เห็นบ้านที่เปิดไฟอยู่นั่นไหม ลูกชายเขาตาย


      อีกเรื่องหนึ่งจากกระทู้พันทิป สมาชิกหมายเลข 2227735 เรื่อง "เห็นบ้านที่เปิดไฟอยู่นั่นไหม ลูกชายเขาตาย" ทำเอาสมาชิกหลายท่านให้ความสนใจอย่างมาก เราจึงรวบรวมมบทความนี้มาส่งต่อให้ชาวผีสยองหนองกระจายได้ชมกัน

     หลังจากเรียนจบมหาลัยมาได้ ยี่สิบ สามสิบ ปี
เพื่อนๆก็ต่างแยกย้ายหายหน้าหายตากันไป แทบไม่ได้ติดต่อมาหาอีกเลย
คุณเชื่อในความเป็นเพื่อนไหม บางทีวันดีคืนดีเราเดินอยู่ริมถนน
แล้วอยู่ๆก็เจอเพื่อนเราสมัยเรียนเดินมาทัก  โอ้ มันช่างรู้สึกดีใจมากเลย ที่ได้เจอเพื่อนอีก
แต่สังคมเมืองที่วุ่นวาย ก็ทำให้ ไม่นานเราก็กลับไปนั่งจับเจ่าอยู่กับงานประจำที่ทำ
จนลืมคิดถึงใครๆที่เราเคยผูกพันธ์ไปเลย
นับวันนับวัน คุณก็ยิ่งรู้สึกว่า ชีวิตคุณช่างโดดเดี่ยว
ถ้าคุณมีเวลาว่าง ที่จะนั่งนิ่งๆ ระลึกถึงเพื่อนๆบ้าง
จะมีเพื่อนสักกี่คนที่คุณรู้สึกว่า คุณนึกถึงมันแล้วคุณจะต้องอมยิ้ม

      ใช่ ถ้าคุณมีเวลาพอที่จะคิดแบบนั้นได้ แสดงว่าชีวิตคุณ คงเลยหลักสี่แล้ว

แต่เรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกถึง อะไรบางอย่าง
ที่เตือนให้ผมได้ระลึกถึง  และอยากนำเอามาเล่าให้กับทุกท่านได้รับฟัง

     ย้อนกลับไปในช่วงที่เรียนมหาลัย
ตอนนั้น เป็นปีสุดท้าย ที่พวกเพื่อนๆต่างเตรียมตัวจบกัน บางคนก็เริ่มไปหางานแล้ว
บางคนก็เริ่มวางแผนจะเรียนต่อ แต่มีเพื่อนคนหนึ่ง มันขาดเรียนไปตั้งแต่ปีสาม
ไม่มีใครได้ข่าวมันเลย จนขึ้นปีสี่แล้ว ทุกคนก็คิดว่ามันคงดรอปเรียนไปแล้ว

     แล้วเรื่องราวมันก็เกิดขึ้น จากที่วันหนึ่ง อยู่ๆก็มีจดหมายฉบับหนึ่งเขียนมาถึงผมที่บ้าน
หลังจากที่ได้เปิดอ่านดู  มันเป็นจดหมายจากเพื่อนคนนั้น ที่มันดรอบเรียนไป
พออ่านดูข้อความที่มันเขียนมา  ก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เนื้อหาใจความในจดหมายเขียนว่า

สวัสดีเพื่อน
ไม่ได้เจอกันเสียนาน พอดีนึกขึ้นมาได้ว่า เอ็งเคยให้ที่อยู่ข้าไว้
ก็เลยเขียนมาทักทาย
ตอนนี้ข้ากลับมาอยู่บ้านนอก ได้หลายปีแล้ว
เสียใจว่ะ ไม่ได้จบพร้อมพวกเอ็ง  พ่อข้าป่วยหนัก
ไม่มีใครดูแลไร่นา เงินทองก็ร่อยหรอ
ข้าเลยต้องดูแลทุกอย่างแทนพ่อหมด
แต่อยู่ทางนี้ก็สบายดี ทุกๆอย่างที่ข้าทำก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว
ที่นี่ อากาศดี บรรยากาศ ท้องทุ่งนากำลัง เขียวขจี
อย่างที่เอ็งเคยบอกว่า อยากจะมาสัมผัส
มันเป็นธรรมชาติมากๆ ถ้าเอ็งว่างๆก็มาเยี่ยมบ้านข้าได้นะ
ชวนเพื่อนๆมาด้วย อยากเจอพวกเอ็งมากแต่ข้าไม่รู้จะติดต่อพวกเอ็งยังไง
บ้านข้าอยู่บ้านนอกมาก เวลาเหงาๆไม่รู้จะคุยกะใคร
ก็เขียนมาคุยกับเอ็งนี่แหละ  ถ้าเอ็งจะมาก็เขียนจดหมายมาบอกข้าด้วย
จะได้ไปรอรับ
มาไม่ยากหรอก ตามที่อยู่ กับแผนที่ที่แนบไป

อ่านจบ
ผมก็ไม่ได้อะไรมาก ก็พับซุกๆไว้ในชั้นวางหนังสือ
จนกระทั่งสอบเทอมสุดท้ายเสร็จ ช่วงที่ไม่ได้ไปมหาลัย  ไม่ได้เจอเพื่อนๆเลย
อยู่ๆมันก็รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ  อารมณ์แบบว่า จะเอายังไงกับชีวิตดี
จะหางานทำหรือว่าจะเรียนต่อ มันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตจริงๆ

พอเบื่อๆก็เลยไปหาหนังสือเก่าๆมาอ่านเล่น พอค้นไปค้นมาหาตามที่ชั้นวางหนังสือ
อยู่ๆจดหมายที่ผมซุกไว้มันก็หล่นลงมา
พอเอามันมาอ่านอีกที แว๊บนั้นแหละ
ที่อยู่ๆ ก็ นึกอยากไป ผ่อนคลายพักสมอง หรืออยู่กับธรรมชาติบ้าง
อืม ก็ไม่เลวนะ ช่วงนี้ว่างๆ อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุย

ผมตัดสินใจเขียนจดหมายไปบอกเพื่อน ว่าจะไปหามัน วันไหน
บอกให้มันมารับด้วย

แล้วจนถึงวันที่นัดหมาย ผมก็เดินทางไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัดจริงๆ
มีเงินติดตัวไปไม่กี่บาท แต่ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ตอนนั้น
ถ้าไม่เจอเพื่อนก็นั่งรถกลับ ก็แค่นั้น

ผมนั่งรถไปถึงหมู่บ้านเล็ก ตามแผ่นที่ที่เพื่อนเขียนบอก
ที่ที่ผมนั่งรอ เป็นคล้ายๆขนส่งเล็กๆ มีรถไม่มากนัก
ผมนั่งรอเพื่อนตั้งแต่บ่ายสามแก่ๆ จนเกือบๆ จะห้าโมงเย็น
เพื่อนก็ยังไม่มา จนใน ขนส่งนั้น แทบจะมีแต่ผมคนเดียวที่นั่งอยู่
พอเห็นพระอาทิตย์เริ่มอัสดงแล้ว ก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย

มันจะได้รับ จมหมายเราหรือเปล่านะ
ผมได้แต่คิดในใจ

ตอนนั้น ก็ตัดสินใจว่าถ้ารอจนถึงสัก หกโมงเย็นแล้วมันยังไม่มา
ก็คงต้องนั่งรถกลับ

แต่แล้ว ช่วงนั้นเอง อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ ผมขึ้นมา
ผมรีบหันไปทางเสียงเรียก
เห็นเพื่อนอยู่ด้านหลัง    ก็รู้สึก โอ้  โล่ง อก
นึกว่ามันจะไม่มาเสียแล้ว

พอทักทายได้นิดหน่อย เพื่อนก็พาเดินไปขึ้นรถสองแถวเล็ก
ที่อยู่ด้านหลังขนส่ง เพื่อนก็บอกให้ผมเข้าไปนั่งข้างใน
ส่วนเพื่อน มันก็ยืนโหนบันไดท้ายรถอยู่กับคนอื่นๆสองสามคน
ในรถก็ไม่เต็มเท่าไหร่หรอก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันไม่อยากนั่ง
พอรถสองแถวเล็กเคลื่อนที่ออกไปได้สักพัก ก็เริ่มเข้าถนนลูกรัง
บ้านเรือนก็เริ่มปลูกห่างๆกัน สองข้างทางส่วนใหญ่จะเป็นทุ่งนา
สลับกับป่า นั่งมาได้พักใหญ่ๆ คนลงรถจนหมด เหลือผมกับเพื่อน
นั่งอยู่ในรถ ผมก็ถามเพื่อนว่า
ยังไม่ถึงอีกหรือวะ ไกลจัง
เพื่อนก็บอกว่า ข้างหน้าก็ถึงแล้ว
สักพัก มันก็บอกให้ผมกดกริ่งเลย
พอลงจากรถ เพื่อนก็ยืนรออยู่หลังรถ
ผมก็เดินไปจ่ายค่าโดยสาร
ก็ถามเขาว่า เท่าไหร่ครับ
คนขับบอกว่า 7บาท ผมก็เอาแบงค์ยี่สิบให้
แล้วก็บอกว่า  สองคนครับ
คนขับทอนเงินให้ผมเสร็จแล้ว ก็รีบ ขับรถออกไปเลย
พอผมหันมาดูตังส์ทอนในมือ
อ้าว  ทำไมเขาเก็บค่าโดยสารแค่คนเดียว
ก็เลยเดินไปบอกเพื่อน
เออ.. แปลก วะ เขาเก็บค่าโดยสาร คนเดียวเอง 55555
เพื่อนก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่อ
แล้วก็พาผมเดินเข้าไปตามทางเดินข้างทาง
มันเป็นเหมือนทางเล็กๆ มีหญ้าขึ้นเต็มทาง เดินเข้าไปเกือบๆ ห้าร้อยเมตร
ก็ถึงบ้านเพื่อน
วินาทีแรกที่เห็นบ้านเพื่อน
โอ้ แสงยามเย็น มันทำให้บรรยากาศน่ามองมาก
บ้านเพื่อนเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง หลังไม่ใหญ่มากนัก
ข้างๆหน้าบ้าน มีกองฟาง ด้านหลังบ้านเป็นทุ่งนาผืนใหญ่
มองไปไกลๆ มีบึงน้ำขนาดใหญ่ อย่างกะทะเลสาป
"โอ้ สวยๆ สวยๆ ไม่เสียแรงจริงๆที่มา เป็นธรรมชาติมากๆ"

พอเพื่อนพาขึ้นไปบนบ้าน  มันต้องปีนบันได แบบบันไดลิงขึ้นไป
พอขึ้นไปถึงชานบ้าน ก็จะเป็นชานบ้านโล่งๆไม่มีหลังคา
ผมก็เดินไปดูรอบๆตรงชานนั้น มองไปด้านหลัง เห็นทุ่งนา
สวยมาก เพื่อนเดินหายเข้าไปในบ้าน
คือถัดจากตรงชานพักไปก็จะไปช่องทางเดิน
ตรงช่องทางเดินก็มีห้อง สองห้องอยู่ตรงข้ามกัน
ผมเดินไปดู เห็นแต่ประตูบานขวามือเปิดอ้าอยู่
เลยเดินตามไปดู ชะโงกหน้าเข้าไปมองหาเพื่อน
บรรยากาศมันมืดทะมึนทะมึน หน้าต่างมีบานเดียว
แง้มๆอยู่ มองไปรอบๆห้อง มีตู้เก่าๆดูมืดๆ  อยู่หลายตู้
ดูไม่ออกว่าตู้อะไรบ้าง มีแคร่ไม้ มีโต๊ะ เก้าอี้ไม้ แบบ
ที่ใช้ในโรงเรียนเด็กประถม
ผมดูผ่านๆ ไม่เห็นเพื่อน ก็รู้สึกแปลกใจ
อ้าวหายไปไหน
แค่คิดในใจ
ก็ได้ยินเสียงเพื่อนตอบกลับมาว่า
อยู่นี่
ผมก็เลยโผล่หัวออกมาดูข้างนอกห้อง มองไปในบ้าน
เจอเพื่อนกำลังถือเทียนเดินมาพอดี
ผมก็ถาม อ้าว ไม่มีไฟฟ้าหรือ
เพื่อนก็บอกว่า มีแต่ว่าไฟคงดับอะ เปิดแล้วไม่ติด
แล้วเพื่อนก็บอกให้ผมเอากระเป๋าไปไว้ในห้องนั้นก่อน
เดี๋ยวมาทำอะไรกินกัน
พอเอากระเป๋าวางพิงไว้ในห้องได้
ผมก็รีบเดินตามเพื่อนเข้าไปหลังบ้านต่อ
พอเดินผ่านห้องสองห้องนั้นไป มันก็จะเป็นโถงครัว
ด้านซ้านมือมีห้องน้ำ ขวามือจะมีพวกเตาถ่านแล้วก็ข้าวของอะไรเต็มไปหมด
เพื่อนกำลังตั้งเทียนไว้ใกล้ๆแถวที่จะทำอาหาร
ผมก็ถามเพื่อนว่า แล้วคนอื่นไปไหนกันหมด
เพื่อนก็บอก ว่า
พ่อกับแม่ไปนา ยังไม่กลับเลย
สักพักแหละ เดี๋ยวก็มา
พอผมเข้าไปถามว่าจะให้ทำอะไรบ้าง
เพื่อนก็บอกว่าไม่ต้องทำหรอก เดี่ยวมันจัดการเอง
ผมก็เลยบอกเพื่อนไปว่างั้นขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน
เดี๋ยวมันมืดค่ำ ไม่มีไฟมันจะอาบลำบาก
ผมเดินถือเทียนอีกเล่มเข้าไปเอาเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว
ในห้องที่กระเป๋าวางอยู่
พอเดินออกมาถึงตรงหน้าประตู มองออกไปตรงชานพักหน้าบ้าน
เริ่มมองไม่เห็นอะไรแล้ว เพราะเริ่มมืดแล้ว
ผมก็เลยเดินเข้าไปเอาชุดเสื้อผ้าในห้องจะไปอาบน้ำ
ช่วงที่ค้นเอาเสื้อผ้าในกระเป๋าอยู่
ก็ได้ยินเสียงเพื่อนผมเหมือนมันกำลัง หั่นอะไรสักอย่าง
ได้ยินเสียงเขียงดัง ปักปัก ปักปัก
ได้ยินเสียงหยิบโน่นหยิบนี่ ของตก ป๊อกแป๊ก เสียงเดินตึงตัง
ไปมาเป็นระยะระยะ
พอผมได้ชุดกับผ้าขนหนูแล้ว ก็เดินถือเทียนออกมา
เดินไปทางครัว
พอถึงตรงทางเข้าหน้าครัว มองไปดูเพื่อนว่าทำอะไร
ผมก็ถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยครับ
เพราะเห็นเพื่อนเป็นเงาดำๆ นั่งยองๆอยู่
แต่ไม่มีหัว
พอเห็นแบบนั้นผมก็ถึงกับเข่าทรุดกระทันหัน
นั่งลงก้นกระแทกพื้นดัง ตึง
ก่อนที่เพื่อนจะรีบหันมา แล้วเงาดำๆนั้นก็หายวับ
กลายเป็นหน้าเพื่อนขึ้นมาแทน
แล้วเพื่อนก็ถามว่า อ้าวเป็นอะไร
ผมก็เลยบอกว่า
ปะ ปะ ปะ เปล่าๆ กระดานบ้านเองมันลื่นวะ
ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้น แล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำ
พอเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
จากที่ได้ยินเสียงเพื่อนทำอะไรตึงตัง
คราวนี้ ทุกอย่างกลับเงียบสนิทเลย
พอเริ่มอาบน้ำได้สักขันสองขัน
ผมก็หยุดฟัง ว่าเพื่อนมันทำอะไรอยู่
แต่ปรากฏว่า มันเงียบมาก
เงียบราวกับว่า ที่นี่เป็นบ้านร้างเลย


พอฟังอยู่ตั้งนาน เห็นเงียบผิดสังเกต ผมก็เลย ตะโกนเรียกเพื่อนไป

เฮ้ย.. ทำไรอยู่วะ

พอพูดออกไป ก็นิ่งฟังคำตอบ แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
ผมก็เลยถามไปอีกรอบ

เฮ้ย.. อย่าเงียบดิ ชวนคุยหน่อย มันวังเวงหวะ

สิ้นเสียงผม ผมก็เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนเพดานห้องน้ำ
ผึ่งหูรอฟัง เสียงตอบกลับมา อย่างตั้งใจ
แต่ก็เงียบอีก
ผมกรอกส่ายสายตาไปมา มองดูเพดานห้องน้ำ
มันเป็นหลังคาสังกะสีเก่าๆ มีขื่อไม้ยึดเป็นระยะระยะ
แล้วก็มีหยากไย้อยู่เต็มหลังคาไปหมด
พอสังเกตดูดีๆ กลับไม่เห็นมีแสงไฟจากเทียน ข้างนอกส่องมาเลย
มีแต่แสงเทียน ที่ผมตั้งไว้ในห้องน้ำ พริ้วไปมาอยู่บนเพดานสังกะสีเก่าๆตรงนั้น

พอเห็นแบบนั้น ผมก็เลยตัดสินใจ
ค่อยๆ ย่องไปที่ประตูห้องน้ำ แล้วก็ค่อยๆปลดกลอน  จับประตูเปิดแง้มออกช้าๆ
ค่อยๆโผล่หน้าออกไปดูข้างนอกห้องน้ำ
พอมองออกไปดูรอบๆ ก็เล่นเอาขนหัวผมลุกตั้งขึ้นมาเลยครับ
เพราะข้างนอกมันมืดตึดตื๋ด ไม่มีใครอยู่ในห้องตรงนั้นเลย
พอเห็นแบบนั้น ผมก็มือไม้สั่น รีบเข้าไปในห้องน้ำ ดึงเทียนที่ปักอยู่
รีบเอาออกมาส่องดู บรรยากาศ นอกห้องน้ำทันที
พอถือเทียน ออกมาส่องไปข้างนอกได้
ผมก็ต้องตกใจอีก เพราะเจอร่างคนยืนอยู่ตรงทางเดินที่จะเข้ามาในครัว
จนผมร้องสะดุ้ง อย่างลืมตัว

เฮ้ย.. ไอ้เ-ี้ย  ตกใจหมด มาไม่ให้สุ้มให้เสียง

มองไปเห็นแต่เพื่อน เดินถือเทียนไปที่ตรงเตาไฟ
แล้วมันก็พูดว่า

เออ.. ข้ายกกับข้าวไปตั้งไว้ข้างนอกหน่ะ

ผมก็เลยรีบปิดประตูเข้าไป อาบน้ำต่อ แล้วก็พูดกับมันว่า

เออ.. เห็นแกเงียบไปนาน เลยเปิดไปดู นึกว่าหายไปไหน

หลังจากนั้นผมก็รีบอาบน้ำให้เสร็จ แล้วก็รีบแต่งตัวในห้องน้ำเลย
พอทำอะไรเสร็จแล้ว
ก็เดินมาดูเพื่อนในครัว ว่ามีอะไรให้ต้องช่วยยกไหม
แล้วผมกับเพื่อนก็ ออกมานั่ง กินมื้อค่ำกันที่ตรงลานที่เป็นชานหน้าบ้าน
พอนั่งลงตรงเสื่อที่เพื่อนปู มองไปที่อาหารที่เพื่อนทำ
มันก็ทำให้ผมรู้สึก กระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
เพราะข้างหน้าผม มีแต่พวกผักลวก กับ น้ำพริก  มองไปอีกจานก็เป็นกระถินสดๆ
มองไปอีกจานก็เป็น แจ่ว  มองไปอีกจานก็เป็นป่น
พอเพื่อนเห็นหน้า ผมจ้องมองอาหารอยู่นาน มันก็เลยพูดว่า

ทำไมอะ กินไม่เป็นหรือ

ผมก็เลยบอกเพื่อนไปว่า
เออ.. ข้าไม่ค่อยสันทัดผักลวก ผักต้มเท่าไหร่หวะ
เอ็งไม่มีพวกปลา พวกไก่บ้างหรือวะ

เพื่อนก็บอกว่า คนบ้านนอกเขาก็กินกันอยู่ประมาณนี้แหละ ขอโทษที

สุดท้ายผมก็เลยต้องฝืนกินไป มันรู้สึกขมๆแล้วก็เค็มๆ รสชาติชืดๆ
กินไปได้ไม่กี่คำ ผมก็บอกว่า อิ่มแล้ว

หลังจากที่เก็บกับข้าวไปไว้ในครัว และ ล้างมือล้างไม้
แล้วผมกับเพื่อนก็ออกมานั่งเล่นกันตรงชานด้านนอก
นั่งคุยกันเล่นกับเพื่อน ลมอ่อนๆพัดมาเย็นสบาย สบาย
ฟังเสียงจิ้งหรีดร้องเบาๆ คละ ไปกับ บรรยากาศเงียบสงบที่ไม่มีเสียงรถวิ่งให้หนวกหู
พูดคุยเรื่องเก่าๆ ที่มหาลัย ที่พอจะสรรหาเอามาคุยกับเพื่อนได้
นั่งคุยกันไป มองท้องฟ้ากันไป สักพัก ก็รู้สึก อยากเอนหลัง
ผมก็เลยนอนหงาย ตามองไปบนท้องฟ้า เห็นดาวบนท้องฟ้าชัดเจน
รู้สึกดีมากๆ อยู่ในเมืองตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมองท้องฟ้าเต็มๆตาแบบนี้เลย
พอมีลมพัดมาเบาๆ สักพัก ผมก็รู้สึก ง่วงขึ้นมาทันทีจนแทบจะ หลับไปเลย

คุยไปได้สักพัก ก็เลยบอกเพื่อนว่า  ง่วง ตาจะปิดแล้ว
เพื่อนก็เลยพาไปนอนในห้องด้านขวา
เพื่อนบอกว่าห้องด้านซ้าย พ่อกับแม่เขานอน

ผมก็เลยบอกว่า ดึกแล้ว พ่อแม่ทำไมยังไม่มาอีก
เพื่อนก็บอกว่าไม่ดึกหรอก พึ่งจะ หัวค่ำเอง เดี๋ยวอีกหน่อยแกก็มา

พอเข้าไปในห้องด้านขวา เอาเทียนไปวางไว้ตรงโต๊ะ
เพื่อนมันก็เดินไปเอามุ้งออกมาจากตู้ตู้หนึ่ง
แล้วก็กางมุ้ง ครอบไปบนแคร่ไม้ ที่อยู่ติดกับหน้าต่าง
ช่วงที่กำลังจะกางมุ้ง มองไปบนแคร่ก็มีที่นอนปูอยู่สี่ที่
อืม แคร่มันก็ใหญ่พอๆจะนอนได้ถึง สาม สี่คนเลยทีเดียว

พอกางมุ้งเสร็จ
ผมเข้าไปนอน ด้านในสุด บนหัวผม มีหน้าต่างเยื้องๆอยู่
เพื่อนมัน ก็ นอนอยู่ตรงขอบด้านนอก
นอนคุยเล่นกับเพื่อนไปมา อยู่ๆก็ได้ยินเสียง ไม้ลั่น ดังเอี๊ยดอ๊าด อยู่นอกห้อง
ผมรีบมองไปดูตรงปลายเท้า ตรงผนังไม้ ข้างนอกมุ้ง เห็นเหมือนมีแสงไฟลอดออกมาเรืองๆ
แล้วสักพักก็ได้ยินเสียง คนแก่ไอ
ผมรีบหันไปทางเพื่อน

ใครอะ

เพื่อนก็เลยบอกว่า สงสัยพ่อกับแม่แกกลับมากันแล้ว
ว่าแล้วเพื่อนก็ลุก ออกไปจากมุ้ง ถือเอาเทียนที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะ
เปิดประตู เดินออกไป
พอเพื่อนเปิดประตู ผมก็มองเห็นเหมือนข้างนอกมีแสงไฟ สว่างสว่าง
เหมือนกับว่า เป็นแสงไฟนิออน

อ้าว.. ไฟมาแล้วหรือ

พอเพื่อนเดินออกไปข้างนอก สักพักก็ได้ยินเสียง เหมือนคนคุยกันไปมา
แต่ฟังไม่ออกว่าคุยเรื่องอะไรกัน

ผมก็นอนเล่นไป  กำลังจะเคลิ้มหลับ
เพื่อนมันก็เดินเข้ามาในห้อง ผมมองไปก็เห็นข้างนอก เห็นยังมีแสงไฟอยู่
พอเพื่อนปิดประตู ในห้องก็กลับมามืดสลัว สลัวอีก

พอเพื่อนเข้ามานอนอยู่ข้างๆ ผมก็เลยถามเพื่อนไปว่า
ที่นี่เงียบมากๆ สมมุติ  วันนี้ถ้าข้าไม่ได้มา แล้วไฟดับ
เอ็งอยู่คนเดียวเอ็งจะกลัวผีไหม

แล้วเพื่อนมันก็ เหมือนเงียบไป ก่อนจะพูดว่า

เอ็งมองออกไปตรงหน้าต่างสิ เห็นแสงไฟจากบ้านหลังนั้นไหม

พอเพื่อนถาม ผมก็รีบพลิกตัว ยืดตัวชะโงกหน้าไปดูตรงหน้าต่าง
ก็เห็นเป็นแสงไฟส่องออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง อยู่ไกลลิบๆ แต่มองไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
เพราะมองจากในมุ้ง
ก็เลยบอกเพื่อนไปว่า
เออ เห็นแล้ว  ทำไมหรือ
แล้วเพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า
บ้านหลังนั้น อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก  เมื่อหลายปีก่อน แม่เขาป่วยเพราะอายุมากแล้ว
พอแม่เสียชีวิตไป ไม่นานพ่อก็มาเสียตามไปอีกคน ในเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก
ก็เลยเหลือแต่ลูกเขาอยู่คนเดียว
วันหนึ่งก็มีคนไปพบว่า ลูกชายเจ้าของบ้านได้ผูกคอตายอยู่ในบ้านหลังนั้นไปอีกคน

"บ้านหลังนั้นก็เลยถูก ทิ้งร้างไว้ ไม่มีใครไปอยู่ "
"วันดีคืนดี ก็จะมีไฟเปิดขึ้นเองที่บ้านหลังนั้น"
" อย่างที่เอ็งเห็นนั้นแหละ"


พอเพื่อนพูดจบ ผมก็ขนหัวลุกซู่ขึ้นมาเลย
อ้าว เฮ้ย...  ไม่มีใครอยู่จริงหรือ

เพื่อนก็หัวเราะ หึ หึ ในลำคอ

พอตั้งสติได้ผมก็เลยบอกเพื่อนไปว่า
เฮ้ย.. บ้า  ใครจะมาเปิดไฟ ถ้าไม่มีใครอยู่ ไม่มีหรอก เอ็งอย่ามาอำ  ก็คงมีคนอาศัยอยุ่แหละ


พอเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ผมก็เลยบอกเพื่อนเลิกคุยเรื่องผีดีกว่า
นอนๆ
ผมรีบตัดบท
พอแยกย้ายกันนอนได้สักพัก ผมก็หลับไป

มารู้สึกตัวอีกที ตอนรู้สึกหนาวๆไปตามตัว ลืมตาขึ้นมา ก็เจอบรรยากาศมืดๆสลัวสลัวในห้อง
ผมดึงผ้าหุ่มขี้งาผืนบางๆขึ้นมาคลุมตัว
หันไปมองทางเพื่อน  ปรากฏว่าไม่เจอเพื่อนนอนอยู่

อ้าว.. ไปไหนวะ กลางดึกแบบนี้

สักพักก็ได้ยินเสียง ประตูดัง แอ๊ด... (ช้าช้า)
พอหันไปมอง ก็เห็นเหมือนประตู แง้มๆอยู่
พอขยับตัวไปมา พลิกตะแคงข้างจะนอนต่อ
อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีไอเย็นผ่านลงมากระทบหัว เลยไปถึงแผ่นหลัง
ผมก็เลยหันไปมองทางหน้าต่าง
หรือว่าไอหนาวมันจะมาจากหน้าต่าง
ก็เลยลุกขึ้น มุดตัวออกไปนอกมุ้ง เอื้อมมือไปดึงหน้าต่างปิดเข้ามา
แต่ช่วงที่กำลังจะดึงหน้าต่าง ผมก็บังเอิญมองไปเห็น แสงไฟจากบ้านหลังนั้น
ที่เพื่อนเล่าให้ฟัง เอ๊ะ.. ทำไม มันดูแปลกๆวะ
พอเพ่งมองดูดีๆอีกที

อ้าว มันเป็นเงาสะท้อนจากบ้านลงไปในน้ำนี่

ผมตกใจ มองไปดูตรงแสงที่ลอดออกมาจากหน้าต่างบ้านหลังนั้น
เห็นตัวบ้านแล้วมันคุ้นๆนะ
ผมก็เลยรีบดึงหน้าต่างข้างหนึ่งปิดเข้ามา ปรากฏว่า เงาบ้านที่เห็นในน้ำ
ที่หน้าต่างบานที่มีแสงส่องออกมา มันก็ปิดตามด้วยข้างหนึ่ง
ผมชะงัก
ลองเปิดหน้าต่างออก มองไปที่เงาบ้านหลังนั้นในน้ำ
หน้าต่างบ้านที่มีแสงมันก็ เปิดอ้าออกตาม
เฮ้ย.. อะไรวะ ผม งงไปหมด
พอขยับหน้าต่างไปมานิดหนึ่ง บ้านหลังนั้นมันก็ขยับหน้าต่างไปมาด้วย
พอเห็นดังนั้น ขนหัวผมก็ลุกตั้ง
รีบร้องบอกเพื่อน  เฮ้ย... ผีหลอก
พอ ร้องออกมาจนสุดเสียง เงาสะท้อนบ้านหลังนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา
เห็นแต่ผืนน้ำเปล่าๆอยู่ท่ามกลางความมืด
ผมตกใจสุดขีด รีบผลักหน้าต่างออกไปทั้งสองข้าง จนหน้าต่างกระทบผนังบ้านดัง ตึง
เท่านั้นแหละ อยู่ๆ หมาก็หอนขึ้นมา เสียงเย็นยะเยือก
ผมรีบขยับตัวคลานไปทางเพื่อนที่นอนอยู่ ปากก็ร้องลั่น
เรียกชื่อเพื่อน
เอ็งอยู่ไหนวะ
พอถึงปลายเตียงก็รีบเปิดมุ้งออกมา
พอโผล่หัวออกมาจากนอกมุ้งได้ ก็เจอขาคนหล่นลงมาจากด้านบน
แล้วก็มาหยุดลอยอยู่บนอากาศ ตรงหน้าผม
ผมตกใจมาก แหงนหน้าขึ้นไปมองว่าขาใคร
พอมองขึ้นไปก็เจอ ร่างดำทะมึน คอพับลงมามองผม ตาถล่น ลิ้นห้อยลงมาถึงคอ
ร่างห้อยโตงเตงไปมากับเชื่อกที่ผูกอยู่บนขื่อบ้าน
พอเห็นดังนั้นผมก็ร้องออกมาจนสุดเสียง

ไอ้.. เี้ย
พลางกระโจน ตกจากเตียง รีบคลานไปที่ประตู
ร้องโวยวายไม่เป็นภาษา ตอนนั้นรู้สึกด้านหลังผม มันหนาวๆไปหมด
พอรีบผลักประตู คลานออกมานอกห้องได้
มองไปทางครัวมืดๆ เห็นยายแก่ๆ นั่งยองๆมองมาทางผม หน้าขาวซีด
ปากก็เคี้ยวอะไรไปมาอยู่ จั๊บจั๊บ  จั๊บจั๊บ 
พอผมเห็นแบบนั้น ผมก็ตกใจมาก รีบถอยหลังหนี ร้องลั่นสุดเสียง
พอมองดูดีๆอีกที ยายแก่ที่นั่งยองๆอยู่ ก็ทำท่าเหมือนคลานไปกับพื้น
แล้วก็ยกขาขึ้น ใช้มือยืนแทนเท้า แล้วตรงหว่างขาก็เป็นหัวคนแก่ๆยืดคอออกมา
หันมาทางผม ในตาประกายวาบ เหมือนมีใครฉายไฟไปโดนตา
เท่านั้นแหละ ผมก็รีบลุกขึ้น  วิ่งไปทางชานหน้าบ้าน
กระโดดจากชานหน้าบ้านลงไปที่พื้นอย่างไม่คิดชีวิต
พอยืนขึ้นมาได้ ก็ได้ยินแต่เสียง เพื่อนผมดังออกมาจากในบ้าน
พ่อ แม่ อย่า

เท่านั้นแหละ ผมวิ่งเลยครับ
วิ่งไปท่วมกลางความมืด ไม่รู้เหนือรู้ใต้
หมาก็หอนตลอด
พอได้ยินเสียงหมาหอน ผมก็รีบวิ่งไปทางเสียงหมาหอน
แสดงว่าแถวนั้นมันต้องมีบ้านคน
ผมร้องตะโกนลั่น มีใครอยู่ไหม ไปตลอดทาง
จนมาเจอถนนลูกรังที่ ผมกับเพื่อนนั่งรถมา
มองไปไกลริบๆ เห็นแสงไฟบ้านคนหนาตาอยู่อีกฟาก
ผมก็เลยรีบวิ่งไป จนสุดท้ายก็ไปเจอวัดครับ

พอวิ่งมาถึงหน้าวัด เห็นสุนัขยืนเห่าผมอยู่ สี่ ห้า ตัว
ผมไม่สนอะไร ครับวิ่งผ่าฝูงสุนัขเข้าไป จนพวกมันแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศ
พอวิ่งเข้าไปในวัดได้ พยายามมองหา ที่ที่สว่างที่สุด
แต่มองไปทางไหนก็มืดไปหมด จนผมตัดสินใจวิ่งไปตรงศาลาใหญ่ๆ
พอวิ่งไปถึงก็เห็นเหมือน ถูกปิดประตูเหล็กไว้ทุกด้าน
ผมก็เลย มองลอดช่องประตูเหล็กไป
อ้าวเฮ้ย...  ไอ้เ.ี้ย
โลงศพ

เท่านั้นแหละ ขนหัวผมก็ลุกตั้งขึ้นมาอีก
มองไปอีกด้านของศาลา มืดๆ  ก็เห็นเป็นเงาหัวคนดำๆ โผล่ขึ้นมา
พอเห็นแบบนั้น  มันก็ทำให้ผมหมดสติไปเลย


มารู้สึกตัวอีกที ตอนได้ยินเสียง หลวงพ่อพูดว่า
จับเขาลุกขึ้น
ผมลืมตา ก็เห็นเหมือนเด็กๆประมาณ ป.5 ป.6 จับตัวผมพยุงนั่งอยู่
มองไปรอบๆตัว 
ก็เห็นชายแก่ๆคนหนึ่ง นั่งอยู่ด้านหลัง
แล้วข้างหน้าผมก็เป็นหลวงพ่อวัยกลางคน

ตาแก่ๆคนนั้นแกเป็นสัปเหร่อครับ พอดีที่วัดมีงานศพ
แกมานอนเฝ้าศพที่ศาลาครับ พอมาเจอผมเป็นลม
ตาเขาก็เลย ไปปลุกเด็กวัดมาช่วย แล้วก็หามกันมาหาหลวงพ่อที่กุฏิ

หลังจากหลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ แล้ว ท่านก็ถามว่า
ไปงัยมางัยหละ

ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่า มาค้างบ้านเพื่อนแล้วโดนผีที่บ้านเพื่อนหลอก
พอท่านถามจนรู้ว่าเป็นบ้านหลังไหนแล้ว   หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า
บ้านหลังนั้น  พ่อแม่ทยอยเสียไปทีละคน
สุดท้าย เมื่อกลางปีที่แล้วลูกชายก็มาผูกคอตายตามไปอีก
บ้านหลังนั้นมันก็เลยร้างมาพักใหญ่ๆแล้วโยม

พอได้ฟังหลวงพ่อเล่า ผมก็ตกใจมาก
หา ! ไอ้เรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟัง สรุป คือตัวมันเองหรือวะ

ผมขนลุกซู่ พยายามนึกว่า ผมเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ยังไง
ก็นึกไปถึงตั้งแต่ ตอนขึ้นรถ ที่เพื่อนมันโหนอยู่ท้ายรถ
ทำไมมันยืนอยู่เฉยๆโดยไม่เอามือไปจับอะไรเลย เหมือนลอยอยู่ในอากาศ
แล้วพอลงรถ ทำไมคนขับรถเก็บค่าโดนสารแค่เราคนเดียว
แสดงว่าไม่มีใครมองเห็นเพื่อนที่มากับเราเลย
แล้วก็ตอนที่เห็นเพื่อนเป็นเงาดำไม่มีหัว อยู่ในครัวนั้นอีก

เฮ้ย.. มันเฮี้ยน ขนาดนี้เลยหรือ
นึกว่าเราตาฝาด เพราะแสงมันมืดเสียงอีก

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ รีบให้หลวงพ่อ ผูกสายสินที่ข้อมือให้


คืนนั้นผมก็เลยไปนอนรวมๆอยู่กับเด็กวัด
แต่กว่าจะได้นอน ผมก็ต้องไปล้างแข้งล้างขา ที่มีแต่โคลน
เนื้อตัวก็สกปรกมอมแมมไปหมด
กว่าจะได้นอน มองนาฬิกาก็ปาเข้าไปตีสองแล้ว

ตื่นเช้ามา หลังจากที่ เสร็จกิจช่วงเช้าแล้ว
ช่วงสายๆ หลวงพ่อก็ให้เณรไปที่บ้านหลังนั้นเป็นเพื่อนผม เพื่อไปเอากระเป๋า

พอปีนบันไดบ้านขึ้นไป ก็เห็นรองเท้าผมวางอยู่ข้างๆ ตรงที่บันไดพาดอยู่
มองไปตรงชานบ้านตรงนั้น มีแต่ฝุ่นจับที่พื้นหนา มีเศษไม้ใบหญ้าแห้งๆตกอยู่เกลื่อน
พอดูดีๆ ก็เห็นเป็นรอยเท้าคน เหยียบย่ำไปมาแถวนั้น
คงจะเป็นรอยเท้าผมเองเมื่อวาน เพราะยังดูเป็นรอยเท้าใหม่ๆอยู่
ถัดไปตรงมุมที่ผมกับเพื่อนเอาเสื่อมาปูนั่งกัน ก็เห็นเป็นเสื่อเก่าๆ ขาดๆ
ฝุ่นจับ สีซีด เหมือนมันถูกทิ้งให้ตากแดดตากฝนอยู่ตรงนั้นมานับปี

พอเดินต่อไปจนถึงตรงซอกทางเดินที่จะเข้าไปในตัวบ้าน
มองไปเห็นประตูขวามือเปิดแง้มอยู่
ห้องตรงข้าม ประตูปิดสนิทเหมือนเดิม

พอดูที่พื้น ก็มีแต่รอยเท้าผมเดินเหยียบย่ำไปมาอยู่เต็มไปหมด
จนเลยเข้าไปลึกถึงในครัว


ผมค่อยๆเดินไปเปิดประตูห้องที่แง้มอยู่ออกดูช้าๆ
เสียงประตูดัง เอี๊ยด ราวกับว่าบานพับมันฝืดเหมือนไม่ได้ถูกเปิดมานานแล้ว
ค่อยๆมองเข้าไปในห้อง ดูทึบๆมืดๆนิดหน่อย
.
เห็นบรรยากาศแล้วใจเสียขึ้นมาอีก
ไม่กล้าเข้าไป
หันไปบอกเณรที่อยู่หลังผม

เณร ผมรบกวนหน่อย ช่วยไปเปิดหน้าต่างให้หน่อย

เณรใจกล้ามาก
เดินเข้าไปในห้อง คนเดียว แล้วก็เปิดหน้าต่างออก
พอผมมองเห็นบรรยากาศในห้องมันไม่ทึบแล้ว ผมก็เลยค่อยๆเดินเข้าไป

มองไปตรง ที่นอนตอนผมนอนเมื่อคืน สภาพเป็นมุ้งเก่าๆ ฝุ่นจับจนดำ กางอยู่

มองเข้าไปดูข้างใน ตรงที่นอนเป็นที่นอนแบบแห้งๆเก่าๆ ดำๆ
เหมือนนุ่นมันยุบเพราะเปียกน้ำอะครับ

โห นี่คือสภาพที่เรานอน เมื่อคืนหรือนี่

หมอนก็เป็นหมอนขิดดำๆสีมอซอ

ใจผมเต้นแรงมาก เดินเข้าไปในห้องช้าๆ มองขึ้นไปตรงขื่อบ้าน
ใจผมก็ยิ่งเต้นแรงไปใหญ่
เพราะเห็นเป็นเชือก แบบที่เขาเอาไว้สนตะพายจมูกวัว
ผูกอยู่ที่ขื่อนั้น หลายทบ แต่มีรอยถูกมีดตัดตรงปลายเชื่อกที่ห้อยลงมา

อึ๋ย  มะมะไม่มีใคร คิดจะเอาออกเลยหรือวะ

มือผมสั่นไปหมด พอนึกถึงภาพที่เจอเมื่อคืน
พอมองลงไปที่พื้นห้อง
นอกจากรอยเท้าผมแล้วยังมีรอยมือผมตะเกียตะกายไปตามพื้น
ทิ้งไว้ให้เห็น ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกด้วย

ผมรีบเดินไปที่ข้างๆตู้ที่กระเป๋าผมวางพิงอยู่ มองเห็นตู้ไม้เก่าๆไม่สูงนัก
เห็นหลังตู้มีฝุ่นจับหนา มองไปดูตู้ข้างๆเป็นตู้ไม้สีดำๆ ดูเก่าๆไม่แพ้กัน
พอก้มลงไปจะหยิบเอากระเป๋า กำลังรูดซิปปิด อยู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่า มีเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัว
ตากอยู่ในห้องน้ำตรงครัวหลังบ้าน
ผมก็เลยบอกให้เณรรอก่อน เดี๋ยวไปเอาเสื้อที่ตากก่อน
ว่าแล้วผมก็รีบเดินออกจากห้องตรงไปข้างในครัวหลังบ้าน

พอเดินไปถึงในครัวมองสภาพแล้วไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่
เพราะมันไม่ได้ทึบจนวังเวง  ฝาบ้านตรงข้ามกับฝั่งห้องน้ำ ก็มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดกว้างไว้
เลยทำให้มีแสงสว่างพอสมควร
มองไปตรงแถวๆครัว  ก็เห็นเตา ตู้กับช้าว เขียง เครื่องใช้ในครัวต่างๆ วางทิ้งไว้ มุมใครมุมมัน

ผมรีบหันไปมองทางห้องน้ำ จะเดินไปหยิบเอาเสื้อผ้าที่ตากอยู่ตรงราวไม้ไผ่ที่ผาดอยู่แถวนั้น
พอเดินไป แล้วหันหลังให้ครัวเท่านั้นแหละ
อยู่ๆก็เย็นสันหลังวาบขึ้นมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย
เพราะมันรู้สึกว่ามีคนกำลังนั่งจ้องมองผมออกมาจากตรงครัว
ผมรีบเดินเข้าไปหยิบเสื้อผ้าอย่างไว
ตอนนั้นมันเงียบมาก พอรู้สึกแปลกๆ ผมก็รีบเดินออกมาจากในครัว
ด้วยฝึเท้าที่ดังตึงตัง เพื่อทำรายความเงียบ
พอเดินพ้นมาถึงช่องทางเดินจะไปห้อง ผมก็ค่อยเดินเสียงเบาปกติ
เดินผ่านมาได้นิดหนึ่ง อยู่ๆก็ได้ยินเสียง แป๊ก ดังขึ้นอยู่ด้านหลังผม
จนผมสะดุ้งตกใจ ร้องลั่นขึ้นมาอย่างคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
พรางหันไปมอง ว่าเสียงอะไร พอมองไปเห็นกรอบรูปยายแก่หัวหงอกขาว
ตกอยู่ที่พื้น เท่านั้นแหละ ผมก็เข่าทรุดลงไปนั่งกับพื้น หลังพิงฝาบ้าน
ร้องลั่นจนสุดเสียง

อ๊า!   อ๊า!     อ๊า!

จนเณรต้องรีบวิ่งออกมาจากห้อง มาเขย่าตัวผม
ถามว่าเป็นอะไร

พอผมมองไปที่กรอบรูปเก่าๆ อันนั้น  ก็เริ่มตั้งสติได้

ปะ ปะ เปล่า  ตกใจอะ  เล่นหล่นลงมาไม่ให้สุ้มให้เสียง
คนยิ่งขวัญอ่อนอยู่ด้วย

พอมองขึ้นไปดูตามฝาบ้าน ฝั่งที่รูปตกลงมา
ผมก็มองเห็นกรอบรูปเก่าๆ  รูปหนึ่ง แขวนไว้ อยู่ห่างกันไม่ไกล
เป็นรูปผู้ชายแก่ ผมขาวเหมือนกัน
ใจผมเต้นแรงมาก พยายาม ตั้งสติใหม่อีกที
ค่อยๆลุกขึ้นไปหยิบกรอบรูปเก่าๆของยายที่ตกอยู่
แล้วเอาไปแขวนไว้ตรงที่เดิม ก่อนจะยกมือไหว้ รูปทั้งสอง

ผะ ผะ ผมจะ กลับแล้วนะครับ

ผมรีบพูดกับคนในรูป
แล้วก็รีบเดินกลับไปเอากระเป๋าในห้อง  เณรก็ยืนรออยู่หน้าห้อง
ผมก้มไปที่กระเป๋ารีบยัดเสื้อผ้าลงในกระเป๋า
มือไม้สั่น สาละวน อยู่พักหนึ่ง
เฮ้ย.. เหมือนมันยัดเสื้อผ้าไม่ลงสักที
ผมเลยดันผ้า ล้วงมือเข้าไปจนสุดกระเป๋าอย่างแรง
อ้า.. ได้แล้ว
พอจะรูดซิป ก็เหมือนมีขอบจดหมาย ของเพื่อนที่ผมถือมาด้วย
มันโผล่ออกมาอะครับ
ผมก็เลยดึงจดหมายออกมา  แล้วก็รูดซิป
ตอนแรกกะทิ้งจดหมายเพื่อนไว้แถวๆนั้น
พอยืนขึ้น หันไปทางประตู ก็เจอโต๊ะแบบโต๊ะนักเรียนประถม อยู่ข้างๆประตู
ผมก็เลยเดินไป กะเอาจดหมายไปวางไว้ที่โต๊ะนั้น
พอเดินไปใกล้ๆกำลังจะเอาจดหมายไปวางไว้
ผมก็สังเกตเห็นช่องโล่งๆใต้โต๊ะ ที่เขาเอาไว้ใส่สมุดเรียนอะครับ
มันเหมือนมีกระดาษหลายๆแผ่น อยู่ในช่องนั้น
ผมก็เลยก้มลงไปมอง หยิบขึ้นมาดู
ปรากฏว่ามันเป็น ซองจดหมายครับ
มีอยู่ สี่ ห้า ฉบับ
ผมก็เลยเอามาเปิดดู เป็นจดหมายที่ถูกเปิดซองอ่านแล้ว
พอเปิดอ่านดูข้างใน ก็เป็นจดหมายที่ส่งมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ส่วนใหญ่จะเขียนมาปฏิเสธ เพื่อนว่า   มาไม่ได้

พออ่านไปอ่านมา เห็นส่วนใหญ่เป็นจดหมายปีที่แล้วทั้งนั้น
ผมก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า แล้วจดหมายที่ผมได้รับ ใครเป็นคนเขียนมาหาผม
เพราะเพื่อนได้เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่กลางปีก่อน
ผมก็เลยรีบเอาจดหมายที่ส่งมาถึงผม มาดูอีกครั้ง
พอมองดูหน้าซองจดหมาย ก็ทำให้ผมแทบช็อค

เฮ้ย  !

เพราะมันเป็นจดหมาย ตกค้างตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ดันพึ่งส่งมาถึงผมไม่นานนี่เอง
โอ้.. คุณพระช่วย   มีอย่างนี้ด้วยหรือวะ
บ้าเอ้ย ดันไม่ดูให้ดีก่อนว่า เป็นจนหมายตกค้างตั้งแต่ปีที่แล้ว
ผมตำหนิตัวเองในใจ



จากนั้นผมก็รีบเก็บๆจดหมาย ซุกเข้าไปในช่องใต้โต๊ะ
แล้วก็พูดว่า
เพื่อน ข้ากลับก่อนนะ ขอบใจเอ็งมาก
ว่าแล้วก็รีบเดินออกมานอกห้องทันที
พอกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปตรงชานหน้าบ้าน
อยู่ๆ ก็มีลมแรงพัดมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
พัดเอาเศษไม้ใบหญ้า ฝุ่นต่างๆตรงชานหน้าบ้าน
ตลบอบอวลไปหมด จนผมต้องเอามือมาปิดหน้าปิดตาไว้

แล้วผมก็พูดว่า
เฮ้ย เพื่อน ข้าจะกลับแล้ว ขอร้องหละ

พูดจบ
ลมก็หยุดพัดทันที

ผมค่อยๆเอามือที่บังตาออกช้าๆ มองไปข้างหน้า
ฟ้าโล่ง ปลอดโปร่งไม่มีพายุอะไร

ใจก็เริ่มหวิวๆขึ้นมาอีก ก่อนจะเดินต่อไป
พอจะเดินไป เหมือนมีอะไรมันปลิวมาติดที่เท้าผมครับ
ก้มลงไปที่พื้น ก็เห็นเป็นซองจดหมายฉบับหนึ่งตกอยู่ใกล้ๆ
พอผมหยิบขึ้นมาดู
เท่านั้นแหละ
น้ำตาผม ก็เริ่มไหลพรากออกมาโดยไม่รู้ตัว
แล้วผม ก็ร้องไห้ออกมา อย่างอดกลั้น
มองไปที่จดหมายฉบับนั้นอีก น้ำตาผมก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา
มันเป็นลายมือของผมเอง  ที่จ่ายหน้าซองมาถึงเพื่อน
มันเป็นจดหมายที่ผมเขียน    ว่าจะมาเยี่ยมเพื่อนตามคำเชิญ
ผมสะอื้นให้ออกมา อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ที่เริ่มเข้าใจความรู้สึกเพื่อนในตอนนั้นขึ้นมา

เอ็ง คงเหงาใช่ไหม  เพื่อน

พูดไปปาดน้ำตาไป
จดหมายยังไม่ได้แกะอ่าน
ขอบคุณไปรษณีมากๆที่รู้ว่าไม่มีใครอยู่ ก็ยังอุตสาห์เอาจดหมายมาส่ง

"ไม่คิดเลยว่าข้าจะต้องมา ร้องไห้ให้กับการตายของเอ็งในวันนี้"
"ถ้าเอ็งได้ยินข้า  เราจะเป็นเพื่อนกัน ตลอดไป เพื่อน"

ว่าแล้วผมก็ปาดน้ำตาอีก

เณร เขาก็เข้ามาบอกว่า ไปกันเถอะโยม เณร กลัว


นั้นไง
ตอนจบก็มาดราม่า จนได้
หลังจากที่ผมกลับมาบ้าน แม้ไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมบ้านเพื่อนอีกเลย
แต่ถ้าให้คิดถึงเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมา
ผมก็มักจะเล่าถึงเหตุการณ์ของเพื่อนคนนี้  ให้หลายๆคนฟังเสมอ

ไม่มีความคิดเห็น