เฮี้ยนโรงสีข้าวหลอน


          เรื่องราวของคุณบีสมัยยังเด็กๆและเพื่อนๆของเขา กับกิจจกรรมท้าทายแบบวัยเด็กคนอง และคืนนั้นเองที่ประจำของพวกเข้าไปที่โรงสีข้าร้างแห่งหนึ่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสุดหลอนที่พวกเขาไม่อาจจะลืมไปจนวันตายเพราะ สิ่งที่พวกเขาได้รับตามมานั้นมันไม่ดีเอาซะเลย

          ผมชื่อบีครับ ผมมีเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี เกิดขึ้นมาประมาณ 10 กว่าปีแล้วนะครับ ปัจจุบันต้องบอกว่าตอนนี้ผมอายุ 23 ปีแล้วครับ เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ เรื่องก็มีอยู่ว่าตอนนั้นพวกผมจะนิยมจัดวันเกิดตามประสาเด็กๆนะครับ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวันเกิดใครก็ตามก็ต้องจัดครับ แล้วก็มีอยู่ 1 โปรแกรมที่เรียกว่าเป็นการท้าทายความกล้า คือหลังตลาดที่พวกผมอยู่เนี่ยพี่ๆคงนึกออกนะครับว่าตลาดตามต่างจังหวัดเนี่ยเป็นยังไง จะมีบ้านไม้เป็นแถวหันหน้าชนกัน ตรงกลางมีถนนตัดผ่านนะครับ มันจะมีโรงสีข้าวร้างอยู่ครับ ซึ่งโรงสีนี้ถูกปล่อยให้รกร้างมาตั้งแต่พวกผมเนี่ยยังไม่รู้เดียงสาเลย สภาพก็วังเวงดีครับ ขนาดกลางวันยังแทบไม่มีใครกล้าผ่านแถวนั้นเลยครับ กลางคืนแล้วไม่ต้องพูดถึงครับบรรยากาศเปลี่ยวมาก ซึ่งพวกเราเนี่ยก็มักจะเดินเข้าไปในนั้นหลังกินเลี้ยงแล้วพวกผู้ใหญ่ก็เข้าบ้านกันไปแล้วครับ

            ทุกๆปีก็จะไม่เกิดอะไรกับพวกเรา แต่ก็จะกลัวกันทุกปีเพราะว่าหลอนกันเอง จนมาปีนึงซึ่งผมจำได้ว่าเป็นปีสุดท้ายที่พวกเราจะจัดวันเกิดกันครับเพราะเนื่องมาจากว่าพวกผมนั้นเริ่มจะโตกันแล้ว แล้วจะมีพวกรุ่นพี่มากินด้วย แล้วก็เหมือนเดิมครับกินเสร็จก็ออกตะลุยความกล้าเข้าไปในโรงสีครับ พวกผมก็เดินเกาะกันเป็นกลุ่ม วันนั้นไป 10 คน ก็จะมีพวกผมที่เป็นรุ่นเดียวกัน 7 คนแล้วก็รุ่นพี่อีก 3 คน เดินไปก็กลัวไปครับ พวกเรามีความรู้สึกว่ามีอะไรตามหลังพวกเรามา พอหันไปดูก็เห็นเป็นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างครับขี่เข้ามาพร้อมกับยายแก่ๆคนนึง พวกผมเองก็รู้จักยายคนนี้ดีแต่ไม่เคยไปสุงสิงครับ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่มีเสียงเครื่องยนต์ของรถ แล้วอีกอย่างทำไมไม่เปิดไฟขี่รถครับทั้งๆที่ตอนนั้นเนี่ย
เวลาล่วงไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว และระหว่างที่เราเดินไปเรื่อยๆรถเครื่องก็ไม่ได้ขี่ออกมา ซึ่งข้างในนั้นเนี่ยมันเป็นทางตันนะครับ แต่พวกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรครับ ยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป

             พอเราเดินไปถึงโรงสีรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งจะเรียกว่าเป็นหัวโจกเลยก็ได้ครับได้เอ่ยปากชวนพวกเราเล่นโปังแปะในโรงสีครับ ในใจตอนนั้นผมก็คิดว่า จะเล่นจริงๆหรอ ในที่นี่เนี่ยนะ  แต่ก็ต้องเล่นครับจะไม่ให้เสียฟอร์ม แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทผมที่ต้องเป็นคนหาครับ ซึ่งตอนนั้นผมคิดไม่ออกว่าจะเข้าไปซ่อนที่ไหน คนอื่นก็เข้าไปในโรงสีกันหมด แต่ผมเนี่ยมัวแต่หาที่ซ่อนตัว สุดท้ายก็ซ่อนอยู่ตรงพุ่มไม้ข้างหลังเพื่อนผมนี่แหละครับ พอเพื่อนผมนับเสร็จมันก็มุ่งหน้าเข้าไปในโรงสี ไม่ได้สนใจอะไรแถวนั้นเลย เพื่อนผมเข้าไปนานมากจนสุดท้ายมันก็ไปหาตัวทุกคนมาจนครบครับเหลือผมคนเดียว ตอนนั้นในใจก็คิดว่าดีใจครับที่หาผมไม่เจอ ซึ่งนานมาก ทุกคนก็เริ่มมาช่วยกันหา แต่ผมก็ไม่ยอมออกไปง่ายๆ จนมีเพื่อนผมอีกคนนึงมายืนอยู่ข้างหลังผม ผมก็เอามือไปสะกิดมันนะครับแต่เพื่อนผมหันกลับมาแล้วทำเหมือนมองไม่เห็น จนพวกเพื่อนเนี่ยขู่ว่าถ้าผมไม่ออกมาก็จะกลับบ้านกันแล้ว ผมก็เลยต้องออกครับ

             แล้วเมื่อผมเดินออกไปผมเห็นเพื่อนผมคนนึงหน้ามันซีดมากครับ จนผมถามมันแต่มันไม่บอก เอาแต่ยืนสั่นอย่างเดียวแล้วพวกรุ่นพี่ก็ให้ตั้งแถวนับสมาชิกทุกคนครับว่ามีใครหายไปไหมเพราะตอนนั้นมืดมาก ผมยืนอยู่ท้ายแถวครับ จนทุกคนนับมาถึงผมซึ่งเป็นคนที่ 10 มันก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิด คือพวกเราได้ยินเสียงเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงนับขึ้นมาว่า 11 และ 12 ผมนี่ขนลุกซู่เลยครับเพราะเสียงที่ได้ยินนั้นมันดังเหมือนมาพูดอยู่ข้างๆหูผมเลย ซึ่งผมเนี่ยไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าหรือว่ามีคนแกล้ง ก็เลยให้ลองนับอีกที ครั้งที่สองก็เหมือนเดิมครับ ผมเนี่ยไม่อยู่แล้วครับวิ่งออกไปเป็นคนแรก ผมวิ่งไปแบบไม่คิดชีวิตเลยครับ ลองมองหันกลับไปสิ่งที่ผมเห็นเนี่ยทำให้ผมแทบช๊อคเลยครับ สิ่งที่ผมเห็นเป็นผู้ชายตัวสูงๆ ดำมากเลยครับ มือข้างหนึ่งอุ้มเด็กผู้หญิง อีกข้างหนึ่งจูงเด็กผู้ชายตัวเท่าๆกันกับพวกผมวิ่งตามหลังมา หน้าตาของเขาดูโกรธมากเลยครับ

             พวกผมรู้สึกว่าเหมือนยิ่งวิ่งยิ่งไกล ทั้งๆที่ระยะทางจากโรงสีถึงตลาดที่พวกผมอยู่เนี่ยไม่ได้ไกลกันมากเท่าไหร่ พวกผมวิ่งมาถึงตลาดก็ได้เข้าไปรวมตัวกันอยู่ในบ้านของเพื่อนที่อยู่ใกล้ที่สุดครับ แล้วก็ไปนอนรวมตัวกันด้วยความกลัว จนแม่ของเพื่อนเข้ามาถาม พวกเราก็บอกไปว่าเจอผีที่โรงสี พ่อแม่ของเพื่อนก็เลยอยู่เป็นเพื่อนพวกผมจนถึงเช้า พอเช้าพวกผู้ใหญ่ก็เข้ามาพาพวกเราไปหาหลวงพ่อที่วัดครับ ไปให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์ แต่จะมีอยู่คนนึงที่ไม่ได้ไปกับพวกผมคือรุ่นพี่ที่เป็นหัวโจกครับ เพราะอาการหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลเลย ซึ่งปัจจุบันนี้เขากลายเป็นคนสติไม่เต็มไปเลยครับ

             หลวงพ่อได้บอกว่าที่รุ่นพี่คนนั้นเป็นอย่างนั้นเพราะทั้ง 3 พ่อลูกนั้นเกือบจะคว้าเอารุ่นพี่ของผมไปอยู่ด้วยแล้ว เพราะรุ่นพี่ผมคนนี้เขาวิ่งเป็นคนสุดท้าย ซึ่งผมเนี่ยก็แปลกใจนะครับว่าทำไมเป็นขนาดนั้น หลวงพ่อบอกว่ารุ่นพี่ผมจิตเขาหลุดไปแล้วจึงทำให้เป็นแบบนี้ ส่วนเรื่องราวทั้งหมดมันก็มีอยู่ว่า สมัยก่อนตอนที่พวกผมยังเด็กอยู่เลยได้เกิดเหตุไฟไหม้ที่โรงสีนี้ครับ แต่ไม่มีใครเห็นคนงานที่พักอยู่ในโรงสีแห่งนี้ ทุกคนก็คิดว่าคงหนีไปไหนไม่รู้ ซึ่งคนงานทั้ง 4 คนนะครับเป็นผู้ชาย 2 คนและเด็กอีก 2 คน ต่อมาเค้าไปเจอศพสามพ่อลูกนี้ในอีก 4-5 วันต่อมา สภาพศพของคนเป็นพ่อเนี่ยมีสภาพไหม้เกรียมทั้งตัวเลยครับ และไปเจอในคลองข้างๆโรงสีซึ่งวันที่เกิดเหตุไม่มีใครสังเกตเห็นครับ จนศพลอยขึ้นอืดออกมาและส่งกลิ่นเหม็นเลยมีคนไปหาเจอครับ ส่วนลูกทั้งสองในยังไม่เจอ

             จนตำรวจไปตามเจอคนงานผู้ชายอีกคนหนึ่งกำลังหนีไปต่างจังหวัด เขาเลยเอาคนงานคนนี้ไปสอบสวนจนรับสารภาพครับว่าเขาเป็นคนฆ่า 3 พ่อลูกนี้เอง โดยเขาฆ่าคนที่เป็นพ่อก่อนแล้วก็จุดไฟเผาศพอำพรางคดีว่าตายจากไฟไหม้ ส่วนลูกทั้ง 2 คนเขาเอาไปทิ้งลงบ่อน้ำร้อนที่เอาไว้ฆ่าเชื้อโรคทั้งเป็นเลยครับ พี่ๆเคยเห็นบ่อปูนสูงๆไหมครับนั่นแหละครับ เขาต้องลงไปปีนหากันจนเจอ สภาพเด็กทั้งสองคนเนี่ยอยู่ในสภาพเพื่อยมากครับ คือโดนน้ำร้อนลวกเปื่อยไปเลยครับ เกือบลืมนะครับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างและยายแก่ๆคนนั้นที่พวกผมเห็นก็คือผีเหมือนกันครับผู้ใหญ่แถวนั้นเขาบอกว่าเมื่อตอนเย็นเนี่ยพี่วินมอเตอร์ไซค์กับยายคนเนี้ยได้ประสบอุบัติเหตุเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าแล้วก็เสียชีวิตคาที่ครับ สรุป
ว่าคืนนั้นผมเจอ 2 เหตุการณ์ในคืนเดียวกันเลยครับ

ไม่มีความคิดเห็น