เจ้าที่ยังเท


    เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งที่ภาคอีสาน ช่วงที่คุณดิวยังเป็นทหารเกณฑ์อยู่ ประมาณสี่ปีที่ผ่านมาหลังจากฝึกเสร็จก็ได้มีการขึ้นกองร้อย จนผ่านมาประมาณสองเดือน คุณดิวกับเพื่อนอีกคนมีชื่ออยู่ในทหารรับใช้ของนายทหารท่านหนึ่ง

    วันที่ไปรายงานตัว ได้มีคำสั่งลงมาว่า ให้ไปดูแลทำความสะอาดบ้านหลังหนึ่ง ที่อยู่ห่างออกไปจากค่าย ซึ่งจ่าจะเป็นคนขับรถไปส่งถึงหน้าบ้าน แต่เมื่อขับมาถึงปากซอย จ่าหักรถเข้าชิดข้างทางแล้วจอด จากนั้นก็หยิบกระดาษขึ้นมาเขียนอะไรสักอย่างลงไป

    คุณดิวกับเพื่อนอยู่ในอาการงงๆ แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไป ครู่ต่อมา จ่าก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นมาให้แล้วพูดว่า "อ่ะนี่ แผนที่" เมื่อคุณดิวรับมาดู ก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ "โอ้โห่"

    จากแผนที่ในกระดาษ บ้านหลังนั้นอยู่ห่างจากจุดที่คุณดิวอยู่ตอนนี้ประมาณสองกิโล ซึ่งลึกเข้าไปในซอย คุณดิวกับเพื่อนเดินเข้าไปในซอยกับสองคน สองข้างทางจะเป็นสวนสลับกับป่า แทบจะไม่มีบ้านเรือนอยู่เลย

    จนมาถึงหน้าบ้านของนายทหาร วินาทีที่คุณดิวเห็นตัวบ้าน รู้สึกใจมันล่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม เย็นสันหลังวาบจนขนตั้งชัน ลักษณะบ้านจะเป็นบ้านไม้ยกสูงทรงโบราณ หลังใหญ่และสภาพเก่าพอสมควร

    บริเวณรอบๆบ้านจะเป็นสนามหญ้าโล่งๆ มีต้นไม้ต้นใหญ่เพียงไม่กี่ต้น ถัดออกไปนอกเขตบริเวณบ้านจะเป็นป่ารกๆ เมื่อมองจากหน้าบ้าน ห้องน้ำจะอยู่ใต้ถุนบ้าน ฝั่งซ้ายมือจะเป็นโรงเก็บของ อยู่ติดๆกับตัวบ้าน

    คุณดิวกับเพื่อนเดินขึ้นบันไดที่อยู่หน้าบ้านไปชั้นบน เสียงขั้นบันไดไม้ลั่นดัง "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด.." คงเป็นเพราะมันมีอายุมากโขแล้ว จนมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน มียันต์แดงแปะอยู่เหนือประตูหนึ่งผืน เก่าจนหยากไย่จับระโยงระยางไปมา ดูๆแล้วก็ให้ความรู้สึกเข้มขลังดี

    ที่ประตูมีโซ่เส้นใหญ่คล้องไว้กับวงกบประตู คุณดิวไขกุญแจแล้วผลักประตูไม้บานเก่าๆเข้าไป "แอ๊ดดดดดด ดดด ด แก๊กๆๆๆ"

    มีกลิ่นอับจางๆลอยฝุ่งไปทั่ว อาจจะเป็นกลิ่นของเนื้อไม้ที่เก่ามากแล้ว ในตัวบ้านจะเป็นลานกว้างๆ มีเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นอยู่ครบถ้วน ด้านซ้ายขวาและหน้า จะเป็นห้องที่ถูกโซ่คล้องไว้

    คุณดิวกับเพื่อนช่วยกันทำความสะอาดบนเรือนจนเสร็จ ก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอก กลับเข้าบ้านอีกทีก็เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ เมื่อเดินมาถึงตัวบ้านในเวลากลางคืนเช่นนี้ บรรยากาศมันช่างแตกต่างจากตอนกลางวันอย่างลิบลับ บ้านไม้หลังใหญ่ดูมืดทึบอึมครึมน่าขนลุก รอบๆบ้านก็ดูเงียบเชียบและวังเวง

    คุณดิวนึกโกรธตัวเองที่กลับเข้าบ้านในเวลามืดค่ำแบบนี้ น่าจะเปิดไฟทิ้งไว้สักดวงสองดวงก่อนออกไปข้างนอก ตอนนี้ได้แต่ข่มใจแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ช่วยกันลากฝูกมานอนกันตรงลานโล่งหน้าทีวี

    คุณดิวรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเวลากี่โมง ยังแปลกใจกับตัวเองว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาทำไม จึงข่มตานอนต่อ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเพื่อนกรนเบาๆ จนใกล้จะเคลิ้มหลับ แต่มีเสียงบางอย่างดึงสติของคุณดิวให้กลับมา

    ลักษณะเสียงมันเหมือนมีคนเดินอยู่ในบ้าน เพราะพื้นไม้มันลั่นเบาๆ "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด.." คุณดิวผงกหัวขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ แต่ก็แทบจะมองอะไรไม่ออก เพราะมันมืดเสียจนมองมือตัวเองไม่เห็น คิดในใจว่าหูคงจะฝาดไปเอง เพราะจำได้ว่าตนเองเป็นคนล็อกประตูหน้าบ้านเองกับมือ

    เสียงนั่นเงียบหายไปนาน จนคุณดิวแน่ใจว่าตนเองคงจะหูฝาด จึงล้มตัวลงนอนต่อ ในคือต่อมา คุณดิวกับเพื่อนปิดไฟนอนเวลาประมาณห้าทุ่ม แต่คุณดิวกลับนอนไม่หลับ จนเวลาล่วงมาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ

    หูได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเบาๆ คุณดิวพยายามตั้งใจฟัง มันคล้ายเสียงคนเคาะประตูเบาๆ "ก๊อกๆๆๆๆ" คุณดิวคิดในใจว่าใครมาเคาะประตูบ้านในเวลาแบบนี้ แต่เสียงเคาะนั้นมันกลับค่อยๆเคาะเลื่อนไปตามข้างฝาบ้าน "ก๊อกๆ..ก๊อกๆ..ก๊อกๆ" จนครบรอบบ้านแล้วกลับมาเคาะอยู่หน้าประตูเหมือนเดิม

    คุณดิวขนลุกตั้งไปทั้งตัว คิดในใจว่ารอบๆบ้านมันไม่ได้มีระเบียงให้ยืน แล้วมันเคาะได้ยังไง ถ้าจะมีคนเคาะแบบนั้นได้ก็ต้องเป็นคนที่มีมือยาวกว่าสามเมตร หรือขายาวมากๆ แต่ถ้ามีจริงมันก็คงจะไม่ใช่คน คุณดิวยิ่งคิดยิ่งทำให้จิตตกเรื่อยๆ

    พยายามใช้เท้าเขี่ยเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆยังไงมันก็ไม่ยอมตื่น เอาแต่นอนกรนตั้งแต่ปิดไฟ หรืออาจจะเป็นเจ้าที่ก็ได้ ท่านอาจจะแค่มาเตือน เพราะตั้งแต่ที่คุณดิวเข้ามาที่นี่ยังไม่ได้ไหว้เจ้าที่เลย

    แต่ยังไงซะ นอนมืดๆแบบนี้มันหลอนเกินไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงลุกขึ้น เพื่อจะเดินไปกดสวิทช์ไฟที่อยู่ตรงเสากลางบ้าน แต่พอเดินจนใกล้จะถึง ห่างจากเสาประมาณสองก้าว คุณดิวสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง อยู่แถวๆเสากลางบ้าน

    จึงได้ลองเพ่งสายตาดูดีๆ ก็พอจะมองออกว่ามันคือผู้ชายกำลังนั่งพิงเสาโดยหันข้างให้ ใส่เสื้อสีเขียว ภาพที่เห็นมันทำให้คุณดิวรู้สึกเย็นวูบวาบเหมือนคนจะเป็นไข้ ตัวแข็งก้าวขาไม่ออกเพราะความกลัว ลมหายใจขาดเป็นช่วงๆ คล้ายคนใกล้จะเป็นลม ได้แต่ยืนจ้องสิ่งนั้นอยู่นานพอสมควร

    แต่ก็ยังพยายามปลอบใจตัวเองว่าอาจจะมองผิดไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมันมืดมาก ยากที่จะมองอะไรออก แต่กลับมีเสียงเหมือนคนหายใจหอบเบาๆ หลุดออกมาจากผู้ชายคนนั้น "ฟืดด..ฟืดด..ฟืดด.."  สักพักร่างนั่นมันค่อยๆเลือนหายไปทีละนิด

    คุณดิวรีบดึงสติให้กลับมา เอื้อมมือไปกดสวิทช์ไฟ หลอดนีออนเก่าๆกระพริบอยู่ประมาณสองถึงสามที พร้อมเปล่งเสียงแปลกๆเหมือนมีอะไรสักอย่างช็อตอยู่ข้างใน ก่อนที่มันจะส่องสว่างให้แก่ลานกว้างนี้ คุณดิวยืนมองซ้ายมองขวาด้วยอาการตัวสั่น หาผู้ชายคนนั้นอยู่ครู่ใหญ่

    คิดในใจว่าเค้าเป็นใครกันแน่ เจ้าที่หรือผีตายโหง ก็อาจเป็นไปได้ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าบ้านที่ไม่มีคนอยู่นานๆ ผีหรือวิญญาณเร่รอนจะเข้ามาสิงสถิต คืนนั้นคุณดิวต้องเปิดไฟนอนทั้งคืน เริ่มไม่ไว้ใจในอะไรต่างๆที่อยู่รอบตัว

    วันรุ่งขึ้น คุณดิวยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง กลัวเพื่อนจะว่าคุณดิวขี้ขลาดกลัวผีจนจิตหลอนไปเอง ตกกลางคืน คุณดิวจึงกินยาแก้แพ้อากาศไปสามเม็ด กะให้หัวถึงหมอนแล้วหลับสนิทเลย

    และก็ได้หลับจริงๆ แต่คนที่ซวยในคืนนั้นกลับเป็นเพื่อนเสียเอง รุ่งเช้าเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ปิดไฟ เพื่อนเสียบหูฟังแล้วนอนดูหนังในมือถือ จนเวลาประมาณเที่ยงคืน เกิดรู้สึกคอแห้งหิวน้ำ จึงเดินไปกินน้ำในกระติกที่วางอยู่ข้างทีวี

    จังหวะที่หันตัวกลับ ปรากฏว่าเจอเข้ากับผู้หญิงใส่ชุดคลุมท้อง ยืนอยู่กลางบ้าน เพื่อนหยุดชะงักทันที ยืนอึ้งกับภาพที่อยู่ตรงนั้น เป็นผู้หญิงผมยาว แต่ใบหน้าและลำตัวดำมาก เหมือนกับว่าเอาขี้เขม่ามาทายังไงยังงั้น

    เห็นเพียงแค่ลูกตาโตสีขาวขุ่น ที่จ้องมองเพื่อนปานจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้ เธอคนนั้นยกมือขึ้นแล้วชี้หน้า พร้อมกับพูดเสียงเย็นๆแต่ดุดันว่า "ที่นี่ของกู! ออกไป!!"

    เพื่อนคิดในใจว่าเกิดเป็นชายชาติทหารอกสามศอก จะกลัวอะไรกับผู้หญิง ถึงจะเป็นผีก็เถอะ เคยสาบทสาบานไว้แล้วว่าจะไม่กลัวผู้หญิงคนไหน นอกจากแม่กับเมีย เพื่อนยืนนิ่งคุมเชิงไว้ก่อน แต่ก็ระวังตัวในเวลาเดียวกัน สักพักใหญ่ๆ เธอคนนั้นก็หายไป เหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

    หลังจากที่คุณดิวได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อน จึงได้กดมือถือโทรหาจ่าทันที

    คุณดิว : จ่า พวกผมอยู่ไม่ได้แล้วนะ นี่ขนาดแค่สามคืนเอง รู้เปล่าว่าพวกผมเจอกับอะไรบ้าง
    จ่า : พวกเอ็งคิดไปเองเปล่าวะ
    คุณดิว : อ่าวงั้นจ่ามานอนกับพวกผมมั้ย
    จ่า : เอ่อๆๆ งั้นเอางี้ เดี๋ยวกูจะนิมนต์พระไปตั้งศาลพระภูมิให้ก็แล้วกัน

    จากวันนั้น คุณดิวกับเพื่อนก็ได้กลับไปนอนที่กองร้อยก่อน และในระหว่างนั้น จ่าก็ได้นิมนต์พระมาตั้งศาลพระภูมิให้แก่บ้านหลังนั้น เมื่อเสร็จแล้วจ่าก็ให้คุณดิวกับเพื่อนเข้ามาดูแลบ้านหลังนี้อีกครั้ง

    ตอนที่กลับมายังบ้านหลังนี้ คุณดิวรู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะที่เห็นศาลพระภูมิตั้งอยู่กลางลานหญ้าหน้าบ้าน เวลาประมาณสามทุ่มในวันเดียวกัน คุณดิวเดินลงมาเข้าห้องน้ำที่ใต้ถุนบ้าน ในจังหวะที่กำลังนั่งปลดทุกข์อยู่ คุณดิวได้ยินเสียง "แอ๊ด..แอ๊ด..แอ๊ด.." เบาๆ

    คล้ายกับว่ามีคนเดินไปมาอยู่บนบ้าน แต่ในขณะเดียวกัน คุณดิวก็ได้ยินเสียงเพื่อนคุยโทรศัพท์อยู่แถวๆหน้าบ้าน ทำให้รู้สึกเอะใจขึ้นมาว่า งั้นใครกันที่เดินอยู่บนบ้าน จึงลองมองขึ้นไปข้างบน

    แผ่นไม้กระดานมันไม่ได้ชิดติดกันมากนัก จึงพอที่จะมองผ่านซี่ของไม้ขึ้นไปดูได้ ปรากฏว่าคุณดิวเห็นเหมือนมีเงาของใครสักคน เดินวนไปมาอยู่ด้านบน คุณดิวพยายามคิดไปด้วยว่า ห้องที่ตรงกับห้องน้ำนี้ น่าจะเป็นห้องนอนที่อยู่ทางฝั่งหลังของบ้าน หรือก็คือหลังทีวี

    ซึ่งห้องนั้นมันมีโซ่คล้องไว้อยู่ก่อนแล้ว ไม่น่าจะมีใครเข้าไปข้างในได้ ไม่เช่นนั้น คนที่เดินไปมาอยู่ด้านบนนี้ ก็ต้องอยู่ในห้องนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว

    คุณดิวรีบก้มหน้าลงทันที ความกลัวความหวาดระแวงเริ่มโหมเข้าใส่อีกครั้ง พยายามรีบเร่งทำธุระให้เสร็จ ระหว่างนั้น เสียงเดินด้านบนก็เงียบหายไป ทำให้คุณดิวหยุดชะงักไปด้วย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

    คิดในใจว่า ทำไมสิ่งที่อยู่ด้านบนถึงหยุดเดิน หรือมันรู้แล้วว่าเราอยู่ในห้องน้ำข้างล่างนี่ งั้นตอนนี้มันคงกำลังมองลอดซี่ไม้ลงมาดูเราอยู่แน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งแทบบ้า คุณดิวรีบทำธุระให้เสร็จ แล้ววิ่งพรวดพราดออกจากห้องน้ำทันที

    แต่คืนนั้นคุณดิวกับเพื่อนก็ไม่ได้พบเจออะไรแปลกๆ วันต่อมา หลังจากกินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้ว คุณดิวก็มานอนเล่นมือถือบนฝูกหน้าทีวีปกติ จนเวลาล่วงมาถึงห้าทุ่ม หูของคุณดิวได้ยินเสียง "โพละ!! ตุบ!!"

    ลักษณะเหมือนของอะไรบางอย่างแตก คุณดิวหยุดฟัง แต่เสียงมันก็ไม่ได้ดังขึ้นอีก ด้วยความสงสัย คุณดิวกับเพื่อนจึงลุกขึ้นหาที่มาของเสียง เหมือนว่ามันจะดังมาจากแถวๆหน้าบ้าน

    จึงลองเดินออกไปดู แต่ก็ต้องใจหายวูบ ความมึนงงต่างๆถาโถมเข้าใส่เรื่อยๆ เพราะศาลพระภูมิที่เพิ่งจะตั้งไปไม่กี่วันมานี้ล้มกองอยู่กับพื้น เหมือนกับว่าโดนอะไรสักอย่างชน หรือคนมาดันให้ล้ม คุณดิวหันไปบอกกับเพื่อนทันทีว่า "เฮ้ย!! ท่าไม่ดีละ คืนนี้เปิดไฟนอนอีกคืนละกัน"

    และในคืนนั้นเอง คุณดิวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาเคาะอยู่รอบบ้าน แต่คราวนี้มีเสียงผู้ชายหัวเราะไปด้วย "หึๆ..หึๆ" จับจุดไม่ได้ว่าเสียงมาจากทางไหน

    คุณดิวนอนตัวแข็งทื่อ คิดจะเอาเท้าเขี่ยเพื่อนแต่กลับขยับตัวไม่ได้ อาจเป็นเพราะความกลัว ได้แต่นอนตัวสั่นตาแข็งอยู่แบบนั้น

    สักพักต่อมา คุณดิวมีความรู้สึกว่าฟูกที่นอนแถวๆข้างลำตัวมันยวบลง คล้ายมีคนเหยียบอยู่ แต่คุณดิวก็เห็นเพียงแค่ความว่างเปล่า สักพักมันก็ยวบลงอีกข้าง พร้อมกับได้กลิ่นเหม็นเน่าของอะไรบางอย่างจางๆ

    คุณดิวเกร็งตัวจนแทบจะหายใจไม่ออก เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวสุดขีด อยากจะวิ่งหนีออกจากบ้านหลังนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด

    แต่อยู่ๆ คุณดิวก็ได้ยินเสียงเพื่อนพูดขึ้นว่า "เฮ้ย!! สวดมนต์" เสียงของเพื่อนเหมือนเสียงจากสวรรค์ มันทำให้หลุดจากอาการตัวเกร็ง คุณดิวหอบหายใจถี่ๆประมาณอึดใจ แล้วยกมือขึ้นพนมท่องอิติปิโส

    แต่เมื่อท่องได้แค่ว่า "อิติปีโส..." ปรากฏว่ามีเสียงชายคนหนึ่ง พูดแทรกขึ้นมาว่า "ตอนนั้น..กูก็ท่องแบบนี้แหละ..แล้วก็ไม่รอด" น้ำเสียงมันเย็นยะเยือกไปจนถึงขั้วหัวใจ

    ความอดทนอดกลั้นมาถึงขีดสุด คุณดิวกับเพื่อนวิ่งเตลิดออกจากบ้านทันที ร้องโวยวายเหมือนคนสติแตก ไปนั่งหอบกันอยู่หน้าร้านมินิมาร์ทหน้าปากซอย

    เช้าวันต่อมา คุณดิวรีบโทรหาจ่าทันที และเล่าให้จ่าฟังเรื่องศาลพระภูมิ แต่จ่าก็ยังไม่เชื่อ จนจ่าได้เข้ามาดูด้วยตาของตัวเอง แต่ยังไม่วายถามกลับพวกคุณดิวว่า มีใครพิเรนทร์มาถีบศาลหรือเปล่า

    คุณดิวจึงถามจ่าถึงประวัติของบ้านหลังนี้ แต่จ่าก็ไม่ยอมบอกอะไร คุณดิวเลยพูดว่า "งั้นเอางี้ ถ้าจ่าคิดว่ามันไม่มีอะไร คือนี้จ่านอนที่นี่เลย ถ้าจ่าอยู่ได้ถึงพรุ่งนี้ เงินเดือนของผมทั้งเดือน ผมให้จ่าหมดเลย" แต่จ่าก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว

    ส่วนพวกคุณดิวก็ยืนยันว่ายังไงก็จะไม่อยู่ และบอกกับจ่าว่า จะย้ายไปที่ไหนก็ได้ แต่ที่นี่ยังไงก็จะไม่อยู่ จ่าพูดขึ้นมาเบาๆเหมือนบ่นว่า "กูว่าแล้ว"

ไม่มีความคิดเห็น