ลึกลับป่าลับแล


          เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยตรงกับคุณเคและเขายืนยันว่าเป็นเรื่องจริงครั้งที่ ในป่าลึกไกลมีฉายานามว่าภูเขาสีทอง ชันเป็นระดับต้นๆของประเทศ ซึ่งเป็นดอยที่เดินยากคนเดินป่าอาจจะรู้จักดี อยู่ที่จังหวัดตาก ลองมาฟังเรื่องราวพิศวงของป่าลึกนี้กันเลยครับ

         เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนปลายปีที่แล้ว โดยปกติแล้ว คุณเคเป็นคนที่ชอบเดินป่า แล้วดอยที่เกิดเหตุแห่งนี้ คุณเคก็เคยเดินขึ้นมาแล้ว แต่ว่าครั้งแรก คุณเคไม่ได้ตื่นขึ้นมาดูทะเลหมอกตอนเช้า จึงได้กลับมายังที่นี่อีกครั้งหนึ่ง

    ก่อนหน้าที่จะออกเดินทาง คุณเคก็ได้ออกปากชวนเพื่อนๆที่เคยเดินป่าด้วยกัน แต่ว่าไม่มีเพื่อนคนไหน สามารถไปด้วยได้เลย เนื่องจากครั้งนี้ คุณเคออกเดินทางในวันธรรมดา เพื่อนๆนั้นลางานไม่ได้ คุณเคตั้งใจเอาไว้ว่าจะเดินทางตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุทธ ช่วงใกล้ๆกับวันออกพรรษา

    ด้วยความที่คุณเคนั้นเป็นคนชอบเดินป่ามาก ประจวบเหมาะกับงานที่ทำมาก็เหน็ดเหนื่อย และได้วันหยุดในวันธรรมดา จึงตัดสินใจเดินทางเพียงลำพังคนเดียว

    ในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ คุณเคก็นั่งรถตู้เข้ากรุงเทพ แล้วก็ต่อรถไปยังจังหวัดตากเพื่อเดินป่า คุณเคถึงจังหวัดตากช่วงเช้ามืดวันจันทร์ ประมาณสักตีสี่กว่าๆ หลังจากนั้นก็กำลังมองหารถ เพื่อที่จะเหมาไปที่ อบต ติดต่อเพื่อขอเช่ารถ

    เพื่อไปส่งที่ตีนเขา และก็รวมไปถึงลูกหาบ ที่จะเอาไว้ช่วยขนของอีกด้วย ในระหว่างที่กำลังมองหารถอยู่นั้น ก็มีพ่อค้าคนนึง ที่ขับรถกระบะมาจอดเทียบ แล้วก็ถามกับคุณเคว่า "จะไปไหนเหรอน้อง"

    คุณเคตอบกลับไป "จะไป อบต เพื่อไปขึ้นดอยครับพี่" พ่อค้าได้ยินแบบนั้นก็พูดว่า "ไปกับพี่ก็ได้น้อง พี่จะไปทำบุญที่บ้านพอดี อยู่ไม่ห่างกัน เดี๋ยวแวะส่งให้ถึงตีนเขาเลย"

    คุณเคได้ยินแบบนั้นก็นึกดีใจ ที่จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถ พอถึงที่หมาย ก็มีร้านข้าวร้านนึง ที่คุณเคจะแวะก่อนเดินป่า ตอนนั้นเวลาประมาณเกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว คุณเคกับพ่อค้ารถกระบะคันนั้น ก็ลงไปสั่งข้าวทานอยู่ด้วยกัน

    หลังจากนั้นพ่อค้าก็แยกตัวไป คุณเคก็จึงนั่งทานต่อ และก็สั่งข้าวกล่อง เผื่อขึ้นไปทานระหว่างทางในช่วงเที่ยงด้วย เนื่องจากระยะทางที่ต้องเดินทั้งหมดประมาณสักเก้ากิโลเมตร ใช้เวลาประมาณหกถึงเจ็ดชั่วโมง

    คนที่เคยเดินป่า จะรู้ตัวดีกว่า ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง ปกติแล้ว ทุกครั้งที่มาเดินป่า คุณเคจะมีพระท้าวเวสสุวรรณห้อยติดตัวมาด้วย แต่ว่าครั้งนี้ คุณเคลืมพกมา

    หลังจากคุณเคพักทานข้าวเสร็จ ระหว่างที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมอุปกรณ์อยู่นั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า คุณเคยังไม่ได้แวะไปที่ อบต ก็เลยติดต่อลูกหาบไม่ได้ ลูกหาบนั้นนอกจากช่วยขนของแล้ว ยังรู้จักเส้นทาง สามารถนำทางให้ได้ เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืม

    คุณเคไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยลองถามกับแม่ค้าร้านขายข้าวว่า "ป้าครับ แถวๆนี้ ผมพอจะหาคนนำทาง หรือว่าลูกหาบได้ที่ไหนครับ" ป้าเจ้าของร้านตอบกลับ "อ่าว แล้วหนุ่มเคยมาที่นี่แล้วหรือยัง"

    คุณเคตอบกลับไปว่า "เคยมาแล้วครับ เมื่อปีที่แล้ว" ป้าจึงพูดว่า "ถ้าเกิดเคยมาแล้ว แค่เดินทางที่เป็นรอยทงเดิน แค่นั้นก็ถึงยอดแล้ว" รอยทางเดินที่ว่าก็คือ รอยเดินเท้าที่เดินซ้ำๆ จนเป็นเส้นทาง

    คุณเคได้ยินแบบนั้น ก็คิดในใจ ว่าตัวเองจะไปได้หรือ จะหลงทางมั้ย ครั้งนี้เดินทางคนเดียวซะด้วย ไม่ได้มีเพื่อนมาเหมือนปีที่แล้ว แต่คิดไปคิดมา ก็ตัดสินใจได้ว่า เอาวะ ลองดู น่าจะไปได้ ปีที่แล้วก็เคยเดินขึ้นไปแล้ว

    คุณเคจึงเริ่มเดินขึ้นเขา เวลาประมาณสักแปดโมงครึ่ง เนื่องจากดูเวลาจากร้านข้าว ก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับใจที่รู้สึกว่าไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ เนื่องจากเดินทางคนเดียว และเป้รวมไปถึงถุงนอน เต็นท์ หม้อสนาม ก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากไม่มีลูกหาบช่วย

    ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขานั้น ก็เดินบ้าง หยุดพักบ้าง ถ่ายรูปไปเรื่อย คุณเคก้มหน้าก้มตาเดินไปตามรอยทางเดินที่หญ้านั้นล้มเป็นทาง จนถึงลำธารน้ำ จุดที่พักทานข้าว

    คุณเคจึงนั่งลงทานข้าวไปด้วย นั่งมองนู่นมองนี่ไป และก็คิดว่า ทำไมไม่มีใครเดินตามขึ้นมาเลย ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว ลูกหาบ หรือว่าชาวบ้าน พวกหาของป่าอะไรเทียกนี้ ก็ได้แต่บ่นอยู่คนเดียว เกิดอาการเหงา

    หลังจากทานข้าว เตรียมกรอกน้ำเรียบร้อย ก็ออกเดินทางต่อ ผ่านไปได้ประมาณครึ่งทางแล้ว เวลาตอนนั้นก็เลยเที่ยงไปแล้วด้วย เดินต่อไปสักพักนึง เกินครึ่งทางแล้ว คุณเคจึงนั่งลงพัก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป

    นั่งเอาหลังพิงกับต้นไม้ ด้วยความเงียบของป่า รวมไปถึงการอยู่คนเดียว คุณเคจึงแอบงีบไปนิดนึง เนื่องจากเพลีย เพราะเดินทางแบกของก็เยอะ คุณเคนั่งงีบอยู่ใต้ต้นไม้ประมาณสักห้าถึงสิบนาทีได้

    ก็ลุกขึ้น แล้วก็รีบเดินทางต่อ ต้องการไปให้ถึงจุดกางเต้นท์ก่อนมืด ลุกขึ้นเดินต่อไปได้ประมาณสักหนึ่งกิโลเมตร จู่ๆฟ้าที่สว่างจ้า ก็เริ่มครึ้ม พอเงยหน้าขึ้นมองดีๆ ไม่ใช่เมฆฝน ไม่ใช่ร่มไม้ เป็นเพียงแค่เมฆนั้นเยอะ จนบังพระอาทิตย์หายไป

    คุณเคก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป จนกระทั่งเจอทางแยก คุณเคเริ่มไม่แน่ใจว่าเมื่อปีที่แล้ว เลี้ยงไปทางไหน ซ้ายหรือว่าขวา ในใจก็คิด จะหลงทางมั้ยเนี่ย คุณเคพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา ตอนที่มากับเพื่อน

    ก็นึกออกว่า เพื่อนเคยพูดว่า ตอนที่ใกล้ๆจะถึงยอดเขานั้นจะมีทางแยก ให้เลี้ยวซ้าย แต่ว่าตอนนั้น คุณเคก็จำไม่ได้แม่นยำอะไรนัก จึงตัดสินใจ เดินไปทางแยกซ้ายมือ เดินไปเรื่อยๆ ชมวิวไปด้วย

    จนกระทั่งสามารถเดินไปถึงจุดกางเต้นท์ได้จริงๆ เวลานั้นเกือบสี่โมงเย็นแล้ว ก็รีบกางเต้นท์ เตรียมเสบียง แล้วก็เริ่มตั้งหม้อ ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ท้องฟ้านั้นก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ตีนเขาเป็นต้นมา

    คุณเคอยู่เพียงลำพังมาก็หลายชั่วโมงแล้ว แต่ก็เหมือนฟ้ามาโปรด จู่ๆก็มีคนเดินขึ้นมาถึงจุดกางเต้นท์ เป็นชายสองหญิงสอง คุณเคมองเห็นแบบนั้น ก็รู้สึกดีใจมาก รีบตะโกนถามว่า "กินด้วยกันมั้ยพี่"

    คนกลุ่มนั้นยิ้มกลับมาให้คุณเค คุณเคจึงถามต่อไปว่า "มาจากไหนกันครับ" พี่ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มก็ตอบกลับมาว่า "มาจากกรุงเทพจ่ะ" แล้วพี่ผู้หญิงอีกคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า "น้องมาคนเดียวเหรอ ไม่กลัวผีหรือไง"

    คุณเคโดนถามแบบนั้น ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กๆ แต่ก็ยังพูดติดตลกกลับไปว่า "ก็กลัวเหมือนกันพี่ แต่ว่ากลัวหลงทางมากกว่ากลัวผี" แล้วก็หัวเราะกันเบาๆ คุณเคเริ่มรู้สึกว่า คนกลุ่มนี้นั้น ถามคำตอบคำ ไม่ค่อยยิ้มแย้มมากนัก

    คุณเคจึงลุกขึ้นไปช่วยทั้งสี่คนนั้นกางเต้นท์จนเสร็จ แล้วก็กลับไปนั่งทานอาหารของตัวเอง ตอนนั้นฟ้าก็มืดมากแล้ว หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็เอาตะเกียงออกมาแขวนไว้ที่หน้าเต้นท์ ปรับไว้ไม่ค่อยสว่างมาก กลัวจะเกรงใจเต้นท์ข้างๆ

    พอดีเพิ่งสังเกตได้ว่า น้ำเปล่าของตัวเองนั้นหมด น้ำบริเวณนั้นเป็นน้ำขัง ต้องเอามาต้มก่อนจะดื่ม แต่ว่าเคยากนอนแล้ว จึงตัดสินใจ ลุกไปที่เต้นท์ข้างๆ ถามกับพวกพี่กลุ่มนั้นว่า "พี่ครับ น้ำผมหมด ขอน้ำสักขวดได้มั้ยครับ"

    พี่กลุ่มนั้น ก็เดินไปหยิบมาให้หนึ่งขวด โดยที่ไม่ได้พูดอะไร คุณเครับมาแล้วก็กล่าวขอบคุณ ในระหว่างที่กำลังหันหลังจะเดินกลับเต้นท์ตัวเอง พี่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ก็พูดขึ้นมาว่า "น้อง พรุ่งนี้รีบกลับหรือเปล่า ถ้าเกิดไปรีบ ก็ควรต้องรีบนะ ก่อนที่พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างขึ้นเต็มดวง ควรรีบกลับ"

    คุณเคได้ยินพี่พูดแบบนั้น ก็ตอบไปว่า "ครับพี่" พร้อมยิ้มให้ แล้วก็เดินกลับไปนอนที่เต้นท์ตัวเอง พอเข้าไปที่เต้นท์ มุดตัวเข้าสู้ถุงนอนได้ ก็เริ่มง่วง นึกขึ้นมาได้ว่า ครั้งนี้ไม่ได้ห้อยท้าวเวสสุวรรณมาด้วย จึงเริ่มสวดมนต์ แผ่เมตตา ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา

    ระหว่างนั้น คุณเคก็ได้ยินเสียงเดินอยู่รอบเต้นท์เต็มไปหมด ในใจก็คิดว่า น่าจะเป็นพวกพี่เต้นท์ข้างๆนั่นแหละ อาจเดินไปล้างตัวที่ลำธาร เนื่องจากลำธารนั้น ตั้งอยู่หลังเต้นท์ของคุณเคนั่นเอง

    ระหว่างที่คุณเคกำลังแผ่เมตตาอยู่นั้น ก็มีเสียงคนคุยกัน แต่ว่าฟังไม่รู้เรื่อง จับศัพท์ไม่ได้ หลังจากแผ่เมตตาเสร็จแล้ว คุณเคก็เตรียมตัวนอน พลิกตัวนอนอยู่ในท่าตะแคงขวา

    สักพักหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนกับมีไรผมมาแตะที่ปลายจมูก ลากไปทางด้านหูซ้ายเบาๆ ในใจคิดว่า งานเข้าแล้ว ยุงเข้ามาในเต้นท์แน่นอน เสี้ยววินาทีที่คิดแบบนั้น สัมผัสเหมือนกับไรผมมาโดนที่หูอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา ช้าๆที่ข้างหูว่า "ขอบุญด้วยคน"

    ลักษณะการพูดนั้นเป็นภาษาเหนือ คุณเคขนลุกไปทั้งตัว นอนนิ่งไม่กล้าขยับ แล้วรวบรวมสติ เริ่มสวดมนต์ แผ่เมตตาอีกครั้งนึง ในใจอธิษฐานให้กับสัมภเวสีที่อยู่บริเวณนี้ด้วย

    ทุกอย่างเงียบลง เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ คุณเคเริ่มเคลิ้ม พร้อมที่จะหลับ นอนท่าตะแคงขวาอยู่นาน เริ่มจะเมื่อย จึงพลิกตัวกลับมานอนหงาย ระหว่างนั้นเผลอลืมตาขึ้นมามอง

    สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของคุณเคก็คือ มีชายคนหนึ่ง นั่งกอดเข่าคุดคู้ จ้องมองคุณเคอยู่บริเวณมุมเต้นท์ ตรงช่วงปลายเท้าของคุณเคพอดี ลักษณะที่เห็น เป็นรูปร่างมนุษย์ผู้ชายสีดำมืดไปทั้งตัว เห็นจากแสงที่ตะเกียงด้านนอก ส่องเข้ามาลางๆ

    ชายปริศนาคนนั้น พอเห็นคุณเคลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่ง เค้าก็รีบพูดส่วนกลับมาทันที ด้วยน้ำเสียงเหมือนเดิมก็คือ "ขอบใจขนาด" แล้วชายคนนั้นก็ยิ้มให้ คุณเคตกใจมาก รีบหลับตาลง เอาถุงนอนปิดที่ตา แล้วก็นอนตัวสั่น คิดถึงท้าวเวสสุวรรณ ร้องขอท่านให้ช่วยลูกช้างด้วย จนเผลอหลับไป

    กระทั่งเช้าวันต่อมา คุณเคตื่นขึ้นมาก็รีบวิ่งออกไปนอกเต้นท์ เห็นแสงสว่าง ก็คิดจะไปที่จุดชมวิว ต้องการดูหมอก รับกับบรรยากาศยามเช้า คุณเคมองไม่เห็นเต้นท์อีกสองหลังของพี่ๆสี่คน ที่กางอยู่ไม่ไกล ตอนนี้หายไปแล้ว

    ใจก็คิดว่า พี่พวกนั้นคงรีบเก็บเต้นท์ เพื่อไปจุดชมวิว พอดูวิวเสร็จคงลงเขาไปเลย คุณเครีบเดินไปที่จุดชมวิว ก็ไม่เห็นใครอื่นใดทั้งสิ้น ไม่เจอพี่สี่คนนั้น แต่ตอนนั้นคุณเคไม่คิดอะไร เนื่องสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้น บรรยากาศมันสวยงามมาก

    คุณเคดื่มด่ำกับบรรยากาศอันงดงามอยู่บริเวณนั้นพักใหญ่ๆ หลังจากนั้นจึงเดินกลับไปที่เต้นท์ของตัวเอง ต้มน้ำดื่มกาแฟ แล้วก็เก็บข้าวของ เตรียมตัวลงเขา ระหว่างนั้น คำพูดของพี่หนึ่งในสี่คน ก็แวบเข้ามาในหัวของคุณเคอีกครั้งหนึ่งว่า ทำไมต้องให้คุณเคกลับก่อนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง

    ระหว่างนั้นก็เก็บของไป ดื่มกาแฟไป จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มขึ้นจนเต็มดวง คุณเคเก็บเต้นท์แล้วก็เริ่มเดินลงเขา คุณเคค่อยๆเดินกลับทางเดิม ทางที่เดินขึ้นมา แต่ปรากฏว่า ไม่มีทางที่จะเดินกลับลงไปด้

    ไม่มีทางเท้า ไม่มีทางคนเดิน ทางเดินอื่นก็ไม่มี ตอนนั้นได้แต่คิดว่า หลงทางแล้วแน่นอน ต้องหลงป่าแน่ๆ แต่ก็ยังคงเดินมุ่งหน้าไปอีกสักสองถึงสามร้อยเมตร พยายามมองหาทางที่คุ้นตา

    ระหว่างนั้นก็เริ่มกลัว จึงยกมือขึ้นไหว้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ท่านเจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง ผีสางนางไม้ โปรดช่วยลูกช้างออกจากป่าแห่งนี้ ที่ลูกหลงทางอยู่ ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มีเมฆบังพระอาทิตย์ เหมือนกับตอนขามา

    ท้องฟ้านั้นเริ่มมืดครึ้ม จากเมฆที่เยอะมากบังพระอาทิตย์ คุณเคตัดสินใจจะเดินกลับไปที่จุดกางเต้นท์ เพื่อรอความช่วยเหลือจะดีกว่า เพียงแค่คุณเคหันหลัง จะเดินกลับไปที่จุดเดิมนั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกเสียงหนึ่งดังขึ้น "ไอ้หนุ่ม มาทำอะไรที่นี่ มาได้ยังไง"

    คุณเคหันหลังกลับไปมอง เป็นคุณลุงคนหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับคนหาของป่า คุณเคดีใจมาก รีบบอกกับลุงแปลกหน้าว่า "ผมหลงทางครับ จะหาทางลงเขา แต่หาไม่เจอ"

    ลุงได้ฟังแบบนั้นก็หัวเราะ แล้วก็บอกกับคุณเคว่า "เหรอ" ตามด้วยภาษาท้องถิ่นอะไรสักอย่าง ที่คุณเคฟังไม่ออก แล้วจบคำว่า "ไงเนอะ" แล้วหัวเราะดังลั่น ลุงบอกให้เดินตามา จะพาลงเขาเอง

    ก็เดินคุยกันไปเรื่อย ไม่น่าจะเกินยี่สิบนาที คุณเคก็กลับมาถึงบริเวณทางแยกตอนขาขึ้นมานั่นเอง ขาลง ลงมาแปบเดียว แต่ตอนขามานั้น จากทางแยกขึ้นไปอีกเป็นชั่วโมง

    แล้วลุงแปลกหน้าก็พูดขึ้นมาว่า "ส่งถึงแค่นี้นะ มีทางเดินให้เห็นแล้ว เดี๋ยวลุงไปก่อน สายมากแล้ว ลุงขอเข้ามา" คุณเคเดินหน้าต่อไป แล้วก็หันหลังกลับไปขอบคุณ แล้วลุงก็ตะโกนกลับมาบอกคุณเคว่า "ลุงต่างหากที่ต้องขอบใจ ขอบใจขนาด"

    คำพูด น้ำเสียง วิธีการพูด เหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด คุณเคได้แต่ขนลุก ภาพเมื่อคืน คนที่นั่งกอดเข่าอยู่ในเต้นท์ย้อนกลับมาทันที ทำได้อย่างเดียวตอนนี้คือรีบเดิน

ไม่มีความคิดเห็น