หลอนที่หาด
เมื่อประมาณปี พ.ศ.2547 คุณศิระยังเป็นนักศึกษาอยู่ รุ่นพี่ในคณะได้จัดทริปไปเที่ยวกันที่ประจวบ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หาดแห่งหนึ่งในหัวหิน ทั้งหมดประมาณห้าสิบกว่าคน ก็ออกเดินทางกันช่วงสายๆ ไปถึงประมาณบ่ายโมงครึ่ง
ที่แห่งนี้จะไปได้สองทาง คืนเดินข้ามเนินเขาเล็กๆประมาณห้าร้อยเมตร หรือไปทางเรือ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงพายุเข้า จึงใช้วิธีเดินได้อย่างเดียว คุณศิระและคนอื่นๆก็เดินขึ้นเขาจนถึงสุด จะเป็นจุดชมวิว แล้วก็เดินลงเขาจนถึงที่พัก
ตอนนั้น จะมีบ้านพักอยู่แค่สองหลัง จึงให้ผู้หญิงนอนทั้งสองหลัง ส่วนผู้ชาย ถ้าเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ให้ไปนอนในอาคาร ซึ่งจะมีอาคารเก่าๆอยู่หลังนึง ส่วนปีสองถึงปีสี่ จะกางเต้นท์นอน
ภายในอาคารหลังเก่าที่คุณศิระใช้เป็นที่พัก จะมีสัตว์สตาฟอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่คุณศิระและเพื่อนๆเอาสัมภาระเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว ก็ได้ไปเล่นน้ำกันเลย จนถึงประมาณห้าโมง คุณศิระก็คิดว่า ถ้าขึ้นจากทะเลช้า จะต้องได้อาบน้ำช้าแน่ๆ
จึงได้ขึ้นไปอาบน้ำ ระหว่างที่อาบน้ำอยู่ ก็เหลือบมองไปทางช่องลม เห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหลังที่พัก ก็คิดว่าจะไปหาเชือกมาขึง เพื่อที่จะได้เอาไว้ตากผ้ากัน พออาบน้ำเสร็จ ก็เดินหาเชือก
พอเดินไปถึงต้นไม้ จากที่ดูผ่านช่องลมในห้องน้ำ เหมือนจะไม่ใหญ่มาก แต่ออกมาดูจริงๆ เป็นต้นไม้ใหญ่ประมาณหกคนโอบ คุณศิระจึงขึงเชือกเข้ากับตัวอาคาร แล้วก็เอาผ้ามาตาก จากนั้นก็ไปนั่งเล่นอยู่ด้านหน้าอาคาร
คุณศิระสังเกตว่ามีอยู่ห้องหนึ่ง ถูกเอาไม้ตีปิดเป็นกากบาทอยู่หน้าห้อง จึงคิดพิเรน ชวนเพื่อนคนนึงที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ลากเก้าอี้มาปีนดูทางช่องลมด้านบน ภายในห้องมีแต่ของที่ถูกผ้าขาวคลุมไว้ และมีรูปแขวนอยู่ข้างฝา
สักพักรุ่นพี่ก็เรียกไปทานข้าว หลังจากที่คุณศิระและเพื่อนๆทานข้าวเสร็จ ก็ออกมาตั้งวงกันที่ริมทะเล ประมาณสิบกว่าคน ชายหาดแถวนั้น จะมีต้นสนสลับกับต้นไม้อะไรสักอย่างอยู่หลายต้น
จังหวะที่คุณศิระกำลังปอกมะนาว เพื่อจะเอาไปผสมกับเครื่องดื่ม อยู่ๆก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา จึงหันไปมองด้านหลัง จนทำให้มีดบาดมืด แต่ก็ไม่มีใครยืนอยู่ มีแต่ความมืด เพื่อนก็หาผ้ามาพันให้
แต่เลือดก็ไม่หยุดไหล จึงไปหารุ่นพี่ รุ่นพี่บอกว่าต้องเย็บ จึงต้องเดินข้ามเขากลับมาเพื่อไปที่อนามัย ไปกันทั้งหมดหกคน รุ่นพี่สามคน และเพื่อนคุณศิระอีกสองคน พอไปถึงที่อนามัย หมอก็เย็บแผลให้
แล้วกลับมาถึงตีนเขาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ตอนนั้นมืดมาก แต่คุณศิระมีไฟฉายอยู่คนเดียว จึงได้ถือไฟฉายเดินนำหน้า เพื่อนอีกสองคนเดินตามหลัง แล้วมีรุ่นพี่สามคนเดินปิดท้าย
พอเดินขึ้นมาถึงจุดชมวิว ก็ต้องเดินลงเขาไปอีกสักพัก ถึงจะเป็นที่พัก แต่คุณศิระกับคนอื่นๆ เดินกันเท่าไหร่ ก็ไม่ถึงที่พักสักที ทางเดินที่ปกติแล้ว จากจุดชมวิวไปถึงที่พัก จะเป็นทางลงเขาอยางเดียว และใช้เวลาไม่มาก
แต่คราวนี้ทางเดินกลับเป็นทางลงสลับกับทางขึ้น คุณศิระเริ่มใจไม่ดี คิดว่ามันไม่ปกติแล้ว จึงหยุดเดิน แล้วก็นึกถึงคำของคนเฒ่าคนแก่ว่า เวลาเข้าป่าขึ้นเขาให้ขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาด้วย
คุณศิระก็ยกมือไหว้ แล้วขอขมา แล้วก็เดินหน้าต่อ อีกประมาณร้อยห้าสิบเมตร จะเจอทางโค้ง พอหลุดโค้งมา เจอก้อนหินก้อนใหญ่มาก ไม่รู้ว่ามันหล่นมาจากตรงไหน ขวางทางอยู่ ซึ่งด้านซ้ายจะเป็นเขา และด้านขวาจะเป็นหน้าผา ด้านล่างหน้าผาจะเป็นทะเล
แล้วมีซอกเล็กๆให้ผ่านไปได้ทีละคน ซึ่งขามามันไม่มีก้อนหินก้อนนี้ คุณศิระและคนอื่นๆ คิดว่ามันผิดปกติมากแล้ว แต่มันต้องเดินตรงอย่างเดียว เพราะมันไม่มีทางอื่นแล้ว จึงต้องค่อยๆมุดข้ามไปทีละคน
คุณศิระข้ามไปก่อน พอข้ามพ้นไปแล้ว คุณศิระตกใจจนหัวใจไปอยู่ตรงตาตุ่ม เห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่ สูงประมาณเอวของคนปกติ ยืนมองหน้าคุณศิระนิ่งๆ จนทุกคนข้ามมาจนครบแล้ว
ก็เริ่มเดินต่อ สุนัขก็เดินนำหน้า พอกลุ่มของคุณศิระหยุดเดิน สุนัขก็หยุด แล้วหันมามอง พอเริ่มเดิน สุนัขก็เดินต่อ และระหว่างที่กำลังเดินกันอยู่ คุณศิระก็ได้ยินเสียงก้อนหินก้อนเล็กๆ ตกลงไปทางหน้าผาด้านขวามือ ลักษณะเหมือนมีอะไรบางอย่าง กำลังไต่ขึ้นมาจากหน้าผา
คุณศิระพยายามไม่มองลงไป เพราะกลัวว่าจะเห็นอะไรเข้า จึงพยายามข่มความกลัว แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ จากนั้นไม่ถึงสิบนาที กลุ่มของคุณศิระก็ลงมาถึงชายหาดที่พัก ก็เห็นพวกรุ่นพี่กับเพื่อนๆนั่งตั้งวงกันอยู่ที่หาด
คุณสิระจึงหันจะไปเล่นกับสุนัข แต่ก็หาไม่เจอ ก็ได้มองหาจนทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่เจอ คุณศิระก็รู้สึกตัวแล้วว่าน่าจะทำอะไรไม่ดีลงไป จึงได้ไปหาธูปมาจุดขอขมา แล้วคุณศิระกับคนอื่นๆ อีกห้าคน ก็มานั่งคุยกันว่า เห็นเหมือนกันมั้ย
พี่คนที่เดินท้ายสุดบอกว่า ได้ยินเสียงคนเดินตามหลังมาตลอด เสียงอยู่ไม่ไกล้ไม่ไกล แต่พอหันไปมอง ก็เห็นแต่ความมืด แล้วเพื่อนของคุณศิระก็เล่าว่า ตอนที่มุดข้ามก้อนหินมาแล้ว ก็ได้หันไปดูรุ่นพี่ข้ามมาทีละคนจนครบหกคน แต่ปรากฏว่าเห็นหัวใครไม่รู้ ชะโงกหน้ามาจากช่องที่พึ่งมุดข้ามมา แล้วก็หลบหายกลับไป
หลังจากนั้นอีกสามวันที่อยู่ที่นั่น คุณศิระจึงไม่ขอดื่มอีกเลย จนถึงวันเดินทางกลับ พอกลับมาถึงที่มหาลัยแล้ว ทุกคนรวมทั้งรุ่นพี่ ก็ได้มานั่งคุยกัน รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่กำลังตั้งวงกันอยู่ที่ชายหาด ก็กะว่าจะนั่งดื่มกันจนถึงเช้า ประมาณตีสาม ได้ยินเสียงหัวเราะ ลอยมาตามลม ทุกคนจึงหันไปหาต้นตอของเสียง
ปรากฏว่าเจอผู้หญิงใส่ชุดขาว ลอยจากยอดต้นไม้ต้นนึง ไปยังอีกต้นนึง สลับกันไปมา ทุกคนจึงหยุดกิจกรรมทุกอย่าง แล้วรีบเข้าเต้นท์นอนกันทันที
เช้าวันต่อมา คนอื่นๆไปเที่ยวกันในถ้ำ แล้วมีคนที่นอนแฮงค์อยู่ในที่พัก กับพวกรุ่นพี่ที่ต้องอยู่เคลียร์สถานที่ประมาณสามคน ปรากฏว่าเห็นคนที่นอนแฮงค์อยู่ ลุกขึ้นร้องโวยวายแล้ววิ่งออกมาจากที่พัก แล้วมาหมดสติอยู่หน้าที่พัก จนต้องพาไปส่งโรงพยาบาล
หมอบอกว่าเป็นอาการเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง พอตอนเย็น ทุกคนก็เลยถาม เจ้าตัวบอกว่า เห็นเงาออกมาจากห้องที่ถูกไม้ตีปิดไว้ ลักษณะเงาดำๆ แล้วเดินเลาะมาตามผนังเข้ามาหา
คืนนั้น หลังจากที่ทุกคนนั่งตั้งวงกันอยู่ มีรุ่นพี่เดินไปสูบบุหรี่อยู่แถวๆหาด ก็เจอเงาดำๆ เดินขึ้นมาจากทะเล ทีละคนๆ เกือบจะสิบคน รุ่นพี่ก็คิดว่าไม่ไหวแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปในที่พัก
วันสุดท้ายตอนจะกลับ ทุกคนก็ได้ขนสัมภาระมากองรวมกันไว้ ปรากฏว่ามีรุ่นพี่ปีสองอยู่คนนึง อยู่ๆก็กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ไปชนต้นมะพร้าว แล้วล้มชักอยู่ตรงนั้น ทุกคนจึงรีบวิ่งไปดู กลัวว่าจะกัดลิ้นตัวเอง
รุ่นพี่คนนึงก็รีบวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ เพื่อที่จะขอเรือเอาคนป่วยไปส่งโรงพยาบาล แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่ได้เอาเรือมาให้ แต่ถือธูปมาแทน แล้วก็จูดธูปปักลงตรงทรายบนหัว ที่รุ่นพี่คนนั้นนอนชักอยู่
แล้วเจ้าหน้าหน้าก็พูดขึ้นมาว่า "พอแล้ว น้องๆเค้าจะกลับกันแล้ว" พอเจ้าหน้าที่พูดจบ รุ่นพี่ก็หยุดชักทันที ทุกคนจึงรุมถามกับเจ้าหน้าที่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เจ้าหน้าที่บอกว่า สถานที่นี้แรง เคยเป็นสถานที่สู้รบกันมาก่อน แล้วตรงหน้าผาที่อยู่ตรงทางเดินก่อนจะถึงที่พัก ตรงนั้นลมตอนกลางคืนจะแรง มันจะพัดเอาทุกอย่างในทะเลมารวมอยู่ตรงนั้น มีศพมาเกยอยู่แถวๆนั้นเป็นประจำ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
จนเพื่อนของคุณนิ่ม ที่ชื่อก้อง ก็ดึงพระจากคอของคุณนิ่ม ไปใส่ให้คุณต้น ทั้งๆที่คุณก้องเองก็ห้วยพระอยู่ แล้วคุณต้นก็สลบนอนอยู่กับที่ สักพัก ได้ยินเสียงคนเอาไม้รูดอยู่รอบๆบ้านอีกแล้ว
คุณรินก็เลยวิ่งไปที่หิ้งพระที่อยู่ข้างฝาบ้าน บนหิ้งไม่มีพระเลย มีแต่ธูป คุณรินจึงหยิบธูปลงมา แล้ววิ่งกลับมาแจกให้ทุกคน เพื่อจุดธูปขอขมา หลังจากนั้นเสียงก็เงียบไป ทุกคนนั่งกอดกันอยู่กลางบ้าน
จนถึงประมาณตีห้า ฟ้าเริ่มสว่าง ก็เลยไปเช็คเอาท์ คุณนิ่มกับเพื่อนๆ ก็เลยไปคะยั้นคะยอกับพนักงานที่ดูแลบังกะโล พนักงานก็ตอบแบบยืนยันหนักแน่นว่า ไม่มีอะไร
จนคุณนิ่มยื่นแบงค์ม่วงให้ พนักงานก็พูดออกมาหมดเปลือกว่า สองคนนั้น ที่คุณต้นเห็นแถวๆชายหาดเป็นสามีภรรยากัน เค้าถูกฟ้าผ่าตาย ตรงต้นมะพร้าวที่ดำๆเกรียมๆ อยู่ถัดออกไปจากบ้านหลังที่คุณนิ่มพักกันไม่กี่เมตร
คุณต้นก็พูดขึ้นมาทันทีว่า "อ๋อ รู้ละ ต้นมะพร้าวที่ผมไปยืนฉี่มาเมื่อคืนนี้เอง" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
Post a Comment