วันเกิดอันหอมหวาน
ว่ากันว่าช่วงวันเกิดมันเป็นอะไรที่หอมหวานสำหรับวิญญาณทั้งหลาย อย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้ที่เราจะมานำเสนอ เป็นเรื่องจริงที่เจ้าตัวไม่เปิดเผยนาม แต่เขาย้ำเสมอว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นในวันเกิดของเขา เขาควรฉลองวันเกิดแต่เขากับต้องมาเจอเรื่องหลอนแบบนี้
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2553 วันนั้นเป็นวันเกิดของผมเอง และผมก็ได้ไปเที่ยววันเกิดกับแฟนพร้อมกับครอบครัวของแฟนที่สวนสนุกแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา วันนั้นทุกคนก็เล่นสนุกกันทั้งวัน เวลาประมาณ 1 ทุ่มก่อนที่จะกลับบ้าน ผมก็แวะเล่นม้าหมุนกันก่อน มีม้าตัวสีขาว เขียว และดำ เรียงกันเป็นหน้ากระดาน 3 ตัว ก็นั่งเรียงกันเลย 3 คน มีน้องแฟน แฟน และตัวผมด้วยอาการเหนื่อยเพลียของแต่ละคนก็นั่งอยู่บนม้าไปเวียนหัวไป ระหว่างนั้นแม่ของแฟนก็หยิบกล้องออกมาถ่ายรูปให้ แล้วจุดเริ่มต้นของเรื่องขนหัวลุกทั้งหมดก็เริ่มต้นขึ้น พอแม่ลั่นชัตเตอร์สีหน้าของแม่ก็เปลี่ยนไปแล้วก็เรียกผมกับแฟนเข้าไปดูรูปในกล้องเมื่อพวกเรา 2 คนลงมาจากม้าหมุนเดินไปดูรูป สิ่งที่พบไม่ใช่ภาพถ่ายติดวิญญาณอะไร แต่สิ่งที่อยู่ในรูปก็คือน้องของแฟนที่ชื่อว่าปลั๊กนั้นถ่ายรูปออกมาปรากฏว่าไม่มีหัว แฟนของผมก็เลยบอกกับแม่ว่า "แม่มือสั่นรึเปล่า ดูสิภาพมันสั่นๆ" แต่พอผมดูภาพโดยละเอียดแล้วก็บอกกับแฟนว่า "ถ้าเกิดมือสั่นมันก็สั่นแค่นิดเดียว แต่ว่าหัวทั้งหัวไม่น่าจะหายออกไปจากภาพจนเห็นแบ็คกราวด์ข้างหลังแบบนี้ได้ขนาดจ้องมองดูดีๆแล้วก็ยังไม่สามารถเห็นเงารางๆของหัวเลย แล้วแม่ก็เถียงว่า "หรือว่าน้องอาจจะก้มตัวลงพอดี" แต่ผมก็บอกออกไปว่า"ถ้าก้มก็ต้องเห็นหัวสิแม่ ไม่ว่าจะก้มหัวลงหรือว่าเงยหน้าขึ้นก็น่าจะปรากฏให้เห็นบ้าง แต่นี่มันขาดหายไปด้วนๆเลย"
พอน้องแฟนเล่นม้าหมุนเสร็จก็เดินลงมาดูรูปด้วยตัวเอง แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจอะไรผมก็เลยตัดสินใจหยิบเอากล้องถ่ายรูปเดินออกมาจากม้าหมุนไกลพอสมควร แล้วลั่นชัตเตอร์ใหม่ ถ่ายรูปบริเวณม้าหมุนอยู่หลายรูปเหมือนกัน พยายามซูมในภาพที่ถ่ายเพื่อจะหาสิ่งเร้นลับที่เล่นตลกอะไรบางอย่างกับพวกเรา แต่ก็ไม่พบเจออะไรเลย
พอกลับมาถึงที่บ้านก็อาบน้ำกินข้าวตามปกติ จนเวลาล่วงผ่านไปประมาณ 4 ทุ่มแล้ว แฟนของผมก็ยังข้องใจเรื่องรูปเดินไปหยิบกล้องมาเลื่อนดูภาพนั้น ขณะที่ดูภาพอยู่ก็มีผม แฟน และแม่อยู่ด้วยกัน 3 คน แฟนของผมก็พยายามซูมภาพไปตรงจุดที่หัวหายไปสักพักเดียวเท่านั้นแฟนผมก็โยนกล้องขึ้นไปบนผนังด้านบนแล้วก็ร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง ส่วนตัวผมเองที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ตกใจสะดุ้งตามไปด้วย
ร้อง เฮ้ย!! ออกมาลั่นบ้าน ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แฟนก็เริ่มร้องไห้แล้วก็พูดว่า "เห็น เห็น เห็นตาดวงโตๆสีแดง มันอยู่ในกล้องตรงบริเวณที่หัวน้องหายไป" ผมรีบหยิบกล้องมาดู แต่ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ แต่แฟนก็ยังยืนยันว่าเธอเห็นจริงๆ ระหว่างที่กำลังคุยกันเสียงดังนั้นคุณพ่อก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี ถามกับแฟนผมว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนก็เลยตัดสินจเล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณพ่อฟัง พ่อเดินมาดูรูปในกล้อง
แล้วก็บอกว่า "ก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ว่าเพื่อความสบายใจก็ลบทิ้งไปซะ" แล้วเหตุการณ์วันนั้นก็ผ่านไป
วันรุ่งขึ้นในช่วงบ่ายๆผมก็ได้เดินออกจากบ้านไปหน้าปากซอย พอดีพบเข้ากับเพื่อนคนหนึ่ง เวลาตอนนั้นเขาสู่ช่วงเย็นแล้วประมาณ 6 โมงเย็นได้ ระหว่างที่ยืนคุยกับเพื่อนอยู่นั้น จู่ๆท้องฟ้าที่กำลังสลัวๆก็มืดลงอย่างเร็ว แล้วก็มีลมพายุอะไรสักอย่างพัดมาแรงมากมีแต่ลมนะครับ เพียงแต่ว่าเป็นลมที่แรงมากจนตัวผมและเพื่อนต้องประหลาดใจ เราทั้งคู่ก็เลยรีบแยกย้ายกันกลับเข้าบ้าน
เช้าวันต่อมาแม่ของแฟนก็เดินมาบอกกับผมว่า "แม่จะเล่าอะไรให้ฟัง เมื่อคืนวานแม่ว่าแม่เจอแล้ว" ผมก็ตอบกลับไป "เจออะไรแม่เจ้าของดวงตารึไง" แล้วแม่ก็เล่าให้ฟังว่า "แม่ก็ไม่แน่ใจ เมื่อคืนนี้แม่ลงมาชั้นล่างตอนตี 3 นิดๆ แล้วแม่ก็เหลือบมองออกไปนอกบ้านตรงบริเวณรั้ว แม่เห็นมากันเพียบเลย ทั้งเด็ก คนแก่ เยอะมาก วินาทีนั้นแม่ตกใจมากยืนมองแบบอึ้งๆอยู่พักนึง แล้วคนพวกนั้นก็ไม่ได้เดิน
เข้ามาหาในบ้านนะ เค้ามายืนมองจ้องเหมือนกับว่ากำลังมองหาใครอยู่ แต่ที่น่ากลัวก็คือแห่มากันเยอะเลย" ผมก็เลยบอกกับแม่ว่า"แม่งั้นเราไปทำบุญกันทั้งครอบครัวดีกว่า" วันรุ่งขึ้นทุกคนจึงรวมตัวกันไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อทุกคนทำบุญเสร็จก็เดินไปที่กฎิหลวงพ่อแล้วก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง พอหลวงพ่อฟังจบท่านก็ถามออกมาว่า "วันนั้นที่ไปเที่ยวกันเป็นวันเกิดของใครรึเปล่า"
ผมจึงบอกกับหลวงพ่อว่า "วันนั้นเป็นวันเกิดของผมเองครับ" หลวงพ่อก็ตอบกลับมาว่า "นั่นแหละ เขาจะมาเอาเอ็งไปอยู่ด้วย แต่ว่าเอ็งจิตแข็งเขาก็เลยเลือกคนที่มากับเอ็งแทน" ผมก็เลยถามต่อว่า "แล้วทำไมถึงเป็นน้องสาวล่ะครับ" หลวงพ่อก็เลยบอกว่า "ก็จิตคนนั้นมันอ่อนที่สุดในกลุ่ม มันง่าย วิธีแก้คือทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ทั้งตัวเอ็งแล้วก็น้องนั่นแหละ แล้วก็ไปเปลี่ยนชื่อซะ เพื่อแก้เคล็ดจะได้โชคดี" เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้...
Post a Comment