"ที่ดินตาบอด"


     เป็นเรื่องของคุณตูน เรื่องความพิศวงของ "ที่ตาบอด" เป็นที่ดินที่ไม่มีทางออก เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับเขา  เมื่อแปดปีที่ผ่านมา คุณตูนทำงานอยู่ที่หาดใหญ่  ปีนึงจะกลับบ้านที่นครศรีธรรมราชประมาณสองถึงสามครั้ง ที่ดินบ้านของคุณตูน  คุณแม่บอกว่าเป็นที่ดินเก่าแก่

    ทวดเคยเล่าให้คุณตูนฟังว่า เมื่อก่อนที่ดินตรงนี้จะมีแค่ทางเดินเล็กๆตัดผ่าน เพราะสมัยก่อนจะเดินทางด้วยเรือซะส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันมีการปลูกบ้านเรือนขึ้นหลายหลัง จนทำให้เป็นที่ตาบอด

    แล้วการที่จะเข้าบ้านในสมัยก่อน จะต้องเดินผ่านบ้านของคนอื่น ช่วงหลังเทศบาลเห็นว่าที่นี่เริ่มเป็นหมู่บ้านใหญ่ จึงสร้างสะพานคอนกรีต กว้างประมาณหนึ่งเมตร เชื่อมไปหาบ้านแต่ละหลัง

    ข้างบ้านของคุณตูน จะเป็นบ้านของคุณป้า คุณป้าเคยไปดูหมอ ก็โดนทักมาว่าดวงจะไม่ถูกกับบ้าน สร้างบ้านเสร็จแล้ว แต่ก็มีเหตุให้ต้องไม่ได้อยู่บ้านเป็นประจำ ล่าสุดสามีป่วยเป็นมะเร็ง ต้องไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่างอำเภอ จนต้องปล่อยให้บ้านทิ้งร้างอยู่แบบนั้นสองปี

    แต่ที่บ้านหลังนี้ จะไม่มีประตูกับหน้าต่าง เพราะญาติๆคิดว่าปล่อยทิ้งไว้ปลวกมันก็กินซะเปล่าๆ จึงถอดออกมาใช้กันหมด

    คืนนั้น คุณตูนได้กลับเข้าบ้าน ก็ได้นั่งทานข้าวกับญาติที่บ้าน จนเวลาประมาณสี่ทุ่ม ก็คิดว่าจะไปหาเพื่อนในอำเภอ จึงเดินออกไปตรงที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ ก็ได้ยินเสียง "ปั้ง" ดังออกมาจากบ้านของคุณป้า ที่อยู่ข้างๆที่จอดมอเตอร์ไซค์

    ลักษณะเหมือนกับอะไรสักอย่าง หนักๆ ตกลงมากระทบกับพื้นไม้ภายในบ้าน คุณตูนก็ไม่ได้คิดอะไร จนได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง "ปั้ง" คุณตูนสะดุ้งขึ้นมาทันที เพราะเสียงดังกว่าครั้งแรก

    จึงเผลอพูดออกไปว่า "ถ้าผีตัวไหนอยู่ในบ้านหลังนี้ จะแช่งให้ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย" แล้วก็สตาร์ทรถขี่ออกไป จนขากลับมาถึงบ้าน ประมาณตีสี่ สุนัขที่คุณแม่เลี้ยงไว้ก็วิ่งเข้ามาหา

    คุณตูนก็จูงมอเตอร์ไซค์ไปจอดไว้ที่ข้างบ้านของคุณป้า แล้วอยู่ๆสุนัขก็หันไปทางบ้านของคุณป้า แล้วเห่าเสียงดัง คุณตูนแปลกใจ จึงหันไปดูที่บ้านของคุณป้า ปรากฏว่าเห็นหน้าของผู้หญิง โผล่ออกมาที่หน้าต่างของบ้าน ลักษณะหน้าขาวๆ

    คุณตูนชงัก ตัวแข็งไปชั่วขณะ แล้วรีบหันหลังกลับ จับกระเป๋าสะพายไว้แน่น ภายในกระเป๋ามีพระเครื่องกว่าสี่สิบองค์ เพราะได้ขนเอาไปอวดเพื่อนมา ก็คิดในใจว่า ขนาดพระเต็มกระเป๋าแล้วนี่ยังจะมาหลอกกันอยู่อีกหรอ

    และเพื่อความแน่ใจ ก็คิดว่าจะหันกลับไปดูอีกรอบ ถ้าเป็นผีจริง ก็จะต้องเห็น จึงตัดสินใจหันกลับหลังไปดูทันที คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงขอบหน้าต่าง จ้องคุณตูนตาแข็ง ลักษณะหน้าเรียวๆ มัดมวยผม ไม่ใส่เสื้อ แต่ใช้ผ้าพันไว้ที่หน้าอก

    คุณตูนยืนตัวแข็งอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่มีความรู้สึกว่า วินาทีเดียวมันช่างยาวนานเหลือเกิน จนรู้สึกบิดมวนที่ท้อง จากนั้นก็อดกลั้น กลับหลังหัน แล้ววิ่งเข้าบ้านทันที

    คุณตูนนอนคลุมโปงอยู่ในห้อง สักพักยังไม่หลับดี ก็ได้ยินเสียงคนตบผนังบ้านที่เป็นไม้ดัง "ปั้ง" แล้วก็เปลี่ยนไปตบที่อื่น "ปั้ง" แล้วเปลี่ยนที่ไปอีก "ปั้ง" คุณตูนนอนตัวสั่น แต่ก็คิดอยากจะลองของ

    จึงนึกในใจว่า ถ้าเป็นผีที่อยู่ในบ้านของป้า ให้ตีหนึ่งที เสียงก็ดังขึ้น "ปั้ง" แล้วก็คิดอีกว่า ไหนขอลองสองที "ปั้งๆ" คราวนี้เอาชัวๆเลย ขอหกที "ปั้งๆๆๆๆๆ" แต่คราวนี้เสียงดังมาก จึงนอนต่อ อาการคล้ายจะเป็นลม

    ตอนเช้ามืด คุณพ่อจะลุกขึ้นมาห่อขนม เพื่อที่จะเอาไปขาย คุณตูนจึงเดินไปถามพ่อว่า "ใครไม่รู้มาเคาะฝาบ้าน" พ่อก็ตอบว่า "จริงหรอ ทำไมพ่อไม่ได้ยินเลย" คุณตูนเลยตัดสินใจ เล่าเรื่องที่เจอมาให้คุณพ่อฟัง

    พอคุณพ่อได้ฟัง ก็ตกใจหน้าเสีย แล้วพ่อก็บอกว่า "ไม่ต้องกลัว ที่นี่บ้านเรา" พอตอนเช้า ญาติๆจะมานั่งรวมตัวกันดื่มกาแฟอยู่ที่หน้าบ้าน คุณตูนจึงไปเล่าให้ญาติๆทุกคนฟัง

    วันต่อมา คุณตูนจึงกลับไปทำงานต่อที่หาดใหญ่ และอีกประมาณสามเดือนถัดมา ก็ได้กลับมาที่บ้าน เพราะน้องสาวของคุณตูนจะแต่งงาน ด้วยความที่จะย้ายมาอยู่กันในบ้าน มันก็ดูไม่ดี เพราะในบ้านมีลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกสามคน

    แล้วน้องเขย ชื่อบอย ก็ได้คุยกับพ่อตาแม่ยายว่า จะขอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของคุณป้า แต่ทางฝั่งน้องสาวของคุณตูนก็ไม่เห็นด้วย เพราะว่าเจ้าตัวเคยได้ยินเสียงแปลกๆ ออกมาจากบ้านหลังนั้น

    แต่คุณบอยก็คะยั้นคะยอ เพราะมันจะได้ส่วนตัวด้วย ทางน้องสาวของคุณตูนจึงยอม ก็ได้ช่วยกันทำประตูและหน้าต่างใหม่ จนเข้าอยู่ได้ประมาณคืนที่ห้า น้องสาวคุณตูนจะเปิดไฟนอนทุกคืน เพราะกลัว

    คืนนั้นน้องสาวคุณตูนหลับไปแล้ว แต่คุณบอยกำลังจะหลับ ก็เห็นผู้หญิงเกาะอยู่บนโครงไม้ใต้หลังคาบ้าน คุณบอยนอนมองตัวแข็งอยู่กับที่นอน สักพักก็ได้ยินเสียง "ปั้ง" จนคุณบอยได้สติ น้องสาวคุณตูนก็ตกใจตื่นขึ้นมาพอดี

    คุณบอยก็รีบลากน้องสาวคุณตูนออกมานอกบ้าน แล้วเข้าไปนอนในบ้านของคุณแม่ ตอนเช้าจึงไปเล่าให้พวกผู้ใหญ่ที่บ้านฟัง พวกผู้ใหญ่ก็บอกว่าแบบนี้มันไม่ดีแล้ว ก็เลยให้ทำบุญบ้าน

    วันแรกก็นิมนต์พระมาสวด ส่วนวันที่สองก็ได้เชิญร่างทรงมาทำพิธีอยู่ที่หน้าศาลพระภูมิหน้าบ้าน แล้วร่างทรงก็เดินถือไม้เท้าเข้าไปในบ้าน แล้วก็เดินออกมาวนรอบบ้าน จนก็มาหยุดอยู่ตรงบันไดขึ้นบ้าน แล้วเอาไม้เท้าขีดลงพื้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วบอกว่าให้ขุดลงไปดู

    ทุกคนจึงช่วยกันขุดลงไปประมาณเกือบหนึ่งเมตร ก็เจอตุ๊กตาไม้ แกะสลักเป็นรูปผู้หญิง มัดผมมวย พนมมือ ความยาวประมาณหนึ่งศอก เส้นผ้าศูนย์กลางสามนิ้ว จึงได้เอามาทำความสะอาด แล้วญาติก็คุยกันว่า จะเอาไปไว้ที่วัด หรือให้ร่างทรง

    ร่างทรงก็พูดขึ้นมาว่า "เค้าอยู่ที่ตรงนี้มาก่อนที่ข้าจะอยู่อีก" ร่างทรงจึงแนะนำว่า ให้เทพื้นให้สูงขึ้นกว่าศาลพระภูมิ แล้วเอาศาลเพียงตามาตั้ง แล้วเอาตุ๊กตานี้ไว้ในศาลเพียงตา

    จากนั้นคุณตูนก็กลับมาทำงานต่อที่หาดใหญ่ ก็ได้ฝันว่า กำลังยืนอยู่ข้างหนองน้ำขนาดใหญ่ แล้วก็มีผู้หญิงเดินขึ้นมาจากน้ำ โดยที่ตัวไม่เปียก เป็นผู้หญิงที่สวยมาก มัดมวยผม เอาผ้ามัดที่หน้าอก นุ่งผ้าซิ่น แล้วก็พูดกับคุณตูนว่า

ผู้หญิง : แม่อยู่ตรงนี้มานานแล้ว
คุณตูน : แม่ชื่ออะไรเหรอ
ผู้หญิง : แม่ทวดสีแพร สไบทอง
คุณตูน : แล้วทำไมแม่ย่ายังไม่ไปเกิดซักที
ผู้หญิง : แม่ยังไปไม่ได้ เจ้านายแม่ไม่ให้ไป ถ้าใครอยากจะไหว้แม่ ก็ให้ใช้ธูปหอมเจ็ดดอก กับพวงมาลัยดาวเรืองหนึ่งพวง

    และแม่ย่าก็ได้ยื่นพระขรรค์สีทองให้คุณตูนมา ใหญ่ประมาณเท่าฝ่ามือ จนคุณตูนตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นประมาณปีกว่า คุณตูนได้มีโอกาสไปเที่ยวหาเพื่อนที่จังหวัดตรัง เพื่อนก็พาไปรู้จักกับคุณลุงท่านนึง

    เพราะคุณลุงเป็นคนเล่นพระเครื่อง คุณตูนอยู่เที่ยวต่ออีกประมาณห้าวันก็จะกลับ จึงได้ไปกราบลาคุณลุง ก่อนจะกลับก็ได้ขอพระเครื่องของคุณลุงสักองค์ แต่คุณลุงกลับยื่นพระขรรค์มาให้แทน สีเขียวอมดำ เก่ามาก

    คุณลุงบอกว่าได้มาจากเสือแสง เพื่อนซี้ของคุณลุงในสมัยก่อน เสือแสงจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก ในอําเภอปากพนัง ปัจจุบันนี้ ศาลเพียงตากับตุ๊กตาไม้แกะสลักก็ยังอยู่ที่บ้านของคุณตูน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ไม่มีความคิดเห็น