอยู่ และที่สำคัญกว่า คือ เธอค่อยๆ ลอยตัวลงมาอย่างเชื่องช้า เขาแน่ใจว่าลอย เพราะเดินบนบันไดไม้ผุๆ ยังไงก็ต้องมีเสียงไม้ แต่นี่ไม่มีเสียงอะไรดังเลย

    เขาอยากจะวิ่งหนีแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันสั่งไม่ได้อย่างใจ เรี่ยวแรงหดหายเหมือนคนกล้ามเนื้ออ่อนแรง เขาบอกว่าแค่จะละสายตาออกจากเธอคนนั้น ก็ยังทำไม่ได้เลย

    ในขณะที่จ้องอยู่ หญิงปริศนาก็ลอยตัวลงมาจนสุดขั้นบันได และยังคงเคลื่อนตัวต่อมาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามา ใจเต้นแรง อยากจะเป็นบ้า หรือสลบไปให้รู้แล้วรู้รอด เขารู้สึกว่ากำลังครองสติเอาไว้ไม่อยู่

    หญิงในชุดขาวกำลังเคลื่อนตัวผ่านห้องน้ำ และกำลังจะเข้าประชิดตัวเขาในอีกไม่กี่อึดใจที่จะถึง

    แล้วจู่ๆ ไฟฟ้าที่ดับไปก่อนหน้านี้ ก็ติดสว่างขึ้นมาเสียดื้อๆ...

    ผู้หญิงคนนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา

    ต่อจากนั้นก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างวิ่งหนีไปคนละทางอย่างไม่คิดชีวิต ก็เหลือเพียงคนงานคนนี้ที่อยู่ในระยะประชิดกับสาวปริศนาจากชั้นสองมากที่สุดนั่นล่ะ ที่วิ่งหนีไม่ไหว เลยพยายามพาตัวเองออกมานั่งอยู่ที่หน้าบ้านจนกระทั่งสว่าง

    เพื่อนของผมซึ่งอยู่บ้านติดกัน ได้ยินเสียงอึกทึกที่เกิดขึ้นนี้ตอนประมาณตีสี่ เลยออกมาดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพบว่าคนงานคนนี้นั่งตัวสั่นอยู่หน้าบ้านนั่นเอง เขาจึงกลับไปเอาผ้าขนหนูมาให้ห่ม และนั่งอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเวลาอาบน้ำ แต่งตัว ไปโรงเรียน

    เมื่อมีคนถามถึงหน้าตาของหญิงสาวปริศนา แต่ละคนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับตอบแค่ว่า จำไม่ได้ เพราะกลัวมากจนไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย

    และในที่สุด บ้านเจ้าหลังนี้ก็ถูกปิดลงอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่คนงานกลุ่มนี้ย้ายออกไปอยู่หลังอื่น

    เรื่องนี้ถูกเล่ากันเป็นวงกว้างในหมู่ชาวซอยละแวกนั้น ในช่วงเวลานั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเบาะแสไหนจะสาวไปถึงได้ ว่าหญิงสาวปริศนาคนนี้น่าจะเป็นใคร มาปรากฏตัวทำไม เพราะตั้งแต่ผมอยู่ซอยนี้มา ก็ยังไม่เคยได้ข่าวว่ามีใครเคยเจอเคยเห็นเธอมาก่อน

    ในขณะนั้น ผมเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะผมก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่เหตุการณ์ที่ได้รับรู้ในวันนั้น ก็ทำให้ผมซึ่งค่อนข้างกลัวเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งหวาดระแวงมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเดินผ่านบ้านหลังนี้ในเวลาค่ำคืน

    ลึกๆ แล้ว ผมไม่คิดว่าคนงานคนนั้นจะโกหก เขาคงเจออะไรบางอย่างที่น่ากลัวอย่างที่สุดดังที่เขาบอกจริง เพราะอย่างน้อยสีหน้าของเขามันก็แสดงออกมาแบบนั้นอย่างชัดเจน

    อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจ ก็คือ เส้นผมของเขา ที่มันตั้งชันขึ้นมาจริงๆ เหมือนคนใช้เจลใส่ผมไม่มีผิด

    เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมได้รู้ว่า คำพูดที่ว่า ‘กลัวจนขนหัวลุก’ มันเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น