เสียงกระซิบจากศพ


     เรื่องราวของคุณบอย ฉีดปลวกโดยเป็นเรื่องของเพื่อนที่เป็นหมอ  เมื่อประมาณสองถึงสามเดือนก่อน เพื่อนได้ไปประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และวันนั้นได้อยู่เวรดึก แต่เพราะเวลานั้นไม่ได้มีงานอะไรมากนัก เพื่อนจึงออกไปเดินเล่นด้านนอกตึก

     ช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณตีสองกว่าๆ บรรยากาศในเวลานั้นเงียบสงัดและมืดมาก มีไฟดวงเล็กๆตั้งอยู่ข้างทางเดินเป็นระยะๆ มีลมเย็นพัดอ่อยๆ เคล้ากับเสียงของแมลงที่กำลังร้องประสานเสียงกันอย่างเมามัน

    แต่ชั่วขณะนั้น เหมือนมีลมเย็นๆเบาๆ พัดเข้ามาตรงแถวๆกกหูข้างซ้าย จนทำให้ขนลุกซู่ มันเหมือนกับว่ามีใครสักคนเป่าลม มากกว่าเป็นลมที่เกิดจากธรรมชาติ เพื่อนรีบหันกลับไปมองด้านหลังทันที

     แต่ก็พบเพียงแค่ทางเดินที่ว่างเปล่า ทอดยาวไปจนถึงมุมตึกของอีกด้าน แม้จะมีโคมไฟตั้งอยู่ข้างทางเดิน แต่มันก็ไม่ได้ตั้งติดกันมากนัก จึงทำให้เกิดช่วงที่มืดทึบ สลับกับช่วงที่สว่างไสว ไปจนสุดทางเดิน เป็นภาพที่ทำให้ใจรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ

    แต่เพื่อนพยายามไม่ใส่ใจ คิดเสียว่ามันคงเป็นเรื่องปกติของที่นี่ จึงหันตัวกลับ แล้วเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ แต่เมื่อก้าวออกไปยังไม่ถึงสามก้าวได้ ลมแปลกๆมันก็พัดเข้าที่กกหูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นด้านขวา

     เพื่อนตกใจรีบหันกลับไปมองด้านหลังทันครั้ง แต่ก็พบกับความว่างเปล่าเช่นเดิม คิดในใจว่ามันต้องเป็นลมเป่าจากปากคนแน่ๆ มีใครมาเล่นตลกอะไรหรือเปล่า แต่พอลองมองดูจนทั่วบริเวณ ก็ไม่พบใครเลยสักคน มีแต่ความมืดกับเสียงแมลงกลางคืนที่เปล่งเสียงร้องกันระงม

     เพื่อนพยายามข่มความกลัวเอาไว้แล้วรีบเดินจ้ำต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกลัวอะไร และเหตุการณ์นี้มันคืออะไร เมื่อเดินมาจนถึงมุมตึกแล้วเลี้ยวตรงหัวมุม แต่ก็ต้องชะงักเท้าทันที พร้อมๆกับหัวใจที่มันหล่นลงไปจนถึงตาตุ่ม รู้สึกได้เลยว่าเส้นผมบนหัวมันเริ่มตั้งขึ้นเรื่อยๆ

     ภาพที่เห็นคือมีผู้ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ชิดกับผนังตึก แต่ที่มันน่ากลัวก็คือ หัวของผู้ชายคนนั้นมันจมหายเข้าไปในผนังของตึกทั้งหัว ไม่สวมเสื้อ สวมแต่กางเกงยีน ตัวซีดเซียว แขนทั้งสองข้างลู่ลงข้างลำตัว ถ้ามองไกลๆอาจจะคิดว่าเป็นศพหัวขาดที่ยืนหันหน้าเข้าผนังตึก

      แต่เพื่อนที่ยืนห่างจากสิ่งนั้นแค่สองถึงสามก้าว ยืนยันได้ว่าส่วนหัวของผู้ชายคนนั้นมันไม่ได้หายไปไหน แต่มันแค่จมเข้าไปในกำแพง เพื่อนยืนอึ้งขาตายจนทำอะไรไม่ถูก แต่ในชั่วอึดใจนั้น เหมือนได้ยินเสียงคนกระแอมมาจากด้านหลัง "อึ้มมมม"

      ทำให้เพื่อนสะดุ้งจนตัวโก่ง รีบหันควับไปดูทันที แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่าที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด เพื่อนจึงรีบหันกลับมาดูสิ่งที่น่าหวาดกลัว ที่มันยืนอยู่ข้างผนังตึก

     แต่สิ่งนั้นมันกลับหายไป ทำให้เพื่อนรู้สึกโล่งใจเหมือนยกอะไรหนักๆออกจากอกได้ แต่ความหวาดวิตกยังคงไม่จางหายไปไหน และเพราะความสงสัยใคร่รู้ เพื่อนจึงลองจ้องดูที่ผนังกำแพง ตรงจุดที่หัวของผู้ชายคนนั้นมุดหายเข้าไป

     แต่กลับมีเสียงเย็นยะเยือกของผู้ชายคนหนึ่ง ดังขึ้นจากด้านหลัง "ช่วยหาผมให้เจอหน่อย" ลักษณะของเสียงจะทุ้มๆเย็นๆ ทำให้เพื่อนต้องเผลอร้องเฮือกออกมาดังๆ เพราะความตกใจปนความหวาดผวา เนื้อตัวเย็นเฉียบจนขยับตัวไม่ได้

     ในใจก็พยายามแย้งตัวเองว่า เราเป็นหมอ เราควรเชื่อในสิ่งที่มันพิสูจน์ได้มากกว่าสิ่งที่มันน่ากังขาเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้มันไม่ควรจะมีตัวตนอยู่จริง แต่ทั้งๆที่พยายามเชื่อความคิดแบบนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้ความหวาดกลัวหวาดระแวงลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว

     เอาเถอะ ถ้างั้นก็คิดสะว่าง่วงนอนจนตาลาย หรือเพลียจากการทำงานมาทั้งวัน จนทำให้เห็นมโนภาพก็แล้วกัน มันจะได้ดูมีเหตุมีผลขึ้นมาหน่อย เมื่อคิดได้เช่นนี้ เพื่อนก็หันหลัง แล้วเดินกลับไปทางเดิม ไม่มีอารมณ์ที่จะเดินกินลมเล่นอีกต่อไป

     แต่ไม่ทันที่จะเดินพ้นโค้งที เพื่อนก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะได้ยินเสียง "ตุ๊บ" มาจากผนังจุดที่เกิดเหตุ มันเหมือนเสียงคนเอากำปั้นทุบเข้ากับผนัง เพื่อนรีบหันกลับไปดูเพราะความตกใจ

     ภาพที่เห็นมันชัดเจนจนทำให้เพื่อนขาสั่น ในหัวไม่สามารถคิดหาเอาทฤษฎีอะไรมาหักล้างได้อีกต่อไป เนื่องจากผู้ชายคนนั้นกลับมายืนเอาหัวมุดผนังอยู่ตรงจุดเดิม แต่ครั้งนี้ยืนเอาเท้าเตะผนังไปด้วย จนเกิดเสียงดัง "ตุ๊บ...ตุ๊บ"

    เพื่อนหมุนตัวกลับ แล้วเดินออกมาทันที รู้สึกจิตตก เหมือนร่างกายมันควบคุมตัวของมันเอง อาจเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ปกติทั่วไป ที่มักจะหลีกหนีจากสิ่งที่น่าหวาดกลัวหวาดผวา แต่ตลอดระยะทางที่เดินกลับ เพื่อนได้ยินเสียงเหมือนมีคนเป่าลมเข้าที่กกหูทั้งสองข้างมาตลอดทาง และเสียงกระซิบว่า "หาผมที" น้ำเสียงเบาๆเย็นๆ แต่แฝงไปด้วยความร้อนรนทุกทรมาน

    เพื่อนยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่อาการของคนหวาดกลัวจนจิตปรุงแต่งไปเอง มารู้สึกตัวจริงๆก็ตอนที่ยืนอยู่ในตัวอาคาร แต่ด้านในตึกเวลานั้นมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ส่งเสียงเอะอะเล็กน้อย

     จับใจความได้ว่า มาขอรับศพ ซึ่งมันนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ศพ ญาติเจ้าของศพได้จ้างรถมูลนิธิให้เคลื่อนย้ายศพ แต่ศพยังไม่ไปถึงจุดที่ต้องการให้ไปส่ง เพื่อนจึงเดินเข้าไปร่วมวงด้วย เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้

     เมื่อลองมองดูภาพของผู้เสียชีวิต เพื่อนก็ร้องอ้าวออกมาทันที เพราะจำได้ว่าตนเองเป็นคนผ่าตัดเคสนี้เองกับมือ และตนเองก็เป็นคนเซ็นอนุมันติให้เคลื่อนย้ายศพได้ จึงเกิดความมึนงง ว่าทำไมศพยังไม่ถึง เพื่อนจึงให้ทุกคนตามหาคนที่รับศพไป

    สุดท้ายก็ยังหาทางออกไม่เจอ จนต้องไปแจ้งความไว้ก่อน ทางตำรวจจึงไปตามบุคคลที่เคลื่อนย้ายศพ และพบว่า กลุ่มคนดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ทำการขโมยศพ เพื่อเอาชิ้นส่วนอวัยวภายในไปแยกส่วนขาย และทางตำรวจก็พบเข้ากับศพที่ทางโรงพยาบาลกำลังตามหาอยู่ กลุ่มคนร้ายกำลังจะแยกอวัยวอยู่พอดี นับว่าโชคยังดีที่ศพยังไม่ถูกแยกส่วนเสียก่อน ทางตำรวจจึงได้นำศพคืนสู่ญาติ

     เหตุการณ์ผ่านไปประมาณเกือบหนึ่งเดือน เพื่อนก็ได้ไปเดินเล่นที่จุดเดิมและเวลาเดิม ทั้งๆที่อยู่คนเดียว แต่หูกลับได้ยินเสียงเย็นๆ ลอยมาตามลมว่า "ขอบคุณ" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ไม่มีความคิดเห็น