คืนเฝ้าศพ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา ตอนนั้นคุณเจม ยังเป็นนักศึกษาอยู่ และมหาลัยปิดเทอม จึงนั่งรถไฟกลับบ้านที่กรุงเทพ และจะต้องนอนค้างในรถไฟหนึ่งคืน รถไฟมาถึงที่หัวลำโพงประมาณสิบเอ็ดโมง
คุณเจมจึงลงจากรถไฟแล้วเดินเข้าซอยบ้าน ปกติแล้ว ที่บ้านจะเปิดร้านขายของชำ แต่พอคุณเจมไปถึง ในร้านไม่มีของขายเลย มีโต๊ะจัดเรียงอยู่หน้าร้าน และมีคนอยู่เยอะพอสมควร คุณเจมจึงเดินขึ้นบ้าน ไปเจอคุณแม่นั่งร้องไห้
จึงนั่งคุยกัน ปรากฏว่าคุณยายได้เสียชีวิตแล้ว เพราะความดัน หลังจากที่จัดการเรื่องงานเสร็จแล้ว คุณเจมจึงได้ถามว่าเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะวันก่อนที่คุณเจมจะกลับบ้าน คุณเจมยังคุยกับคุณยายอยู่เลย คุณยายก็ดีใจที่คุณเจมจะกลับบ้าน
คุณแม่เล่าให้ฟังว่า อยู่ดีๆ คุณยายก็บ่นว่าปวดหัว แม่ของคุณเจมก็จะพาไปหาหมอ แต่คุณยายบอกว่า เดี๋ยวนอนพักก็หาย หลังจากนั้นสักพัก คุณยายก็ช็อคแล้วก็เสียชีวิตเลย
วันต่อมา ต้องเอาศพของคุณยายไปตั้งไว้ที่วัด แล้วต้องมีคนเฝ้าศพตลอดทั้งคืน เพราะต้องคอยจุดเทียนไม่ให้ดับ เพราะเป็นเรื่องที่ถือกันว่า ถ้าเกิดไฟเทียนดับ คนตายจะไม่มีแสงส่องหนทาง เพราะคนตายจะเดินไปเรื่อยๆ ตามทางของคนตาย
พอตกลงกันเสร็จ สรุปคือคุณเจมเป็นคนเฝ้า คุณเจมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร แต่ใจก็นึกกลัวขึ้นมาหน่อย เพราะที่นี่คงไม่ได้มีแค่วิญญาณของคุณยายแน่นอน คุณเจมมองดูตามกำแพงวัดและกำแพงศาลา ก็เจอแต่กระดูกและรูปขาวดำ ฝังอยู่ทั่วกำแพง ทำให้นึกกังวลใจถึงตอนที่ต้องอยู่เฝ้าศพทั้งคืน
คุณเจมเลยขอให้ใครก็ได้ อยู่เป็นเพื่อนสักคน ก็ได้ญาติผู้ใหญ่มาอยู่ด้วย พอตอนกลางคืน ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็บอกว่า ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวจะช่วยต่อเทียนไขให้ และแถวๆด้านหน้าของศาลาจะมีวงไฮโลอยู่วงหนึ่ง
คุณเจมเลยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เลยนอนเล่นไปมา แล้วก็เผลอหลับ จนเวลาประมาณตีสอง คุณเจมก็รู้สึกตัว แต่ยังไม่ได้ลืมตา คุณเจมไม่ได้ยินเสียงใครเลย ก็คิดในใจว่า ทำไมเลิกเล่นกันเร็ว และก็คิดว่านอนอยู่บนศาลาแค่คนเดียว
คุณเจมจึงไม่กล้าลืมตา เพราะกลัวว่าจะเจออะไรเข้า จนนอนหลับตาอยู่แบบนั้น เสียงลมพัดต้นไม้คลูดกับหลังคาดัง แกร่งๆๆๆ คุณเจมจินตนาการไปถึงใครสักคน นั่งเอาไม้คลูดเล่นอยู่บนหลังคา เสียงหมาเห่าหอนอยู่ที่หน้าวัด ทั้งๆที่ก่อนนอน พวกมันยังอยู่กันที่ตีนบันไดศาลา หรือพวกมันจะกลัวอะไรบางอย่างแถวๆนี้ เลยหนีไปที่อื่นกันหมด
สักพักคุณเจมรู้สึกเหมือนมีคนเอามือมาลูบที่หน้า คุณเจมรู้สึกชาไปทั้งตัว ใจเต้นแรงจนเหมือนมันจะทะลุออกมานอกอก คิดในใจว่า ให้ตายยังไงก็จะไม่ลืมตาเด็ดขาด กลิ่นสาบของอะไรบางอย่าง ลอยมาเตะเข้าที่จมูก
หรือว่าอะไรบางอย่างที่อยู่บนหลังคา เค้าจะเบื่อเล่นคนเดียว เลยลงมาเล่นกับคุณเจมแทน คุณเจมนอนให้เค้าลูบใบหน้าเล่นอยู่แบบนั้น เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง โดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว จนบางครั้งเหมือนจะลืมหายใจเป็นช่วงๆด้วยซ้ำ จนไม่แน่ใจว่าตนเองเผลอหลับไป หรือสลบ
ตื่นมาอีกทีประมาณตีห้า วงไฮโลที่กำลังนั่งเล่นกันเมื่อคืน ตอนนี้ก็ยังนั่งเล่นกันอยู่ที่เดิม คุณเจมงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็นึกในใจว่ายังดีที่ตื่นมาเจอคน ดีกว่าตื่นมาแล้วเจออะไรบางอย่างที่มานั่งลูบหน้าเมื่อคืน
เหตุการณ์นี้ผ่านไปประมาณสิบปี คุณพ่อของคุณเจมก็เสีย และก็เอาศพไปวางไว้ที่ศาลาเดิมอีก แล้วคนที่จะต้องนอนเฝ้าศพ ก็ไม่พ้นคุณเจมอีก และก็ตามเดิม คุณเจมขอเพื่อนมานอนเฝ้าด้วยหนึ่งคน ก็ได้น้องชายมานอนเป็นเพื่อน
จนเวลาประมาณเที่ยงคืน ในศาลาวัดเหลือแต่คุณเจมและน้องชายสองคน และอีกสามสี่ชีวิตที่นอนอยู่ตรงตีนบันได คุณเจมกำลังเคลิ้มๆหลับ ก็ได้ยินเสียง "แก็กๆๆๆๆ" ลักษณะเหมือนเสียงฟันกระทบกัน จึงลุกขึ้นมา น้องชายก็ลุกตามขึ้นมาด้วย
จึงได้เดินไปดูรอบๆโรงศพ แต่ก็ไม่พบอะไร บังเอินคุณเจมเหลือบไปมอง เห็นฟันปลอมวางอยู่ที่โต๊ะหน้าโรงศพ เป็นฟันปลอมของคุณพ่อ ที่ท่านจะใช้เป็นประจำ จึงนึกในใจว่า หรือจะเป็นฟันปลอมที่มันกระทบกัน คุณเจมคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกขนลุก แล้วเดินกลับไปหาน้อง
คุณเจมรู้สึกกลัวจนไม่กล้าหลับ จึงชวนน้องเล่นไพ่กันสองคน จนถึงเวลาตีห้า คุณเจมและน้องชายก็หลับ ไปตื่นอีกทีตอนประมาณสิบเอ็ดโมง คุณเจมก็ถามน้องชายว่า เมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรมั้ย น้องชายก็บอกว่า ได้ยินเหมือนเสียงฟันปลอมมันกระทบกัน
หลังจากวันนั้น คุณเจมและน้องชายก็ไม่กล้านอนเฝ้าอีกแล้ว ให้ญาติคนอื่นเฝ้าแทน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
Post a Comment