สยองโรงพยาบาลบ้า
เรื่องราวสุดสยองของโรงพยาบาลบ้าสุดสยองคนบ้าที่ตายไปจะเป็นผีเฮี้ยนแค่ไหน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทางภาคใต้ เมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องของพี่ชายที่เป็นคนรู้จักของคุณคิง ชื่อว่าพี่นก พี่นกแกเป็นคนที่ดื่มเหล้าหนักมาก จนแฟนของแกพาไปเลิกเหล้าที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ที่นี่จะแบ่งเป็นเขต สำหรับผู้ป่วยทางจิต และผู้ที่ต้องการจะเลิกเหล้า
พี่นกก็ได้เข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำการบำบัด วิธีการบำบัดในทุกๆวันที่อยูในโรงพยาบาล ก็จะใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้โดนกักบริเวณเหมือนผู้ป่วยที่เป็นโรคประสาท ตกเย็นก็จะมียาแจกให้ สำหรับคนที่เคยดื่มเหล้าตอนเย็นทุกๆวัน
ยาตัวนี้จะทำให้มีอาการซึมๆ จนเหมือนคนเบลอ บางคนที่มีอาการหนักๆ ถึงกับนั่งน้ำลายไหลโดยไม่รู้ตัว พี่นกก็จะปฏิบัติแบบนี้ทุกวัน ใช้เวลาบำบัดทั้งหมดสองเดือน การที่จะเข้ารับการบำบัด จะต้องให้ทางญาติเซ็นชื่อรับรู้หมดทุกอย่าง
ภายในห้องจะมีเตียงนอนเรียงกันอยู่หลายๆเตียง มีผู้เข้ารับการบำบัดหลายคน แต่จะมีคุณลุงอยู่คนนึง นอนอยู่เตียงฝั่งตรงข้าม ซึ่งกลางวัน พี่นกแกจะไม่เคยเห็นคุณลุงคนนี้เลย แล้วได้ข่าวแว่วๆว่า คุณลุงคนนี้ติดเหล้าหนักมาก แต่จะหักดิบเลิกให้ได้
พี่นกจะเห็นคุณลุงคนนี้เฉพาะตอนเย็นเท่านั้น แล้วจะมีพยาบาลเอาสายมารัดตัวของคุณลุงให้ล็อคติดกับเตียง เพราะตกกลางคืน คุณลุงจะคลุ้มคลั่งโวยวาย ทุกคนต้องทนนอนฟังเสียงของคุณลุงร้องโวยวายทุกคืน จนถึงตอนที่ได้รับยา พอได้รับยามาทุกคนจะเริ่มเบลอจนหลับ
พี่นกแกเข้ารับการบำบัดมาจนเกือบจะครบหนึ่งเดือน อาการก็เริ่มดีขึ้น จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องกินยาอีกต่อไป หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว พี่นกก็ถามคุณป้าคนที่เอาอาหารมาส่งว่า "ป้า ลุงเตียงนั้นเค้าไปไหน" คุณป้าหันมามองหน้าพี่นก แล้วพูดกระแทกเสียงว่า "ตายไปแล้ว"
พี่นกแกก็นึกในใจว่า ทำไมคุณป้าถึงพูดบบนั้น หรืออาจจะไม่อยากคุยกับคนขี้เหล้าอย่างแก แล้วคุณป้าก็ดูเป็นคนขี้หงุดหงิด เวลาเดินไปไหนมาไหนจะไม่เห็นว่าคุยกับใครเลย
หลังจากที่พี่นกกินยาเข้าไป ก็เห็นคุณลุงเตียงฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามานอนลงที่เตียง แล้วหันมาพยักหน้าให้พี่นกเบาๆ พี่นกก็หยักหน้าตอบ จนยาเริ่มกล่อมประสาททำให้พี่นกมีอาการเบลอ คุณลุงก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นอีกเหมือนทุกคืน
จนรุ่งเช้าของอีกวัน พี่นกก็ไม่เห็นคุณลุงอีกแล้ว โดยปกติจะต้องมีคนพาคุณลุงมานอนที่เตียง แต่สองสามวันที่ผ่านมา คุณลุงจะเดินกลับมาเอง แล้วก็มานอนเอง โวยวายคลุ้มคลั่งเอง
วันต่อมา เป็นวันที่จะครบหนึ่งเดือนของพี่นกพอดี ตกกลางคืน คุณลุงก็เดินเข้ามาเงียบๆ นั่งลงที่เตียงเหมือนเดิม แล้วหันมาพยักหน้าให้พี่นก พี่นกก็พยักหน้าตอบ แล้วรีบกินยาทันที เพราะต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนที่คุณลุงจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง เดี๋ยวจะนอนไม่ได้
ในขณะที่ยากล่อมประสาทในตัวของพี่นกเริ่มออกฤทธิ์ พี่นกเห็นคุณลุงเริ่มหงุดหงิด พลิกตัวไปมาเหมือนคนทรมาน เปลือกตาของพี่นกเริ่มปิดลงเรื่อยๆ ภาพสุดท้ายที่เห็น ปรากฏว่าคุณลุงดีดตัวลุกขึ้นมายืนบนเตียง ทำหน้าโกรธจัด มองมาทางพี่นก แล้วตะโกนเสียงดังลั่นว่า "มีอะไร! สงสัยอะไร!" จนสติของพี่นกหลุดหายเข้าไปในภวังค์
พอพี่นกตื่นเช้ามา ก็ไม่พบคุณลุงนอนอยู่บนเตียงอีกตามเคย ช่วงเย็น พี่นกก็ถามกับคุณป้าที่เอาอาหารมาให้ว่า "ไหนป้าบอกว่าลุงคนนั้นตายไง ผมยังเห็นแกกลับเข้ามานอนอยู่ทุกคืน แล้วเมื่อคืนแกก็ยังมาคุยอะไรกับผมอยู่เลย แต่ผมจำไม่ได้"
คุณป้าหันมาจ้องหน้าพี่นกแล้วพูดกระชากเสียงว่า "ก็บอกว่ามันตายไปแล้วไง" พี่นกได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะแกรู้ตัวว่าแกก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน เดี๋ยวเรื่องมันจะยาว
พี่นกก็หันมาคุยกับเตียงข้างๆ เป็นคุณลุงที่บำบัดมาด้วยกันว่า "ทำไมแกพูดจาอย่างงี้นะ ตายเตยอะไร เค้ายังอยู่" คุณลุงที่นอนเตียงข้างๆชำเรืองมองไปที่เตียงของคุณลุงที่คลุ้มคลั่งทุกคืน แล้วก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่ต้องไปใส่ใจเหรอ ถึงเวลาก็กินยานอนซะไอ้หนุ่ม"
คืนนั้น พี่นกก็เห็นคุณลุงเดินเข้ามานอนลงที่เตียงอีกเหมือนเดิม พี่นกกินยาเข้าไปจนรู้สึกกำลังเคลิ้ม อยู่ๆคุณลุงก็กระชากตัวลุกขึ้นยืน ทำตาดุ มองมาทางพี่นกแล้วพูดว่า "สงสัยอะไร! เอ็งสงสัยอะไรนักหนา!"
ตกอีกวันหนึ่ง พี่นกก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณลุงเตียงข้างๆฟัง คุณลุงก็พูดว่า "เฮ้ย ไอ้หนุ่ม เค้าบอกว่าลุงคนนี้ตายไปแล้วนะ" พี่นกก็เลยแย้งไปว่า "งั้นที่ผมเจอก็ไม่ใช่คนดิ" คุณลุงตอบเสียงนิ่งๆว่า "ก็น่าจะไม่ใช่คน"
พี่นกได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากจะกลับบ้าน จึงได้ทำเรื่องขอกลับบ้าน แต่ทางโรงพยาบาลก็ไม่อนุญาต เพราะยังไม่ครบกำหนดสองเดือน และต้องให้ญาติมารับตัวกลับ พี่นกจึงขอย้ายห้อง ทางโรงพยาบาลบอกว่าต้องรอให้หมอมาเช็คก่อน
สักพักหมอก็เข้ามาตรวจอาการพี่นก พี่นกบอกกับหมอว่า "ไม่ต้องให้ยาแล้วก็ได้ เพราะทุกวันนี้ไม่ได้รู้สึกอยากเหล้า นอนหลับได้เป็นปกติดี" หลังจากที่หมอตรวจอาการเสร็จแล้ว หมอก็บอกว่า "งั้นเดี๋ยวคุณย้ายไปอยู่อีกตึกนึง สำหรับเตรียมที่จะรอให้ญาติมารับ"
พี่นกจึงได้ย้ายไปอยู่ตึกใหม่ สภาพห้องจะดีกว่าตึกเดิมมาก เหมือนกับโรงพยาบาลทั่วไป มีทีวี มีเตียงรวมตั้งอยู่หลายๆเตียง และไม่แยกชายหญิง เพราะเป็นตึกสำหรับผู้ที่มีอาการดีขึ้นจนเกือบจะปกติ
พี่นกสังเกตเห็นว่าในห้องนี้มีผู้ป่วยอยู่สองคน เป็นผู้หญิงทั้งคู่ คนหนึ่งอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี มาบำบัดเรื่องสารระเหย อีกคนหนึ่งอายุประมาณสี่สิบปี พี่นกแกก็เข้าไปคุยกันปกติ
ตกกลางคืน พี่นกก็นอนดูทีวีอยู่ตรงแถวๆหน้าห้อง ภายในห้องจะปิดไฟทั้งหมด ทำให้ห้องดูทึบๆสลัวๆ แต่ผู้ป่วยหญิงทั้งสองคนกลับหนีไปนอนคลุมโปงอยู่ที่มุมห้องหลังสุด คุณนกก็สงสัยว่าทำไมถึงต้องไปนอนเบียดเสียดกันอยู่ที่มุมห้อง เตียงในห้องก็มีตั้งเยอะแยะ
เป็นแบบนี้อยู่ประมาณสามสี่คืน จนพี่นกทนความสงสัยไม่ไหว ตกกลางวันพี่นกจึงถามกับน้องผู้หญิงว่า "กลัวผีกันเหรอ" น้องผู้หญิงทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้แล้วพูดว่า "พี่อย่าพูดอย่างงี้ดิ"
พี่นกก็พูดว่า "พี่พึ่งจะเจอมาหมาดๆ พี่ยังไม่เห็นเป็นเหมือนเราเลย" แล้วพี่นกแกก็เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่ไปเจอมาในตึกบำบัด พี่ผู้หญิงที่อายุสี่สิบก็พูดขึ้นมาว่า "อย่าพูดถึงน่ะดีที่สุดแล้ว"
พี่นกพูดต่อว่า "อ่าว ผมพูดถึงแล้วมันเป็นไรพี่ เค้าอยู่คนละตึกกัน เค้าคงไม่ตามมาหรอก" พี่นกแกก็รั้น ทำเป็นไม่กลัว เวลาที่ผู้หญิงสองคนนี้เดินผ่าน ก็มักจะแกล้งพูดแซวอยู่บ่อยๆว่า "ระวังผีหลอกนะ"
คืนนั้น ผู้หญิงทั้งสองคนก็ยังทำเหมือนเดิม คือนอนชิดมุมห้อง ส่วนพี่นกก็นั่งดูทีวีอยู่หน้าห้อง แต่อยู่ดีๆ ทีวีก็ดับพรึ่บ พี่นกจึงหยิบรีโมทขึ้นมากดเปิด แต่กดยังไงก็ไม่ติด จึงเดินไปเขย่งเท้าขึ้นกดปุ่มเปิดทีวี
ทีวีก็สว่างวาบขึ้นมา แกหันหลังจะกลับไปนั่งที่เดิม ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งอยู่บนเตียง ข้างๆเตียงที่แกนั่งดูทีวีอยู่ เป็นผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบกว่าๆ นั่งกอดเข่า เอาคางเกยบนเข่าอีกที ใส่ชุดของโรงพยาบาล
พี่นกจึงถามไปว่า "อ่าว มานั่งดูทีวีตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วน้องย้ายมาห้องนี้ตอนไหน" ผู้หญิงคนนี้ยังคงนั่งกอดเข่าทำตาไร้แวว ตอบเสียงนิ่งๆว่า "ดูทีวีด้วยค่ะ" พี่นกแกจึงบอกว่า "อ๋อดูเลยครับดูเลย จะดูอะไรอีกมั้ย" แล้วแกก็ยื่นรีโมทให้ แต่รู้สึกขนลุกแปลกๆ เพราะเสียงที่ตอบกลับมา มันมีบางอย่างที่ผิดปกติ
ผู้หญิงคนนี้เหลือบตามองพี่นกแบบหน้านิ่งๆ พี่นกจึงตะโกนไปหาผู้หญิงสองคนที่นอนคลุมโปงอยู่มุมห้องว่า "เนี่ย มีคนมาดูด้วยเนี่ย ไม่มาดูด้วยกันไง๊" แต่ก็เงียบ ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา
พี่นกรู้ว่าผู้หญิงสองคนนั้นคงยังไม่หลับแน่ๆ แต่ก็งงว่าทำไมถึงไม่พูดไม่ตอบอะไร จึงหันไปเปิดรายการทีวีที่ผู้หญิงมักจะชอบดู เพื่อเอาใจผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่นกนั่งดูทีวีอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆก็เอาแต่เงียบ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น นั่งนิ่งไม่ขยับเหมือนเป็นหินที่ไม่มีชีวิต ไม่มีลมหายใจ
พี่นกเลยถามว่า "จะนอนหรือเปล่า ถ้านอนเดี๋ยวพี่ปิดทีวีให้" ผู้หญิงที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ ค่อยๆยืดตัวขึ้นช้าๆ หันหน้ามาหาพี่นก แล้วพูดว่า "แค่ช่วยเบาๆหน่อยก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเหมือนทุกวัน" ถึงจะเป็นการตอบแบบปกติ แต่พี่นกก็รู้สึกไม่ค่อยดี แต่อธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร
จึงถามกลับว่า "อะไรนะ ให้เบาๆลงหน่อยใช่มั้ย" แกก็หันไปคว้ารีโมทแล้วหันกลับมา ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงคนนี้อ้าปากกว้างจนผิดปกติ แทบจะอมหัวคนได้ทั้งหัว ใบหน้าขาวซีดเหมือนคนไม่มีเลือด ดวงตากลมโตสีดำเข้ม หัวเราะ "แหะๆๆๆๆ" จ้องหน้าพี่นกในท่านั่งกอดเข่า
พี่นกเห็นแบบนั้นก็ตกใจกลัวร้องกรี้ดออกมาเหมือนคนสติแตก ดีดตัวถอยหลังจนก้นจ้ำเบ้า เนื้อตัวเย็นเฉียบจนเหมือนศพ ผู้หญิงสองคนที่นอนอยู่มุมห้องรีบกระโดดลงจากเตียง วิ่งถลาแข่งกันออกนอกห้องแบบไม่คิดชีวิต จนชนเข้ากับเตียงนอนลมคว่ำไปหลายตัว
ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงอ้าปากค้าง นั่งกอดเข่า เหลือบตามองมาทางพี่นก เปล่งเสียงแปลกๆ เหมือนกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ออกมาอยู่ตลอดเวลา "แหะๆๆๆๆๆ"
พี่นกพยายามรวบรวมสติลุกขึ้นยืน หลับตาลง กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกนอกห้อง เสียงหัวเราะอันแปลกประหลาด ยังคงดังไล่หลังมาเรื่อยๆ เหมือนกับว่าสิ่งนั้นกำลังเดินอ้าปากตามหลังออกมาด้วย จนพี่นกเดินไปชนเข้ากับชั้นวางของที่อยู่แถวๆหน้าห้อง มีบุรุษพยาบาลสองคนวิ่งเข้ามาล็อคตัว เพราะคิดว่าพี่นกเกิดอาการคลุ้มคลั่ง
พี่นกรวมทั้งผู้หญิงสองคนที่วิ่งออกมาก่อนหน้านั้น ก็ช่วยกันอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น บุรุษพยาบาลพูดในทำนองว่าเพ้อเจ้อกันไปเอง และไล่ให้พี่นกกับผู้หญิงอีกสองคนเข้าไปนอนในห้องตามเดิม
พี่นกก็บอกกับบุรุษพยาบาลว่า "ถ้าพวกคุณคิดว่าไม่มีอะไร พวกคุณก็เข้ามากับผมสิ" บุรุษพยาบาลยืนอ้ำๆอึ้งๆ สรุปแล้วก็ไม่กล้าเข้าไปด้วย ได้แต่ขยับไม้กระบองในมือเบาๆ เป็งเชิงขู่ พร้อมกับพูดเสียงดังว่า "เข้าไปเลย เข้าไปอยู่ในห้อง"
พี่นกกับผู้หญิงอีกสองคนจึงต้องจำใจ เดินเข้าไปนั่งรวมกันที่มุมห้อง มีแค่แสงไฟจากจอทีวีฉายส่องออกมา ทำให้เห็นภายในห้องสลัวๆ เป็นห้องที่ออกจะกว้างขวาง มีเตียงหลายสิบเตียง เรียงรายกันอยู่จนเกือบเต็มห้อง แต่ทุกเตียงไม่มีคนนอน จึงเป็นภาพที่ดูแล้วน่าขนลุก
ส่วนทีวีที่เปิดอยู่ กลับเปลี่ยนช่องไปมาได้เอง เหมือนมีคนนั่งกดรีโมทเปลี่ยนช่องอยู่ตลอดเวลา พี่นกพยายามชะเง้อมองดูที่เตียงแถวๆหน้าทีวี ก็ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว ถ้างั้นแล้ว ทีวีมันเปลี่ยนช่องของมันเองได้ยังไง
คืนนั้น พี่นกจึงนอนคลุมโปงตัวสั่นจนถึงเช้า ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ พอถึงตอนเช้า พี่นกรีบโทรหาแฟนให้มารับทันที แล้วแฟนก็โทรมาบอกกับคุณคิงว่า "คิง ว่างมั้ยเนี่ย ไปรับพี่นกกับพี่หน่อย ไม่รู้เป็นไรเนี่ย โทรมาละล่ำละลักเลย" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
Post a Comment