เสี่ยงเซียมซี


          เรื่องของผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลวันไหว้ ที่ครอบครัวของเขาได้ทำตามจารีตประเพณี เขาและครอบครัวเดินทางไปทำบุญกันตามปกติ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ เขาได้เสี่ยงเซียมซีทำนายโชค และคำทำนายทำให้เขาต้องประหลาดใจ และไม่มีวันลืมเรื่องนี้อีกเลย

          เรื่องมันเกิดในช่วงเทศกาลวันไหว้บรรพบุรุษของชาวจีนเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมาครับ คุณแม่ของผมได้แต่งงานกับคุณพ่อที่เป็นคนจีน และท่านก็เสียไปเมื่อผมยังเด็ก พอถึงช่วงเทศกาลแม่ผมก็จะจัดเตรียมของไหว้ไปไหว้สุสานที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งปีนี้คุณแม่ก็ทำเหมือนเดิม ตื่นมาตั้งแต่ตี 3 เพื่อทำกับข้าว เตรียมของไหว้ แม่ผมทำคนเดียวครับส่วนผมยังเด็กอยู่ พอตี 4 กว่าคุณแม่ก็ขึ้นไปปลุกผมให้เตรียมตัวเพราะคุณเเม่จองรถตู้ไว้จะออกเดินทางตอนตี 5 ที่บ้านผมเนี่ยจะไปไหว้กันแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารถติด

             พอผมลุกขึ้นมาก็เดินผ่านหิ้งของเตี่ย ผมก็เผอิญหันไปมองรูปเตี่ยวที่อยู่บนหิ้ง รูปท่านดูหน้าดำหมองๆ จังหวะนั้นเองแม่ผมก็เรียกผมบอกให้รีบอาบน้ำเดี๋ยวจะไปไม่ทันรถ พอผมเหลียวหันกลับไปมองรูปเตี่ยอีกทีก็เหมือนเดิม ผมก็เลยไม่สนใจ ก็เลยรีบไปอาบน้ำแต่งตัว สักพักนึงรถตู้เข้ามาถึง คนขับก็ลงมาช่วยครอบครัวของผมขนของ วันนั้นมีผม แม่ พี่สาว ไปไหว้เตี่ยด้วยกันและให้ยายรอที่บ้าน พอรถออกตัวไปได้สักพักรถวิ่งอยู่ดีๆก็ดับ จนพี่แดงคนขับรถต้องจอดรถเข้าข้างทาง แล้วแกก็บ่นว่าเมื่อวานเช็ครถเรียบร้อยแล้วไม่น่าจะเสียได้เลย สักพักแกก็โทรหาลูกน้องของแกให้นำรถตู้อีกคันมาเปลี่ยน ทําให้พวกผมเนี่ยเสียเวลารออยู่อีกพักใหญ่ พอได้เปลี่ยนรถพี่แดงก็รีบขับเพื่อเดินทางต่อไป พอเริ่มเข้า
ทางหลักแม่ก็ปวดปัสวะครับ ก็เลยบอกพี่แดงให้แวะปั๊มให้หน่อย พอไปถึงพวกสาวๆก็แวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊ม ส่วนผมนั้นก็หลับรออยู่ที่รถ

             สักพักผมก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเห็นพี่คนรับใช้เดินมาที่รถ ซึ่งตอนนั้นพระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นแล้วครับแต่ผมต้องขยี้ตาอย่างแรงเลย ก็คือช่วงที่ผมนั้นมองไปเนี่ยผมมองไม่เห็นศรีษะของพี่เขา ผมจึงหลับตาและขยี้ตามองดูใหม่อีกครั้ง ที่นี้ก็เห็นเป็นปกติ ผมเองก็คิดว่าคงเมาขี้ตาและอาจเป็นเพราะว่าแสงอาทิตย์เข้าตาก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แล้วพวกเราก็ออกเดินทางต่อไปที่สุสาน ซึ่งก่อนจะเดินทางเข้าไปนั้นจะต้องผ่านวัดวัดหนึ่ง อาจจะเป็นช่วงเช้าพระท่านบิณฑบาตอยู่ก็เลยไม่เห็นมีพระรูปไหนอยู่ที่วัด พวกเราก็ผ่านไป

             แล้วก็เข้าไปถึงจุดที่จะต้องลงไปไหว้เจ้าที่ที่ดูแลสุสาน ซึ่งวันนั้นผมเองก็ไม่รู้เป็นอะไรครับปกติไม่ค่อยเสี่ยงเซียมซีสักเท่าไหร่ แต่วันนั้นอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ผมนึกเสี่ยงดูก็ได้เบอร์ 21 มา ซึ่งมีข้อความหนึ่งที่เขียนไว้ว่า "ท่านและครอบครัวจะประสบเคราะห์หนัก" ผมเองพอเสียง.ได้ก็รู้สึกไม่สบายใจจึงบอกแม่ แม่บอกว่า "ไม่มีอะไรหรอกมั้ง เอาใบเซียมซีไปเผาทิ้งซะ" แล้วผมก็เดินทางต่อเพื่อไปไหว้เตี่ยที่ฮวงซุ้ย ซึ่งกว่าจะเรียงของไหว้เสร็จก็ประมาณเกือบเที่ยงแล้วครับ หลังจากไหว้เรียบร้อยแล้วพวกเราก็นั่งพักทานข้าวกัน พี่สาวผมก็บอกว่า "ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก" ผมก็เลยแซวแกว่า "เป็นเพราะอาการร้อนหรือเปล่า เจ้คิดมากไปแล้วมั้ง"

             หลังจากทานข้าวเสร็จครับพวกเราก็ลาเตี่ยกัน แต่พอทุกคนยกมือไหว้ลานั้นก็มีลมกรรโชกแรงมากครับ ถึงขนาดต้นไม้ขนาดเล็กที่อยู่ข้างๆซวยซุ้ยเนี่ยถึงกับโค่นลงมาเลย พวกเราก็ตกใจกันมาก แต่แม่ก็บอกพวกเราว่าคงเป็นลมฤดูร้อนละมั้ง พวกเรายังเด็กก็เลยไม่คิดอะไร ก็เชื่อแม่แล้วก็ขึ้นรถตู้กลับ ซึ่งขากลับก็ต้องผ่านมายังเจ้าที่ พวกเราก็แวะล้างหน้าล้างตา และไปไหว้เจ้าที่เพื่อลากลับ ระหว่างนั้นเองก็มีอาม่าท่านหนึ่งเดินมาด้านหลังแม่และจับไหล่แม่บอกว่า "ลื้อๆ อั๊วะมีเรื่องจะขอร้องพวกลื้อหน่อย ช่วยหน่อยได้ไหม" แม่ผมก็บอกไปว่า "ได้" อาม่าท่านก็พาแม่ไปที่ศาลที่กำลังสร้างอยู่ใกล้ๆ และอาม่าก็บอกว่า "ลื้อช่วยทำบุญสร้างหน่อยได้ไหม ท่านจะได้คุ้มครองให้เดินทางปลอดภัย"

             แม่ผมก็งงๆก็เลยบอกอาม่าว่า "เดี๋ยวหนูจะทำให้ นี่เห็นแก่อะมานะ" อาม่าแกก็บอกว่า "ลื้อไม่ต้องทำให้อั๊วะหรอก ทำให้ตัวลื้อและครอบครัวเถอะ" แม่ผมก็เลยทำบุญไป 499 บาทแม่ผมจำได้ดีเลยคครับ อาม่าท่านก็ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มา แม่ผมก็รับไว้ แล้วอาม่าก็บอกว่า "ช่วงลงเขาไปถึงปากทางเนี่ย อย่าลืมแวะทำบุญอีกครั้งที่วัดล่ะ" แม่ก็ไม่ได้คิดอะไรครับตอนนั้น พอพวกเรากลับมารวมตัวกันที่รถก็ออกเดินทางเพื่อกลับบ้าน แล้วพอไปถึงปากทางก็เหมือนมีอะไรดลจิตดลใจให้แม่บอกให้พี่แดงคนขับให้หยุดแล้วแวะทำบุญข้างหน้า ซึ่งพอเข้าไปที่วัดนี้หลวงพ่อท่านกำลังทำพิธีอยู่ พอแม่เดินเข้าไปหลวงพ่อท่านก็ทักมาว่า "กำลังรออยู่เลยโยม เข้ามาสิ บอกลูกๆแล้วก็คนขับให้ทุกคนมานี่ให้หมดเลยนะ"แม่กับพวกเราก็ตกใจว่าทำไมหลวงพ่อถึงรู้ว่าพวกเราจะมา แล้วมากันกี่คน

             หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "ไม่ต้องสงสัยหรอกโยม เข้ามาเถอะ มาทำพิธีตรวจดวงชะตากันทั้งหมดนั่นแหละ" พวกเราก็เลยเข้ามา แล้วให้ฟลวงพ่อทำพิธีให้ ซึ่งพี่คนรับใช้แกก็ไม่อยากทำแต่โดนแม่บังคับว่าต้องทำนะแกก็เลยยอมทำ พระก็ทำพิธีให้กับพวกเราจนเสร็จ ณ เวลานั้นก็บ่ายแก่ๆแล้วครับ พวกเราก็ลาหลวงพ่อกลับเพื่อจะเดินทางกลับบ้านกัน แม่ก็บอกพวกเราว่าให้ไปรอที่รถก่อนเดี๋ยวตามไป พอสักครู่ใหญ่แม่ก็มาที่รถและเดินทางกลับ ระหว่างที่เดินทางกลับนั้นแม่ก็คุยกับพี่แดงและบอกพี่แดงว่า "หลวงพ่อบอกมาว่าขากลับเนี่ยให้ขับแบบใจเย็น อย่าไปมีเรื่องกับใครเด็ดขาด" พี่แดงก็รับปากแม่

             จนขับไปได้เกือบเข้าอยุธยาอยู่ๆก็มีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งมาอย่างเร็วครับแล้วตัดหน้ารถตู้พวกเราอย่างกะทันหัน พี่แดงก็ตกใจหักหลบทันตั้งตัวได้แก่ก็โมโห กะว่าจะแซงคืน พอแม่เห็นดังนั้นก็บอกพี่แดงว่า "อย่าลืมที่รับปากไว้นะ ใจเย็นๆ ไม่ต้องไปแข่งกับเขาหรอก" แต่เหมือนว่ารถเก๋งคันนั้นไม่เลิกราครับ ขับฉวัดเฉวียนไปมาอยู่หน้ารถ แล้วก็วิ่งมาขนาบข้างรถเปิดกระจกยื่นมือออกมาโชว์นิ้วกลางใส่รถพวกเรา พี่แดงแกก็โกรธมากกะว่าจะเร่งแซงแข่งด้วย จนแม่ต้องย้ำอีกว่า "อย่าลืมที่หลวงพ่อบอกสิ ถ้าพี่แดงไม่เชื่อหลวงพ่อแล้วไปหาเรื่องกับรถเก๋งคันนั้น ฉันจะไม่จ่ายค่ารถให้นะ!" พี่แดงได้ยินดังนั้นแกก็เลยผ่อนคันเร่งลง ส่วนรถเก๋งคันหน้าก็เหยียบหนีพวกเราไปประมาณสัก 3-4 ช่วงรถ

             ระหว่างนั้นเองก็มีรถเก๋งอีกคันหนึ่งวิ่งมาจากถนนเลนนอก หักเลี้ยวกะทันหันครับ หัวรถเนี่ยพุ่งชนใส่รถเก๋งคันนั้นทันที ทำให้รถทั้ง 2 คันนั้นตกลงไปตรงช่องกลางถนน ซึ่งพวกผมกับแม่และพี่แดงทุกคนตกตะลึงกันหมดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอรู้สึกตัวแม่ก็รีบหยิบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาม่าให้มายกขึ้นไว้เหนือหัวครับ แล้วบอกขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้ ผมเองก็ตกใจมากกอดกับพี่สาวตัวกลมเลยทีเดียวครับ พอพี่แดงส่งเราถึงบ้าน เก็บของเสร็จพวกเราก็มานั่งคุยกัน โดยแม่พูดก่อนเลยว่า "จำได้ไหมที่แม่บอกให้พวกเราขึ้นรถไปก่อน ตอนที่อยู่ที่วัด" ก็เพราะว่าแกคาใจเรื่องที่หลวงพ่อทักพวกเราก่อนที่จะเริ่มทำพิธี หลวงพ่อท่านก็เลยบอกว่า "คืนก่อนที่พวกโยมจะเดินทางมาไหว้ หลวงพ่อเห็นผู้ชายวัยกลางคน
คนหนึ่งมายืนอยู่หน้าวัด แล้วเรียกหลวงพ่อ" ท่านก็เลยเดินมาดูก็เห็นชายคนนี้ร้องไห้อยู่ แล้วบอกว่า "ช่วยครอบครัวผมด้วย อย่าให้พวกเขาเป็นอะไรไปเลย" แล้วท่านก็รับปากเหมือนรู้ด้วยญาณของท่าน

             แล้วพอแม่ได้ฟังหลวงพ่อพูดแบบนั้นก็เลยนำรูปคุณพ่อที่พกติดตัวให้ท่านดู ท่านก็บอกว่า "คนนี้แหละที่มาหาหลวงพ่อเมื่อคืนนี้" พอพวกเราได้ฟังที่แม่เล่า พวกเราขนลุกเลยครับ แล้วแม่ก็จุดธูปบอกว่า "ไปไหว้พ่อกันเถอะ ถ้าไม่ได้ท่านพวกเราคงจะไม่รอดกลับมาบ้านในวันนี้" พอไหว้เสร็จผมก็เลยเล่าเหตุการณ์ช่วงเช้าที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าที่ผมเห็นคงจะเป็นลางบอกเหตุ แล้วก็คงไม่อยากให้เราไป ส่วนรถที่คว่ำเพราะถูกชนนั้นผมเองก็เล่าให้แม่ฟังว่าตอนที่เขาเปิดกระจกลงมานั้นผมเห็นในรถมีผู้ชาย 2 คนและหญิงอีก 3 คนนั่งข้างหลัง พอมาคิดดีๆแล้วจำนวนคนเท่ากับพวกเราเลย จนพวกผมเนี่ยต้องมาคิดว่าพวกเขานั้นเป็นตัวตายตัวแทนของพวกเราหรือเปล่า

ไม่มีความคิดเห็น