สัมภเวสี โดย เมมโมรี่


     สัมภเวสี เป็นนิยาย โดย เมมโมรี่ จากเว็บ readawrite นิยายลึกลับเขย่าขวัญท่าน่าสนใจเรื่องหนึ่งว่าแล้วก็ไปติดตามเรื่องของนามปากกา เมมโมรี่ กันเลย

     รถแท็กซี่พุ่งทะยานออกตัวทันที นภดลรีบปิดประตูแต่ไม่ เป็นผล เขามองลงไปยังเบื้องล่างประตูเห็น ร่างสยองของหญิงสาวคนนั้นกําลังค่อยๆ คืบคลานพยายามจะ เข้ามาในรถ มือข้างหนึ่งดันประตูไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งคว้า ที่ขาของนภดล แววตาจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จนในที่สุดร่างนั้นก็หลุดหายไปตามแรงรถเขาจึงรีบปิดประตูทันที นภดลยังคงไม่แน่ใจในความปลอดภัย เขามองดูหลังรถอีกครั้ง กลับไม่เจอร่างนั้นแต่อย่างใด เขาหายใจถี่ขึ้นจากนั้นค่อยๆ มองไปที่ด้านขวามืออย่างช้าๆ และก้มลงที่บริเวณเท้าของตนเอง เมื่อไม่เจอร่างสยองนภดลก็ถอนหายใจเอนตัวพิงเบาะแหงนหน้าขึ้น เพื่อคลายความกังวล ทันใดนั้นร่างของหญิงสาว

สัมภเวสี
โดย เมมโมรี่ 

      ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เมฆฝนที่เคลื่อนตัวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ ผ่านมาปกคลุมท้องฟ้าไปทั่วบริเวณ ประกอบกับลมกรรโชกแรง มองเห็นฟ้าแลบใกล้เข้ามา กลิ่นน้ําฝนที่ตกกระทบพื้น ดินลอยล่องมาตามลมเป็นสัญญาณว่า ไม่กี่อึดใจพายุ ใหญ่คงกระหน่ําลงมาอย่างแน่นอน

     “ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วนะโว้ย...อยู่ไหนวะ? รีบเอาของมาด่วนเลย...อย่าลืมซื้อยาแก้ปวดกระเพาะอาหารมา ด้วยหล่ะ เออๆ เจอกัน" ยังไม่ทันได้พูดต่อ ปลายสายรีบ ปิดฉากการสนทนา ทั้งในภดลยังคงแนบโทรศัพท์ไว้ที่ข้างหู จากนั้นไม่นานเขาได้ออกจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกับยาแก้ โรคกระเพาะอาหารก่อนจะเดินฝ่าเม็ดฝนที่ค่อยๆ โปรยปรายลงมา มีเพียงหนังสือพิมพ์เท่านั้นที่เขาใช้บังส่วนบนสุดของร่างกายแต่ดู เหมือนว่าคงช่วยอะไรได้ไม่มากนัก

     ท่ามกลางสายฝนที่ร่วงหล่น เขาเดินผ่านป้ายรถเมล์ที่ซุกตัว อยู่ในความมืด แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนดูสลัวสาดส่องเบื้อง ล่างทําให้เห็นคนที่นั่งรอรถเมล์สามคน หญิงชรา หญิงสาวกับลูก น้อยวัยน่ารัก ทันทีที่เดินผ่านหญิงสาวเอื้อมมือออกมาพร้อมกับ แววตาหม่นเศร้าเหมือนกําลังขออะไรบางอย่าง

“พวกขอทาน...เฮ้อ...นี่จะขอจนดึกดื่นหรือไงเนี่ย? " เขาคิด ในใจก่อนจะเดินผ่านโดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย

     ที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่นัดหมาย มีรถตํารวจนอกเครื่องแบบจอดรออยู่แล้ว นภดลเข้ามายังห้องนัด หมายแต่เวลาคลาดเคลื่อนเล็กน้อยตามนิสัยคนไทยนิยม

     "มึงมัวทําอะไรอยู่วะ...เร็วๆ สิ...ไหนยา..!?" ชายหนุ่ม อีกคนกําลังพูดด้วยอาการฉุนเฉียวโดยมีควันบุหรีลอยคลุ้งอยู่รอบๆ

     “ยามึงหรือยาไอ้สองตัวเนี่ย?" นภดลสวนขึ้นทันที

     “เอายาพวกมันก่อน...ส่วนยาก...เอาไว้ทีหลัง” สิ้นเสียง พูดนภดลคว้าถุงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะโยนลงพื้น ต่อหน้าวัยรุ่นผอมกะหร่องสักลายพร้อยเต็มตัวสองคนที่กําลังถูกใส่ กุญแจมือนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น

     “สองร้อยเม็ด...หนักเอาการอยู่นา...หึๆ " ชายคนเดิมพูดขึ้น แล้วหันไปพยักหน้ากับตํารวจอีกสองคนเป็นสัญญาณให้พยุง ตัวสองวัยรุ่นออกจากห้องพร้อมยาบ้าสองร้อยเม็ด

     มันเป็นทางลัดในการจับกุมพวกค้ายาบ้าของสองตํารวจ สีเทาอย่างนภดลและเกียรติศักดิ์ที่ใช้มาหลายปีจนเคยชิน ราวกับ เป็นสิ่งเสพติดที่พวกเขามีอยู่ในมือ

     ฝนยังกระหน่ําไม่ยอมหยุด เสร็จภารกิจนภดลขับรถมาส่ง เกียรติศักดิ์ที่หน้าบ้าน ใบหน้าของเกียรติศักดิ์บูดเบี้ยวเขาเอามือ บีบที่กระเพาะอาหารเป็นระยะๆ เพื่อคลายความเจ็บปวด นภดลมองคู่หูก่อนพูดความในใจบางอย่าง

     “เฮ้ย...!..กว่าจะคุยกับถึงเรื่องอีดาวหว่ะ" เกียรติศักดิ์นิ่งสัก พักก่อนหันมามอง

     “เรื่องอีดาวเราคุยกันหลายรอบแล้วนะโว้ย...มึงยังไม่เข้า ใจอีกเหรอ..มันเป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องมันผ่านมานานหลายปีแล้วก ไม่อยากพูดถึงมันอีก แล้วกูก็ไม่อยากทะเลาะกับมึงเพราะผู้ หญิงคนเดียว" สิ้นเสียงพูดเกียรติศักดิ์เดินออกจากรถไปทันที ปล่อยให้นกดลมองตามอย่างไม่ละสายตา

     นภดลพาร่างอันเหนื่อยล้าและความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัวทิ้ง ตัวลงที่นอน แม้เพดานห้องจะไม่มีสิ่งน่าสนใจแต่เขายังมองมันอยู่ อย่างนั้น มือค่อยๆ จับที่ท้องตัวเอง เขาเริ่มปวดท้องเหมือนเกียรติ ศักดิ์เพราะความเครียด ไม่ทานข้าวหรือทานไม่เป็นเวลา ไม่แน่เขา ทั้งสองอาจเป็นโรคกระเพาะเหมือนกันก็อาจเป็นได้

     "ติ๊ดดดดด...ด...ๆ ๆ ..." นภดลสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อเสียงสั่น โทรศัพท์เป็นสัญญาณปลุกจากความฝัน เขางัวเงียปรับสายตาให้ ชินกับความมืด มองดูนาฬิกาแล้วเป็นเวลาตีสองกว่าๆ

“ฮัลโหลครับ..." เขาเริ่มต้นบทสนทนาทั้งที่ยังงัวเงียเล็กน้อย

“ดล...นี่ผมเองนะ มีเรื่องด่วน คุณทําอะไรอยู่ตอนนี้ก็ตาม ให้ รีบมาที่โรงพยาบาลตํารวจเดี๋ยวนี้เลย!"

"ผู้การมีเรื่องอะไรหรือครับ ถึงได้โทรมาด่วนขนาดนี้ ? "

     “เรื่องด่วนที่ขนาดว่าจะเปลี่ยนชีวิตการเป็น ตํารวจของคุณไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้...โอเค...ผมรออยู่แล้วนะ รีบมาแล้วกัน" อาการของนภดลที่กําลังงัวเงียอยู่นั้นกลับ ตื่นตระหนกและสับสนในทันที

     เขารีบก้าวเท้าผ่านช่องทางเดินของโรงพยาบาลที่ดูเงียบงัน มีเพียงเก้าอี้ว่างหลายตัวและหลอดไฟบนเพดานเรียง ตัวยาวตามทางเดิน แม้ผู้ป่วยมีไม่มากนัก แต่บรรยากาศของโรงพยาบาลยังอบอวลไปด้วยความหดหู ความรันทด ความน่ากลัว และกลิ่นฉุนเฉพาะตัวที่ยากจะมีกลิ่น ไหนเลียนแบบ เมื่อมาถึงเกือบสุดทางเดินมีตํารวจหลายนายยืนคุย กันอยู่ ผู้การวีระพละกําลังรออยู่หันมาทันทีด้วยสีหน้ากังวล

     “เข้าไปดูก่อน...ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง? บางที่ คุณอาจจะให้ข้อมูลได้มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้"เมื่อเดินเข้า ไปในห้องภาพที่เห็นคือ ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงโดยมี ผ้าขาวคลุมทั่วร่าง นภดลค่อยๆ เอื้อมมือไปจับที่ปลายผ้าทั้งที่ยังไม่ เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น และภายใต้ผ้าคลุมนั้นคือใครกันแน่?

    ผ้าค่อยๆ ถูกถลกลงมา เมื่อพ้นยังบริเวณ ศีรษะดวงตาของนกดลเบิกโพรง มือไม้สั่น หายใจติดขัด หัวใจเต้น ไม่เป็นจังหวะเหมือนร่างกายเบาหวิวจนแทบยืนไม่ไหว เพราะร่าง ที่นอนทอดยาวอยู่ต่อหน้าคือ “เกียรติศักดิ์" คู่หูที่เพิ่งแยกย้ายกัน เมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงร่างที่ร่างวิญญาณเท่านั้น

     หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านผู้ได้ยินเสียงเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้น คําบอกเล่าคือประมาณหกทุ่มมีเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรง คล้ายกับมีปากเสียงกับหญิงสาวคนหนึ่ง จากนั้นเกียรติศักดิ์ก็ร้อง ด้วยความเจ็บปวดและเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะ เงียบลง ชื่อที่เขาเรียกคือ...ดาว

     สภาพศพของเกียรติศักดิ์บริเวณท้องเหมือนถูกตี ด้วยของแข็ง ตรงกระเพาะอาหารผิวหนังเขียวคล้ํากล้ามเนื้ออ่อน เหลวคล้ายถูกกดทับอย่างแรงจนกระดูกซี่โครงฝั่งซ้ายมีการร้าว นภดลมีความรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกมันเป็นความกลัว ที่ตลอดการทํางานไม่เคยเจอมาก่อน ความกลัวเรื่องผู้หญิง ชื่อดาวที่เขาจะเตือนคู่หมันได้เกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดค้าง ในใจของเขาคือ มันเป็นฆาตกรรมจริงหรือ?

     งานศพเกียรติศักดิ์ผ่านพ้นไป นภดลกลับมีอาการแปลกๆ เขารู้สึกปวดท้องบริเวณกระเพาะอาหารมากขึ้น จุกแน่นเป็นระยะๆ จนแทบทนไม่ไหว สลับกับอาการหิวอยู่บ่อยครั้งทั้งที่เพิ่งทานข้าว อาหารที่เขาอยากกินเป็นพิเศษคือผัดไท เขาเองก็ไม่ทราบว่าตัว เองพิศวาสผัดไทอะไรขนาดนั้น เขากินมันวันละ4-5ห่อ แบบตะกละ มูมมามราวกับว่าไม่เคยกินมาก่อนในชีวิต

“แกรัก...ๆ ๆ .." เสียงนาฬิกาข้างฝาผนังเดิน ท่ามกลางความเงียบสงัดของกลางดึก นภดลนอนเกลือกก ลิ้งไปมาบนที่นอนจากอาการปวดท้องอย่างรุนแรงทําให้ต้อง เขาบิดกายด้วยความทรมาน แต่สิ่งที่ทําให้นภดลต้องตกใจกลัว สุดขีดเมื่อพบความสยองอย่างคาดไม่ถึง เพราะภาพที่ปรากฏเมื่อ เขามองสะท้อนกระจกคือ มีร่างของหญิงสาวรูปร่างผอมเกร็ง สภาพมอมแมม ผมยาวเกือบถึงพื้นเตียง ผิวหนังเหี่ยวย่นติดกระดูก กําลังนั่งคร่อมตรงหน้าขาแล้วใช้มือทั้งสองบีบกดที่ ท้องของนภดลเป็นจังหวะ ใบหน้าและแววตาดูอาฆาตดุดันเกิน กว่าจะบรรยาย

     นภดลตั้งสติได้วิ่งหนีตายออกจากห้องลงมาซอยข้างๆ อพาร์ทเมนท์ แต่ร่างนั้นยังคงตามมาไม่หยุดหย่อน เขาเสียหลัก ล้มลง ร่างน่าสยดสยองค่อยๆ เหยียบขาขึ้นมา นภดลแน่นิ่ง ไม่สามารถขยับร่างกายได้ ร่างนั้นเดินขึ้นมาเรื่อยๆ และมาหยุดยืน ที่ท้องก่อนจะก้มลงมองและยิ้มอย่างน่ากลัว ความรู้สึกเจ็บปวดมัน เหมือนกับโรคกระเพาะอาหารแต่ตอนนี้มันหนักหนากว่าหลายเท่า ตัว

     "รู้สึกยังไง...เจ็บปวดทรมานใช่มั้ย? ...ฉันรอพวกแกมาห้าปี แล้วรู้มั้ย ไอ้พวกคนโกหก” สิ้นเสียงพูดนภดลพลิกตัววิ่งออกมายัง หน้าปากซอยโบกแท็กซี่ที่ผ่านมาพอดี

     “ไปไหนพี่? ...แล้วหนีใครมา โจรหรือเปล่าผมไม่รับนะ"

       “ไม่ใช่โจร...นี่ตํารวจโว้ย....ออกรถเร็ว!"

     รถแท็กซี่พุ่งทะยานออกตัวทันที นภดลรีบปิดประตูแต่ไม่ เป็นผล เขามองลงไปยังเบื้องล่างประตูเห็น ร่างสยองของหญิงสาวคนนั้นกําลังค่อยๆ คืบคลานพยายามจะ เข้ามาในรถ มือข้างหนึ่งดันประตูไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งคว้า ที่ขาของนภดล แววตาจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จนในที่สุดร่างนั้นก็หลุดหายไปตามแรงรถเขาจึงรีบปิดประตูทันที นภดลยังคงไม่แน่ใจในความปลอดภัย เขามองดูหลังรถอีกครั้ง กลับไม่เจอร่างนั้นแต่อย่างใด เขาหายใจถี่ขึ้นจากนั้นค่อยๆ มองไปที่ด้านขวามืออย่างช้าๆ และก้มลงที่บริเวณเท้าของตนเอง เมื่อไม่เจอร่างสยองนภดลก็ถอนหายใจเอนตัวพิงเบาะแหงนหน้าขึ้น เพื่อคลายความกังวล ทันใดนั้นร่างของหญิงสาวกลับเกาะอยู่ที่ใต้ หลังคารถด้านใน โดยใช้หลังแนบหลังคาแล้วก้ม หน้ามองนภดลในระยะประชิดตาจ้องเขม็งและแสยะยิ้ม อย่างสะใจจนเห็นรอยย่น เส้นเลือดปูดโปนบนใบหน้า และดวงตาที่ แดงก่ําไปด้วยเลือด ไม่รอช้า นภดลอาศัยช่วงรถแท็กซี่ชะลอตัว เข้าโค้ง เขารีบเปิดประตูกระโดดลงอย่างไม่กลัวความตาย

     "อ้าวเฮ้ย!...ไม่มีตังค์จ่ายก็บอกกันดีๆ โอ้โห...ลงทุนน่าดู สงสัยดูหนังจาพนมมากไปหล่ะมั้งเนี่ย" คนขับแท็กซี่ร้องขึ้นทั้งที่ ยังงงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยร่างกายที่กระแทกกับพื้น สร้างความเจ็บปวดทําให้นภดลหลับไหลสลบไปในที่สุด

     แดดยามเช้าสาดส่องเข้ามายังหน้าต่างของโรงพยาบาล นภดลค่อยๆ ลืมตาขึ้นข้างกายของเขามีชายอยู่สามคนหนึ่งในนั้น คือผู้การวีระพลผู้บังคับบัญชาของเขาเอง

     “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณกันแน่...ผมว่ามันถึงเวลาที่คุณ ต้องเล่าอะไรบางอย่างให้ผมฟังบ้างแล้วหล่ะ?" ผู้การยิง คําถามทันทีที่นภดลรู้สึกตัว

     นภดลมองไปยังนอกหน้าต่างเหมือนกําลังดึงวันเวลาให้ย้อน กลับมาอีกครั้ง ห้าปีที่แล้วเขากับคู่หูคือเกียรติศักดิ์เข้าจับยาบ้า แถบตะเข็บชายแดนโดยใช้หญิงสาวชาวพม่าเป็นนางนกต่อ จนสาวไปถึงตัวการใหญ่ ทั้งสองได้จับหญิงสาวพม่ามัดไว้ที่บ้านร้าง แห่งหนึ่งและสัญญาว่าจะปล่อยตัวเธอพร้อมกับหาอาหารมาให้ ถ้าบอกถึงแหล่งผลิต

     “วันที่สามแล้วนะโว้ยที่ถึงไม่ได้กินอะไร ถ้าไม่บอกกูไม่ปล่อย จริงๆ นะ..ขากลับจะซื้อข้าวมาให้..เออ..แล้วมึงจะกินอะไร?" เกียรติศักดิ์ถามหญิงสาวพม่า

     “อยากกินผัดไทจ๊ะ...เกิดมาฉันไม่เคยกินเลย"

"ได้ๆ ...งั้นมึงอยู่พวกกูไปทลายแหล่งยาเสร็จแล้วจะ ซื้อมาให้”

     ทั้งสองไม่ได้ทําตามสัญญา เมื่อทลายแก๊งยาเสพติดแล้วก็ ปล่อยให้หญิงสาวพม่าตายโดยถูกมัดไว้ในบ้านร้างกลางป่า เป็นการตายที่หิวโหย เป็นการตายที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น สิ่ง ที่ทั้งสองไม่รู้เลยคือหญิงพม่าตั้งท้องได้สามเดือน การตายโดยอุปฆาตและยังไม่ถึงเวลา ตายโดยทั้งที่มีห่วงอีกทั้งยัง ไม่มีการทําบุญวิญญาณจะยังคงเร่ร่อนหรือที่เรียกกันว่าสัมภเวสี ในตอนนี้นภดลคงพอจะเข้าใจแล้วว่าอาการปวดท้องที่ แสนสาหัสของเขาทั้งสองมันคืออะไร อาการหิวผัดไทอย่าง ไม่ทราบสาเหตุมันมาจากไหน เขาเคยคิดว่ามันคือ โรคกระเพาะอาหารแต่นั่นมันไม่ใช่อีกต่อไป วิญญาณไม่ได้ ไปไหนแต่วิญญาณมันอยู่ในตัวเขาทั้งสองมานานแล้ว

     “จําชื่อหญิงพม่าคนนั้นได้มั้ย? " ผู้การวีระพลถามขึ้นอีกครั้ง

     “ผมไม่เคยลืมชื่อนั้นเลยครับ เธอชื่อ...ดาว...ผมฝันถึงผู้ หญิงคนนี้มาพักหนึ่งแล้ว คืนสุดท้ายที่เจอศักดิ์ผมพยายามจะเตือน เขา แต่ก็ไม่สําเร็จ"

     “ถ้าอย่างนั้นคุณควรจะต้องทําในสิ่งที่ถูกต้อง คือทําบุญอุทิศ ส่วนกุศลให้กับเธอ จะได้ไม่อาฆาตจองเวรกันอีก"

     นภดลรู้สึกโล่งใจหลังจากทําบุญให้ดาวหญิงพม่าและให้คู่ หูไปพร้อมๆ กันโดยหวังว่าเรื่องราวแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นอีก รอยดําในใจตอนนี้คงจางไปบ้างแล้ว แต่.........

     หลายวันต่อมาอาการปวดท้องเริ่มกลับมาอีกครั้ง นภดลรู้สึก เสียวสันหลังและขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินมาถึงยังหน้าห้อง พักของอพาร์เมนท์ ค่อยๆ ไขประตูห้องทั้งที่ยังปวดท้องอยู่ มือ ค่อยๆ เอื้อมไปเปิดสวิตซ์ไฟ ทันทีที่ไฟติด พลันมีร่างหนึ่งยืนหันหลัง อยู่กลางห้อง นภดลตกใจล้มลงกับพื้นค่อยๆ ถอยออกห่าง ร่างนั้น หันกลับมาอย่างช้าๆ และเคลื่อนตัวมุ่งตรงเข้าหาเขาโดยที่เท้าไม่ถึง พื้นแม้แต่น้อย ร่างนั้นดูไม่สูงมาก ผมสั้นและขาวโพลน สวมผ้าถุง ใส่เสื้อสีขาวลายลูกไม้แบบคนแก่นิยมใส่ไปทําบุญ นภดลมองไม่ละสายตานิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาที่ตื่นกลัวกลับกลายเป็น แววตาที่อบอุ่นอ่อนโยน ไม่นานนักน้ําตาของเขาก็เริ่มไหลออกมา อย่างไม่รู้ตัว

     "ยาย...นั่นยายใช่มั้ยครับ!? "
   
      “ใช่แล้ว...ไอ้ดลหลานยาย”

      “ยายไปอยู่ไหนมา...ทําไมยายถึงไม่มาหาผมบ้างเลย?"

     “ยายไม่เคยไปไหน ยายอยู่กับแกตั้งแต่อายุเก้าปีแล้วนะรู้ มั้ย? " คําพูดจากร่างหญิงชราทําให้นภดลนิ่งเงียบนึกย้อนกลับ ไปในวัยเด็ก วัยที่เขาอยู่กับยายเพียงสองคนเพราะพ่อแม่ แยกทางกัน ความยากจนทําให้ยายรักนภดลมากวันไหนที่เป็น วันพระหรือมีงานบุญที่วัดยายจะไปเอาขนมมาให้ แต่โชคร้ายวัน หนึ่งขากลับจากวัดยายโดนงูกัดตายก่อนถึงบ้าน กว่าจะมีคนไปเจอก็ปาเข้าไปเกือบบ่าย วิญญาณที่ตายโดยอุปฆาต ยังไม่ถึงเวลาตายโดยที่ยังมีห่วงและรอการทําบุญจะเรียกว่าสัมภเว สี สิ่งที่ทําได้คืออยู่ใกล้ๆ คนที่เขารักวนเวียนจนกว่าจะรับการทําบุญ เมื่อยายเสียลุงกับป้าได้รับเขาไปอุปการะ ทั้งสองบอกว่าเขากิน เก่งคงเพราะไม่เคยกินของอร่อยๆ แต่...นั่นอาจไม่ใช่ทั้งหมด ในเมื่อยายห่วงหลานก็ไม่ผิดที่ยายจะอยู่ในตัวของหลานมาตลอด

     เมื่อมีความระลึกย่อมทําให้เกิดสํานึกนภดลค่อยๆ ก้มลงกราบแทบเท้า ร่างของยายเลือนลางหายไปในอากาศราวกับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     หลังเหตุการณ์ที่วิทยาศสาตร์ไม่สามารถอธิบายได้เกิด ขึ้นสองครั้งซ้อน นภดลตัดสินใจบวชเพื่อทดแทนบุญคุณเป็นเวลา ครึ่งเดือนให้กับยายผู้เลี้ยงดู พ่อแม่ ตลอดจนผู้ที่ความเกี่ยวข้อง ทั้งหลาย เหมือนพันธนาการที่จองจําถูกปลดปล่อย เขาไม่รู้สึกกลัว หรือกังวลอีกต่อไปเขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

     วันสุดท้ายที่นภดลได้พบกับยาย ยายได้นั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ สวมใส่ชุดขาวดูสะอาดสะอ้านถัดไปคือหญิงสาวและลูกน้อย แน่นนอนว่าเธอคือดาวและลูกของเธอ จริงๆ แล้ว เขาเจอทั้งสามตั้งแต่วันที่ฝนตกและอาจเจออยู่บ่อยๆ เพียงแต่ เขาไม่ยอมมองเท่านั้นเอง รถเมล์ที่มาจอดรับผู้โดยสารเป็นสีขาวทั้ง คันผู้คนในรถก็สวมชุดขาวเหมือนกันหมด ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข ก่อน ขึ้นรถยายได้ส่งยิ้มให้เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่ได้เห็นมันนานมาก หญิงสาวพม่าหยุดยืนก่อนหันมามองนภดลพร้อมๆ กับจับมือลูกน้อย โบกไปมาให้เขาเหมือนเป็นสัญลักษณ์บอกลา

     ค่ําคืนของวันพระ นภดลเดินผ่านตลาดโต้รุ่งเขามองไปยัง ร้านขายอาหาร สิ่งที่เห็นมันแตกต่างจากเมื่อก่อนนั่นคือ ในขณะที่หลายคนกําลังนั่งกินอาหารอยู่ได้มีร่างอันน่ากลัว นั่งบนเก้าอี้ โดยมีคนที่กินอาหารนั่งทับร่างนั้นอีกที พวกเขาแทบไม่รู้ว่ามือที่จับช้อนส้อมได้มีมือที่มองไม่เห็นกําลังช่วย ตักอาหารใส่ปาก บางโต๊ะมีวิญญาณเด็กยืนจ้องพวกเขาอยู่ บางโต๊ะทําอาหารหล่นวิญญาณคนแก่กําลังนั่งเก็บกินอาหารที่อยู่ ใต้โต๊ะด้วยความหิวโหย ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเราทําหล่นเองหรือเปล่า? วิญญาณที่ยังไม่ได้ทําบุญไปให้เขาจะอยู่กับเรานี่เอง

     สิ่งที่นภดลได้เรียนรู้จากเรื่องที่เกิดขึ้นอย่าหนึ่งคือ โรคกระเพาะอาหารบางทีมันอาจไม่ใช่ระบบของร่างกายอย่างที่เรา คิดมันอาจมีอะไรมากกว่านั้น การอยากกินอะไรแบบไม่ทราบสาเหตุ กินไม่รู้จักอิ่ม หิว อยู่ตลอดเวลา วิญญาณที่รอการทําบุญอาจหิวโหยเกินกว่าจะรอได้ จึงจําเป็นต้องมาอยู่ในตัวเราเพราะมันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เขาจะไม่หิว โหยอีกต่อไป
...................ว่าแต่คุณที่อ่านอยู่ตอนนี้...คุณเริ่มหิวแล้ว หรือยัง.........

ไม่มีความคิดเห็น