เรื่องหลอนนั่งห้าง ภาค2
เรื่องราวของ หลอนนั่งห้าง ยังดำเนินต่อไปอย่างบ้าและสยองไปติดตามกันพร้อมกันเลยครับ
ลุงนาคเข้าไปซุบซิบกับทิดนอง แรกๆทิดนองก็มีท่าฮึดฮัด นางพลอยยิ่งโวยวายเป็นการใหญ่ เป็นตายร้ายดี นางก็จะเอาศพลูกสาวมาเผาใกล้บ้านให้ได้ ชาวบ้านหลายคนช่วยกันปลอบ ยกเหตุผลมาอ้าง
ลุงนาคเองถึงกับโมโห ที่พูดกับนางพลอยไม่รู้เรื่อง กระทั้งทิดนองเหมือนจะตัดสินใจได้ แกหันไปบอกเมียให้สงบ และบอกกับลุงนาคว่า "เอาเถอะ ถ้าลุงคิดว่าครูแดงจะปราบมันได้ ไหนๆอีแมวมันก็ตายไปแล้ว เสร็จแล้ว เราค่อยเอาศพอีแมวมาเผาก็ได้"
ครูแดงนึกโมโหตัวเอง จะเที่ยวป่าให้สบายใจ กลับต้องมารับภาระหนักอึ้ง ไม่รู้จะทำได้สำเร็จแค่ไหน เรื่องนั่งห้าง นั่งเฝ้าซากกวางยิงเสือก็เคยมาแล้วทั้งนั้น แต่ให้มานั่งเฝ้าซากคน แค่คิดก็หนาว
เมื่อเห็นครูแดงสีหน้าไม่ค่อยดี ลุงนาคจึงพูดเหมือนอ่านใจว่า "ถ้าครูไม่กล้านั่งคนเดียว ผมไปนั่งเป็นเพื่อนก็ได้" ที่จริงครูแดงก็นึกอย่างนั้น แต่ลุงนาคเล่นพูดออกมาต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านอย่างนี้ ชาวบ้านทั้งหมดกำลังจ้องหน้าอยู่ ว่าครูจะตัดสินใจยังไง
ใครๆก็รู้ว่าครูแดงเที่ยวป่า กินนอนในป่าคนเดียวมาตลอด เรื่องอะไรจะแสดงความปอดแหกให้ชาวบ้านเห็น จึงแข็งใจ พูดออกมาดังๆว่า "ไม่เป็นไร ผมนั่งคนเดียวได้ รีบไปดูที่เกิดเหตุกันก่อนดีกว่า"
เมื่อเป็นการตกลงกันตามนั้น ครูแดงจึงเร่งให้ออกเดินทางไปดูศพและสถานที่เกิดเหตุ เพราะเวลาเริ่มจะบ่ายคล้อยลงไปทุกที ขืนช้าอยู่จะไม่ทันการ มืดค่ำแล้วจะแต่งซุ้มขัดห้างไม่ทัน
ไอ้แม้น ไอ้น้อย ทิดนองพ่ออีแมว ลุงนาคและครูแดง เดินตามกันเป็นแถวเข้าป่าด้านหลังหมู่บ้าน แลเห็นขุนเขาช่องลมทะมึนอยู่ไม่ไกล ลุงนาคและทิดนองมีลูกซองเหน็บไปคนละกระบอก
น่าสงสารทิดนองที่เดินบ่นไปว่า อยากเจอไอ้เสือตัวที่ทำร้ายลูกสาวตาย ถึงกับร้องท้าผ่านเจ้าป่าเจ้าเขา ว่าให้ออกมาสู้กันตัวต่อตัวก็เอา ลูกใครๆก็รัก ยิ่งมาตายทารุณกะทันหันอย่างนี้ ก็ยากจะทำใจได้ ทั้งๆที่ทิดนองไม่ได้เป็นพราน ยังกล้าร้องท้าเสือในป่าให้ออกมาสู้กัน ป่าดิบดงทึบอย่างนี้ ไม่ต้องร้องท้า เสือมันก็น่ากลัวอยู่แล้ว
ไอ้แม้นพาเดินไปตามลำห้วยที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ผ่านน้ำตกเล็กๆแห่งนึง เลยขึ้นไปมีต้นกูดและบอนป่าขึ้นเป็นดงอยู่ริมตลิ่ง ไอ้แม้นชี้ให้ดูรอยเท้าและบอกว่าอีแมวมาหาเก็บผักอยู่แถวนี้
ไอ้ลายตัวนั้นไม่รู้มาจากไหน คงตรงเข้าตะครุบแล้วลากไปเลย มันน่าแปลกอย่างว่า เพราะมีแต่รอยเท้าเสือขนาดใหญ่ย่ำไว้ไม่กี่รอย หลังจากห่างตลิ่งมานิดเดียว ก็หายไปทั้งรอยคนและรอยเสือ
ครูแดงสังเกตดูแล้ว รอยมันกดหนักกว่าปกติ เหมือนกับมันแบกร่างเหยื่อไปด้วย ทิดนองเห็นร่องรอยการตายของลูกสาว ยิ่งเศร้าและโกรธแค้นกัดฟันกรอดไปตลอดทาง
ไอ้แม้นพาเดินห่างออกไปจากแนวห้วย ไต่ไปบนที่ลาดขึ้นไปบนเนินเขา คงเป็นตีนเขาช่องลมที่เห็น หน้าแล้งอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องเดินตามทางด่าน แม้ต้นไม้จะยังหนาแน่น กอไผและพุ่มหนามยังขวางทางอยู่เป็นระยะ แต่ความโล่งจากใบไม้ที่ทิ้งใบแทบหมดต้น ทำให้เห็นช่องทางเดินพอได้ไม่ลำบากนัก ยิ่งเดินสูงขึ้นไปบนลาดเขา ป่ายิ่งทึบมากขึ้น ความชื้นบนภูเขาทำให้ต้นไม้หลายชนิดไม่ผลัดใบ เมื่อป่าเป็นป่าดงดิบ พื้นดินปนหินชื้นๆ ไม่แห้งเหมือนป่าตอนล่าง
ไม่น่าเชื่อว่าเสือผีสิงตัวนั้น จะลากเหยื่อที่มีน้ำหนักตัวพอๆกับมันมาได้ไกลขนาดนี้ แถมไม่มีร่องรอยการลากถูของเหยื่อตามพื้นดิน มันแบกศพมาด้วยวิธีไหนกันแน่ ขึ้นมาถึงสันเนินแห่งนึง แล้วก็เป็นพื้นราบอีกระยะ ก่อนจะลาดขึ้นเนินถัดไป
ไอ้แม้นเดินนำตรงไปยังซุ้มกอไผ่เบื้อหน้า ตรงนั้นมีหญ้าแห้งไม่สูงนักปกคลุมไปทั่ว ต้นมะกอกป่าขนาดย่อมขึ้นสลับกับมะขามป้อม ในรัศมีสองร้อยเมตรรอบๆ ไม่มีต้นไม้ใหญ่พอที่จะขัดห้างได้เลย
ไอ้แม้นชี้มือไปที่โคนกอไผ่แล้วพูดว่า "ศพอีแมวอยู่นั่น" แต่ไม่ยอมเดินเข้าไปใกล้ ทิดนองเดินเข้าไปเป็นคนแรก ตามมาด้วยลุงนาคและครูแดง ส่วนไอ้น้อยลงนั่งอยู่กับไอ้แม้น ไม่ยอมเข้าไปอีกคน
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ครูแดงเบือนหน้าหนี ศพนอนบิดตัวคว่ำหน้า เสื้อแขนยาวขาดวิ่น ผ้าถุงหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เนื้อตรงสะโพกถูกกัดแหว่งหายไปก้อนใหญ่ สีขาวของเนื้อตัดกับสีแดงคล้ำของบาดแผล เห็นแล้วน่าสะอิดสะเอียน แมลงวันรุมตอมดำมืด และแตกฮือเมื่อคนเข้าไปใกล้
ทิดนองทรุดลงนั่งร้องไห้อยู่ข้างศพลูกสาว ลุงนาคกับครูแดงเดินพิจารณาไปรอบๆ น่าแปลกที่เสือตัวนั้นลากเหยื่อมาโดยไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็น เหมือนกับว่าจู่ๆ มันก็มาแทะกินเหยื่ออยู่ตรงนี้ รอยมันนอนหมอบ ยังเห็นหญ้าเปื้อนเลือดและเศษเนื้อ
ลุงนาคบ่นเบาๆว่า "มันกินไปได้นิดเดียว คืนนี้ต้องกลับมากินอีกแน่" ครูแดงแหงนหน้าดูต้นไม้รอบๆ แล้วพูดว่า "ลำบากตรงที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ พอจะผูกห้างได้นี่สิ จะทำยังไงดี" นอกจากกอไผ่ใหญ่กอนั้นแล้ว มะขามป้อมที่ขึ้นอยู่ห่างๆกันก็ใช้การไม่ได้ มะกอกป่าก็เล็กและไม่มีคบพอจะผูกห้างได้ เลยไป กลุ่มต้นพันจําก็ไม่โตพอ
ห่างออกไปสักห้าสิบเมตร มีก้อนหินใหญ่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน มีข่อยพุ้มใหญ่ปกคลุมอยู่ ลุงนาคชี้มือไปบนก่อนหินใหญ่ แล้วพูดว่า "ห้างผูกไม่ได้ เห็นเหมาะก็บนซุ้มหินนั่นแหละ" ครูแดงมองตามมือ สีหน้าครุ่นคิด แล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ก็จริงอย่างที่ลุงนาคว่า ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากนั่งซุ้มบนก้อนหินใหญ่นั่น
ความสูงของมันประมาณเมตรกว่าๆ ด้านบนลาดโค้งน้อยๆลงมาทางนี้พอดี พอจะขึ้นไปนั่งได้ไม่ลำบากอะไรนัก ปัญหามันอยู่ตรงที่ซุ้มข่อยที่ขึ้นปกคลุมอยู่ มันไม่แน่นหนาพอที่จะหลบซ่อนจากสายตาอันคมกริบของไอ้ลายได้ ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าขึ้นไปนั่งแล้ว ด้านหลังไม่มีต้นไม้เป็นที่กำบัง มันเสี่ยงเกินไป
ความสูงเพียงเมตรกว่าๆของก้อนหิน ไม่ช่วยให้เกิดความปลอดภัยได้เลย แค่มันยืดตัวเต็มที่ไม่ต้องโดด ก็ตะครุบคนนั่งบนนั้นได้แล้ว สัญชาตญาณเสือมีความสามารถพิเศษ คือเดินเบา ถ้าเป็นเก้งกวาง หรือหมูป่า พื้นที่เป็นหญ้าแห้ง มีใบไม้หล่นเกลื่อนอย่างนี้ เดินเข้ามาเมื่อไหร่ก็ต้องได้ยิน
แต่สำหรับเสือ ยากมากที่จะได้ยิน เพราะเท้ามันเป็นเนื้อนิ่ม ไม่ได้เป็นกลีบเหมือนสัตว์กินหญ้า จะมีก็แต่กลิ่นแรงจัดของมันเท่านั้น ความที่เป็นสัตว์กินเนื้อ บางทีเป็นเนื้อเน่า บางทีกินแล้วก็เกลือกกลิ้งตัวเล่นบนเนื้อเน่านั้น ทำให้กลิ่นตัวของเสือแรงกว่าสัตว์ชนิดอื่น จนเป็นที่รู้กันว่า สาบเสือนั้นแรงนัก
แต่ครูแดงก็เคยเจอมาแล้ว เสือบางตัวที่ยิงได้แทบไม่มีกลิ่นสาบเลย เพราะมันเพิ่งลงไปแช่น้ำเล่นมา เสือเป็นสัตว์ประเภทเดียวกับแมวก็จริง แต่แมวเป็นสัตว์ที่ทั้งเกลียดแล้วก็กลัวน้ำ ส่วนเสือชอบนอนแช่น้ำเล่น ใครที่คิดจะหนีเสือลงน้ำ ก็นับว่าคิดผิดถนัด
ลักษณะเด่นของเสืออีกอย่าง มันล่าเหยื่อเพื่อเลี้ยงปากท้องจริงๆ กินอิ่มแล้วมันจะไม่ล่าอีก ต่อให้มีเหยื่อเดินผ่านหน้าก็ตาม ผิดกับหมาใน ที่ล่าเหยื่อแล้วกินอย่างตะกรุมตะกราม แถมกินทิ้งกินขว้าง บางที เสือมาพบเหยื่อที่หมากินทิ้งไว้ มันก็กินต่อได้
ส่วนเหยื่อของมันเองนั้น ถ้ากินไม่หมด มันจะยังไม่ไปไหน มักจะหาที่หลบนอนอยู่ใกล้ๆ หิวก็ลุกออกมากินต่อ ถึงเหยื่อจะเน่าแค่ไหนก็กินได้ การที่มันกินของเน่าบ่อยๆ ทำให้เสือเป็นสัตว์ที่จมูกไม่ดี ผิดกับสัตว์ดุร้ายอื่นๆ
ครูแดงใช้ความคิดอยู่นาน จึงบอกกับลุงนาคว่า "จริงอย่างลุงว่า ต้องพึ่งหินก้อนนั้นแหละ แต่มันเสี่ยงไปหน่อย เพราะหินแค่นั้นไม่พอมันโดดหรอก ด้านหน้าไม่เป็นไร แต่นั่งแล้วต้องระวังหลังด้วยนี่สิ มันลำบาก"
ลุงนาคพูดว่า "ครูจะให้ผมมานั่งด้วยมั้ยล่ะ จะได้ช่วยกันดูข้างหลัง" ครูแดงรู้สึกโล่งใจขึ้นอีกไม่น้อย ที่ลุงนาคยอมมานั่งเป็นเพื่อน จึงพูดว่า "ก็น่าจะดี ผมจะได้ไม่ต้องระวังหลัง ลุงใช้ลูกซองเดี่ยวอยู่ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเอาลูกสองแรงครึ่งของผมใส่ละกัน เจอจังๆ นัดเดียวก็อยู่"
เรื่องกลัวผียอมรับว่าไม่กลัว แต่บรรยากาศอย่างนี้ นั่งในป่ามืดๆคนเดียวต่อหน้าศพที่นอนสยดสยองไม่ห่าง ไหนจะกังวลว่าเสือจะเข้ามาข้างหลัง เป็นเรื่องที่ทรมานใจไม่น้อย ครูแดงจึงพูดขึ้นว่า "เอ้า ถ้างั้นไปช่วยกันแต่งซุ้มเร็วเข้า เดินกลับหมู่บ้านไม่ทันละ เสร็จแล้วเราต้องนั่งอยู่ที่นี่กันเลย ข้าวเย็นไม่ต้องกิน ผมมีขนมแห้งกับน้ำ พอแก้หิวได้"
ครูแดงกับลุงนาคช่วยกันตกแต่งซุ้มจนทึบมากขึ้น ลุงนาคยังลากกิ่งไผ่และกิ่งใบไม้แห้งมากองไว้รอบๆ อย่างน้อยถ้ามันย่องเข้ามาก็ต้องเกิดเสียงบ้าง เสียก็แต่ที่นั่งบนก้อนหินเท่านั้น ที่มันแคบและลาดลงไม่เสมอ เวลานั่งมันจะเทลงมาด้านหน้าตลอด
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ครูแดงก็บอกทิดนอง ไอ้แม้นและไอ้น้อย ให้เดินกลับบ้าน และให้ส่งเสียงดังไปตลอดทาง เพื่อหลอกให้เสือตายใจว่า คนกลับไปหมดแล้ว เพราะแน่ใจว่าอย่างไรเสีย เสือมัจจุราชต้องแอบอยู่ใกล้ๆแถวนี้แน่นอน
กลุ่มของพ่อเด็กที่ตกเป็นเหยื่อของเสือ พากันเดินทางกลับหมู่บ้าน ป่าก็เงียบสงัดลงอีกครั้ง แสงแดดที่สลัวอยู่เมื่อครู่ก็เริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว เรไรกรีดปีกเป็นเสียงสูงต่ำไล่กัน เหมือนจงใจให้เป็นเสียงดนตรี แต่ยามนี้ผู้ฟังทั้งสองไม่คิดว่ามันมีความไพเราะเสนาะหู คิดว่ามันเป็นเสียงแห่งความเศร้าโศกวังเวง เหมือนกับวงมโหรีประโคมงานศพยังไงยังงั้น
ครูแดงชวนลุงนาคขึ้นไปนั่งบนก้อนหินใหญ่ ที่พากันหากิ่งไม้มาตกแต่งจนหนาทึบ รู้ทั้งรู้ว่าแม้มันจะกันภัยอะไรไม่ได้ แต่ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นบ้าง ไก่ป่าขันแจ้วมาจากทางกอไผ่ ก่อนที่มันจะปีนขึ้นไปนอนบนเรียวไผ่สูง เพื่อป้องกันภัยจากสัตว์ พวกชะมดและอีเห็น
ครูแดงจัดแจงแต่งบังไพรให้เห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจน ส่วนลุงนาคก็แหวกกิ่งไม้ด้านหลังพอเป็นช่องให้สอดส่ายสายตาออกไปให้ไกลที่สุด แต่ความสลัวของอากาศที่เริ่มมืดมิดลงเรื่อยๆ ไม่เปิดโอกาสให้เห็นอะไรมากนัก
ครูแดงล้วงเข้าไปในย่าม คว้าเหล้าแบนที่ติดมาขึ้นจิบ แล้วส่งต่อให้ลุงนาค นั่งจิบเหล้าเปล่าๆ ตามด้วยน้ำในกระติกกันเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดจา เพราะท้องว่าง เมื่อเหล้าหมดแบน จึงรู้สึกหน้าตึงด้วยความมึนกันทั้งสองคน
ป่ามืดสนิทแล้ว เสียงแมลงกลางคืนเริ่มรับช่วงต่อจากพวกจั๊กจั่นเรไร จิ่งหรีดและกบเขียดพากันส่งเสียงมาจากรอบทิศ ดาวประจำเมืองทอแสงสว่างเรืองทางขอบฟ้าตะวันตก ค้างคาวแม่ไก่ถลาวูบวาบไปมา พร้อมกับส่งเสียงแหลมแหวกความเงียบสงัด
พลันที่ท้องฟ้ามืดสนิท ความร้อนระอุที่อบอ้าวมาตลอดวัน ก็กลับกลายเป็นเยือกเย็นลงราวกับสับสวิตช์ ลมเย็นโชยมาเบาๆ ทำให้อากาศไม่อับเกินไป กลิ่นคาวเลือดจากศพ ส่งกลิ่นชวนคลื่นเหียน เสียงสัตว์เลื้อยคลานชนิดนึงคืบคลานเข้ามาที่ศพ มันอาจจะเป็นเม่น ชะมด หรืออีเห็น บางทีอาจจะเป็นตะกวด ซึ่งชอบกินทั้งเนื้อสดและเน่า
ครูแดงยกปืนขึ้นสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ส่วนลุงนาคยังคงนั่งนิ่งเงียบ สายตาที่พยายามมองลอดพุ่มไม้และราวบังไพรออกไป เห็นแต่ความมืดสีดำทะมึน ยังดีที่มีแสงหิ่งห้อยวับแวมล่องลอยไปมา ช่วยให้สายตาไม่พร่ามัวจนหลอกตัวเอง
เสียงเก้งร้องมาจากทางด้านชายเขาครั้งนึง มันอาจจะตกใจอะไรบางอย่าง แต่ทุกอย่างก็ยังตกอยู่ในความเงียบ จิ้งหรีดและกบเขียดยังร้องระงม ตุ๊กแกป่าร้องทักมาจากโพรงไม้ ครูแดงนั่งนับในใจ เสียงก้องดังตุ๊กแกๆ ไปเจ็ดครั้ง และก็เงียบไป เจ็ดครั้งถือว่าโชคดี แกนึกเข้าข้างตัวเอง
Post a Comment