ทับที่ หอใน
ตอนแรกที่ย้ายเข้าไปภายในห้องยังมีกลิ่นสี และกลิ่นอับเฟอร์นิเจอร์ใหม่อยู่แต่โดยรวม พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดในห้อง ถือว่าสะดวกมากที่เดียวในพวกเราทั้ง 4คน มีเรากับเพื่อนอีกคน ขอแทนชื่อเพื่อนว่า ยิ้มกับเรา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ปลาย จึงจับคู่กันลงชื่อเข้าอยู่หอพักส่วนรูมเมทอีก 2คนที่เหลือ ถูกทางหอพักจับมาลงให้ครบจำนวนคนเมื่อครบจำนวนสมาชิกทั้ง 4คนแล้ว พวกเราก็จัดแจงขนย้ายของเข้าห้องพัก และเลือกเตียงที่ตัวเองชอบคนละมุมเรากับยิ้มนอนเตียงตรงข้ามกัน ปลายเท้าหันชนกัน ส่วนเตียงข้างๆเรา เป็นรูมเมทชื่อหนิง หนิงเป็นชาวเขาเผ่าม้งและตรงกันข้ามกันเป็นรูมเมทอีกคนชื่อเจ ทุกคนนิสัยน่ารัก และพวกเราคุยกันถูกคอมาก
วันแรกที่เข้าหอ บรรยากาศในหอพักครึกครื้น บางคนก็ชวนกันไปจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่แต่เราวุ่นอยู่กับการจัดของเลยไม่ได้ไปผ่านมาเกือบเดือน จนสุดท้ายเราก็ลืมไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางอยู่มาวันหนึ่ง ตรงกับช่วงหยุดยาว 3วัน ชาวหอพักส่วนใหญ่เดินทางกลับบ้าน หลังจากที่ไม่ได้เจอครอบครัวมาแรมเดือนหนิงก็เดินทางกลับบ้านเช่นกัน เหลือเพียงสามสาวอยู่เฝ้าหอพักตกเย็นบรรยากาศภายในหอเริ่มเงียบเหงา ทุกคนเดินทางกลับบ้านกันหมดเราพากันออกไปกินข้าวที่โรงอาหาร และได้เจอกับเกมส์เกมส์เป็นเพื่อนในเอกเดียวกัน พอเกมส์รู้ว่าพวกเราไม่กลับบ้าน เกมส์จึงขอมานอนด้วยเพราะรูมเมทของเกมส์กลับบ้านกันหมด ไม่อยากนอนคนเดียวคืนนั้นเราให้เกมส์นอนเตียงเรา ส่วนเราไปนอนเตียงหนิง พวกเราเข้านอนกันปกติปกติเราไม่ชอบไหว้พระก่อนนอน ครั้งนี้ก็เช่นกัน คิดว่าแค่ย้ายเตียงไม่น่าจะเป็นอะไรในคืนนั้นเราฝัน ในฝันเหมือนจริงมาก เป็นภาพที่เราลืมตาตื่นขึ้นมา เรานอนอยู่ที่เตียงหนิงส่วนเพื่อนอีกสามคนก็นอนที่เตียงตัวเองปกติ ทุกคนหลับสนิท
เราได้ยินเสียงขบวนแห่ เป็นดนตรีพื้นเมืองคล้ายของทางเหนือ แต่ทำนองแปลกหู ดังใกล้เข้ามาทางห้องเราเรื่อยๆในฝัน ประตูหน้าห้องและประตูระเบียงถูกเปิดทิ้งไว้ มีแสงไฟจากข้างนอกส่องเข้ามาพอเห็นภาพได้ชัดเจนเสียงเพลงดังใกลเข้ามา ขบวนแห่ผ่านเข้ามาในห้องเราจากประตูหน้าห้องทุกคนในขบวนแห่ แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองที่เราไม่รู้จัก มีผู้หญิงฟ้อนนำขบวนสามสี่คน ท่าทางการฟ้อนรำแขนขาบิดเกร็งดูน่ากลัวและมีนัดดนตรีเล่นเครื่องดนตรีเดินตาม และมีคนอื่นๆอีก รวมทั้งหมดน่าจะประมาณสิบกว่าคน เหมือนทุกคนไม่เห็นว่าเราแอบดูอยู่เราไม่กล้าสบตากับใคร กลัวเขาจะรู้ว่าเราดูอยู่ขบวนเคลื่อนผ่านไปทางประตูระเบียงอย่างช้าๆ และค่อยๆลับหายไปความรู้สึกตอนนั้นคือกลัวมาก หัวใจเราเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่พอหันไม่มองดูเพื่อนๆ ทุกคนหลับสนิทสักพักมีผู้ชายวัยประมาณห้าสิบปลายๆถึงหกสิบ แต่งกายใส่กางเกงสแล็กและเสื้อเชิ้ตตามยุคปัจจุบัน เดินเข้ามาในห้องแต่ลักษณะการเดินคือ เดินบนเพดานและเอาหัวห้อยลงมาตอนนี้คิดว่าตัวเองเจอดีเข้าให้แล้ว เราพยายามนอนนิ่งๆไม่ขยับ ไม่ให้เขารู้ว่าเราแอบดูอยู่ แต่จริงๆคือสั่นไปทั้งตัว เหงื่อแตกพลั่กผู้ชายคนนั้นเดินมาหยุดที่ปลายเตียงเรา ค่อยๆบิดคอหันหน้ามามองเรา และค่อยๆฉีกยิ้มให้เรา เป็นรอยยิ้มที่เย็นวาบและน่ากลัวมาก
ตอนนั้นเราพยายามเรียกทุกคน ทั้งส่งเสียง ร้องไห้ และเอามือทุบตู้เสื้อผ้า จนเจ็บมือ แต่ก็ไม่มีใครได้ยินพยายามดิ้นแต่ก็ขยับไม่ได้ จึงรวบรวมกำลังลุกขึ้นจนสุดแรง ทันใดนั้นเราลืมตาตื่นขึ้นมา ตัวโชกไปด้วยเหงื่อ พอลุกขึ้นมาได้ เราวิ่งไปที่เตียงเกมส์ทันที
“เกมส์! ตื่นๆๆ เราโดนผีหลอก”
ทุกคนตกใจตื่นและเปิดไฟ เราเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟังยิ้มบอกให้เราไหว้พระก่อน “ฝันร้ายกลายเป็นดีนะแก ไหว้พระให้ใจเย็นก่อนนะ”เหลือบดูนาฬิกาเป็นเวลาตีสามกว่า เราจึงนอนเบียดเตียงเดียวกับเกมส์จนถึงเช้าตอนสาย เราไปเก็บที่นอนให้หนิง ระหว่างที่หยิบหมอนขึ้นมาจัด เราเจอมีดกริชเล่มเล็กๆ ไม่คมสภาพค่อนข้างเก่าวางอยู่ใต้หมอนเราคิดว่านี่อาจจะเป็นเครื่องรางที่ช่วยปกปักรักษาหนิง แต่พอเราที่เป็นคนอื่นไปนอนทับที่โดยไม่บอกกล่าว จึงเจอกับเหตุการณ์ดังเช่นเมื่อคืนตอนที่หนิงกลับมา เราได้เล่าเรื่องนี้ให้หนิงฟัง แต่หนิงก็ยิ้มๆไม่ตอบอะไรเรายังสงสัยจนถึงทุกวันนี้เกี่ยวกับสิ่งที่เราเห็นในคืนนั้นและเรื่องมีดใต้หมอนหรือแค่เรื่องบังเอิญที่ฝันไปเพื่อนๆคนไหนมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องรางหรือเรื่องคล้ายๆกับที่เราเจอในคืนนั้น
เอามาแชร์กันได้นะคะ
Post a Comment