เรื่องลี้ลับธุดงค์ป่า


     เรื่องราวและเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในช่วงที่คุณพงษ์ยังบวชเรียนเป็นพระได้ติดตามพระอาจารย์ออกธุดงค์  ธุดงค์ เป็นวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ไม่มีการบังคับ แล้วแต่ผู้ใดจะสมัครใจปฏิบัติเป็นอุบายวิธีกำจัดขัดเกลากิเลส ทำให้เกิดความมักน้อยสันโดษยิ่งขึ้น ไม่สะสม เพื่อให้เบาสบายไปมาได้สะดวกด้วยไม่มีภาระมาก เหมือนนกที่มีเพียงปีกก็บินไป มิใช่เพื่อสะสมหรือเพื่อลาภสักการะและชื่อเสียง ถ้าทำเพื่อลาภ เพื่อชื่อเสียง ต้องอาบัติทุกกฎ  สมัยนั้นเป็นปี พ.ศ. 2542 ยังมีป่าอยู่เยอะมากไม่เหมือนกับสมัยนี้ พงษ์ได้เดินตั้งแต่จังหวัดฉะเชิงเทรามุ่งหน้าไปสู่อิสาน เดินแบบไปกันเรื่อยๆ ค่อยๆไป ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั่น เดินธุดงค์เป็นเวลา 2 เดือนเห็นจะได้ จนกระทั่งไปถึงจังหวัดสุรินทร์เป็นเวลาค่ำของวันหนึ่ง แล้วพระอาจารย์ท่านได้เลือกทำเลปักกลดที่นั่นที่ซึ่งเป็นวัดร้างวัดหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์

     พอตกค่ำหลังจากพระภิกษุทั้ง 2 รูปทำวัตรสวดมนต์เสร็จก็มีผู้ใหญ่บ้านมากับลูกบ้าน 4-5 คน เข้ามากราบนมัสการพระอาจารย์แล้วก็พูดว่า "นมัสการพระอาจารย์ทั้งสอง ดีเหลือเกินแถวนี้ไม่มีพระมาโปรดญาติโยมชาวบ้านนานมากแล้ว" เนื่องจากสมัยนั้นทางภาคอีสานวัดจะร้างเยอะ พระก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนสมัยนี้สักเท่าไหร่ แล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามต่อไปว่าพระอาจารย์นั้นจะมาโปรดโปรดญาติโยมอยู่สักกี่วัน พระอาจารย์ก็ตอบไปว่าถ้าสถานที่และบรรยากาศสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมก็อาจจะอยู่สัก 2-3 วัน เนื่องจากเดินธุดงค์มานานมากแล้วก็อยากพักปฏิบัติสักทีผู้ใหญ่บ้านนั้นก็โมทนาสาธุแล้วก็พูดอีกว่า "เดี๋ยวผมกลับไปจะได้ให้ลูกบ้านไปป่าวประกาศบอกกับชาวบ้านว่ามีพระมาโปรดญาติโยมอยู่บริเวณนี้
จะได้มาทำบุญใส่บาตรกัน" ว่าแล้วคนทั้งหมดก็ขอตัวลากลับไป

             พระทั้งสองรูปก็ปฏิบัติกันต่อทั้งนั่งสมาธิและเดินจงกรม จนเวลาถึงประมาณเที่ยงคืนก็เข้ากลดจำวัดกันเพื่อที่ว่าตี 4 ตรงจะต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์ คืนแรกนั้นก็ผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงตี 4 เช้าก็ตื่นมาทำวัตรสวดมนต์แล้วก็ปฏิบัติกันจนเกือบๆ 6 โมง พระภิกษุทั้ง 2 รูปก็เตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาต แต่ว่าพระอาจารย์นั้นบอกว่า "วันนี้ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก เดี๋ยวนั่งรออีกสักพักชาวบ้านก็จะมาทำบุญที่นี่เอง"แล้วท่านพระอาจารย์ก็พูดต่อไปว่า "ท่านจำเอาไว้นะ เดี๋ยวตอนที่ชาวบ้านมาทำบุญใส่บาตรเรากันนั้น ท่านจงสังเกตเอาไว้ให้ดี จะมีหญิงวัยกลางคนอยู่ 2 คนที่จะแต่งตัวไม่เหมือนคนในพื้นที่นี้ และกับข้าวที่จะนำมาถวายเรานั้นก็จะไม่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปบริเวณนี้" พระพงษ์ซึ่งตอนนั้นก็
บวชได้แค่เดือนเดียวได้แต่รับฟังสิ่งที่พระอาจารย์นั้นบอก แต่ท่านอาจารย์ก็บอกต่อไปว่า "ถ้าหญิงวัยกลางคนสองคนนี้เขานำข้าวหรือว่ากับข้าวเข้ามาประเคนเราก็ต้องรับนะท่าน ไม่ว่าเขาจะมาดีหรือว่ามาร้ายเราก็ต้องรับประเคนเอาไว้ก่อน" พระพงษ์ได้ฟังแบบนั้นก็ตกปากรับคำพระอาจารย์

            เวลาก็ผ่านไปล่วงเข้า 7 โมงเช้าก็เริ่มจะมีชาวบ้านทยอยกันหิ้วกระติ๊บกันบ้าง ปิ่นโตบ้าง เข้ามาใส่บาตร สมัยนั้นทางภาคอีสานชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะแต่งตัวกันแบบที่เราสามารถบอกได้ว่าชาวบ้านอีสานแถวนั้นจะแต่งกายคล้ายกันหมด และตามที่พระอาจารย์ได้ให้ข้อสังเกตเอาไว้ ว่าจะมีหญิง 2 คนที่แต่งกายไม่เหมือนชาวบ้าน พระพงษ์ก็ได้สังเกตเห็นมีผู้หญิงอยู่ 2 คนซึ่งแต่งกายดูดีมาก อายุสังเกตได้ไม่น่าจะเกินสัก 50 ปีเธอทั้งสองใส่กางเกงคล้ายกางเกงสแล็ค เสื้อยืดคอกลมธรรมดา ผิดกับหญิงชาวบ้านคนอื่นๆซึ่งแต่งตัวส่วนใหญ่นุ่งผ้าถุงกันแทบทุกคน ดูแล้วเธอทั้งคู่ก็น่าจะเป็นคนที่ท่านพระอาจารย์ได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ พระพงษ์ก็ได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจเนื่องจากชาวบ้านมากันพร้อมแล้วและผู้ใหญ่บ้านก็เริ่มการอาราธนาศีลเพื่อที่จะรับศีลกันต่อไป

            พอเสร็จจากการให้ศีลให้พร ชาวบ้านก็กล่าวถวายภัตตาหารเสร็จ ถึงการเข้ามาประเคนข้าวและกับข้าวที่ชาวบ้านนำมาใส่บาตรทำบุญส่วนใหญ่นั้นจะเป็นข้าวเหนียวและปลาตามท้องนา พอถึงคราวของผู้หญิง 2 คนที่แต่งตัวไม่เหมือนคนแถวนี้ เข้ามาประเคนกับพระพงษ์คนหนึ่งเข้าไปประเคนกับพระอาจารย์อีกคนหนึ่ง พระพงษ์ได้สังเกตอาหารที่เธอนำมาถวายนั้นเป็นข้าวสวยธรรมดาซึ่งยังมีควันขึ้นอยู่ เหมือนกับว่าเพิ่งหุงมาใหม่ๆ ส่วนกับข้าวก็เป็นผัดกระเพราหมู ต้มจืดวุ้นเส้น แล้วก็ไก่ทอด อาหารนั้นไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นเลย แล้วหญิงคนที่ประเคนให้กับพระอาจารย์นั้นก็พูดขึ้นมาว่า "พระอาจารย์ไม่ใช่พระพื้นที่นี้ คงฉันพวกข้าวเหนียวกันไม่ค่อยชินค่ะ ดิฉันก็เลยทำอาหารภาคกลางมาถวาย" พระ-
อาจารย์ท่านก็ได้ตอบกลับไปว่า "อาหารที่โยมนำมาถวายพระนั้น อาตมาเลือกฉันไม่ได้หรอกโยม ใส่ข้าวเหนียวหรือว่าใส่บาตรอะไรมาก็ต้องฉันไปตามนั้น" ว่าแล้วพระอาจารย์ท่านก็เอ่ยกับชาวบ้านว่า "เอ้าโยม เสร็จแล้วก็มารับพรกันก่อนเลยจะได้ไม่ต้องมานั่งรอพระฉันเสร็จ" หลังจากให้พรแล้วญาติโยมทั้งหลายก็ลากลับไป

             พระอาจารย์ท่านก็เริ่มฉันข้าวแล้วก็พูดว่า "ท่านอย่าได้ไปฉันกับข้าวที่สีกาสองคนนั้นถวายมาเด็ดขาด พระพงษ์ก็ถามด้วยความสงสัยว่า"ทำไมครับ" พระอาจารย์ท่านก็ตอบว่า "คอยดูไปแล้วกัน เราจะเทกับข้าวรวมกันเข้าไว้ในบาตร แล้วจะนำไปตั้งไว้ในลานหน้าที่ปักกลดกลางแจ้งพอตอนค่ำๆ ทำวัตรเสร็จ ท่านก็จงไปดูที่บาตรว่ามีอะไร" พระพงก็ตอบรับคำพร้อมกับเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วก็นั่งฉันภัตตาหารเสร็จแล้วก็เห็นพระอาจารย์เทกับข้าวและข้าวของสีกาทั้งสองคนนั้นลงไปในบาตรของพระอาจารย์เอง พอท่านฉันเสร็จก็นำไปวางเอาไว้กลางแจ้ง ตกเย็นพอถึงเวลาทำวัตรสวดมนต์เสร็จเวลาประมาณเกือบจะ 1 ทุ่ม พระพงษ์ก็ได้เดินไปดูพร้อมกับนำไฟฉายส่องไปที่บาตร พระพงษ์ก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากในบาตรของพระอาจารย์ที่เมื่อเช้าเทกับข้าวของหญิงทั้งสองคนทิ้งเอาไว้นั้น โดยที่ตลอดวันก็ไม่ได้มีใครเดินเข้าไปใกล้บาตรเลย ในเวลานี้เต็มไปด้วยเม็ดทรายแล้วก็ตะปูตัวเล็กๆเต็มไปหมด

             พระพงษ์นั้นถึงกับอึ้ง รีบเดินกลับไปหาพระอาจารย์ที่ตอนนี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ในกลด พระพงษ์นั้นยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร พระ-อาจารย์ก็กล่าวออกมาก่อนว่า "เขาไม่ชอบเรานะท่าน เขากลัวว่าเราจะมาทำร้ายหรือว่าทำลายการทำมาหากินของเขา เขาโกรธ แล้วคืนนี้ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร หรือว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ตาม ท่านห้ามออกมานอกกลดเด็ดขาด" พระพงษ์ได้ฟังคำที่พระอาจารย์พูดก็ได้ตอบรับคำ แล้วรีบเดินเข้ากลดของตัวเองซึ่งอยู่ห่างจากกรดของพระอาจารย์ประมาณ 20 เมตรได้ พอเข้าไปนั่งในกลดแล้วพระองค์ก็เห็นพระอาจารย์เดินออกมาจากกลดของท่าน ถือด้ามกลดของท่านมาด้วย กลดจะมีแบบถอดด้ามได้ด้วย ที่ปลายด้ามของกลดนั้นจะหมุนเกลียวออกได้เพื่อการที่จะพกพาได้สะดวก ด้ามกลดจะเป็นแบบนั้น พระอาจารย์ท่านถือออกมาแล้วเดินมาทางพระพงษ์พร้อมกับยืนนิ่งๆ พนมมือ โดยมีด้ามกลดนั้นอยู่ระหว่างมือสักครู่เดียวเท่านั้นท่านก็ก้มลงแล้วใช้ด้ามกลด วนไปกับพื้นดินเป็นวงกลมรอบกลดของพระพงษ์ พอท่านขีดเส้นจบแล้ว ก่อนที่จะเดินกลับไปนั้นท่านก็ได้กำชับอีกว่า "อย่าลืมนะท่าน คืนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือว่าได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออกมานอกกลดเด็กขาด" พระพงษ์ได้ยินคำกำชับแบบนั้นก็ตอบรับคําพระอาจารย์ แล้วท่านก็เดินกลับไปที่กลดของท่านเอง

             พระพงษ์ได้นั่งสมาธิต่อไปอีกพักใหญ่ๆ เวลานั้น จู่ๆก็มีลมพัดแรงมาก ลมนั้นพัดแรงขึ้นมาดื้อๆ จากที่ตอนค่ำก็ไม่มีลมเลย ลมพัดอยู่ได้พักใหญ่ๆ แล้วพระพงษ์ก็ได้ยินเสียงเหมือนกับสุนัขกำลังขู่ ก็เลยค่อยๆลืมตาขึ้นออกจากสมาธิเพื่อหันไปดูช้าๆ แต่พอหันไปดูเท่านั้นพระพงษ์ก็ต้องตกใจกลัวจนขนลุกซู่ เพราะสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นเป็นหมาดำตัวใหญ่มากๆ หมาดำตัวนี้กะขนาดได้ประมาณควาย กำลังยืนขู่อยู่ ดวงตานั้นเป็นสีแดงกล่ำ มีเงา และในขณะนี้หมาดำใหญ่ตัวนั้นกำลังทำท่าเหมือนพยายามที่จะเดินเข้ามาภายในกลดของพระพงษ์เอง แต่พอเดินมาถึงตรงที่พระอาจารย์ขีดไว้ก็ต้องถอยห่างออกไปด้วยความกลัว แล้วหมาดำตัวนั้นก็ส่งเสียงขู่ต่อไปแบบเดิม แล้วก็เดินหมุนเวียนรอบส่วนที่เป็นวงกลมเหมือนกับพยายามที่จะหาทางเข้ามาให้ได้

           หมาดำใหญ่ยักษ์ตัวนั้นเดินเวียนรอบกดได้ประมาณซัก 3 รอบ สิ่งที่พระพงษ์เห็นก็คือ พระอาจารย์ได้เดินมาที่กลดของพระพงษ์แล้วใช้ด้ามกลดตีไปที่หมาดำตัวนั้น 1 ทีจนได้ยินเสียงร้องอย่างโหยหวน แต่สิ่งที่ทำให้พระพงษ์นั้นแปลกใจมากก็คือ เสียงร้องที่โหยหวนจากหมาดำกลับกลายเป็นเสียงผู้หญิงที่ร้องอย่างโหยหวนเจ็บปวด แล้วพระพงษ์ก็ต้องกลัวแบบสุดๆอีกครั้งเนื่องจากหมาดำตัวนั้นหลังจากโดนตีแล้วได้หมอบนอนลง แล้วค่อยๆกลายร่างเป็นผู้หญิงคนที่เมื่อเช้านั้นได้นำกับข้าวมาถวาย แต่งตัวไม่เหมือนกับชาวบ้านคนนั้นนั่นเอง แล้วพระอาจารย์ท่านก็พูดอีกว่า "ต่างคนก็ต่างอยู่ อาตมามาธุดงค์กัน 2 รูปเพื่อปฏิบัติธรรม ไม่ได้มาทำร้ายใคร ขอให้โยมจงกลับไปเถอะ แล้วอย่าได้มากวนอาตมาอีกเลย" สิ้นสุดคำของพระอาจารย์ หมาดำตัวใหญ่ที่ขณะนี้กลายร่างเป็นผู้หญิง กำลังร้องอย่างโหยหวนอยู่นั้นก็ค่อยๆอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาของพระพงษ์ ซึ่งตอนนั้นได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ได้แต่นั่งตกใจกลัวขนลุกกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

            อาจารย์ก็บอกว่า "ท่านจงอยู่แต่ในกลด ห้ามออกมาเด็ดขาดจนกว่าฟ้าจะสว่าง" พระพงษ์ก็ตอบรับด้วยความกลัว คืนนั้นก็นั่งสมาธิจนสว่าง พอรุ่งเช้าพระอาจารย์ก็เดินมาแล้วบอกกับพระพงษ์ว่ารีบออกมาแล้วเก็บสัมภาระพร้อมออกเดินทางธุดงค์ต่อจะดีกว่า เนื่องจากเมื่อคืนน้องสาวมา อาตมาก็สั่งสอนไปแล้ว คืนนี้พี่สาวน่าจะมาหาเราเพื่อแก้แค้นให้น้องสาวให้แน่นอน พระอาจารย์พูดต่อไปว่าไม่อยากไปทำร้ายใครเพราะว่าปอบพวกนี้เป็นปอบที่มีวิชาอาคมเก่ง เรียนจนลิ้นดำ ของเข้าตัวเองเพราะผิดครู และจะเลี้ยงหมาดำเอาไว้ออกล่าเหยื่อเวลาหากินเมื่อใดหมาดำที่เลี้ยงไว้อิ่ม คนเลี้ยงก็จะอิ่มไปด้วย เมื่อไหร่ที่หมาดำโดนคนมีวิชาอาคมทำร้าย เจ้าของคนเลี้ยงก็จะเจ็บไปด้วย พระพงษ์ได้ยินเรื่องราวแบบนั้นก็ถึงกับอึ้งไป ไม่นึกว่าในยุคสมัยนี้ยังจะมีเรื่องพวกนี้อยู่อีก แต่ก็ต้องเชื่อเพราะว่าเมื่อคืนได้เจอกับตาของตัวเอง ได้ยินเสียงร้องโหยหวนมากับหูของตัวเองเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น