ผีเปรตป้าบัว
เรื่องหลอนๆของคุณโอ๊ค ได้ฟังมาจากหลวงพี่ท่านหนึ่ง เมื่อครั้งบวชเรียนเมื่อ 10 ปีก่อน คุณโอ๊คเล่าถึงประสบการณ์หลอนที่เขาได้ พบลองไปติดตามเรื่องของเขากันเลยครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้รับฟังมาจากหลวงพี่ท่านหนึ่ง ตอนสมัยที่ผมบวชเณรเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว แน่นอนว่ามีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับภูตผีจากผู้เฒ่าผู้แก่ โดยเฉพาะ ผีเปรต ผีปอบ ผีโพง ผีกระสือ ผีกองกอย.. คือสมัยก่อนหมู่บ้านที่ผมอยู่ ยังไม่ได้พัฒนาเหมือนปัจจุบัน บ้านคนก็ยังไม่เยอะสักเท่าไหร่ วัดประจำหมู่บ้านจะอยู่ห่างออกไป แต่จะมีถนนตัดผ่านเข้าไปภายในตัววัด แล้วทะลุออกไปด้านหลังของวัด จะมีสะพานไม้เก่าๆ ซึ่งเชื่อมต่อไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง มีประมาณ 10 หลังคาเรือน ห่างจากตัววัดออกไป 200 กว่าเมตร ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นจะเต็มไปด้วยต้นไม้ปกคลุม ขนาดผ่านไปตอนกลางวันยังวังเวง และเงียบสงัดมาก แต่คนแถบนั้นอยู่กันนานจนชินไปแล้ว ส่วนบริเวณตัววัดจะล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้าจะมีต้นตาลใหญ่ 4 ต้น ส่วนด้านหลังจะปกคลุมไปด้วยป่าไม้ไผ่ และเป็นป่าช้าที่เอาไว้เผาศพ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับถนนที่ไปยังหมู่บ้านนั้น
หลวงพี่ยอดเล่าว่า ย้อนไปตอนที่ท่านยังเป็นสามเณร ท่านจะมีนิสัยเกเร และดื้อตามประสาเด็ก มีป้าคนหนึ่งชื่อว่าป้าบัว (นามสมมติ) แกมักจะมาทำบุญที่วัด ไม่ก็ตักบาตรที่หน้าบ้านแกเป็นประจำ แต่ป้าบัวแกเป็นคนขี้อิจฉา ชอบด่าว่า ชอบนินทาคนอื่น ไม่เว้นแม้กระทั่งเณรก็โดนดุด่าเป็นประจำ อย่างเช่นว่า บนพื้นศาลามีขี้นก หรือลานวัดไม่สะอาดมีใบไม้ร่วงเต็มไปหมด แกก็จะต่อว่าเณร หาว่าเณรขี้เกียจบ้าง เอาแต่วิ่งเล่นไปวันๆ พูดเหมือนกับว่าแกเป็นเจ้าของวัด มีสิทธิ์ไปซะทุกเรื่อง ชอบตำหนิคนอื่น แต่พูดเอาดีใส่ตัว บางครั้งเณรเคยเห็นแกขโมยอาหารที่คนอื่นนำมาถวายพระกลับบ้าน โดยเฉพาะช่วงวันพระ แกจะมาวัดโดยไม่นำอาหารมาเลย มีเพียงแต่กล่องข้าวเหนียวกับตะกร้าแบบถือ (ที่นั่นชาวบ้านส่วนมากจะนำอาหารใส่ถุงพลาสติก มากกว่าใส่ปิ่นโต นำมาที่วัดแล้วจัดเตรียมใส่ภาชนะให้พระฉัน) ถ้าอาหารเยอะเกินไปหรือล้น ป้าบัวก็จะจับถุงอาหารนั้นยัดใส่ในตะกร้าของตน ตอนที่ไม่มีใครสังเกต.. ไม่นานก็มีข่าวลือว่าป้าบัวแกไปแอบชอบหลวงพ่อ เณรยอดสังเกตเห็นว่าแกจะพูดดีแต่กับหลวงพ่อเท่านั้น บางครั้งหลวงพ่อติดธุระหรือไปประจำวัดอื่น เวลาเณรออกไปบิณฑบาต ถ้าแกไม่เห็นหลวงพ่อมาด้วย แกก็จะทำสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ.. ไหนจะข่าวว่าป้าบัวทะเลาะกับเพื่อนบ้านแก ถึงขนาดเรื่องไปถึงหูผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านเล่าว่าเห็นป้าบัวแกแอบมากรวดน้ำสาบแช่งถึงหน้าบ้าน สาเหตุเป็นเพราะแกหาว่าเพื่อนบ้านนั้นสร้างรั้วกินเข้ามาในพื้นที่ของแก นั่นยิ่งทำให้ชาวบ้านไม่ชอบแกเข้าไปอีก
หลวงพี่ยอดเล่าต่อว่า และแล้วคืนหนึ่ง เวลาประมาณตี 1 หลวงพี่ก็ได้ยินเสียงหมาหอนดังลั่นจนนอนไม่ หลับ พร้อมกับมีเสียงร้องไห้แหบแห้งเหมือนเสียงคนแก่ ดังไปรอบกุฏิจนไม่ได้หลับได้นอน แถมลมข้างนอกก็แรงมาก จนโค่นต้นตาลต้นหนึ่งล้มลงมาเสียงดังสะนั่น แต่เพราะความกลัวหลวงพี่ก็เลยไม่กล้าลุกไปดู จนตอนเช้า ก็มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งวิ่งมาที่วัด ทราบที่หลังว่าเป็นลูกหลานของป้าบัว บอกว่าป้าบัวเสียแล้ว นอนไหลตาย พอตอนบ่ายเขาก็นำร่างของป้าบัวมาทำพิธีที่วัด สมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผาศพ เลยต้องเผาบนกองฟืน ระหว่างการทำพิธีนั้น จะมีการเปิดฝาโลงศพเพื่อให้พระ และญาติๆ นำน้ำมะพร้าวไปล้างหน้า สภาพศพป้าบัวคือลืมตาเบิกโพลง ระหว่างกำลังจะเผาศพอยู่นั้น ก็เกิดลมแรงและฝนเทกระหน่ำลงมา ทำให้ชาวบ้านต้องนำผ้ายางไปคลุมเอาไว้ จนถึงตอนเย็นถึงได้ดำเนินการต่อ พิธีเหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ระหว่างที่ไฟกำลังไหม้ฟืนที่อยู่ด้านล่างนั้น อยู่ๆ โลงศพก็พลิกคว่ำลงมา ทำให้ศพป้าบัวหล่นตุ้บแล้วกลิ้งออกมา! ทุกคนต่างตกใจร้องเสียงหลง พวกผู้ชายจึงรีบพากันใช้ไม้พลิกศพกลับเข้าไปในกองไฟเหมือนเดิม.. จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ตอนนั้นที่วัดยังไม่มีสังกะลี พวกเณรเลยต้องทำหน้าที่เป็นระยะๆ ตรวจดูว่าศพถูกเผาละเอียดแล้ว จนถึงตอน 6 โมงเย็น เป็นเวลาสวดมนต์ไหว้พระ ฟังพระธรรมวินัยไปจนถึง 1 ทุ่ม ปกติแล้วเณรจะนอนกันแต่หัวค่ำ ลักษณะกุฏิจะมีทางเดินตรงกลาง มีทั้งหมด 4 ห้อง เณรยอดจะนอนห้องในสุดด้านขวามือกับเณรที่ชื่อออย ห้องถัดมาจะเป็นห้องของหลวงพี่ท่านหนึ่ง ส่วนด้านซ้ายทั้ง 2 ห้อง ถูกกั้นด้วยผ้าจีวร ห้องในสุดจะเป็นที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของคนตาย ที่ญาตินำมาบังสกุลหลังจากเผาศพไปแล้ว 3-4 วัน ส่วนห้องถัดมา เคยมีเณรท่านหนึ่งย้ายมาจากวัดอื่น เข้ามาพักได้ไม่นานก็ย้ายออกไป เพราะตอนดึกๆ บอกว่าได้ยินเสียงเหมือนคนรื้อข้าวของ และเห็นเงาประหลาดจากห้องข้างๆ เป็นประจำ ห้องนั้นเลยว่างไม่มีใครกล้านอนอีกเลย ส่วนกุฏิหลวงพ่อจะอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 30 เมตร
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่หมาหอนดังก้องไปทั่วทั้งวัด เณรยอดเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตี 2 เพราะได้ยินเสียงเณรออยร้องลั่น นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง ร้องไห้พูดจาไม่เป็นภาษาคน จนหลวงพี่ที่อยู่ข้างห้องมาเคาะประตูเรียก เณรออยจึงรีบวิ่งออกไปแล้วเข้าไปหลบในห้องหลวงพี่ เณรยอดก็วิ่งตามเข้าไป พอหลวงพี่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น? เณรออยก็ไม่ยอมบอก จนถึงตอนเช้าเณรออยก็นอนจับไข้ ปากก็บ่นว่าอยากสึกแล้วๆ พอหลวงพ่อเข้ามาถาม เณรออยจึงเล่าว่า ‘เมื่อคืนได้ยินเสียงคนเดินลากเท้าบริเวณหน้าห้อง (พอดีที่นอนเณรออยจะตรงกับประตูพอดี ลักษณะประตูคือจะอยู่สูงเหนือจากพื้นประมาณฝ่ามือครึ่ง พอจะมองลอดช่องใต้ประตูออกไปได้) ตาก็เลยไปสะดุดเห็นเท้ายาวๆ ดำๆ คู่หนึ่ง ลักษณะไหม้เกรียม ยืนอยู่ชิดประตูหน้าห้อง ส่วนปลายเท้านั้นพ้นลอดผ่านเข้ามาในห้อง..’ เณรออยถึงกับร้องไห้ออกมาระหว่างที่เล่าถึงตอนนั้น ก่อนจะเล่าต่อว่า ‘แล้วทันใดนั้น ก็มีมือยาวๆ ข้างหนึ่งล้วงเข้ามาผ่านช่องประตู คล้ายๆ กับกำลังคลำหาอะไรบางอย่างภายในห้อง พอดีมือนั้นคว้าไปโดนขาเณรเข้า ทำให้เณรสะดุ้งสุดตัว ร้องลั่นพุ่งไปหลบอยู่ที่มุมห้อง สัมผัสของมือจะสากๆ เย็นๆ มีกลิ่นไหม้ ผสมกลิ่นคาวคลุ้ง..’ เณรออยพูดไปก็ร้องไห้ไป ปากก็บอกอยากสึกๆ หลวงพ่อเลยบอกจะดูฤกษ์ให้ แต่ให้อดทนไปก่อน เพราะดูเหมือนว่ากำลังมีเคราะห์ ให้นอนพักผ่อนไปก่อน ไม่ต้องทำงานวัด ที่เหลือให้เณรยอดทำคนเดียวไปก่อน
ช่วงเย็นของวันนั้นเอง ลูกหลานของป้าบัวก็มาที่วัดเพื่อมาเก็บเถ้ากระดูกของแกใส่โกฐ แล้วเอาไปไว้ในธาตุที่สร้างไว้ห่างจากกุฏิหลวงตาประมาณ 20 เมตร พอตกตอนเย็น มีแค่เพียงหลวงตา หลวงพี่ กับเณรยอดเท่านั้นที่สวดมนต์ไหว้พระ ส่วนเณรออยยังคงนอนป่วยอยู่ในห้องหลวงพี่ และก็ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมายืนตะโกนเรียกที่ใต้ต้นโพธิ์หน้ากุฏิ ในสภาพเปลือยกาย ตัวซูบผอม ผมเผ้ารุงรัง แขนยาวจนถึงพื้น แต่แปลกที่เสียงของผู้หญิงคนนั้นเหมือนเสียงของป้าบัวไม่มีผิดเพี้ยน เพราะเสียงแกจะแหลมเวลาแกตะโกน ตะคอกด่าเณรประจำตอนมีชีวิตอยู่ เณรออยสะดุ้งตื่นเหงื่อท่วมตัว รีบวิ่งไปเล่าความฝันให้หลวงตาฟัง พอฟังจบ หลวงตาเลยพูดขึ้นมาว่า ‘เขาคงอยากมาขอส่วนบุญ เพราะลูกหลานของแกไม่ค่อยชอบเข้าวัดทำบุญกัน..’
เรื่องของเปรตป้าบัวดังไปทั่วในสมัยนั้น ชาวบ้านที่ต้องเดินทางผ่านวัดเจอกันแทบทุกคน บ้างก็เล่าว่า เห็นคนยืนเรียก แต่พอเข้าไปใกล้ๆ แล้วตัวสูงเหยียดขื้นไปเท่าต้นตาล ก่อนจะหายไป.. บ้างก็ว่าขี่จักรยานผ่านวัด จะรู้สึกเหมือนมีมือคนมาดึงท้ายจนล้ม พอหันไปดูก็จะเห็นเงาดำๆ ยืนอยู่ต่อหน้าจนทำให้เป็นลมหมดสติไปก็มี.. บ้างก็ว่าพอขี่รถผ่านจนไปถึงบริเวณท้ายวัด จะเจอขายาวๆ ผอมๆ คู่หนึ่ง ยืนอยู่บนสะพาน แต่ไม่มีลำตัว..
จนถึงเรื่องของเณรยอดบ้าง วันนั้นเณรยอดตื่นขึ้นมากวาดลานวัดคนเดียวตอน 4 โมงเช้า ใกล้ๆ กับกุฏิหลวงตา แล้วได้ยินเสียงเหมือนลมพัดใบไม้ปลิวเป็นจังหวะๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เอะใจ คิดว่าเป็นแค่เพียงลม แต่แล้วก็ตามมาด้วยเสียงดัง ‘ป๊อกแป๊กๆ’ พอเณรหันไปดูตามเสียง ก็เจอเปรตเข้าให้เต็มๆ ลักษณะคือขาเกี่ยวกิ่งต้นมะขาม แล้วห้อยหัวลงมาเกือบถึงพื้น ตัวกวัดแกว่งไปมาแล้วเกิดดัง ‘ป๊อกแป๊ก’ เหมือนเสียงกระดูกเคลื่อน ท่าทางราวกับว่ากำลังเอาเส้นผมรุงรังนั้นกวาดบริเวณลานวัดอยู่ แล้วก็ใช้มือไม้ปัดไปมาตามพื้นดิน.. เณรยอดถึงกับร้องลั่นแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนกุฏิหลวงพ่อ ท่านเลยถามว่าเป็นอะไร? เณรก็เล่าสิ่งที่เจอให้หลวงพ่อฟัง ท่านเลยตะโกนออกไปว่า ‘จะอุทิศบุญกุศลไปให้ แต่อย่ามาปรากฏตัวให้ใครเห็นอีก!’ นับจากวันนั้นมา ก็ไม่มีใครเห็นเปรตป้าบัวออกมาอีกเลย จะมีก็แต่เพียงแค่เสียงหวีดร้องดังมาจากท้ายวัดเป็นบางครั้งบางคราว ส่วนเณรออยนั้น หลังจากจบเรื่องก็ตัดสินใจจะบวชต่ออีก 1 พรรษา..
Post a Comment