หลงป่าหลอน


     เป็นประสบการณ์ของพี่ชาติที่นำมาถ่ายทอดให้ฟัง ตัวแกเองเคยขึ้นเหนือล่องใต้มาก็เยอะ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ทำให้แกต้องจำจนไม่มีวันลืม แกเล่าให้ฟังว่า หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และส่งเสียรายจ่ายต่างๆ

    แกก็อยากจะเดินไปท่องไพรคนเดียวบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าอารมณ์ไหน ประจวบกับตอนนั้น พวกเพื่อนๆก็ไม่ว่างกันเลย ก็เลยลุยเดี่ยวดู พวกเพื่อนๆที่ไม่ไปด้วย ต่างก็อวยพรกันว่า "อย่าไปเจอผีป่ากับสัตว์ร้ายก็แล้วกัน"

    ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะทุกครั้งที่เดินทาง แกจะห้อยพระที่นับถือ กับตะกรุดศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ครั้งนั้นเป็นวันที่ออกเดินทางแต่เช้า ขับรถส่วนตัวไปจอดไว้ที่สำนักงานป่าไม้แห่งหนึ่ง

    เจ้าหน้าที่ก็คุ้นเคยกันดี ช่วงที่เข้าป่าก็จะจ้างเด็กไปนอนเฝ้ารถให้ และเข้าแจ้งความจำนงกับเจ้าหน้าที่ว่า จะขอเข้าไปเที่ยวในป่า และค้างสักหนึ่งคืน หรือไม่ก็สองคืน เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ขัดข้อง และขอตรวจดูสัมภาระ ว่ามีอะไรบ้าง ที่จะสามารถไปทำร้ายสัตว์ได้ ตามกฏระเบียบ

    พี่ชาติแกบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ครั้งนี้ อยากไปเดินทางป่าด้านเหนือบ้าง เพราะเห็นว่าพื้นที่ตรงนั้น ยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง ว่ากันว่ามันอุดมสมบูรณ์ มีป่าขึ้นรก เหมาะแก่การสำรวจ เรียกว่าได้เข้าป่าโดยแท้จริง

    แต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า "อย่าเข้าไปเลย ไม่มีใครเข้าไปหรอก ในนั้นน่ะ" พี่ชาติเลยถามว่า "มันเป็นพื้นที่ของป่าสงวนเหรอ" เจ้าหน้าที่ตอบว่า "เปล่า แต่ก็อย่าเข้าไปเลย เชื่อเถอะ ไม่แนะนำ" พี่ชาติก็ต่อลองว่า "ขอเข้าไปสักครึ่งกิโลเมตรละกัน เข้าไปเอาบรรยากาศ แล้วก็รีบกลับออกมา"

    แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังยืนยันอีกว่า "ไม่ควรเข้าไปอย่างยิ่ง รับปากได้มั้ยว่าจะไม่เข้าไป" สุดท้ายก็ต้องรับปาก เพราะเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ จากนั้นก็เข้าห้องน้ำ จัดเตรียมสัมภาระให้เรียบร้อย แล้วออกเดินทางทันที

    ตอนแรกยังคิดอยู่ว่า ทำไมถึงไม่ให้เข้าไปนะ แค่อย่างรู้เท่านั้นเอง ว่าจะเหมือนส่วนอื่นๆหรือไม่ จึงเดินเข้าป่าเส้นทางเก่าๆ เดินเที่ยวไปเที่ยวมา มันรู้สึกคุ้นเคยชินตา เพราะเห็นจนเบื่อแล้ว ความรู้สึกตื่นเต้นแบบตอนที่เข้ามาแรกๆก็หายไปหมด

    แกเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ จนเวลาบ่ายสองกว่าๆ จึงคิดว่ายังพอมีเวลาที่จะเปลี่ยนเส้นทาง ไปที่ป่าทึบทางเหนือ รีบไปเดินสำรวจ แล้วกลับออกมาค้างคืนในป่าเก่าก็น่าจะทัน เมื่อคิดได้อย่างนั้น ก็รีบเดินไปที่ป่าทางเหนือ

    จนเข้าเขตป่าทึบ ทันทีที่เหยียบย่างเข้าไป ก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปจากเดิม เย็นประหลาดๆ สัมผัสได้ถึงความชื้น มีไอหมอกอ่อนๆ น่าแปลกมาก ที่เมื่อกี้ยังมีแดดจ้าอยู่เลย

    แต่ก็รู้สึกชอบมาก มันเหมือนหน้าหนาว การเดินแต่ละก้าว เต็มไปด้วยความลำบาก ต้องใช้ความพยายามสูง จะไม่ตัดต้นไม้โดยไม่จำเป็น ค่อยๆเดินไปตามทาง ตรงไหนที่มันรกมาก ก็ใช้มือแหวกเอา ให้มันพอเป็นร่องทางเดินได้

    ยิ่งเดินลึกเข้าไป ความลำบากยิ่งเพื่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม่ขึ้นรกหนาแน่น ได้ยินเสียงของสัตว์ร้องคำรามรอบตัว ไม่รู้ว่าต้นเสียงมันอยู่ที่ไหน และรอบๆตัวรู้สึกว่ามันมืดผิดปกติเหลือเกิน คงเป็นเพราะแสงมันส่องเข้ามาไม่ถึง เลยทำให้รู้สึกวังเวง ใจเกิดอาการกลัว รู้สึกไม่ปลอดภัย คิดว่าถ้าเดินลึกเข้าไปอีก อาจจะมีอันตรายรออยู่ หรือไม่ก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อของอะไรสักอย่าง

    ตอนนี้พี่ชาติรู้สึกโมโหตัวเอง ที่ไม่เชื่อคำเตือนของเจ้าหน้าที่ ก็เลยรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ กว่าจะขึ้นได้ก็ใช้เวลาอยู่นานโข พอขึ้นไปได้ก็ไปนั่งนิ่งอยู่บนคาคบไม้ สงบใจสักพัก แต่พอมองลงไปข้างล่าง ก็เห็นเหมือนเงาสัตว์ หรือตัวอะไรสักอย่างใหญ่ๆ เดินตะคุ่มๆอยู่ใต้ต้นไม้

    พี่ชาติตกใจมาก เพราะเจ้าสิ่งนั้นมันเดินไปเดินมา แล้วแหงนขึ้นมามอง ตาแดงก่ำ ตอนนั้นแกคิดในใจว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ แล้วนี่มันยังเป็นตอนกลางวันอยู่เลยแท้ๆ ทำไมบรรยากาศรอบๆตัวมันดูมืดทึบ มองอะไรก็ดูพร่ามัวไปหมด

    เสียงของสัตว์ต่างๆร้องระงมไปทั่วทั้งป่า แต่เสียงมันฟังดูวังเวงเหลือเกิน และไอ้ที่อยู่ข้างล่างมันคือตัวอะไร แกคิดว่าแกต้องตายแน่ ไม่รู้จะหนีไปทางไหน ได้แต่หลับตาภาวนาอยู่บนต้นไม้ ให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง

    สักครู่ต่อมา เสียงสัตว์ที่ร้องระงมน่ากลัวก็เงียบลง พี่ชาติค่อยๆลืมตาขึ้น เงาแปลกประหลาดที่อยู่ด้านล่างก็หายไป ป่าเหมือนจะสว่างขึ้นกว่าเดิม ก็คิดกับตัวเองว่า สงสัยจะเหนื่อยมาก เลยทำให้เห็นภาพหลอน

    หลับตานั่งทำสมาธิอยู่สักพัก ดูแล้วไม่มีอะไร ก็เลยลงมาจากต้นไม้ ตอนนั้นคิดว่าควรจะต้องกลับออกไปจากที่นี่ ขนาดยังเข้ามาไม่ลึกมาก ยังคิดว่ามันดูน่ากลัวพิกล มองดูเวลาก็เห็นเป็นบ่ายสี่โมงเย็น

    แต่พอมองดูดีๆ ปรากฏว่านาฬิกามันหยุดนิ่งตายสนิท ก็คิดว่าคงไม่เป็นไร มองหาเครื่องหมายที่ทำเอาไว้ เพื่อจะได้เดินกลับออกไป แต่พอมองไปทั่ว ก็รู้สึกใจเสีย เพราะเครื่องหมายที่ได้ทำเอาไว้ มันกลับหายไปทั้งหมด

    ด้วยความแปลกใจ จึงเดินวนเวียนหาอยู่หลายรอบ จนรู้สึกเมื่อยขาเมื่อยแข้ง อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน มันก็จะย้อนกลับมาทางเดิม ต้นไม้มันเหมือนกันหมดทั้งป่า แกจึงนั่งพักบนขอนไม้อันหนึ่ง แล้วหยิบกล่องข้าวจากเป้ออกมากิน เพื่อเติมแรงไปก่อน

    นั่งพักจนพอมีแรง ก็ลุกขึ้นเดินต่อ ใจมันอยากจะออกไปจากตรงนี้มาก แต่มีความรู้สึกว่า เหมือนยิ่งเดิน มันยิ่งลึกเข้าไปทุกทีๆ ฟ้าค่อยๆมืดลง ให้ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต อับจนหนทาง

    แกจึงหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋า คิดว่าจะโทรขอความช่วยเหลือ แต่แบตดันมาหมดเอาซะดื้อๆ ตอนนั้นเลยต้องยกมือขึ้นไหว้ไปรอบๆตัว ขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาท่านช่วยด้วย ถ้าหากว่ากลับออกไปได้ จะทำบุญถวายสังฆทาน และจะงดกินเนื้อสัตว์ในวันพระ

    เมื่ออธิษฐานเสร็จก็เริ่มเดินต่อ แต่ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกท้อแท้ ความมืดมันเข้ามาควบคุมทุกอย่าง มันมืดสนิทเหมือนอยู่ในถ้ำ ได้ยินเสียงนกกลางคืนร้องระงม หรือเสียงร้องน่ากลัวของนกฮูก

    อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แสงสว่างของพระอาทิตย์ที่ส่องลอดกิ่งไม้เริ่มหมดลงไปทุกที ทำให้รู้สึกหลอน วังเวง จนเดินต่อไปไม่ไหว จึงนั่งลงพักซะก่อน อากาศในป่ามันเย็นจับใจ จึงรีบปีนขึ้นต้นไม้อีกครั้ง กะว่าจะนั่งพักให้หายเหนื่อย

    แต่พอปีนขึ้นไปถึงข้างบน ก็ต้องปีนลงมาข้างล่างทันที เพราะอากาศข้างบนมันเย็นยะเยือก ตอนนั้นอยากจะจุดไฟ ก่อไฟผิง ให้ความอบอุ่นกับร่างกายสะก่อน แต่เหมือนเวรกรรม ไฟฉายมันก็มาริบหรี่ๆ และหมดเอาดื้อๆ จนมองแทบไม่เห็นอะไร

    ได้แต่นั่งกอดเป้อยู่ใต้ต้นไม้ อากาศหนาวเย็น จนหูได้ยินเสียงน้ำค้างดัง "เปาะ..แปะ..เปาะ..แปะ" เสื้อผ้าเปียกชื้นไปทั้งตัว คิดในใจว่า ถ้ายังนั่งแบบนี้ต่อไป ต้องเป็นปอดบวมตายแน่

    ทางเดียวที่จะรอด คือต้องจุดไฟให้ได้ ก็เลยพยายามเดินหาฟืน หรือเชื้อเพลิงอะไรก็ได้ ที่พอจะหาได้ แกเดินไปได้ไม่ไกลมาก ก็เห็นว่าข้างหน้ามีแสงสีส้มๆ ดวงเล็กๆ คิดว่าน่าจะเป็นคนเดินป่าเหมือนกัน มาจุดไฟผิงอยู่ก็ได้

    ตอนนั้นดีใจมาก เหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น รีบเดินเข้าไปหาโดยเร็ว และก็ไม่มีผิดหวัง เพราะเห็นกองไฟขนาดย่อมๆจุดเอาไว้ มีผู้ชายสามคน สวมเสื้อผ้าหนาๆ ใส่หมวกบดบังใบหน้า นั่งอยู่รอบกองไฟ คุยกันเงียบๆ

    พี่ชาติแกก็เดินโซเซเข้าไปหา แล้วฟุบลงข้างๆกองไฟ เพราะหมดแรงจะพยุงตัว หูก็ได้ยินเสียงใครสักคนพูดว่า "สงสัยเป็นพวกหลงป่า เราต้องช่วยเหลือ" รู้สึกว่าถูกใครคนหนึ่งพยุงร่างให้นั่งพิงกับโคนต้นไม้

    ความอบอุ่นจากกองไฟ ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาก พวกเขาไม่พูดอะไร นอกจากจะคุยด้วยภาษาแปลกๆ ที่ฟังดูไม่คุ้นหูเอาซะเลย แต่ตอนนั้นพี่ชาติเหนื่อยมาก ไม่มีแรงแม้จะขยับปาก ได้แต่มองพวกเขา ที่ก้มหน้าก้มตาคุยกัน เห็นมีบางครั้งที่เขาหันมามอง แล้วแกก็หลับไปโดยไม่รู้สึกตัวอีกเลย

    ตื่นมาอีกที รู้สึกว่าอากาศมันหนาวมาก ทนไม่ไหวจนต้องรู้สึกตัวตื่น สั่นไปทั้งตัว หนาวเย็นจนฟันกระทบกัน มองไปรอบๆก็มีแต่ความมืดมิด รู้สึกตกใจมากที่ไม่เห็นผู้ชายสามคนนั้น กองไฟก็ไม่มี ก่อนที่จะหลับก็ยังเห็นว่ามีคนนั่งผิงไฟอยู่แท้ๆ แล้วพวกเขาหายไปไหนกันแน่ แม้แต่ขี้เถ้าก็ยังไม่มี

    ตอนนั้นมันหนาวจับหัวใจ เย็นวูบวาบที่สันหลัง ความกลัวมันไหลเข้ามาเต็มหัว กลัวที่ต้องอยู่ในป่าแบบโดดเดี่ยว มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด กลัวจนทำอะไรไม่ถูก ความหนาวมันเป็นศัตรู ที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ไหว ขาก็เหมือนจะเป็นตะคริว หน้าชาไร้ความรู้สึก

    แกค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ก็ล้มลงอยู่หลายครั้ง เพราะเป็นตะคริวที่ขา รู้สึกกลัวมาก แต่ถ้าขืนนั่งอยู่ต่อไป คงต้องแข็งตายแน่ๆ หรือไม่ก็ต้องเป็นไข้ป่า ตายอยู่ในป่านี้

    ก็เลยพยายามคุกเข่าคลานไปเรื่อยๆ ก้มหน้าไปกับพื้นดิน ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แต่ทุกครั้งที่ฝ่ามือกดลงไปที่พื้น มันรู้สึกเจ็บปวดแสนทรมาน มีหนามตำจนเลือดไหลซิบ แต่ก็ยังพยายามตั้งสติ คิดว่ายังไงก็จะไม่ยอมตายแน่ๆ

    เมื่อตะคริวเริ่มหาย รู้สึกว่าขามันเริ่มจะขยับได้ จึงพยายามลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าในลักษณะที่เข่าเกยกัน การเคลื่อนไหวเป็นไปได้อย่างลำบาก และแล้ว ความรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ก็กลับมาอีก เพราะเห็นว่าข้างหน้า มีแสงไฟสีส้มแดง คงต้องมีคนก่อไฟอยู่แน่ๆ

    จึงรีบเดินเข้าไปดู แต่ยิ่งเดินเท่าไหร่ กลับรู้สึกว่ามันเดินไปไม่ถึงสักที ทั้งๆที่เห็นมันอยู่แค่ใกล้ๆ รู้สึกว่าเดินอยู่นานมาก ลัดเลาะตามต้นไม้จนไปถึง แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่กองไฟ มันคือลูกไฟขนาดเท่าหัวคน ลอยเรี่ยๆอยู่กับพื้น

    พี่ชาติตกใจมาก ความคิดเตือนว่าให้อยู่เงียบๆไว้ เพราะมันอาจจะเป็นดวงไฟผีป่า แกนั่งหลบอยู่หลังต้นไม้ ไม่กล้าขยับตัว คิดในใจอย่างเดียวว่า คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย นี่ถ้ามันรู้ว่ามีคนแอบมอง มันจะทำอะไรกันแน่นะ

    ดวงไฟนั้นก็ลอยอยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยๆหายไปกับตา แต่พอไฟหายไป ก็เห็นว่ามันกลายเป็นเงารูปร่างคนสูงใหญ่ ยืนจังก้าอยู่ พี่ชาติกลัวจนต้องกลั้นหายใจเอาไว้ ในชีวิตไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะทรมานมาก ได้แต่ภาวนาให้มันไปเร็วๆ

    สักพักก็เห็นเจ้าร่างดำๆนั่น มองซ้ายมองขวา เหมือนหาอะไรบางอย่าง แล้วมันก็ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆ ตรงที่แกนั่งขดตัวแอบอยู่ แกได้แต่นั่งหลับจาปี๋ กลัวมันจะทำร้าย เอามือล้วงเข้าไปในเป้ หยิบมีดเล่มเล็กๆที่พบติดมาด้วย กะว่าถ้ามีอะไร จะกระซวกแน่ๆ

    แต่แล้วมันก็เดินหายไปในทันที ตอนนั้นเริ่มโล่งใจที่รอดพ้นจากความตาย แต่ก็รู้สึกว่าไม่อยากไว้ใจอะไรเลย เพราะบรรยากาศมันทั้งหนาว ทั้งเย็น ทั้งมืด จนไม่สามารถที่จะไว้ใจอะไรได้ กลัวว่ามันจะย้อนกลับมาอีกครั้ง

    แกนั่งอยู่ตรงนั้นเกือบๆยี่สิบนาที แล้วพยายามรวบรวมสติ และเรี่ยวแรง ลุกขึ้นเดินต่อ แต่ละก้าวที่เดิน ไม่รู้เลยว่ากำลังออกจากป่า หรือว่าเดินถลําลึกเข้าไป รู้เพียงแต่ว่าน่ากลัวมาก สภาพจิตใจย่ำแย่

    จนไปเห็นแสงไฟอีกครั้ง แต่ไม่มั่นใจว่าจะเป็นคนนั่งก่อไฟ หรือดวงไฟผี แกเลยค่อยๆย่องเข้าไป หลบอยู่หลังต้นไม้ ใกล้ๆกับกองไฟ คราวนี้เห็นเป็นผู้ชายสามคนนั่งคุยกัน เหมือนกับที่เคยเห็นเมื่อก่อนหน้านี้

    แกลองเพ่งดูอีกที ก็เป็นความจริง เพราะสามคนนั้น ก็คือสามคนที่เห็นตอนแรก แล้วทำไมถึงย้ายมาผิงไฟอยู่ที่นี่ได้ ลักษณะท่าทางจากการพิจารณาดูดีๆ ตอนนี้กลับรู้สึกไม่น่าไว้ใจ แต่กลายเป็นน่ากลัวมากกว่า

    ผู้ชายคนแรก เมื่อเห็นหน้าตอนที่กระทบกับไฟ มีลักษณะแก้มที่ตอบมาก มีแต่หนังหุ้มกระดูก ตาลึก จมูกสั้น ริมฝีปากมีแต่ความเหี่ยว จับเป็นจีบขยุ้มเข้าหากัน อ้าปากงุมงัมๆ เห็นฟันบนมีเขี้ยวยาวงอกออกมา ดูแล้วไม่เหมือนคนเลยสักนิด มือเหี่ยวย่น เล็บเป็นสีดำๆ

    คนที่สองที่นั่งอยูข้างๆกัน มีลักษณะตัวสั้นๆ หน้าซีด ตาลึกโหล ตัวผอม มีแผลสดอยู่ที่แก้ม ส่วนคนที่สามตัวจะใหญ่กว่าเพื่อน ตาโปนเป็นวาว จมูกไม่มีดั้ง เห็นแต่ริมฝีปากหนาๆ แกพยายามฟังว่าคนเหล่านั้นคุยอะไรกัน

    แต่พอเงี่ยหูฟังดีๆ รู้สึกว่ามันไม่ใช่การคุยกัน มันเป็นเสียงสวดคาถาอะไรสักอย่าง สูงๆต่ำๆ บางครั้งก็กรีดร้องโหยหวน เสียงสยองจับใจ ตอนนั้นหัวใจของพี่ชาติเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ สับสนวุ่นวายกับตัวเอง คิดว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่

ไม่มีความคิดเห็น