เสือ ภาค1
เรื่องราวเล่าโดย คุณธกร คนชอบเล่า เป็นเรื่องของคุณธงชัย ชัยมีแรง การท่องป่าลึกที่ต้องไปทวงหนี้ลูกหนี้รายนึง พวกเขาพบกับเรื่องลี้ลับและเสือ ลองไปติดตามเรื่องนี้กันเลย
เป็นเรื่องของคุณธงชัย ชัยมีแรง ซึ่งได้เล่าว่า ผมกับตาสุ่ย ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านซับบอนเมื่อตอนบ่ายๆ หลังจากที่ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด ภารกิจของเราก็คือ ไปติดตามลูกหนี้รายนึง ลูกหนี้รายนี้ เค้ารับรองกับพวกเราว่า จะเอาน้ำผึ้งมาให้เราสองปี๊บ ตามราคาที่ตกลงกันไว้ และขอเบิกเงินล่วงหน้าไปก่อน อ้างว่ามีธุระจำเป็น แต่มันเลยกำหนดการนัดหมาย ก็ยังไม่ได้รับของ ผมเลยชวนตาสุ่ย เพื่อออกติดตาม
หมู่บ้านซับบอนนี้ เป็นหมู่บ้านที่เริ่มบุกเบิก ผู้คนเพิ่งอพยพเข้ามาอยู่ได้ไม่นานมาก เป็นบ้านป่ากลางดงดิบ อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเราไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีอยู่ประมาณสิบกว่าหลังคาเรือน
ตัวผมเองเคยถามกับตาเชยคนรู้จักกันว่า "พากันอพยพมาจากจังหวัดไหน" ก็ได้รับคำตอบว่า "มาจากจังหวัดบุรีรัมย์ ยกขบวนกันมาแทบจะหมดหมู่บ้าน" ผมก็ถามด้วยความสงสัยว่า "แล้วทำไมถึงยกขบวนกันมาพร้อมเพรียงกันดีแท้"
ตาเชยก็เล่าให้ผมฟังว่า "พวกผมน่ะ เข้ามาสำรวจกันดูก่อนแล้ว บางคนก็อุส่าขุดดิน ห่อผ้าขาวม้า เอาไปให้คนที่บ้าน ที่ไม่ได้มาดูน่ะ ว่ามันเป็นดินชนิดไหน สมควรจะปลูกพืชอะไรได้บ้าง พวกที่เห็นดินแต่ไม่เห็นสภาพป่า ก็พากันเดินทางเข้ามาดูใหม่ เมื่อทุกคนพอใจ จึงพากันขายที่ดินแถวบ้านเก่า แล้วก็พากันอพยพกันเข้ามาอยู่นี่แหละ"
ตาเชยวัยชรา รุ่นราวคราวเดียวกับตาสุ่ย เป็นหัวหน้าของหมู่บ้าน แกต้อนรับผมกับตาสุ่ย ให้อยู่บนกระท่อมของแก ตาเชยกับผมรู้จักกันดี เคยติดต่อซื้อขายของป่ากันมานาน เมื่อนั่งพักหายเหนื่อยได้สักพัก คุยกันถึงเรื่องจุดประสงค์ในการมาของผมกับตาสุ่ยแล้ว ตาเชยก็พูดขึ้นว่า
ตาเชย : นายมาก็ดีแล้ว ผมกำลังจะปรึกษากันว่า จะไปตามหานายอยู่ทีเดียว ก็พอดีนายมา
ผม : เรื่องอะไรเหรอครับ
ตาเชย : เสือครับเสือ เสือมันอาละวาดจริงๆ
ตาสุ่ย : มันเสือที่ไหนอ่ะ
ตาเชย : ตัวที่กำลังอาละวาดอยู่นี่แหละ มันกล้าเหลือเกิน ขนาดเดินเข้ามาในหมู่บ้านเลยทีเดียวนะ
ผม : แล้วไม่มีใครตามล่ามันบ้างเลยเหรอ
ตาเชย : มีครับมี คนในหมู่บ้านเราก็มีพรานอยู่หลายคนนั่นแหละ แต่ก็ล้มมันไม่ได้สักราย เค้าว่ามันเป็นเสือผีสิง ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันมาจากไหน ตั้งแต่ภูขี้เถ้า วังขอนสัก เขาคอก โป่งเกตุ นายางกลัก เขาพังเหย ระหว่างรอยต่ออำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ดูเหมือนว่ามันจะตระเวนย่ำไปหมดแล้ว ฆ่าทั้งคนและสัตว์มามากต่อมาก ยังกินพื้นที่ไปถึงอําเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์อีกนะ พวกคนภูเขา ที่ลงมาตักน้ำในลำห้วย ขณะที่จะกลับขึ้นไปบนดอย ก็โดนไอ้ลายพาดกลอนตัวเนี่ย คาบไปกินอย่างเหี้ยมโหดหลายรายแล้วล่ะ
ผมกับตาสุ่ยนั่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่รู้จะออกความเห็นยังไงกันดี ตาเชยก็เล่าต่อว่า
ตาเชย : มันร้ายจริงๆครับ มีผัวเมียคู่นึงนะ นอนทำไร่อยู่กลางป่า มันก็กระโจนขึ้นกระท่อมเลยแหละ ทั้งผัวทั้งเมียตกใจแก้ไขอะไรก็ไม่ทัน มันตรงเข้ากัดผู้หญิงตายคนนึง แล้วก็ตบผู้ชายที่กำลังจะเข้าไปช่วยเมียอีก แล้วก็ลากผู้หญิงเข้าป่าไป
ตาสุ่ย : ปืนก็มีอยู่ตั้งหลายกระบอกหนิ ทำไมไม่ช่วยกันไล่ล่าล่ะ
ตาเชย : ปืนน่ะมันมี แต่มันยิงไม่ถูก อีกอย่างก็ไม่มีคนใจถึง เสือตัวนี้มันกล้าเหลือเกิน กล้าเผชิญหน้ากับคนอย่างไม่หลบหลีก เค้าว่ามันเป็นเสือผีสิง วิญญาณของผีตายโหงคุ้มครองตัวมันเอาไว้
ผมฟังไปก็ยังไม่ปักใจเชื่อมากเท่าไหร่ แต่ที่ว่ามันเป็นเสือผีสิงน่ะ ก็ในเมื่อเสือมันไม่กลัวคน คนเองก็จิตใจหวั่นไหว เมื่อคนเราขาดสติมีแต่ความหวาดกลัว การลั่นกระสุนปืนแต่ละครั้ง มันก็ย่อมจะผิดพลาดได้เป็นธรรมดา เสือมันก็เลยย่ามใจ เที่ยวอาละวาดใครต่อใคร โดยไม่เกรงกลัวอะไร ที่มันกลายเป็นเสือผีสิง ก็อาจจะเพราะปากคนนั่นแหละ จึงทำให้มันอยู่ลอยนวล เหมือนกับจะเย้ยพวกพราน
และการเดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ ก็ช่างประจวบเหมาะดีแท้ เรื่องเสือสมิงเนี่ยต้องฟังหูไว้หู อาจจะเป็นจริงอย่างที่คนเค้าเล่าว่าก็ได้ พรานที่ดีย่อมไม่ประมาท ต้องเตรียมพร้อม คอยรับกับเหตุการณ์ตลอดเวลา
ตาเชยก็ยังไม่หยุด ยังคงเล่าพฤติกรรมของเสือตัวนั้น ให้ผมกับตาสุ่ยฟังอีก และตาเชยก็เล่าว่า มีเด็กหนุ่มคนนึง กับเพื่อนทั้งหญิงและชาย พากันออกไปหาเห็ดป่า ที่ออกตามขอนไม้ผุๆ
เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเองเลยว่า วันนั้นจะเป็นวันสิ้นสุดของชีวิต ขณะที่เพื่อนๆคุยกันเฮฮา เก็บเห็ดตามพื้นดินอยู่นั่นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เสือร้ายมันแอบย่องเข้ามาอย่างเงียบกริบ จนไม่มีใครได้ยินเสียง หรือสัมผัสสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นการระวังไพร ป่าทั้งป่าในเวลานั้น ก็ดูเหมือนจะเงียบด้วยเดชอำนาจอันลึกลับ
มันคลานอกติดดินเข้ามาแอบอยู่หลังโคนต้นยางใหญ่ และหมอบนิ่งอยู่ที่นั่น เด็กหนุ่มคนนั้นไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ๆก็เดินเที่ยวหาเก็บเห็ดห่างจากพรรคพวกออกไปทุกทีๆ
เจ้าเสือร้ายมองดูเด็กหนุ่มด้วยสายตาคมวาว หางที่ยาวเป็นปล้องๆสีเหลืองสลับดำวาดไปมาเหมือนหางแมว ที่หมอบคอยตะครุบนก หรือหนูตามพื้นดินอย่างไรก็อย่างนั้น
พอได้จังหวะ ลายพาดกลอนมันก็กระโจนเข้าตะครุบ ส่งเสียงร้องคำรามอย่างดุร้าย ป่าทั้งป่าดูเหมือนจะสะเทือนเพราะเสียงร้องของมัน ใบไม้แห้งบนต้นไม้ปลิวว่อนลงมาเหมือนโดนลมพัด
ร่างสีเหลืองลายพาดดำ ตัวยาวกว่าเจ็ดศอก ลอยมาบนอากาศ ชั่วพริบตาเดียว มันก็ตะปบถึงร่างของเด็กหนุ่มคนนั้น จนเด็กหนุ่มหงายลงกับพื้น ตะกร้าเก็บเห็ดตกกระจาย ลายพาดกลอนยืนค่อมอยู่บนร่างของเด็กหนุ่ม ปากของมันมีเลือดติดอยู่ เพราะมันกัดลงที่ลำคอของเด็กหนุ่มเป็นแผลใหญ่ เลือดแดงฉานเต็มปาก
มันคำรามอีกครั้งหนึ่ง เล็บที่อุ้งตีนหน้าของมันเจาะลึกเข้าที่สะเอวของเด็กหนุ่ม พวกเพื่อนๆที่เห็นเหตุการณ์ ต่างโยนตะกร้ากระบุงใส่เห็ดทิ้งกันกระจายเกลื่อน วิ่งหนีเอาตัวรอดกลับมายังหมู่บ้านกันตัวใครตัวมัน
เมื่อข่าวเสือร้ายตะครุบเด็กหนุ่มกระจายออกไป สักครู่ต่อมาที่หมู่บ้านซับบอน พวกผู้ชายที่รวมกลุ่มกันนั้น มีปืนมีดหอกครบมือ รวบรวมคนได้เกือบยี่สิบคน พากันเดินตีเกราะเคาะไม้ลั่นป่า มีพรานในหมู่บ้านซับบอนมาด้วย พร้อมกับปืนคาบศิลา หมายจะพิฆาตเจ้าวายร้ายตัวนี้ให้ได้
พอมาถึงที่เกิดเหตุ พวกเค้าก็ไม่พบซากของเด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย พบแต่กองเลือดเป็นกอง มีแมงวันตอมกันหึ่ง พรานคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "มันลากไปกินที่อื่นแน่ๆ คิดว่าคงจะตามไม่ยาก ลงอย่างงี้ มันต้องมีร่องรอยให้เราเห็น เอ้าพวกเรา ตามรอยมันไป"
การแกะรอยนั้นง่ายมาก นอกจากรอยหญ้า พุ้มไม้ที่ราบเป็นทางแล้ว ยังมีรอยเลือดติดเปรอะอยู่ตามทางที่มันลากศพไปด้วย ความมุ่งหมายของคนกลุ่มนี้ ก็เพื่อจะติดตามเอาศพของเด็กหนุ่มกลับมา ไม่ได้ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับเสือ
แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ การตีเกราะเคาะไม้ไล่โห่เอะอะ จึงเป็นการกระทำตลอดเวลา เพื่อเอาเสียงเป็นเพื่อน และขับไล่ให้เสือตัวนั้นทิ้งศพ แล้วหนีเข้าป่าไป
ในที่สุด ก็พบซากศพถูกเสือลากมาซ่อนไว้ในโพรงหนาม ศพนั้นเละไปทั้งตัว เพราะถูกเจ้าวายร้ายมันกัดกินไปบ้าง ท้องฉีกขาด ลำใส้ถูกดึงออกมานอกร่าง ขาขวาบริเวณสะโพกหายไปเป็นก้อน จนมองเห็นกระดูกสีขาว หนังหัวถูกถลกจนกลับมาปิดใบหน้า
พรานที่เป็นหัวหน้า บอกกับพรรคพวกที่กำลังมุงดูศพว่า "เสือตัวนี้มันเป็นเสือผีสิงอย่างแน่นอน ดูจากที่มันถลกหนังหัวศพมาปิดหน้าบังนัยตา เพราะมันกลัวนัยตาของคนที่ตาย มาเบิ่งมองค้างไว้ คนโบราณว่า มันกลัวจำหน้าของมันได้ ตามลักษณะของเสือที่มีวิญญาณผีตายโหงสิง"
ใครคนนึงก็พูดขึ้นว่า "แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปอ่ะ เอาศพกลับ หรือว่าจะฝังไว้ที่นี่" พ่อของเด็กหนุ่ม พูดขึ้นด้วยความเสียใจที่ต้องสูญเสียบุตรชายอันเป็นสุดที่รักไป อย่างไม่มีวันหวนกลับ "กูอยากจะแก้แค้น" เค้าพูดด้วยน้ำตา "ทิ้งศพไว้ที่นี่ก่อน กูจะจัดการกับมันเอง มันต้องกลับมากินอีกแน่ เสือหิวอย่างนี้ มันต้องห่วงเหยื่อของมันแน่ ที่มันหนีไปก็เพราะว่าเราส่งเสียงเอะอะนี่แหละ มันหนีไปได้ไม่ไกลหรอก คืนนี้กูจะนั่งรอมันเอง"
เพื่อนพรานคนนึงก็ตะโกนออกมาว่า "กูด้วยคน กูจะขออยู่เป็นเพื่อน เพื่อไล่ล่าไอ้วายร้ายตัวนี้ ขืนปล่อยไว้ไม่ดีแน่ ไม่วันใดวันนึง มันต้องกลับมาเล่นงานคนในหมู่บ้านของเราอีก คืนนี้กูขออยู่กับด้วยคน" นั่นคือเสียงของพรานหนุ่มอีกคนนึง ที่พูดกับพ่อของเด็กหนุ่มอย่างใจเด็ดเดี่ยว และตั้งใจว่าจะสังหารเจ้าวายร้ายตัวนี้ให้ได้
ขบวนชาวบ้านที่ติดตามกันมานั้น พร้อมทั้งพรานสองคนที่คอยจะยิงเสือ พากันส่งเสียงเอะอะ เดินกลับไปยังหมู่บ้าน ซึ่งเป็นระยะทางเดินประมาณชั่วโมงกว่าๆ พากันออกมาจากดงลึก
พรานสองคนก็กลับกันออกมาด้วย กลับมาเตรียมตัวใหม่ เพื่อจะกลับไปรับมือกับเจ้าเสือผีสิงในเวลากลางคืน พรานทั้งสองนั้นได้เดินกลับไปยังซากศพ เพื่อที่จะสุ่มยิงเสือ แต่จะเป็นเวลาไหนตอนไหน ก็ไม่มีใครทราบ
แต่ว่า เช้าวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านซับบอนตื่นมาแต่เช้า ก็ได้รวมตัวกันอีกครั้ง หลายคนเป็นห่วงพวกพรานสองคนที่ไปนั่งซุ่มคอยยิงเสือ ดวงตะวันเพิ่งจะโผล่ขึ้นเหนือขุนเขา ความร้อนจากแสงอาทิตย์ทำให้น้ำค้างกลายเป็นไอ ลอยขึ้นจากแนวป่า มองดูมืดมัวไปหมด เหมือนเป็นฉากม่านกำบัง
พวกชาวบ้านก็ไม่วายที่จะโห่ร้องตีเกราะเคาะไม้ให้ดังลั่นอีกเช่นเคย เพื่อเป็นการเอาเสียงเป็นเพื่อน และขับไล่เสือให้หลีกทางไป ในที่สุด ก็พากันมาถึงที่ๆพรานทั้งสองคนนั่งซุ่ม คอยดักยิงเสือ
แต่เมื่อมาถึงที่ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงในเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ความกลัววิ่งเข้าจับขั้วหัวใจ เมื่อเห็นซุ่มไม้ที่พรานทั้งสองทำเป็นที่กำบัง คอยซุ่มยิงเสือห่างจากศพแรกประมาณสิบวา ซุ่มอันนั้นกระจัดกระจาย ราวกับว่าโดนโขลงช้างทั้งโขลง บุกเข้ามาทำลายแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดี
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ร่างของสองพรานกลายเป็นศพอาบเลือดตายสนิท ร่างกายแหลกเหลวด้วยคมเล็บและเขี้ยวของเจ้าลายพาดกลอน จนแทบไม่เหลือชิ้นดี และซากศพของเด็กหนุ่ม ก็ยังถูกมันแทะกินทั้งขา ตลอดถึงทรวงอก มองดูแล้วแสนจะทุเรศเวทนามาก
ชาวบ้านทนไม่ได้ ก็ช่วยกันขุดหลุมฝังศพทั้งสามในบริเวณนั้น ครั้งแรกควรจะเป็นศพเดียว แต่ดันกลายมาเป็นสามศพ เพราะฤทธิ์ของไอ้วายร้ายตัวแสบ เมื่อกลบดินเสร็จเรียบร้อยทั้งสามหลุม ก็พากันรีบกลับหมู่บ้านด้วยความหวาดกลัว ทุกคนพากันกลัวเจ้าลายพาดกลอน ที่คนเค้าลือกันว่า มันมีวิญญาณของผีตายโหงเข้าสิง
เพราะฉะนั้น มันจะต้องดุร้ายเป็นธรรมดา มันเพื่มจำนวนคนที่ตายเพราะมันขึ้นมาอีกสามศพ ในเวลาเพียงสองวัน และในจำนวนนั้น ก็เป็นพรานที่มาคอยสังหารมันถึงสองศพ เจ้าเสือผีสิงตัวนี้ ได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวบ้านซับบอน และหมู่บ้านที่ไกลออกไปในเขตติดต่อกัน
แต่ในหมู่บ้านอื่น ก็ยังไม่มีข่าวลือถึงเสือตัวนี้ ได้เข้าไปอาละวาดบ่อยๆในช่วงนั้น และก็ดูเหมือนว่า มันไม่ใช่ว่าได้ท่องเที่ยวไปไหนนาน ในระยะนั้น คงวนเวียนหากินอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านซับบอนนั่นเอง
บางคืนจะได้ยินเสียงมันร้องคำรามดังอยู่รอบๆหมู่บ้าน และบางที ตอนเช้าก็จะพบรอยตีนของมันเหยียบย่ำอยู่บนลานดิน คล้ายกับว่ามันอวดศักดา แล้วขู่เอาไว้ ยิ่งทำให้ชาวบ้านขวัญกระเจิง ในพฤติกรรมของมัน ถึงกลับจะพากันอพยพไปตั้งรกรากที่อื่นกันหมด นี่คือคำบอกเล่าของตาเชย เจ้าของกระท่อมที่ผมกับตาสุ่ยได้ไปนั่งพัก
Post a Comment