เสือ ภาค2
ต่อกันเลยกับ ภาค2 ของ เสือ
เหตุการณ์ที่แกเล่านี้ มันเกิดขึ้นก่อนที่ผมกับตาสุ่ย จะเดินทางเหยียบย่างเข้ามาในหมู่บ้านนี้ไม่นานนัก และขณะนี้ คนในหมู่บ้านทุกคนก็กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว ค่ำลงก็อยู่แต่บนกระท่อม ชักบันไดขึ้นมาไว้บนบ้าน สัตว์เลี้ยงจำพวกวัวควายก็ต้องทำคอกอย่างแน่นหนา หมาก็เอามาไว้บนเรือนด้วย กลางวันจะไปไหนมาไหน ก็ต้องไปกันหลายคน จนไม่เป็นอันทำมาหากิน
คิดแล้วก็น่าสงสารในเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ ผมถามหาลูกหนี้คนที่ผมต้องการตามหา ก็ได้รับคำตอบจากตาเชยว่า "มันหายไปจากหมู่บ้านหลายวันแล้วครับ ลูกเมียมันก็ยังอยู่ที่นี่ ไม่ช้าไม่นานก็คงจะกลับมาแหละ"
ตัวผมกับตาสุ่ยนั้น ไม่มีธุระจะออกไปไหนกัน ก็เลยนั่งๆนอนๆ ฟังตาเชยเล่าเรื่องเสือก็เพลินดีเหมือนกัน เมื่อเล่าจบแกก็บอกว่า "นายกับตาสุ่ยมาก็ดีแล้ว ช่วยสงเคราะห์หน่อยเถอะ ไหนๆก็มากันแล้ว ส่วนเรื่องคนที่มันเอาเงินนายไปน่ะ เมื่อมันกลับมา ผมจะบังคับให้มันหาน้ำผึ้งมาให้นายเอง"
ผมกับตาสุ่ยก็นอนอยู่ที่กระท่อมของตาเชย คอยฟังข่าวของเสือตัวนั้นต่อไป พวกชาวบ้านที่รู้ข่าวว่าเราจะมาช่วยปราบเสือ ต่างก็พากันมามันเยี่ยมเยียนถามไถ่ ตาเชยแนะนำให้หลายคนรู้จักกับผมและตาสุ่ย
พวกเค้าชื่นชมในปืนลูกซองห้านัดของผมมาก ผมกับตาสุ่ยรับปากว่า จะยินดีให้ความร่วมมือในการปราบเสือครั้งนี้ ตลอดสองวันกับสามคืนที่ผมกับตาสุ่ย รอคอยฟังข่าวเจ้าเสือร้าย ว่ามันจะปรากฏตัวขึ้นที่ไหนบ้าง จะได้เริ่มจับจุดออกตามล่ากัน
แต่ก็ยังไม่มีวี่แววอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้น ทุกอย่างยังคงเงียบ หลายคนว่ามันยังไม่หนีไปไหน มันคงแอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ หมู่บ้านซับบอนกลายเป็นอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว ทุกคนไม่เป็นอันกินอันนอน ต้องอยู่ยามตามไฟกันตลอดคืน บางคืนมันจะย่างกลายเข้ามาในหมู่บ้านกันเลยทีเดียว
เสียงที่มันร้องคำรามขึ้นในยามดึกสงัดนั้น ปลุกให้ชาวบ้านพากันตื่นตระหนกอกสั่นขวัญแขวน หลายคนที่ใจกล้า ก็เพียงแต่แอบมองตามร่องรูฝาเท่านั้น ท่ามกลางแสงจันทร์ คนที่อยู่ใกล้เหตุการณ์มองเห็นว่า ร่างลายพร้อยของลายพาดกลอนตัวนั้น มันนอนหมอบอยู่ตรงลานดิน โดยไม่หวาดกลัวว่าใครจะทำร้าย กวาดหางไปมาโดยไม่เกรงกลัวอะไร
เท่านี้ก็ทำให้คนที่เห็นถึงกับขนลุก มันนอนในหมู่บ้านเหมือนนอนในป่า เกือบตั้งชั่วโมง ที่มันนอนหมอบนิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วก็ลุกขึ้นส่งเสียงร้องคำรามในลำคอ ก่อนจะเดินออกจากหมู่บ้าน หายเข้าป่าไป
มันทำราวกับว่าจะเย้ยหยันผมกับตาสุ่ย แต่เราทั้งสองอยู่ห่างจากเหตุการณ์ที่ว่านี้มาก เพราะบ้านตาเชยที่พักอยู่นั้น ห่างจากเหตุการณ์ออกมาอีก ถ้ามันอยู่ใกล้ที่ผมกับตาสุ่ยพักกันน่ะ คงได้ซัดกันบ้างล่ะ มาหมอบให้เห็นตัวอย่างนั้น ใครจะอดใจไม่ยิงมันได้บ้าง
เราสามคน หมายถึงผม ตาสุ่ย และตาเชย นั่งปรึกษากันถึงแผนการที่จะล่าเสือตัวนั้น เราจะล่อเสือให้เข้าทางปืนของเราดีกว่า โดยเอาเหยื่อล่อ ครั้งแรกก็จะหาลูกวัวสักตัว เอามาผูกล่อเสือไว้ใกล้ห้าง แล้วก็ไปสำรวจทิศทางที่เสือมันจะเดินเข้าออก ระหว่างหมู่บ้านกับป่า และหาที่เหมาะๆ ขัดห้างกันไว้
แต่เรายังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรกันเลย เจ้าเสือพาดกลอนผีสิงตัวนั้น เหมือนกับว่ามันจะหยั่งรู้ รีบชิงตัดหน้า ก่อกรรมทำเข็นขึ้นซะก่อน มันสร้างพฤติกรรมโหดเหี้ยมขึ้นในหมู่บ้านซับบอน ซึ้งโหดเหี้ยมจริงๆ เหมือนจงใจจะทำลายร้าง ข่มขวัญ
ดึกสงัดของคืนวันหนึ่ง มันบุกเข้ามาในหมู่บ้านอีก คราวนี้มาอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงคำรามข่มขวัญเช่นเคย บ้านที่เคราะห์ร้ายโดนเสือเล่นงาน บ้านหลังนั้น เหมือนกับว่าเจ้าลายพาดกลอน มันจะหยั่งรู้ว่า บ้านนี้ไม่มีผู้ชายคอยขัดขวางทางมัน เหมือนมันจะจงใจเลือกเอาบ้านหลังนี้
มันคือบ้านของผู้หญิงหม้ายสามีตาย อยู่กับลูกชายลูกหญิงเล็กๆสองคน อายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ คืนนั้น หญิงหม้ายกับลูกกำลังนอนหลับ ไม่มีใครรู้เลยว่าขณะนี้ มัจจุราชกำลังเยื้องกลายเข้ามาฉุดคร่าเอาชีวิตของสามแม่ลูก
ไอ้ตัวลายมันหมอบอยู่หน้ากระท่อม สายตาของมันมองขึ้นไปบนกระท่อม หมาที่นอนหมอบอยู่บนระเบียงข้างนอก นอนตัวสั่นเยี่ยวราดออกมาเพราะอำนาจของเสือ ทันใดนั้นเอง เสียงเด็กในบ้านก็ร้องไห้ขึ้นมา
เท่านั้นเอง เหมือนจะทำให้ไอ้ลายพาดกลอนเกิดความดุร้ายขึ้นมาทันที มันร้องคำรามเสียงดังสนั่น แล้วกระโจนพรวดไปบนกระท่อมหลังนั้น ต่อมาก็มีเสียงของเด็กร้อง เสียงเสือ และเสียงผู้หญิงหม้ายเจ้าของกระท่อมหลังนั้น ร้องเรียกให้คนช่วยอย่างตกอกตกใจ
ขณะที่เกิดเสียงร้องให้ช่วยนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีใครวิ่งเข้าไปช่วย คนทั้งหมู่บ้านต่างแตกตื่นโกลาหล ร้องเอะอะกันลั่น ต่างก็จุดคบไฟขึ้น แต่ไม่มีใครสักคน ที่จะกล้าลงจากกระท่อมไปดู
เสียงเอะอะเกรียวกราวได้ผล เจ้าเสือร้ายรีบกระโจนลงจากกระท่อมหลังนั้น วิ่งหายเข้าไปในป่าในความมืดมิด คืนนั้นเป็นคืนที่โศกเศร้าและน่ากลัวเหลือเกินเป็นที่สุด แม้ว่าเสือร้ายจะกระโจนหนีเข้าป่าไปแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าลงจากกระท่อมไปดูหญิงหม้ายและลูกของเธอเลย
ได้แต่จุดตะเกียงไว้ แล้วนั่งยามตีเกราะเคาะไม้ตลอดคืน จนกระทั่งรุ่งเช้า จึงพากันไปที่กระท่อมหลังนั้นเพื่อดูเหตุการณ์ ผมกับตาสุ่ย และตาเชยทราบข่าว ก็ไปดูกับเค้าด้วย ทุกคนได้เห็นสภาพที่ยับเยินของหญิงหม้ายเจ้าของกระท่อม พร้อมกับลูกน้อยทั้งสองของเธอ
สามคนนั้นสิ้นชีวิตเพราะเจ้าเสือจอมโหด ภายในห้องที่ทับไปด้วยสิ่งปรักหักพัง ผมกับตาสุ่ยดูเหตุการณ์ด้วยความสลดใจ การเดินทางมาบ้านซับบอนของเราเที่ยวนี้ ต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสยดสยอง ในใจของผมตอนนั้น เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นแทนชาวบ้านซับบอนมาก และตั้งใจว่าจะฆ่ามันให้ได้ ตาสุ่ยพูดขึ้นมาว่า
ตาสุ่ย : ไม่มีใครคิดจะจัดการกับมันเลยหรือไง
ตาเชย : มันเป็นเสือผีสิง ไม่มีใครทำอะไรมันได้หรอก พรานหลายคนที่คิดจะเล่นงานมันเนี่ย แต่มันกลับมาเล่นงานพรานซะหมด
ผม : แล้วทำไมตาเชยถึงอยากให้ชั้นกับตาสุ่ยล่ามันล่ะ ไม่กลัวว่าเราจะเป็นอันตรายกันบ้างหรือไง
ตาเชย : โอ้ย ผมก็ไว้ใจนายกับตาสุ่ยนะ ข่าวที่ว่านายกับตาสุ่ยน่ะ เคยยิงเสือมามาก ผมก็คิดว่านายกับตาสุ่ยคงจะมีดี แต่ถ้านายไม่แน่ใจ ผมก็ไม่อยากขอร้องนะ ขอให้นายตัดสินใจเอาเองละกัน
เรื่องที่เราได้ยินได้ฟังมาเกี่ยวกับเสือตัวนี้ มันไม่ใช่เสือธรรมดาเสียแล้ว มันอาจจะเป็นเสือผีสิงอย่างที่เค้าเล่าว่ากันจริง ถ้าเช่นนั้น งานนี้ก็ต้องเป็นงานหนักแน่ๆ การล่าเสือครั้งนี้ ไม่ถือว่าเป็นครั้งแรกของเรา เราเคยผจญกับมันมามากต่อมาก แต่ก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ตาเชยก็พูดขึ้นว่า
ตาเชย : ถ้าไม่มีใครปราบมันได้ บ้านซับบอนก็ต้องเป็นบ้านร้าง มันก็คงถึงคราวที่ต้องแยกย้ายอพยพหนีกันแล้วล่ะ
ตาสุ่ย : เฮ้ย ถ้าอย่างนั้น ก็จะขอลองดูกันมันซักตั้งแล้วกัน ถ้ามันเก่งจริง ก็ให้มันมาเล่นงานพวกเราอีกสองคนละกัน อย่าเพิ่งจัดการกับศพนะ ปล่อยไว้อย่างงี้สักคืน มันคงจะกลับมาแน่
เมื่อตาสุ่ยพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นใจ ผมก็เลยตกกระไดพลอยโจนไปด้วย เราพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าวายร้ายตัวนั้น อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง คืนนั้นเราสองคน ผมกับตาสุ่ยแอบซุ่มอยู่บนกระท่อม ใกล้ๆกับกระท่อมของหญิงหม้าย
เราพากันขึ้นไปสงบสติอารมณ์อยู่ท่ามกลางความมืด พร้อมกับปืนคู่ใจ เวลาผ่านไปตั้งแต่หัวค่ำ ดูเหมือนชาวบ้านซับบอนจะไม่มีใครหลับนอนกันเลย ทุกคนรอคอยเวลา ที่ไอ้ลายจะเข้ามาจัดการกับเหยื่อของมัน ที่มันได้ฆ่าทิ้งไว้ ผมกับตาสุ่ยจะได้จัดการกับมัน
จะสำเร็จหรือไม่นั้น ชาวบ้านเค้าก็อยากจะฟังผล ทุกอย่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หวาดระแวง เงียบวังเวง แม้แต่ลมก็ยังไม่พัดเข้ามาแม้แต่น้อย ใบไม้แทบจะไม่กระดิก เสียงแมลงที่เคยดังเซ็งแซ่กลับเงียบสนิท จนดูผิดปกติมาก
ผมรำพึงในใจว่า นี่มันอะไรกัน แสงจันทร์บนท้องฟ้ายามข้างขึ้นนี้ ก็ดูจะไม่แจ่มใสเอาซะเลย มันดูสลัวๆ แม้จะเคยผจญกับเหตุการณ์ต่างๆมาก็มาก ผมก็อดจะระทึกไม่ได้ ส่วนตาสุ่ยนั้นมีความรู้สึกยังไง ผมไม่อาจทราบได้ เราไม่ได้คุยกันเลย เพราะกลัวว่ามันจะเกิดเสียง
ยุงป่าบินมาตอม ต้องหักห้ามใจไม่ให้ตบ กลัวมันจะเกิดเสียงดัง เพียงแต่ใช้มือลูบ เพื่อให้ยุงหนี เมื่อมีตาสุ่ยอยู่ข้างๆผมก็อุ่นใจ ที่ใดมีตาสุ่ยอยู่ ก็ย่อมมีความปลอดภัยสำหรับผม เกือบสองยามเข้าไปแล้ว ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น มันเป็นเวลาหลายชั่วโมงมากแล้วที่เรารอคอย
บัดนี้ สิ่งที่เรารอคอยมาถึงแล้ว มันปรากฏตัวให้เราเห็นถนัดชัดเจน ผมสะกิดตาสุ่ย เราสองคนรู้สึกเกิดความหวาดหวั่น การเป็นพรานจะต้องควบคุมสติให้มั่น หากเกิดความหวาดหวั่นยอมมีความผิดพลาดได้ง่าย
เมื่อนึกได้อย่างนั้น ผมก็พยายามสงบสติอารมณ์ ตาสุ่ยเตือนผมเบาๆว่า "ระวังตัว" ผมกระชับปืนในมือแน่น นั่งคุกเข่าในท่าเตรียมยิง ลูกซองห้านัดของผม บรรจุกระสุนเต็มอัตรา ตาสุ่ยก็ทำเช่นเดียวกับผม คือนั่งคุกเข่าขวาชันเข่าซ้าย ปืนประทับอยู่ที่ไหล่เตรียมยิง
ตาสุ่ยขึ้นนกปืนเสียงดัง "กริ๊ก" ผมกระชากลูกเลื่อนเบาๆ ตาจ้องไปยังเสือตัวนั้น เจ้าเสือลายพาดกลอนเดินกรีดกรายเข้ามา เหมือนจะรู้ว่ามีคนคอยรับมือกับมันอยู่ มันมุ่งหน้ามาทางกระท่อมที่ผมกับตาสุ่ยซุ่มรออยู่
มันเดินตรงเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน หรือเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย มันมานั่งชูคออยู่เกือบถึงหน้าชาญกระท่อม ห่างจากที่พวกเรานั่งอยู่ในกระท่อมแค่สี่ถึงห้าวาเท่านั้น ฝากระท่อมที่เราซ่อนตัวอยู่ก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรมากนัก หากเจ้าเสือร้ายมันบุกเข้ามา ฝากระท่อมที่ทำไว้ด้วยตับหญ้าแฝก ชนิดเดียวกับที่ใช้มุงหลังคา จะไม่สามารถยับยั้งมันได้เลย
ผมกับตาสุ่ยนั่งคุกเข่ามองดูมันอยู่ทางช่องหน้าต่าง พื้นของกระท่อมเตี้ยๆ สูงจากพื้นดินเพียงสองเมตร ผมไม่ชอบใจซะเลย ถ้าปลูกในป่าจะต้องทำสูงกว่านี้ อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าสี่ถึงห้าเมตร เพื่อความปลอดภัย
นึกไม่ถึงเลยว่า ไอ้วายร้ายตัวนั้น มันจะรู้ว่าเราซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ มันมองมาทางเราสองคน คล้ายจะมุ่งเล่นงานเหมือนกับเหยื่อรายอื่นๆ เราตัดสินใจที่จะสู้ สองต่อหนึ่งคงจะไหวอยู่หรอก ถ้าพลาดได้ก็ลองดู ยังไงก็ต้องสู้กันล่ะ
เสือร้ายตัวนั้น ลำตัวของมันใหญ่หน้าเกรงขามมาก ท่ามกลางแสงจันทร์ เรามองเห็นมันถนัดชัดเจนมาก เป็นเป้ากระสุนของเราอย่างดี ผมจึงกระซิบบอกตาสุ่ยว่า "เอาล่ะทีนี้ มันนั่งมองมาทางเรา เห็นเป้าชัดๆ" ตาสุ่ยกระซิบกลับว่า "นายเอาก่อนเลย หากนายพลาด ผมจะคอยซ้ำ"
เราทั้งสองค่อยๆเคลื่อนไหวเล็กน้อย รอดลำกล้องปืนออกไปทางช่องหน้าต่าง ผมเล็งหมายหน้าอกของมันเป็นเป้า ระยะนี้ไม่พลาดแน่ เป็นเป้านิ่งซะด้วย ผมค่อยๆสอดนิ้วลงในโกร่งไกปืนอย่างใจเย็น มือสั่นเล็กน้อย
แต่ก่อนที่ผมจะได้กระดิกไกระเบิดกระสุนออกไปนั้น เหมือนกับมีผูตผีตายโหงกระซิบบอกมัน เจ้าลายพาดกลอนตัวนั้นผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว คำรามร้องออกมาอย่างโกรธจัด เสียงร้องของมันดังมาก ราวกับว่าจะเขย่ากระท่อมในบริเวณนั้นให้สั่นคลอนไปด้วย
ในฉับพลันนั้นเอง มันวิ่งเข้ามาหาเรา กระโจนพรวดขึ้นมาบนชาญกระท่อมที่ผมกับตาสุ่ยซ่อนตัวอยู่ข้างใน ทั้งประตูและฝากระท่อม มันไม่ได้แข็งแรงพอที่จะไว้ใจมันได้ ผมตัดสินใจอย่างรอดเร็ว พอเท้าของมันแตะลงบนชาญ ในขณะที่มันกระโจนขึ้นมานั้น
นิ้วของผมก็กระดิกไกทันที "ปั้ง!!" ลูกซองห้านัดของผมคำรามดังก้องเสียงสนั่นหวั่นไหว ได้ยินเสียงมันร้องเหมือนเจ็บปวด ผมกดตามเข้าไปอีกในระยะติดๆกัน "ปั้ง!!" เจ้าลายพาดกลอนม้วนตัว ตกลงไปนอกชาญ ได้ยินเสียงมันหล่นลงพื้นดัง "ตุ๊บ!!"
ตาสุ่ยถีบประตูถลันออกไปโดยเร็ว พอไปถึงก็ยกปืนจ่อใกล้ๆเข้าตรงลำคอของมัน "ปั้ง!!" เสียงร้องและเสียงดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ผมกับตาสุ่ยยืนอยู่นอกชาญ มองดูเสือที่กำลังกระยิ้มกระสนดิ้นอยู่บนพื้นดินข้างล่าง
ตาสุ่ยบรรจุกระสุนใหม่ ยิงซ้ำเข้าไปอีกนัด "ปั้ง!!" ช่วยให้มันหยุดหายใจเร็วขึ้น พ้นจากการทรมาน มันชักกระตุกสองสามครั้งแล้วก็แน่นิ่งไป บัดนี้ วิญญาณร้ายของมันได้ออกจากร่างไปแล้ว เหลือแต่ซากอันโสมมทิ้งไว้ให้เราเห็น
Post a Comment