คืนวันปล่อยผี


     วันพระ คือวันปล่อยผี  วันสำคัญทางศาสนานี่ที่นรกเค้าหยุดทำงานกัน  หยุด การทรมาน ต่างๆ สำหรับผู้ที่ต้องอยู่ในแดนนรก ท่านพญายมราช ท่านศิริพุตอำมาต และ นายนิรมานทุกท่าน ตอนอยู่นรกควบคุมผู้คนนี่ท่านน่ากลัว แต่พอวันสำคัญท่านจะมีร่างทิพย์สง่างาม แล้วก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน รวมเทวดาทุกชั้น พรมหทุกชั้น นางฟ้าทุกชั้นต่างเข้าเฝ้าพุทธองค์หมด เรียกว่าฟ้าเปิด ที่เมืองมนุษย์ก็มีการทำบุญเวียนเทียน ใส่บาตรพระ ฟังเทศน์ฟังธรรมกัน ช่วงที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่ เทวดาไม่ได้เฝ้านี่ เหล่าวิญญาณทั้งหลายก็ออกขอส่วนบุญกันละ  จึงได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัสกันต่าง ๆ นา ๆ  ตามวัดก็มีแต่ผู้คนมาทำบุญกัน เหล่าวิญญาณก็มาโทนาบุญกัน แต่มีผู้คนกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสตอนที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่ เทวดาไม่ได้อารักขา  เล่นปล่อยของไปทำร้ายศัตรู หรือ เห็นแก่เงินรับจ้างไปทำร้ายผู้อื่นด้วยอวิชชา จึงมีที่มาว่าด้วยพอวันพระของร้อนต้องปล่อยออก ที่จริงไม่ใช่หรอกมันเล่นทีเผลอ และผู้ที่มันหวังทำร้ายกำลังสร้างบุญกุศลอยู่กำลังสวดมนต์ไหว้พระอยู่ ก็จะไม่เป็นไร แต่ถ้ามัวเมาอยู่ในกิเลส กินเหล้า ดูหนังฟังเพลงเฮฮาปาร์ตี้ อาจเสร็จมัน ปัจจุบันยังคงมีคนโดนของอยู่เสมอ แม้ว่าโลกจะเจริญขนาดไหนก็ตาม ซึ่งคุณตาได้เล่าให้ฟังว่าในตอนกลางคืน หากได้ยินเสียงอะไรห้ามทักโดยเด็ดขาดเพราะของที่คนชั่วหรือผู้เรืองอาคมปล่อยมาอาจเข้าตัวได้โดยไม่ตั้งใจ  เป็นคืนที่เราๆมักจะเจอผีวิญญาณ  ออกมาเผยตัวให้เห็นกันเป็นประจำ เรียกได้ว่าพอถึงวันพระทีไรคนมีเซนส์ เจอประจำผีเปรด วิญญาณมากมาย ล้วนออกมามากมายในวันปล่อยผี เรื่องจริงต่อไปนี้สมัยที่คุณยุทธยังเป็นเด็กมีอาชีพทำสวนมะพร้าว คืนวันพระเขาต้องขนมะพร้าว และเกิดเหตุการณ์กับเขาลองไปติดตามกันเลย

     เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่คุณยุทธยังเป็นเด็กอายุแค่ 12 ปีเท่านั้นในสมัยนั้นทางบ้านของคุณยุทธมีอาชีพทำสวนมะพร้าว ทุก 4-5 เดือนผลผลิตคือมะพร้าว ก็แก่เต็มที่ จึงต้องมีการไปเก็บเอามาขายแต่สมัยก่อนนั้นถนนหนทางการคมนาคมยังไม่สะดวกสบายเหมือนในสมัยนี้ อีกอย่างสวนมะพร้าวที่บ้านคุณยุทธนั้นก็อยู่ไกลจากที่พักอาศัยพอสมควรทีเดียว การเดินทางโดยใช้รถยนต์นั้นเป็นไปไม่ได้เลยครับเพราะถนนยังเข้าไม่ถึง รอบๆข้างทางก็เป็นสวนมะพร้าวหมด การขนส่งเลยต้องใช้เรือแทน 

                เย็นวันหนึ่งหลังจากเด็กชายยุทธเลิกเรียนแล้วกลับบ้าน พี่ชายก็เดินตรงมาบอกว่า "วันนี้เอ็งต้องไปช่วยพี่ขนมะพร้าวนะเพราะคราวนี้ผลมะพร้าวออกมาเยอะมาก เรือ 2 ลำ ขนไม่หมด" ประมาณ 4 โมงเย็นทุกคนก็ออกเดินทาง มีเรือไปทั้งหมด 3 ลำโดยที่มีคุณแม่และคุณน้าของเด็กชายยุทธพายไปด้วย 1 ลำ, คุณป้า 1 ลำ และลำสุดท้ายก็คือเด็กชายยุทธกับพี่ชายนั่นเองทุกคนพายเรือมาตามแม่น้ำจนถึงปากคลองแห่งหนึ่ง ซึ่งคลองนี้เป็นคลองที่เป็นทางลัดทำให้ประหยัดเวลาได้พอสมควร
เด็กชายยุทธและพี่ชายพายเรือเข้ามาในคลองเป็นลำรั้งท้าย ประมาณ 200 ม. จะเจอร้านค้าริมน้ำอยู่ร้านหนึ่งเป็นร้านของคุณน้าของเด็กชายยุทธนั่นเอง ลักษณะก็เป็นร้านค้าธรรมดานี่แหละ เพียงแต่มีการปลูกยื่นลงมาที่ริมน้ำนิดหน่อยที่ริมฝั่งบนร้านนั้นก็จะมีบรรดาลุงๆ ป้าๆ น้าๆ ที่เด็กชายยุทธรู้จักและคุ้นหน้ากันดีนั่งคุยกันอยู่ อยู่ดีๆน้าคนหนึ่งในวงแกชื่อว่าน้าอ๊อดก็ทักเด็กชายยุทธขึ้นมาแบบแปลกๆว่า "เห้ย ขากลับระวังโดนผีหบอกนะโว้ย!!! วันนี้วันพระ เขาปล่อยผีกัน!!!" แล้วพวกน้าๆก็หัวเราะกันทั้งวง เนื่องจากรู้ดีว่าเด็กชายยุทธนั้นกลัวผี 

                จริงๆแล้วทีแรกเด็กชายยุทธก็ไม่ได้กลัวอะไรเพราะคิดว่าพวกน้าๆคงจะล้อเล่น แต่บรรยากาศของวันนั้นมันน่าขนลุกจริงๆเด็กชายยุทธและพี่ชายก็พายเรือต่อไปอักเรื่อยๆ อีกสักพักก็มาถึงชายทางโค้งของลำคลอง ตรงช่วงนี้มีบ้านอยู่หลังหนึ่งเป็นบ้านหญิงชราชื่อว่ายายแจ่ม แกเป็นคนไม่มีญาติ อาศัยอยู่คนเดียว มีเพื่อนก็คือหมาแค่ 2 ตัวเท่านั้น บรรยากาศตรงบ้านของแกน่ากลัวมากลองนึกถึงบ้านในหนังเรื่องบ้านผีปอบ แบบนั้นเลย ตรงหน้าบ้านแกจะมีกอไผ่ใหญ่อยู่ 1 กอ เวลากลางคืนพายเรือผ่านทีไรมีลมพัดมาเสียงไผ่จะเสียดสีกันดังมากน่าขนลุกทีเดียว พอเรือที่พายกำลังจะถึงหน้าบ้านแกนั้น หมาของยายแจ่งก็วิ่งตรงมาที่หัวสะพานแล้วเห่าเหมือนทุกครั้ง เด็กชายยุทธจึงเตรียมลูกมะพร้าวลูกเล็กๆจะเอาไว้ปาไล่หมา แต่ว่าวันนั้นขว้างออกไปเกิดพลาดลูกมะพร้าวลูกนั้นกระดอนไปโดนข้างในบ้านดัง ปัง!! จากนั้นเด็กชายยุทธก็ได้ยินเสียงคนดังลอดออกมาจากตัวบ้านเป็นเสียงเหมือนครางในลำคอ "อือ.. อือ.." เด็กชายยุทธจึงหันไปบอกพี่ชายให้รีบพายไปเร็วๆ เดี๋ยวยายแจ่มออกมาด่าเอาแต่ว่าพี่ของเด็กชายยุทธกลับหัวเราะแล้วพูดว่า "ยายแจ่มจะมาด่าเอ็งได้ยังไง ก็แกเสียไปเมื่อเดือนที่แล้ว เอ็งไม่รู้หรอ"
เด็กชายยุทธได้ฟังก็ถามว่า "เมื่อกี้นี้ไม่ได้ยินเสียงหรอ" พี่ชายจึงตอบว่า "เสียงอะไรข้าไม่เห็นได้ยินเลย" แล้วก็บอกให้เด็กชายยุทธรีบพายเรือเร็วๆเข้า เดี๋ยวจะมืดกันพอดี เด็กชายยุทธจึงเลิกสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหันไปพายเรือต่อแต่ในใจก็ยังกลัวๆอยู่

                ทุกคนพายเรือกันต่อไปอีกประมาณ 1 ชม.ก็มาถึงสวน แล้วก็รีบช่วยกันขนมะพร้าวลงเรือเพราะกลัวว่าขากลับจะมืดกว่าทุกอย่างจะเสร็จก็ประมาณ 6 โมงครึ่งแล้ว ฟ้าเริ่มมืด เด็กชายยุทธจึงนำตะเกียงที่เตรียมไว้ออกมาจุดแล้วรีบออกเดินทางกลับขากลับก็ยังเหมือนเดิมคือเด็กชายยุทธกับพี่ชายพายเรือกันเป็นลำปิดท้าย ทุกคนพายเรือย้อนกลับไปตามทางเดิมที่มาแต่ขากลับนี้มีมะพร้าวขนมาเต็มลำเรือ จึงทำให้การเดินทางช้าลงกว่าตอนขามา เรือ 2 ลำด้านหน้านั้นขนน้อยกว่าลำของเด็กชายยุทธ
จึงค่อยๆพายห่างออกไปเรื่อยๆ บรรยากาศในตอนขากลับนั้นไม่เหมือนตอนขามา เนื่องจากแสงอาทิตย์ได้ลับหายไปแล้ว มีแต่เพียงแสงของตะเกียงเท่านั้นที่นำทางไป สองข้างทางนั้นเป็นป่า ต้นจาก และสวนมะพร้าวเท่านั้น แทบจะไม่มีแสงสว่างจากบ้านคนให้เห็นเลย ทั้งสองคนพายเรือกันมาสักพักก็มาถึงแถวๆทางโค้งบ้านยายแจ่มอยู่ดีๆก็มีลมพัดมาอย่างแรงจนต้นจากที่อยู่ริมคลองเอนไปมา พักเดียวลมก็หยุดนิ่งไปเฉยๆ แล้วจู่ๆทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเหมือนลูกมะพร้าวตกลงไปในน้ำ ดัง ตูม!!! เสียงมันเหมือนเสียงที่ตกลงมาหลายลูกมาก แต่ที่ผิดสังเกตคือ ผืนน้ำไม่มีการกระเพื่อมแม้แต่นิดเดียว ทั้งคู่ถึงกับชะงัก หยุดพายเรือเพื่อมองว่าเป็นอะไรกันแน่ แล้วเด็กชายยุทธก็เกิดหลุดปากทักออกไป"เสียงอะไรวะ" พี่ชายก็ด่าว่า "ไอ้เว ร กลางค่ำกลางคืนเขาห้ามทักอะไรส่งเดช เอ็งนี่สอนไม่จำ" 

                ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่นั้นเรือก็ลอยไปตามกระแสน้ำจนถึงกอไผ่หน้าบ้านของยายแจ่ม หมาที่อยู่ในบ้านของแกอยู่ดีๆก็หอนขึ้นมากันเกรียวเลย เด็กชายยุทธก็มองไปตามที่มาของเสียงก็คือบ้านของยายแจ่มนั่นแหละ พอแสงของตะเกียงในเรือสาดไปโดนสิ่งที่เด็กชายยุทธเห็นทำเอาเกือบช็อค ก็คือ เห็นร่างของผู้หญิงชราผมขาวโพลนทั้งหัว นั่งอยู่ตรงหัวบันได แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองทั้งคู่ หน้าตาของแกนั้นขาวซีด ดวงตาลึกแต่ไม่มีลูกตา แล้วอยู่ดีๆแกก็ยกมือขึ้นมา ชี้นิ้วมาที่ทั้งคู่ ในขณะนั้นเด็กชายยุทธก็สติแตกแหกปากร้องดังลั่น ในขณะที่เด็กชายยุทธตกใจไม่ได้สติอยู่นั้น พี่ชายก็รวบรวมสติได้ก่อน รีบตะโกนบอกให้เด้กชายยุทธใชเย็นๆแล้วรีบช่วยกันพายเรือออกจากจุดนั้นให้เร็วที่สุด แต่เนื่องจากความเป็นเด็ก เด็กชายยุทธหลังจากได้ยินเสียงของพี่ชายแล้วตั้งใจสติไม่ได้ รีบลุกขึ้นจากเรือ วิ่งไปหาพี่ชาย ในจังหวะนั้นก้าวพลาดทำเอาเรือทั้งลำถึงกับล่ม เรือพลิกคว่ำลงทั้งสองคนเลยตกลงไปในน้ำ ทั้งคู่รีบตะเกียดตะกายว่ายเข้าริมตลิ่งฝั่งตรงกันข้าม ทั้งสองคนพากันวิ่งหนีไปตามสวนมะพร้าว
ท่ามกลางความมืด ในระหว่างที่วิ่งหูก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะตามหลังมาอีก ทั้งคู่วิ่งจับมือกันแน่นเพราะกลัวจะพลัดจากกันไม่มีใครกล้าหันไปมองข้างหลัง 

                พี่ชายพาเด็กชายยุทธวิ่งไปตามทางสวนมะพร้าว อาศัยว่าทางแถวนี้ทั้งคู่พอชำนาญอยู่แล้ว ในระหว่างที่วิ่งอยู่นั้นเสียงหัวเราะก็ยังดังอยู่ไม่ขาดสาย จนทั้งคู่วิ่งทะลุมาถึงร้านค้าบ้านของคุณน้าที่กล่าวถึงไปข้างต้น พอถึงเด็กทั้งสองคนก็รีบเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผู้ใหญ่ในบ้านฟัง หลังจากนั้นคุณน้าก็ให้ลูกน้องกลับไปเก็บเรือที่คว่ำอยู่ แล้วพาเด็กทั้งคู่ไปส่งที่บ้านแม่พอตอนเช้าคุณแม่ก็พาเด็กชายยุทธไปไหว้ขอขมายายแจ่มที่หน้าโกศที่อยู่ที่วัด เพราะคิดว่าที่ยายแจ่มแกมาหลอกน่าจะเป็นเพราะเด็กชายยุทธเอาลูกมะพร้าวไปปาหมาแล้วไปโดนบ้านของแก แกอาจจะโกรธ เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้...


ไม่มีความคิดเห็น