เรื่องหลอนนั่งห้าง ภาค1


     ยังคงต่อเนื่องกันกับเรื่องของ คุณธกร คนชอบเล่า การผจนภัยยังไม่จบคราวนี้เป็นเรื่องของ นั่งห้าง ที่สร้างบนต้นไม้เอาไว้ยิงสัตว์เราไปชมกันเลยครับ

      หนึ่งในเรื่องราวของคุณวัธนา บุญยัง ที่คุณธกรได้หยิบยกนำมาเล่าให้ฟังอีกที เป็นเรื่องราวของครูแดง ครูใหญ่แห่งโรงเรียนบ้านหนองปรือ ชื่อจริงของแกคือวัลลภ แต่ชาวบ้านร้านถิ่น แม้กระทั่งเด็กนักเรียน เรียกกันจนติดปากว่าครูแดง

      เรื่องการสอนหนังสือนั้น เก่งไม่แพ้ใคร ทั้งเรื่องตลกโปกฮา สรรณหาวัสดุอุปกรณ์การสอน ที่ถนัดคือการเรียนกับธรรมชาตินอกห้องเรียน เรียนกับครูแดง นักเรียนไม่เคยง่วง มีแต่เหนื่อยกับสนุกเท่านั้น

      นอกจากงานสอนหนังสือที่เป็นอาชีพหลักของแก ครูแดงยังมีงานอดิเรกคือการเข้าป่าล่าสัตว์ ความเป็นอยู่ของครูบ้านนอก ไม่ได้แตกต่างจากชาวบ้านเท่าไร เพราะแม้จะมีเงิน แต่ก็ไม่มีสินค้าให้ซื้อ นานทีปีหนจึงจะมีพ่อค้าเร่ มาขายน้ำปลาบ้าง ปลาแห้ง ปลาเค็มบ้าง

     อาหารการกินส่วนใหญ่ของคนในป่า นอกจากข้าวสารอาหารแห้ง พวกพริกเกลือ กะปิน้ำปลาแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่หาได้จากป่า เพราะป่าคือแหล่งอาหารของมนุษย์มาตั้งแต่ดึกดําบรรพ์ อาหารโปรตีนที่ได้จากป่า มีตั้งแต่กระทิง วัวแดง กวาง เก้ง หมูป่า เม่น ชะมด อีเห็น นก ปลา กระรอก บ่าง บึ้ง ปู หอย กระทั่งแมลงอีกหลายชนิด ส่วนพืชผักในป่า ก็มีให้เก็บกินกันไม่รู้จักหมด ทุกอย่างปลอดสารพิษ ไร้สิ่งเจือปน เรียกว่าคนอยู่ป่าถ้าขยัน ไม่มีคำว่าอด

    ครูแดงมีรถจิ๊บวิลลี่เก่าคร่ำอยู่คันนึง ใช้บุกป่าเที่ยวป่าจนปรุไปหมด ส่วนปืนนั้นก็มีครบ ตั้งแต่ลูกกรดยาว ลูกซองเดี่ยว ซองห้านัด ไรเฟิล แถมปืนพกจุดสามแปดอีกกระบอก หน้าแล้งหลังปิดเทอม ส่วนมากแกจะขับรถจิ๊บเที่ยวป่าไปเรื่อย ค่ำไหนนอนนั่น

      ในรถที่เสบียงครบครัน ส่วนที่นอนก็คือเบาะยาวหน้ารถ แกจะนอนขดตัวห่มผ้าหลับสบาย ความที่แกเป็นคนใจกว้างและใจถึง จึงทำให้มีเพื่อนฝูงมากและรู้จักคนไปทั่วป่า รถบุกไปได้ถึงไหน เจอคนเมื่อไร เป็นต้องรู้จักกันหมด แกไม่มีวันอดตาย เรียกว่าหาข้าวกินฟรีได้ทุกบ้าน

     บ่ายวันนั้น แกขับรถจิ๊บบุโรทั่ง ตะลอนเข้าไปเรื่อยโดยไร้จุดหมาย ป่าที่เคยเป็นดงดิบแห่งนี้ เป็นป่าที่ผ่านการทำไม้มาก่อนแล้ว แม้จะยังมีความรกทึบอยู่มากก็ตาม แต่ก็มีทางลากไม้ซอกแซกไปทั่ว ยิ่งยามแล้งอย่างนี้ จิ๊บเล็กสามารถตะลุยไปได้สบายๆ

     คืนแรก ครูแดงมาถึงเชิงเขาอีด่างก็ค่ำพอดี เมื่อตระเวนหาแหล่งน้ำได้จึงได้หยุดพัก ตั้งหม้อข้าวเสร็จ กับข้าวไม่น่าห่วง อย่างน้อยน้ำพริกแดงที่ตุนมาก้อนใหญ่ กับเนื้อเค็มอีกสองแผ่น เป็นประกันอยู่แล้ว

ยังไม่ทันจะมืดสนิทดี แกก็นั่งจิบเหล้าก่อนอาหารคนเดียว ความสุขของคนชอบป่า ไฝ่หาความวิเวกธรรมชาติอันบริสุทธิ์ แม้จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่บ้าน แต่ใจรักซะอย่าง ที่ยากก็กลายเป็นเรื่องง่าย

     ยามโพล้เพล้อย่างนี้ เสียงนกและไก่ป่าเงียบไปแล้ว แต่เสียงแมลงและนกกลางคืนเริ่มทำหน้าที่แทน จิบเหล้าเข้าไปได้สองอึก กระต่ายป่าสีเทาก็กระโดดออกมาเล่นไฟ ไวแทบไม่ทันกระพริบตา แกคว้าลูกกรดที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาส่องเปรี๊ยง

     กระต่ายป่าอ้วนพีกลายเป็นลาภปากไปอย่างไม่ตั้งใจ ถลกหนังตัดหัวออกล้างน้ำ ทาด้วยเกลือและพริกป่นจนทั่ว เสียบไม้เอาขึ้นย่างไฟ ครู่เดียวก็ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนกวนน้ำย่อย เริ่มรู้สึกเมาจึงกินข้าว หลังจากอิ่มแล้ว จิบกาแฟดำและเอกเขนกเล่นบนเบาะรถ เหม่อมองดูดวงดาวบนท้องฟ้า

     อากาศในป่ายามค่ำคลายร้อน เย็นสบายและหนาวนิดๆยามดึก มองดูดวงดาวตกจนฟ้าข้างแรมเริ่มจะสว่าง ง่วงก็ยังไม่ง่วง จึงลุกขึ้นเตรียมออกเดินส่องไฟเล่น ไฟฉายติดหน้าผากก็มีอยู่แล้ว ครูแดงเปลี่ยนรองเท้าเป็นบูทยาง เดินส่องไฟย่ำไปบนหญ้ารกๆ มีสิทธิ์เหยียบเอางูเห่าได้ แม้จะพบไปบ่อยนัก แต่ที่เจอประจำคือกัปปะตัวเล็กๆสีเทา และไม่ยอมหนีคน เหยียบเมื่อไหร่ก็โดนกัดเมื่อนั้น

     อยู่ในดงอย่างนี้โดนเข้าแล้วจะไปพึ่งใครได้ กว่าจะออกไปถึงโรงพยาบาลอำเภอ ก็หมดลมเสียก่อน ขนาดรักษาทัน แผลยังเน่าลามจนต้องตัดนิ้ว แต่งตัวเรียบร้อยก็คว้าลูกซองห้านัดขึ้นมาถือ ลูกใส่ไว้ทั้งเก้าเม็ด และเจ็ดสิบเม็ด ถ้าเจอเก้งกวางและหมูป่าก็กำลังดี สำหรับลูกเก้าเม็ด ถ้าชะมด อีเห็น หรือกระต่าย เจ็ดสิบเม็ดกำลังดี

     เดินส่องไฟเลาะไปรอบๆเขา ท้องฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้น ทำให้แลเห็นยอดเขาทะมึนอยู่เลือนลาง นกกระสาวิ่งถลาไปมาอยู่ตามพื้นดิน ไฟฉายกระทบตาของมันแดงวาบ บ่างใหญ่ถลาวูบอยู่บนยอดต้นตะแบก พื้นดินคลายความอบอุ่นจากแดดเผา ลมเย็นโชยพัดมาจากบนเขาเรื่อยๆ กลิ่นดอกไม้ป่าหอมระโรยริน กลิ่นดินกลิ่นป่าหอมบริสุทธิ์สดชื่น

     เดินบุกไปบนใบไม้แห้ง ทำให้เกิดเสียงสอบแสบตลอดเวลา บางทีความรู้สึกหลอกตัวเอง เหมือนกับมีคนเดินตาม ครั้นหยุดนิ่งฟังก็เงียบ มีแต่เสียงลมพัดใบหญ้า และเสียงแมลงสารพัดชนิด กรีดปีกไม่ขาดเสียง

     แหงนหน้า สาดแสงไฟบนหน้าผากขึ้นไปบนยอดไม้ พบตาวาวโลดของลิงลมเจิดจ้า สัตว์เชื่องช้าขี้อายค่อยๆหลบไปแอบหลังคบไม้ ถ้าจะยิงมันก็ร่วง แต่แกไม่เหมือนพรานชาวบ้านบางคน ที่ยิงลิงลมอ้างว่ามันขัดลาภ ยิงมันแล้วก็กินไม่อร่อย มีแต่หนังหุ้มกระดูก ทั้งเหนียวและคาวจัด

      เดินไกลจากที่จอดรถได้เกือบสามกิโล ยังไม่พบวี่แววของสัตว์ใหญ่ที่เรียกร้องความสนใจได้ มีตาชะมดแดงวาบสะท้อนมาครั้งนึง แม้ชะมดจะเป็นสัตว์ที่เนื้อกินอร่อย แต่ระยะมันไกลเกินไปสำหรับลูกซอง จึงค่อยเดินไล่เข้าไปไกล้ แล้วส่องไฟหาอีกหลายรอบ แต่เหมือนว่ามันจะขึ้นต้นไม้หนีไปแล้ว

     พระจันทร์เสี้ยวข้างแรมเริ่มโผล่พ้นยอดไม้ ทำให้ป่าสลัวนวลมากขึ้น กำลังคิดว่า เดินพ้นหัวเขานี้แล้ว ถ้ายังไม่พบอะไรน่าสนใจก็จะกลับ กวาดสายตาตามแสงไฟไปรอบๆ ตรงกอไผ่ใหญ่ดำตะคุ่มไกลๆ แสงตาวาบสะท้อนไฟฉายกลับมา วาบเดียวที่เห็น ครูแดงถึงกับสะดุ้งสุดตัว เพราะมันสว่างเหลือเกิน แถมแดงจัดไม่เหมือนเก้งกวาง

      เพื่อความแน่ใจจึงตวัดไฟขึ้นยอดไม้ แล้วกราดไล่ลงมาอีกที คราวนี้ชัดเจน แสงตาในระยะไกลสะท้อนกลับมาแดงวาบ ไม่ทันได้ทำอะไร มันก็หลบเข้าไปหลังกอไผ่ ติดตามมาด้วยเสียงคำรามเหมือนถูกขัดจังหวะ แค่นี้ก็เกินพอแล้วที่แกจะตัดสินใจ

     ครูแดงตบปืน คลายลูกปรายขนาดเจ็ดสิบเม็ดออกมา แล้วยัดลูกเก้าเม็ดล้วนเข้าไปแทน ค่อยๆย่องเข้าไปหาก่อไผ่ช้าๆด้วยความระมัดระวัง แสงตานั้นหายไปแล้ว แม้ตะส่องตวัดจากที่สูงล่อไปมา แต่ทุกอย่างยังมืดสนิท

     เข้าไปถึงกอไผ่ที่เห็นตาของเจ้าป่า ส่องไฟไปรอบๆก็ไม่มีวี่แวว นอกจากรอยเท้าขนาดกว่ามือกางเป็นประจักษ์พยาน หลักฐานอีกชิ้นที่สนับสนุนเสียงคำรามของมันก็คือ เก้งทั้งตัวเพิ่งตายได้ไม่นาน ถูกมันกัดหักคอ และเริ่มจะกัดกินเครื่องในได้นิดหน่อย รู้เลยว่ามันคำราม เพราะโกรธที่ถูกขัดจังหวะ อาจจะกำลังหิวจัด เพราะน่าจะเป็นเหยื่อตัวแรกที่ล่าได้ในคืนนี้

    คิดจะหาที่นั่งห้าง เพราะมันน่าจะเข้ามากินอีก แต่ดูแล้ว ไม่มีต้นไม้ใหญ่พอจะขัดห้างได้ อีกอย่างขณะนี้ก็ดึกแล้ว ไม่มีอะไรดีกว่าการขโมยเหยื่อเสือกิน จึงใช้มีดที่เหน็บเอวมาด้วย ตัดเลาะขาหลังทั้งสองข้างของเก้ง ผูกมัดแล้วตวัดขึ้นบ่า นึกในใจว่า ถ้าไม่อิ่มก็หาเอาใหม่แล้วกัน

     บ่ายวันรุ่งขึ้น ครูแดงขับจิ๊บเล็กลัดเลาะมาจนถึงบ้านซับขนุน บ้านป่าเล็กๆที่มีอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน ชาวบ้านที่นี่แรกๆ ก็มาทำน้ำมันยาง ครั้นไม้ยางขนาดใหญ่ถูกบริษัททำไม้ตัดหมดแล้ว จึงหาของป่า พวกไม้หอม น้ำผึ้ง เปลือกสีเสียด นกขุนทอง ขายเลี้ยงชีพพอประทังชีวิต

     พื้นที่ว่างโล่งไม่กว้างนัก มีต้นไม้ใหญ่พวกยางตะแบก กระบก แทรกอยู่ห่างๆกัน ตามโคนต้นไม้มีกระท่อมมุงแฝกเรียงราย ขนุนขนาดใหญ่ขึ้นร่มครึ้มอยู่หลายต้น อายุของมันคงไม่ต่ำกว่าสามสิบปี และนี่คือที่มาของบ้านซับขนุน

     หมาผอมฝูงนึงวิ่งออกมาเห่าเกรียว แกขับจิ๊บตรงเข้าไปที่ลานบ้านหลังนึง เลยไปทางลำห้วยท้ายหมู่บ้าน นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมวันนี้จึงเงียบนัก แกจอดรถและร้องถามว่า "ไปไหนกันหมด ลุงนาคอยู่หรือเปล่า" โดยที่ยังไม่ก้าวลงจากรถ เพราะฝูงหมาลุมล้อมอยู่รอบๆ

     เด็กเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมหลายคนเข้ามาลุมดู ชายวัยใกล้หกสิบ นุ่งกางเกงขากวย ท่อนบนเปลือยเปล่า เดินออกมาจากกระท่อมหลังหนึ่ง ลุงนาคตวาดไล่บรรดาหมาทั้งหลาย แล้วพูดว่า "มาพอดีเลยครู ลงมาเข้าบ้านก่อนสิครับ" ครูแดงลงจากรถ แล้วเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปนั่งที่แคร่ใต้ถุน พร้อมกับถามว่า

ครูแดง : ไปไหนกันหมด บ้านเงียบเชียว
ลุงนาค : ครูเข้ามาก็ดีแล้ว พวกเราเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดี
ครูแดง : เรื่องอะไรรึ ไข้ป่า ช้างบุก หรือยิ้มวน
ลุงนาค : อีแมวลูกสาวทิดนอง มันออกไปหาผักกินตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ป่านนี้ยังไม่กลับเลย
ครูแดง : ถ้าไม่หลงป่า สงสัยเสือจะคาบไปกินเสียแล้ว
ลุงนาค : ป่าน่ะไม่หลงหรอกครับ แต่มันเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า ไอ่ทองกลับมาเมื่อกี้ มันว่าเจอรอยเสือแล้ว แต่ยังหาคนไม่เจอ
ครูแดง : ป่านนี้ สงสัยจะไม่รอดแล้วลุง

     มีเสียงคนเอะอะขึ้นที่ทางเข้าหมู่บ้าน ติดตามมาด้วยเสียงร้องไห้โหยหวน หมาเห่ากันเกรียว ลุงนาคผุดลุกขึ้นอย่างร้อนรนแล้วพูดว่า "สงสัยได้ข่าวแล้ว ไปดูกันเถอะ" ครูแดงเดินตามลุงนาคไปทางต้นเสียงอย่างรอดเร็ว

    ที่นั่นมีชาวบ้านเกือบสิบคน จับกลุ่มพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หญิงวัยใกล้สี่สิบดิ้นรนฟูมฟายร้องไห้น่าเวทนา เพื่อนบ้านต้องช่วยกันจับไว้ ใกล้กัน ชายวัยสี่สิบคงจะเป็นสามี นั่งร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียว

    ลุงนาคตรงเข้าไปถามหนุ่มคนนึงในกลุ่ม "เป็นยังไง เจอร่องรอยอะไรมารึไอ้แม้น" ไอ้แม้นพูดแล้วทำท่าเหมือนจะอาเจียนว่า "เจอศพอีแมวแล้วลุง เสือมันฟัดซะเละเลย มันลากไปกินถึงหัวเขาแดงโน้น แต่แปลกจากตรงที่อีแมวเก็บผักไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไม่รู้มันเอาไปได้ยังไง"

    ครูแดงถามว่า "แล้วศพล่ะ" ไอ้แม้นตอบว่า "ยังไม่มีใครทำอะไร ต้องมาถามทิดนองกับแม่มันก่อน ว่าจะให้เผาหรือให้ฝังที่นั่น" นางพลอย แม่คนตายได้ยินแววๆ ยิ่งร้องไห้ทุรนทุรายหนักขึ้น ส่วนทิดนองได้แต่กัดฟันกรอดๆ ด้วยความโกรธแค้นและเศร้าโศก นางพลอยร้องจะไปดูศพลูกสาวให้ได้ แต่ลุงนาคห้ามไว้ แล้วหันมาถามครูแดงว่า

ลุงนาค : เอายังไงดี ครูช่วยออกความเห็นหน่อย
ครูแดง : เดี๋ยว ไอ้เสือตัวนี้มันอาละวาดมานานหรือยัง
ลุงนาค : ยังไม่มีใครเคยเจอเลยครับ อยู่กันมาตั้งนานนมแล้ว นานๆช้างก็ผ่านมาที เสือนี่ไม่เคยเจอกันเลย อยู่ๆมันมาได้ยังไงก็ไม่รู้
ครูแดง : ถ้ามันลงได้กินคนอย่างนี้ ท่าทางจะไม่ค่อยดีซะแล้ว เดี๋ยวมันก็ต้องเอาอีก
ลุงนาค : นั่นสิ ครูมาพอดีเลย ช่วยหน่อยเถอะครับ
ครูแดง : จะให้ผมทำยังไง ปืนน่ะมี แต่มันจะอยู่ให้ยิงง่ายๆรึ
ลุงนาค : เวลายังมี เดี๋ยวให้ผมคุยกับพ่อแม่มันก่อน ถ้ายังไง ครูช่วยจัดการที
ครูแดง : ช่วยยังไง ผมยังไม่เข้าใจ
ลุงนาค : นั่งซากสิครู ปล่อยไว้ไม่ได้หรอก อย่างครูว่านั่นแหละ

     ขาดคำลุงนาค ครูแดงถึงกับอึ้ง เที่ยวป่ามาก็นับสิบปี ผีสางนางไม้ไม่เคยนึกกลัวอะไร คนอย่างแกมีสัมมาคารวะ แม้ไม่กลัว แต่เวลาเข้าป่าก็ขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาทุกครั้ง ก่อนนอนก็สวดมนต์ แผ่ส่วนกุศลให้ผีสางนางไม้ทุกคืน เที่ยวมานาน ไม่เคยเจอเรื่องขนพองสยองเกล้า เหมือนคำเล่าขานของพรานเก่าๆสักที

     แต่เรื่องเฝ้าศพล่าเสือนี่สิ เป็นเรื่องน่าวิตกน้อยซะเมื่อไหร่ พูดจริงๆแล้ว ครูแดงเคยนั่งห้างยิงเสือมาสองตัวเท่านั้น นอกนั้นแค่เคยจะยิง แต่ก็ยิงไม่ทัน อย่างเมื่อคืนเป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น